ตามรอยผู้เยี่ยมวิทยายุทธ์

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย คมสันต์usa, 17 กรกฎาคม 2013.

  1. ฅนโคกว่าน

    ฅนโคกว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    795
    ค่าพลัง:
    +2,767
    ขอบพระคุณครับ
    ถ้าท่านแจก ผมก็ยินดีม๊าก..มากที่จะรับครับ
    และต้องทำอย่างไรครับ ขอบพระคุณอีกครั้งครับ
     
  2. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    เปิดเวหาแยกกายามามาในถ้ำ
    ภูผาค้ำถ้ำเมืองกาญไม่นานนี้
    ทองผาภูมิเมืองลี้ลับกับฤทธิ์มี
    มากฤาษีชีไพรได้พบกัน


    ถึงคูหาถ้ำใหญ่บรรลัยโกฏิ
    สามร้อยโยชน์ตั้งเด่นเช่นหินผา
    มีเหล็กไหลไม่น้อยย้อยลงมา
    จากหินผาในหลืบถ้ำเย็นฉ่ำใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2013
  3. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    ข้อความเดิมจาก ท่าน raming2555
    สมัยที่อยู่กับหลวงพ่อเทพ พรหมาจารย์ ท่านเคยเล่าว่าเมื่อครั้งธุดงค์อยู่ในป่า เจอภิกษุดำ รูปหนึ่ง มาสอนวิชาให้ ไปมาไร้ร่องรอย...หลวงพ่อเทพฯท่านเป็นพระอภิญญา ที่เล่นแร่แปรธาตุได้ สำเร็จวิชาปรอท... สำหรับภิกษุดำนั้น ศิษย์สายในดง น่าจะรู้จักกันดี...ผมเคยถามหลวงพ่อเทพฯว่า หลวงปู่เทพโลกอุดร คือใคร...ท่านบอกว่า น่าจะเป็นการเรียกกันไปเองโดยเพิ่มคำว่าเทพเข้าไป เดิมเรียกว่าหลวงปู่โลกอุดร...น่าจะหมายถึง โลกุตตระ+อุดร คือ เหนือ รวมกันแล้วก็คือ พระที่ท่านอยู่เหนือโลก ก็คือพระอริยะเจ้านั่นเอง...

    อ่านจากท่าน toplus99 เล่ามาเหมือนว่าพระภิกษุดำท่านเป็นอาจารย์ของหลวงปู่โลกอุดรอีกทีหนึ่ง ซึ่งผมสันนิษฐานว่าจะเป็นรูปเดียวกันกับที่มาสอนวิชาให้หลวงพ่อเทพฯในป่า...
    ที่ยังสงสัยอยู่บ้างก็คือว่า หลวงปู่มั่นและศิษย์ของท่านจำนวนมากก็ธุดงค์ในป่าเป็นส่วนใหญ่ ผมยังไม่เคยอ่านเจอว่าหลวงปู่มั่นและศิษย์ของท่านได้เจอพระภิกษุดำหรือหลวงปู่โลกอุดร มาให้คำแนะนำในการเจริญกรรมฐานเลยนะ(หรือว่ามีแต่ผมอ่านไม่เจอ?)
    หลวงพ่อปาน หลวงพ่อจง หลวงพ่อสุ่น หลวงพ่อเนียม ฯลฯ ก็ไม่เคยพูดถึง....

    ผมก็เดาของผมเองอีกนั่นแหละว่า อาจจะเป็นที่สายบุญทำกันมาคนละสายอีกหรือเปล่า? จึงไม่ได้มาเจอกัน... ใครเคยมีบุญทำร่วมกันมากับท่านก็จะได้เจอ หรือว่าจะมีเงื่อนไขอื่นๆ...มีใครทราบบ้าง???
     
  4. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    เอ้า...รอท่านคมสันต์มาเฉลยที... เคยมีเรื่องเหล่านี้ที่หลวงพ่อเทพฯ ท่านเล่าให้ฟังบ้างหรือเปล่าครับ?
    ที่ศาลารับแขกของหลวงพ่อเทพฯ ผมไปเห็นรูปถ่ายหลวงพ่อเทพฯสมัยหนุ่มๆ (หลวงพ่อท่านว่าหนุ่มคือ 40 กลางๆ) เวลานั้นยังผอมอยู่ ถ่ายคู่กับ หลวงปู่น้อย จากถ้ำภูกำพร้า... หลวงปู่น้อยนี่ ผมเคยได้ยินได้ฟังจากท่านคหบดีที่อยุธยาว่า อายุท่าน 200 กว่าปีแล้ว...เป็นพระที่ข้ามมาจากฝั่งลาว มาด้วยกัน 3 รูป หนีภัยสงครามในสมัยนั้นมา...

    ผมไปตระเวณหาหลวงปู่น้อย...กว่าหาเจอ...พาพี่น้องชาวอำนาจเจริญไปด้วย เผื่อจะช่วยกันฟังภาษาลาว...ปรากฎว่าท่านพูด ไทลื้อ...ฟังไม่ออกไปตามๆกัน ต้องมีล่ามแปลให้อีกที..หนังท่านยับเป็นหนังช้าง เวลาหนังลู่ไปทางไหนแล้วก็อยู่อย่างนั้น ไม่ดีดกลับมาที่เดิม...แต่ว่าฟันและเล็บท่านเหมือนพึ่งงอกออกมาใหม่...เป็นเรื่องน่าแปลกมาก...

    สมัยโน้น..หลวงปู่น้อย บอกกับลูกศิษย์ว่า ในยุคนี้ คนที่จะเล่นแร่แปรธาตุได้ เหลือหลวงพ่อเทพฯ รูปเดียวแล้ว... เสียดายว่า สมเด็จพระสังฆราชซึ่งพึ่งสิ้นพระชนม์ไปนี้ ได้เคยไปหาหลวงพ่อเทพฯที่วัด และขอว่าอย่าแสดงฤทธิ์อีกเลย เพราะผู้คนจะติดแต่เรื่องฤทธิ์ ไม่สนใจธรรมะเท่าที่ควร...หลวงพ่อเทพฯท่านเคารพครูบาอาจารย์ เคารพสมเด็จพระสังฆราชมาก รับสั่งอะไรมา ท่านทำตามทุกอย่าง ไม่มีต่อปากต่อคำหรือจะต่อรองแม้แต่สักครึ่งคำ .. หลังจากนั้นมา เมื่ออยู่ในประเทศไทยก็จะไม่ค่อยเห็นหลวงพ่อเทพฯแสดงฤทธิ์ แต่ว่าไปต่างประเทศนี่หลวงพ่อเทพฯท่านแสดงได้ เพราะฝรั่งไม่ปรามาสท่าน เหมือนคนไทย เลยกลายเป็นว่าชาวต่างชาติได้เห็น มากกว่าคนไทย...

    หลวงพ่อเทพฯท่านชอบแต่งกลอน และแต่งได้ดีมากเสียด้วย อีกทั้งชอบการจดบันทึก... เรื่องราวต่างๆที่ท่านได้พบเจอมา หรือวิชาต่างๆที่ร่ำเรียนมาท่านก็บันทึกไว้หมด ลายมือหลวงพ่อสวยมาก... ที่น่าเสียดายคือ ท่านไม่ให้ผมอ่าน...และไม่สอนวิชาใดๆให้...นอกจากศอกสั้น เอาไว้กันเวลา พวกเดียวกัน กินเหล้าเมามาย คุยไม่รู้เรื่อง จะไปหาเรื่องชาวบ้าน ก็ซัดเข้าไปสักดอกนึง ให้หลับไปซะ...จะได้ไม่ก่อความวุ่นวาย...ตั้งแต่เรียนมานี่ยังไม่ได้ทดลองใช้สักที...เฮ้อ...กลัวฟันศอกไปแล้วไม่หลับขึ้นมาสิมันจะยุ่ง...
     
  5. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,276
    ค่าพลัง:
    +82,733
    [​IMG]
     
  6. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,276
    ค่าพลัง:
    +82,733
    [​IMG]
     
  7. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,276
    ค่าพลัง:
    +82,733
    [​IMG]
     
  8. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,276
    ค่าพลัง:
    +82,733
    [​IMG]
     
  9. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    เปิดเวหาแยกกายามามาในถ้ำ
    ภูผาค้ำถ้ำเมืองกาญไม่นานนี้
    ทองผาภูมิเมืองลี้ลับกับฤทธิ์มี
    มากฤาษีชีไพรได้พบกัน

    ถึงคูหาถ้ำใหญ่บรรลัยโกฏิ
    สามร้อยโยชน์ตั้งเด่นเช่นหินผา
    มีเหล็กไหลไม่น้อยย้อยลงมา
    จากหินผาในหลืบถ้ำเย็นฉ่ำใจ
     
  10. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    รูปภาพครูบาน้อยที่มีอายุยืนยาวนานนั้นไปหาชมได้ที่หลวงพ่อ
    พระอาจารย์.ดร.สิงห์ทน นราสโภ
    สถานปฏิบัติธรรมพระนเรศดอยเชียงดาวเทพพรหม­เนรมิตร
    ต.เชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ 50170 ครับ
     
  11. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    สมัยที่อยู่กับหลวงพ่อเทพ พรหมาจารย์ ท่านเคยเล่าว่าเมื่อครั้งธุดงค์อยู่ในป่า เจอภิกษุดำ รูปหนึ่ง มาสอนวิชาให้ ไปมาไร้ร่องรอย...หลวงพ่อเทพฯท่านเป็นพระอภิญญา ที่เล่นแร่แปรธาตุได้ สำเร็จวิชาปรอท... สำหรับภิกษุดำนั้น ศิษย์สายในดง น่าจะรู้จักกันดี...ผมเคยถามหลวงพ่อเทพฯว่า หลวงปู่เทพโลกอุดร คือใคร...ท่านบอกว่า น่าจะเป็นการเรียกกันไปเองโดยเพิ่มคำว่าเทพเข้าไป เดิมเรียกว่าหลวงปู่โลกอุดร...น่าจะหมายถึง โลกุตตระ+อุดร คือ เหนือ รวมกันแล้วก็คือ พระที่ท่านอยู่เหนือโลก ก็คือพระอริยะเจ้านั่นเอง...

    เรื่อง หลวงปู่เทพโลกอุดร หลวงปู่ใหญ่ หลวงพ่อดำ (พระอาจารย์
    หลวงพ่อเทพ พรหมาจารย์ ท่านเพียง ได้แต่บอกว่า ท่านเป็นใคร
    และมาจากไหนนั้นไม่ต้องไปสงสัยอยากรู้ ครับ ) แต่ทุกครั้งที่จะทำอะไร
    เกี่ยวกับ ฤทธิ์ อภิญญา ท่านจะให้น้อมจิตระลึกถึงหลวงปู่ใหญ่ หลวงพ่อดำ ก่อน แต่ต่อด้วย พระอาจารย์ ชาญณรงค์ อภิชิโต เสมอ


    (เรื่อง หลวงพ่อ พระอาจารย์ชาญณรงค์ อภิชิโต นั้น ท่านสันยาสี ศิษย์
    พระอาจารย์ เทพ พรหมาจารย์ อีกท่านหนึ่งได้เขียนไว้ แล้ว ครับ)

    ปฏิปทาภินิหารพระอาจารย์ในดง ; พระอาจารย์ชาญณรงค์ อภิชิโต (ศิริสมบัติ) ศิษย์ผู้น้องของพระครูเทพโลกอุดร


    พระอาจารย์ชาญณรงค์ อภิชิโต นามสกุล ศิริสมบัติ เป็นบุตรของ พระยาศิริสมบัติ มหาเศรษฐีระดับพันล้าน สมัยก่อนสงครามโลก ซึ่งเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศไทยในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ท่านเรียนจบแพทย์ศิริราชรุ่นหลักสูตรเร่งรัด 2 ปี ในสมัยสงครามโลกเมื่อเรียนจบยังไม่ทันได้ทำงาน ท่านไปเที่ยวกับเพื่อนสนิท 2 ท่านคือ หม่อมเจ้าไชยเดช พัฒนเดช และอาจารย์เฉลียว เพื่อนร่วมรุ่นซึ่งสนิทกันมาก อยู่มาวันหนึ่งท่านประสบอุบัติเหตุ แข้งขาหัก ญาติผู้ใหญ่พาไปรักษากับหลวงปู่พลอย วัดเงิน (วัดรัชดาธิษฐาน) ตลิ่งชัน เพราะท่านเก่งเรื่องหมอ

    โดยเฉพาะเกี่ยวกับกระดูกแล้วเชี่ยวชาญที่สุด หลวงปู่บอกว่าถ้ารักษาหายแล้วให้บวชเณร เจ้าตัวก็ยอมรับ หลวงปู่จึงรักษาให้ทางไสยศาสตร์ โดยให้พากลับบ้านได้ แล้วท่านก็นั่งปั้นหุ่นรักษาแข้งขาหักที่ร่างของหุ่น ไม่กี่วันเจ้าของร่างที่ป่วยก็หายเดินได้เป็นปกติ เมื่อหายแล้วจึงรักษาสัจจะกับหลวงปู่ ไปบรรพชาเป็นสามเณรอยู่กับท่าน ทั้งได้ชวนเพื่อนสนิทไปด้วยคือ หม่อมเจ้าไชยเดช พัฒนเดช และอาจารย์เฉลียว อยู่กับหลวงปู่ระยะหนึ่ง ท่านส่งสามเณรทั้ง 3 ไปเรียนวิชากับหลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ จังหวัดนครปฐม ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากพระปฐมเจดีย์นัก

    สามเณรทั้ง 3 อายุ 18-19 ปี อยู่ในวัยกำลังซุกซน วันหนึ่งชวนกันไปเที่ยวขุดหัวมันในป่าอยู่ติดกับวัดนั่งเอง กำลังขุดกันเพลินก็มีเสียงทักขึ้นมาว่า “เณร ทำอะไรกัน” สามเณรพากันเหลียวดู ก็เห็นตาแก่ผิวดำ รูปร่างสูงใหญ่ยืนยิ้มอยู่ จึงพากันตอบว่า “ขุดหัวมันจะเอาไปต้มกิน” ตาแก่บอกว่า “มันสุกอยู่ในดินแล้ว ขุดขึ้นมาก็กินได้ทันที ไม่ต้องเอาไปต้มหรอก”

    เมื่อสามเณรขุดขึ้นมาก็สุกจริงดุจที่ตาแก่บอก จึงมองหน้ากันด้วยความฉงน ตาแก่ถามว่า “พวกแกว่าฉันเก่งมั้ย อยากเป็นศิษย์ของฉันมั้ย” ทั้ง 3 ท่านมาจากตระกูลสูง เมื่อมีตาแก่บ้านนอกมาใช้วาจาไม่เป็นที่เคารพขึ้นฉัน ขึ้นแก แล้วยังมาอาสาเป็นอาจารย์อีกจึงแสดงความไม่พอใจ พูดสวนขึ้นว่า “ตาแก่ แกมีดีอะไรนักหนาถึงบังอาจมาอาสาเป็นอาจารย์ของพวกข้า” ตาแก่หัวเราะฮาๆ กล่าวว่า “เอางี้ไหมพนันกัน ฉันจะให้พวกแก 3 คนนี่ทำร้ายโดยวิธีไหนก็ได้ ถ้าฉันได้รับอันตรายใดๆ จะไม่ถือโทษ แต่ถ้าไม่เป็นอะไรแล้ว พวกแกต้องเป็นศิษย์ไปเรียนวิชากับฉัน”

    ทั้ง 3 ท่านได้คำรับท้าดังนั้น จึงรีบลุกขึ้นพากันทำร้ายตาแก่คนนั้น บ้างเตะ ต่อย เอาท่อนไม้ตี เอาก้อนหินทุบขว้าง พยายามลงมือกันเป็นเวลานานจนสิ้นเรี่ยวแรง ตาแก่ก็นั่งบนขอนไม้ให้ทำร้ายอย่างไม่สะทกสะท้าน และไม่แสดงกริยาอาการบาดเจ็บอย่างใดทั้งสิ้น จนทั้งสามท่านนั่งด้วยความเหนื่อยอ่อน ตาแก่หัวเราะฮาๆ พูดว่า “พวกแกแพ้ฉันแล้ว ต้องกราบรับฉันเป็นอาจารย์เดี่ยวนี้ สิ้นคำสามเณรทั้งสามก็ลุกขึ้นนั่งกราบท่านพร้อมๆ กัน ตาแก่จึงเอาแขนโอบสามเณรทั้งสามท่านแล้วหายแว็บ จากที่นั่นไปโผล่ในดงลี้ลับแห่งหนึ่งในชั่วพริบตา

    พระอาจารย์ชาญณรงค์เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า... ในดงนั้นมีพระและฆราวาสที่อยู่ฝึกวิชากับตาแก่ประมาณ 50 ท่าน มีฆราวาสมากกว่าพระ และทุกท่านเรียกตาแก่ว่า “หลวงตาดำ” พระอาจารย์ชาญณรงค์เคยถามชื่อของท่านว่าชื่ออะไรกันแน่ ท่านให้เรียกว่า “หลวงตาดำ” ก็ใช้ได้แล้ว ถามว่าเป็นคนหรือภูตผี หรือเทวดา ท่านก็ให้จับดู เห็นเป็นคนมีเลือดเนื้อเหมือนกัน เมื่อถามถึงอายุ ท่านบอกว่าไม่รู้กี่ปี ท่านได้ร่วมงานพระศพของพระพุทธเจ้า ท่าน (หลวงตาดำ) เป็นศิษย์ของพระมหากัสสปะ ได้รับมอบหมายให้บำเพ็ญอิทธิบาทธรรมมีชีวิตอยู่ยืนยาวเพื่อรักษาพระศาสนาคราวใดที่พระศาสนาเริ่มเสื่อมเศร้าหมอง มีอลัชชีเข้ามาอาศัยในพระศาสนามาก คำสอนอันแท้จริงเริ่มเสื่อม ท่านต้องฝึกลูกศิษย์ขึ้นมาช่วยกันสั่งสอนใหม่ ให้กลับคืนสู่เนื้อหาพุทธศาสนาอันจริงแท้

    พระอาจารย์ในดง ลูกศิษย์ของหลวงตาดำ พระอาจารย์ชาญณรงค์บอกว่า... เท่าๆ ที่เคยพบเห็นและเรียกกันในดง มีหลวงพ่อตีนโต เป็นพระที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ฝ่าเท้ายาวใหญ่ วัดจากล่างถึงหัวเข่าได้ 81 เซนติเมตร ท่านเปิดเผยตัวเองบ่อยเพราะชอบสอนคน จึงมีคนพบเห็นท่านเสมอ ที่มักเรียกขานกันว่า หลวงปู่เทพโลกอุดร ความจริงชื่อนี้ไม่มีใครเรียก หรือรู้จักกันในดง เห็นเรียกรูปพระที่ปรากฏในภาพถ่ายโบราณว่า พระครูเทพโลกอุดร ความจริงเป็นรูปหลวงพ่อตีนโต ท่านเป็นพระกรรมฐานนิกายธรรมยุตเกิดในสมัยรัชกาลที่ 4-5 เข้าเป็นศิษย์ ของหลวงตาดำรุ่นเดียวกับกรมพระราชวังบวรวิเศษไชยชาญ หรือพระองค์ดำ เป็นคนร่วมสมัยกับหลวงปู่สุก วัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงพ่อโพรงโพธิ์ ผู้มักท่องเที่ยวอยู่ในแถวจังหวัดกาญจนบุรี เหตุที่ชื่ออย่างนั้น เพราะท่านปลูกต้นโพธิ์เป็นวงกลม ปลูกติดๆ กัน พอต้นโพธิ์ใดขึ้นก็มีโพรงใหญ่อยู่ข้างใน ท่านก็ใช้เป็นที่อยู่ของท่าน

    พระในดงเขาไม่เรียกชื่อจริง ใครมีลักษณะแบบไหนก็เรียกตามนั้น ลืมชื่อสมมุติในโลกให้หมด หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า ท่านมีลักษณะสกปรกมอมแมมด้วยฝุ่นขี้เถ้า เพราะท่านนิยมก่อไฟบูชาไฟ เพ่งกสิณไฟ และไม่เคยอาบน้ำ ศิษย์ของท่านที่ผู้คนรู้จักกันดี คือ หลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา และ หลวงพ่อโอภาสี หลวงพ่อเศียรบาตร (หลวงปู่หัวยุบ) มีชื่อตามลักษณะของท่านซึ่งมีศีรษะโตใหญ่ และหลวงปู่ยามแดง

    ตามบันทึกของอาจารย์พันเอกชม บอกว่า 12 ตุลาคม 2535 เยี่ยมอาจารย์ชาญณรงค์ ไปกับ พ.อ. ยนต์ ท่านเล่าว่า หลวงพ่อตีนโต หลวงปู่สุข (อาจารย์แจ้งฌานแห่งเขาใหญ่) หลวงตาแป้น และท่านเจ้า (เสด็จในกรมวังหน้า ร.5) และหลวงพ่อโพรงโพธิ์ เรียนกับหลวงตาดำรุ่นเดียวกัน เป็นคนไทย 5 คนที่เรียนจบแล้วเป็นครูฝึก รุ่นเดียวกับอาจารย์ชาญณรงค์มี อาจารย์ประทุม อาจาร์เฉลียว อีกคนตายชื่อ ศิริ หลวงปู่แป้น หลวงปู่พลอย เป็นศิษย์นอกดงของหลวงตาดำ หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง หลวงพ่ออี๋ สัตหีบ เป็นศิษย์นอกดง (ไม่บ่งว่าเป็นศิษย์ของใคร) อาจารย์ฉลอง ผู้ทำยาทูลฉลอง อาจารย์พัว แก้วพลอย เป็นศิษย์นอกดง เรียนกับ หลวงปู่สุข (แจ้งฌาน) ที่เขาใหญ่

    6 สิงหาคม 2535 อาจารย์ชาญณรงค์เล่าว่า ลูกศิษย์นอกดงที่เก่งพิเศษอย่าง หลวงตาพุก เป็นเจ้าอาวาสวัดเชิงเลน 4 ตุลาคม 2529 จากคำเล่าของอาจารย์พันเอกชม ทำให้ทราบว่า ศิษย์ในดงนั้นมีหลายชาติ หลายภาษา หลายทวีป เมื่อใครเข้าไปอยู่ในข่ายฌานของหลวงตาดำ ท่านก็จะไปทรมานแล้วก็รับมาเป็นศิษย์ฝึกวิชากับท่านในดงลี้ลับ ซึ่งดงนี้ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ เพราะไม่ว่าจะอยู่ประเทศไทย เมื่อหลวงตาดำพาไป ก็ใช้เวลาพริบตาเท่ากัน คนอยู่ในประเทศไหนก็เลยคิดว่าดงนั้นอยู่ในประเทศของตน

    ในบันทึกของพ.อ.ชม กล่าวว่า... สามสหาย (พระอาจารย์ชาญณรงค์ หม่อมเจ้าไชยเดช พัฒนเดช และอาจารย์เฉลียว) อยู่ฝึกวิชาฌาน 8 กับหลวงตาดำในดงลี้ลับเป็นเวลาเกือบ 4 ปี เมื่อสำเร็จฌาน 8 ท่านก็ส่งตัวออกมาสู่โลกภายนอก เพื่อมาฝึกวิชาภาคสนามต่อสู้กับกิเลสตัณหา อันจะเป็นบรรทัดฐานให้ฝึกจิตชั้นสูงโลกุตรธรรมตราบจนสิ้นพระอรหันต์เป็นที่สุด สหายอีก 2 ท่านสึกออกมาฝึกในเพศฆราวาส มีเพียงท่านอาจารย์ชาญณรงค์เท่านั้นที่ยังคงเป็นบรรพชิต

    เมื่อจบออกมาสู่โลกภายนอกแล้ว หลักสูตรขั้นแรกคือต้องฝึกลูกศิษย์ให้ได้ 10 คนเป็นอย่างน้อย ตามหลักวิชาฤทธิ์อภิญญาที่เรียนมาจากในดง เพื่อสร้างคนมีคุณภาพไว้สืบพระศาสนา ศิษย์ที่ไปเรียนในดงลี้ลับ เรียกว่าศิษย์ในดง ส่วนศิษย์ที่เรียกต่อจากศิษย์ในดงเรียกว่าศิษย์นอกดง ถึงแม้นจะอยู่ในป่าเขาตลอดก็เรียกว่าศิษย์นอกดงอยู่นั่นเอง ศิษย์นอกดงรุ่นแรกของอาจารย์ชาญณรงค์เท่าที่ทราบมีหลวงพ่อคูณ ผู้โด่งดังในยุคปัจจุบัน เสือดำ ผู้ล่องหนหายตัว ซึ่งต่อมามีบารมีธรรมถึงขนาดหลวงตาดำมารับเข้าไปอยู่ในดงลี้ลับแล้ว อีกท่านมีนามว่า อาจารย์ละมูล ส่วนอาจารย์พันเอกชม เป็นศิษย์รุ่นหลัง และหลายสิบท่าน ซึ่งไม่ขอเอ่ยชื่อ เพราะไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของชื่อ

    การศึกษาในดงของอาจารย์ชาญณรงค์นั้นมีขั้นตอนต่างๆ ตามลำดับดังนี้ (จากบันทึกของอ.พันเอกชม ซึ่งไต่ถามพระอาจารย์ของท่าน)
    1. เมื่อเริ่มต้นไปฝึกสมาธิในดง ท่านสั่งให้นั่งสมาธิ รู้สึกนานเตรียมเลิกเอง พระอาจารย์ใหญ่(คือหลวงตาดำ) จะก้าวข้ามหัวไปเหยียบมือไว้ พูดว่า “เอ้านั่งให้มันตายไป”
    2. สมาธิดีพอควรแล้วให้ไปนั่งสมาธิในทางเสือผ่าน และสั่งว่าถ้าไม่อยากตายให้นั่งสมาธิ
    3. กำหนดให้เดินธุดงค์คู่แล้วเดินเดี่ยวไปในป่าลึก ในป่าประเทศต่างๆ หลายแห่ง บางครั้งต้องอดอาหารหลายวัน
    4. สอนให้ใช้พลังจิตจากง่ายไปหายากตามลำดับขั้นของสมาธิ การทำใบไม้ให้เป็นสัตว์ เดินลอดภูเขา เป็นต้น
    5. นั่งเข้าฌานให้ได้ในสภาพอากาศต่างๆ กัน เช่น เข้าฌานในทะเลทรายที่ร้อนจัดตามที่ท่านกำหนดให้ ฝึกอยู่ในทะเล 20 วัน
    6. เดินในเมืองตามเส้นทางที่ท่านกำหนด โดยไม่ให้พักเลย นอนได้วันละ 3 ชั่วโมง ไม่ให้เข้าอยู่ใต้ชายคา

    7. ไม่ให้พูด 15 วัน และกำหนดเส้นทางให้เดิน
    8. ให้เป็นคนขอทานครบ 27 วัน ไม่ให้เงิน วันหนึ่งให้ขอ 2 คน ขออาหารกิน 5 แห่ง ขอเงินจากคนหนึ่งเพียงบาทเดียว ต่อไปต้องหาใช้คืนเขา 2,500 บาท
    9. ช่วยแก้ทุกข์ของคนตามกำหนด เช่น ช่วยรักษาคนป่วยโรคมะเร็ง คนติดเฮโรอีน คนขอย้ายที่ทำงาน เป็นต้น
    10. เรียนจบปีที่ 6 แล้วให้โดดลงเหวลึกสลบไป 4 วัน ให้รู้เห็นว่ามีกายทิพย์ออกจากร่างไปเที่ยวไกลๆ เหมือนคนตายแล้วฟื้น หรือที่ตายจริง เป็นการเรียนรู้การตายว่าตายอย่างไร
    11. นั่งบนน้ำแข็ง 20 วัน ที่เมืองซีแอตเติล ในอเมริกา เมื่อ 31 สิงหาคม 2526
    12. ขั้นสุดท้ายฝึกล่องหนหายตัว ขั้นนี้รวมฝึกพร้อมๆ กันทั้ง 8 ท่าน เมื่อมาถึงขั้นนี้หากเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคอะไรก็ดีท่านห้ามรักษา ไม่ว่าจะด้วยยาสมุนไพรหรือพลังจิต ให้เรียนรู้การเจ็บป่วย

    ท่านอาจารย์ชาญณรงค์ ท่านเป็นโรคริดสีดวงทวาร ท่านก็ปล่อยไว้อย่างนั้นไม่ยอมรักษาจนอาการหนักเขา ลูกศิษย์นำท่านไปโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ก่อนจะสิ้นใจท่านสั่งโยมอุปัฏฐากไว้ว่า ให้จัดศพอย่างไร ห้ามหมอฉีดยากันเน่าเหม็นให้คงธรรมชาติไว้ที่สุด เมื่อท่านสิ้นใจแล้วเขาก็แต่งศพท่านตามคำสั่ง แล้วนำศพไปเก็บไว้ที่ศูนย์ฝึกวิชาของท่านแก่ศิษย์ๆ แถวถนนวงแหวนพุทธมณฑล เมื่อครบ 7 วัน ก็ทำบุญให้ท่าน เขาเปิดดูศพก็เหมือนคนนอนหลับ ทั้งไม่มีกลิ่นเหม็นใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากกลิ่นอับเท่านั้น พอครบ 50 วันก็เปิดศพอีกทีหนึ่ง ปรากฏรูปหน้าไม่ใช่ท่านแล้ว อาจารย์พันเอกชมเอามือเข้าไปควานดูภายในก็มีแต่ว่างเปล่า หามีร่างกายของท่านไม่ คงเห็นแต่ภายนอกว่ามีศีรษะ เท้า 2 ข้าง และมือ 2 ข้าง ที่โผล่ออกจากผ้า ท่านจึงถ่ายรูปไว้ แล้วนำมาขยายให้เท่ากับใบหน้าคน

    ปรากฏว่าใบหน้าศพกับหน้าของท่านไม่มีร่องรอยสักนิด แต่ใบหน้านั้นเหี่ยวแห้งแล้ว เป็นหน้ายาวรูปหน้าเหมือนหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี มีไฝเม็ดใหญ่ที่แก้มขวา ฟันล่างเกและห่าง ซึ่งจากคำบอกเล่าของศิษย์บอกว่า ฟันของท่านอาจารย์ชาญณรงค์ขาวสะอาด เรียงเป็นแถวสวยงามดุจไข่มุกที่ร้อยเป็นทาง ไม่มีลักษณะฟันเกเลย ซึ่งผิดกับศพอย่างเห็นได้ชัด จึงสันนิษฐานว่าท่านใช้วิชาสับเปลี่ยนร่าง หรือเนรมิตร่างตายแทน แล้วล่องหนหายตัวไปอยู่ในดงลี้ลับแล้ว

    ซึ่งเรื่องนี้มีตัวอย่างของพระในดงรูปอื่นๆ ในอดีตเป็นเรื่องเทียบเคียง เช่น หลวงปู่โพรงโพธิ์ ทนคนมารบกวนมาขอหวยไม่ไหว จึงให้เสือมาคาบร่างไปกลางคืน วันต่อมาชาวบ้านไปพบศพของท่านก็เสียใจร้องไห้ แล้วทำการฌาปนกิจศพของท่าน อยู่ไม่นานก็มีคนไปพบท่านยังมีชีวิตอยู่ในโพรงโพธิ์เหมือนเดิม จึงไปนิมนต์มาอยู่วัดที่สร้างขึ้นมานั้นอีก แล้วต่อมาก็มีคนไปพบท่านอีกที่นั่นบ้าง ที่นี่บ้าง และหลวงพ่อโอภาสี ซึ่งเป็นศิษย์ของขัวขี้เถ้า เมื่อมรณภาพแล้ว มีชาวอินเดียที่มาเมืองไทยมาเห็นภาพของท่านบอกว่า เขาเห็นพระรูปนี้อยู่ที่อินเดีย ยืนยันว่าเป็นคนเดียวกับภาพที่เห็นนี้จริง

    ผู้ที่ฝึกสำเร็จเมื่อไปอยู่ในดงลี้ลับแล้ว เมื่อจากไปมีอายุเท่าไรก็จะมีอายุเท่านั้น เป็นอมตะหรือยืนยาวถึงหมื่นปี เพราะโลกของชาวบังบดหรือเมืองลับแล คนที่ไปอยู่ที่นั่นจะต้องอายุยืนยาว พระอาจารย์ชาญณรงค์ท่านเล่าให้ศิษย์ฟังว่า เมื่อเจ้าไปอยู่ดงใหม่ๆ นั้น ท่านเห็นพระรูปหนึ่งแก่หง่อมมาก ตัวสั่นงกเงิน เดินหลังโกงเหมือนมีอายุมากที่สุดในดง เมื่อสอบถามดูปรากฏว่ามีอายุน้อยกว่ารูปอื่นๆ ที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ราว50-60 ปี ที่เป็นเช่นนี้เพราะฝึกตอนแก่ เมื่อสำเร็จแล้วเข้าไปอยู่ในดง ท่านก็จะปรากฏในวัยนั้นตลอดไป บางท่านเห็นหน้าในวัยกลางคน เมื่อถามอายุกลับประมาณไม่ได้ว่ากี่ร้อยปี

    การมีอายุยืนยาวของท่านเหล่านี้ จะเป็นด้วยการบำเพ็ญอิทธิบาทธรรมตามหลักของพระพุทธเจ้า ถ้าทรงบำเพ็ญอิทธิบาทธรรมก็ต้องอยู่ในอีกมิติหนึ่งเช่นท่านเหล่านี้ จึงสามารถมีอายุได้เป็นกัลป์ดุจพระไตรปิฎกกล่าวถึง หรือว่าเพราะบรรดาท่านที่อยู่ในดงลี้ลับฉันยาอายุวัฒนะแล้วเข้าสมาบัติทุกเดือน จึงมีอายุนานเป็นร้อยเป็นพันปี

    ตั้งแต่นั้นคนจะเห็นโทษเห็นภัยของความชั่วคนชั่วจะพากันตายในสงครามเป็นจำนวนมาก คนที่เหลือเป็นคนมีบารมีพอโปรดได้ พระอาจารย์ชาญณรงค์เคยเล่าให้ศิษย์ฟังว่า..เรื่องบุญบารมีของคนนี้มันแตกต่างกัน มีวาสนาบารมีทางไหนก็ไปทางนั้น ถ้ามีทางธรรมแก่กล้ามาแต่ชาติปางก่อนและมีความเกี่ยวพันกับพระอาจารย์ในดงมาก่อน ท่านจะรับตัวไปฝึกตั้งแต่เด็ก เช่น ผู้ที่หลวงตาดำมารับเข้าไปอยู่ในดงตั้งแต่เด็กน้อยมีอยู่คนหนึ่ง มีปานเป็นรูปใบโพธิ์อยู่หน้าผาก ความพยายามเฟ้นหาลูกศิษย์เพื่อถ่ายทอดวิชาของพระอาจารย์ในดงนี้ มีจุดประสงค์ก็เพื่อแก้ไขพระศาสนาในยุคกึ่งพุทธกาลและรับสงครามใหญ่ที่จะเกิดขึ้น จากนั้นท่านจะเปิดตัวและทำการชำระพระศาสนาให้บริสุทธิ์พระศาสนาจะเจริญรุ่งโรจน์ขึ้นอีกครั้ง บรรดาเหลือบศาสนาต่างๆ จะหมดไปมิจฉาทิฐิก็จะหมดไป เพราะเห็นแจ้งถึงความจริงต่างๆ ทุกวันนี้ท่านก็เริ่มเปิดตัวขึ้นมากแล้วเพื่อเตรียมการณ์

    ประเทศไทยเรานี้มีอะไรดีๆที่แตกต่างจากประเทศอื่น ถึงจะดีจะชั่วอย่างไรเราก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองป้องกันมาตลอด ผู้ที่ป้องกันเราไว้คือพระอาจารย์ในดงนี่เอง เสียงจากในดงเล่าว่า...การที่ไทยเราไม่เสียเมืองให้อังกฤษเพราะอภินิหารของสมเด็จกรมพระราชวังบวรวิเศษชัยชาญ อาจารย์ในดง ซึ่งไปเหยียบเรืออังกฤษหรือฝรั่งเศสก็ไม่แน่ใจจนเรือเอียง ทำให้ฝรั่งเห็นว่าในหลวงของเราทรงมีพระบรมเดชานุภาพมาก จึงพากันถอยออกไป พระอาจารย์ในดงได้ช่วยเหลือประเทศชาติของเราให้หลุดพ้นจากมหาวิบากในรูปแบบที่แตกต่างกัน เราจึงเป็นหนี้บุญคุณของท่านโดยไม่มีโอกาสได้รู้ได้เห็น เพราะท่านเหล่านี้ทำอะไรไม่หวังผลตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นเกียรติยศ ชื่อเสียง หรือลาภสักการะ ทำแล้วก็แล้วกัน ขอให้ผลเกิดขึ้นมาเป็นดี ประชาชนมีความร่มเย็นเป็นสุขก็เป็นอันใช้ได้

    ในวงการปฏิบัติธรรม หากพระภิกษุหรือฆราวาสท่านใดมีจิตใจมุ่งมั่นในการปฏิบัติกรรมฐาน ชอบหลีกเร้นท่องเที่ยวอยู่ในดงดุจพญาราชสีห์ พระอาจารย์ในดงท่านจะไปโปรดช่วยเหลือแนะนำสั่งสอนเอง แม้แต่หลวงปู่ทวด และหลวงปู่โต สมัยที่ท่านหายไปหลายปี ท่านก็เข้าไปอยู่ในดงกับหลวงตาดำ เช่นกัน สิ่งละอันพันละน้อยที่หยิบออกมาจากบันทึก เท่าที่ข้าพเจ้าจะพอสรุปได้มีเพียงเท่านี้พอเป็นหลักฐานของครูบาอาจารย์ในดงลี้ลับ


    ขอขอบพระคุณและโมทนาบุญอย่างสูงสำหรับข้อมูลจาก :
    • หนังสือโลกทิพย์ ปีที่ 14 ฉบับที่ 308 ประจำเดือนพฤศจิกายน 2538: สันยาสี เรียบเรียง. หน้า18-58.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2013
  12. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ raming2555

    สมัยโน้น..หลวงปู่น้อย บอกกับลูกศิษย์ว่า ในยุคนี้ คนที่จะเล่นแร่แปรธาตุได้ เหลือหลวงพ่อเทพฯ รูปเดียวแล้ว... เสียดายว่า สมเด็จพระสังฆราชซึ่งพึ่งสิ้นพระชนม์ไปนี้ ได้เคยไปหาหลวงพ่อเทพฯที่วัด และขอว่าอย่าแสดงฤทธิ์อีกเลย เพราะผู้คนจะติดแต่เรื่องฤทธิ์ ไม่สนใจธรรมะเท่าที่ควร...หลวงพ่อเทพฯท่านเคารพครูบาอาจารย์ เคารพสมเด็จพระสังฆราชมาก รับสั่งอะไรมา ท่านทำตามทุกอย่าง ไม่มีต่อปากต่อคำหรือจะต่อรองแม้แต่สักครึ่งคำ .. หลังจากนั้นมา เมื่ออยู่ในประเทศไทยก็จะไม่ค่อยเห็นหลวงพ่อเทพฯแสดงฤทธิ์ แต่ว่าไปต่างประเทศนี่หลวงพ่อเทพฯท่านแสดงได้ เพราะฝรั่งไม่ปรามาสท่าน เหมือนคนไทย เลยกลายเป็นว่าชาวต่างชาติได้เห็น มากกว่าคนไทย...

    สมเด็จพระสังฆราช สมัยก่อนท่านก็สนใจและศึกษาเรื่องภิญญา ท่านเคยไปเรียน
    วิชากับ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี หรือ พระราชสังวราภิมณฑ์ (โต๊ะ อินฺทสุวณฺโณ)
    หลวงปู่โต๊ะ ท่านได้ไปทำพิธีเจิมป้าย ตึกสูงถึง ๑๔ ชั้น ท่านอยู่ที่ชั้นล่างสุด
    เมื่อท่านเขียนยันต์ลงบนฝ่ามือท่าน แล้วใช้ นะ ปัดตลอด ยันต์ที่ท่านเขียนลงที่มือนั้น
    ไปติดอยู่ที่บนตึกหมดทั้ง ๑๔ ชั้น (ท่านปิดฝ่ามือแล้วสวดพระคาถา บทอิติปิโสเจ็ดคาบ รวดเดียว
    จบ แล้วท่านจึงอธิฐานพลิกฝ่ามือ เมื่อท่านแบบมือออก ยันต์ที่ท่านเขียนได้หายไปจากฝ่ามือของท่าน พร้อมกับวิ่งไปติดเอง พร้อมกันที่หน้าตึกทั้ง ๑๔ ชั้น) ครับ

    ก่อนพระสมเด็จญาน ท่านจะกลับ หลังจากชมพระอาจารย์เทพฯแสดงฤทธิ์ท่านได้มอบพระกริ่งไพรีพินาศ วัดสุทัศน์ไว้ให้ พระอาจารย์เทพฯ เป็นที่ระลึก
    พระอาจารย์เทพฯ ได้มอบให้เราเก็บรักษาไว้ เมื่อเราไปพบท่านที่วัดครับ

    https://scontent-b-sjc.xx.fbcdn.net...=3b32d27982fbf855f7ca303a3d7564a7&oe=52798BBF
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2013
  13. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,276
    ค่าพลัง:
    +82,733
    [​IMG]
     
  14. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    ชมถ้ำเพลินเชิญเหล็กไหลจึงได้กลับ
    หนทางลับสลับแลแปรธาตุนั้น
    ห้าก้อนถือหนึ่งกำมือหายตามกัน
    เหล็กไหลนั้นแทรกอากาศแยกธาตุมา

    พอได้เห็นเป็นแรงใจในตัวธาตุ
    มาเขียนวาดลงกระทู้คู่ธรรมสอน
    เป็นทางผ่านพักหายเหนื่อยค่อยจากจร
    เป็นอุปกรณ์สอนธรรมนำขึ้นมา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC05587.JPG
      DSC05587.JPG
      ขนาดไฟล์:
      474.5 KB
      เปิดดู:
      38
    • PICT1044.JPG
      PICT1044.JPG
      ขนาดไฟล์:
      952.5 KB
      เปิดดู:
      54
    • DSC06767.JPG
      DSC06767.JPG
      ขนาดไฟล์:
      613.9 KB
      เปิดดู:
      34
  15. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    วันจันทร์ ที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
    เวลา ๑๔.๕๘ น.
    ได้โอนเงินจำนวน ๑,๐๐๐ บาท(หนึ่งพันบาทถ้วน)
    เข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย
    สาขา : เทสโก้ โลตัสวังหิน
    เลขที่บัญชี : ๙๘๐-๕-๘๙๓๗๘-๒
    ชื่อบัญชี : สุรภา คงนิล (Surapa Kongnil)
    เพื่อร่วมบริจาคค่าHostingของเว็บพลังจิตครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC05587.JPG
      DSC05587.JPG
      ขนาดไฟล์:
      474.5 KB
      เปิดดู:
      33
  16. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    ข้อความเดิมจาก ท่าน raming2555
    สมัยที่อยู่กับหลวงพ่อเทพ พรหมาจารย์ ท่านเคยเล่าว่าเมื่อครั้งธุดงค์อยู่ในป่า เจอภิกษุดำ รูปหนึ่ง มาสอนวิชาให้ ไปมาไร้ร่องรอย...หลวงพ่อเทพฯท่านเป็นพระอภิญญา ที่เล่นแร่แปรธาตุได้ สำเร็จวิชาปรอท... สำหรับภิกษุดำนั้น ศิษย์สายในดง น่าจะรู้จักกันดี...ผมเคยถามหลวงพ่อเทพฯว่า หลวงปู่เทพโลกอุดร คือใคร...ท่านบอกว่า น่าจะเป็นการเรียกกันไปเองโดยเพิ่มคำว่าเทพเข้าไป เดิมเรียกว่าหลวงปู่โลกอุดร...น่าจะหมายถึง โลกุตตระ+อุดร คือ เหนือ รวมกันแล้วก็คือ พระที่ท่านอยู่เหนือโลก ก็คือพระอริยะเจ้านั่นเอง...

    อ่านจากท่าน toplus99 เล่ามาเหมือนว่าพระภิกษุดำท่านเป็นอาจารย์ของหลวงปู่โลกอุดรอีกทีหนึ่ง ซึ่งผมสันนิษฐานว่าจะเป็นรูปเดียวกันกับที่มาสอนวิชาให้หลวงพ่อเทพฯในป่า...
    ที่ยังสงสัยอยู่บ้างก็คือว่า หลวงปู่มั่นและศิษย์ของท่านจำนวนมากก็ธุดงค์ในป่าเป็นส่วนใหญ่ ผมยังไม่เคยอ่านเจอว่าหลวงปู่มั่นและศิษย์ของท่านได้เจอพระภิกษุดำหรือหลวงปู่โลกอุดร มาให้คำแนะนำในการเจริญกรรมฐานเลยนะ(หรือว่ามีแต่ผมอ่านไม่เจอ?)
    หลวงพ่อปาน หลวงพ่อจง หลวงพ่อสุ่น หลวงพ่อเนียม ฯลฯ ก็ไม่เคยพูดถึง....

    ผมก็เดาของผมเองอีกนั่นแหละว่า อาจจะเป็นที่สายบุญทำกันมาคนละสายอีกหรือเปล่า? จึงไม่ได้มาเจอกัน... ใครเคยมีบุญทำร่วมกันมากับท่านก็จะได้เจอ หรือว่าจะมีเงื่อนไขอื่นๆ...มีใครทราบบ้าง???
    เอ้า...รอท่านคมสันต์มาเฉลยที...

    รายชื่อศิษย์หลวงหลวงปู่หญ่หรือพ่อดำ มี 
    พระอาจารย์ชาญณรงค์ อภิชิโต (ศิริสมบัติ)
    หลวงปู่วัย จัตตาลโย       หลวงพ่อยี วัดดงตาก้อนทอง  
    พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี
    หลวงพ่อเทพ ถาวโร  จ.ลพบุรี  หลวงปู่คําคะนิง จุลมณี วัดถ้ำคูหาสวรรค์
    หลวงปู่เปลื้อง วัดลาดยาว จ.นครสวรรค์ ปู่โทน หลำแพร อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์
    พันเอกชม สุคนธรัตน์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC08985.JPG
      DSC08985.JPG
      ขนาดไฟล์:
      514.7 KB
      เปิดดู:
      31
    • DSC09015.JPG
      DSC09015.JPG
      ขนาดไฟล์:
      540.6 KB
      เปิดดู:
      41
    • DSC09117.JPG
      DSC09117.JPG
      ขนาดไฟล์:
      552.9 KB
      เปิดดู:
      33
  17. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    แท้จริงแล้วลูกศิษย์หลวงปู่ใหญ่ มีมากมายหลายท่านมากทั้งพระและฆราวาส
    นอกเหนือจากที่ท่านคมสันต์กล่าวมาในบทความข้างต้น

    มีเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องคือ...

    ในคืนเดือนสว่างคืนหนึ่ง คณะของหลวงปู่ใหญ่ 4-5 รูป พากันเหาะจากท้องฟ้ากลางอากาศชัดเจน มาแต่ไกลลงมาที่ศาลาธรรมวัดโนนชาด(หลวงปู่ปิยะ) อ.คำตระกร้า สกลนคร มีคนดังผู้ชื่อเสียง ระดับประเทศ รวมทั้งคนในงานพิธีหลานร้อยคน ต่างเห็นประจักษ์แก่สายตา รับรู้เป็นพยานยืนยันกันได้หลายคน

    กลิ่นหอมแบบหาที่ใดในโลกไม่ได้ แต่มีเงื่อนไขว่า...ในบริเวณวัดก่อนที่ท่านจะมาห้ามเปิดไฟแสงสว่างใดๆ ......
     
  18. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ลองตามLink นี้ดูครับ

    http://www.kroobannok.com/blog/7046

    ....ขออนุญาตสานต่อเรื่องปู่เทพโลกอุดร...
    เพราะครูรัชนีได้ติดตามเรื่องราวลี้ลับนี้พอสมควรจึงได้นำ

    ข้อมูลบางส่วนมาเพิ่มเติมให้ผู้อ่านได้ทราบ ถึงปาฏิหารย์หลวงปู่ทราบมาว่าบางครั้งปรากฎกายเป็นเด็ก..

    บางครั้งเป็นคนแก่..บางครั้งเป็นคนพิการ..เพื่อทดสอบจิตมนุษย์เรา..

    ประสบการณ์ลี้ลับ:พระภิกษุลึกลับ “หลวงปู่เทพโลกอุดร”

    จากได้ติดต่อสัมภาษณ์ คุณพิศมัย ทรัพย์สุคนธ์ “หมอดูลายเท้า” ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับท่านหนึ่ง ซึ่งมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย เมื่อได้พูดคุยกันคุณพิศมัยได้เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ประหลาดที่ได้พบเห็นหลากหลายเรื่องราว นับจากวัยเด็กที่คุณพิศมัยฝึกนั่งสมาธิ ท่านก็ได้ไปเยือนในภพภูมิเทวดาและได้ติดต่อพูดคุยกับโอปปาติกะชั้นสูง แม้แต่การจะช่วยเหลือคนในบางครั้งก็ได้วิธีที่ “ข้างบน” กำหนดลงมา


    คุณพิศมัยเป็นอีกคนหนึ่งที่เวลาพูดอะไรออกไปแล้วมักจะเกิดเหตุการณ์นั้น นั่นเป็นเพราะครั้งหนึ่ง คุณพิศมัยเคยพบกับพระเกจิอาจารย์ที่มีวิชา ท่านได้ให้พรอันหนึ่งว่า “เมื่อจะพูดอะไรออกไปขอให้เป็นจริงตามนั้น” เรื่องนั้นเกิดขึ้นนานแล้ว คุณพิศมัยยังจำได้ไม่ลืม เธอได้เล่าให้ฟังว่า
    “สมัยนั้นสามีฉันเป็นนายสถานีรถไฟใหญ่ที่หัวลำโพง ฉะนั้นเวลาคนสำคัญมาก็ต้องต้อนรับ หลวงพ่อท่านคล้ายวาจาศักดิ์สิทธิ์ ท่านนั่งรถไฟมาลงที่หัวลำโพง มีคนไปต้อนรับท่านเยอะ ขาท่านไม่มีข้างนึงนะ ไปไหนต้องมีคนอุ้ม ก็ได้พบและกราบท่าน ครั้งนั้นท่านได้ให้พร คือให้ฉันพูดอะไรเป็นจริงเหมือนท่าน แล้วก็เป็นจริงๆ จนหลายคนบอกว่าฉันนี่มีอะไรแปลกๆ ในตัวเสมอ”
    ภายในห้องกระจกที่ใช้รับแขกหรือตรวจดูลายเท้าที่บ้านของคุณพิศมัยนั้นมีลักษณะที่น่าสนใจ เพราะเต็มไปด้วยรูปเคารพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และรูปภาพของเหล่าเกจิอาจารย์มากมาย และมีอยู่รูปหนึ่งเป็นรูปของ “หลวงปู่เทพโลกอุดร” ซึ่งคุณพิศมัยให้ความนับถือ เคารพบูชากราบไหว้อยู่ทุกวัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาจารย์ได้พบปรากฏการณ์มหัศจรรย์เกี่ยวกับพระภิกษุรูปนี้มาแล้วนั่นเอง คุณพิศมัยย้อนเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังว่า
    “ตอนนั้นฉันไปอยู่ที่ซานฟรานซิสโก ท่านก็ไปเข้าฝัน คือปกติท่านจะมาในนิมิตบ่อย มาบอกคาถาให้หรือมาเตือนด้วยเรื่องต่างๆ คราวนี้ท่านมาเข้าฝันบอกเรื่องราวบางอย่าง ทำให้เรานึกไปถึงลูกชายที่เมืองไทย ก็เลยโทร.มาหาลูกชายบอเขาว่า ถ้ามีคนแก่ขอทานมาที่บ้าน มาในลักษณะของท้าวแสนปม หน้าตาไม่ดีก็อย่าไปว่า อย่าไปไล่เขานะ ให้ทานเขาไป แล้วก็จริงๆ พอ 3 วันจากนั้นท่านก็มาเลย มาให้เห็น ลูกชายบอกเห็นยืนอยู่หน้าบานแว๊บเดียว พอหันมาอีกทีก็หายไปแล้ว ท่านมาลองว่าลูกชายใจบุญมั้ย (หัวเราะ)
    ผู้เขียนบังเอิญไปเห็นรูปของคุณพิศมัยที่ถ่ายไว้ที่ประเทศฮอลแลนด์ และได้เห็นรอยภาพปริศนาที่ประทับอยู่หน้าผากของเธอ ซึ่งเป็นรอยอะไรนั้น คุณพิศมัยบอกว่า
    “ผู้หญิงที่ถ่ายกับฉันในรูปคือคนไทยชื่อ ซูซาน เขาไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น แล้วคนนี้เขานับถือหลวงปู่เทพโลกอุดรอยู่แล้ว แต่ฉันไม่รู้ เพราะตอนไปที่นั่นก็ไปดูให้กับลูกศิษย์ พอดีเขารู้ข่าวเขาก็ต้องการจะลองดูบ้าง ก็เชิญฉันไปพักที่บ้านเขาคืนนึง ปรากฏว่าคืนนั้นฉันก็นอนไม่หลับ ก็บอกกับเขาว่า สงสัยในบ้านเธอต้องมีอะไรซักอย่าง เขาบอกว่า มี‚เดี๋ยวจะเอามาให้ดู ก็เห็นเขาถือก้อนหินมาก้อนนึง ฉันก็ไม่ทราบว่ามีอะไรอยู่ในนั้น เขาก็เอามาให้ถือ ให้อธิษฐาน พออธิษฐานปุ๊บ‚เชื่อมั้ย รูปหลวงปู่เทพโลกอุดรก็ปรากฏอยู่บนหน้าผากฉันเลย ฉันร้องไห้เลย ร้องโดยไม่รู้ตัว ประหลาดมาก และทำให้ฉันนับถือท่านยิ่งขึ้น”
    คุณพิศมัยให้คาถาบูชาหลวงปู่เทพโลกอุดร ซึ่งอาจารย์บอกว่าหลวงปู่มานิมิตบอกให้โดยตรง ซึ่งหากใครท่องบูชาและอธิษฐานขอให้ท่านคุ้มครอง สิ่งต่างๆ ที่ไม่ดีก็จะถูกปัดเป่าให้พ้นไป บางคนท่องบูชามากๆ เข้าจะสามารถสัมผัสกับบางสิ่งบางอย่างได้ คาถาบทนนั้นเริ่มต้นด้วย นะโม 3 จบ และตามด้วย
    “โลกุสสะโร มหาเถโร อะหังวันทา เมตตาลาโภ นะโสมิยะ”
    “หลวงปู่เทพโลกอุดร” คือใครนั้นเป็นความลึกลับอย่างหนึ่งในวงการสงฆ์ มีการกล่าวขานถึงท่านมานานว่ามีอยู่จริงหรือเป็นเรื่องหลอกลวง เรื่องราวของท่านเคยขึ้นหน้า 1 เป็นข่าวครึกโครมเมื่อราวกลางปี 43 เนื้อข่าวระบุว่าเรื่องของ หลวงปู่เทพโลกอุดร เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นและดูงมงาย พิสูจน์ไม่ได้ แต่พาดหัวข่าวไม่กี่วันเรื่องก็เงียบไป จริงๆ แล้วพระภิกษุรูปนี้จะมีจริงหรือไม่ ผู้เขียนไม่ขอชี้นำ แต่ขอให้ผู้อ่านลองฟังเรื่องราวจากผู้ที่มีประสบการณ์ตรงได้เล่าไว้ถึงความเป็นมาของพระภิกษุรูปนี้ดูก่อน เมื่อได้สัมผัสพูดคุยกับผู้ที่เคยพบเห็นพระภิกษุรูปนี้หลายๆ คนแล้วจะรู้สึกเหมือนผู้เขียนว่า ถ้าหลวงปู่เทพโลกอุดรไม่มีตัวตนจริงในโลก เหตุใดจึงมีใครหลายๆ คนเคยพบเห็นภาพลักษณ์ของท่านและบรรยายลักษณะของท่านออกมาได้ตรงกัน คือเป็นพระภิกษุที่มีลักษณะเหมือนคนโบราณ มีผิวพรรณผ่องใส มีสง่าราศรี น่าเคารพนับถือ ดูจากรูปร่างภายนอกดูหนุ่มแน่น แต่ศีรษะกลับมีผมหงอกขาวโพลนและมีเท้าใหญ่กว่าคนปกติทั่วไป
    จากข้อมูลเกี่ยวกับ “หลวงปู่เทพโลกอุดร” ที่ผู้เขียนได้รวบรวมไว้ กล่าวได้ว่า หลวงปู่ฯมีประวัติความเป็นมาที่ลึกลับซับซ้อน ไม่มีหลักฐานใดมายืนยันได้ว่าท่านเกิดในสมัยใด มาจากไหน ทำให้มีการศึกษาค้นคว้าเรื่องของท่านกันอย่างกว้างขวาง สำหรับผู้ที่สนใจความลี้ลับมหัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา จนมีข้อสรุปและสันนิษฐานว่า “หลวงปู่เทพโลกอุดร” คือพระสงฆ์ผู้ทรงอภิญญา มีความเป็นอมตะไม่ตาย โดยอาจเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งเมื่อครั้งพุทธพาลที่นิพพานไปแล้ว แต่ยังมีธาตุขันธ์อยู่

    คำว่า “นิพพาน” ตามหลักพุทธศาสนา หมายถึง การดับกิเลสและกองทุกข์ ซึ่งเป็นจุดหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา ซึ่ง “นิพพาน” นั้นมีอยู่ 2 อย่าง คือ
    1. สอุปากิเลสนิพพาน คือการดับกิเลสขณะยังมีเบญจขันธ์เหลืออยู่
    2. อนุปาทิเลสนิพพาน คือการดับกิเลสโดยไม่มีเบญจขันธ์เหลืออยู่



    เสียงจีวรสะบัดพรืดเดียว ปรากฏว่ารถทั้ง 31 คันได้รับการเจิมเป็นอักขระด้วยแป้งที่หอมมาก และแต่ละคันอักขระจะไม่เหมือนกันเลย แต่หอมและติดอยู่นานเป็นเดือน เมื่อท่านเดินขึ้นมาบนศาลา ท่านเดินไปที่ตุ่มน้ำมนต์ แล้วชี้ไม้เท้าไปที่ตุ่มน้ำมนต์เป่าลมเสียงดัง 3 ครั้ง อ่างน้ำมนต์กระเทือนจนน้ำมนต์กระฉอกขึ้นทั้งสามครั้ง พอท่านเอาไม้เท้าชี้ไปที่กองมะพร้าวน้ำหอม 20 กว่าลูกที่ทุกคนถวาย กองมะพร้าวก็สั่นสะเทือนและแห่งหมดทุกใบ เสร็จแล้วท่านก็เดินวนรอบคณะผู้มาทอดกฐินที่นั่งเรียงแถวกันอยู่ ทุกคนพากันเอาเงินทำบุญใส่เบญจขันธ์หรือขัน 5 ในที่นี้ หมายถึง รูป เวทนา สัญญา สังขารและ วิญญาณ มีผู้อ่านหลายท่านเข้าใจว่า “การนิพพาน” คือศัพท์ที่ใช้เรียกพระอรหันต์ที่มรณภาพแล้วเท่านั้น และเมื่อพระอรหันต์นิพพานก็ต้องหายไปจากโลกนี้ เพราะได้ตายจากไปแล้ว แต่แท้ที่จริง “การนิพพาน” ของพระอรหันต์นั้นมี 2 แบบ อย่างที่กล่าวไว้และหลายท่านอาจจะเข้าใจขึ้นว่า เพราะเหตุใด หลวงปู่เทพโลกอุดรท่านจึงยังคงมีร่าง มีฤทธิ์ให้ใครต่อใครได้เห็นอยู่อีก?

    ผู้เขียนเคยได้พูดคุยกับพระภิกษุและฆราวาสที่ฝึกจิต ปฏิบัติธรรมหลายท่านที่ต่างเคยได้พบเห็น “หลวงปู่เทพโลกอุดร” ทั้งเห็นใน “จิต” และเห็นจาก “ตาเนื้อ” เคยถามว่าถ้าหลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านอยู่ที่ไหน คำตอบได้มาเหมือนกัน ทุกคนบอกว่า ท่านมักอยู่ในดงลึกที่เงียบสงบและอยู่ในทุกภพทุกภูมิที่ท่านต้องการไป ผู้ที่จะเจอท่านได้ต้องปฏิบัติธรรมให้ได้ญาณและบารมีสูงพอที่จะเข้าไปสู่มิติของท่านได้ และในแต่ละยุคสมัยที่ผ่านมา หลวงปู่เทพโลกอุดร มักนำพาบุคคลที่มีความพิเศษพอที่จะฝึกจิตได้ทั้งพระและฆราวาสไปฝึกในป่าลึก บุคคลเหล่านั้นหลายท่านยั้งมีชีวิตอยู่ในสมัยปัจจุบันที่เรารู้จักก็มี อาทิ หลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี พ.อ.ชม สุคันธรัต ครูบาลุ่ม สันตจิตโต วัดจันทาราม จ.เพชรบูรณ์ ครูบาบุญชุ่ม ญาณสังวโร หลวงปู่กอง จันทวังโส วัดสระมณฑล จ.อยุธยา หลวงปู่โงน โสรโย วัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร ปู่โทน หลำแพร (เป็นฆราวาส เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปลายปี 2543) ฯลฯ
    เรื่องราวของ “หลวงปู่เทพโลกอุดร” มีบุคคลหลายวงการให้ความสนใจและพิสูจน์ เมื่อครั้งที่ท่านมาปรากฏตัวและแสดงฤทธิ์ให้เป็นที่ประจักษ์ที่วัดโนนชาด อ.คำตะกร้า จ.สกลนคร นั้นมีผู้หลักผู้ใหญ่ บุคคลสำคัญ นักวิชาการบางท่าน รวมถึงชาวบ้านได้ไปรอดูเพื่อพิสูจน์กันอย่างมากมาย และก็ได้เห็นจริงอย่างไม่น่าเชื่อ เหตุการณ์ในวันนั้นทางวัดโนนธาตได้จัดให้มีการทอดกฐินเพื่อถวาย หลวงปู่เทพโลกอุดร เมื่อตั้งองค์กฐินเสร็จ ทุกคนก็สวดมนต์ พอทั้งหมดสวดมนต์จบขณะที่ก้มลงกราบพร้อมกันก็ปรากฏเหตุมหัศจรรย์ มีพระภิกษุรูปหนึ่งสูงเกือบ 2 เมตร ห่มจีวรลึกลับเข้มคลุมตลอดศีรษะ ผมของท่านเป็นหางเปียขนาดใหญ่ยาวเกือบถึงพื้น ท่านปรากฏกายให้ทุกคนเห็นตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่มีใครทราบ ท่านกระแทกไม้เท้ากับพื้นดังสนั่นแล้วชี้ไปที่องค์กฐินที่ทุกคนต้องถวาย กุฎิทั้งหลังสั่นสะเทือน พอทุกคนก้มลงกราบเสร็จเงยหน้าขึ้นมาดู ท่านก็หายไปแล้ว เหลือแต่กลิ่นหอมประหลาด กลิ่นหอมนี้ไม่เหมือนดอกไม้ที่มีในโลกมนุษย์ หอมมาก และสักครู่ทุกคนก็ได้ยินเสียงไม้เท้ากระทบพื้นอีกครั้ง เมื่อต่างเหลียวไปดูที่ทางเดินก็เห็นพระภิกษุรูปนั้นเดินมาบนถนน ท่านเดินผ่านรถทั้งหมด 31 คันที่จอดอยู่ ทุกคนได้ยินเสียงจีวรสะบัดพรืดเดียว ปรากฏว่ารถทั้ง 31 คัน ได้รับการเจิมเป็นอักขระด้วยแป้งที่หอมมาก และแต่ละคันอักขระจะไม่เหมือนกันเลย แต่หอมและติดอยู่นานเป็นเดือน เมื่อท่านเดินขึ้นมาบนศาลา ท่านเดินไปที่ตุ่มน้ำมนต์ แล้วชี้ไม้เท้าไปที่ตุ่มน้ำมนต์เป่าลมเสียงดัง 3 ครั้ง อ่างน้ำมนต์กระเทือนจนน้ำมนต์กระฉอกขึ้นทั้งสามครั้ง พอท่านเอาไม้เท้าชี้ไปที่กองมะพร้าวน้ำหอม 20 กว่าลูก ที่ทุกคนถวาย กองมะพร้าวก็สั่นสะเทือนและแห้งหมดทุกใบ เสร็จแล้วท่านก็เดินวนรอบคณะผู้มาทอดกฐินที่นั่งเรียงแถวกันอยู่ ทุกคนพากันเอาเงินทำบุญใส่ย่ามท่าน มีบางคนเมื่อเอาเงินใส่ไปในย่ามแล้วก็พยายามล้วงไปจนสุดย่าม แต่ปรากฏว่าล้วงเท่าไหร่ก็ไม่ถึงก้นย่าม มีแต่ความว่างเปล่า ทั้งๆ ที่เห็นว่าทุกคนเอาเงินใส่ย่ามถวายท่านจนเต็ม ขณะกลับท่านเดินลงบันได ทุกคนเห็นท่านเดินลงไปที่ถนนแล้วก้าวลอยขึ้นไปบนอากาศหายไปบนท้องฟ้าท่ามกลางสายตาของผู้คนที่ศรัทธาและผู้ที่มาดูเพื่อพิสูจน์จำนวนมากเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง
    ยังมีเรื่องราวหลักฐานที่น่าสนใจอีกมากเกี่ยวกับหลวงปู่เทพโลกอุดร ถ้าท่านสนใจอยากติดตามหรือค้นคว้าก็ลองหาอ่านได้จากหนังสือที่ผู้เขียนใช้อ้างอิง ซึ่งเมื่อท่านได้อ่านแล้วเชื่อว่าจะวางไม่ลงทีเดียว ในส่วนของการจะเชื่อหรือไม่เชื่อในเรื่องของ หลวงปู่เทพโลกอุดร นี้ ผู้เขียนคิดว่าสิ่งเหล่านี้เราควรพิสูจน์ให้รู้ได้ด้วยตัวเอง สำหรับผู้ที่ยังสงสัยไม่แน่ใจเมื่อได้อ่านเรื่องราวของหลวงปู่ฯแล้วลองฝึก “จิต” ดูบ้างซิว่าอะไรจะเกิดขึ้น
    พระพุทธเจ้าท่านยังตรัสว่า “ผู้ใดอยากรู้ในสิ่งที่ตาเนื้อมองไม่เห็น อยากรู้สภาวะแห่งนามธรรมต้องทำจิตให้ว่างและผนึกความว่างแห่งตนเข้ากับความว่างของจักรวาล จึงจะรู้ทุกสรรพสิ่ง เพราะ “จิต” เท่านั้นที่จะสามารถอธิบายความลี้ลับของวิญญาณได้”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2013
  19. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    พระขอบิณฑบาต 3 คำ'สติ ขันติ สันติ'
    พระขอบิณฑบาต 3 คำ'สติ ขันติ สันติ' : โดย... ผกามาศ ใจฉลาด
    ท่ามกลางความขัดแย้ง และรุนแรงระหว่างพ่อแม่พี่น้องและมวลญาติของเรา ซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ความขัดแย้งและความรุนแรงในขณะนี้ พระมหาหรรษา ธัมมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กล่าวในนามโครงการปริญญาโท สาขาสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ขอส่ง "ธรรมานุสติ" ที่เป็น "คำขอ 3 คำ" มาถึงทุกท่านที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความขัดแย้งและความรุนแรงในสังคมไทย ดังนี้
    (1) ขอให้มี "สติ" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "สติเป็นเครื่องกั้นกิเลสทั้งหลาย" ในขณะที่ "ไฟสามกอง" คือ "ไฟคือความอยากได้ ไฟคือความอยากใหญ่ และไฟคือความใจแคบ" เข้ามายึดครองจนทำให้จิตใจของเราถูก "อวิชชาคือความไม่รู้ครอบงำ" นั้น ย่อมเป็นการง่ายที่จะผลักเราไปสู่ความตีบตันในการแสวงหาทางออก จนพาตัวเองพลัดหลงไปสู่หนทางที่ "สุดโต่ง" มากยิ่งขึ้น ฉะนั้น การรวบรวมสติคิดพิจารณาทบทวนข้อเสนอและทางเลือกต่างๆ เพื่อแสวงหาทางออกที่ดีที่สุดด้วยใจที่สงบนิ่ง ปราศจากอคติ และไม่มุ่งหวังเฉพาะประโยชน์ส่วนตน จะก่อให้เกิดคุณูปการอย่างมหาศาลต่อความอยู่รอดของประเทศชาติ
    (2) ขอให้มี "ขันติ" พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ปฏิเสธความรุนแรงทุกรูปแบบ อีกทั้งไม่เปิดพื้นที่ให้บุคคลใดหรือกลุ่มใดใช้ข้ออ้างในการเบียดเบียนและทำร้ายเพื่อนมนุษย์ จากหลักการดังกล่าว เราจึงต้องอดทนต่อแรงยั่วยุภายนอกที่เข้ามากระทบ และไม่เร่งเร้า หรือกระตุ้นให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งใช้ความรุนแรงทางกายด้วยการทำร้าย ทุบตี และใช้อาวุธประหัตประหารประการซึ่งกันและกัน และการใช้ความรุนแรงทางวาจาด่าทอด้วยคำเสียดสี ส่อเสียด เย้ยหยัน ดูถูกเหยียดหยามซึ่งกันและกัน จนก่อให้เกิดการโกรธเกลียดเคียดแค้นชิงชังระหว่างพ่อแม่พี่น้อง และญาติของเรา
    (3) ขอให้มี "สันติ" ในทุกวินาทีแห่งลมหายใจ สิ่งที่จะนำไปสู่ "ความสงบ หรือสันติ" ในขณะที่กำลังขัดแย้งและรุนแรงนั้น พระพุทธเจ้าทรงให้ใช้ "การเจรจาด้วยเมตตา" ตามกรอบของหลักสาราณียธรรม
    พระพุทธเจ้าทรงเลือกใช้กระบวนการ "เจรจาเพื่อหาทางออก" ในขณะที่พระญาติของพระองค์เผชิญหน้ากับสงครามและความขัดแย้ง พระองค์ย้ำว่า "สิ่งใดมีค่ามากกว่ากัน? ระหว่างเลือดกับผลประโยชน์คือน้ำ" พระองค์ต้องการเตือนผู้นำทางการเมืองทั้งสองฝ่ายว่า "คุ้มค่าหรือไม่? หากจะต้องแลกระหว่างผลประโยชน์เฉพาะหน้ากับเลือดที่ไหลนองเต็มผืนแผ่นดิน"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC04720.JPG
      DSC04720.JPG
      ขนาดไฟล์:
      547.5 KB
      เปิดดู:
      22
    • DSC01369.JPG
      DSC01369.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.1 MB
      เปิดดู:
      34
    • DSC06288.JPG
      DSC06288.JPG
      ขนาดไฟล์:
      550.6 KB
      เปิดดู:
      29
  20. bhothisata

    bhothisata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +5,182
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง กับ หลวงปู่โลกอุดร

    หลายคนคงได้อ่านเรื่องราวของท่านมามากมาย

    ลองมาฟังพระราชพรหมยานหรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี พูดถึงเรื่องของท่านบ้าง


    ฉันฟังมาตั้งนาน โลกอุดร โลกอุดรใครหนอ มีวันหนึ่งก็เลยนั่งอยู่ ใครกันหนอ...? อ้อ...พอเจอหน้าก็ร้องอ้อเลย แต่ว่าท่านพวกนี้ทั้งหมด เดิมทีต้องมาจากพุทธภูมิก่อน พอใกล้จะเต็มก็ลา ลาจากพุทธภูมิเป็นสาวก ก็เลยต้องทำงานพุทธภูมิ

    ถ้าสาวกจริง เขาไม่เอาด้วยหรอก เขาทำงานเฉพาะเรื่องของเขา ที่เห็นว่ามีเยอะๆ ทำได้ก็เงียบฉี่ คืองานของเขาไม่มี พวกนี้ถ้าถึงจุดเขาเว้นงาน คือต้องทำงานตามหน้าที่

    มันมีเรื่องหนึ่งที่เราพูดกันแล้วเหมือนคนบ้า...

    ไอ้ก่อนที่จะลงมานี่มันมีสัญญาใจ ว่าจะมาทำงานอะไร เวลาลงมาเกิดใหม่ๆ ไม่รู้เรื่องหรอก จิตไม่ถึงที่สุด ถ้าจิตถึงที่สุดกระเทาะเปลือกสัญญา อีตอนนี้แหละงานอื่นที่เคยทำมาแล้วก็โยนทิ้งหมด เอาเฉพาะงานของตน

    ไปๆ มาๆ ก็ไปเจอะท่าน ไปเจอะกับท่าน ฉันอยากนึกจะเจอก็ชนปั้งเลย เมื่อชนปั๊บ ถามว่า

    "เป็นพุทธภูมิมาก่อนใช่ไหม"

    คือว่าพวกนี้ถ้าไม่สงสัยแกก็ไม่รู้เรื่องฉัน ถ้าสงสัยก็ชนกันเมื่อนั้นแหละ ต่างคนต่างขี้เกียจด้วยกัน มันไม่เก่งแล้ว มันต้องเก่งมาตอนต้นๆ ตอนต้นก็อยากเก่ง

    ไอ้นักมวยตอนที่หัดใหม่ๆ ไปไหนกำหมัดยิกๆๆ ฉันเป็นนักมวย เอาเข้าเป็นแชมป์แล้ว เขาก็เลิก พระก็เหมือนกัน แก่แล้วก็เลิก แก่ก็มีเรื่องเด็ก ขี้เกียจ จะรู้อะไรไปทางไหนก็ตายแหงๆๆ อย่างพวกนี้ ตายแล้วจะไปไหน หาทางให้มันให้ไปแล้วไม่มาใช่ไหม

    อะไรบ้างที่เราจะเปลื้องความทุกข์ไอ้การเวียนว่ายตายเกิด ก็ภาวะจิตมุ่งตรงสู่นิพพาน คือไอ้การอยากรู้ อยากเห็นก็เลิกกัน แต่ว่าเหตุใหญ่มันชนกันเข้าก็ต้องรู้ สงสัยเขาก็พูดกันเรื่อยเลย โลกอุดรๆๆ คือใคร

    ก็มีคนหนึ่งบังเอิญเข้าไปพบ และก็ขอถ่ายภาพ ภาพแรกเป็นพระ กล้องเดียวกันถ่ายทีเดียว ขอถ่ายอีกทีกันเสีย มีภาพนุ่งโสร่ง ผ้าขาวม้าคาดพุงมีดเหน็บข้างหลัง

    ถามมึงถ่ายอะไร

    ฟิลม์เดียวกันครับ

    ขอถ่ายครั้งที่ ๒ แกร็ก...กันเสีย ก็ไม่เสีย ได้อีกภาพหนึ่ง ถ้าได้ซ้ำก็เสียฟิลม์เปล่าใช่ไหม

    พวกตกใจใหญ่ เป็นไปได้รึ เขาเป็นจะถามทำเกลืออะไร ก็เพราะมันเอง มันเห็นเอง ถามเป็นไปได้หรือ เป็นไปได้แล้ว ไม่น่าจะมาถามเลย

    โลกอุดร ชื่อจริงๆ ก็ อุตตระ พระที่นำพระไตรปิฎกเข้ามาสุวรรณภูมิ อุตตระกับโสณะ หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว...ถ้าถามว่าอยู่ได้ยังไง อย่าลืมคำหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    "ผู้ใดถ้าคล่องอิทธิบาท ๔ สามารถจะอธิษฐานร่างกายอยู่ถึงกัปหนึ่ง"

    อย่าลืมนะผู้ที่คล่องอิทธิบาท ๔ คือ พระอรหันต์ พระอนาคามีนี่ถือว่ายังไม่คล่อง เพราะอะไร ยังตัดสังโยชน์อีก ๕ ไม่ได้ ถ้าพระอรหันต็ก็ถือว่าคล่อง ไอ้คล่องไม่ใช่ว่าเฉยๆ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา อั๊วะก็ว่าได้นี่ นี่ไม่ได้นะ.

    จากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๕๖ หน้า ๔๗-๔๘



    ผมก๊อปปี้มาให้อ่านครับ มาแบ่งปันธรรมทานครับ เจริญในธรรมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...