ตามรอยธรรมพ่อแม่ครูอาจารย์

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 25 กรกฎาคม 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    ธรรมะแสดงอยู่ทุกเมื่อเกิดอยู่เสมอ

    ผุ้มีปัญญาย่อมโอปนยิโกคือน้อมเข้ามาใส่ตัวเอง

    น้อมเข้ามาพิจารณาในตัวเอง

    เมื่อพิจารณามากเข้าก็จะปัจจัตตังคือรู้ได้เฉพาะตน


    [​IMG]


    พระพุทธศาสนาสอนอะไรบ้าง

    สอนให้คนละชั่ว กระทำดี ทำจิตให้ผ่องใส

    ความชั่วทั้งหลายไม่กระทำอีกแล้ว

    ใจจะสะอาดเพราะไม่แปดเปื้อนด้วยกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ

    มันเป็นโคลนตม ถ้าใครไปตกในราคะ โทสะ โมหะ

    มันก็แปดเปื้อนขี้โคลนจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น

    อาสวะเครื่องหุ้มห่อจิตใจให้มืดมิดปิดปัญญา
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    โลโภ ธัมมานัง ปริปันโถ

    ความโลภเป็นอันตรายแก่ธรรมทั้งหลาย

    เป็นอันตรายแก่ความเจริญทั้งหลาย

    โกโธ ธัมมานัง ปริปันโถ

    ความโกรธเป็นอันตรายแก่สติแก่ปัญญาของตังเอง

    ถ้าไปลุอำนาจแก่มัน เป็นการทำลายตัวเอง

    อย่างเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ประธานาธิบดีของประเทศฟิลิปปินส์

    เป็นใหญ่มีอำนาจมาก แต่โกงกินแผ่นดิน

    จนประชาชนเดือดร้อนอย่างมาก

    ต่อมาประชาชนรวมตัวกันขับไล่ จนต้องหนีออกนอกประเทศ

    เงินที่โกงกินแผ่นดินมาถูกยึดคืนหมด

    ในที่สุดก็ตายอย่างหมาข้างถนน

    ความโลภเป็นอันตรายแก่ความเจริญทั้งหลาย

    ทำลายชื่อเสียง เกียรติยศ รสนิยมพังไปตามๆกัน

    ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาก็เพื่อกำจัดกิเลส
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    มัวแต่คิดจะต่อต้านผู้อื่น

    ทำไมไม่คิดต่อต้านกิเลสตัวเองเอาชนะกิเลสตัวเอง

    ทำอย่างไรความโลภมันจึงจะเบาบางลง

    ทำอย่างไรความโกรธมันจึงจะเบาบางลง

    ทำอย่างไรความหลงมันจึงจะเบาบางลงไป

    นี่คือหน้าที่ของเราโดยตรง
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    เห็นธรรม คือ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนันตา

    ทำอย่างไรเราจะพ้นจากกองทุกข์

    เห็นว่าของทุกอย่างไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา

    แม้ร่างกายที่อยู่ร่วมกันก็ไม่ใช่เราเลย

    มันอยากเจ็บ มันก็เจ็บ มันอยากแก่ มันก็แก่ มันอยากตาย มันก็ตาย

    ห้ามมันไม่ฟัง ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นไม่กลัวตาย ตายเมื่อไรช่างมัน

    ทำความดี..ดีกว่า
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    ไปเดือดร้อนอะไรกับคนนินทา

    ใครนินทาเราไม่ได้ยินไม่ใส่ใจก็สบาย

    คนนินทาน่ะเป็นยาชูกำลังที่จะเตือนตัวเอง

    เขาติดีกว่าเขาชมจะได้รู้ตัว

    ถ้าเราเป็นอย่างนั้นจะได้ปรับปรุง

    เราจะไปโกรธเขาทำไม

    ถ้าไปโกรธเขาก็เรียกว่าเราแพ้ตัวเอง
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    เรามาอาศัยกายนี้ทำคุณงามความดี

    ร่างกายนี้ไม่ได้อยู่กับเรานานเท่าไรนะ

    มันคร่ำคร่าชราภาพไปเรื่อย

    มันเดินตามทางมันไปอยู่แล้ว ห้ามมันไม่อยู่

    มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา

    ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

    มันเป็นสภาพสูญห้ามไม่อยู่

    ดังนั้นจงรีบทำความเพียรให้อาสวะกิเลสมันสิ้นไปโดยเร็ว
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    ความโมโหพาตัวตกต่ำ

    อย่าไปโมโหโกรธผู้อื่นมันเป็นไฟ

    มันจะไหม้หัวใจเจ้าของเอง

    ถ้าเขาไม่ดีมันเป็นเรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของเรา
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ตามรอยธรรมหลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา

    [​IMG]


    "เราต้องพยายามสร้างตัวเอง ให้มีอำนาจบังคับตัวเองให้ได้

    เวลาขี้เกียจบังคับให้มันเกิดความขยัน

    เวลามันอืดอาด ลุกยาก นั่งยาก

    ก็บังคับให้มันคล่องแคล่วว่องไว

    เวลามันเกิดขี้ขลาด บังคับให้มันเกิดความกล้าหาญในทางที่ชอบ

    มีความประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน

    ประพฤติอ่อนโยนนอบน้อมต่อผู้หลักผู้ใหญ่"
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    คำว่ากรรม คือการกระทำของมนุษย์ที่พร้อมไปด้วยเจตนา

    คือ ความตั้งใจว่าจะทำ จะพูด จะคิด

    ทีนี้ ในเมื่อทำลงไปแล้ว จิตเขาบันทึกผลงานเอาไว้โดยธรรมชาติ

    บางทีเราเผลอทำความไม่ดีลงไป ภายหลังเรานึกว่ามันเป็นบาป

    เราจะกลับมาเปลี่ยนความคิดว่า

    "ฉันทำเล่นๆ ฉันไม่ต้องการผลตอบแทน" มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    บาปที่ทำแล้วมันแก้ไม่ได้

    แต่นิสัยชั่วที่เราประพฤติอยู่นั้น

    มันแก้ไขได้ ท่านให้แก้กันที่ตรงนี้


    [​IMG]


    "วันหนึ่งข้างหน้า ในหลวงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งของโลก"

    หลวงพ่อมองหน้าผมแล้วย้ำว่า...

    "ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิ"
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    หลวงปู่มหาบัว ท่านเล่าเรื่องของท่านให้ฟังว่า

    เมื่อก่อนนี้นายบัวเป็นคฤหัสถ์ อยากบวชเป็นพระก็ได้บวชแล้ว

    พอบวชเป็นพระแล้วอยากเป็นมหา ไปเรียนกับเขาสอบได้ ๓ ประโยค

    เอาละ… แค่นี้เขาก็เรียกมหาเหมือนกัน

    พอเป็นมหาแล้วอยากเป็นพระนักปฏิบัติก็ได้ปฏิบัติแล้ว

    พอปฏิบัติแล้วอยากรู้ธรรมเห็นธรรม

    ก็ได้รู้บ้างตามสมควรแก่ความสามารถ

    พอรู้ธรรมเห็นธรรมแล้วอยากเป็นพระอรหันต์

    เดี่ยวนี้เลยไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร

    มันก็เป็นหลวงตาบัวตามเดิมนั่นแหละ

    อันนี้ท่านผู้ฟังจะเข้าใจว่าอย่างไร

    ถ้าเรามาพิจารณาว่า ท่านผู้ใดสำคัญตนว่าเป็นพระโสดาบัน

    คนนั้นไม่ใช่ ท่านผู้ใดสำคัญตนว่าเป็นพระสกทาคา อนาคามี

    อรหันต์ คนนั้นไม่ใช่ เพราะความเป็นพระอรหันต์มันอยู่เหนือสมมติ

    บัญญัติ ผู้สำเร็จแล้วจะรู้สึกเพียงแค่ว่าตัวหมดกิเลสแล้วเท่านั้น

    อันนี้เป็นโอวาทของพระอาจารย์มหาบัว
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    ถ้าเราทำสติตามรู้การยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด

    อยู่ตลอดเวลา หรือทุกลมหายใจ

    เราจะได้ปฏิบัติธรรมอยู่ทุกลมหายใจ

    ทำสมาธิอยู่ทุกลมหายใจ

    ปฏิบัติสมถะวิปัสสนาอยู่ทุกลมหายใจ

    เราจะมีศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ทุกลมหายใจ

    การทำสติสังวรณ์ระวังคอยดูอยู่ นั่นแหละคือ วินัย

    ความมั่นใจต่อการที่จะกำหนดรู้กิเลส

    และอารมณ์ของตัวเองนั่นคือสมาธิ

    ความรู้ว่าอะไรเป็นอะไรเกิดขึ้น ดับไป

    ในขณะที่กำหนดอยู่ นั่นคือ ตัวปัญญา

    ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดขึ้นได้ด้วยการทำสติ

    ตามรู้การยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม ทำ พูด คิด
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    กรรมฐานอันใดสามารถทำจิตให้สงบ สว่าง มีปีติ มีความสุข

    มีความเป็นหนึ่ง จิตรู้ ตื่น เบิกบาน นิวรณ์ ๕ หายไปหมดสิ้น

    กรรมฐานอันนั้นเป็นกรรมฐานที่ถูกต้อง

    ใครจะภาวนาแบบไหนอย่างไรก็ตาม

    เมื่อสามารถทำจิตให้สงบนิ่งเป็นสมาธิ

    ขจัดนิวรณ์ ๕ ได้ เป็นการใช้ได้ทั้งนั้น
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    การปฏิบัติสำคัญที่การรวมจิตเป็นใหญ่

    เพราะพื้นฐานแห่งความดีความชั่วย่อมเกิดที่จิต

    ถ้าจิตตัวนี้ปราศจากสติเป็นเครื่องคุ้มครองหรือประคับประคองเมื่อใด

    เมื่อนั้นจิตดวงนี้ก็จะต้องมีความเผลอไป

    นึกสร้างบาปกรรมใส่ตัวเลย

    เพราะฉะนั้นการอบรมจิตให้มีสติจึงเป็นสิ่งจำเป็น

    ความทุกข์ทั้งหลายเกิดจากกิเลสโลภะราคะบ้างโทสะบ้างโมหะบ้าง

    ถ้าต้องการมีความสุขต้องการกำจัดกิเลสของตน กิเลสในใจตนเอง

    ไม่ใช่ไปตั้งหน้ากำจัดกิเลสคนอื่น
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    อย่าไปข่มความรู้สึกอย่าไปบังคับจิตให้สงบ

    นึกพุทโธๆๆเอาไว้อย่าไปนึกว่าเมื่อใดจิตจะสงบ

    เมื่อใดจิตจะรู้เมื่อใดจิตจะสว่างให้กำหนดรู้ลงที่จิตอย่างเดียว

    นึกพุทโธๆๆ พุทโธก็อยู่กับจิต จิตก็อยู่กับพุทโธ

    เมื่อมีการตั้งใจนึกพุทโธสติสัมปชัญญะจะมาเอง

    หน้าที่เพียงนึกพุทโธๆๆไว้จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควร

    จิตจะสงบหรือไม่สงบไม่สำคัญ

    ให้เรานึกพุทโธไว้โดยไม่ขาดระยะเป็นเวลานานๆ

    จนกระทั่งจิตมันคล่องตัวต่อการนึกพุทโธ

    ในที่สุดจิตจะนึกพุทโธๆๆเองโดยไม่ได้ตั้งใจ

    เมื่อจิตนึกพุทโธเองโดยไม่ได้ตั้งใจ

    แสดงว่าการภาวนาของเรากำลังจะได้ผลแล้ว

    ในเมื่อจิตนึกอยู่ที่พุทโธๆๆ พุทโธก็เป็นเครื่องรู้ของจิต

    เครื่องระลึกของสติเมื่อจิตมีเครื่องรู้สติมีเครื่องระลึก

    ผู้ปฏิบัติตั้งใจปฏิบัติให้มากๆ กระทำให้มากๆ

    ในที่สุดจิตจะเกิดความสงบ
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    "พระราชปุจฉา กับ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย"

    ณ วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา


    พระราชปุจฉา : คำว่า วิญญาณ หมายความว่า "ธาตุรู้" ใช่ไหมขอรับ

    หลวงพ่อพุธ : คำว่า วิญญาณ คือ "ธาตุรู้" วิญญาณในเบญจขันธ์

    หมายถึง วิญญาณรู้จากของ ๒ อย่างกระทบกัน เช่น ตากับรูปกระทับ

    กัน เกิดภูมิรู้ขึ้น เรียกว่า จักขุวิญญาณ เสียงกับหูกระทบกัน เกิดภูมิรู้

    ขึ้น เรียกว่า โสตวิญญาณ กลิ่นกับจมูกกระทบกัน เกิดภูมิรู้ เรียกว่า

    ฆานวิญญาณ ลิ้นกับรสกระทบกัน เกิดภูมิรู้ เรียกว่า ชิวหาวิญญาณ

    กายกับสิ่งสัมผัสกระทบกัน เกิดภูมิรู้ขึ้นเรียกว่า กายวิญญาณ จิต

    นึกคิดอารมณ์เกิดภูมิรู้ขึ้น เรียกว่า มโนวิญญาณ อันเป็นวิญญาณใน

    ขันธ์ ๕ ทีนี้วิญญาณในปฏิจจสมุปบาท หมายถึง ปฏิสมาธิวิญญาณ

    คือ วิญญาณรู้ผุด รู้เกิด
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    พระราชปุจฉา : คำว่า ภาวนา และ บริกรรม ต่างกันอย่างไรขอรับ คือเคยฟังพระเถระผู้ใหญ่บอกว่า การภาวนานี้ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน แม้ไม่อยู่ในสมาธิ แม้ทำอะไร ก็สามารถทำได้อยู่ได้ตลอดเวลาใช่ไหมขอรับ

    หลวงพ่อพุธ : ใช่แล้ว คำว่า ภาวนา กับ บริกรรม มีต่างกัน ภาวนา หมายถึง การอบรมคุณงามความดีให้เกิดขึ้น เป็นสมบัติของผู้อบรม เช่น อบรมใจให้มีความเลื่อมใสในการบำเพ็ญภาวนา ก็ได้ชื่อว่า ภาวนา แต่บริกรรมนั้น หมายถึง จิตของผู้ปฏิบัตินึกอยู่ในคำใดคำหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น พุทโธ เป็นต้น ซ้ำๆ อยู่ในคำเดียวเรียกว่า "บริกรรม" บริกรรมก็คือส่วนของภาวนานั่นเอง
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    พระราชปุจฉา : พอจิตนิ่ง ลมหายใจจะหายไป และคำภาวนาก็หายไปพร้อมกัน แต่รู้สึกเช่นนี้เพียงเดี๋ยวเดียวก็หายไป ควรจะทำอย่างไรต่อไป

    หลวงพ่อพุธ : เมื่อจิตสงบนิ่งลงไปแล้ว จิตจะสงบละเอียดไปถึงจุดที่เรียกว่า "อัปปนาสมาธิ" ลมหายใจก็ทำท่าจะหายขาดไป คำภาวนาก็หายไป พอรู้สึกว่ามีอาการเป็นอย่างนี้เกิดขึ้น ก็เกิดอาการตกใจ แล้วจิตก็ถอนจากสมาธิ เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา ถ้ายังเสียดายความเป็นของจิตในขณะนั้น ให้กำหนดจิตพิจารณาใหม่ จนกว่าจิตจะสงบลงไป จนกว่าลมหายใจจะหายขาดไป คำภาวนาจะหายไป ถ้าตอนนี้เราไม่เกิดเอะใจ หรือเปลี่ยนใจขึ้นมาก่อน จิตจะสงบนิ่งละเอียดลงไปกว่านั้น ในที่สุดจิตก็จะเข้าสู่อัปปนาสมาธิอยู่ในขั้นตัวก็หายไปหมด ยังเหลือแต่จิตรู้สงบสว่าง อยู่อย่างเดียว ร่างกายตัวตนไม่ปรากฏ แต่ถ้าไม่ทำอย่างนั้น เมื่อลมหายใจหายไป คำภาวนาก็จะหายไป แล้วก็จะรู้สึกตัวขึ้นมา เลื่อนให้จิตมาพิจารณา พิจารณาโดยเพ่งกำหนดลงที่ใดลงหนึ่ง จะบริเวณร่างกายลงที่ใดที่หนึ่ง จะบริเวณร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น กระดูก พิจารณาจนจิตเห็นกระดูกแต่ตายังไม่เห็นก่อน ให้พิจารณาจนจิตสงบเห็นกระดูกชัดเจน ในทำนองนี้จะทำให้จิตเป็นสมถกรรมฐานเร็วขึ้น ซึ่งเคยมีตัวอย่างครูบาอาจารย์ให้คำแนะนำกันมา คือ ท่านอาจารย์องค์หนึ่งภาวนาพุทโธมาถึง ๖ ปี จิตสงบลงไป แต่ทำท่าว่าลมหายใจจะหายไป คำภาวนาก็หายไป แล้วสมาธิก็ถอนออก จิตไม่ถึงความสงบสักที อาจารย์องค์นี้จึงไปถามอาจารย์อีกองค์หนึ่ง ซึ่งอาจารย์องค์นี้เป็นชีผ้าขาวไม่ได้บวชเป็นเณรว่า "ทำอย่างไรจิตมันจะสงบดีๆ สักที" อาจารย์องค์นั้นก็ให้คำแนะนำว่า "ให้เพ่งลงที่หน้าอก พิจารณาให้เห็นกระดูก โดยพิจารณาลอกหนังออก แล้วจึงจ้องจิตบริกรรมภาวนาลงไปว่า อัฐิ อัฐิ อัฐิ" อาจารย์ที่ถามจึงนำวิธีการนี้ไปปฏิบัติ ก็เกิดจิตสงบเป็นสมาธิ ในครั้งแรกก็มองเห็น เศษกระดูกตรงนั้น จิตมันก็นิ่งจ้องอยู่ตรงนั้น และผลสุดท้ายก็มองเห็นโครงกระดูกทั่วตัวไปหมด ในเมื่อมองเห็นโครงกระดูกอยู่ชั่วขณะหนึ่ง โครงกระดูกก็พังลงไป และสลายตัวไป สลายไปหมด ยังเหลือแต่จิตสงบนิ่ง สว่างอยู่อย่างเดียว และในอันดับต่อไปนั้น จิตจะสงบนิ่ง สว่างอยู่เฉยๆ ภายหลังเมื่อจิตสงบสว่างอยู่พอสมควรแล้ว ก็ เกิดความรู้อันละเอียดขึ้นมาภายในจิต แต่ไม่ทราบว่าอะไร มันมีลักษณะรู้ขึ้นมาแล้วก็ผ่านไป มันเหมือนกับกลุ่มเมฆที่มันผ่านสายตาเราไปนั่นแหละ จิตก็นิ่งเฉย สงบนิ่ง สว่างอยู่ตลอดเวลา ที่มีให้รู้ให้เห็นก็ผ่านไปเรื่อยๆ เราลองนึกภาพดูว่า ที่เกิดขึ้นเช่น นี้เรียกว่าอะไร อาการเป็นเช่นนี้เป็นภูมิรู้ภูมิปัญญาอย่างละเอียดของจิตเกิดขึ้น ซึ่งเป็นความจริงที่อยู่เหนือสมมติบัญญัติ สภาวธรรมส่วนที่เป็นสัจธรรมเกิดขึ้นในจิตของผู้ปฏิบัติ มีแต่สิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ ซึ่งท่านอาจารย์มั่นเรียกว่า "ฐีติภูตัง" ซึ่งมีความหมายว่า "ฐีติ" คือ ความตั้งเด่นของจิต อยู่ในสภาพที่สงบนิ่ง เป็นกิริยาประชุมพร้อมของอริยมรรค ยังจิตให้บรรลุถึงความสุคติภาพโดยสมบูรณ์ เมื่อจิตประชุมพร้อม ภายในจิตมีลักษณะ สงบ นิ่ง สว่าง อำนาจของอริยมรรคสามารถปฏิบัติจิตให้เกิดภูมิรู้ ภูมิธรรมอย่างละเอียด ภูมิรู้ ภูมิธรรมซึ่งเกิดขึ้นอย่างละเอียด ไม่มีสมมติบัญญัติ เรียกว่า "ภูตัง" หมายถึงสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่โดยธรรมชาติของมันอย่างนั้น แต่ไม่ทราบว่าจะเรียกว่าอะไร สงสัยต่อไปในเมื่อเราไม่สามารถจะเรียกว่าอะไร ทำอย่างไรเราจึงจะ รู้สิ่งนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกไว้ แม้แต่ท่านแสดงธรรมจักรฯ ให้ภิกษุปัญจวัคคีย์ฟัง เมื่อท่านอัญญาโกณฑัญญะรู้ธรรม เห็นธรรม ก็รู้แต่ว่า "สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา"
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    ปฏิบัติธรรมแล้วถ้ารู้สึกเบื่อครอบครัว เบื่อโลก เบื่อสงสาร

    อย่าไปเชื่อความรู้สึกของตัวเอง ถ้ามันเบื่อ ดูไปจนมันหายเบื่อ

    แต่ถ้าหากพอปฏิบัติธรรม ได้ธรรม เห็นธรรมแล้วนี่

    มันทำให้รู้สึกเคารพบูชาพ่อแม่ปู่ย่าตายาย

    เมตตาสงสารครอบครัว แล้วความรักระหว่างครอบครัวของเรานี่

    ทีแรกเรารักด้วยกิเลสตัณหา

    แต่มาภายหลังจะเหลือแต่ความเมตตาปราณี

    แล้วเราจะทอดทิ้งซึ่งกันและกันไม่ได้

    ยิ่งปฏิบัติไปเท่าไร ความเมตตาปราณีมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้น

    เราจะอยู่ด้วยกันโดยไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น

    เกี่ยวกับทางเรื่องของกิเลส

    เราจะมีอะไรต่อกัน หรือไม่มีอะไรต่อกัน

    เราจะอยู่กันได้อย่างสบายเพราะความรักและความเมตตาปราณี

    นี่เป็นความรักที่บริสุทธิ์สะอาด
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    ถ้าต้องการมีความสุข ต้องกำจัดกิเลสของตน กิเลสในใจตนเอง

    ไม่ใช่ไปตั้งหน้ากำจัดคนอื่น


    [​IMG]


    เราจะเอาตัวรอดพ้นจากอบายได้

    ต้องอาศัยศีลเป็นหลักประกันความปลอดภัย

    ดังนั้นอาตมาเทศน์ที่ไหน ก็ย้ำอยู่ที่ศีล ๕

    เพราะเป็นกฎเกณฑ์ที่จะละความชั่วได้โดยเจตนา
     

แชร์หน้านี้

Loading...