ตายก่อนบวช

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 16 กรกฎาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,438
    [​IMG]

    ตายก่อนบวช, เด็กหญิงตาย

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๓๒ แต่ว่าวันนี้เป็นรายการบันทึกของวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๓๒ คือเมื่อวันที่ ๔ บรรดาท่านพุทธบริษัท วันนั้นอาการทางท้องเครียดมาก เมื่อพูดอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทจะสงสัยว่า การพยากรณ์ต่าง ๆ ที่ท่านพยากรณ์ไว้ว่า ร่างกายจะดีขึ้น ทำไมจึงมีอาการป่วยอยู่อีก ก็ต้องขอบอกว่า ขณะที่ท่านพยากรณ์ ท่านก็บอกแล้วว่าร่างกายจะดีขึ้น แต่บางส่วนจะเป็นอยู่ ร่างกายจะดีจริง ๆ ต้องปรับปรุงกันถึง ๒ ปี ร่างกายจึงจะสมบูรณ์
    สำหรับเวลานี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ด้านประสาทต่าง ๆ ของร่างกายนี้จะดีจริง ๆ ทุกส่วนดีหมดเหลือไว้แต่ทางท้องส่วนเดียว เมื่อสมัยก่อนมันเสียทั้งร่างกาย ประสาทเสียหมด กินอะไรเข้าไป ลำไส้ก็ไม่มีการดูดซึม ทุกอย่างของร่างกายที่จะทำขึ้นมาได้ ต้องอาศัยท้าวมหาราชช่วย เวลานี้ท้าวมหาราชท่านก็เบา คุมเฉพาะภายใน เรื่องทางท้องยังเป็นอยู่ บรรดาท่านพุทธบริษัท แต่ว่าอาการเป็นก็เบาลง น้อยอาการลง มันเป็นจริง ๆ เวลาประมาณ ๔ โมงเย็น ถึง ๓ ทุ่ม มันมีอาการเครียดตั้งแต่ตอนนี้ แต่ความจริงแล้ว กลางคืนทั้งคืนอาศัยไม่ได้เลย จะต้องนอนหลังเวลา ๕ ทุ่มเสมอไป เพราะท้องถ่ายไม่ปกติ มันถ่ายจริง แต่ก็ถ่ายไม่หมด นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทก็เป็นเรื่องระกำลำบากอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร ส่วนอื่นมันดีได้แล้ว
    มาว่ากันถึงเมื่อคืน วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๓๒ คืนนั้น ตอนหัวค่ำ คือ ตั้งแต่ ๔ โมงเย็นกว่า ๆ อาการเครียดจัด ในท้องร้อนมาก ร้อนมาถึงคอ ร้อนคล้าย ๆ ไฟลวก ร่างกายทรุดโทรม เดินไปก็ซวนไปเซมา เห็นท่าจะไม่ไหว จะเรียกใครเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ ก็รู้สึกว่า มันจะเกิดความรำคาญ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าไม่ได้เกิดประโยชน์ คำว่าไม่เกิดประโยชน์ ก็เพราะว่าถึงแม้ว่าเขาจะมาอยู่ใกล้ ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ก็นอนทนทุกขเวทนาไปตามเรื่อง
    ขณะที่ร่างกายมีอย่างนี้ เราจะมีความประมาทอยู่เพื่อประโยชน์อะไร เราจะเกาะร่างกาย แต่ความจริงขึ้นชื่อว่าร่างกาย จิตใจไม่เกาะมานานแล้ว ถ้าจะถามว่าไม่เกาะ ทำไมจะต้องกินข้าว ก็ต้องขอตอบว่า พระพุทธเจ้าเองทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณก่อนใคร ๆ เวลาที่ร่างกายยังไม่ตาย องค์สมเด็จพระจอมไตรก็เสวยพระกระยาหารเหมือนกัน คำว่า ไม่เกาะ หมายถึงว่า จิตมันไม่เกาะ จิตมันมีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้ต้องตายแน่นอน และความตายเข้ามาในไม่ช้านี้แน่ เอากันแค่นี้นะ
    ถ้าจะถามว่า เจ็บไหม ก็ต้องตอบว่า เจ็บ ปวดไหม ก็ต้องตอบว่า ปวด มันตายไหม ถ้าใครจะมาฆ่าให้ตายนี่ กลัว ถ้ามันจะตายเองกลัวก็ต้องตาย ไม่กลัวก็ต้องตาย ก็เตรียมตัวเพื่อตาย วิธีการเตรียมตัวเพื่อตายก็คือ รวบรวมกำลังใจ ซึ่งมันก็รวมไม่ยาก ปกติใจมันรวมอยู่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เห็นว่ามันไม่สวยทั้งหมด มันไม่มีอะไรสวยเป็นปกติ คนก็ไม่มีความมั่นคง ทุกคนก็แก่ไปทุกวัน ทุกคนก็ต้องตาย วัตถุก็มีการทรุดโทรม ร่างกายเราก็ตาย ร่างกายเราก็เป็นวัตถุส่วนหนึ่ง อันนี้จิตใจไม่ผูกพันมันในลักษณะนี้ จึงตัดสินใจว่า การอยู่ตรงนี้เต็มไปด้วยทุกข์เวทนา ถอยออกจากร่างกายดีกว่า ก็เลยถอยออกจากร่างกาย
    อย่าลืมนะว่า ส่วนใดของหมวดที่ ๓ และหมวดที่ ๒ สอนคนอื่นเขาได้ ตัวเองก็ต้องทนได้ ถอยออกจากร่างกาย เข้าไปกราบพระท่าน ก็มีพระอยู่พระใหญ่ ๒-๓ องค์ จริง ๆ แล้ว ๒ องค์ ท่านอยู่เป็นประธาน แล้วต่อมาท่านก็มาอีก รวมทั้งหมด ๒๘ องค์ กราบท่าน ก็คุยกับท่านว่า สถานที่นี้เต็มไปด้วยความสุขสำราญ สุขไม่มีทุกข์ อารมณ์เบาต่างๆ ท่านก็ยอมรับ ก็กราบเรียนถามท่านว่า อยากจะอยู่ตรงนี้ ท่านก็ตอบว่าเธอนะมีสิทธิ์อยู่แน่ แต่กาลเวลายังไม่ถึง ขอให้ถึงกาลเวลาก่อน ก็กราบเรียนท่านว่า ไม่ได้รุกล้นเวลา ตามที่ปรารถนาก็คิดว่าถ้าบังเอิญร่างกายมันพังวันนี้ ก็ขออยู่บนนี้ ท่านก็ยอมรับ ท่านบอกว่าร่างกายมันพังจริงก็อยู่ได้เลย แต่ฉันคิดว่ามันจะไม่พัง
    ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าร่างกายมันจะต้องดีขึ้น งานข้างหน้ายังมีอยู่มากงานที่ให้ทำยังมีอีกเยอะ ต้องทำเพื่อความสุขของบรรดาปวงชนผู้นับถือพระพุทธศาสนา เวลาเขาเข้ามาในเขต ๑. ให้มีความสุขตามสมควร ประการที่ ๒ เป็นการช่วยกำลังใจให้เกิดความเลื่อมใส
    อันนี้มีความจำเป็นต้องทำ ที่ให้เธอทำเพราะ เธอมาจากพุทธภูมิ งานนี้เป็นงานของพุทธภูมิ เธอต้องรับภาระ ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ภาระอันนี้รับมานานแล้ว ไม่เบื่อ พร้อมที่จะทำ แต่ขอให้ร่างกายดี ท่านก็ยืนยันบอกว่า ร่างกายต้องดี จากนี้ไปมันมีทุกขเวทนาเครียดอีก ๒-๓ วัน ท่านบอกเลย อาการอย่างนี้จะปรากฏอีก ๒-๓ วัน เมื่อถึงวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๓๒ อาการจะคลายตัว หลังจากวันที่ ๑๖ ไปแล้วจะคลายเรื่อย ๆ ไป
    แต่คำว่า หายเลย มันยังไม่หาย เพราะว่า กฎของกรรมยังมีการบังคับอยู่ จึงอยู่ในขอบเขตแต่เบาขึ้น ก็ชื่นใจ คุยกับท่านครู่หนึ่ง ก็หันมานั่งอยู่ที่บ้านพักเห็นบ้านพักเต็มไปด้วยความสวยสดงดงาม มันสวยมากขึ้นกว่าเก่าเยอะ มีอาการวิจิตพิสดารมาก ก็มีความสดชื่น มีความสุข มีความสงัด เวลานั้นก็ปรากฏว่า มีคนหลายคนในแดนนั้น เปล่งปลั่งสวยสดงดงาม ผู้หญิงบ้าง ผู้ชายบ้างต่างก็มาเยี่ยม เขาไม่ได้มาเยี่ยมใครเขามาเยี่ยมความมุ่งหมายอันดับสุดท้าย เขาดีใจว่าอันดับสุดท้ายจะได้อยู่ที่นี่เหมือนกัน เพราะเขาอยู่ในเขตนี้
    ท่านพวกนี้ก็เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นภรรยาเก่าบ้าง เป็นพี่น้อง เป็นน้องบ้าง เป็นลูกบ้างเยอะแยะ ทุกคนมีความสุข สักประเดี๋ยวหนึ่งก็ปรากฏว่า พระท่านมาตั้ง ๒ องค์ ท่านมาถึงก็ประทับบนแท่น แท่นนี่ไม่ได้ตั้งไว้นะบรรดาท่านพุทธบริษัท ในแดนนั้นมีอะไรพิเศษอย่างหนึ่ง ถ้าสิ่งใดที่ควรสิ่งนั้นมันจะเกิดเอง ทันทีทันใด อย่างถ้าจะนั่งตรงไหน เราจะนั่งกับพื้นนี่ เขาบอกว่าไม่ควร ต้องมีแท่นรับ แท่นจะขึ้นมารับ
    เมื่อท่านมาถึงท่านก็บอกว่า เราไปเที่ยวสำนักพระยายมกันเถิด เพราะเวลานี้มีบุคคลสำคัญที่เราจำเป็นต้องช่วยไปอยู่ที่นั่น ถามท่านว่า ใคร ท่านบอกว่า ไปเถิดฉันจะไปด้วย ก็เป็นอันว่า ทั้งหมดก็ยกขบวนกันมาสำนักพระยายม มาถึงก็ปรากฏว่า คณะท่านท้าวมหาราช ท่านมาเตรียมอยู่แล้ว พอเข้าไปถึงที่นั่น ท่านพระยายมท่านก็ละงานของท่าน ออกมารับพระ แล้วท่านกราบ แล้วท่านก็รายงานบอกว่า วันนี้มีคนสำคัญ ๒ คน ที่ท่านเข้ามาในสำนักของท่าน แต่ความจริงไม่น่าจำเป็นจะต้องผ่าน แต่ก็ต้องผ่าน เพราะเกิดอุปกิเลส
    ถามท่านใคร ท่านก็บอก ประเดี๋ยวก่อน ท่านก็สั่งให้เจ้าหน้าที่บอกไปนำคนนั้นเข้ามา ลัดคิวมาเลย ไม่ต้องรอคิว การสอบสวนนั้นเขาต้องรอคิว บุคคลนั้นเข้ามาก็ปรากฏว่าเป็นคนหนุ่ม หนุ่มมาก อายุประมาณ ๒๐ ปีเศษ ๆ เป็นคนขาวโปร่ง หน้าตาดี ถ้าเดา ๆ นะ ความจริงถ้าไม่เจอะหน้าก็จะเดา คิดว่ามีเชื้อจีนนิด ๆ แต่ดูพ่อแม่ของเธอก็เป็นคนขาว เป็นคนโปร่ง คงไม่ใช่เชื้อจีน พอเข้ามาถึงแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ไม่ทำการสอบสวน ไม่เหมือนคนอื่น เขาส่งมาให้พระยายมเลย พระยายมก็ส่งออกมานอกคอก ที่พวกเรานั่งกัน พระท่านนั่งกันเธอก็ก้มลงกราบพระ แล้วก็มากราบอาตมา และกราบทุก ๆ ท่าน กราบรวม ที่มาอยู่ที่นั้น เพราะที่นั่นตั้งแต่จาตุมหาราชขึ้นไปเป็นเทวดาทุกชั้น
    พระยายมท่านก็ถาม ท่านบอกว่า เธอน่ะ เวลาตายไม่ได้นึกถึงพระรึ เธอคนนั้น ก็ตอบว่า ไม่ได้นึกถึงขอรับ ท่านถามว่าทำไมจึงไม่นึกถึง ก็เธอตั้งใจจะเป็นพระใช่ไหม เธอก็ตอบว่า ตอนต้นตั้งใจนะเป็นพระครับ ก็เลยถามทวนถอยหลัง อาตมาถามแทรกนิดหนึ่ง บอกว่าขอให้เธอเล่าประวัติความเป็นมาซิ
    เธอก็เล่าประวัติความเป็นมาว่า เธอมีอายุ ๒๓ ปี ตั้งใจจะบวช พ่อกับแม่เตรียมเครื่องครบชุดแล้ว อีก ๒ วัน จะถึงพิธี เขาอุปสมบท เธอก็ตั้งใจแน่วแน่ว่า จะบวชสัก ๑ พรรษา เป็นอย่างน้อย หรือมิฉะนั้นก็ถึง ๓ พรรษา ถ้าสามารถบวชได้ตลอด ก็จะบวชตลอด พ่อแม่ก็อนุญาตแล้วที่กะไว้น้อย ก็หมายความว่า กะไว้น้อย จะตั้งหน้าตั้งตาทำความดีให้มาก คิดว่า พรรษาแรก จะเป็นพรรษาฝึกฝนตนเองให้ตั้งอยู่ในขอบเขตของพระธรรมวินัย ถ้าสามารถทรงตัวได้ก็จะอยู่ถึง ๓ พรรษาไปแล้ว ถ้าไม่สึก จิตใจเต็มเปี่ยมเต็มใจในการอยู่ มีธรรมปีติพอสมควรก็จะอยู่ตลอดชีวิต เธอตั้งใจไว้อย่างนั้น
    แต่ว่าก่อนจะตายจริง ๆ ออกไปทางหลังบ้าน ไปเพื่อจะหาเพื่อน เวลานั้นถูกงูเห่ากัด งูเห่ากัด พิษมันแล่นเข้าทางกาย มันเจ็บปวดมาก เธอบอกอย่างนั้น ตอนนั้นไม่ได้นึกถึงอะไรเลย อาการที่คิดว่าจะบวช ก็ไม่ได้นึกถึง พระก็ไม่ได้นึกถึง มันมีแต่ปวดอย่างเดียว ในเมื่อมันมีแต่ปวดอย่างเดียว รักษาเท่าไรก็ไม่หาย ในที่สุดไม่ช้าก็ตาย ไม่ทันข้ามคืน เธอก็ตาย เวลาที่ตายก็ปรากฏว่า พบคน ๔ คน นุ่งแดง ห่มแดง เธอก็ชี้ไปที่เทวดา ๔ องค์ ก็เลยบอกว่า ท่านทั้ง ๔ องค์นี้ไปรับครับ เวลาไปรับท่านก็รับด้วยดี ให้เดินตามมาเฉย ๆ ไม่มีการบังคับ ไม่มีการข่มเหง มาถึงก็มารอการสอบสวนอยู่ที่นี่ ๓ วันของมนุษย์ แล้วพระคุณเจ้าก็มา
    วันนี้ผมดีใจมก จิตใจผมอยากจะบวชพระ แต่ผมก็ไม่ได้บวช แต่วันนี้ผมได้โอกาสได้มนัสการพระที่มีความสำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนาถึง ๒ องค์ ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ตัวอาตมานะ มีพระอีก ๒ องค์ที่มีความสำคัญมากในพระพุทธศาสนา เธอหันไปกราบ พระท่านก็ยิ้ม แล้วเธอก็บอกว่า ถึงแม้ว่าเขาจะนำไปไหน ก็พร้อมจะไปขอรับ ในเมื่อได้มีโอกาสได้กราบพระที่มีความสำคัญตามความตั้งใจแล้ว พระยายมก็บอกว่า อานิสงส์ในการบวชของเธอมี การเข้ามาที่นี่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปนรกทุกคน เป็นดินแดนที่ช่วยคนไม่ต้องการให้ลงนรก
    ถ้าใครคนใดคนหนึ่งนึกถึงบุญอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้แต่อย่างเดียวได้ ที่นี่ก็ปล่อยให้ไปสวรรค์ก่อน หลังจากนั้นพระยายมก็บอกว่า ต่อแต่นี้ไปหมดภาระของฉัน หน้าที่แห่งการควบคุมเธอไม่มี ต่อนี้ไปเธอเป็นอิสระ ไปได้ตามกำลังบุญของเธอ
    บรรดาท่านพุทธบริษัท พอพระยายามพูดเท่านั้น ร่างกายของเธอเปลี่ยนทันที เปลี่ยนจากความเป็นคนเป็นเทวดา มีความสวยสดงดงามมาก มีชฎาแหลมเปี๊ยบทรวดทรงดี หน้ายิ้มแย้มแจ่มใสมีความสดชื่น หลังจากนั้นไป ก็มีเทวดา ๔ องค์ ๔ องค์ต่างหาก แต่งตัวงามมาก มีชฎาพร้อมแพรวพราวเป็นระยับ ก็นำเธอไปส่งที่วิมานของบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก เวลานั้นพระท่านก็ไปด้วย ทุกคนก็ไปเทวดาก็รู้สึกแห่ไปเป็นขบวน วิมานของเธอกว้างใหญ่ไพศาลมามีความสวยสดงดงามเป็นพิเศษ
    หลังจากนั้นเมื่อกิจการเรียบร้อยแล้ว พระท่านก็กลับ ถามพระท่านบอกว่าคนที่คิดจะบวช แต่เขายังไม่ได้บวช อารมณ์นี้เป็นมหากุศลใช่ไหม ท่านก็ตอบว่า ใช่ กราบเรียนถามท่านว่า อานิสงส์การอุปสมบทบรรพชาเขาจะได้ไหม ท่านก็ตอบว่า อานิสงส์อุปสมบทบรรพชานี้ เขาได้สมบูรณ์แบบ กราบเรียนท่านว่า ด้วยความสงสัยจริง ๆ ความสงสัยจริง ๆ ไม่ได้พูดกับท่านนะ นี่พูดให้ท่านทั้งหลายฟังว่า อาตมานี่สงสัยว่าคนมันยังไม่ได้บวช จะได้อานิสงส์บรรพชาครบถ้วนเหมือนคนบวชไหม
    ท่านบอกว่า ได้ครบ เขาตั้งใจว่าจะบวช แล้วเขาก็มีการเตรียมการแล้วทุกอย่าง ตลอดจนกระทั่งการตัดสินใจ เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าบวชปีแรกจะทำให้ดีที่สุด ถ้าดีสมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว จะอยู่ให้ครบ ๓ ปี ดีสมบูรณ์บริบูรณ์แล้วจะอยู่ตลอดชีวิต เขาตัดสินใจเด็ดขาดนี่ถือว่าบวชใจแล้ว บวชแต่ร่างกาย แต่ใจไม่บวชนี่ ลงนรกนับไม่ถ้วน แต่คนที่บวชใจ ร่างกายยังไม่บวชไปสวรรค์ ไปนิพพานนับไม่ถ้วนเหมือนกัน เมื่อท่านตรัสอย่างนั้นก็หมดสงสัย
    ก็รวมความว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เรื่องนี้ก็ไม่ต้องคุยกันมาก เป็นแต่เพียงบอกว่า คนที่ตั้งใจจะทำบุญ ทุกคนตัดสินใจแล้วว่า ทำบุญ อานิสงส์ย่อมได้ อย่าง เปสการีธิดา เธอทำบุญแล้ว คนนั้นทำบุญแล้ว แต่ สาตกีเทพธิดา เตรียมแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำบุญ ตายจากความเป็นคนเป็นนางฟ้าทันที มีวิมานอยู่ทันที สำหรับคนที่ตั้งใจจะบวชก็เหมือนกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท เขาพร้อมแล้วในการบวช แต่ไม่ใช่สักแต่คิดว่าจะบวช และการบวชไม่ได้บวชตามประเพณี การบวชตามประเพณีนี่ไม่แน่ในอานิสงส์ ตัดสินใจตามนี้แล้ว พระท่านบอกว่า อานิสงส์สมบูรณ์แบบ นี่เป็นรายที่หนึ่ง
    ต่อมาพระท่านก็บอกว่า กลับไปที่เดิมใหม่ ไปที่สำนักพระยายมก็กลับมาอีก เวลานี้เวลาเหลืออีก ๘ นาที บรรดาท่านพุทธบริษัท เมื่อถึงแล้ว พระยายมก็รายงานบอกว่า ยังมีคนที่มีความสำคัญอีกคนหนึ่ง ก็เรียนถามท่านบอกว่า เธอคนนั้นเป็นใคร ท่านก็นำเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ขาวโปร่ง รูปร่างหน้าตาดี อายุ ๔ ขวบ ออกมา ท่านบอกว่า เด็กหญิงคนนี้ เป็นโรคท้องร่วงตาย ตายเมื่อวานนี้เอง เพิ่งตายใหม่ ๆ อยู่ไม่ไกลนัก ถามท่านบอกว่า มีความสำคัญอย่างไร ท่านบอกว่า เป็นหน้าที่ของพระท่านจะบรรยาย เมื่อนำเด็กหญิงคนนี้มาแล้ว เด็กหญิงคนนี้มาก็เข้าไปไหว้พระท่าน เธอไหว้เรียบร้อยจริยาดีมาก สงบเสงี่ยมเรียบร้อย แล้วหันมาไหว้อาตมา พร้อมกับไหว้เทวดาทั้งหลาย
    หลังจากนั้นก็ถามเด็กหญิงคนนั้นว่า หนู เกิดที่ไหน เธอก็ตอบว่า เกิดไม่ไกลจากวัดท่านเท่าไรเจ้าค่ะ ระยะทางไม่เกิน ๑๐๐ กิโลเมตร ความจริงเธอบอกจังหวัด บอกบ้านที่อยู่เหมือนกับบรรดาท่านพุทธบริษัท แต่ว่าตามระเบียบ เสียงมาบอกว่า สงวนไว้ อย่าบอกที่อยู่แน่นอน เราไม่ใช่พระโมคคัลลาน์ ก็เป็นอันว่า ถามว่า หนูเป็นโรคอะไรตาย เธอบอกว่า เป็นโรคท้องร่วงตาย ถามว่าหนู ขณะที่ตาย หนูคิดอะไร เธอตอบว่า หนูเคยไปถวายสังฆทานกับแม่ หนูเคยไปเจริญกรรมฐานกับแม่
    พอเธอพูดเท่านี้ก็ตกใจ แล้วนึกขึ้นมาได้ นึกเป็นภาพเด็กเล็ก ๆ อายุประมาณ ๔ ปี ท่าทางสุภาพเรียบร้อย ทำงานทุกอย่างทุกสิ่งเรียบร้อยมาก แต่ทุกอย่างที่ทำออกมาและทุกอย่างปกติหมด ไม่มีอะไรต้องเตือนกัน ยังคิดว่าหนูน้อยคนนี้ทำไมอายุน้อยนัก ก็ถามว่า เวลาหนูจะตายหนูคิดอะไร เธอบอกว่า ขณะก่อนป่วย ชอบเจริญกรรมฐาน ไปเที่ยวโน่นไปเที่ยวนี่ แต่เวลามันป่วยจริง ๆ ก็นึกไม่ออก ท้องมันเดินมาก มันร้อนในท้อง แล้วก็ปวดท้องมาก จิตก็คิดอยู่แค่ปวดท้องอย่างเดียว
    เมื่อถึงเวลาจะตาย ได้ยินเสียงตึงตังโครมครามตกใจนิดหนึ่ง จิตก็ออกจากร่าง เห็นลุงทั้ง ๔ องค์ไปยืนยัน ลุงคนหนึ่งจำนวน ๔ องค์ เขาอุ้ม บอก หนู ไปกับลุงเถิด ลุงจะมารับไป ลุงใจดี ลุงอุ้มหนู หนูก็กอดคอลุง ลุงก็นำมาหาลุงใหญ่ แล้วลุงใหญ่ให้ไปพักตรงโน้น ในกลุ่มคน กลุ่มคนที่พัก ไม่ใช่พักแบบทรมานคือไม่มีโซ่ ไม่มีตรวน เป็นอิสระทุกอย่าง มีความสุขพอสมควร แต่ไม่มีอาหารการกิน ก็ถามพระท่านว่า เด็กคนนี้มีความสำคัญหรือ ท่านบอกว่า มีความสำคัญมาก เพราะเด็กคนนี้ถ้าอยู่ต่อไปเบื้องหน้า ถ้าอยู่เป็นมนุษย์นะ ก็จะสามารถตัดสังโยชน์ ๕ ได้
    ฟังแล้วอายเด็ก ว่า ไอ้หนูน้อยตัวเล็ก ๆ เท่านี้ ต่อไปเบื้องหน้า เธอจะตัดสังโยชน์ได้ รูปร่างหน้าตาเธอก็สวย ทรวดทรงดี แต่ว่าที่จำเป็นต้องตายนี้ เพราะบุญช่วยให้ตาย พอท่านตรัสแบบนั้นก็ตกใจ จึงกราบเรียนถามว่า เป็นเพราะอะไร บุญช่วยอาจจะมีชีวิตอยู่นาน ท่านก็บอกว่า บุญช่วย บุญ คือที่สามารถจะตัดสังโยชน์ได้ มันมี ๒ ประการ คือว่า ๑. อานิสงส์เต็มพร้อมในการตัดสังโยชน์ และประการที่อง เธอขาดอธิษฐานบารมี
    ถ้ามีอธิฐานบารมี หวังตั้งใจเพื่อนิพพานมาในชาติก่อนไว้เสมอ ๆ เธอจะยังไม่ต้องตาย เพราะว่าเธอจะสามารอยู่ตัดสังโยชน์ได้ แต่ว่าเธอขาดอธิษฐานบารมี ในเมื่อขาดอธิษฐานบารมี รูปร่างหน้าตาเธอก็สวย ทรวดทรงก็ดี จริยาก็เรียบร้อย ฐานะบิดามารดาก็ดี ย่อมเป็นที่ต้องตาต้องใจของคน ฉะนั้นกามคุณสามารถจะเบียดเบียนเธอ ซึ่งจะไม่สามารถมีโอกาสเข้าตัดสังโยชน์ได้ ในเมื่อบุญใหญ่เห็นว่ามีความสำคัญอย่างนี้เข้ามาตัดให้เธอตาย ถามว่าเธอตายเสียแล้ว เธอสามารถจะตัดสังโยชน์ ๕ ประการใช่ไหม
    ท่านก็บอว่า ตัด ๕ ได้แล้ว ก็ตัด ๑๐ ได้ด้วย เพราะอะไร เพราะการเกิดเป็นเทวดาหรือเป็นพรหม หรือนางฟ้าก็ตาม มีโอกาสที่จะบำเพ็ญกุศลต่อ เทวดากับพรหมนี่ฟังเทศน์จากพระอริยเจ้าก็ตาม ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าก็ตาม บรรลุมรรคผลนับไม่ถ้วน มากกว่าคน เด็กคนนี้ตายเพราะกำลังกุศลสนับสนุน จึงมีความจำเป็นต้องมารับ
    และการมารับวันนี้ก็มาครบถ้วน อย่างฉันเป็นต้นศาสนา (ตัวท่านนะ ไม่ใช่อาตมานะ) ก็มารับ พระอริยสาวกที่เป็นอรหันต์ก็มามาก เป็นอาตมาก็มีเยอะ เป็นสกิทาคามีก็เยอะ เป็นโสดาบันก็เยอะ เป็นเทวดาหรือพรหม ฌานโลกีย์ก็มาก รวมความว่ามาพร้อมกันทั้งหมด อย่างนี้บุญเธอใหญ่จึงต้องมากัน ในเมื่อเธอเป็นนางฟ้าก็ตาม เป็นเทวดาก็ตามเธอต้องเป็นนางฟ้า บุญบารมีนี้จะส่งผลให้เธอเป็นคนที่ไม่ประมาทสามารถปฎิบัติตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานได้
    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็มาพูดเรื่องความตายอีก แต่ตายดี คนแรกตั้งใจบวช ตายแล้วก็ดี เด็กน้อยคนนี้แม้จะเป็นเด็กเล็ก เคยเห็นถวายสังฆทานเป็นปกติ มากับแม่ ขอเดี่ยว หมายความว่า ต้องขอเป็นอิสระ พ่อกับแม่ถวายแล้วเธอต้องถวายเป็นส่วนตัว และเด็กหญิงคนนี้เจริญกรรมฐานคล่องมาก เคยเรียกมาถาม จำหน้าได้ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ไม่เกิน ๑๐๐ กิโลเมตร เคยเรียกมาถามเธอ เวลานั้น มีวันหนึ่ง มีคนเขาเกิดสงสัย ในการเห็นนั่นเห็นนี่ เห็นสวรรค์ นรก สงสัยสวรรค์ นรก พรหมโลก ตายแล้วเกิดจริงไหม ก็เลยเรียกเด็กคนนี้มาถาม เธออธิบายได้คล่องมาก ถามเธอถึงเรื่องวิธีปฏิบัติ เธอได้อะไรบ้างเล่าให้ฟังซิ เธอก็เล่าให้ฟัง ตามที่เธอพบมาทุกอย่างเป็นเหตุให้ผู้ใหญ่คนนั้นหรือคณะนั้น หมดสงสัยหรือเพิ่มสงสัยก็ไม่ทราบ
    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง จะพูดต่อไปก็ไม่ไหวแล้ว ขอทุกท่านถือว่า การปฏิบัติตามที่ผ่านมาแล้วนี่นะ เรื่องที่กล่าวมาแล้วนี้เป็นประโยชน์ หากท่านจะนำไปใช้บ้างก็จะดี ในที่สุดนี้เวลาเหมือไม่ถึงครึ่งนาที บรรดาท่านพุทธบริษัท ต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
     

แชร์หน้านี้

Loading...