ตอบปัญหาธรรม โดย ดร.สนอง วรอุไร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 พฤศจิกายน 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ดิฉันกำลังจะไปปฎิบัติธรรมเดือนนี้ประมาณวันที่ 20 มีคำถามจะเรียนถามดังนี้
    1.เคยประพฤติตัวไม่ดีกับพ่อแม่ไว้มาก ได้ยินว่าถ้าจะปฎิบัติวิปัสนาไม่ได้ต้องขอขมาท่านก่อน ถ้าไม่ได้อยู่ที่เดียวกันอยู่ไกลกันมาก กรุงเทพกับสุรินทร์ค่ะ จะโทรไปขอขมาได้หรือเปล่าคะ
    2.ได้ยินว่าการปฎิบัติทำให้เป็นบ้าได้ เพราะอะไรหรือคะ

    ขอบพระคุณมากค่ะ

    คำตอบ
    (๑) ขอขมาทางโทรศัพท์ย่อมทำได้

    (๒) เพราะปฏิบัติธรรมผิดทาง จิตขาดสติจึงไปรับเอาสิ่งกระทบไม่ดีมาปรุงอารมณ์ไม่ดี แล้วจิตยึดถือมั่นคงในอารมณ์ดี เมื่อจิตสั่งร่างกายขณะมีอารมณ์ไม่ดี พฤติกรรมที่แสดงออกจึงผิดไปจากพฤติกรรมของคนปกติ นี่คืออาการที่คนทั่วไปเรียกว่าบ้า ดังพฤติกรรมผิดปกติ (บ้า) ของคนในครั้งพุทธกาล อาทิ อดีตของพระปฏาจารา อดีตของพระกีสาโคตรมี อดีตของพระวาสิฏฐี ฯลฯ จิตยึดหน่วงอารมณ์สูญเสียคนที่ตนรักได้ตายจากไป
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หนูเคยได้ยินมาว่า มนุษย์สมัยนี้นั้นเป็นพวกจากขุมนรกมาเกิดเยอะ จึงมีความสงสัยค่ะว่า หากอยู่ในขุมนรกแล้ว จะมีอะไรเป็นตัวทำให้พวก เค้าสามารถไปเกิดในภพอื่น ๆ ได้คะ? อย่างในมนุษย์ กรรมดี กรรมชั่ว จะเป็นผลทำให้ไปเกิดในภพภูมิต่าง ๆ ต่อไป แล้วในขุมนรก พวกเค้า สามารถทำความดี ความชั่ว ได้อีกหรือไม่คะ?


    คำตอบ
    สองสาเหตุที่นำให้สัตว์นรกไปเกิดในภพอื่นคือ ชดใช้อกุศลวิบากในภพนรกได้หมด และกรรมถัดไปส่งผล จึงนำจิตวิญญาณโคจรไปสู่ภพที่ถูกตรงกับเหตุที่ทำ

    สัตว์นรกไม่สามารถทำกรรมดีหรือกรรมชั่วได้อีก มีแต่ชดใช้ผลของอกุศลกรรม ด้วยการถูกทำโทษถูกทรมานอย่างแสนสาหัสอยู่ตลอดเวลา จึงไม่มีเวลาไปทำกรรมอื่นได้อีก จนกว่าจะชดใช้หนี้เวรกรรมได้หมดสิ้น
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    1. แม่ทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ตปท. ส่งเงินมาให้นองชายซื้อบ้านและใช้หนี้ แต่น้องชายไม่ได้ทำตามที่แม่สั่งทั้งที่บ้าน เทเงินสดทั้งหมดก็ได้และน้องนำเงินไปให้ใช้ในทางอบายมุข เมื่อกลับมาแม่เสียใจมาก น้องชายจะบาปมากไหมคะ

    2. น้องชายเป็นหนี้ธนาคาร บัตรเครดิตทุกแบงค์ และกลัวธนาคารจะยึดบ้านที่แม่อาศัยอยู่ จึงได้มาปรึกษาหนู หนูได้ปรึกษากับแฟน แฟนแนะนำว่าให้สหกรณ์ที่เราทำงานจัดการไถ่ถอนบ้านแม่ให้ แต่หนูก็เป็นหนี้สหกรณ์ด้วย เมื่อกู้เงินพร้อมทั้งไถ่ถอนบ้านแล้วก็มีเงินเหลืออยู่จำนวน 1 แม่ต้องการให้นำเงินที่เหลือมาให้กับน้องและบิดาเลี้ยง แต่หนูคิดว่าหนูไม่ได้คืนแน่กับเงินในส่วนที่เหลือ และหนี้บ้านที่สหกรณ์หัก ก็หักจากเงินเดือนของหนู และไม่มีใครที่จะช่วยหนูเลยในการผ่อนบ้าน หนูก็ไม่ให้ หนูทำถูกหรือผิดคะ หนูอกัตญญูต่อแม่และพ่อเลี้ยงหนูหรือเปล่าคะ

    3.พ่อเลี้ยงได้ทำสัญญาขึ้นมาว่า หนูได้นำโฉดนดเค้าไปกู้โดยที่เค้าไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลย และให้แม่มาพูดกับหนูและสามีให้เซ็นยินยอมหนูให้สามีอ่าน เมื่อพี่เค้าเซ็นหนูก็เซ็น สามีหนูเสียความรู้สึกกับการกระทำของพ่เลี้ยงหนูมาก หนูกับสามีทำถูกหรือผิดคะ

    4. หนูป่วยต้องผ่าตัดใช้เงิน 1 แสนบาทหนูก็บอกแม่ให้คุยกับพ่อเลี้ยงว่าจะขอกู้เพิ่มเพื่อรักษาตัวหนู พ่อเลี้ยงปฎิเสธว่าหนูได้ไปมากพอแล้ว และแม่หนูก็ว่าหนูเห็นแก่ได้เอาเปรียบ หนูบอกว่าขอให้หนูอธิบายบ้างแม่ไม่ฟังแม่ด่าว่าชั้นมีลูกไม่ดี เลว จัญไร อัปรีย์แกก็เลวหมือนพ่อแก เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ อาจารย์คะ หนูไม่รู้สึกโกรธแม่เลยนะคะ ได้แต่เพียงน้อยใจ เสียใจว่าทำไม่ชีวิตหนูจึงเป็นเช่นนี้ ด้วยความสัตย์จริงนะคะอาจารย์หนูตั้งใจที่จำทำให้แม่มีความสุข อะไรที่เป็นความสุขของแม่ หรือแม่ต้องการอะไร ถ้าไม่เกินกำลังหนูจะจัดหาให้ทันที ถ้าเงินหนูมีน้อยหนูก็บอกว่าตอนนี้หนูไม่มี อาจารย์คะ การที่แม่ผู้มีพระคุณของเราด่าเราอย่างนั้นจะเป็นจริงตามปากท่านไหมคะ หนูควรแก้ไขอย่าง และปฎิบัติอยางไรที่จะทำให้ท่านมีความสุข และไม่โกรธหนูคะ แม่บอกว่าแก่ไม่ต้องมาที่บ้านชั้นอีก เพราะที่นี่ไม่มีผลประโยชน์อะไรกับแก อาจารย์คะ แม่เข้าใจหนูผิดโดยที่หนูไม่มีโอกาสได้อธิบายเลย

    5.ตั้งแต่หนูได้ฟังธรรมะจากอาจารย์ ทำให้หนูกลัวบาปทุกอย่างพยายามไม่ให้ตัวเองผิดศีลทั้ง กายวาจาใจ แต่ยังทำได้ไม่หมดค่ะแต่ก็พยายามอย่างมากหนูต้องทำอีกนานแค่ไหนคะถึงจะหลุด พ้น

    6. หนูทำบาปกรรมอะไรไว้ตั้งแต่ชาติบาปไหนคะ หนูถึงต้องมาพบกบเหตุการร์นีและเป็นกรรมอะไรคะ หนูยังมีหนี้เวรที่ต้องชดใช้อีกมากแค่ไหนคะ

    7. การที่ครอบครัวหนูมีความสุข เพราะหัวหน้าครอบครัวดี ถึงแม้ว่าบางครั้งเราจะขัดสนเรื่อเงินทองบ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเรา เพราะเรา พ่อ แม่ ลูกจะใส่กระปุกทำบุญกันทุกวัน ถ้าหนูจัดกระเป๋าไม่อยู่บ้านลูกจะถามว่าแม่ไปวัดไหน อานิสงฆ์ตรงนี้มาจากจุดไหนคะ

    8. อาจารย์คะ การที่หนูอธิฐานขอตายก่อนสามีผิดไหมคะ และจะเป็นไปได้หรือเปล่าวคะ

    คำตอบ
    (๑) ถามว่าจะบาปมากไหม? ถ้าเอาบาปนี้ไปเปรียบเทียบกับบาปของพระเทวทัต น้องชายกระทำเหตุที่เป็นบาปน้อยกว่าพระเทวทัต แต่ยังมีผลสู่การไปเกิดเป็นสัตว์นรกในยมโลกได้

    (๒) การชดใช้หนี้เวรกรรม ไม่เคยมีใครชดใช้ได้เกินความสามารถที่ตนมีและไม่ถือว่าเป็นผิด หากผู้ใดไม่ประพฤติจริยธรรมลูกที่มีต่อพ่อแม่ จึงจะเรียกได้ว่าเป็นลูกอกตัญญู

    (๓) ผิดที่ประพฤติไม่ตรงกับความเป็นจริง

    (๔) คำว่า “ เลว ” หมายถึง มีค่าต่ำ, ต่ำ, ทราม ฯลฯ
    คำว่า “ จัญไร ” หมายถึง เลวทราม, เป็นเสนียด, ไม่เป็นมงคล ฯลฯ
    คำว่า “ อัปปรีย์ ” หมายถึง เลวทราม, ชั่วช้า, ไม่เป็นมงคล ฯลฯ

    ในความหมายเหล่านี้ ผู้ถามปัญหาต้องถามใจตัวเองว่า เป็นดังที่บอกมานี้หรือไม่ ผู้ใดประพฤติตนให้มีศีลมีธรรม (ศีล ๕, ธรรม ๕) คุ้มครองใจ ความเลว ความจัญไร ความอัปปรีย์ ย่อมไม่มีแก่ผู้นั้น

    อนึ่ง ไม่มีใครผู้ใด สามารถเข้าไปทำอะไรให้ใครต้องเป็นอะไรตามใจปรารถนาของตนเองได้อย่างแท้จริง เว้นไว้แต่ว่าเขาผู้นั้นต้องทำตัวเองให้มีความสุข มีความไม่โกรธ (เมตตา) หรือมีความเห็นถูกด้วยตัวของเขาเอง

    (๕) ความพยายามเป็นคุณธรรมนำสู่ความสำเร็จ ส่วนการประพฤติตนให้เป็นผู้มีศีล คุมกาย วาจา ใจ และนำตัวเองให้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งมวลได้ ต้องประพฤติถูกตรงตามธรรม โดยใช้สัจจะสนับสนุน

    (๖) การส่งจิตไปตามรู้เรื่องในอดีต ไม่ทำให้จิตพ้นทุกข์ได้ ฉะนั้น ความปรารถนาในข้อ (๕) จะบรรลุได้ ต้องเอาจิตมาอยู่กับปัจจุบัน

    ส่วนเรื่องของหนี้เวรกรรม ไม่มีใครผู้ใดสักคนสามารถชดใช้ได้หมด แต่มีใครผู้ใดหลายคนพัฒนาจิต จนสามารถกำจัดอวิชชาให้หมดไปจากใจได้ หนี้เวรกรรมที่ยังเหลืออยู่อีกอนันต์ เป็นอันถูกยกเลิก (อโหสิ)

    (๗) มาจากเหตุดีที่ทำ

    (๘) บุคคลมีชีวิตเป็นของตัวเอง ฉะนั้นจะอธิษฐานขึ้นสูงหรือลงต่ำย่อมทำได้ อธิษฐานตายก่อนสามีไม่ถือว่าเป็นความผิด แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่ผู้ถามปัญหาและสามีกระทำอยู่ในปัจจุบัน
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    1. ดิฉันทำกรรมฐานแบบยุบ-พองหนอ มา 6 ปีแล้ว น่าจะถึงสังขารุเปกขาญาณแล้ว ก่อนหน้านี้มีกัลยาณมิตรแนะนำว่าดิฉันแก่สมถะไปหน่อย วิปัสสนาญาณอ่อน จึงสอนวิธีทำวิปัสสนาให้ จึงผ่านปฏิสังขญาณมาได้ ตอนนั้นเวทนารุนแรง ใช้กำลังทำกรรมฐานมาก พอมาถึงตอนนี้เวทนาไม่กวน กำหนดได้ดี สภาวะธรรมเกิด-ดับชัด ถ้าเพียรทำกรรมฐานไปเรื่อยๆจะผ่านโสฬสญาณได้ใช่มั๊ยค่ะ

    2. ช่วยแนะนำวิธีที่ควรและถูกตามธรรมในการทำกรรมฐานสำหรับคนที่ถึงสังขารุเปกขา ญาณ ให้หน่อยได้มั๊ยค่ะ

    ด้วยความเคารพ


    คำตอบ
    (๑) ผู้ใดปฏิบัติธรรม (วิปัสสนากรรมฐาน) สมควรแก่ธรรม โอกาสพัฒนาจิตให้เข้าถึงหรือผ่านวิปัสสนาญาณ ๑๖ (โสฬสญาณ) ย่อมเป็นไปได้

    (๒) หากผู้ถามปัญหาพัฒนาจิต ตามแนวทางองสติปัฏฐาน ๔ จนสามารถนำพาจิตเข้าถึง ปฏิสังขานุปัสสนาญาณได้จริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปขอคำแนะนำจากใครผู้ใดอีกต่อไป เพียงแต่ดำเนินปฏิปทาตามแนวทางที่ได้ปฏิบัติมา โดยเร่งความเพียรและมีสัจจะเป็นแรงสนับสนุน การเข้าถึงวิปัสสนาญาณยิ่งๆขึ้นไปย่อมเกิดขึ้นได้
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    กระผมเห็นคุณยายของภรรยา อายุ 90 ปี ทานข้าวไม่ได้ เลยไม่มีแรง กระผมและภรรยาพา ไปโรงพยาบาล คุณหมอตรวจแล้วร่างกายปกติดีทุกอย่าง เพียงแต่ไม่ทานอะไรเลย จึงไม่มีแรง คุณหมอเลยให้น้ำเกลือ แล้วกลับบ้านก็เริ่มมีแรงบ้าง แต่ก็ยังไม่ทานอะไรมาก ทานได้แต่น้ำหวาน กล้วย และรังนก เพียงเล็กน้อย ยายไม่ค่อยได้ทำบุญ ไม่ตักบาตร กระผมพยายามจะหา CD ธรรมะ เปิดให้ฟัง แต่ก็ยังไม่สำเร็จเท่าที่ควร ยายมีนิสัย ค่อนข้างเป็นห่วงบ้าน ห่วงของมาก ขอคำแนะนำจาก อาจารย์ หน่อยครับ ว่าจะทำอย่างไรดี ให้แก่สนใจธรรมะ และเข้าถึงธรรมบ้าง จะได้ไปดี


    คำตอบ
    คนที่มีอายุยืนยาวถึง ๙๐ ปี ย่อมมีผลของบุญเป็นแรงหนุนส่ง ผู้ถามปัญหารู้หรือไม่ว่า บ่อเกิดแห่งบุญ ได้จากการประพฤติตนตามบุญ กิริยาวัตถุ ๑๐ ดังนั้นคุณยายสามารถสร้างบุญให้เกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็น ต้องตักบาตร ผู้ถามปัญหามีเจตนาคิดช่วยเหลือคุณยาย ให้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี (สุคติภพ) หลังจากตายแล้ว ย่อมคิดได้ แต่จะประสบผลสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวของคุณยายผู้เป็นเจ้าของชีวิต หากคุณยายมีศีล ๘ หรือมีศีล ๕ พร้อมกับให้ทานโดยวิธีอื่นอยู่เสมอ ตายแล้วจิตวิญญาณมีโอกาสโคจรไปได้ร่างอยู่อาศัยในภพสวรรค์ได้
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    1. หนูกำลังคิดเลิกอาชีพเสริมความงาม (ทำเลเซอร์รักษากระฝ้าและรอยตีนกา ลดความอ้วน) เพราะไปทราบมาว่าเป็นสัมมาอาชีพทางโลกแต่เป็นมิจฉาอาชีพในทางธรรม จะเป็นกรรมเพราะทำให้คนที่ปกติก็หลงอยู่แล้ว หลงเพิ่มเข้าไปอีก ไม่ปลงสังขาร ติดรูป จึงคิดมาเริ่มทำอาชีพการขายตรง โดยเน้นขาย เครื่องปั่นน้ำโมเลกุลเดี่ยว ซึ่งให้ประสิทธิผลในการรักษาโรคแห่งความเสื่อมต่างๆและสำหรับผู้ที่ไม่ได้ เป็นโรคร้ายก็ช่วยชลอความเสื่อมของสังขารเช่นกัน อันนี้ถือว่าเป็นมิจฉาอาชีพอีกหรือไม่คะ หนูไม่แน่ใจเพราะมันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องของสังขารผู้อื่น ซึ่งจริงๆ ควรปล่อยให้เค้าเป็นไปตามกรรมที่ควรจะเป็น หรือไม่ เพราะถ้าไม่สบายทุกคนก็อยากหายแล้วไปหาหมอรักษา จึงรบกวนเรียนถามอาจารย์ค่ะ

    2. และลักษณะของอาชีพขายตรง บริษัทก็จะมีโปรโมชั่นพิเศษ ลดแลกแจกแถมตามวาระ ถ้าเราซื้อให้วันที่บริษัทมีโปรฯ กระตุ้นยอดขาย หนูก็ซื้อเครื่องเก็บตุนไว้ (เพราะอยากได้ของแถม) แล้วเมื่อลูกค้าสั่งเครื่อง หนูก็ค่อยเอาไปให้ หนูลดคอมมิสชั่นในส่วนที่บริษัทจ่ายให้เป็นค่าการตลาด ให้ลูกค้า บางคนก็ลดหมดเลย บางคนไม่สนิทก็ลดให้ครึ่งหนึ่ง หนูก็เลยไม่ให้ของแถมเค้า (ไม่ได้แจ้งลูกค้าว่ามีของแถม) หนูผิดศีล 2 ไหมคะ และของแถมถ้าหนูเอามาขาย ผิดด้วยไหมคะ

    กราบขอบพระคุณค่ะ


    คำตอบ
    (๑) ยังถือว่าเป็นมิจฉาอาชีวะในทางธรรม ผู้ตอบปัญหายังต้องข้องเกี่ยวอยู่กับสังคม การประพฤติตนเป็นเหตุให้ผู้อื่นมีสุขภาพดี อานิสงค์ที่จะคืนมาสู่คือตนเองมีสุขภาพดีด้วย ผู้รู้ไม่นำตัวไปร่วมในกระบวนกรรมไม่ดีของผู้อื่น แต่ชี้ทางให้ผู้อื่นมีสุขภาพดีได้ด้วยการชี้แนะสิ่งดีๆให้ผู้อื่น ส่วนเขาจะประพฤติตามหรือไม่เป็นสิทธิ์ของเขา หากเขาประพฤติตามแล้วทำให้มีสุขภาพดี พร้อมกับนำตัวเองเข้าพัฒนาจิตวิญญาณจนเข้าถึงคุณธรรมที่สูงยิ่งๆขึ้นไป อานิสงค์แห่งบุญย่อมเกิดขึ้นกับผู้ชี้แนะ

    (๒) การไม่แจ้งให้ลูกค้าทราบว่ามีของแถม ไม่ถือว่าผิดศีลข้อสอง และหากนำของแถมไปขาย ไม่ถือว่าผิดศีลเช่นกัน แต่ผิดธรรมที่ทำให้จิตมีกิเลสเพิ่มมากขึ้น
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    1. อาการแสงนวล ๆ รอบ ๆ ตัวเวลาปฏิบัติทั้ง ๆ ที่ปิดไฟมืดหมด เกิดจากอะไรครับ

    2. วันหนึ่งขณะนั่งอยู่บนรถตู้โดยสาร ผมก็นั่งหลับตาดูลมหายใจไปเรื่อย ๆ เป็นระยะเวลาพอสมควร จิตเริ่มเกาะอยู่กับการเข้าออกของลมหายใจได้ดี ลมก็เริ่มละเอียดและเบาลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งตอนนี้ก็ไม่ได้บริกรรมอะไร ตามรู้อย่างเดียว จากนั้นมันก็รู้สึกวูบ จากที่มืด ๆเทา ๆ เวลาเราหลับตาปรากฏว่าเปลี่ยนเป็นสีออกส้มม้วนขดเป็นรูปกลมคล้ายก้นหอย เป็นแล้วก็หายไปสักพักก็มาอีกประมาณ 4-5 ครั้ง อาการที่เกิดขึ้นมาเนื่องจากอะไรครับ

    3. จากข้อ 2 หลังจากเป็นมา 4-5 ครั้ง สุดท้ายคล้ายมันวูบวาบแรงผิดกับช่วงก่อนหน้า จากนั้นปรากฏว่ารอบ ๆ ตัวเป็นแสงขาวสว่าง มีอยู่แว่บนึง รู้สึกว่าตัวเราที่นั่งอยู่บนรถหายไปมีแต่แสงไม่ได้ยินอะไรเลย แต่อาการนี้เป็นอยู่แค่ระยะเวลาสั้นประมาณ 5 วินาที ก่อนจะหายออกมาจากตรงนั้น เริ่มได้ยินเสียงคนคุยกันก้อง ๆ แต่ว่าคล้ายอยู่กันคนละที่บอกไม่ถูกครับ แล้วก็ออกมาอยู่ตามเดิมครับ จากอาการที่เกิดขึ้นทั้งหมด การปฏิบัติของผมยังดำเนินมาถูกต้องหรือเปล่าและได้เดินมาถึงลำดับใด และต้องทำอย่างไรต่อไปครับ รบกวนท่านอาจารย์โปรดเมตาชี้แนะอีกครั้งครับ

    กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงครับ


    คำตอบ
    (๑) เกิดจากจิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ

    (๒) เนื่องจากจิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ

    (๓) ถูกต้องสำหรับผู้ที่ยังมีจิตเป็นทาสของความหลง หากประสงค์พัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ต้องกำจัดสิ่งที่จิตสัมผัสได้ให้หมดไป เช่น เมื่อเห็นแสงสีขาวสว่าง ต้องกำหนดว่า “ เห็นหนอๆๆๆ ” จนแสงสีขาวสว่างหมดไป หรือเมื่อได้ยินเสียงพูดคุย ต้องกำหนดว่า “ ได้ยินหนอๆๆๆ ” จนเสียงที่ได้ยินหมดไป แล้วดึงจิตมาอยู่กับลมหายใจเข้า-ออกต่อไป จนกว่าจิตตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) จึงนำจิตไปพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อยากขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ ขอท้าวความก่อนว่าครอบครัวของดิฉันเป็นครอบครัวที่มีความทุกข์กับคนเพียง 1 คนคือน้องชายของดิฉัน ซึ่งติดเหล้า กินทุกวัน การงานไม่ทำ นำความทุกข์มาให้ทุกวัน พอเมาได้ที่ก็ด่าพ่อแม่ ขอเงินก็ขู่สารพัด ถ้าไม่ให้ก็ขโมยข้าวของไปขายหรือไปจำนำบ้าง เหมือนมีขโมยอยู่ที่บ้าน พ่อแม่และน้องอยู่ต่างจังหวัด ดิฉันทำงานที่กรุงเทพฯ ก็จะได้รับข่าวแบบนี้อยู่ตลอด ซึ่งก่อเรื่องทะเลาะวิวาทก็บ่อย

    ดิฉันเคยผ่านการปฎิบัติธรรมมาก็ทราบดีว่าเป็นเรื่องเวรกรรม แต่จะทำอย่างไร เมื่อเศร้าใจทุกครั้งที่เห็นพ่อแม่ทุกข์ใจ ต่อให้ลูกเลวแค่ไหน พ่อแม่ก็ยังช่วยทุกครั้งแม้บางครั้งก็ต้องยอมเป็นหนี้สินเพื่อช่วยลูกทุก ครั้งที่ก่อเรื่อง พยายามให้พ่อแม่เข้าวัดฟังธรรม แต่ก็ยากเพราะต้องอยู่กับสภาพเดิมๆทุกวัน เจ้าน้องชายมันบอกว่าทำให้มันเกิดมาแล้วก็ต้องมีหน้าที่ดูแลมัน

    ดิฉันควรทำอย่างไรดี เพื่อจะช่วยพ่อแม่ให้ไม่ทุกข์ใจอย่างทุกวันนี้ค่ะ ( ส่วนน้องชายก็เคยปล่อยให้ติดคุกออกมาก็เหมือนเดิม ยิ่งแค้นเข้าอีกที่ไม่ช่วยเค้า เคยคุยเคยช่วยสารพัดแล้วก็เหมือนเดิม)

    ปล.พ่อแม่อายุมากแล้ว ร่างกายก็ป่วย ใจก็ป่วย


    คำตอบ
    บุคคลมีชีวิตเป็นของตนเอง จะสุขหรือทุกข์อยู่ที่การกระทำของตัวเอง ดังนั้นความทุกข์ใจของพ่อแม่ เป็นอกุศลวิบากของท่านที่ต้องชดใช้ ความสงสารและคิดช่วยเหลือพ่อแม่ เป็นคุณธรรมของผู้ถามปัญหา และถามว่าจะทำอย่างไรดี ในฐานะเป็นลูกต้องประพฤติจริยธรรมลูกที่มีต่อพ่อแม่ เมื่อใดพ่อแม่หันมาศรัทธาในตัวของผู้ถามปัญหา เมื่อนั้นผู้ถามปัญหาจึงจะมีสิทธิ์ชี้แนะท่าน ให้นำตัวเข้าพัฒนาจิตให้มีสติและมีปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้เมื่อใด ปัญหาความทุกข์ใจของท่านก็จะหมดไปด้วยตัวท่านเอง
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ดิฉันได้ฝึกนั่งสมาธิ และวิปัสนาไปควบคู่กันด้วยตนเอง โดยอ่านจากในหนังสือ และสอบถามจากรุ่นพี่ที่ปฎิบัติอยู่แล้ว เป็นผู้ชี้แนะแนวทางคะ
    (ขณะนี้ดิฉัน พยายามหาเวลาไปวัด เพื่อหาพระอาจารย์ เพื่อสั่งสอนให้อยู่คะ ได้ตั้งจิตภาวนาไว้ ขอให้ได้เจออาจารย์ ครู เร็ววันคะ)

    ล่าสุด ได้อ่านหนังสือของอาจารย์ 3เล่ม ทำให้ ดิฉันก้าวหน้า สามารถได้ดับเวทนา ในขณะจิตเข้าสมาธิอุปจารสมาธิ ในเรื่องที่ได้เคยเก็บความโกรธเคือง พ่อและอาในสมัยเด็ก ตอนอยู่ป4 โดยขณะปฎิบัติ ได้ใช้ไตรลักษณ์ ดับที่สังขาร เวทนา และใช้สติบอกตนเอง ถึงการเกิดแก่ เจ็บตาย ผลคือ จิตได้รับรู้ ขณะท่องบอกตัวเอง ว่าทุกข์ขังๆๆๆ จิตได้รับรู้ความเจ็บใจอย่างถึงที่สุด วูบเดียว ระลึกถึงไตรลักษณ์(ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากคะ เพียงแค่วูบเดียวเท่านั้น)เหมือนมีอะไรบางอย่างวูบริเวณใจแรงๆ และเกิดอาการคันหน้ามาก (น่าจะเป็นปิติแบบที่อจ กล่าวไว้คะ จึงอดใจไม่เกา กำหนดสามาธิต่อไปสักพัก ถึงถอดออกมาคะ)

    หลังออกจากสมาธิครั้งนั้น ดิฉันรู้สึกถึงความรู้สึกปิติ เป็นสุขบริเวณใจ ตลอดเวลา และมีสติอยู่กับตนอีกทั้งวัน เมื่อคิดถึงเรื่องครั้งเก่า ที่เคยโกรธเคือง กลับไม่มีการปรุงแต่งอารมณ์ใดๆ ใจนิ่งไม่รู้สึก กลับโปร่ง เบา สบายคะ

    หลังจากนั้น ดิฉันได้ทะเลาะโต้เถียงกับพ่อทางโทรศัพท์ และเอ่ยคำแสดงความดูถูก และ เกลียดเขาออกมาดังๆหลังจากได้วางโทรศัพท์ไปแล้วด้วยอารมณืดกรธเคือง ซึ่งพ่อดิฉัน เป็นคนไม่เอาศีลธรรม ไม่เข้าวัด ดื่มเหล้าทั้งวัน ทำเรื่องเลวร้ายในอดีตไว้มาก ฆ่าสัตว์ พูดจาหยาบคาย ปัจจุบันเป็นคนเจ้าอารมณ์ มักจะด่าทอ อารมณ์เสียอย่างไร้เหตุผล ทำให้ในใจลึกๆ ดิฉันรู้สึกเกลียดเขามาก มาตลอดคะที่ต้องทนเจอ เพราะเป็นพ่อ--- ที่ให้เงินใช้ทุกเดือน เพื่อทดแทนคุณ--- เมื่อปฎิบัติเสร็จก็จะแผ่อุทิศกุศลให้ เพราะความกตัญญูที่เราจำเป็นต้องมี แต่ดิฉันเลือกจะไม่อยู่บ้านเดียวกัน เพราะไม่ต้องการให้ความรู้สึกเกลียดท่าน ผุดอยู่ในใจตลอด รบกวนความสุขสงบในใจคะ

    ทุกข์ตัวนี้ ดิฉันไม่สามารถจะใช้ธรรมตัวใด ที่ความรู้ตัวเองมีดับไปเอง ยังรู้สึก ถึงความเกลียดเขาอยู่ตลอด เพราะต้องเจอกันทุกอาทิตย์

    ปัญหามีดังนี้คะ

    1. อยากขอคำแนะนำด้วยคะ หลังจากโต้เถียงกัน ปิติในใจได้หายไป ไม่สามารถพบความก้าวหน้าในการปฎิบัติธรรมได้อีก เพราะไม่ว่าจะใช้ไตรลักษณ์ ดับขันธ์5ข้อไหน จิตก็ไม่แสดงอาการรับรู้ ออกจากสมาธิก็ยังรู้สึกถึงความเกลียดเขาตลอดเมื่อนึกถึงเขาคะ
    ดิฉันจะใช้ ธรรมะข้อใด เพื่อจิตสามารถเกิดปัญญา ดับทุกข์นี้ อย่างที่ผ่านมาได้คะ

    2. ดิฉันไม่สามารถดับความโกรธ เกลียดในใจได้ วันนี้เลยนั่งดูจิตที่มีอาการเกลียดทั้งวันคะ ทำงานไปก็เฝ้าดูไป ดูจนถึงค่ำ ดูจนรับรู้ถึงความโกรธที่เหมือนสร้างความหนักอึ้งอย่างมากให้ใจ จนหัวค่ำ จิตก็คลาย เบาความโกรธลง แต่ยังไม่วางอุเบกขาในทันที คะ เริ่มเกิดปัญญา ว่านี่ก็คือ ไตรลักษณ์ เพราะใกล้ดับไปแล้ว อยากทราบว่า การตามดู เพราะเราไม่สามารถดับ ในทันทีแบบนี้ ถูกต้องไหมคะ(กับคนทั่วไป ดิฉันจะดับโกรธได้เร็วมากกว่านี้ บางครั้ง เห็นว่าอารมณ์โกรธเริ่มก่อตัว สามารถดับได้ทันที คะ แต่กรณีคุณพ่อ เป็นเหตุที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก มันทำความโกรธฝังตัวอยู่ตลอด พร้อมจะก่อตัวง่ายมาก แต่ง่ายช้ามากด้วยคะ)


    คำตอบ
    (๑) การโต้เถียง กล่าวคำดูถูก ความรู้สึกเกลียด ฯลฯ ผู้ที่มีอุปการะแก่ตนมาก่อน เป็นความอกตัญญูที่สามารถส่งผลวิบัติให้กับชีวิตได้ โดยเฉพาะการปฏิบัติธรรมสามารถประพฤติได้ แต่ไม่เกิดมรรคผลจากการปฏิบัติ คือเข้าไม่ถึงธรรมนั่นเอง เหตุเพราะผู้ถามปัญหาประพฤติไร้ธรรมนั่นเอง โดยมีความเกลียดชัง การกล่าววาจาดูถูก การโต้เถียง ฯลฯ เป็นมาตรวัด

    วิธีแก้ปัญหาให้หมดไป ผู้ถามปัญหาต้องประพฤติขอขมากรรม ด้วยการนำพวงมาลัยดอกไม้ขาว ไปสารภาพผิดต่อผู้มีอุปการะแก่ตนมาก่อน กระทำในวันที่เขามีสติดี มีอารมณ์ดี เมื่อใดที่ผู้มีอุปการะกล่าววาจายกโทษให้ บาปกรรมที่จะต้องได้รับก็จะหมดไป หลังจากขอขมากรรมแล้ว ต้องคุมใจตัวเองไม่ให้บาปเช่นนี้เกิดขึ้นได้อีก ด้วยเอาขันติมาคุมใจ และใช้เมตตาคือให้อภัยเป็นตัวกำจัดความโกรธไม่ให้เกิดขึ้น แล้วความเกลียดจะไม่มีผลเกิดตามมา ทำให้ได้ทุกครั้งตามที่แนะนำ แล้วผลแห่งการปฏิบัติธรรมจะกลับมาดีเหมือนเดิม

    (๒) การใช้จิตตามดูความโกรธ แล้วกิเลสใหญ่ยังไม่หายไปจากใจ แสดงว่าตามดูไม่ถูกวิธี ผู้ใดใช้จิตตามดูความโกรธว่าเป็นของไม่เที่ยง (อนิจจัง) ความโกรธมีแปรเปลี่ยนด้วยตกอยู่ภายใต้การเกิด-ดับ (ทุกขัง) และสุดท้ายความโกรธเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน (อนัตตา) แล้ว จะเห็นว่าสรรพสิ่งล้วนดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์เช่นนี้ ผู้รู้จึงไม่โง่ที่จะเอาสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนคือความโกรธมาไว้กับใจของตน ผู้รู้ปล่อยวางความโกรธแล้ว จิตจะว่างเป็นอุเบกขา เมื่อใดที่ผู้ถามปัญหาเห็นถูกตามความเป็นจริงแท้เช่นนี้ได้ ...... สาธุ
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ผมและคู่สมรสกันมีบุตรแล้ว ๑ คนเป็นเพศหญิง ผมมีอายุ ๒๙ ปีส่วนภรรยาและบุตรมีอายุ ๒๘ และ ๒ ปี ๘ เดือนตามลำดับมีอาชีพเปิดร้านค้าส่งขนาดเล็กมีเงินหมุนเวียนประมาณ ๕ ล้านบาทต่อเดือนขายสินค้าเกือบทุกชนิดเช่นเครื่องสำอาง เครื่องเขียน ของเบ็ดเตล็ดแต่มีสินค้าประเภทอบายมุขร่วมจำหน่ายอยู่ด้วยเช่น สุรา บุหรี่ ไพ่ และมีรายได้ต่อวันประมาณ ๑.๕ แสนบาทมีหนี้ OD ธนาคารอยู่ประมาณ ๖ ล้านบาทตอนนี้มีความทุกข์ใจเกี่ยวกับสินค้าที่ขายกลัวบาปแต่กลัวธุรกิจล้ม ถ้าตัดสินใจเลิกขายสินค้าอบาย แต่ในใจอยากเลิกขายมาก

    จึงอยากขอคำแนะนำจากอาจารย์ช่วยตอบคำถามของผม และผมและภรรยาได้ทำการจองตั๋วเครื่องบินเพื่อไปฟังอาจารย์บรรยายธรรม ที่โรงพยาบาลทหารเรือ ในวันที่ ๒๕ มกราคม ๕๒ แล้วหลังจากบรรยายธรรมจบกระผมใคร่ขอความอนุเคราะห์จากอาจารย์เพื่อขอคำ ปรึกษาให้กระจ่างในข้อสงสัยและการปฏิบัตรธรรมจากอาจารย์ด้วยครับ


    คำตอบ
    อาชีพที่ผู้ถามปัญหากระทำอยู่ในปัจจุบันไม่ผิดกฎหมาย แต่ผิดศีลตรงที่ขายสุรา และผิดธรรมตรงที่ขายเครื่องสำอาง ขายไพ่ ขายบุหรี่ เมื่อใดอกุศลกรรมให้ผล ความวิบัติของชีวิตย่อมเกิดขึ้น ส่งผลกระทบถึงครอบครัวและบ้านเมืองได้ หากผู้ถามปัญหายังจำเป็นต้องดำเนินธุรกิจนี้ต่อไป โดยไม่ประสงค์ให้ผลของอกุศลกรรมตามทัน ผู้ร่วมกระบวนกรรมต้องพัฒนาจิตตนเองให้เป็นผู้มีบุญส่งผลอยู่เสมอ ให้เป็นผู้มีบุญมาก บุญใหญ่ จนบาปตามให้ผลไม่ทัน จึงจะสามารถนำพาชีวิตหนีอุปสรรคและปัญหาที่เกิดจากอกุศลกรรมที่กระทำได้
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    1,ทุกวันนี้ โมโหเคียดแค้นมากเลยค่ะ เพราะทำงานไม่ได้สำเร็จอย่างที่ใจวาดไว้ หนูประเมินตนเองไว้สูงมากเลยค่ะ และที่ต้องทำให้ได้เพราะจะให้คนเห็นว่าเก่ง เพื่อให้คนยอมรับ หนูตาบอดจากความคิดที่ว่าการทำงานทำไปเพื่ออะไร หลายทีก็อาย เพราะทำไม่ได้อย่างพูด หรือกลัวจะทำไม่ได้ ความกลัวทำให้ทำไม่ได้ไปเลยจริงๆ รู้สึกโง่ทึ่มมาก และกลัวคนมองไม่ดี ถึงจะเปลี่ยนคนไม่ได้ก็เหอะ และก็อับอายมากเลยค่ะอาจารย์ คืนนี้นอนไม่ลง เพราะจะทำงานชิ้นนี้ให้เสร็จให้ได้ และก็ทุกข์ใจด้วยเพราะคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ และหนูก็เกลียดตัวเองมากด้วย เกลียดทุกสิ่งที่ทำให้คิดแบบนี้ หนูพอจะทำอะไรได้บ้างค่ะอาจารย์ตอนนี้

    2. เกิดความคิดอยากให้คนกลุ่มหนึ่งหายไปจากโลกด้วยค่ะเพราะความอายมาก เกลียดตัวเองสุดๆ ทนไม่ได้ พูดนี่ก็ไม่หายทุกข์เลยค่ะ ยิ่งไม่นอนยิ่งเคียดแค้นจนจะคับอกอยู่แล้ว ถามว่าทำยังงัยจึงจะเลิกคิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองและกลัวคนอื่นจะเด่นจะดี กว่าได้


    คำตอบ
    ผู้มีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) ย่อมมีความผิดพลาดในการทำงาน มีความผิดพลาดในการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นธรรมดาของผู้มีความเห็นเช่นนั้น ทุกคนที่เกิดมาและยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ต้องการความสะดวกสบาย ต้องการความสำเร็จในการทำงาน ต้องการความสุข จะเป็นเช่นนี้ได้ ต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้มีความเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต่างสำเร็จด้วยใจ (มโนมยา)

    ขออภัยผู้ถามปัญหายังมีความเห็นผิด พฤติกรรม (คิด พูด ทำ) ที่ติดลบจึงเกิดขึ้น ซึ่งผู้รู้สามารถวัดได้ หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะให้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของตัวเองสำเร็จ ด้วยดี ต้องเปลี่ยนความเห็นที่ผิด ให้กลับมามีความเห็นถูกให้ได้ก่อน แล้วใช้ความเห็นถูกส่องนำทางให้กับการทำงานและการดำเนินชีวิต ซึ่งการพัฒนาปัญญาเห็นถูก สามารถทำได้สองแนวทาง คือ

    ๑. ฟังผู้รู้บอกกล่าว แล้วทำตามคำชี้นำ ความเห็นถูกในทางโลกจึงจะเกิดขึ้นได้ ผู้รู้บอกว่า คนเก่งคือคนที่มีความรู้และมีความสามารถ คือรู้ในทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำและต้องทำงานเป็น มีทัศนคติในการทำงานถูกต้อง คือทำงานเพื่อเรียนรู้คนเพื่อเรียนรู้งาน ทำงานเพื่องาน ทำงานด้วยวิธีการอันเลิศโดยไม่หวังผลเลิศ มีจิตไม่เป็นทาสของผลงาน ฯลฯ และทำงานได้เป็นผลสำเร็จ ด้วยการใช้อิทธิบาท ๔ เป็นตัวสนับสนุน คือทำงานด้วยใจรัก (ฉันทะ) ทำงานด้วยความพากเพียร (วิริยะ) ทำงานด้วยใจจดจ่อ (จิตตะ) ใช้ปัญญาไต่สวนงานที่ทำ (วิมังสา) ทำงานได้แล้วเสร็จทันเวลา ด้วยการเว้นจากอบายมุข ๖ และสุดท้ายผลงานเข้าตาเจ้านาย เข้าตาผู้ใช้บริการ เป็นที่เรียกหาเรียกใช้อยู่เสมอ

    ๒. นำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงแท้ เมื่อใดที่เข้าถึงปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้แล้ว ชีวิตจะมีแต่ความดีงาม ความคิดและการกระทำที่ทำให้จิตเศร้าหมอง เช่น เห็นว่าตัวเองเก่ง ต้องการให้คนอื่นยอมรับ ความคิดที่จะทำให้คนกลุ่มหนึ่งหายไปจากโลก ใจที่เกลียดชังตัวเอง ฯลฯ ต่างๆเหล่านี้เป็นความทุกข์ จะอันตรธานหายไปจากใจ แล้วเกิดสิ่งดีงาม (คุณธรรม) เข้ามาแทนที่
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    1.ทำไมคนที่ยังไม่ถึงอายุขัยถึงสามารถตายได้ แล้วกลายเป็นวิญญานเร่ร่อนอยู่ที่ตรงนั้น เช่นถูกรถชนตาย เป็นความประมาทของคนขับ หรือความประมาทของคนเดินถนน หรือสัมพเวสีบังตาคนขับ หรืออีกกรณีหนึ่งเช่นตกน้ำตายโดยที่ยังไม่ถึงอายุขัย ถ้าเราประมาทก็ตายได้ใข่ไหมครับ หรือสัมพเวสีสามารถฉุดเราให้จมน้ำตายตามเขาได้หรือครับ

    2.ถ้าสัมพเวสีทำให้เราตายได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ เช่น พระเครื่อง หรือ เครื่องรางของขลัง สามารถช่วยเหลือป้องกันเราได้ไหมครับ

    3.มีเพื่อนสามารถสัมผัสกระแสพุทธคุณของพระเครื่อง สามารถบอกได้องค์ไหนมีกระแสแรง องค์ไหนกระแสอ่อน องค์ไหนเด่นทางด้านบารมี ทางด้านเมตตา หรือทางด้านคุ้มครอง เรียนถามอาจารย์ว่าเป็นเรื่องจริงไหมครับ

    4.ผมได้พระบรมสารีริกธาตุมาจาก 2 แห่ง คือ วัดสังฆทาน และ ชมรมรักษ์พระบรมธาตุ เรียนถามอาจารย์ว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าจริง ๆ หรือไม่ครับ ถ้าใช่ของจริง ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีบุญวาสนาขนาดนี้

    กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง


    คำตอบ
    (๑) ผู้รู้ไม่สงสัยในกฎแห่งกรรมที่พระพุทธะตรัสไว้ เรื่องที่ถามไปมีเหตุมาจาก ผู้ที่จำเป็นต้องตายก่อนครบอายุขัยได้ประพฤติกรรมตัดรอน (อุปฆาตกรรม) ไว้ก่อน เมื่อกรรมให้ผล การตายก่อนครบอายุขัยจึงได้เกิดขึ้น

    (๒) เหตุแท้จริงที่ทำให้ต้องตายก่อนครบอายุขัย มิได้เนื่องมาจากการกระทำของสัมภเวสี ดังนั้นจึงไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ใด จะให้ผลยิ่งไปกว่าความศักดิ์สิทธิ์ของแรงกรรมที่บุคคลได้กระทำไว้ก่อนแล้ว

    (๓) จริงสำหรับผู้ที่มีความเห็นผิดไปจากธรรมของพระพุทธะ ผู้ตอบปัญหาเชื่อในพุทธวจนะที่ว่า “ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ” นั้นเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ซึ่งผู้ตอบปัญหาได้พิสูจน์แล้วว่า พุทธวจนะนั้นเป็นหนึ่งไม่มีสอง จึงมิได้แสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใด มาคุ้มชีวิตตนเองมิให้วิบัติ แต่แสวงหาธรรมมาคุ้มใจ เอาธรรมมาสถิตอยู่กับใจ แล้วความสวัสดีของชีวิตจึงได้เกิดขึ้น

    (๔) ภาพที่ส่งไปให้ดูนั้น มิใช่ของจริง แต่เป็นฉายาของพระบรมสารีริกธาตุ

    คำว่า “ พระบรมธาตุ ” หรือ “ พระบรมสารีริกธาตุ ” หมายถึงกระดูกของพระพุทธเจ้า ส่วนคำว่า “ พระธาตุ ” หมายถึงกระดูกของพระอรหันต์ อนึ่ง ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ประกอบขึ้นเป็นร่างกาย หากถูกไฟเผาแล้วยังปรากฏให้เป็นเป็นของแข็งเหลืออยู่ ก็สามารถเรียกว่าเป็นพระบรมธาตุหรือพระธาตุได้ (ความเห็นของผู้ตอบปัญหา)
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ผมทำงานบริษัทและไม่แน่ใจว่าผมจะทำงานที่บริษัทนี้ได้นานเท่าไหร่ เนื่องจากไม่ใช่งานส่วนที่ถนัด และที่สำคัญผมอยู่ในดงสารเคมี ผมเป็นผู้ดูแลครอบครัวมีรายได้คนเดียว ทุกคนต้องพึ่งผม คือแม่ ภรรยา ลูกสาว และหลานสาว ป.6

    ผมจึงมองหาอาชีพต่อไปที่จะต้องทำ ที่สะดวกในการย้ายถิ่นฐาน ผมจึงได้มองด้านการลงทุนเป็นอาชีพถัดไปผมเริ่มด้วยการเล่นหุ้น เมื่อห้าปีที่แล้ว แต่ได้ขาดทุนมาตลอดราวๆสี่แสน จนได้เรียนรู้ว่าเราลงทุนผิดวิธี เล่นจนกลายเป็นการพนัน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาทุกข์ใจอะไร ปัจจุบันผมได้เรียนด้านการลงทุนอย่างจริงจัง กับชมรมหนึ่ง ซึ่งจะเน้นเรื่องความพอเพียง เน้นการทำบุญ และการปฏิบัติธรรม พอดีท่านอาจารย์บอกว่าการเล่นหุ้นมันเป็นอบาย

    ผมเป็นคนหนึ่งที่ฝักใฝ่การปฏิบัติธรรม พยายามที่จะรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์ แม้จะพ่ายแพ้มาหลายครั้ง แต่ก็จะพยายามต่อไป ผมลงทุนในสัญญาล่วงหน้า สินค้าเกษตร ยางพารา ข้าว และ SET50 ผมเป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่ไม่ได้ไปทำให้ราคาขึ้นหรือลง ไม่ได้ใช่เล่ห์ เพทุบาย เจตนาก็มิได้ จะคดโกง ลักทรัพย์ ผมถือว่าผู้ที่มาลงทุนพึงรับความเสี่ยงของตัวเอง การลงทุนทุกคนย่อมต้องการกำไร และทุกคนก็มีสิทธิ์ขาดทุน ผมได้พยายามเปลี่ยนรูปแบบการพนัน เมาป็นรูปแบบการลงทุนที่มีระบบเช่น money management ใช้ระบบที่แน่นอนในการลงทุน ผมจึงสัยว่าทำไม มันยังเป็นทางสู่อบาย แล้วผมต้องลงทุนแบบไหนจึงจะถูกต้อง ผมไม่สามารถล่วงรู้อนาคตว่าผมจะไปทำอาชีพอะไรต่อไปจึงจะสามารถเลี้ยงครอบ ครัวได้ ผมมองการลงทุนสัญญาล่วงหน้านี้น่าจะเป็นอาชีพที่บริสุทธิ์ได้ ผมปฏิญาณตน เป็นผู้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา บำเพ็ญบารมี แม้ชาตินี้จะทำได้นิดๆหน่อย ผมก็ยังจะทำต่อไป ผมอยากช่วยคนมากๆ เหมือนท่านอาจารย์ แต่คุณสมบัติผมคงไม่เพียงพอ ใจผมยังไม่บริสุทธิพอ เรื่องการทำบุญแผ่กุศลก็ทำอยู่เรื่อยๆ

    อยากให้ท่านอาจารย์ช่วยตอบผมไม่สบายใจเรื่อง ศีลข้อ 2 นี้มาก ผมเคยรู้ว่าบาปบุญจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเจตนา ถ้าเราเจาะลึกในอาชีพต่างๆ ของพนักงานบริษัท ของเสียหรือการแข่งขันกันทางธุรกิจ ย่อมส่งผลกระทบในทางไม่ดีต่อคนอื่นๆแทบทั้งนั้น ทุกคนก็มีแต่บาปติดตัว ผมขอคำแนะนำด้วยครับ


    คำตอบ
    คำว่า “ ระบบ ” หากหมายถึง การรวมสิ่งต่างๆที่ซับซ้อนให้เข้ามาอยู่ในแนวเดียวกันอย่างมีเหตุผล

    การลงทุนที่มีระบบแน่นอน มีเจตนาให้ได้มาซึ่งสิ่งตอบแทนที่มาก จนทำให้ผู้มาใช้บริการหรือจำเป็นต้องใช้บริการ ถูกเบียดเบียนหรือเกิดเป็นความเดือดร้อน การลงทุนฯ แบบนี้ยังถือได้ว่า เป็นการสร้างบาปกับผู้ลงทุน เพราะมีส่วนร่วมในการเบียดเบียนนั้น

    อาชีพ คือ กิจการงานที่ประกอบเพื่อเลี้ยงชีวิต อาชีพบริสุทธิ์ในทางโลกคือ กิจการงานที่ทำเลี้ยงชีวิตไม่ผิดกฎหมาย เช่น ค้าขายอุปกรณ์ตกปลา ค้าขายสุรา ค้าขายล๊อตเตอรี่ ฯลฯ แต่ในทางธรรมอาชีพบริสุทธิ์คือ กิจการงานที่ทำเลี้ยงชีวิต ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล และไม่ผิดธรรม เช่น ลงทุนที่มีระบบแน่นอน หากมีผลไปเบียดเบียนให้ทรัพย์ของผู้อื่นต้องเดือดร้อน ถือว่ายังผิดศีลข้อ ๒ ได้
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ปัจจุบันหวังพุทธภูมิ
    1.เมื่อช่วงวัยเด็ก จนถึง อายุประมาณ 25 ปี เคยทำกรรมใหญ่ไว้ เช่น ฆ่าสัตว์ เช่น แมว จิ้งจก แมลงสาบ อื่นๆอีกเป็นจำนวนมาก ด้วยโทสะบ้าง ด้วยหลงผิดบ้าง(หลงผิดคิดว่าเป็นการปลดปล่อยจากอัตภาพนี้ ไปสู่อัตภาพอื่นที่ดีกว่า) เคยทำให้พ่อแม่เสียใจจนนับเรื่องแทบไม่ถูก ตอนช่วงที่ฆ่าสัตว์มากๆ ได้ถูกกรรมตามสนอง แต่รอดมาได้(โดนรถเมล์เฉี่ยว รถเมล์วิ่งฝ่าไฟแดง โดนเฉี่ยวที่ขา เพราะวิ่งข้ามถนน กระเด็นไปหลายเมตร แต่มีบาดแผลแค่ศรีษะถลอก) อยากรู้ว่าทำไมถึงรอดมาได้ หรือเพราะเจ้ากรรมนายเวรให้โอกาศ

    2.ปัจจุบันสำนึกได้แล้ว พยายามศึกษาธรรมะ ตั้งหน้าทำบุญทำกุศล จนปัจจุบัน รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ปราถนาพุทธภูมิ บาปกรรมที่ทำมา และหนี้บุญคุณที่มี อยากจะชดใช้ และช่วยเหลือเกื้อกูลทั้งตัวเองและผู้อื่นให้พ้นจากภัยในสังสารวัฎนี้ อยากเรียนถามอาจารย์ว่าควรทำเช่นไร ให้จิตมั่นคง แน่วแน่ ไม่ท้อ ไม่ถอย กล้าหาญ ไม่ว่าต้องเผชิ่ญทุกข์สักปานใด ก็จะไม่ถอยจิตจากความปราถนาโพธิญาณอย่างเด็ดขาด ทุกภพ ทุกชาติ จนกว่าจะสำเร็จพระโพธิญาณ ช่วยเหลือสรรพสัตว์ตามที่ตั้งใจไว้

    3.เคยมีประสบการณ์ทางจิตตอนเด็กๆ ประมาณ 3 ครั้ง ครั้งแรก ตอนประมาณอนุบาลหรือประถมต้น(ไม่ค่อยแน่ใจ) กำลังยืนรอน้องอยู่หน้าชั้นเรียน อยู่ๆบังเกิดความเย็นอย่างประหลาด เป็นความเย็นที่รู้สีกเป็นสุขอย่างมาก เหมือนมีตาน้ำพุ อยู่ในหัว หลั่งไหลออกมา รู้สึกได้สักแป็ปนึง จนรู้สึกว่าเผลอยิ้มออกมา แล้วความรู้สึกนั้นก็หายไป ครั้งที่สอง ตอนใส่บาตร เป็นครั้งแรก รู้สึกเย็นอย่างเป็นสุข โปร่ง โล่ง มีความสุขมาก ครั้งที่สาม ตอนวิ่งกลับบ้านจากโรงเรียน รู้สึกเหนื่อยเลยพยายามหายใจเป็นจังหวะ อยู่ๆรู้สึกตัวลอยเหมือนกำลังจะบินขึ้นไป พอตกใจ ก็รู้สึกวูบกลับมาอยู่บนพื้นเหมือนเดิม

    ประสบการณ์ทั้ง 3 ครั้ง เป็นประสบการณ์ก่อนที่จะเริ่มฆ่าสัตว์กระทำกรรมชั่วทั้งหลาย หลังจากนั้น จนปัจจุบันนี้ ไม่เคยได้สัมผัสประสบการณ์นั้นอีกเลย อยากทราบว่าเป็นเพราะอกุศลกรรมที่ทำปิดกั้นไว้ใช่หรือไม่ ถ้าใช่จะทำเช่นไร เพราะปัจจุบันเวลาเจริญภาวนา รู้สึกไม่มีความก้าวหน้าเลย จิตยังคงฟุ้ง หรือพอรู้สึกว่าเริ่มสงบๆ แต่ก็ได้แป๊ปเดียวเท่านั้น



    คำตอบ
    (1) ผู้ใดนำพาชีวิตไปในเส้นทางพุทธภูมิ ผู้นั้นได้ชื่อว่า โพธิสัตว์ สิ่งที่บอกเล่าไปจึงเป็นเรื่องปกติของผู้เดินในเส้นทางนี้ ทั้งนี้เพราะผู้เป็นโพธิสัตว์ จำเป็นต้องรู้และมีประสบการณ์ทั้งดีและชั่ว เพื่อให้ชีวิตได้เรียนรู้ให้ครบถ้วน เหตุเพราะเมื่อใดที่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธะแล้ว ต้องมีความเป็นสัพพัญญู คือ รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง จึงจะสามารถสอนพุทธบริษัทและพุทธสาวก ให้พ้นจากความทุกข์ได้

    การที่ผู้ถามปัญหาต้องรับอกุศลวิบาก ถูกรถเมล์เฉี่ยวชนและรอดชีวิตมาได้เป็นเพราะ แรงกรรมที่เกิดจากการจองเวรของสัตว์ที่เคยถูกประทุษร้ายมาก่อนให้ผล และไม่ใช่การจองเวรจากสัตว์ที่ถูกฆ่า

    (2) ผู้ใดปรารถนาพุทธภูมิ ต้องประพฤติตนตามแบบอย่างของพระเจ้าพี่นางเธอฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หรือตามแนวทางของพระเจ้าอยู่หัว

    การคิดช่วยเหลือตัวเองและผู้อื่นให้พ้นจากภัยใน วัฏสงสารสามารถคิดได้ แต่ยังมิใช่ปฏิปทาของพระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ตรงกันข้ามพุทธสาวกที่สามารถพัฒนาจิตตนเองพ้นจากอวิชชาได้แล้ว จึงจะมีความคิดแล้วทำตามความคิดนี้ได้

    ผู้ถามปัญหาประสงค์บรรลุโพธิญาณ ต้องมีสัจจะไม่ชิงลงพุทธภูมิจนกว่าจะบำเพ็ญบารมีทั้งสิบอย่างจนครบทั้งสาม ระดับ คือ บารมีธรรมดา อุปบารมี และปรมัตถบารมี การช่วยเหลือบุคคลผู้ควรแนะนำสั่งสอนได้ (เวไนยบุคคล) จึงจะสำเร็จสมดังที่ตั้งปรารถนาได้

    (3) ตอบว่าใช่ หากผู้ถามปัญหาประสงค์ความก้าวหน้าในการเจริญจิตตภาวนา ต้องรักษาศีลอย่างน้อยห้าข้อให้ครบและบริสุทธิ์ และเอาศีลลงคุมที่ใจ
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ผมมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องเพศที่สามครับ ปัจจุบันนี้ผมเป็นเกย์ และทราบว่าไม่มีโอกาสบรรลุธรรมชั้นสูงในชาตินี้ และไม่ควรบวชด้วยเช่นกัน แต่อยากทราบว่า หากผมปฏิบัติธรรม ฝึกวิปัสนา ผมจะสามารถพัฒนาสมาธิญาณให้ก้าวหน้าได้หรือไม่และจะตันอยู่ที่ไหน หรือไม่มีโอกาสในการพัฒนาจิตให้ก้าวหน้าได้เลย

    ขอบคุณครับ


    คำตอบ
    ผู้ใดประพฤติธรรมได้ถูกตรงตามธรรม ย่อมบรรลุธรรมที่ประพฤติได้ตามสมควรแก่วาสนาบารมี การปฏิบัติธรรมมีอยู่ ๒ แนวทางคือ

    ๑. ทำจิตให้สงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ (สมถภาวนา) ต้องพัฒนาจิตให้เข้าถึงความตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ทั้งนี้จะประพฤติได้ต้องมีศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย ลงคุมใจ คำว่า “ มีศีล ไม่ขาด ไม่ทะลุ ” หมายถึง มีศีล ๕ อยู่ครบทุกขณะตื่น และคำว่า “ มีศีล ไม่ด่าง ไม่พร้อย “ หมายถึง มีศีล ๕ บริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งเศร้าหมอง (กิเลส) เจือปน หากเป็นได้ดั่งนี้แล้ว จึงจะเป็นศีลที่นำไปสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิของจิต

    ๒. ทำจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนาภาวนา) จะเกิดได้ต้องนำจิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ ไปพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม จนเห็นตามความเป็นจริงว่า รูปธรรมและนามธรรมดังกล่าว ตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ ปัญญาเห็นแจ้งจึงจะเกิดขึ้นได้

    ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์ จะให้เกิดผลก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม ต้องประพฤติตามข้อ ๑. ให้ได้ก่อน แล้วจึงประพฤติตามข้อ ๒. การพัฒนาสมาธิ การพัฒนาญาณให้ก้าวหน้าจึงจะเกิดได้
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ข้าพเจ้าขอสอบถามปัญหาที่ข้าพเจ้าพบดังนี้ค่ะ ในขณะนั่งสมาธิ ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนกับมีการแยกของกายและจิต ออกเป็นส่วนต่างกัน ในหลายๆครั้งเกิดความรู้สึกว่าขณะปฏิบัติร่างกายที่นั่งอยู่ขณะนี้ไม่ใช่ของ เรา โดยจะมีจิตที่คอยดูร่างกายนี้อยู่ ซึ่งในบ้างครั้งนั้นสามารถนั่งได้ประมาณ 1.30-2 ชั่วโมงกว่า ถ้าไม่มีเหตุการณ์ภายนอกมากระทบ(เช่น ฝนตกแล้วจะเปียก เนื่องจากนั่งในที่โล่ง) ก็สามารถนั่งต่อได้อีกค่ะ ในขณะนั่งนั้นมีบ้างช่วงปวดเมื่อยขาก็ตามดูจนอากาศนั้นลดลงและไม่ปวดอีก ซึ่งทำให้ข้าพเจ้านั่งได้นาน โดยจิตมีการเคลื่อนไหวอยู่ภายในกาย โดยการนั่งนั้นยังสามารถรับรู้สิ่งภายนอกอยู่ โดยนำมาพิจารณาแต่ไม่มีเหตุที่สำคัญที่ต้องทำให้ออกจากสมาธิ เช่น ได้ยินเสียงคนพูดคุย ส่วนเหตุที่ต้องออกสมาธิเป็นเหตุการณ์สำคัญเช่น ฝนตกแล้วจะเปียกเป็นต้นค่ะ

    ขอรบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยนะคะ ที่ข้าพเจ้าปฏิบัติมานั้นเป็นทางที่ถูกต้องหรือไม่ค่ะ ถ้าไม่ถูกต้องจะแก้ไขได้อย่างไรค่ะ ถ้าถูกต้องแล้วจะได้ปฏิบัติต่อไปค่ะ

    ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ


    คำตอบ
    ที่บอกเล่าไปเป็นปฏิปทาที่ดำเนินมาถูกทางแล้ว การเห็นด้วยจิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ ว่ากายไม่ใช่ของเรา อาการปวดเมื่อยที่ขา (ทุกขเวทนา) ดับไปตามกฎไตรลักษณ์ หรือเห็นจิตเคลื่อนไหวอยู่ในกาย ฯลฯ เป็นผลทำให้จิตเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง เห็นถูกตรงตามธรรมที่เป็นจริง ............ สาธุ สิ่งที่ต้องปฏิบัติต่อไปคือ ทุกผัสสะที่เกิดขึ้นกับจิต ต้องใช้จิตตามดูจนเห็นว่า ทุกผัสสะล้วนจบลงที่ความเป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวตน นี่แหละคือสิ่งที่พระอัสสชิ กล่าวกับอุปติสสะ (พระสารีบุตร) ว่า “ ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ ตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และตรัสถึงความดับ (อนัตตา) ไว้ด้วย พระศาสดามีปกติตรัสเช่นนี้ ”
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ผมมักฟุ้งซ่านชอบคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ เช่นถ้าผมทำอย่างนี้ได้หรือเป็นไปตามที่ผมคิดผมจะบวชหรือมีกรณีอื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมากๆก็ชอบคิดทำนองนี้ครับ แต่ขณะคิดนั้นไม่ได้ตั้งใจคิดจิตมันแวบไปเองบางทีก็เกิดขึ้นตอนกึ่งหลับกึ่ง ตื่น โดยตอนคิดนั้นไม่ได้นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธ์ใดๆเลย และบางทีผมไม่มีสติจดจ่อ ณ ขณะนั้นด้วยครับและพยายามบอกตัวเอง ณ ขณะนั้นว่าอย่าคิดแบบนี้ อยากขอเรียนถามท่านอาจารย์ ดังนี้ครับ

    1. ที่ผมกล่าวมานี้เป็นเหมือนกับการบนบานหรือไม่ครับ
    2. ต่อจากคำถามที่ 1 ถ้าใช่การบนบานผมสามารถถอนหรือแก้ไขอย่างไรได้บ้างครับ เพราะบางอย่างที่คิดไปมันเยอะแยะฟุ้งซ่านไปหมดครับ
    - ถ้าแก้ไม่ได้จริงๆอย่างที่บอกว่าบวชถ้าผมบวชแบบนุ่งขาวห่มขาว จะถือว่าใช้ได้หรือเปล่าครับเพราะไม่ได้เจาะจงบวชแบบไหน
    3. จะมีผลเสียอย่างไรบ้างหากผมไม่ได้กระทำในสิ่งที่คิดไปอย่างนั้นครับ
    4. มีวิธีแก้ไขการฟุ้งซ่านแบบนี้อย่างไรบ้างครับ

    สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณในความกรุณาของท่านอาจารย์ครับ
    และถ้าหากกระผมทำผิดพลาดพลั้งไปด้วยกาย วาจา ใจ ต่อหน้าหรือลับหลังก็ดีกระผมขอขมาท่านอาจารย์มา ณ ที่นี้ด้วยครับ


    คำตอบ
    (1) ไม่ใช่เป็นการบนบาน แต่เป็นวิตกจริตที่มีอยู่ในจิตของผู้ถามปัญหา

    (2) ตอบซ้ำอีกครั้งว่าไม่ใช่การบนบาน และสำหรับผู้รู้แล้วไม่มีอะไรที่แก้ไขไม่ได้ ฉะนั้นปัญหาที่ถามจึงเป็นโมฆะ

    (3) ผลเสียของคนที่มีกำลังสติอ่อน คือ จิตรับสิ่งกระทบต่างๆภายนอกมาปรุงอารมณ์ได้ง่าย สิ่งกระทบไม่ดีทำให้เกิดอารมณ์ติดลบขึ้นแล้ว บาปย่อมถูกเก็บสั่งสมอยู่ในจิตได้ง่าย

    (4) ทุกสิ่งแก้ไขได้ หากพบเหตุที่แท้จริงแล้วดับเหตุนั้น หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะแก้ไข ต้องพัฒนาจิตตนเองให้มีกำลังของสติกล้าแข็ง ด้วยการเพ่งกสิณ หรือเจริญอานาปานสติ โดยมีความเพียรและสัจจะเป็นแรงสนับสนุน จะบวชแบบใดหรือไม่บวช ย่อมประพฤติได้ทั้งสองแบบ
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ข้าพเจ้าขอสอบถามปัญหาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องดูแลพ่อซึ่งอยู่คนเดียวซึ่งข้าพเจ้าก็มีครอบครัวแต่ยังไม่มีลูก คะ และพ่อไม่ได้ทำงานข้าพเจ้าส่งเงินให้ท่านทุกเดือน สิ้นเดือนก็ซื้อข้าวของให้ทุกเดือน ข้าพเจ้ารักพ่อมากคะ อยากได้อะไรก็หาให้หมดคะ แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าพ่อของข้าพเจ้าใช้เงินที่ข้าให้ไม่เคยพอ ต้องขอเพิ่มทุกเดือนและข้าพเจ้าต้องให้เงินเกินกว่ากำหนดทุกเดือนบางเดือนก็ เกือบหมื่น ซึ่งเงินที่พ่อใช้ไปก็จะเอาไปเล่นบอลหรือหวย เล่นไพ่ เอาไปทำอย่างอื่นที่อาจไม่ดี ข้าพเจ้าก็บอกพ่อว่าอย่าเล่นได้ไหมมันไม่ดีการพนัน ท่านไม่เชื่อคะ แต่ข้าพเจ้าจะห้ามใจตัวเองอย่างไรคะ ที่จะไม่ให้เงินพ่อที่ขอเกินกว่าที่ให้ไปทำอย่างอื่น เพราะถ้าจะไม่ให้เขาพ่อก็จะโกรธ เวลาโทรไปก็พูดไมดีคะ ข้าพเจ้าลำบากใจมาก บางครั้งก็ร้องให้ไม่อยากให้พ่อโกรธ ใจก็อยากให้แต่อีกใจไม่อยากให้ท่าน จึงขออยากถามท่านว่า
    1. การที่ไม่ให้เงินพ่อเมื่อท่านต้องการจะบาปไหมคะ
    2. การที่ให้เงินท่านไปทำเรื่องไม่ดีข้าพเจ้าจะบาปด้วยไหม เหมือนสนับสนุน
    3. การที่ดัดนิสัยท่านบาปไหมคะ ถ้าจะทำให้ท่านโกรธคะ

    ขอบพระคุณท่านมากคะ


    คำตอบ
    (1) ไม่เป็นบาป

    (2) หากรู้ว่าเงินที่ให้ไปนั้น ได้ถูกนำไปใช้ในทางที่เป็นอบายมุข ผู้ให้เงินต้องมีส่วนได้รับบาปนั้นด้วย

    (3) การไม่เห็นดีด้วย หรือการไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในอกุศลกรรมของผู้ใด ไม่ถือว่าเป็นบาป
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    กระผมเป็นคนนึงที่ศรัทธาในตัวอาจารย์มากและอยากจะปฎิบัติ ฝึกจิตให้นิ่งตามที่อาจารย์บรรยายสั่งสอนแต่ด้วยยังมีเรื่องทางโลกอยู่อีก ที่ต้องยุ่งเกี่ยวอยู่กับคน กับเงิน กับใจ กับกิเลสตัณหา อวิชชา ของตัวอง ก็พยายามที่จะฝึกจิตเท่าที่จะทำได้ตามเหตุปัจจัย จึงได้มีคำถามเพื่อนำมาพัฒนาปัญญาและตอบข้อสงสัยในตัวเองดังนี้ครับ

    1. ตอนนี้เริ่มฝึกมาได้สักระยะนึงแล้วครับรู้สึกว่าจิตเริ่มสงบได้บ้างแต่ยัง สงบบ้างฟุ้งซ่านก็มีเยอะ ถามว่าเรามีเวลาสักเท่าไรถึงจะทำให้จิตสงบและนิ่งให้มากกว่านี้ครับ

    2. บางครั้งรู้สึกว่างานที่ทำมันไม่ถูกต้อง มันยุ่งและวุ่นวาย อยากจะหนีไปหาที่สงบๆ ไม่ทราบว่าท่าน อาจารย์มีข้อควรแนะนำอย่างไรบ้าง

    3. อยากลาออกจากงานไปบวช/ปฏิบัติธรรมตลอดชีวิต (แต่ยังมีความกลัวอยู่ว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ และยังห่วงพ่อกับแม่ที่ยังใช้ชีวิตที่ยังห่างไกลจากธรรมะห่วงท่านว่าหลังจาก ที่ท่านทิ้งขันธ์นี้ไป) ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์มีวิธีการเช่นไรแนะนำคนโง่ด้วยครับ

    4. ไม่ทราบว่าเรื่องของการมี องค์เทพ มาคุ้มครองตัวมนุษย์ มีจริงแท้อย่างไรครับ

    5. เพื่อนของผมได้โทรไปหาหมอดูคนนึง หมอดูบอกว่าตัวเขามีองค์เทพพญานาค และ องค์อื่นๆอีก และแนะให้เขาจัดพิธีบวงสรวงองค์เทพ ปีละครั้ง และควรจะระลึกบูชาองค์เทพเหล่านั้นอยู่เสมอๆเพราะว่าท่านคอยปกปักรักษาคุ้ม ครองตัวเรามาโดยตลอด และตัวเพื่อนก็ได้จัดพิธีบวงสรวงองค์เทพ ณ ศาลพระภูมิที่บ้านโดยจัดหาเครื่องบวงสรวงผลไม้อาหารคาวหวาน(แบบไม่มีเนื้อ สัตว์) นุ่งขาวห่มขาว กันทั้งครอบครัวรวมถึงตัวข้าพเจ้าก็เข้าร่วมด้วย ไม่ทราบว่าเป็นการกระทำที่อยู่ในภาวะ หลง หรือถูกผิดหรือไม่อย่างไรขออาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยครับ

    6. ผมได้ฟังการบรรยายของ อาจารย์ ผ่านทาง web site กัลยาณธรรม และเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ดีและน่าจะถูกต้องตามหลักคำสอนของพุทธศาสนาจึงได้ มั่นใจที่ประฏิบัติตามคำบรรยายของอาจารย์ แต่คำถามคือว่าผมได้นำสิ่งที่ได้รับมาไปบอกกับเพื่อนใกล้ตัวให้เขาเริ่มทำ ตามอย่างที่ผมได้รับฟังมาแต่เขาก็ทำตามแต่ ยังยุ่งอยู่กับเรื่องทางโลก/ในชีวิตประจำวันของเขาอยู่อีกมาก ทำให้ผมรู้สึกว่าเราไปยัดเยียดอะไรให้เขาหรือป่าว เราจะเป็นบาปไหมครับ

    7. ตอนเป็นเด็กเราทำบาปไว้มาก เช่นฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เบียดเบียนสัตว์ ลักขโมยเงินของตา ไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไรได้บ้างในตอนนี้ และถ้าเราบำเพ็ญฝึกภาวนา แล้วอุทิศให้เหล่าสรรพสัตว์ บรรพบุรุษ เจ้ากรรมนายเวร ที่เราเคยล่วงเกินท่านไว้ไม้ทราบว่าเขาจะได้รับหรือไม่และเขาจะอโหสิกรรมให้ เราหรือเปล่าครับ

    8. วิธีที่จะระงับ/ลด/กำจัด ความโมโห โทสะ ใจร้อน ของตัวเองได้อย่างไรบ้างครับ

    **กิจอันใดอันประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่ข้าพเจ้าทำแล้วเกิดเป็นบุญกุศลบารมีเกิดขึ้นผมขออุทิศแผ่ให้แก่สรรพสัตว์ ทั้งหลายที่อยู่ใน 31 ภูมิ ในวัฏฏะนี้ อันได้แก่เจ้ากรรมนายเวร บิดามารดา ญาติมิตร ศัตรู ครูบาอาจารย์ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน เทพเทวา พรหม ทั้งหลายทั้งที่มีชีวิตอยูและเสียชีวิตไปแล้วไม่ว่าท่านจะอยู่ภพไหนภูมิใดขอ ให้ได้รับทุกสรรพสัตว์เทอญ และหากกิจอันใดที่กระทำแล้วทำความทุกข์ให้แก่ใคร ผู้ใด ข้าพเจ้าขออโหสิกรรม อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย...สาธุ

    ด้วยความเคารพและนอบน้อมอย่างสูง


    คำตอบ
    (๑) เรื่องเวลายังไม่สำคัญเท่ากับต้องมีศีล ๕ ครบถ้วนและบริสุทธิ์คุมใจให้ได้ก่อน แล้วการฝึกจิตให้สงบตั้งมั่นเป็นสมาธิย่อมเกิดขึ้นได้ไม่ยากนัก

    (๒) แนะนำว่า ชีวิตมีงานใหญ่ให้ทำอยู่สองงานคือ งานที่ทำให้กับสังคมส่วนรวม กับงานพัฒนาจิตตนเอง เพื่อเตรียมปัจจัยเดินทางในชีวิตหน้า ฉะนั้นพึงแบ่งเวลาให้กับงานทั้งสองและทำให้ดีที่สุดเท่าที่เวลาอำนวยให้

    (๓) สิ่งที่ทิ้งไม่ได้คือ พ่อแม่ ผู้มีอุปการะต่อลูกมาก่อน จึงต้องประพฤติจริยธรรมของลูกให้ครบถ้วน แล้วความกตัญญูฯ ก็จะเกิดขึ้น ผู้ใดกตัญญูฯ ต่อผู้มีอุปการคุณ ผู้นั้นประสบความสำเร็จในการทำงานและความสำเร็จในการดำเนินชีวิตได้ง่าย

    (๔) ผู้ใดประพฤติ กาย วาจา ใจ ให้เป็นผู้มีศีล มีธรรมคุ้มครอง ผู้นั้นย่อมมีเทวดาคุ้มรักษา ทำไมไม่ลองพิสูจน์ดูด้วยตัวเองล่ะ

    (๕) เป็นความเห็นถูกของผู้แนะนำให้ทำเช่นนั้น แต่เป็นความเห็นผิดไปจากแนวทางของพระพุทธะ ผู้รู้ในพุทธศาสนารู้ว่า มนุษย์มีศักยภาพที่จะพัฒนาจิตวิญญาณของตนเอง ให้มีคุณธรรมเหนือเทพเจ้าใดๆได้ หากนำตัวเองเข้าไปนับถือบูชาเทพแล้ว บุคคลไม่อาจพัฒนาจิตไปสู่ความพ้นทุกข์ได้

    (๖) คำว่า “ น่าจะถูกต้อง ” แสดงว่า มีสิ่งที่ผิดไปจากหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ผู้ใดนำเอาธรรมะที่บอกกล่าวไว้มาสถิตอยู่กับใจของตนเองได้แล้ว จึงจะเข้าใจชัดแจ้งในคำว่า น่าจะถูกต้อง และเช่นเดียวกัน ธรรมะของพระพุทธะจะเกิดผลเป็นจริงกับผู้ใดได้ มิใช่มาจากการยัดเยียดแต่มาจากความศรัทธา นำเอาธรรมะมาบรรจุไว้ในใจของตนให้ได้แล้ว การคิด การพูด และการกระทำของผู้นั้น จะสมบูรณ์ไปด้วยพฤติกรรมดีงาม

    อนึ่งผู้ใดประพฤติยัดเยียด แล้วทำให้ผู้ถูกยัดเยียดไม่สบายใจ บาปย่อมเกิดขึ้น และตกแก่ผู้ยัดเยียดนั้น

    (๗) กรรมในอดีตแก้ไขไม่ได้ แต่ปัจจุบันประพฤติอยู่แต่กุศลกรรม แล้วนำตัวเองเข้าประกอบบุญใหญ่คือ จิตตภาวนา แล้วอุทิศบุญกุศลที่เกิดขึ้นให้กับเจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตไม่ระลึกถึงเรื่องบาปที่ทำไว้แต่ครั้งอดีตได้ จะเป็นตัวชี้วัดได้อย่างหนึ่งว่า เวรที่ตามมาให้ผลทันในชาติปัจจุบันได้จบสิ้นลงแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าเจ้ากรรมนายเวรจะได้รับหรือไม่ เป็นเรื่องที่ไม่ควรคิด ไม่ควรไปตามรู้ เพราะมิได้เกิดประโยชน์ใดๆในการพัฒนาจิต

    (๘) ต้องให้อภัยเป็นทานไปเรื่อยๆ ให้อภัยในทุกเรื่องที่เป็นเหตุขัดใจ แล้วเมตตาก็จะเกิดขึ้นและสั่งสมเป็นบารมีอยู่ในจิตวิญญาณของผู้ให้อภัย ผู้ใดมีเมตตาผู้นั้นสงบเย็นของอารมณ์เป็นเครื่องชี้วัด
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ตั้งแต่เด็กผมมักมีอาการไม่มั่นใจในตัวเอง เช่น ปิดประตูแล้วล็อกกลอนแล้ว แต่พอเดินออกมากลับรู้สึกไม่มั่นใจว่า ได้ล็อกไปแล้วหรือยัง ส่งผลให้ตวเองต้องเดินกลับไปเช็คแล้วเช็คอีก บางทีตรวจสอบหลายครั้งเป็นสิบครั้งก็ยังมี รู้สึกถึงความไม่มั่นใจในตัวเองที่ ตัวเองเห็นแล้วรู้สึกสงสารตัวเอง

    ความมั่นใจแบบนี้ยังส่งผลกับสิ่งอื่นๆในชีวิตครับ ไม่ว่าจะการงาน หรือการใช้ชีวิตทั่วไป ทำให้ผมสงสัยทุกสิ่งทุกอย่าง ในชีวิต เช่น จะขึ้นรถลงเรือ บางทียังสงสัยว่าเราขึ้นผิดหรือไม่ ทำงานก็ลังเลตรวจสอบอยู่จนอนาถใจตัวเอง

    ปัจจุบันนี้ผมหันมาฝึกดูจิต เวลาที่อาการรากเง่าของความไม่มั่นใจนี้เกิด ผมพอที่จะเกิดความรู้สึกตัวขึ้นมาได้ แต่ก็แพ้กิเลสและความปรุงแต่งในใจตัวเอง หลงเข้าไปกลุ้มใจอีก

    ท่านอาจารย์ครับ เหตุที่ทำให้ผมไร้ความมั่นใจนี้คืออะไรครับ? ทางที่ผมปฏิบัติคือการดูจิตที่ทำอยู่นี้ จะเป็นเหตุให้ชนะสภาพการปรุงแต่งที่หลอกหลอนจิตใจผมได้หรือไมครับ?

    กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ


    คำตอบ
    คำว่า “ สติ ” หมายถึง ระลึกได้ นึกได้ ไม่ลืม ส่วนคำว่า “ สัมปชัญญะ ” หมายถึง ความรู้ตัวอยู่เสมอ (ปัญญา)

    ผู้ใดมีกำลังของสติอ่อนและกำลังของสัมปชัญญะอ่อน ย่อมระลึกไม่ได้และไม่รู้ว่าได้ทำอะไรไปแล้ว ดังนั้นความไม่มั่นใจจึงเป็นเหตุมาจาก จิตมีกำลังของสติสัมปชัญญะอ่อน

    วิธีแก้ไขคือ ต้องพัฒนาจิตให้มีศีล ๕ คุมอยู่ทุกขณะตื่นให้ได้ก่อน แล้วนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม แล้วโอกาสหมดไปของปัญหาจึงจะเกิดขึ้นได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...