ตกผลึกแบบ.....ZEN

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เมเฆนทร์, 22 มิถุนายน 2011.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. เมเฆนทร์

    เมเฆนทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +59
    [​IMG]



    กระทู้.....
    ตกผลึกแบบ.....ZEN



    เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเซน
    ในแง่มุมต่างๆ


    เหมาะสำหรับ
    ผู้ที่สนใจคำสอนทางด้าน เซน ทั้งหลาย


    คำสอนเซน
    เป็นคำสอนแบบ....."เกลี้ยงเกลา"





    กระทู้นี้
    มันคือโลกส่วนตัวของผู้เขียน
    ที่จะแบ่งปัน
    ให้แก่ผู่ที่สนใจ....เซน เท่านั้น



    หากใครมีข้อความเซน
    ที่น่าสนใจ
    และจะนำมาลงไว้ที่กระทู้

    โปรดส่ง PM
    ไปหาข้าพเจ้าได้



    แล้วข้าพเจ้า
    จะกลั่นกรองธรรมที่ส่งมานั้น
    มาลงไว้ให้.....ที่กระทู้นี้



    ทั้งนี้
    เพื่อป้องกันบุคคลเข้ามาทำให้ห้องสกปรก
    ด้วยข้อความที่ไม่น่าอ่าน



    อย่าว่า
    เป็นเรื่องที่ยุ่งยากเลย
    หากเป็น hardcore เซน.......ที่แท้จริง
    ย่อมช่วยกันส่ง
    ข้อความ เซน
    ทาง PM ได้




    สาธุล่วงหน้าครับ












    เมเฆนทร์.
     
  2. เมเฆนทร์

    เมเฆนทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +59
    [​IMG]






    ธรรมอันแท้จริง


    ไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดจบ

     
  3. เมเฆนทร์

    เมเฆนทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +59
    [​IMG]







    ธรรมบริบูรณ์.......โดยตัวมันเอง
     
  4. เมเฆนทร์

    เมเฆนทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +59
    [​IMG]




    ีอยู่วันหนึ่ง พระสังฆปรินายกองค์ที่ 5 ได้เรียกประชุมบรรดาศิษย์ทั้งหมด เพื่อให้ทุกคนเขียนโศลก ว่าด้วยเรื่อง จิตเดิมแท้........โดยผู้ใดเข้าใจได้ถูกต้องว่า จิตเดิมแท้นั้นเป็นอย่างไร ผู้นั้นจะได้รับมอบผ้ากาสาวพัตร(อันเป็นเครื่องหมายตำแหน่งพระสังฆปรินายก) และจะถูกสถาปนาผู้นั้นเป็นสังฆปรินายกองค์ที่หก แห่งนิกายเซน
    ชินเชา ภิกษุผู้เป็นเชฏฐอันเตวาสิก ผู้มีอายุกาลพรรษามากที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ของสังฆปรินายกองค์ที่ห้าได้พยายามแต่งโศลกขึ้น มีข้อความดังนี้
    “กายของเราคือต้นโพธิ์
    ใจของเราคือกระจกเงาอันใส
    เราเช็ดมันโดยระมัดระวังทุกๆชั่วโมง
    และไม่ยอมให้ฝุ่นละอองลงจับ”

    แต่สังฆปรินายกได้ทราบก่อนอยู่แล้วว่า ชินเชาผู้นี้”ยังไม่ไม่ได้ก้าวเข้าไปในประตูแห่งการตรัสรู้ และเขายังไม่ซึมทราบในจิตเดิมแท้
    อธิบาย...........ดูผิวเผิน ชินเชาผู้นี้น่าจะเป็นภิกษุที่เก่งทางด้านภาวนา เพราะท่านคอยตามรู้ตามดูกายและจิตของท่าน ท่านมีความเพียรมีความสำรวมระมัดระวัง เพื่อไม่ให้จิตของท่านเศร้าหมองไปด้วยกิเลสมลทิน
    แต่แท้จริงแล้วท่านชินเชาเองกลับเป็นผู้อ่อนด้อยทางด้านภาวนาในสายตาของสังฆปรินายกองค์ที่ห้า
    เพราะท่านเองยังไม่เข้าใจในหลักธรรมอันเป็นธรรมชาตินั่นเอง
    การที่ชินเชาคิดว่า กายคืออะไร ใจของเราคืออะไรและต้องเช็ดมันทุกๆชั่วโมงเพื่อไม่ให้เกิดกิเลสนั้น การคิดแบบนี้ทุกๆขณะที่ชินเชาเข้าใจเองว่าเป็นการปฏิบัติธรรม ความคิดแบบนี้ก็เป็นจิตปรุงแต่งชนิดหนึ่ง
    เป็นการใช้จิตปรุงแต่งในธรรม เป็นการใช้จิตปรุงแต่งเพื่อเข้าไปบัญญัติว่าอะไรคืออะไร นี่คือกายนะ นี่คือจิตนะ นี่คือความเพียรนะ นี่คือความสำรวมระมัดระวังนะ นี่คือผลแห่งการภาวนานะว่าจิตเราปราศจากกิเลส.......
    ในขณะที่จิตปรุงแต่งแบบนี้ตลอดเวลา โดยเนื้อหาแห่งธรรมแล้วมันจะทำให้มรรคอันแท้จริงหายไป แต่กลายเป็นการเจริญอวิชชาตัณหาอุปาทานแทน
    อุปมาเหมือนกับว่า...เป็นการใช้ความปรุงแต่งเพื่อหานิพพานซึ่งเป็นสภาวะธรรมชาติอันปรุงแต่งไม่ได้
    ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ให้ปฏิบัติแบบนี้อีก 100 กัป ก็ไม่สามารถบรรลุธรรมได้เลย
    เป็นการใช้ความมีความเป็นในจิต เพื่อหาความไม่มีไม่เป็นในจิต เป็นการใช้อัตตา(ความมีตัวมีตน)เพื่อหาอนัตตา(ความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน).....ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว.

    ชินเชาใช้จิตปรุงแต่งเพื่อสร้าง ”ธรรมธาตุแห่งการสำรวมระวัง” ขึ้นมาทุกๆชั่วโมง
    นี่ก็เป็นการเข้าใจผิดอย่างมหันต์....
    โดยหลักธรรมชาติแห่งธรรมนั้น การที่ ”หันเห” วิถีแห่งจิตซึ่งประกอบไปด้วยอวิชชาตัณหาอุปาทานด้วยความเข้าใจโดยปราศจากความลังเลสงสัยในธรรมทั้งปวงนั้น ”ไปสู่” วิถีแห่งจิตอันว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน ตรงนี้ เป็นการสำรวมระวัง เป็นการระมัดระวัง อยู่แล้วในตัว เป็นความเพียรโดยชอบอยู่แล้ว เป็นความบริบูรณ์แห่งธรรมไปในตัวอยู่แล้ว อันก่อให้เกิดมรรคอันแท้จริง..........
    เพียงแค่ ภิกษุชินเชา ไม่เข้าไปเนื่อง ไม่เข้าไปเนิ่นช้า ในความคิดที่ว่า กายของเราคือต้นโพธิ์ ใจของเราคือกระจกอันเงาใส .................เมื่อไม่เข้าไปเนื่อง เมื่อไม่เข้าไปเนิ่นช้า ความคิดนั้นก็ดับไป
    จิตปรุงแต่งชนิดนั้นก็ดับไปเอง เป็นการดับไปแบบวิถีทางธรรมชาติของมันเองอยู่แล้ว ไม่มีตัวตนเราเข้าไปบังคับให้มันดับให้มันไม่เที่ยง
    และไม่ใช่การยอมหรือไม่ยอม ที่จะไม่ให้ฝุ่นละอองหรือกิเลสอันเป็นอวิชชาตัณหาอุปาทานลงมาจับ......ตามที่ภิกษุชินเชาเข้าใจ
    หลักตามกฎธรรมชาติ ทุกสรรพสิ่งย่อมไม่เที่ยงแท้แน่นอนอยู่แล้วโดยสภาพมันเอง มันไม่เที่ยงอยู่แล้ว
    การไม่ยอมที่จะไม่ให้อะไรมาจับกับสิ่งใดเพื่อที่จะบรรลุธรรม จึง เป็นการกระทำที่ขวางธรรมชาติอย่างสิ้นเชิง
    “การไม่เข้าไปเนื่องไม่เข้าไปเนิ่นช้าในความคิดทั้งปวงนั้น เป็นการไม่ยอมให้ฝุ่นละอองคือกิเลสลงมาจับจิตใจโดยระบบธรรมชาติอยู่แล้ว เป็นการไม่ยอมโดยสภาพธรรมเองอยู่แล้ว”
    การไม่ยอม แบบภิกษุชินเชาเป็นการไม่ยอมแบบมีอวิชชาตัณหาอุปาทานเข้าไปไม่ยอม
    ภิกษุชินเชาจึงเป็นผู้ที่ยังไม่บรรลุธรรมอันใดเลย เพราะยังมีความลังเลสงสัยในธรรมทั้งปวงอยู่.

     
  5. เมเฆนทร์

    เมเฆนทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +59
    [​IMG]











    พระสังฆปรินายกกล่าวว่า ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย เมื่อเราใช้ปัญญาของเราในการเพ่งพิจารณาในภายใน เราย่อมมีความสว่างแจ่มแจ้ง ทั้งภายในและภายนอก และเราอยู่ในฐานะที่จะรู้จักใจของเราเอง การรู้จักใจของเราเองก็คือการลุถึงวิมุติ(การหลุดเป็นอิสระ) การลุถึงวิมุติ ก็คือการลุถึงสมาธิฝ่ายปัญญา ซึ่งเป็นความไม่ต้องคิด “ความไม่ต้องคิด”คืออะไร?




    ความไม่ต้องคิด คือการเห็นและการรู้สิ่งทั้งหลายทั้งปวง(ตามที่เป็นจริง) ด้วยใจที่ไม่มีอะไรห่อหุ้มพัวพัน,เมื่อเราใช้มัน มันแทรกเข้าไปได้ในทุกสิ่งแต่ไม่ติดแจอยู่ในสิ่งใดเลย สิ่งที่เราต้องทำนั้นมีเพียงการชำระจิตใจให้ใสกระจ่าง เพื่อวิญญาณทั้งหกเมื่อแล่นไปตามอายตนะทั้งหก จะไม่ถูกทำให้เศร้าหมองโดยอารมณ์ทั้งหก เมื่อใดใจของเราทำหน้าที่ของมันได้โดยอิสระ ปราศจากอุปสรรค และอยู่ในสถานะที่จะ”มา”หรือ”ไป” ได้โดยอิสระ เมื่อนั้นชื่อว่าเราได้บรรลุสมาธิฝ่ายปัญญา หรืออิสรภาพ สถานะเช่นนี้มีนามว่า การทำหน้าที่ของ”ความไม่คิด”




    ................แต่ว่า การหักห้ามความคิดถึงสิ่งใดๆให้ความคิดทั้งหมดถูกกดเอาไว้ ย่อมเป็นการกดธรรมะไว้(ไม่ให้ปรากฏหรือเป็นไปตามที่ควรจะเป็นไป) และข้อนี้ย่อมเป็นความเห็นผิด.
     
  6. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +1,073
    [​IMG]

    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>หม้อหุงข้าว..!*, หลงเข้ามา, เมเฆนทร์ </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...