ตายแล้วดับสูญ หรือ มีอยู่?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ตั้งฉาก, 1 สิงหาคม 2014.

  1. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573
    <DD> “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมา จะต้องอาศัยเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งหรือสร้างขึ้นมาทั้งสิ้น” ซึ่งกฎนี้เรียกเป็นภาษาบาลีว่า อิทัปปัจจยตา ที่แปลว่า ความที่อาศัยปัจจัยแล้วเกิดขึ้นมา กฎนี้จะบอกความลับกับเราว่า “ทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นวัตถุ ร่างกาย และจิตใจ ล้วนไม่ได้มีตัวตนที่แท้จริงเป็นของตัวเองเลย เพระมันต้องอาศัยสิ่งอื่นเพื่อมาปรุงแต่งหรือสร้างตัวของมันขึ้นมาทั้งสิ้น” ดังนั้น วัตถุทั้งหลาย ร่างกายทั้งหลาย และแม้จิตใจทั้งหลาย จึงไม่มีตัวตนที่แท้จริง </DD><DD> </DD><DD>และเมื่อเราเข้าใจแล้วว่า ไม่มีจิตใจที่จะเป็นตัวตนที่แท้จริงแล้ว จึงเท่ากับว่าจะหาจิตใจที่จะออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วไปเกิดใหม่ได้ไม่มี </DD><DD> </DD><DD>เพราะจิตใจก็ต้องอาศัยร่างกายและความทรงจำมากสมองเพื่อปรุงแต่งหรือสร้างขึ้นมา ดังนั้นความเชื่อเรื่องนรกใต้ดิน, สวรรค์บนฟ้า, ผี, เทวดา, นางฟ้า, และเรื่องเวรกรรมจากชาติปางก่อน, รวมทั้งเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์, เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์, หรือสิ่งลึกลับเหนือธรรมชาติทั้งหลาย เป็นต้น </DD>จึงเป็นสิ่งที่ไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นไปได้เลย

    สรุปว่า จิตวิญญานไม่มีอยู่จริง เช่นนั้นหรือ?

    ไข่ ก็ อนัตตา อสุจิ ก็ อนัตตา แล้ว มันปฏิสนธิกันได้ไง? ในเมื่อมันไม่มีอยู่จริง!!!
     
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ไปเชื่อตามนี้ ฟุ้งซ่านมาก ระวังอุปทานหลอก เป็นบ้าไม่รู้ตัว ^^
     
  3. teww

    teww เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    604
    ค่าพลัง:
    +1,534
    อีกคนละไม่เกิน 100 ปี ก็รู้เองค่ะ
     
  4. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ส่วนใหญ่ตายแล้วไม่สูญ จะสูญก็เฉพาะอรหันต์ แต่สูญจากขันธ์นะ ส่วนดวงจิตเดิมแท้ จะว่าอยู่ ก็อยู่ แต่ดูไม่ได้ จะว่าไม่อยู่ แต่ก็เห็นอยู่
    ชีวิตเกิดมามีความแตกต่างทั้งฐานะ เพศ เชื้อชาติ อะไรทำให้แตกต่าง
    ก็อันสิ่งที่เราเคยกระทำไว้ในภพก่อนๆนั่นเอง ที่ตัดสินให้เราเกิดมาแตกต่าง
    เมื่ออดีตชาติมี อนาคตก็ต้องมี เพราะปัจจุบันชาตินี้ คืออนาคตของอดีตชาตินั่นแหละ มีปัจจุบัน ย่อมมีอดีต ย่อมมีอนาคต

    ความปรุงแต่ง ทำให้เห็นให้เชื่อต่างๆนาๆ
    ถึงจะสร้างจากขันธ์ ถึงจะมโนกันขึ้นมา
    แต่ก็ไม่ได้ว่า สิ่งนั้นๆจะไม่จริงเสมอไป
    หากแต่เราใช้ประโยชน์จากความปรุงแต่งนั้นๆได้
    เช่น ระบบปฏิบัติการวินโด
    เดิมๆแล้ว คอมมีแต่ดอส เป็นเพียงคำสั่งอักษรที่ยุ่งยาก
    เมื่อใส่วินโดเข้าไป เกิดความปรุงแต่ง
    จากการใช้งานด้วยคำสั่งอักษร กลายมาเป็นอักษรภาพ
    คริกเมาส์ทันใจ ใช้งานสะดวก
    นี่คือ ผลพวงประโยชน์จากความปรุงแต่ง
    ชีวิตเราอยู่ด้วยความปรุงแต่ง จะไม่มี ก็ไม่ได้
    รับรู้ให้เป็น ใช้อย่างฉลาด ก็ไม่เป็นโทษ
     
  5. btme

    btme เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +319
    เรื่องบางเรื่องมันก็ไม่จำเป็นต้องไปสงสัยมันหรอก มันไม่มีประโยชน์ ดีไม่ดีจะทำเราเพี้ยน มันไม่ได้เป็นเรื่องที่จะเข้าใจได้ด้วยการนึกคิดเอา จะว่าไปมันคงจะคล้ายๆกับที่ว่าง ช่องว่างนั้นละมั้ง รู้ว่ามันมีอยู่ แต่ไม่เห็นว่ามันมีอยู่ อย่าไปคิดมากครับ ทำฟุ้งซ่านเปล่าๆ
     
  6. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คำที่กล่าวกันว่า สัมมาทิฐฐิ ดังนี้ สัมมาทิฐฐิ ย่อมมีด้วยเหตุเพียงเท่าไร พระเจ้าข้า ------------กัจจานะ สัตว์โลกนี้ อาศัยแล้วซึ่งส่วนสุดทั้งสอง โดยมากคือ สุวนสุดว่า สิ่งทั้งปวงมี(อตถิตา) และ ส่วนสุดว่าสิ่งทั้งปวงไม่มี (นตถิตา) กัจจานะเมื่อ บุคคลเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามที่เป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นแดนเกิดของโลก (โลกสมทัย) อยู่ ทิฐฐิที่ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มีในโลก ย่อมไม่มี กัจจานะ เมื่อบุคคลเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามที่เป็นจริง ซึ่งความดับไม่เหลือแห่งโลก (โลกนิโรธ)อยู่ ทิฐฐิที่ว่า สิ่งทั้งปวงมีในโลก ย่อมไม่มี............กัจจานะ สัตว์โลกนี้โดยมาก มีอุปายะ อุปาทานะ และ อภินิเวส เป็นเครื่องผูกพัน ส่วนสัมมาทิฐฐินี้ ย่อมไม่เข้าไปหา ย่อมไม่ยึดมั่น ย่อมไม่ตั้งทับ ซึ่งอุปายะ และ อุปาทานทั้งสองนั้น ในฐานะเป็นที่ตั้งทับ เป็นที่ตามนอน แห่งอภินิเวสของจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ทุกข์นั้นแหละ เมื่อเกิด ย่อมเกิด ทุกข์นั้นแหละ เมื่อดับย่อมดับ ดังนี้ เป็นสัจจะที่ผู้มีสัมมาทิฎฐิ ไม่สงสัยไม่ลังเล ญานดังนี้นั้น ย่อมมีแก่เขา ในกรณีนี้ โดยไม่มีผู้อื่นเป็นปัจจัยเพื่อความเชื่อ กัจจานะ สัมมาทิฎบิ ย่อมมีด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล---------นิทาน.สํ.16/20-21/42-43..:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2014
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    .......อันที่จริงไม่ต้องไปเป็น ไข่ หรือ เทวดา หรอกครับ เราดูที่ปัจจุบัน(คุณจะนิยาม ตัวเองว่า อะไร?กับรูปนามนี้? คน เทวดา หรือ---? ยังไงถ้ายังแยก ขันธิ์ กำหนดรู้ขันธิ์ได้ มันก็จะอยู่ในขันธิ์5 นี้แหละครับ)) ถ้ายังมีอุปาทานในขันธิ์ห้า หรือขันธิ์ห้าที่ยังมีอุปาทาน จาก พระอริยสัจสี่ นั้น ทุกขอริยสัจ(คือปัญจุปาทานักขันธิ์) สมุทัย( คือ ตัณหา) นิโรธ และ มรรค....ความเป้นทุกข์ของปัญจุปาทานักขันธิ์(ขันธิ์5)นั้นเพราะมันไม่เที่ยงเกิดขึ้นตั้งอยู่ชั่วคราวแล้วดับไป จึงได้ชื่อว่า อนัตตา(ไม่ใช่ว่า มีหรือ ไม่มี)...จิต เจตสิก รูป หรือ รูปนามขันธิืห้า ย่อมเกิดดับทุกขณะอยู่แล้ว.....ถ้าดูจากพระสูตร ที่ตรัสกับ พระกัจจานะ ที่ผมยกมา ข้างบน:cool: ถ้าดูจากอริยสัจสี่ ทุกข์ควรกำหนดรู้ สมุทัยควรละ นิโรธ ควรทำให้แจ้ง มรรคควรเจริญ การกำหนดรู้ ทุกข์ คือการกำหนดรู้รูปนามขันธิ์ห้าหรือปฎิจสมุปบาทหรืออิทัปปัจยตา ว่าไม่ใช่ สัตว์ ตัวตนบุคคล เราเขา เป็นเบื้องต้นนะครับ....และก็ทุกข์สมุทัยควรละ....:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2014
  8. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ...........ชัดเจนว่า นิพพานคามิมรรค หรือ สมถะและ วิปัสนานั้น ย่อม เพื่อรู้สิ่งนี้นะครับ
     
  9. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    สองฝั่ง คือการเกิดมาแล้วคืออดีต และ การที่จะดับไปคืออนาคต
    ส่วนที่เป็นตรงกลางคือปัจจุบันคือเป็นมรรคคือความจริงของทั้งสองฝั่ง
    อยากรู้ความจริงต้องเข้าถึงมรรคเพื่อจะเข้าใจในผล
     
  10. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    แมวดำตัวนี้ ท่าจะเป็นเอามาก
     
  11. thaiboy74

    thaiboy74 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +207
    ขอตอบแบบกลาง ๆ นะครับ
    พระพุทธเจ้าเองก่อนที่จะตรัสรู้ ก็ได้ทรงทดลองและปฏิบัติมาก ความเชื่อสองรูปแบบที่ปรากฏแพร่หลายในยุคนั้นก็หนีไม่พ้น 2 เรื่องหลัก ๆ คือ ตายแล้วสูญ กับตายแล้วคงอยู่(แบบฮินดู) แต่หลังจากที่เจ้าชายได้ปฏิบัติมา ก็ทรงถึงข้อสรุปที่ว่า มันไม่ใช่ทั้งคู่ที่กล่าวมา ส่วนนึงที่เชื่อก็จะเป็นพวกนัตถิกทิฏฐิคือตายแล้วสูญ และอีกพวกคือสัสสตทิฎฐิ
    ทั้งนี้ขออรัมภบทแค่เรื่องจิตกับสภาวธรรมเท่านั้นนะครับ แค่นี้ก็ปวดหัวกันจะแย่ และน่าจะพอสร้างคำตอบคร่าว ๆ ได้ เพราะธรรมทั้งปวงมีสภาวะเดียวกัน แค่นี้น่าจะพอจบนะครับ
    อีกอย่าง ให้พูดถึงนิพพานก็ดูจะไกลเกินไป ให้พระท่านพูดจะดีกว่า เพราะท่านอยู่ใกล้กว่า

    ทางออกของเรื่องนี้ในกลุ่มของเถรวาท-สรวาสติวาท ที่พอจะอธิบายได้คือ มันไม่ใช่ทั้งสองอย่าง การอธิบายแบบง่ายที่สุดก็คือให้ลองพิจารณาเรื่องรูป-นาม เรื่องปฏิจจสมุปบาท อีกเรื่องคือเรื่องขันธ์ 5 โดยละเอียด จะเห็นได้ว่า จะบอกว่าสิ่งนั้น สิ่งนี้มีอยู่ ก็บอกไม่ได้ จะบอกว่ามันไม่มีอยู่ ก็บอกไม่ได้ เพราะการมีอยู่ มันมีอยู่ผ่านการรับรู้ ที่ขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัย หรือถ้าไม่มีการรับรู้เสียแล้ว สิ่งต่าง ๆ นั้นก็ยังคงมีอยู่ผ่านการเกิดแต่เหตุและปัจจัย หากปราศจากเหตุและปัจจัยเสียแล้ว สิ่งเหล่านี้เองก็ดำรงอยู่เสียไม่ได้
    สรุปแล้ว พระท่านจึงได้ว่า มันจะมีอยู่ก็บอกไม่ได้ จะไม่มีอยู่ก็บอกไม่ได้ จึงเป็นคำตอบที่กลาง ๆ แบบที่เราเรียนรู้กันมา หรือสรุปให้หรู ๆ ก็คือ มันไม่มีตัวตนให้ยึดถือ

    ทีนี้พอเวลาผ่านไปรวม 1000 ปี หลังพุทธกาล ก็มีการพัฒนาวิธีคิดเหล่านี้ที่ซับซ้อนขึ้นไป ผ่านวิธีคิดแบบสรวาสติวาทแต่เดิมที่ได้ว่าไว้ข้างบน

    บ้างก็ว่า สรรพสิ่งไม่มีอยู่หรอก เพราะหากปราศจากการรับรู้ของจิตเสียแล้ว มันก็สุญ จิตนั่นแหละ ที่เที่ยงแท้ (ไป ๆ มา ๆ นี่ก็เข้าหลักอาตมันของฮินดูไป)

    กลุ่มที่พัฒนาได้เข้ารูปเข้ารอยและมีชื่อเสียงที่สุดในปัจจุบัน คือกลุ่มที่พัฒนาในนาลันทา โดยท่านนาคารชุน ชื่อกลุ่มมัธยมก หรือ middle way ที่โด่งดัง กลุ่มนี้เป็นมีอิทธิพลในตะวันออกไกลและยังเป็นพื้นฐานของเซ็นอีกด้วย (ทั้งนี้จะพูดถึงอิทธิพลของกลุ่มโยคาจารต่อไปอีกนิดหน่อย ในย่อหน้าถัดจากนี้)
    มัธยมกได้พัฒนาความคิดแรกที่พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท เรื่องขันธ์ต่าง ๆ ที่กล่าวไว้ข้างต้น นำมาย่อยทุกอย่างลง จนสรุปไว้ในคัมภีร์ มัธยมกการิกะ สั้น ๆ กระชับแค่ว่า สรรพสิ่ง ดำรงอยู่ได้ด้วยเหตุและปัจจัย ที่เหลือกรุณาหาอ่านเอง หรือถ้าใครสนใจ กรุณาเขียนมาบอก จะแปลและอธิบายเพิ่มในอนาคต
    ที่มาของวิธีคิดแบบนี้ คุณต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ในสมัยนาลันทาเอง พุทธศาสนาเจิรญถึงขีดสุด มีพุทธศาสนาแต่งแยกออกเป็นนิกายใหญ่ ๆ ได้มากกว่า 10 นิกาย ที่ตีความสภาวธรรม เรื่องตรีกายและโพธิสัตว์ออกต่าง ๆ กัน ซึ่งในที่นี้จะไม่พูดถึง
    ยุคนี้ ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ได้พัฒนาวิธีการเข้าถึงองค์ความรู้ต่าง ๆ ผ่านการเรียนรู้จากตรรกะ และประสบการณ์ เรียกกันว่า ตรรกะวิภาษ หรือ dialectic system ด้วยความเชื่อที่ว่า ความรู้ที่อยู่สูงขึ้นไป ไม่อาจเข้าถึงด้วยคำพูดและการให้คำจำกัดความ นี่เองทำให้วิธีการเหล่านี้ ได้เป็นที่นิยมแบบที่สุด ก่อนหน้าที่มุสลิมจะเข้าทำลาย แต่ก็โชคดี ที่ได้ถูกถ่ายทอดไปยังตะวันออกไกล และธิเบต ผ่านครูบาอาจารย์และนักเดินทางมากมายผู้มีคุณูปการสูงสุดต่อวงการพุทธศาสนาโลกในปัจจุบัน
    กลับมาที่มัธยมก ที่ว่าสรรพสิ่งดำรงอยู่ได้ด้วยเหตุและปัจจัย
    ในแง่สรรพสิ่ง ทุกอย่าง มีเหตุให้เเกิด และดับสูญ ต้องอาศัยปัจจัยในการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ดังนั้น ด้วยตัวมันเอง มันไม่มีอยู่ (ตรงนี้ใช้คำว่าด้วยตัวมันเอง มันไม่สามารถมีอยู่นะครับ เพราะไม่ได้จะพยายามบอกว่ามันไม่มีอยู่ซะทีเดียว)
    ในแง่ของจิต จิตมีอยู่ผ่านการรับรู้ ตกกระทบ หรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งก็ผ่านเหตุและปัจจัย หากปราศจากเหตุและปัจจัยเสียแล้ว มันก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ตรงนี้ เท่าที่ผมเข้าใจ มันก็ไม่มีข้อยกเว้นกับวิญญาณหลังความตายด้วย เพียงแต่นั่นไม่มีอายนตะ อวัยวะและผัสสะของสิ่งมีชีวิต คงมีแต่วิญญาณ ซึ่งก็กลับไปที่เงื่อนไขแรกคือ วิญญาณตรงนี้มีอยู่เนื่องจากเหตุและปัจจัยหรือไม่ ท่านก็คงพอเดาทางออกอยู่แล้ว ทีนี้ขอจบในกลุ่มมัธยมกเพียงแค่นี้
    โดยจะขอสรุปว่า สรรสิ่ง จะบอกว่ามีก็ไม่ได้ จะบอกว่าไม่มีก็ไม่ได้ จะบอกว่าทั้งมีและไม่มีก็ไม่ได้

    ราวหลัง พศ 1100 กลุ่มโยคาจาร นำโดยท่านอสังกะและวสุบันดุ ได้พัฒนาแนวความคิดของกลุ่มมัธยมกะ จากเดิมที่ว่า สรรพสิ่งดำรงอยู่ได้ด้วยเหตุและปัจจัย คำตอบมาอยู่ที่ว่า เพราะว่าจิต เป็นตัวรู้ และรับรู้ สรรพสิ่ง ดังนั้น สรรพสิ่งไม่มีอยู่ แต่จิตเท่านั้น มีอยู่
    การตีความแบบนี้โดยนักศาสนาสมัยใหม่ทำให้กลุ่มโยคาจาร มักได้รับสมยานามในภาษาอังกฤษว่ากลุ่ม mind only แทน
    แต่ในทรรศนะของผมเอง มองว่ากลุ่มนี้ได้ต่อยอดความคิดของท่านนาคารชุน ด้วยข้อสรุปที่ว่า สรรพสิ่งไม่มีอยู่ เพราะทุกสิ่งต้องอาศัยการรับรู้ด้วยจิต ต่างหาก ดังนั้นการจะสรุปว่าจิตมีอยู่ผ่านตรรกะนี้ ก็ผิวเผินเกินไป
    ในกลุ่มโยคาจารนี้สร้างคุณูปการมากมายแด่จีนและตะวันออกไกล เช่นเมื่องครั้งท่านพระถังซำจั๋งมาอินเดีย ก็ได้ขนคัมภีร์ในกลุ่มนี้ไปมากมาย รวมถึงก่อเกิดเป็นลัทธิเซนด้วย ในกลุ่มมัธยมกะด้านบนจะสร้างคุณูปการให้ธิเบตมากที่สุด

    ทั้งนี้ คำตอบของคำถามอยู่ที่ใหน ก็ลองดูแล้วกัน แต่ไม่ได้บอกว่าที่ผมเขียนมามันถูกต้องดีงามแล้ว ใครจะไม่ใคร่เห็นด้วยก็รบกวนเขียนติงด้วยข้อมูล เพื่อการกล่อมเกลาในส่วนที่ผมไม่รู้เองด้วย จะได้ไปค้นคว้าเพิ่มเติม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2014
  12. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    เนื้อความทั้งหมด ที่น่าสนใจคือ สีชมพูเท่านั้น ที่ว่ามา ถ้าจิตแค่รับรู้ สรรพสิ่ง เมื่อสรรพสิ่งไม่มีอยู่จริง แล้วจิตจะมีอยู่เพื่อรับรู้ สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงไปทำไมกัน ไม่คิดมั่งหรือว่า เพราะมีสรรพสิ่ง จึงมีจิตมารับรู้ แล้วถ้าที่สุดแล้ว ปัญญารู้ว่า สรรพสิ่งมีอยู่ล้วนไม่จริง จิตก็ไม่เห็นจะต้องมีเพื่อรับรู้ เลย ไม่มีจิตก็ได้
     
  13. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    เช่น ความหิวของร่างกายที่ต้องการอาหาร
    กายหิว ขาดเรี่ยวแรงพลัง กายบอกแสดงอาการหิวให้ใจรับรู้ แล้วส่งไปที่สมองให้ สมองคิดหรือหาที่กิน หาของกิน มาเพื่อให้มีเรี่ยวแรง ใจทนหิวได้ ใจไม่สั่งสมองไม่สั่งไม่หาอาหารมากินก็ได้ เพราะมันเป็นอาการของกายที่หิวเพราะขาดพลังงานขาดเรี่ยวแรง หมายถึง ถ้าสรรพสิ่งคือกายและความหิวและการขาดพลังงาน แล้วทำไมสรรพสิ่งที่ถูกรู้ถึงต้อง ส่งหรือสื่อสารมาที่ใจหรือสมองให้รับรู้ ล่ะ

    แล้วถ้าได้กิน อิ่ม มีเรี่ยวแรง จำเป็นมั้ยที่ ใจจะรับรู้ด้วยว่ากายอิ่มแล้วมีเรี่ยวแรงแล้ว ซึ่งไม่จำเป็นก็ได้ ไม่จำเป็นเลยที่ใจจะต้องรู้ว่ากายอิ่มแล้ว ไม่หิวแล้ว เพราะที่อิ่มคือกาย ที่ไม่หิวคือกาย ที่มีเรี่ยวแรงคือกาย ใจไม่รู้ก็ได้ นะว่ามั้ย
     
  14. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    เช่นกัน เมื่อร่างกายเป็นแผล เจ็บ ทายา ยังไม่หาย ใจจะไม่รับรู้ด้วยก็ได้
    เพราะเมื่อหาย แผลหาย หายเจ็บ ก็เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นที่กาย ใจจะไม่รับรู้ด้วยก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เพราะถึงที่สุดเมื่อแผลหาย กายก็เหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้นเลย ใจมันจะรับรู้ไม่รับรู้ ก็เหมือน ไม่มีอะไรเลย
     
  15. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    สรุป จิต ไม่จำเป็นต้องมีอยู่ ก้อได้ เมื่อเกิดปัญญาเข้าใจว่า สรรพสิ่งล้วนไม่จริง
    สรุป ใจไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจก็ได้ เมื่อเกิดปัญญารู้ว่า กายไม่ไช่ของเที่ยงแท้แน่นอน
     
  16. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    กายใจ คือ อายตนะรับรู้โลก รับรู้สมมุติต่างๆ รับรู้สรรพสิ่ง

    ถ้าสมมุติ มีคนหนึ่งตายลง ตายไป อายตนะรับรู้ของเขาดับลง ไม่ทำงาน สรรพสิ่งยังคงมีอยู่หรือเปล่า คำตอบคือ สรรพสิ่งที่ไม่เที่ยงยังคงมีอยู่ แล้ว ถ้าจิตเขาไม่ดับไม่ตายตามอายตนะ เพราะจิตเขายังยึดมั่นในสรรพสิ่งที่เคยรู้เคยชอบเคยเห็นเหคยผูกพัน คิดว่าเขาจะถูกสรรพสิ่งที่เขายึดมั่นผูกดึงจิตรู้เขาไว้ได้มั้ยล่ะ คำตอบคือได้ ถ้าเขาทำเช่นนี้
     
  17. thaiboy74

    thaiboy74 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +207
    คือที่เขียนนี่เป็นแค่ข้อถกเถียงของพวกนักปรัชญาต่างลัทธิกันเทานั้นนะครับ ไม่ใช่ข้อสรุปที่ในกลุ่มนี้บอกว่าสรรพสิ่งไม่มีอยู่ แต่จิตมันมี มันมีปรากฏในกลุ่มนิกายเริ่ม ๆ ยุคหลังพุทธกาลตอนต้น (ส่วนตัวไม่มองไปไกลถึงโยคาจาร) ก็เพราะ
    1. ในพุทธเอง ไม่มีกลุ่มใหนเลยที่บอกว่าสรรพสิ่งไม่มี แต่คำว่าไม่มีนี่ มันมีนัยยะของคำว่า ไม่มีตัวตนให้ยึดถือ เพราะว่ามันต้องอาศัยเหตุและปัจจัย อาศัยการรับรู้ ในการพัฒนาทางปรัชญาแรก ๆ ได้พยายามจัดการกับข้อถกเถียงเรื่องสถาวะธรรมต่าง ๆ แต่ส่วนตัวมองว่า มันเป็นการง่ายกว่าที่จะจัดการกับความคิดและการเข้าถึงพุทธที่ว่า เป็นอัตตา มากกว่าอนัตตา เพราะมันจะง่ายกว่าในการให้คำตอบที่ว่า จิตคืออะไร และนิพพานคืออะไร ไปทางใหน ซึ่งแนวคิดนี้ไม่ได้ต่างกับฮินดูเลยเรื่องอาตมัน
    2. ในกลุ่มหลังหรือกลุ่มโยคาจารที่พวกฝรั่งกลุ่มโบราณเรียกว่า mind only มันต่างจากข้อ 1. มาก เพราะเขามองว่า "สรรพสิ่งดำรงอยู่ได้ด้วยเหตุและปัจจัย คำตอบมาอยู่ที่ว่า เพราะว่าจิต เป็นตัวรู้ และรับรู้ สรรพสิ่ง ดังนั้น สรรพสิ่งไม่มีอยู่ แต่จิตเท่านั้น มีอยู่" ผมมองว่าฝรั่งเองตีความโยคาจารด้านเดียว แต่อาจไม่ได้พิจารณาว่าโยคาจารเองก็ได้พัฒนามาจากมัธยมกะของท่านนาคารชุน ซึ่งมองว่าสรรพสิ่งดำรงอยู่ได้ด้วยเหตุและปัจจัย ซึ่งมันมีอยู่ได้ก็เพราะจิตมันไปรับรู้ ซึ่งถ้าจะไปสรุปว่าจิตมีอยู่เพราะมันไปรับรู้สิ่งที่ถูกรับรู้ก็พอได้ แต่ทั้งนี้ เราต้องมองยาวไปอีกว่า แล้วที่จิตรับรู้ตัวเอง มันรับรู้ได้อย่างไร ถ้าจิตรับรู้ตัวเองได้เสียแล้ว จิตเองก็ไม่พ้นกฏเหตุและปัจจัยด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งผมบอกไว้แต่ต้นว่า โดยส่วนตัวมองว่า โยคาจารต่อยอดมัธยมกะอีกทีผ่านการจัดระเบียบความคิดที่เป็นระเบียบมากขึ้น

    ข้อสรุปมันกลับมาที่ว่าสรรพสิ่งจะว่ามีก็ไม่ได้ จะว่าไม่มีก็ไม่ได้ จะว่าทั้งมีหรือไม่มีก็ไม่ได้

    เพราะถ้ามันมี มันจะต้องไม่ขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัย
    ถ้ามันไม่มี แล้วเรารับรู้มันได้อย่างไร หรือเป็นเพียงอุปทานซ้อนอุปทาน
    และมันก็ไม่สามารถเป็นทั้งมีและไม่มีในเวลาเดียวกันด้วยเช่นเดียวกัน
     
  18. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    อายตนะรู้สรรพสิ่งว่าล้วนไม่เที่ยง ไม่จริง แล้วจิตรู้ หลงยึดมั้ย หรือไม่หลงยึด ในสรรพสิ่งที่ไม่เที่ยงเหล่านั้นล่ะ ประเด็นสำคัญมีแค่นี้แหล่ะ
     
  19. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
     
  20. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    อายตนะกายใจ ไม่ไช่อุปทาน
    จิตรู้ต่างหากที่อุปทาน เช่น คนที่ตาบอดทีหลัง เขาเคยเห็นภาพ เขารู้เขาจำได้ ว่าตอนที่ตาไม่บอด เขามองเห็น แต่ถ้าเขาตาบอดทีหลัง แต่ใจจำได้ ที่ใจจำได้ทั้งที่ตาบอดแล้ว แต่ยังมีความจำภาพนั้นอยู่ อันนี้ไม่ไช่อุปทาน แค่ตามันไม่เห็นภาพเหมือนที่เคยเห็น แค่ตามันไม่เป็นปกติ

    อุปทาน ส่วนมากจะเกิดที่ จิตรู้ ที่ มันไม่เคยเห็น แต่จินตนาการได้เอง จินตนาการไปเอง เกินความจริงที่ตาเห็น นี่ถึงเรียกอุปทาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...