ตายแล้วไปไหน-พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ตุปั๊ดตุเป๋, 20 มีนาคม 2019.

  1. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๖.ทรัพย์ใต้ดินเมืองกาญจนบุรี (ต่อ)

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย รายการนี้ให้ชื่อว่า รายการนี้ให้ชื่อว่า รายการทรัพย์ใต้ดินแห่งเมืองกาญจนบุรี เป็นอันว่าเมื่อตอนที่แล้ว ได้คุยกับพระยากาญจนพลินทร์ถึงทรัพย์สินในเมืองกาญจนบุรี คือ ทรัพย์ใต้ดิน ไม่ทันจะจบก็หมดเวลาเสียก่อน

    ประเดี๋ยวก็บรรดาท่านพุทธบริษัท รายการนี้เป็นรายการธรรมะ ทำไมจึงนำนิทานมาเล่ากันฟังแทนธรรมะ ก็ขอพูดตอบว่า นิทานนี้เป็น นิทานมรณานุสสติกรรมฐาน เพราะว่าคำว่า มรณานุสสติ คือ นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ที่นำเอาพระยา ๒ พระยามาพูด

    เพราะว่าท่านพระยา ๒ พระยานั้นเป็นคนที่มีชื่อเสียงมาก หาทรัพย์สินได้ดี เป็นกำลังใหญ่สำคัญของชาติ สมัยเป็นหนุ่มก็เป็นนักรบ ต่อมาหนุ่มน้อยลงมากเป็นนักรัก นักแสวงหาโชคลาภ เป็นคนหาสินทรัพย์ส่งพระคลังของราชการ

    แต่ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ต่างคนก็ต่างตายไปหมด ฉะนั้นขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจงคิดว่า ท่านที่เล่าให้ฟังเราฟัง เวลานี้ท่านเป็นพรหม การเป็นพรหมได้เพราะท่านตายจากความเป็นมนุษย์แล้วก็ไปเกิดเป็นพรหม คนที่จะเป็นพรหมได้เพราะอาศัยสมาธิ คือ ณานสมาบัติ

    ท่านเป็นนักนิยมการเจริญกรรมฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝึกการติดต่อกับเทวดากับภูติผีพราย นี่เป็นสมาธิสูง การที่จะใช้วิชาอยู่ยงคงกระพันก็ต้องใช้สมาธิสูง ที่เรียกกันว่าจำต้องปลุกพระปลุกตัวทุกวัน ทั้งเช้า และเย็น นั่นคือ สมาธิ

    ดังนั้นนักที่ชอบปลูกตัว คือ ยึดถือพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ เป็นสำคัญก่อน คือ นึกถึงพระพุทธหรือว่านึกถึงพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งที่เป็นคณาจารย์ของท่านแล้วก็ปลุกพระ นั่นคือสมาธิ การปลุกพระจะขึ้นปุบปับ ๆ นั่น คือ อุพเพงคาปีติ ไม่ใช่ของต่ำ กำลังใจต้องไปถึงปีติที่เรียกว่า อุพเพงคาปีติ ตอนจิตเยือกเย็น นั่นเป็น ผรณาปีติ เมื่อปีติเกิดขึ้น ฌานก็เกิด

    คือ รวมความว่าท่านที่ตายไปแล้ว ท่านมีฌานสมาบัติเป็นปกติ เพราะปลุกพระทุกวัน บูชาพระทุกวัน ต้องฝึกในทุกสมาธิติดต่อกับเทวดาภูติพรายต่าง ๆ ทุกวัน วันนี้ก็มาเล่าเรื่องของท่านต่อ

    ขึ้นชื่อว่าทรัพย์สินทั้งหลาย ตอนที่ ๑๙ ที่ผ่านมา นี่ตามหลักการของหนังสือที่บันทึกเป็นเสียง ตอนที่แล้วเป็นตอนที่ ๑๙ ตอนนี้เป็นตอนที่ ๒๐ แต่ว่าก็ถือว่าเป็นตอนที่ ๔ ของเล่ม ๖ เป็น หนังสืออ่านเล่น เล่ม ๖ พูดกันมาถึงทรัพย์สินยังไม่ทันจะจบ เวลาก็หมดก็ขอคุยกันต่อไปว่า

    ในเมื่อท่านนำขึ้นมาแล้ว ท่านทำพิธีกรรมอย่างไหน แร่ทั้งหลายจึงเป็นทองคำ ท่านยิ้มแล้วก็บอกว่า ขอสงวนครับ กาลเวลายังไม่ถึง ถามท่านว่า กาลเวลายังไม่ถึงนั้นหมายถึงอะไร ท่านบอก หมายถึงว่าประเทศไทยยังมีความมั่นคงไม่พอ

    ถ้าจะนำแร่ขึ้นมาแล้วต้องมีความมั่นคงพอ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ต้องระมัดระวัง คนไทยเราไม่สนใจในป่าชัฏนี้มาก สนใจแต่ไม้ไม่สนใจในแร่ ต้องระมัดระวัง คนที่เราคิดว่าเขาโง่

    แต่ความจริงเขาไม่โง่ เขามีความฉลาดใต้ภาคพื้นดิน เขาจะเข้ามาขุดเอาไปใช้ประโยชน์ของเรา ก็ถามว่า การขุดดินจะทำได้รึ ต้องใช้เวลากัน ท่านบอก การขุดดินมันไม่ใช่ของแปลก การตัดต้นไม้เป็นพัน ๆ ท่อนคนยังมองไม่เห็น การขุดดินประเภทนี้ทำไมจึงจะมองเห็น เพราะอยู่ป่าลึก ก็ผ่านไป

    ก็ถามท่านว่า กาลเวลาอีกอย่างหนึ่งหมายถึงอย่างไร ท่านก็บอก ต้องคนของเราสมควร ถ้าของเราไม่สมควรจริง ๆ ทรัพย์สินทั้งหมดนี้จะไม่เป็นของคนไทย จะเป็นของชาวต่างชาติ ก็ต้องระมัดระวังบุคคลบางพวกที่มีความชำนาญในป่าไทย แต่ก็ไม่ได้หมายถึงกระเหรี่ยง ไม่ได้หมายถึงมอญ เขาเคยผ่านป่าไทยไปพม่า พวกนี้เขามีความรู้ในธรณีวิทยา เขาทราบทั้งหมด

    และลีลาของเขา เขาแสดงกับคนก็เป็นของไม่ยาก ในเมื่อเขาจะบอกคนไทยว่า รู้จักที่ตรงนั้นไหม เดินถูกไหม เขาจะไปดูคนของเขาที่ตายแล้วเขาฝังไว้ โดยให้ค่าจ้างแพง ๆ ซึ่งชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก็คิดว่าเป็นความจริงก็พาเข้าไป

    เมื่อพาเข้าไปไปพบที่ตรงนั้นแล้ว ต่อมาเขาอาจจ้างคนขุดเพื่อทำอะไรสักอย่าง การขุดดินไม่ใช่ของแปลก แต่ว่าเนื้อดินซิบรรดาท่านผู้ฟังมีค่าสูง ก็รวมความว่าวิชาการยังคุยกันไม่ได้ ท่านบอกว่าขอให้ผ่านไปก็ขอผ่านไป

    ถามท่านต่อไปว่า ด้านซีกเหนือที่มีทรัพย์สินเป็นทางยาวไหม ท่านบอกว่ายาวมาก เป็นตอน ๆ เป็นช่วง ๆ บางช่วงนี้จะไม่มีแร่ บางช่วงจะมีแร่ ถ้าทางที่ดีละก็ขอให้ทางราชการที่มีความรู้ทางด้านนี้ให้ใช้นักธรณีวิทยาสำรวจ แต่ท่านมีความเข้าใจว่านักธรณีวิทยานี้เขาจะทราบหมดแล้ว

    แต่ทราบสถานที่อาจจะเกือบหมด หรือเกือบทั้งหมด แต่ปริมาณทราบไม่หมด และจำนวนจริง ๆ ทราบไม่หมด ชนิดของแร่จริง ๆ ทราบไม่หมด ถ้าทราบหมด รู้จุดหมดจริง ๆ ค่อย ๆ นำมาใช้ แต่อย่าลืมนะว่ากำลังป้องกันสถานที่ให้มีให้มาก และก็ต้องมีความฉลาดพอ เพราะว่าเมืองกาญจนบุรีเป็นเมืองหอม และประเทศไทยไม่เฉพาะกาญจนบุรี ที่อื่นก็มีมาก

    คุยกันต่อไป ก็ถามท่านต่อไปถึงจุดอื่น ความจริงไม่อยากจะสนใจแร่อย่างอื่น เพราะไม่มีความรู้ สนใจ ๒ อย่างคือ แร่เงินกับแร่ทอง เอาแร่เงินธรรมชาติแร่ทองธรรมชาติ ขี้เกียจถลุง เพราะการถลุงเป็นของยาก เวลานี้ก็ต้องใช้โรงงาน

    สมัยก่อนเขาใช้อะไรก็ไม่ทราบ ขี้เกียจถามกันไม่เอา ลำบาก เราเป็นคนขี้เกียจ แบบชุบมือเปิบก็แล้วกัน มีไหมแร่เงินกับแร่ทอง ท่านบอก เมืองกาญจนบุรีเจาะตรงไหนก็มีทองคำ อย่าลืมว่าพื้นที่ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ของเมืองกาญจนบุรีเป็นทองคำ แต่ว่าปริมาณจะมากปริมาณน้อยอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก

    และข้อที่สองก็ต้องอาศัยเป็นบุญบารมีของคน คนทุกระดับชั้นต้องมีบุญบารมีพอโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องเป็นคนทำเพื่อชาติ และก็ทำเพื่อชาติไทย ไม่ใช่รู้แล้วก็แนะนำให้ชาติอื่นเขามารวย ความจริงแต่ขุดด้วยมือก็พอมีดื่นดาษ ถามว่าที่ตรงไหนบ้าง อำเภอไหนบ้าง ท่านยิ้ม ๆ

    ท่านบอกว่า ผมพูดอย่างนี้มันก็ผิดระเบียบอยู่บ้างแล้วนะครับ แต่ว่าผมเห็นว่ากาลเวลามันใกล้เข้ามา ถามท่านว่าอีกกี่ปีจะให้กันอย่างหนัก ท่านก็ยิ้ม ท่านบอก ดูน้ำมันก็แล้วกัน ท่านรู้เรื่องน้ำมันตั้งแต่ปี ๑๘ แต่เทวดาที่ควบคุมน้ำมันเขาบอกว่า จะต้องได้ พ.ศ. ๒๕๒๔ และต่อมาเมื่อปี ๑๙ ท่านขอบอกว่า ขอให้ได้ พ.ศ. ๒๕๒๐ ได้ไหม เทวดาบอกไม่ได้ ในที่สุดก็ต้องไปปรากฏการณ์กัน พ.ศ. ๒๕๒๔

    สำหรับทองคำนี้เป็นเรื่องหนัก ผมจะไม่บอกกาลเวลากับท่าน เอาละซิความเป็นจริง รอเวลาตามสมควร ทางราชการมีทุนมากสามารถให้คนค้นคว้าได้ เมื่อสามารถค้นคว้าได้จริงก็พบของจริง ค้นคว้าไม่ได้จริงก็ไม่พบของจริง พระอย่าเกี่ยว ท่านว่าอย่างไรรู้ไหม บอกพระห้ามเกี่ยว คือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน เป็นเรื่องของแผ่นดินเขา เอาละ ก็ขอผ่านไปไม่เกี่ยวก็ตามใจเถิด ไม่ได้ว่าอะไร ขอต่อไปอีกนะ

    ต่อไปก็อยากจะทราบว่าแร่ทองคำหรือเงินที่เป็นเม็ดทราบอย่างที่ไปพบที่นิวซีแลนด์ เป็นเม็ดทรายสวยอร่าม แบบนั้นตักกันแบบสบาย ๆ มันมีในเขตกาญจนบุรีไหม ท่านบอกว่า ที่เป็นเม็ดทรายจริง ๆ ที่รวมตัวกัน มันมีอยู่หลายจุดในประเทศไทย หลายแห่งแล้ววันว่าง ๆ ผมจะคุยกับท่าน

    วันนี้เราคุยถึงกาญจนบุรี ไอ้เขาลูกนั้นนั่นแหละ ท่านอย่าเอะอะไปนะ เขาจะหาว่าผมปากบอน ไอ้เขาลูกที่สูง ๆ นั่นถือเป็นหลักชัย มันเป็นเขาแบ่งเขต ด้านเหนือเป็นแร่ที่ต้องนำมาถลุง แต่ว่าทางด้านทิศใต้หรือพุ่งตะวันออกนิดหน่อย นั่นมันจะมีการพบแร่ทรายที่เป็นแร่เงินแท้ แร่ทองคำแท้ แต่มันอยู่ไม่ปนกัน

    ถามปริมาณบอกชนิดที่กาญจนบุรีนี่ที่มันเป็นเม็ดทรายที่รวมตัวกันมีกี่จุด และมีจำนวนมากไหม ท่านบอก เอาจริง ๆ ที่มากจริง ๆ มันมี ๓ จุด แต่ว่าเท่าที่ขุดกันไม่มีใครขุดในเขา ที่แล้วมาขุดแต่พื้นที่ราบหรือเชิงเขา เทวดาจะบอกสายของทองและสายของเงิน มันจะเป็นสายเหมือนกันสายแร่

    ถ้าหากว่าเขาสามารถพิสูจน์ได้ว่าตรงนี้เป็นทอง แล้วก็สืบดูว่าทางไหนมันหนา ค่อย ๆ ตามเข้าไป เวลาที่ขุดกันจริง ๆ ขุดเอาเศษทองในส่วนนี้ มันเป็นเศษ แต่ว่าขุดกันนานเท่าไรก็ไม่หมด จึงเรียนถามท่านว่า ชาวบ้านเวลานั้นที่ขุดทอง เงินชักจะไม่สนใจเสียแล้ว ที่ขุดทองเขาได้กันวันละกี่สลึงกี่ไพ ท่านตอบว่า ในเขตของหลวง เวลานั้นผมกับพ่อกันที่ไว้ ๒๐,๐๐๐ ไร่ ในเขต ๒๐,๐๐๐ ไร่ นี้ ราษฎร ไม่มีสิทธิ์จะขุดเอาเป็นส่วนตัว

    เมื่อขุดแล้วต้องขายให้หลวง ตามราคาที่หลวงกำหนด นั่นคือทองบริสุทธิ์ เรียกว่า ท้องเนื้อเก้า หนัก ๑ บาท ให้ ๙ บาท ทองที่มีสิ่งเจือปนเล็กน้อย เรียกว่าทองเนื้อแปด หนักบาทให้ ๘ บาท ทองที่มีสิ่งเจือปนมากหน่อยต้องคัดกัน หนักบาทละ ๖ บาท เรียกว่าทองเนื้อหก ราษฎรที่ขุด อย่างคนขี้เกียจ ๆ เขาจะได้ประมาณวันละสลึงบ้าง ๒ ไพบ้าง แล้วคนที่ขยัน ๆ อาจจะได้ถึงบาทหรือเกินบาท

    ถ้าบางคนไปเจอะสายที่มีความสำคัญเข้า เป็นสายหนา ได้ถึง ๔-๕ บาทก็มีต่อหนึ่งคน แต่คนเวลานั้นถ้ามีเงินบาทเขาครึ้มแล้ว เงินบาทมีค่าสูงมาก นอนกินไปได้หลายวัน เป็นอันว่าคนก็มีความร่ำรวยมาก นี่ถือว่าเป็นสายนะ เป็นสายของทอง สายของเงิน เงินจะไม่พูด ขี้เกียจพูด ราคาถูก

    ก็ถามท่านว่า ทางราชการเอาไปทำไม ท่านบอกว่า เวลานั้นภาษีอากรมันเก็บกันไม่ไหว เรื่องสงครามมีมาก เมื่อคนต้องเข้าสงคราม บ้านช่องเขาก็ขาดผัวขาดพ่อ จะไปเก็บภาษีอากรกันอย่างไร เวลานั้นคนก็มีไม่กี่คนนัก ทางราชการจะซื้ออาวุธจะซื้ออาหารอะไรก็ตาม เรื่องสงครามใช้เงินมาก

    ก็ต้องใช้แร่เงินกับแร่ทองนี่แหละ แร่เงินก็นำไปทำเงินแท่ง ซื้อของ แร่ทองก็ไปเก็บสำรองแล้วขายชาวต่างประเทศ ถามว่าท่านขายชาวต่างประเทศ ทางราชการขายบาทละเท่าไร ท่านบอกว่า ขายบาทละ ๑๒ บาท เป็นท่องแท่ง แต่ซื้อจากชาวบ้านบาทละ ๙ บาท ก็มากมายเหมือนกัน

    รวมความว่าสมัยนั้นทองมาก ท่านบอกว่าทองไม่มีแต่กาญจนบุรีนะ จะว่ากันไปอีกทีเอาจุดนี้ละ ตรงไหนที่มีทองเป็นเม็ดทราย ท่านบอกว่า อย่าถามว่า ตรงไหนซิ ผมพูดเท่านี้ผมก็แย่อยู่แล้ว เอาละผมจะบอกให้ก็ได้ มันมีเขาอยู่ ๓ จุด จะคิดเป็นลูกไม่ถูก เป็นเทือกเขา มันมีเขาอยู่ ๓ จุด จุดหนึ่งเด่นออกมา

    จุดแรก ด้านทิศเหนือเขาหน่อยเด่นแหลมออกมาหน่อย อีก ๒ จุด อยู่ในบริเวณเทือกเขาธรรมดา ทั้ง ๓ จุด นี้มีแร่ทองคำ แร่ทองคำบริสุทธิ์ ที่เป็นเม็ดทราย ถ้าเจาะลงไปได้ที่นั้นถ้าดูปริมาณให้ดู เขาศูนย์จังหวัดสุราษฏร์ธานีหรือจังหวัดนครศรีธรรมราชก็ไม่ทราบ เขาศูนย์ที่มีแร่ดีบุก เขาเจาะลงไปแล้วก็ตักเอาเฉย ๆ ตักดีบุก ที่นั่นเขาศูนย์ตักดีบุกฉันใด เขานี้ก็เหมือนกันเขาจะตักทองคำได้แบบนั้น จะกอบโกยกันได้ตามปกติ

    ก็ถามท่านว่า ทองคำนี้จะนำขึ้นมาได้จริง ๆ มากน้อยเท่าไร มีปริมาณไหม ท่านก็ตอบว่า สุดแล้วแต่เทวดาที่เขาควบคุม ถ้าเห็นว่าปริมาณพอสมควรเขาก็จะยับยั้ง ให้เห็นทองคำเป็นอย่างอื่นไป อาจจะเป็นดินไปก็ได้ เอ้อ แต่ถ้าจะนำเอามาใช้กันจริง ๆ

    สมมติว่าเอามาได้จุดละ ๑ ตัน ต่อหนึ่งวัน เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ๓ จุด ๓ ตัน อย่างนี้สักกี่ปีจะหมด ท่านบอกว่า จุดละ ๑ ตัน นี่ทำไปประมาณพันปียังไม่รู้สึกเลย เพราะมันไม่ได้มีเฉพาะจุด มันเป็นถ้ำยาวเหยียดและลึกลงไปใต้ดิน แต่ใครจะกล้าดำดินลงไปใต้ภูเขา ก็รวมความว่าทองมีมากจริง ๆ กาลเวลาบรรดาท่านพุทธบริษัท

    เมื่อพูดมาตอนนี้ก็นึกขึ้นมาได้บรรดาท่านทั้งหลาย การพูดเรื่องนี้มันไม่ใช่ตำนาน ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ เป็นการคุยกับผี หรือคุยกับพรหมที่ท่านมาให้เห็น เห็นเป็นตัวเป็นตนมีเนื้อมีหนังอย่างเราธรรมดา ถ้าถามว่าเชื่ออย่างไร ก็ตอบว่ากุฏิใส่กลอน ในเมื่อใส่กลอนนอนกลางวัน ภาวนาอยู่คนเดียว มีคนมานั่งข้าง ๆ แล้วมานั่งบนเตียงเสียด้วย เตียงนอน อย่างนี้ถ้าคนธรรมดาเข้าไม่ได้

    เมื่อคุยกันเรื่องทองจบ ก็ถามท่านอีกนิดว่า เวลานี้พื้นราบราษฎรจะพอทำได้ไหม ท่านก็บอกว่า ไม่เป็นไร เวลาจะขุดกันให้ยอมรับนับถือเจ้าของที่เขาสักหน่อย อย่าสักแต่ว่าไปขุด ถามว่าเครื่องสังเวยต้องใช้อะไรมากไหม ท่านบอกว่า ไม่จำเป็นมาก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ให้ติดต่อ

    เวลานี้คนที่มีทิพจักขุญาณมีเยอะ ที่เห็นภูติผีพราย เห็นเทวดา เห็นพรหม มีเยอะ ให้เอาจิตยอมรับนับถือเขาตรง ๆ แล้วมีจิตไม่ร่วมกับอุปาทาน ทำใจให้สบาย ระงับนิวรณ์ ๕ ประการเสียก่อน แล้วถามท่านตรง ๆ ท่านจะชี้จุดว่า ตรงนี้ขุดได้ ตรงนี้ขุดไม่ได้ ถ้าถามถึงพื้นแผ่นดิน ท่านบอกว่า ไม่จำเป็นต้องดูดิน วิชาดูดินเป็นเรื่องของนักธรณีวิทยา วิชานี้ไม่จำเป็นต้องดูดิน ก็เลยขอพักกันตอนนี้

    ขอย้อนไปถามท่านว่า ท่านพระยากาญจนบุรี บิดาของท่านตามหนังสือประโลมโลกีย์ที่เขาเขียน เขาบอกว่าเป็นคนจน ท่านก็หัวเราะ ท่านบอกว่า คุณพ่อไม่ได้จนขอรับ คุณพ่อมีเงินจริง ๆ หลายพันชั่ง ไม่ได้จนถามเขาว่า ก็ถามท่านว่า คุณพ่อตายระยะไหน ถึงสมัยพระเจ้าสามพระยาไหม ท่านก็เลยบอกว่า คุณพ่อตายก่อนพระเจ้าสามพระยาจะเถลิงราชย์

    แต่ว่าชอบพอกับพระเจ้าสามพระยามาก ต่างคนต่างเคารพกัน คุณพ่ออายุแก่กว่าพระเจ้าสามพระยามากครับ ปลายสมัยพระเจ้าอินท์ฯ นี่คุณพ่อแก่ลงไปอายุเกือบ ๖๐ ปี ตอนนั้นท่านก็ป่วย ท่านเคยร่วมรบกันพระเจ้าสามพระยา ในสมัยที่เป็นพระราชโอรส ทั้ง ๒ ท่านมีความรักกันมาก

    ขณะที่คุณพ่อป่วย พ่อป่วยครั้งสุดท้าย เรียกว่าทุกครั้งก็แล้วกันเอาครั้งสุดท้ายที่ป่วยหนัก พระเจ้าสามพระยาซึ่งเป็นพระราชโอรสไปเฝ้าไข้ ไม่ใช่ไปเยี่ยมไข้ ขณะไปเฝ้าไข้ ขณะที่คุณพ่อป่วยอาการดีขึ้นบ้าง ท่านก็เล่าความเป็นมาให้พระเจ้าสามพระยาฟังว่า อะไรควรจะทำแบบไหน ทรัพย์สินมีที่ไหน วิชาการต่าง ๆ ท่านก็ถ่ายทอดให้พระเจ้าสามพระยาอยู่มาก

    ในที่สุดท่านก็ต้องตาย แต่ก่อนจะตายท่านทำอย่างนี้ เหมือนกับท่านจะรู้ว่าเวลาตายของท่าน วันรุ่งขึ้นจะตาย วันนี้ท่านสั่งลูกสั่งหลาน ขอให้นำพระพุทธรูปมาตั้งในที่ให้ท่านมองเห็น จิตใจจับภาพพระพุทธรูป พอสบายใจแล้วท่านบอกว่า

    วันพรุ่งนี้ให้นิมนต์พระมา ๙ องค์ เวลาเช้า จะขอถวายสังฆทาน เมื่อพระมาถึงแล้วก็เอาแค่ให้พรพระ สวดพรพระ เวลานั้นขณะที่ท่านสั่งพระเจ้าสามพระยาก็อยู่ พระเจ้าสามพระยาก็บอกให้ทราบว่า งานทั้งหมดท่านรับเป็นภาระคนเดียว

    เป็นอันว่า พ่อจะลุกขึ้นกราบพระเจ้าสามพระยาในฐานะเป็นราชโอรส และมีความดี พระเจ้าสามพระยาเอามือกดหน้าอกไว้ท่านเรียกว่า คุณลุง ไม่ต้องกราบ ๆ แต่ความจริงคุณพ่ออ่อนกว่าพระเจ้าอินทราชามาก คุณลุงไม่จำเป็นต้องกราบ เท่านี้พอแล้ว ท่านก็แสดงความรักในพระเจ้าสามพระยา ในที่สุดถึงวันเวลาพระเจ้าสามพระยาจัดเสร็จ เป็นเจ้าภาพทุกอย่าง แล้วก็ในที่สุดท่านก็ตาย

    ในฐานะที่ผมเป็นพรหมนะขอรับ พระยากาญจพลินทร์ท่านบอก ผมขอบอกตามความเป็นจริงว่า คุณพ่อไม่น่าจะไปพรหม แต่อาศัยว่าเวลานั้นจิตท่านเป็นฌาน กำลังของฌานดันท่านขึ้นไปบนพรหมก่อน จิตใจเวลานั้นท่านจับภาพพระพุทธรูปมั่นคงมาก จับภาพพระสงฆ์มั่นคงมาก จับภาพทานในการถวาย

    ท่านถนัดในการถวายสังฆทานและนิยมมาก การถวายสังฆทาน แต่เรื่องการให้ทานของท่านเป็นปกติ คนยากจนเจอะหน้าที่ไหนให้ทานที่นั้น ท่านรวย ไม่ใช่จน ท่านซื้อทองคำ บรรดาประชาชนเขาหาทองคำนอกเขตหลวงมาได้ ท่านก็ซื้อ ซื้อในราคาหลวงซื้อ ไม่ตัดไม่รอน แต่เวลาท่านจะขาย ท่านขายแก่ชาวต่างประเทศท่านได้ ๑๒ บาท ท่านซื้อ ๙ บาท ท่านเป็นคนรวยไม่หนักใจในเรื่องการเงินการทอง

    อาศัยที่ท่านเป็นพรหมแต่จิตใจท่านนิยมพระเจ้าสามพระยาขึ้นไปเป็นพรหมได้แผลบเดียว ก็ปรากฏว่าจุติลงมาเข้าสู่ครรภ์ของชายาพระเจ้าสามพระยา นี่พรหมพูดนะ เท็จจริงก็เป็นเรื่องของพรหม

    เรื่องนี้ทั้งหมดขอบรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าถือว่าเป็นความจริงให้ถือว่าเป็นนิทานเล่าสู่กันฟัง เพราะหาหลักฐานไม่ได้ แต่บังเอิญท่านที่ได้ทิพจักขุญาณก็ดีหรือได้ญาณต่าง ๆ ก็ตาม จะลองพิสูจน์ดูก็ได้ โดยเฉพาะถ้าจะพิสูจน์จริง ๆ ให้พิสูจน์เรื่องทองคำ และเงินในเมืองกาญจนบุรีจะดีกว่า

    ท่านก็มาเกิดเป็นลูกของพระเจ้าสามพระยา เป็นลูกผู้ชายและต่อไปจะเป็นใคร ท่านพรหมท่านไม่บอก ท่านบอกเวลาหมดแล้ว ท่านเหลียวดูนาฬิกา ปรากฏว่าเหลือเวลาอีก ๒ นาที รายการนี้เป็นรายการธรรมะ

    ขอให้ท่านพูดธรรมะสักนิดหน่อย ก็ขอพูดกับบรรดาท่านพุทธบริษัทว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็น อนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง ท่านพระยาทั้ง ๒ พระยา ท่านเป็นพระยาที่มีความรุ่งเรืองมาก แต่ในที่สุดท่านก็ต้องตาย มันไม่เที่ยง แบบนี้เราก็เหมือนกัน ต้องตายเหมือนกัน

    ทุกขัง ทรัพย์สินสมบัติที่ได้มาด้วยความเหนื่อยยาก ความจริงเรามีความจำเป็นต้องหา ถ้ามีชีวิตอยู่ต้องหาทรัพย์สินมาเพื่อใช้มีความจำเป็น แต่มันได้มาด้วยอาการของความทุกข์ และทรัพย์ทั้งหลายก็ไม่สามารถจะระงับความทุกข์ได้

    ในเมื่ออาการป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น ทรัพย์ก็ห้ามป่วยไม่ได้ และในที่สุด อนันตา ทรัพย์ก็ห้ามความตายไม่ได้ ก็รวมความว่า โลกนี้เต็มไปด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ ๑. อนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกอย่างไม่เที่ยง ๒. ทุกขัง เป็นโลกของความทุกข์ และ ๓. อนันตา เป็นโลกของความสลายตัว ไม่มีอะไรทรงตัว

    ฉะนั้นขอบรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่มีอะไรทรงตัว การเกิด เราจะมีการเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ในการเกิดชาติต่อไปจะไม่มีสำหรับเราอีก เราจะมีความมั่นคงในทานการบริจาค เพื่อเป็นการกำจัดโลภะ ความโลภ มั่นคงในการรักษาศีล

    เพื่อเป็นการกำจัดโทสะ ความโกรธ มั่นคงในการภาวนา ยอมรับนับถือความเป็นจริงว่าร่างกายมีความเกิด แก่ เจ็บ ตายไปในที่สุด เพื่อเป็นการกำจัดโมหะ ความหลง เอาละ ดูเวลาจบ ก็ขอลาก่อน สวัสดี
     
  2. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๗.พระอรหันต์มาโปรด

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๒ ที่บอกวันไว้เพื่อกันหลง เรื่องที่จะพูดต่อไปนี้ขอให้นามว่า พระอรหันต์มาโปรด ความจริงคำว่า พระอรหันต์ บรรดาท่านพุทธบริษัท คงไม่ใช่พระอรหันต์แท้ แต่ทว่าตัวของท่านเองมีความเข้าใจว่าท่านเป็นพระอรหันต์ จึงให้ศัพท์ตามนี้ ขอเล่าเรื่องความเป็นมาให้ทราบ

    สำหรับวันที่ที่เกิดจำไม่ได้แน่นอนบรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะว่าเวลานี้อาการทางร่างกายไม่ดีมาก มันป่วยหนัก มีการทรุดโทรมลงไปทุกวัน เพลียทุกวัน ก็มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้คงจะทนไม่ไหว เข้าใจว่าคงจะอยู่ได้ไม่นานนัก

    เมื่อประมาณวันที่ ๔ หรือวันที่ ๕ อาจจะไม่ตรง เพราะจำไม่ได้ เวลาลงไปรับแขก เวลาบ่ายโมงเศษ ๆ เมื่อลงไปถึงก็มีญาติโยมพุทธบริษัทคอยอยู่ประมาณ ๑๐ คนแล้ว ที่เก้าอี้พระนั่งก็มีพระอยู่องค์หนึ่ง ขอเรียกว่า “พระ” จะเป็นพระประเภทไหนนั้นไม่ทราบรูปร่างท้วม ๆ เรียกว่าเนื้อเต็ม ไม่ถึงกับอ้วนพลุ้ยมากนัก ผิวคล้ำ ห่มจีวรคล้ำ

    พอมองดูปั๊บก็ทราบทางด้านจิตใจ เห็นใจของเธอมีสีดำมาก มันดำสนิท แล้วก็มีสีแดงแทรก หน้าของเธอไม่ยิ้มแย้มแจ่มใส พิจารณาอีกนิด ใช้เวลาอีกครึ่งวินาทีก็ทราบว่า เธอมาร่วมกับมานะ คือความถือตัวถือตน เพราะลักษณะใจสีแดง บอกถึงความยินดีในความรู้สึกของตัวเอง มีความยินดีในความรู้คิดว่าตัวเองบรรลุมรรคผล เป็นพระอรหันต์

    แล้วก็ต่อไปอีกนิดใช้เวลาอีกเสี้ยววินาที ก็ทราบว่าการมาของเธอวันนี้ไม่ได้มาด้วยศรัทธา ไม่ได้มาด้วยการเลื่อมใส ไม่มีธุระ ต้องการจะมาอวด คือว่าแสดงการทนงว่าฉันคือพระอรหันต์

    เมื่อมีความรู้สึกอย่างนี้ก็ไม่แปลกใจ เพราะถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดาของเรื่องคือว่าการรับแขกนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงทุกวัน แต่ละวันก็มักจะมีบรรดาท่านพุทธบริษัทมีกำลังใจต่างกันถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดาของโลกมีความไม่เที่ยงแท้แน่นอนแบบนี้

    ต่อมาหลังจากนั้น เมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัทหลายคนถามปัญหาต่าง ๆ ตามความข้องใจ เมื่อตอบแล้วตามความสามารถในการตอบ ก็ไม่แน่นอนนักว่าจะตอบถูกเสมอไป และเมื่อว่าง พระองค์นั้นก็เข้ามากราบ ลักษณะอาการกราบของเธอ ดูแล้วประกอบไปด้วยความทนง สายตาของเธอมองกร้าว

    ความจริงลักษณะอย่างนี้ อาจจะเป็นลักษณะปกติของเธอก็เป็นได้ เมื่อเธอกราบเสร็จตามความรู้สึกก็คิดว่าพระองค์นี้มาในฐานะศัตรู แต่ทว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาย่อมไม่ถือว่าใครเป็นศัตรู ใช้เมตตา ความรัก ความกรุณา ความสงสาร เป็นพื้นฐาน อาการอย่างนี้เคยอดทนมาได้ แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าวันนี้จะอดทนได้ไหม

    เธอบอกว่า เธอจะถามปัญหาสัก ๒ ข้อ ก็บอกให้เธอถามได้
    เธอถามข้อแรกว่า ท่านที่บรรลุสุกขวิปัสสโกแล้วจะบำเพ็ญเพียรต่อไปเป็นอภิญญาสมาบัติได้ไหม ก็ตอบเธอว่า ตามปกติท่านที่ได้แล้ว ท่านไม่ทำต่อกัน เพราะว่าพระอรหันต์เป็นพระสิ้นตัณหา การจะทำต่อก็เป็นการมีความอยาก เป็นอารมณ์ของตัณหา ถ้าจะถามว่า มุ่งดี คือ ต้องการเจริญอภิญญาสมาบัติ เป็นสมาธิขั้นสูง ทำไมถึงเรียกว่า ตัณหา

    ก็ต้องขอตอบให้บรรดาท่านพุทธบริษัททราบว่า การที่เป็นพระอรหันต์แล้ว กับการทรงอภิญญา มันต่างกัน อรหันต์มีผลสูงกว่าอภิญญามาก อภิญญานั้นเป็นแต่เพียงเครื่องมือในการตัดกิเลส ในเมื่อพระอรหันต์ท่านตัดกิเลสเรียบร้อยแล้ว ต้องมาซื้อเครื่องมือทำไมกัน ต้องหาเครื่องมือทำไมกัน ก็เรียกว่าหลบอารมณ์ลงต่ำ ทำอารมณ์ต่ำลงมา คือ อยากดีอยากเด่น แต่ความจริงไม่ได้ตอบเธอขนาดนี้ ตอบเธอเพียงว่า ในเมื่อท่านได้กันแล้ว โดยมากไม่มีใครทำต่อ

    แล้วเธอก็ถามต่อไปว่า นิวรณ์ เกิดจากอะไร อาตมาฟังแล้วก็รู้สึกว่า ถ้าเราจะตอบว่า นิวรณ์เกิดจากอวิชชา เธอจะหาว่าเล่นลิ้น

    เพราะคำว่า อวิชชา นี้ เป็นศัพท์ยกยอดของความโง่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นกิเลสที่เกิดขึ้น มาจากอวิชชาทั้งหมด อวิชชาเป็นแม่บาทใหญ่

    ก็ตอบเธอว่า นิวรณ์มันเกิดมาพร้อมกับการเกิดของคน เพราะอาศัยกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมเป็นเครื่องเสี้ยมสอน เธอฟังแล้วก็รู้สึกว่า ทั้ง ๒ อย่างนี้เธอไม่พอใจ แล้วเธอก็กราบ ๆ

    คำว่ากราบของเธอ ไม่ได้มีความเคารพ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ก็เบาใจคิดว่าเธอถามเท่านี้ก็ดีแล้ว แล้วเธอก็ลุกกลับไป เห็นเธอสะพายบาตร ก็นึกในใจว่าเอ…เวลาบ่าย ๒ โมงนี้ เธอจะไปบิณฑบาตที่ไหน

    แล้วต่อมาบรรดาท่านพุทธบริษัท เมื่อเธอหายลับกลับไปแล้วก็ปรากฏว่า วันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๓๒ ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจดหมายฉบับนั้นลง วันที่ ๕ มกราคม ๒๕๓๑ แสดงว่าเธอลง พ.ศ.ผิด บรรดาท่านพุทธบริษัท ลายมือของเธอ เป็นคนเขียนหนังสือเก่ง แต่บางตัวก็หวัด อ่านไม่ออก แต่ว่าการลง พ.ศ.ผิด ในเมื่อแสดงตัวเป็นพระอรหันต์อย่างนี้ก็ต้องคิด

    ถ้าหากว่าเขียนธรรมดา ๆ ลง พ.ศ.ผิด อันนี้ก็ไม่เป็นไร การจะยืนยันความเป็นพระอรหันต์ แล้วลง พ.ศ.ผิด

    อันนี้ก็แสดงออกว่าความจริงเธอไม่ใช่พระอรหันต์ ใจของเธอดำตามปกติ คือ นิวรณ์ ใจดำนี่เป็น โมหะ บรรดาท่านพุทธบริษัท

    ถ้าดำสนิทมันเป็น อวิชชา ถ้าสีแดง เป็นความยินดีถึงความดีที่มีอยู่ แล้วมีสีแดงอยู่จุดหนึ่ง แสดงว่าเธอยินดีในความรู้ที่เธอได้แล้ว ตามข้อความของจดหมาย เธอเขียนอย่างนี้เธอเขียนว่า

    สายเหนือ (นี่คงจะแบ่งเป็นสาย ๆ นะ การประกาศศาสนาของคณะนี้คงจะแบ่งออกเป็นสาย) เธอเขียนว่า สายเหนือ

    ๕ มกราคม ๒๕๓๑ (แต่ความจริง พ.ศ. ๒๕๓๒)

    ถึง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ผมอัคคปุญโญภิกขุ หรือ สุปปพุทธ ผู้เป็นโรคเรื้อนในอดีตกลับมาเกิดแล้วบวชในพุทธศาสนาแล้ว ปี ๓๐ และได้ตรัสรู้ตามพุทธองค์แล้ว (ฟังให้ดีนะ ทีนี้จะไม่พูดขัดจังหวะ)

    จดหมายมาบอกท่าน จงอย่าสอนนิพพานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เลอะเทอะเกินไป เราขึ้นมาพบท่าน ถามปัญหาท่าน ๒ ข้อ

    ๑. วิหัสสนาล้วน สำเร็จแล้ว ต่ออภิญญาได้หรือไม่

    ๒. นิวรณ์ ๕ มีมาได้อย่างไร

    เพื่อดูว่าท่านจะได้นิพพานแล้วหรือยัง สุดท้ายท่านตอบโง่ ๆ ว่า มีมาตั้งแต่กำเนิด หากไม่มีนิวรณ์ก็ไม่มีการเกิดในวัฏฏะ

    ผมจะขอบอกให้ว่า ตัวนิวรณ์ ๕ ประการ เป็นตัวสังขารที่ ๒ ในหลักปฏิจจสมุหปบาท เหตุที่เกิดนิวรณ์ ๕ เพราะมี อวิชชาเป็นพื้นฐาน เพราะมีอวิชชาเป็นตัวนำ

    ท่านสอนคนไปนิพพาน แต่ตัวท่านยังไม่ถึงนิพพานเลย ท่านมีแต่จะเอาลาภสักการะผู้อื่นเขา หน้าด้านที่ไม่อยากจะฉีกหน้าท่าน ที่ท่านรับแขกนั้น ก็เป็นเพราะเห็นแก่หน้าท่าน ท่านตายไปเข้าแน่ อบายภูมิ ท่านไม่ต้องการบอกพระภิกษุ หรือคนอื่นไปหรอก ท่านตีเสมอพระพุทธองค์

    สุดท้ายนี้ อย่าหนักเรื่องนิพพาน

    พระภิกษุบุญชัย บุตรนาม (นามสกุลที่อ่านไม่ชัด)

    สำนักวัดคลองเตยใน

    อย่าลืมนะ ท่านเขียนตอนท้ายว่า พระภิกษุบุญชัย บุตรนาม นามสกุลนี่ไม่แน่นอน สำนักวัดคลองเตยใน

    แต่ชื่อข้างบนของท่านบอกว่า ผมอัคคปุญโญภิกขุ หรือว่า สุปปพุทธ ความจริงสุปปพุทธนี้น่าจะต่อท้าย มันต้องต่อว่า สุปปพุทธกุฏฐิ สุปปพุทธผู้เป็นโรคเรื้อน แต่ความจริงจดหมายนี้อาตมาก็ไม่วิจารณ์ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเป็นจดหมายที่บอกชัดว่า ท่านเองเก่งปฏิจจสมุปบาท แต่ว่าเก่งไม่จริง

    ถ้าจะใช้คำว่าอวิชชามันก็ครอบโลกก็ปล่อยท่านไปเถิด เป็นเรื่องของท่าน อย่าไปสนใจเลยนะ ทุกคนฟังแล้วอย่าโกรธ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ทีนี้เรื่องในพระพุทธศาสนา ขอบอกว่าหน้านี้นะ คาสเซทตอนนี้ หรือหนังสือตอนนี้เป็นเรื่องจริงทั้งหมด ไม่ใช่นิทาน หรือไม่ใช่นิมิต เรื่องนิพพาน บรรดาท่านพุทธบริษัท ต่อไปก็คุยกันเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ

    อาตมาเองก็เป็นคนงมงายมาก่อน ในกาลก่อนใครพูดเรื่องนิพพานไม่เชื่อ นิพพานมีสภาพสูญ เขาว่าอย่างนั้น ต่อมา หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นอาจารย์ ท่านเห็นว่า เรามีสันดานชั่วละมั้ง ก็ส่งให้ไปหา หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ไปเรียนกับหลวงพ่อสดประมาณ ๑ เดือน ก็ทำได้ตามสมควร เรียกว่าพื้นฐานมีอยู่แล้ว

    ต่อมาวันหนึ่งประมาณ เวลา ๖ ทุ่มเศษ หลังจากทำวัตร สวดมนต์ เจริญกรรมฐานกันแล้ว หลวงพ่อสดท่านก็คุยชวนคุย คนอื่นเขากลับหมด ก็อยู่ด้วยกันประมาณ ๑๐ องค์ วันนั้น ท่านก็บอกว่าฉันมีอะไรจะเล่าให้พวกคุณฟัง คือ พระที่ไปถึงนิพพานแล้ว มีรูปร่างเหมือนแก้วหมด ตัวเป็นแก้ว เราก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปมากแล้ว นิพพานเขาบอกว่ามีสภาพสูญ แล้วทำไมจะมีตัวมีตน

    แล้วท่านก็ยังคุยต่อไปว่า นิพพานนี้เป็นเมือง แต่ว่าเป็นทิพย์พิเศษ เป็นทิพย์ที่ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก มีพระอรหันต์มากมาย คนที่ไปนิพพานได้ เขาเรียกว่า พระอรหันต์ จะตายเมื่อเป็นฆราวาสจะตายเมื่อเป็นพระก็ตาม ต้องถึงอรหันต์ก่อน

    เมื่อถึงอรหันต์ก่อนแล้วก็ตาย ตายแล้วก็ไปอยู่ที่นั่น ร่างกายเป็นแก้วหมด เมืองเป็นแก้ว สถานที่อยู่แพรวพราวเป็นระยับ อาตมาก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปเยอะ ตอนก่อนก็ดี สอนดี มาตอนนี้ชักจะไปมากเสียแล้ว

    แต่ก็ไม่ค้าน ฟังแล้วก็ยิ้ม ๆ ท่านก็คุยต่อไปว่า เมื่อคืนนั้น ขี่ม้าแก้วไปเมืองนิพพาน (เอาเข้าแล้ว) แล้วต่อมาคุยไปคุยมาท่านก็บอกว่า

    (ท่านคงจะทราบ ท่านไม่โง่เท่าเด็ก เพราะพระขนาดรู้นิพพานไปแล้ว อย่างอื่นก็ต้องรู้หมด แต่ความจริงคำว่า รู้หมด ในที่นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่รู้เท่าพระพุทธเจ้า แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ควรจะรู้ ก็สามารถรู้หมด)

    ท่านก็เลยบอกว่า เธอดูดาวงดวงนี้นะ ดาวดวงนี้สุกสว่างมาก ประเดี๋ยวฉันจะทำให้ดาวดวงนี้ริบหรี่ลง จะค่อย ๆ หรี่ลงจนกระทั่งไม่เห็นแสงดาว ท่านชี้ให้ดู แล้วก็มองต่อไป

    ตอนนี้เริ่มหรี่ ละ ๆ แสงดาวก็หรี่ไปตามเสียงของท่าน ในที่สุด หรี่ที่สุด ไม่เห็นแสงดาว ท่านถามว่า เวลานี้ทุกคนเห็นแสงดาวไหม ก็กราบเรียนท่านว่า ไม่เห็นแสงขอรับ ท่านบอกว่า ต่อนี้ไป ดาวจะเริ่มค่อย ๆ สว่าง ขึ้นทีละน้อย ๆ จนกระทั่งถึงที่สุด แล้วก็เป็นไปตามนั้น

    พอท่านทำถึงตอนนี้ก็เกิดความเข้าใจว่า ความดีหรือวิชาความรู้ที่เรามีอยู่ มันไม่ได้ ๑ ในล้านที่ท่านมีแล้ว ฉะนั้นคำว่านิพพานจะต้องมีแน่ ท่านมีความสามารถอย่างนี้เกินที่เราจะพึงคิด ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่ศึกษามาในด้านกรรมฐานก็ดีหรือที่คุยกันมาก็ดี นี่ท่านรู้จริง ท่านก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพาน

    คำว่านิพพานสูญท่านไม่ยอมพูด ไปถามท่านเข้าว่านิพพานสูญรึ ท่านนิ่ง ในที่สุดก็ไปถาม ๒ องค์ คือ หลวงพ่อปาน กับหลวงพ่อโหน่ง ถามว่านิพพานสูญรึ ท่านตอบว่า ถ้าคนใดสูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกว่านิพพานสูญ แต่คนไหนไม่สูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกนิพพานไม่สูญ ก็รวมความว่า นิพพานไม่สูญแน่

    ทีนี้ต่อมา หลวงพ่อสดท่านก็ยืนยันเอาจริงเอาจัง ต่อมาท่านก็สงเคราะห์คืนนั้นเอง ท่านก็สงเคราะห์บอกว่า เรื่องต้องการทราบนิพพาน เขาทำกันอย่างนี้ ท่านก็แนะนำวิธีการของท่าน รู้สึกไม่ยาก เพราะเราเรียนกันมาเดือนหนึ่งแล้ว

    ตามพื้นฐานต่าง ๆ ท่านบอกว่าใช้กำลังใจอย่างนี้ เวลาผ่านไปประมาณสัก ๑๐ นาที รู้สึกว่านานมากหน่อย ทุกคนก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพานมีจริง เห็นนิพพานเป็นแก้ว แพรวพราวเป็นระยับ

    พระที่นิพพานทั้งหมด เป็นแก้วหมด แต่ไม่ใช่แก้วปั้น เป็นแก้วเดินได้ คือแพรวพราวเหมือนแก้ว สวยงามระยับทุกอย่างที่พูดนี้ยังนึกถึงบุญคุณหลวงพ่อสดท่านยังไม่หาย ท่านมีบุญคุณมาก

    รวมความว่า เวลานั้นเรายังเป็นคนโง่ อาจจะมีจิตทึมทึก แต่ความจริงขอพูดตามความเป็นจริงเวลานั้นจิตไม่ดำ จิตใสเป็นแก้ว แต่ความแพรวพราวของจิตไม่มีการใสเป็นแก้วนั้น เวลานั้นเป็นฌานโลกีย์ ฌานสูงสุด ใช้กำลังเฉพาะเวลานะ ฌานโลกีย์นี้เอาจริงเอาจังกันไม่ได้ จะเอาตลอดเวลานี้ไม่ได้ เพราะอยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์

    แล้วท่านก็สั่งว่า หลังจากนี้ต่อไป ทุก ๆ องค์ จงทำอย่างนี้จิตต่อให้ถึงนิพพานทุกวัน ตามที่จะพึงทำได้ อย่างน้อยที่สุด จงพบนิพพาน ๒ ครั้ง คือ ๑. เช้ามืด และประการที่ ๒. ก่อนหลับ หลังจากนี้ไป เธอกลับไปแล้ว ทีหลังกลับมาหาฉันใหม่ ฉันจะสอบ

    เมื่อได้ลีลามาอย่างนั้นแล้วก็กลับ มาหาครูบาอาจารย์เดิม คือ หลวงพ่อปาน พอขึ้นจากเรือก็ปรากฏว่าพบหลวงพ่อปานอยู่หน้าท่า ท่านเห็นหน้าแล้วท่านก็ยิ้ม ว่าอย่างไรท่านนักปราชญ์ทั้งหลาย เห็นนิพพานแล้วใช่ไหม

    ตกใจ ก็ถามว่า หลวงพ่อทราบหรือครับ บอก เออ ข้าไม่ทราบหรอก วะ เทวดาเขามาบอก บอกว่าเมื่อคืนที่แล้วมานี่ หลวงพ่อสดฝึกพวกเอ็งไปนิพพานใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ใช่ขอรับ ท่านบอกว่า นั่นแหละ เป็นของจริง ของจริงมีตามนั้น หลวงพ่อสดท่านมีความสามารถพิเศษในเรื่องนี้

    ก็ถามว่า ถ้าหลวงพ่อสอนเองจะได้ไหม ท่านก็ตอบว่า ฉันสอนเองก็ได้ แต่ปากพวกเธอมันมาก มันพูดมาก ดีไม่ดีพูดไปพูดมา งานของฉันก็มาก งานก่อสร้างก็เยอะ งานรักษาคนเป็นโรคก็เป็นประจำวัน ไม่มีเวลาว่าง

    ถ้าเธอไปพูดเรื่องนิพพาน ฉันสอนเข้าฉันก็ไม่มีเวลาหยุด เวลาจะรักษาคนก็จะไม่มี เวลาที่จะก่อสร้างวัดต่าง ๆ ก็ไม่มี ฉันหวังจะสงเคราะห์ในด้านนี้ จึงได้ส่งเธอไปหาหลวงพ่อสด ก็ถามว่า หลวงพ่อสดกับหลวงพ่อรู้จักกันดีรึ ท่านก็ตอบว่า รู้จักกันดีมาก เคยไปสอบซ้อมกรรมฐานด้วยกัน สอบกันไปสอบกันมาแล้ว ต่างคนต่างต้นเสมอกัน ก็รวมความว่ากำลังไล่เรื่อยกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท นี่เป็นจุดหนึ่งที่อาตมาแสดงถึงความโง่กับครูบาอาจารย์

    และอีกประการหนึ่ง ก็มีเรื่องหนึ่ง คือเป็นเรื่องจริงทั้งหมด เรื่องมีมาในธรรมบท มีพราหมณ์คนหนึ่ง อาตมาอาจจะจำชื่อผิดเพราะไม่ได้นำหนังสือมา ไม่ได้ดูมา เวลานี้ก็ป่วย ร่างกายไม่ดีสมองแย่ อย่านึกว่ามันเพลียลงทุกวัน ๆ มันจะอยู่ไปถึงไหนก็ไม่ทราบคงไม่นานนัก มีพราหมณ์คนหนึ่ง ถ้าจำชื่อไม่ผิด ก็มีชื่อว่า ติสสะ ชื่อไม่ขอพูดดีกว่า อาจจะผิด ขออภัยด้วยถ้าผิด มีพราหมณ์คนหนึ่งท่านมีความรู้สึกตนเองว่ามีความรู้มาก มีลูกศิษย์ลูกหามาก ประกาศศาสนา

    คำว่าศาสนาคือคำสอน สอนคนเป็นลูกศิษย์ลูกหามาก แต่พราหมณ์คนนี้มีกรณีพิเศษ คือใช้เหล็กพืดคาดพุง ถ้าใครเขาถามว่าทำไมถึงใช้เหล็กพืดคาดพุง คาดพุงรอบตัวเลย ท่านบอกว่า วิชาความรู้ของท่านมีมาก ท่านเกรงว่าวิชาความรู้จะระเบิดออกมา พุงจะแตกตาย นี่มันก็เหมือน ๆ กันเลยนะ ก็เกรงว่าพุงจะแตก เลยเอาเหล็กพืดคาดพุงไว้

    แต่พราหมณ์คนนี้มีความรู้พิเศษอยู่อย่างหนึ่ง สามารถรู้สภาวะคนตายได้ คือคนตายแล้วไปเกิดที่ไหน ไปเกิดเป็นสัตว์นรก ไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือเป็นพรหม เขาทราบได้แน่นอนถูกต้อง เพียงแต่เอากระโหลกศีรษะของคนที่ตายแล้วมา เอาเล็บกรีดไป เล็บจะติดอยู่ในสถานที่เขาเกิด ถ้าติดตำแหน่งไหน ตำแหน่งนั้นจะบอกว่าเกิดที่ไหน

    ต่อมาเขาเข้าใกล้สำนักองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา เขาก็อยากจะแบ่งคงจะเบ่งเหมือน ๆ กัน อยากจะเบ่งทับพระพุทธเจ้า เขาก็ไปถามปัญหาพระพุทธเจ้าหลาย ๆ อย่าง

    พระพุทธเจ้าก็ทรงตอบ แต่การตอบของพระพุทธเจ้าอาจจะมีหลายลีลา ตอบตรงไปตรงมาบ้าง ตอบเลี่ยงเพื่อให้ซักบ้าง ตอบแบบอนุโยคบ้าง แต่การตอบเวลาเหลือน้อย บรรดาท่านพุทธบริษัท จะไม่พูดให้ฟังว่าตอบแบบไหน เป็นอย่างไร

    ต่อมาองค์สมเด็จพระจอมไตรเห็นเขาหมดปัญหา ท่านก็ถามว่า ทำไมจึงเอาเหล็กมาคาดพุง เขาก็บอกว่าความรู้ของเรามากเกรงพุงจะระเบิดเพราะความรู้ ความรู้ระเบิดออกมา พุงมันแตกตาย เขายังกลัวตาย

    สมเด็จพระจอมไตรถามว่า ความรู้พิเศษของเธอมีอะไร เขาก็ตอบว่า เอาหัวกระโหลกมา จะบอกได้ทันทีว่าใครไปเกิดที่ไหน เอาหัวกระโหลกปุถุชนมา เรากรีด เขาก็บอกได้เลยว่า คนนั้นเกิดที่นั่น คนนี้เกิดที่นี่ ทั้งหมดตอบถูกหมด พระพุทธเจ้าก็ยอมรับ

    ต่อมา พระพุทธเจ้าเอากระโหลกศีรษะพระอรหันต์ที่นิพพานแล้ว อย่าลืมนะบรรดาท่านพุทธบริษัท พระอรหันต์ที่นิพพานแล้ว ไม่ใช่กระดูกละเอียดเหมือนกันหมด ที่ยังเป็นท่อน ๆ ยังมีอยู่เยอะ ไม่ใช่ว่าต้องละเอียดเหมือนกันจึงเป็นพระอรหันต์

    อย่าเข้าใจผิด มีคนเข้าใจผิดอยู่มาก เอากระโหลกศีรษะพระอรหันต์มาให้ ก็ปรากฏว่าเขาไม่รู้ กรีดไม่ติด ตอบไม่ได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า พระองค์นี้ไปนิพพานแล้ว เขาไม่รู้คำว่า นิพพาน ก็อยากจะศึกษาต่อไป

    องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตอบว่า ถ้าจะเรียนเป็นของไม่ยาก เรียนได้ แต่ว่าต้องแต่งตัวเหมือนกัน ถ้าแต่งตัวไม่เหมือนกันนี่เรียนไม่ได้ อย่างไร ๆ ก็พุงยังไม่แตก ในที่สุดเธอก็ยอมรับ ยอมบวช เมื่อบวชแล้ว ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็กน้อยก็บรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ พร้อมไปด้วยปฏิสัมภิทาญาณ

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องคนที่มีความเข้าใจในความรู้ว่ามีมากเป็นอย่างพราหมณ์คนนี้ ความจริงก็ไม่มากจริงอย่างอาตมาก็เช่นเดียวกัน ที่ไปหาหลวงพ่อสดท่าน ท่านสอน ทั้ง ๆ ที่ท่านสอนมาแล้วก็ยังมีความเคลือบแคลงสงสัย ในเมื่อท่านพูดถึงนิพพาน แสดงว่าความโง่ยังไม่หมด

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาเหลือไม่ถึง ๑ นาที ตอนนี้ก็ต้องขอลากันก่อน แต่ก่อนจะลา รายการนี้เป็นรายการธรรมะ ขอยืนยันว่าเรื่องนี้ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่นิทาน ไม่ใช่นิมิต

    ขอบรรดาท่านทั้งหลายที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระธรรมสามิสร จงมีความสุขจากธรรม ๔ ประการ คือ ๑. ทาน การให้ทาน เป็นปัจจัยให้เกิดความรัก ๒. ปิยวาจา พูดดี เป็นปัจจัยให้เกิดความรัก ๓. การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นปัจจัยให้เกิดความรัก ๔. ความไม่ถือตัวถือตน เป็นปัจจัยให้เกิดความรัก

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลานี้จวนจะหมดเวลาแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี
     
  3. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๘.วิมานคอยอยู่แล้ว

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันที่บันทึกวันนี้ยังเป็นวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๒ วันนี้ให้นามว่า วิมานรออยู่แล้ว แต่ก่อนจะพูดถึงวิมานรออยู่แล้วนี่เรื่องไม่มาก ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสเอง ก็จะขอพูดเรื่องความเป็นพระอรหันต์ก่อน พระอรหันต์จะเป็นได้ต้องตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการ คอยฟังให้ดีนะ

    ๑. สักกายทิฐิ ๒. วิจิกิจฉา ๓. สีลัพตปรามาส ๔. กามราคะ ๕. ปฏิฆะ ๖. รูปาคะ ๗. อรูปาคะ ๘. มานะ ๙. อุทธัจจะ ๑๐. อวิชชา

    ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง ขอย้อนต้น สังโยชน์ ๓ เบื้องต้น คือ

    ๑. สักกายทิฐิ มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้จะต้องตาย เป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน หรือพระสกิทาคามี แล้วสักกายทิฐินี้ ถ้ามีความรู้สึกเบื่อหน่าย เห็นว่าเป็นของโสโครก สกปรก สะอิดสะเอียน ไม่น่ารัก ไม่ติดใจในรูปกาย

    อย่างนี้เป็นอารมณ์ของพระอนาคามี อารมณ์ของพระอรหันต์มีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา มีจิตเป็นสังขารุเบกขาญาณ เป็นปกติ อย่างนี้เป็นอารมณ์พระอรหันต์

    ๒. วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ยอมรับนับถือด้วยความจริงใจ

    ๓. สีลัพตปรามาส มีศีลบริสุทธิ์ ไม่บกพร่อง

    ถ้าตัดได้ ๓ อย่างนี้ เป็นพระโสดาบัน ก็ได้ เป็นพระสกิทาคามีก็ได้

    ถ้าตัดข้อที่ ๔ กามฉันทะ ไม่มีความรู้สึกในกามารมณ์ ข้อที่ ๕ ปฏิฆะ ไม่มีอารมณ์ไม่พอใจ อย่างนี้เป็นพระอนาคามี

    ต่อไปก็ตัดอีก ๕ คือ

    รูปราคะ ไม่ติดใจในรูปฌาน คือไม่หลงไหลใฝ่ฝันในรูปฌาน

    อรูปราคะ ไม่หลงไหลในอรูปฌาน

    มานะ ไม่ถือตัวถือตน

    อุทธัจจะ ไม่มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน จิตตรงพระนิพพาน

    อวิชชา ตัดความโง่ทั้งหมด

    อย่างนี้เป็นพระอรหันต์

    แล้วพระอรหันต์ยังแบ่งเป็น ๔ หมวด

    หมวดที่ ๑ เรียกว่า สุกขวิปัสสโก สุกขวิปัสสโก นี้เจริญกรรมฐานมีสมาธิเบื้องต้นเล็กน้อย หลังจากนั้นก็เจริญวิปัสสนาญาณควบสมถภาวนา ไม่ใช่สมถะเฉย ๆ ต้องเป็นสมถะด้วย และไม่ใช่วิปัสสนาล้วน ๆ ตามที่เข้าใจกัน วิปัสสนาล้วนนั้นทำไม่ได้ต้องมีศีล มีสมาธิ สมาธิคือสมถะเป็นพื้นฐาน และมีวิปัสสนาญาณควบ จนกระทั่งตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน อย่างนี้เรียกว่า อรหันต์สุกขวิปัสสโก

    หมวดที่ ๒ เรียกว่า เตวิโช คือมีวิชชาสามก่อนจะเป็นพระอริยเจ้า ตอนฌานโลกีย์ ก็ ๑. ได้ทิพจักขุญาณ สามารถเห็นผี เห็นนรก เห็นสวรรค์ เห็นอะไร เห็นจิตใจคนได้หมด แล้วก็ ๒. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้ แล้วต่อไปทำกิเลสให้สิ้น ไปอย่างนี้เป็น อรหันต์วิชชาสาม

    หมวดที่ ๓ ก็เป็น อภิญญา ๖ อรหันต์อภิญญา ๖ ขณะที่ได้ฌานโลกีย์ต้องได้ฤทธิ์ มีอภิญญา
    คือ ๑. แสดงฤทธิ์ได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ ทำอะไรก็ได้ตามชอบใจ อิทธิฤทธิ์ แปลว่า แสดงฤทธิ์ได้
    ๒. ทิพโสตญาณ หนังสือนี้เขียนว่า ทิพโสตเฉย ๆ ไม่ถูกต้องเป็นทิพโสตญาณ โสต คือ เนื้อ มันเป็นทิพย์ไม่ได้ อาตมาไม่ได้ค้านหนังสือ หนังสือเขียนผิด ก็ต้องค้านตามความเป็นจริง

    ต้องเขียนว่า ทิพโสตญาณ มีความรู้ทางหู ที่เรียกกันว่า หูทิพย์ หูนี่ไม่ทิพย์ หูมีแต่เศร้าลงไป หูคนมันมีแต่แก่ลง ๆ ประสาทเสื่อมลง ๆ

    แต่ว่าฌานเป็นเครื่องรู้ทางหูรู้ได้ ไกลแสนไกล เสียงเทวดา เสียงผี เสียงพรหม เสียงนิพพาน เสียงนรกเสียงเปรต เสียงอสุรกาย รู้ได้หมด คนจะพูดไกลแสนไกขนาดไหนก็ตาม ต้องการจะทราบทราบได้

    ฌาน กับความเป็นทิพย์ของหูธรรมดาต่างกัน ถ้าความเป็นทิพย์ของหูธรรมดา เขาต้องการฟังเฉพาะเวลาที่เขาพูด ถ้าญาณนี่ไม่เป็นอย่างนั้น เขาพูดมาแล้วกี่ปี กี่เดือน กี่วัน กี่แสนกัปก็ตาม ถ้าต้องการจะได้ยิน ได้ยินได้ทันที เสียงจะขังอยู่ ญาณจะถอยหลังเข้าไปรู้

    รวมความพระอภิญญา ๖ มี ๖ อย่างคือ ๑. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ ๒. ทิพโสตญาณ มีญาณทางหู คล้าย ๆ หูทิพย์ ๓. เจโตปริยัติญาณ รู้จิตใจคนอื่น ๔. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้ ๕. ทิพจักขุญาณ (หนังสือเขียนว่า ตาทิพย์อีกแล้ว ไม่ใช่ตาทิพย์) มีจิตใจเป็นทิพย์ รู้ได้คล้ายตาทิพย์

    ทั้ง ๕ อย่างนี้ต้องทำได้เมื่อฌานโลกีย์ แล้วต่อไปเมื่อทำกิเลสหมด ทำอาสวักขยญาณ ให้เกิดขึ้นแล้ว ก็ปรากฏว่าเป็น อรหันต์ ครบ ๖ ประการ

    อรหันต์หมวดที่ ๔ เขาเรียกว่า ปฏิสัมภิทาญาณ ปฏิสัมภิทาญาณนี้ไม่เกี่ยวกับฤทธิ์ คือไม่เกี่ยวกับฤทธิ์ทั้งหมด มีความฉลาด ความฉลาด
    ข้อที่ ๑ คือ อัตถปฏสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ คือ ข้อธรรมใดใดที่สั้น ๆ สามารถอธิบายได้กว้างขวางได้ และถูกต้อง
    ๒. ธัมมปฏิสัมภิทา ข้อความใดใดที่ยาว ก็สามารถจะย่อให้สั้นได้ความชัด
    ๓. นิรุตติปฏิสัมภิทา ฉลาดในภาษา ก็รวมความว่าฉลาดในภาษา จะรู้ภาษาทุกภาษากระมัง อาตมาขอทิ้งไว้แค่นี้นะ
    ๔. ปฏิภาณปฏิสัมปทา มีความฉลาดในปฏิภาณ คือ การพูด พูดฉลาดมาก

    ก็รวมความว่า อรหันต์จริง ๆ มี ๔ หมวด ๑. สุกขวิปัสสโก ๒. เตวิโช ๓. ฉฬภิญโญ ๔. ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    ก็รวมความว่า สำหรับสุกขวิปัสสโกนั้น ถ้าไม่มีกรณีพิเศษ ไม่มีญานพิเศษ แต่ความเป็นจริงแล้วเขาต้องการแค่อาการตัดกิเลส ถ้าจะถามว่าอรหันต์สุกขวิปัสสโก ต้องการจะศึกษาวิชา ๓ อภิญญา ๖ ได้ไหม

    ก็ขอตอบว่าถ้าท่านศึกษาจริง ๆ มันต้องได้ เพราะความเป็นอรหันต์จิตใจบริสุทธิ์เป็นของยาก ทำยาก ท่านได้แล้ว ส่วนญาณต่าง ๆ ในวิชชา ๓ อภิญญา ๖ เป็นของง่ายกว่า

    ถ้าจะถามว่าแล้วทำไมไม่ทำกัน ก็ขอตอบว่าคนทุกคนทำงานเพื่อต้องการความร่ำรวย ทีนี้เมื่อรวยเต็มที่แล้ว เคยทำไร่ไถนามาก่อน ขุดดินกินทรายมาก่อน ต่อมาก็ฐานะดีขึ้น ก็ทำการค้าขายบ้าง มีนาให้เช่าบ้าง

    ในที่สุดเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ ตั้งธนาคาร เมื่อตั้งธนาคารได้แล้ว เงินมีเป็นแสนล้าน แล้วใครจะกลับไปทำนาอีก ไปฟันดินอีก การไปศึกษา ๒ ในวิชชา ๓ ๕ ในอภิญญา ๖ เหมือนกันกลับไปฟันดินอีก ไม่มีใครเขาทำกัน ก็รวมความว่า คนต้องการความร่ำรวย ไม่ต้องการอยู่ในฐานะกรรมกรที่ยากไร้ฉันใด

    เมื่อเป็นมหาเศรษฐีแล้ว ก็ไม่กลับไปขุดดินทำไร่ ถ้าจะทำไร่ก็จ้างเขาทำ ไม่ทำเอง ก็รวมความว่า พระอรหันต์ก็เช่นเดียวกัน การศึกษา ๒ ในวิชชา ๓ ก็ดี ๕ ในอภิญญา ๖ ก็ดี ก็ต้องการเพื่อเป็นกำลังช่วยในการตัดกิเลสเพื่อให้เป็นสมุจเฉทปหาน

    ที่นี้มีอยู่เรื่องหนึ่ง สำหรับคำว่า ปฏิสัมภิทาญาณ อาตมาเองก็อึดอัดตันใจมานานแล้ว เรื่องปฏิสัมภิทาญาณ ขณะที่เรียนบาลีอยู่ หรือเรียนนักธรรมก็ตาม อ่านแล้วบางท่านฟังเทศน์จบเดียวเป็นอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ บางท่านไม่ทันจะโกนหัว เป็นอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ

    บางท่านบวช ๒-๓ วันเป็นอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ และคำว่าปฏิสัมภิทาญาณ ท่านลงท้ายว่า ทรงพระไตรปิฏก ก็เลยอึดอัดคิดว่า เราเรียนเกือบตาย ใช้เวลาตั้ง ๑๐ ปีกว่า ยังไม่สามารถทรงพระไตรปิฏกได้ แล้วทำไมคนที่ไม่เคยเรียนเลยทำไมจึงทรงได้ ไม่เคยฟังมาก่อนเลย ก็เลยคิดอึดอัดตันใจอยู่นาน

    ในที่สุดก็มาทราบภายหลังว่า พระที่เป็นปฏิสัมภิทาญาณแล้ว เข้าใจในพระไตรปิฏกจริง คือสิ่งใดที่ยังไม่เรียนก็เข้าใจ ที่เรียนมาแล้วก็เข้าใจมากขึ้น ทั้งนี้เพราอะไร เพราะว่าท่านเป็นอรหันต์ที่มีปัญญาสูง มีความเข้าใจว่าพระไตรปิฏกพูดถึงอะไร

    ท่านจับเพียงแค่จุดหมายปลายทาง สิ่งที่มีความสำคัญไม่ใช่อ่านทุกตัว ไม่มีความจำเป็น อาตมาขณะที่เรียนหนังสืออยู่ก็ไปถาม สมเด็จพุฒาจารย์ วัดอนงค์ ท่านแตกฉานความรู้หลายอย่าง ถามท่านว่า การทรงพระไตรปิฏกทำอย่างไร ท่านถามว่า เธอเคยอ่านพระไตรปิฏกหรือ ก็กราบเรียนท่านว่า เคยอ่านมา ๓ ปี ปีละจบ

    ท่านก็ถามใหม่ว่า เธอกลับไปดูใหม่ว่า พระไตรปิฏกหน้าไหนไม่พูดถึงขันธ์ ๕ ก็รวมความแล้วว่า ที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์ทั้งหมด เทศน์เรื่องขันธ์ ๕ เรื่องเดียว แต่เปลี่ยนสำนวนไป พอท่านพูดเท่านี้ก็เข้าใจ

    กราบท่านว่า อย่างนี้ผมเข้าใจแล้วครับ คำว่า เข้าใจ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า เป็นปฏิสัมภิทาญาณไปด้วย เป็นแต่เพียงว่าอ่านหนังสือมาแล้วไม่เข้าใจในหนังสือ (พูดอีเหละเปะปะมา ก็เสียเวลาไป ๑๐ นาทีกว่า)

    ต่อไปนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่อง การทำบุญ คนทำบุญบรรดาท่านพุทธบริษัท พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า เมื่อจิตใจตั้งทำบุญเสร็จ ทำบุญแน่นอนแล้ว สมเด็จพระประทีปแก้วทรงยืนยันว่า วิมานคอยอยู่แล้ว คือเจ้าของยังไม่ตาย แต่วิมานปรากฏอยู่ก่อน เรื่องราวมีอยู่ว่า

    ในสมัยที่องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เวลานั้นปรากฏว่า มีมาณพท่านหนึ่ง คือ นันทิยมาณพ เป็นคนเคารพในพระพุทธศาสนาปกครองทรัพย์สินมากมาย คือเป็นเศรษฐี มีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระมหามุนีสร้างศาลา ๔ หน้า ถวายพระพุทธเจ้า คือถวายเป็นของสงฆ์

    มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน หลังจากนั้นแล้วตอนกลางคืน อัครสาวกขององค์สมเด็จพระพิชิตมาร คือ พระโมคคัลลาน์ พระองค์นี้มีความสำคัญมาก เรียกว่าวันนี้ทั้งหมดบรรดาท่านพุทธบริษัทพูดเรื่องจริงทั้งหมดนะ ไม่มีนิทาน แล้วก็ไม่มีนิมิต นิทานก็ดี นิมิตก็ดี ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าถือว่าจริงเกินไป เอาเหตุเอาผลเป็นสำคัญ แต่ว่าในเรื่องนั้น ๆ ให้ถือว่า ธรรมะ เป็นเรื่องสำคัญ ธรรมะ น่ะจริงแน่

    มาตอนนี้ปรากฏว่าพระโมคคัลลาน์ พระโมคคัลลาน์นี่ท่านเป็นพระพิเศษ แต่พระที่ท่องเที่ยวในสวรรค์ ในพรหมโลก ในนรก แดนเปรต แดนอสุรกาย มีเยอะ ไม่ใช่มีพระโมคคัลลาน์องค์เดียว แต่ว่าแต่ละท่านต่างคนต่างไป ต่างคนต่างรู้ ไปเห็นแล้ว รู้แล้วเข้าใจแล้ว

    ก็มาแนะนำบรรดาท่านพุทธบริษัทด้วยความจริงใจว่าคนนั้นตายไปเกิดที่นั่น คนนี้ตายไปเกิดที่นี่ ใครเป็นญาติกานาติเกกันบ้าง เขาสั่งมาว่าอย่างไร ก็แนะนำไปตามนั้น เวลานั้นพระพุทธเจ้าทรงยืนยัน แต่พระโมคคัลลาน์นั้นไปแล้วไม่อยู่เปล่า ไปหามาทั่ว พบทั่วแล้วก็กลับมาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เหตุที่พบมานั้นเป็นความจริงหรือไม่ องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงยืนยันรับ

    ทีนี้มาวันนั้น คืนวันนั้น ที่นันทิยมาณพ ท่านถวายศาลา ๔ หน้าเสร็จ กลางคืนพระโมคคัลลาน์ก็เจริญกรรมฐานตามปกติของพระอรหันต์ พระอรหันต์นี่เวลาเจริญกรรมฐาน บรรดาท่านพุทธบริษัทจะไปดูเวลานั่งขัดสมาธินี่มันไม่ได้

    ท่านไม่ถือการขัดสมาธิเป็นเรื่องสำคัญ นั่งขัดตะหมาดมือซ้อนกันนี่นะ เพราะว่าเป็นพระที่จบแล้ว ท่านใช้อารมณ์ได้ทุกขณะ ขณะคุยกันนี่ท่านก็ใช้ได้ อย่าลืมว่าอรหันต์ใช้ฌานสมาบัติ ความเป็นทิพย์ไม่จำกัด เวลาจะพูด จะคุย จะทำงานทำการ อยากจะรู้เมื่อไรก็รู้ได้ เห็นอะไรปุ๊บปั๊บมีความรู้สึก แต่ว่าพระอรหันต์เป็นพระเก็บ ไม่แสดงออก ไม่ชูงวง

    อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เธอทั้งหลาย จงอย่าชูงวงเข้าไปสู่ตระกูล นั่นหมายความว่า แสดงตนโอ้อวดว่า ฉันเป็นพระอรหันต์บ้าง ฉันมีความรู้อย่างนั้นอย่างนี้บ้าง ฉันเป็นเปรียญชั้นนั้นชั้นนี้ ฉันเป็นพระครู ฉันเป็นเจ้าคุณ อะไรพวกนี้

    จริง ๆ แล้ว พระสมัยนี้ท่านก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีใครเขาชูงวงกัน แต่พวกชูงวงจะมีอยู่บ้าง เป็นของธรรมดา ๆ สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าห้าม สิ่งนั้นก็ย่อมจะมี ท่านบอกว่า เธอทั้งหลายจงอย่าชูงวงเข้าไปสู่ตระกูล คือประกาศตนว่าฉันเป็นขั้นนั้น ฉันเป็นขั้นนี้ เพื่อความเลื่อมใสของบุคคล

    อีกประการหนึ่งท่านบอกว่า จงทำตนเหมือนโมคคัลลาน์ โมคคัลลาน์ทำตนเหมือนแมลงภู่ เข้าไปเชยน้ำหวานจากเกสรของดอกไม้ ได้กินน้ำหวานแล้วดอกไม้เขาไม่ช้ำฉันใด บรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลายในพระพุทธศาสนา เวลาเข้าไปสู่ตระกูล จงอย่าทำให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชอกช้ำในความเป็นอยู่หรือจิตใจ

    ก็รวมความว่า วันนั้นพระโมคคัลลาน์ขึ้นไปบนสวรรค์ ก็ไปเจอะวิมานที่ไปพบมาแล้วทุก ๆ วัน แต่ปรากฏว่า พอเลี้ยวเข้ามามุมหนึ่งของสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ก็มีความแปลกใจว่าเห็นวิมานใหม่มันเกิดขึ้น วิมานนี้เป็นวิมาน ๔ มุข มียอดใหญ่ตระการตา สวยสดงดงามมาก แพรวพราวเป็นระยับ

    ท่านจึงหันไปถามเทพบุตรที่อยู่ใกล้ ๆ ถามว่า วิมานนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เทพบุตรองค์นั้นท่านก็ตอบว่า วิมานนี้เป็นวิมานของนันทินมาณพ เมื่อกลางวันวานที่แล้วมา ปรากฏว่านันทิยมาณพเขาถวายวิหารศาลา ๔ มุข ในพระพุทธศาสนา มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พอถวายเสร็จวิมานก็ปรากฏก่อน อัครสาวกขององค์สมเด็จพระชินวรถามว่า เป็นอย่างนี้ทุกรายหรือ เทพบุตรองค์นั้นก็บอกว่า เป็นอย่างนี้ทุกราย คนที่ทำบุญเสร็จ มีวิมานทันทีทันใด

    พอพูดมาถึงตอนนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็นึกถึงว่าคนที่ถวายสังฆทาน ความจริงถวายสังฆทานก็พร้อมด้วยวิหารทานคือปัจจัยที่นำมาถวายก็เป็นสังฆทานด้วย เป็นวิหารทานด้วย จึงมีวิมานปรากฏก่อนทุกคน

    อัครสาวกขององค์สมเด็จพระชินวรก็มองดูไปที่วิมาน เห็นนางฟ้าเต็มไปหมด เป็นพันคน เวลานั้นบรรดานางฟ้าทั้งหลายก็ลงมาจากวิมานมากราบอัครสาวกขององค์สมเด็จพระทศพล แล้วเธอทั้งหมดก็กล่าวว่า ภันเต พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระเจ้าข้า พวกฉันเป็นนางฟ้ามาอยู่ที่วิมานนี้ หวังจะบำรุงบำเรอเทพบุตร คือ นันทิยมาณพ ให้มีความสุข

    แต่เมื่อมาถึงก็ปรากฏว่า อยู่เปล่า ว่าง ๆ ใจเหวงหวาง เพราะไม่มีเทพบุตรที่จะบำรุงบำเรอ ฉะนั้นพระคุณเจ้ากลับลงไปเมืองมนุษย์ ได้โปรดบอกนันทิยมาณพด้วยว่า เวลานี้วิมานใหญ่โตสวยงามที่สุดปรากฏขึ้นแล้วในดาวดึงสเทวโลก เป็นที่อยู่ของท่านและมีนางฟ้านับพัน คอยบำรุงบำเรออยู่

    ขอให้นันทิยามาณพพละอัตตภาพจากความเป็นคน คือรีบตาย แล้วมาเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ดีกว่า เธอเปรียบเทียบว่า อยู่เมืองมนุษย์ ก็เหมือนกับใช้ถาดดินเหนียว มาอยู่บนสวรรค์ก็เหมือนใช้ถาดทองคำ พอเวลาเสร็จภารกิจ พระโมคคัลลาน์ก็กลับ

    ตอนเช้า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์จบ พระโมคคัลลาน์ก็ฟังด้วย ความจริงพระอรหันต์ก็ฟังเทศน์ อย่านึกว่าเป็นอรหันต์แล้วไม่ฟังนะ ทุกองค์มีความเคารพในพระพุทธเจ้ามีความเคารพในพระธรรม และพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์อาจจะมีแปลก ๆ นิด ๆ หน่อย ๆ เป็นความรู้ใหม่

    เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเทศน์จบ พระโมคคัลลาน์ก็ทูลถามว่า คนที่ทำบุญแล้วแต่ยังไม่ตาย ปรากฏว่าวิมานเกิดคอยแล้ว ความจริงเป็นประการใด พระพุทธเจ้าข้า ที่พระโมคคัลลาน์ถามอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่พระโมคคัลลาน์อวดดี พระโมคคัลลาน์ทำอย่างนั้น เพื่อเป็นการตัดอารมณ์ของตัวว่า การเห็นอย่างนั้นเป็นอุปาทานหรือเปล่า

    คำว่า อุปาทาน เป็นการนึกขึ้นเอง แต่ก็ไม่แน่นัก คำว่า อุปาทาน อาตมาก็เคยเกิด เคยพบ วันหนึ่งมีอารมณ์มัวไปนิดหนึ่งก็ปรากฏว่าอยากจะเฝ้าพระพุทธเจ้า ขึ้นไป เห็นพระพุทธเจ้าสวยงามมาก เปล่งปลั่ง รัศมีปกติ เหมือนทุกอย่าง กราบท่านแล้วก็ถามปัญหาบางอย่าง ปรากฏว่าคำตอบผิด อาตมาถามถึงเหตุที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า ระยะสั้น ๆ คือ ถาม ๑ ชั่วโมงต้องการผล ต้องการผลใน ๑ ชั่วโมง ผลที่เกิดมาผิด ก็แปลกใจว่า ทุกครั้งที่เราฟังมาไม่เคยผิด

    วันต่อมาจึงเข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระธรรมสามิสร ทำใหม่ คราวนี้ทำใจให้สะอาดจริง ๆ ไม่หุนหันพลันแล่น ไม่นึกถึงเรื่องราวที่คิดไว้ก่อน ก็พบองค์สมเด็จพระชินวร ถามท่าน ท่านก็บอกว่า ดูซ้ายมือสิ พอดูซ้ายมือ เห็นเป็นรูปพระพุทธเจ้าแต่มีเขี้ยว ท่านบอกว่า มารเข้าขวางทางเธอ ก่อนที่เธอจะมาเธอจงอย่าคิดอะไรก่อน จงทำเหมือนทุกครั้งที่แล้วมา เมื่อวานนี้เธอคิดอะไรเสียก่อน แล้วขึ้นมา อารมณ์นั้นยังค้างอยู่ เขาเรียกว่า อุปาทาน

    เป็นอันว่า พระโมคคัลลาน์ท่านตัดอุปาทานอย่างนี้ เพื่อความมั่นใจ เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงสดับแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วตรัสว่า โมคคัลลาน์ เมื่อคืนนี้เธอไปเห็นมาเองแล้วใช่ไหม พระโมคคัลลาน์ก็มีความมั่นใจ

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท การทำบุญนั้น วิมานเขาคอยอยู่แล้ว ทุกคนให้มั่นใจในความดีของตน อย่างมีครั้งหนึ่งตามที่กล่าวมาว่า ครั้งหนึ่งที่อาตมานิมิต คือว่าไม่ใช่นิมิตหรอก จิตมันวูบวาบไป มันตายน่ะ พูดง่าย ๆ ถ้าใครเขาเห็นเวลานั้นก็เป็นความตาย แต่มันใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงนัก จากเวลา ๓ ทุ่มเศษ ๆ ไปถึงตี ๒ กลับมา

    ตอนนั้นที่บอกว่า ไปนั่งอยู่หน้ากำแพงด้านหนึ่งตามที่ผ่านมาแล้ว แล้วก็มองเข้าไปข้างใน ใสสะอาด สวยงามมากแพรวพราวเป็นระยับ สว่างมาก แล้วท่านบอกว่า มีวิมาน ๗ แสนหลัง คอยพวกเธออยู่ภายใน เธอมีสิทธิ์ แต่ยังเข้าไม่ได้ คอยก่อน อันนี้ก็เป็นนิมิตอันหนึ่ง ที่จะจริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ตอนนี้เป็นนิมิตนะ ขอบรรดาท่านผู้รู้ใช้กำลังใจของท่านพิจารณาดูก็แล้วกัน

    แล้วต่อมาอีกวันหนึ่ง เข้าไปทบทวนใหม่ ถามว่า วิมานชุดนั้นตั้งอยู่ที่ไหนกันแน่ วันนั้นเข้าได้ เข้าแล้วอยู่ไม่ได้ วันที่ผ่านมาแล้วที่พูด เข้าไปจะอยู่เลย คือไปแล้วจะอยู่เลย ไม่กลับ ท่านเลยห้ามเข้าเขต แต่วันต่อมา ไม่เอาละ จะไปดูแค่เฉย ๆ ท่านก็เลยบอกว่าจากจุดนี้ที่เธอนั่ง หันหน้าไปทางด้านทิศเหนือ แล้วอยู่ทางซ้ายมือวิมาน ๗ แสนวิมาน ตั้งเรียงรายเป็นระยับ

    ก็มีคนถามว่า คล้ายบ้านจัดสรรใช่ไหม ก็บอกว่า ใช่ แต่บริเวณเขาไกลกว่ากันมาก เขากว้างมาก สวยสดงดงามเป็นระยับ ก็เดินเจ้าไปดู ก็เกิดความเพลิดเพลินว่า วิมานนี้เป็นวิมานเฉาจริง ๆ ไม่มีเจ้าของ ถ้าเป็นเมืองมนุษย์เราจะขายเลหลัง จะเลหลังได้หลายสตางค์ แต่ว่านี่เป็นนิพพาน ขายไม่ได้

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาเหลืออีกประมาณ ๑ นาทีเศษ ๆ ก็ขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ เอาธรรมะเป็นเครื่องประจำใจไปใช้ปฏิบัติสักนิดหนึ่งว่า ความดีเบื้องต้นของคนก็คือศีล ๕ ทุกคนจงระมัดระวังศีล ๕ คือ ๑. ไม่ฆ่าสัตว์ ๒. ไม่ลักทรัพย์ ๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม ๔. ไม่พูดมุสาวาท ๕. ไม่ดื่มสุราและเมรัย

    ทั้ง ๕ ประการนี้ ถ้าทำได้บรรดาท่านพุทธบริษัท จะเป็นมหาเสน่ห์อย่างมาก เพราะการไม่ฆ่าสัตว์ เป็นคนที่มีใจไม่โหดร้าย อย่างนี้มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส มีเมตตาปรานี ไปที่ไหนก็มีแต่คนรัก เป็นเสน่ห์ การไม่ลัก ไม่ขโมยของเขา ทุกคนก็ไว้วางใจ มีเพื่อนมาก มีคนต้องการคบหาสมาคม จะไปพักที่ไหน จะไปนอนที่ไหนก็ได้ ข้าวปลาอาหารไม่อด เพราะเขารัก

    นี่ก็เป็นเหตุความสุขใจ การไม่ละเมิดสามีภรรยาของบุคคลอื่น อันนี้เป็นเครื่องสบายใจอย่างหนึ่ง เป็นที่ไว้วางใจของคน ไม่ทำลายความรักกัน ก็เป็นเสน่ห์ ให้เกิดความรัก การพูดตรงไปตรงมา เป็นสัจธรรม อันนี้มีความสำคัญมาก บรรดาท่านพุทธบริษัท รักษาให้ดี เป็นเสน่ห์มหาศาล

    ต่อมาข้อสุดท้าย ที่พวกเราไม่ดื่มสุราบาน ไม่ทำสติสัมปชัญญะให้เสื่อม จะเป็นของดีมาก ทุกอย่าง ๕ ประการนี้ทำได้มีแต่ความสุข ไม่มีความทุกข์ ความทุกข์ใดใดที่มีอยู่แล้วในโลกที่ปรากฏมาก่อน ถ้าปฏิบัติตามศีล ๕ ที่องค์สมเด็จพระชินวรตรัสไว้แล้วนี้ บรรดาท่านทั้งหลาย เขาถือว่าเป็นสีลานุสสติกรรมฐาน เป็นกรรมฐานบทสำคัญทำให้ท่านทั้งหลายมีความสุข ทั้งชาตินี้และชาติหน้า

    เวลาหมดแล้วบรรดาท่านพุทธบริษัท ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี
     
  4. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๙.พระมหาทองปอนด์ตาย

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ตรงกับวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๓๒ เป็นวันบันทึกเสียง แต่ว่าการพูดวันนี้จะเป็นการพูดในรายการ วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๒ ทั้งนี้ ก็เพราะว่าตอนเช้ามืดตอนตี ๔ ของวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๒ ตื่นขึ้นจากนอกเวลาตี ๒ เศษ ๆ เพราะเวลานั้น เป็นเวลาเจริญกรรมฐานในตอนดึก เป็นประจำวัน

    แต่ทว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทมีเรื่องแปลกที่ต้องติด เพราะว่าไม่ทันจะลืมตา พอมีความรู้สึกตัวก็เห็นภาพพระองค์หนึ่งลอยอยู่บนอากาศ แต่การลอยของทานไม่ได้อยู่ในท่ายืนหรือว่าท่าเดินหรือนั่ง เป็นการลอยในท่านอน รูปร่างอ้วน ๆ ลักษณะสูงต่ำ ประมาณกลางคน เป็นลักษณะท้วม ผิวเนื้อสองสี ก็พิจารณาดูว่าพระองค์นี้เป็นใคร ตามความรู้สึกว่ามีพระองค์นี้เคยรู้จักกันมาก่อน และเป็นคนเคยสืบเนื่องกันมาในชาตินี้

    แต่มองเท่าไรก็ไม่เห็นหน้า เพราะมีผ้าคลุมหน้า คลุมทั้งตัว จึงไม่รู้ว่าท่านองค์นี้เป็นใคร ลักษณะการนอน บรรดาท่านพุทธบริษัท ตามความรู้สึกบอกว่าเวลานี้พระองค์นั้นตายเสียแล้ว และเป็นการตายสด ๆ ร้อน ๆ ไม่นานนัก อาจจะไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมง

    นี่พูดถึงตามความรู้สึกของนิมิตที่ปรากฏ ถ้าจะถามว่า เวลานั้นเจริญกรรมฐานหรือยัง ก็ต้องตอบว่า คำว่า กรรมฐาน การใช้ภาวนา อันนี้ใช้เป็นปกติ พิจารณาก็ดี ภาวนาก็ตาม เวลาก่อนหลับทำเสมอ แต่ว่าเวลาหลับบรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านถือว่าเป็นการทรงอารมณ์ในสมาธิกองนั้น แต่ว่าเวลาตื่นขึ้นมา เวลานั้นยังไม่ทันภาวนา แค่มีความรู้สึกตัว แต่จิตมีความรู้สึกว่ารับรู้ลมหายใจเข้า-ออก นิมิตก็เกิด

    ถ้าจะถามว่าเป็นการใช้ทิพจักขุญาณใช่ไหม ต้องตอบว่าไม่ใช่ ภาพนี้เป็นภาพที่แสดงให้เห็นเอง ไม่สามารถจะบังคับได้ ฉะนั้นเมื่อภาพนี้มีผ้าคลุมศีรษะ คลุมตลอดตัวจึงไม่สามารถจะบังคับให้เปิดผ้าได้ ถ้าเป็นทิพจักขุญาณก็สามารถจะบังคับให้เปิดผ้าได้

    ในเมื่ออยากจะรู้ชื่อพระองค์นี้ ความรู้สึกก็ไม่ยอมบอกว่าชื่ออะไร แต่เมื่อมีความต้องการชื่อเข้าจริง ๆ ก็มีเสียงผู้ชายกับเสียงผู้หญิงดังมาจากในอากาศ ผู้ชายบอกชื่อพ่อ ผู้หญิงบอกชื่อแม่ แต่ทว่าผู้หญิงเป็นลักษณะคนบาง ๆ ผิวขาว ลักษณะผิวเนื้อสองสี ค่อนข้างขาว ลักษณะท้วม

    ท่านบอกว่า พระองค์นี้มีพ่อชื่อนี้ แล้วผู้หญิงบอกว่า พระองค์นี้มีแม่ชื่อนี้ อาตมาไม่รู้แม้แต่ชื่อท่านผู้ตาย จะไปรู้ชื่อพ่อแม่เพื่อประโยชน์อะไร ก็จึงไม่มีการสนใจว่าพ่อแม่ชื่ออะไรนั้น เป็นเรื่องของพ่อของแม่ แล้วก็ไม่อยากจะจำ เวลานี้ก็จำไม่ได้ อยากจะรู้ชื่อของพระนี้ นึกเท่าไร ต้องการเท่าไร ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ จึงคิดว่าไม่รู้ก็แล้วไป จึงมาคิดในใจว่า พระองค์นี้ตายแล้วหรือยัง

    เวลานั้นก็ปรากฏภาพพระขึ้น ๓ องค์ พระ ๓ องค์นี้เป็นพระที่มีความสำคัญ บรรดาท่านพุทธบริษัท จะเป็นพระอะไรบ้าง ก็ไม่ขอบอก ลอยอยู่หน้าพระนี้แสดงว่าก่อนที่พระจะตาย พระองค์นี้จะเห็นภาพพระ ๓ องค์ลอยอยู่เบื้องหน้า

    เวลานั้นก็มีความชื่นใจว่า ลักษณะอย่างนี้ถ้าเกิดขึ้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องถามว่า พระองค์นี้ตายแล้วมีสุขหรือมีทุกข์ อาการที่เห็นพระบรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นอาการบอกถึงความสุขโดยตรง ฉะนั้นพระองค์นี้อย่างต่ำก็ไปสวรรค์ ถ้าจิตใจมีความมั่นคงก็ไปพรหมโลก เวลานั้น เวลาที่ใกล้จะตาย ถ้าจิตใจไม่นิยมร่างกายก็ไปนิพพาน

    เรื่องนิพพานนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นของไม่หนักนักสำหรับบุคคลที่มีความเข้าใจ อาตมาก็ย่องมาพูดเรื่องนี้อีกแล้วในหนังสือเล่มเดียวกันก็มีพระองค์หนึ่งท่านมาด่า บอกว่าอาตมาไม่เข้าถึงนิพพาน ตายแล้วต้องไปอบายภูมิ

    แต่เวลานี้มันยังไม่ตายนี่ในเมื่อมันยังไม่ตาย ก็ไปนิพพานกันก่อน เวลาตายแล้วมันจะไปไหนก็ช่างมันเป็นไร ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าไปติดใจเรื่องพระด่าเลย ไม่มีความสำคัญ ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า “นัตถิ โลเก อนินทิโต คนไม่ถูกด่า ไม่ถูกว่า ไม่ถูกนินทา ไม่มีเลยในโลก เป็นธรรมดา” แต่ว่าพระอรหันต์นั้น เขาไม่ด่ากัน

    ในเมื่อภาพนั้นยังลอยชัด ลืมตาก็เห็น อย่าคิดว่าภาพนี้เห็นเฉพาะหลับตานะ แล้วก็อย่าลืมว่าไม่ใช่ภาพจากทิพจักขุญาณเป็นภาพที่แสดงให้เห็นปรากฏเวลานั้นก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า พระองค์นี้ท่านจะไปสู่สุคติขั้นไหน หรือไปสู่ทุคติ

    ถ้าไปสู่สุคติก็แสดงว่าตำราผิด จึงนึกถึงลุงทั้ง ๒ พอนึกถึงท่าน ลุงท่านก็มา ท่านไม่มาเฉพาะ ๒ องค์ เวลานั้นปรากฏว่ามาเต็มไปหมด โอย เยอะแยะ มากมายก็เลยนึกในใจว่า พระองค์นี้มีบุญจริง ๆ นะ เวลาตายของท่านมีเทวดามีพรหมสนใจ เลยถามลุงว่าพระองค์นี้เคยมีบาปไหม ตั้งแต่เกิดมาเคยทำบาปกุศลไหม

    ลุงท่านก็ตอบว่า คนที่เกิดมาในโลกจะไม่เคยทำบาปเลยหาแสนยาก เกือบจะกล่าวได้ว่าไม่มีใครเลยในโลกที่ไม่เคยทำบาป การฆ่า บีบมดให้ตายก็บาป บี้ยุงให้ตายก็บาป การด่าเขาก็บาป นินทาเขาก็บาป มันบาปไปหมด การพูดปดมดเท็จก็บาป การดื่มสุราเมรัยก็บาป รักคนที่เขาไม่อนุญาตให้ก็บาป ถือเอาของที่บุคคลอื่นไม่ให้มาเป็นของตนโดยไม่ชอบธรรมก็บาป

    ท่านบอกว่า คำว่า บาป ย่อมมีแก่คนทุกคน ก็ถามท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้นพระองค์นี้ถ้ามีบาป เวลานี้ไปสู่สุคติหรือทุคติ ท่านก็ตอบตรง ๆ ว่า เวลานี้ไปสู่สุคติ บรรดาท่านพุทธบริษัท คำว่า สุคติ หมายถึง สวรรค์ก็ได้ พรหมโลกก็ได้ นิพพานก็ได้

    อาตมาก็ถามท่านต่อไปว่า ไปสู่สุคติขั้นไหน ท่านบอกให้ แต่บรรดาท่านพุทธบริษัทไม่ควรจะพูด มีเสียงหนึ่งก้องเข้ามาบอกว่า "ไม่ควรจะพูด" ในเมื่อมีเสียงก้องเข้ามาขณะพูดว่าไม่ควรจะพูด ก็ขอไม่พูด ถือว่าถ้ามีความสุขแล้วก็ใช้ได้

    ต่อไปก็ถาม ท่านบอกว่า กรรมที่เป็นที่น่าข้องใจของพระองค์นี้มีอะไรบ้าง ท่านบอกว่า ตัวท่านเองก่อนจะตายมีความกังวลอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือการไปในงานต่าง ๆ บางครั้งเขาทำงานเพื่ออะไร เขาจะสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างเจดีย์ สร้างศาลาการเปรียญ สร้างวัด สร้างอะไรก็ตาม แต่ว่าท่านไปในงาน คนเขาถวายปัจจัยกับวัดด้วยและมาแวะถวายให้ท่านอีก อาการนี้ท่านมีความข้องใจอยู่เล็กน้อยว่า เป็นกิจที่ไม่สมควรที่เรานำมาวัดของเรา น่าจะถวายไว้ที่วัดนั้น แต่ก็สิ่งนั้นทำไปแล้ว

    ก็ถามท่านว่า ถ้าอาการอย่างนั้นเป็นอาการบาปหรือไม่บาป เขาถวายให้ท่าน วัดประกาศโฆษณาว่า จะสร้างโบสถ์ สร้างศาลาการเปรียญ สร้างอะไรต่ออะไรก็ตาม แต่เขาถวายวัดแล้ว ก็มาแวะถวายให้ท่านด้วย

    ท่านลุงก็บอกว่า การถวายให้เขาถือสิทธิ์ว่าเป็นทรัพย์สินส่วนตัว เขาตั้งใจถวายเป็นส่วนตัวจัดว่าเป็นบาป ก็น่าจะเสียสละ มอบหมายไว้กับวัดนั้น เพื่อเป็นบุญเป็นกุศล เป็นการสร้างเจริญศรัทธาแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท สร้างความปลื้มใจ แต่นี่บางครั้งท่านเผลอไป นำมาวัดด้วย อันนี้ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดในอบายภูมิ แต่เป็นอุปสรรค์ขัดข้องนิดหนึ่งที่จะไปนิพพาน จึงถามท่านว่า มีอารมณ์หนักไหม ท่านบอกว่า ไม่หนัก

    รวมความว่า เรื่องของพระองค์นี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ประหลาดจริง ๆ อยู่ ๆ ก็ลอยให้เห็น ต่อมาในตอนเช้า เวลาประมาณ โมงเศษ ๆ มีเจ้าหน้าที่เอาโทรเลขไปส่งให้ ในโทรเลขนั้นบอกว่า หลวงพ่อมหาทองปอนด์ วัดม่อนธาตุ จังหวัดอุตรดิตถ์ มรณภาพวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๒

    ท่านที่โทรเลขมาชื่อว่า กระแส ก็เลยนึกในใจว่า โอ้โฮ พระองค์นี้ไม่ใช่ใคร คือพระมหาทองปอนด์นั่นเอง พระมหาทองปอนด์นี่ความจริงท่านไม่ใช่ลูกศิษย์อาตมาโดยตรง แต่ว่าท่านยอมรับนับถือว่าเป็นครูบาอาจารย์ของท่าน อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์เหมือนกัน

    แต่ทว่าขึ้นชื่อว่ากฎของกรรมที่เป็นอกุศลกรรมต่าง ๆ ก็ยังมองไม่เห็น ฉะนั้นเจตนาของท่านดี เคยเป็นเจ้าคณะอำเภอ องค์นี้ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนจะเป็นเปรียญ ๖ ประโยค และได้ปริญญาทางพุทธศาสนา ดูเหมือนว่าจะเป็นดอกเตอร์มาจากอินเดีย ถ้าจำไม่ผิดนะ แล้วต่อมาก็มาเป็นเจ้าคณะอำเภอ ที่จังหวัดสุโขทัย ถ้าจำไม่ผิด ก็เป็นศรีสัชชนาลัย

    ต่อมาก็ลาออกจากเจ้าคณะอำเภอ มาอยู่อิสระ อย่างนี้ก็ถือว่าต้องการวิเวก ก็เป็นความดี ฉะนั้นในเมื่อรับโทรเลขนี้แล้ว อาตมาเองอยากจะไปก็ไปไม่ไหวกำลังป่วยหนัก อาการทางท้องเครียดมากได้แต่ส่งใจไปช่วย

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็รวมความว่า พระที่มาลอยให้เห็นก็คือ พระมหาทองปอนด์ พระมหาทองปอนด์นี้ ก่อนที่จะดับชีพเห็นพระ ๓ องค์ ลอยอยู่เบื้องบน จิตใจก็จดจ่ออยู่กับที่พระ ๓ องค์นั้น อย่างนี้เป็นอารมณ์ของมหากุศล

    เอาละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ท่านมหาทองปอนด์จะไปไหนนั้น เป็นเรื่องของท่าน เป็นความดีที่ท่านทำไว้แล้ว ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทผู้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จงพากันรักษาความดีที่มีไว้แล้วให้เหมือนเกลือรักษาความเค็ม

    ต่อนี้ไปก็มาคุยเรื่องวิชาการ วิชาการความรู้ที่ฝึกให้บรรดาท่านพุทธบริษัท อันมีการนับเนื่องใน ๒ หมวดของกรรมฐาน คือ วิชชาสาม และอภิญญาหก ท่านฟังให้ดีนะ วิชชาสามนั้นมี ๓ อย่าง คือ ๑. ทิพจักขุญาณ ๒. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ๓. อาสวักขยญาณ

    ถ้าพูดเป็นภาษาไทยก็คือว่า ๑. มีจิตใจเป็นทิพย์ คล้ายตาทิพย์ ๒. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้โดยไม่จำกัด แล้วก็ ๓. อาสวักขยญาณ ทำกิเลสให้สิ้นไป ถ้าถึงพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ถือว่าเป็นวิชชาสาม ถ้าหากว่ายังไม่ถึงพระโสดาบันขึ้นไป ก็ถือว่าได้ ๒ ในวิชชาสาม คือได้ ทิพจักขุญาณ กับปุพเพนิวาสานุสสติญาณ

    สำหรับอภิญญาหกมีอย่างนี้ คือ อิทธิวิธิ หรือแสดงฤทธิ์ได้ ๑. แสดงฤทธิ์ได้ ๒. มีทิพโสตญาณ มีจิตเป็นทิพย์เหมือนกับมีหูเป็นทิพย์ ๓. รู้จักกำหนดรู้ใจคนอื่น ๔. ระลึกชาติได้ไม่จำกัด ๕. ได้ทิพจักขุญาณ หูเป็นทิพย์เป็นทิพโสตญาณนะ คือตาเป็นทิพย์ และ ๖. รู้จักทำอาสวะให้สิ้นไป

    เมื่อมาพิจารณากรรมฐานที่ฝึกให้แก่บรรดาพุทธบริษัทเห็นว่า ท่านที่ได้อย่างต่ำ จะเป็นผู้ได้จาก ๒ ในวิชชาสาม คือ อันดับแรก จะฝึกทิพจักขุญาณให้เกิดก่อน สามารถเห็นผี เห็น เห็นเทวดา เห็นนรก เห็นสวรรค์ เห็นพรหมโลก หรือเห็นอะไรได้ตามชอบใจตามความรู้สึกของจิตและ ๒. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ สามารถระลึกชาติได้โดยไม่จำกัด

    ทั้งนี้ ๒ อย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าทำให้คล่องจะถือว่าทุกคนมีความคล่อง ๒ ในวิชชาสาม ท่านยังอยู่ในหมวดของวิชชาสามจำให้ดีนะ แต่ทุกคนที่ทำได้แล้วอย่าทิ้ง จะต้องทำให้คล่องจริง ๆ ฝึกฝนทุกวัน อย่าทิ้ง คือแต่เช้ามืดครั้งหนึ่ง ก่อนหลับครั้งหนึ่ง เอาจิตใจจับกรรมฐานที่พึงได้ว่า คำว่า ทิพจักขุญาณ ถ้าทิ้งสัก ๒-๓ วันจะเฝือ และการรู้จักจิตที่เรียกว่า ทิพจักขุญาณ จงอย่ารู้เองเฉย ๆ ให้ถามตรงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ถ้าจะมีคนเขาค้านบอกว่า พระพุทธเจ้าท่านนิพพานไปแล้ว ถามที่ไหน ก็ตั้งใจถามเถิด แม้จะเป็นพุทธนิมิตก็ได้ ให้เห็นว่าเป็นพระพุทธเจ้า เราก็ถาม จะมีความรู้สึกว่าท่านตอบว่าอย่างไร จำไว้ว่าอย่างนั้นคือไม่ผิด ถูกแน่ อย่าสงสัย แต่ก่อนที่จะนึกถามพระพุทธเจ้าให้ตั้งใจทำจิตให้สะอาดจากนิวรณ์ ๕ ประการก่อน นิวรณ์ ๕ ก็คือ ๑. ความรักในระหว่างเพศ ๒. ความโกรธ หรือความพยาบาท ๓. ความง่วง ๔. จิตฟุ้งซ่าน และ ๕. สงสัยในผลของการปฏิบัติ

    ทั้ง ๕ อย่างนี้ อย่าให้มีใจจิตของบรรดาท่านพุทธบริษัท เฉพาะเวลานั้น เมื่อจิตสะอาดจากนิวรณ์แล้ว จับภาพพระพุทธเจ้า ภาวนาจับลมหายใจเข้าออก สักประเดี๋ยวหนึ่ง พอจิตเป็นสุข ละภาวนาละลมหายใจเข้าออก เอาจิตจับภาพทันที อย่างนี้จิตสะอาด จะรู้อะไรได้ทุกอย่าง ทีนี้มาอาการฝึกจริง ๆ มันมากกว่านั้น ก็มาดูหมวดของอภิญญาว่า ท่านที่ฝึกไปได้แล้ว มีอะไรบ้าง ในหมวดของอภิญญาที่ท่านได้แล้ว

    ๑. แสดงฤทธิ์ได้ การแสดงฤทธิ์เหาะเหินเดินอาการ ทางกายนี้ไม่ได้ฝึกให้ ถ้าจะถามว่า ครูผู้ฝึกทำได้ไหม ก็ต้องตอบว่าทำไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร ถึงแม้ว่าท่านที่ทำได้แล้วก็ต้องทำไม่ได้ แต่อาตมาเองนั้นทำไม่ได้จริง ๆ นะ ไม่ใช่ทำได้แล้วบอกว่า ทำไม่ได้ ก็ต้องบอกว่าทำไม่ได้จริง ๆ การแสดงฤทธิ์ เหาะเหินเดินอากาศทางกายไม่ได้แต่ฝึกฤทธิ์ทางใจไว้ให้ ที่เรียกว่า มโนมยิทธิ คำว่า มโนมยิทธิ แปลว่า ผู้มีฤทธิ์ทางใจ นั่นหมายความว่า นำเอาใจ หรืออทิสสมานกาย กายภายใน ไปสวรรค์ก็ได้ ไปพรหมโลกก็ได้

    ถ้าเวลานั้นจิตสะอาดไปนิพพานก็ได้ หรือว่าถ้าหากว่าต้องการไปนรก ไปแดนเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ก็ได้ นั่นเป็นฤทธิ์ทางใจ จริง ๆ แล้วก็ใช้ได้ผลเหมือนกับฤทธิ์กาย ฤทธิ์ทางกาย ถ้ากายป่วยไข้ไม่สบายจะมีอาการเครียด ถ้าใช้ฤทธิ์ทางใจ

    ร่างกายจะเป็นอย่างไรก็ช่างใจใช้ได้เสมอ ร่างกายจะเพลียลุกไม่ขึ้นก็ไม่เป็น ใจไปได้ รวมความว่า การใช้ฤทธิ์ แม้แต่ทางใจก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของอภิญญาหก การแสดงฤทธิ์ได้ทางใจ ก็เป็นครึ่งหนึ่งของการแสดงฤทธิ์เต็มอัตราของอภิญญาหก เป็นข้อที่หนึ่ง

    ๒. ทิพโสตญาณ ในหนังสือท่านเขียนว่า ทิพโสต หูทิพย์ แต่ความจริงต้องใช้คำว่า ทิพโสตญาณ มีความรู้จากประสาทหู คล้ายหูทิพย์ นั่นก็หมายความว่า ถ้าต้องการได้ยินเสียง จะเป็นเสียงคน เสียงภูติผีปีศาจ เสียงเทวดา เสียงพรหม หรือเสียงท่านที่อยู่สูงกว่านั้น เราต้องการจะรู้เมื่อไรก็รู้ได้ ไม่ใช่ประสาทหูทิพย์ ถ้าประสาทหูทิพย์นี่ มันจมไม่ลง เสียงคน เสียงสัตว์ในป่าในโลกนี้ มันดังไม่ขาดสาย ถ้ามีประสาทหูทิพย์มันจะได้ยินหมด และได้ยินไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ต่างประสานเสียงกันแซดเข้ามา กลายเป็นหูดื้อไป

    ความจริงต้องเรียกว่า ทิพโสตญาณ มีความรู้สึกทางใจใช้ทางหู เหมือนกับหูทิพย์ แล้วก็เสียงที่ใครเขาพูดไว้ตั้งแต่เมื่อไร ถ้าต้องการจะทราบเสียงนั้น จะทราบเสียงทันทีว่า ท่านผู้ใด พูดว่าอย่างไร ท่านผู้ตอบ ตอบอย่างไร ท่านผู้ถาม ถามว่าอย่างไร เป็นต้น เสียงคน เสียงเทวดา เสียงผี ก็ทราบหมด อย่างนี้เขาเรียกว่า หูยาว ต้องการจะรู้ก็รู้ อย่างนี้ถ้าหากใช้ญาณทางหูได้ ก็ถือว่าได้อีกหนึ่งในอภิญญาหก แต่ทุกคนฝึกแล้วต้องทำให้คล่อง

    ต่อไปก็รู้จักกำหนดใจคนอื่น ที่เรียกว่า เจโตปริยญาณ คำว่า เจโตปริยญาณ รู้จักใจคนอื่น คือเขานึกอย่างไร เขามีสุขหรือทุกข์ เขามีความรู้สึกเป็นอย่างไร เราสามารถทราบ ไม่ต้องเดาทางสีหน้าไม่ต้องเดาทางอาการกลัว ความรู้สึกอย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทเป็นความรู้สึกที่ไม่หนัก

    คือ ไม่ต้องรู้จักหน้ากันเลย เป็นแต่เพียงได้ยินชื่อว่า ท่านผู้นั้นอยู่ที่ไหน เราอยากจะทราบว่า ท่านผู้นั้นมีความสุขหรือมีความทุกข์ มีความเป็นอย่างไร จิตใจมีความรู้สึกอย่างไร เราก็จะรู้ ท่านผู้นั้นเป็นผู้ได้ณานโลกีย์ขั้นไหนเราก็ทราบ เป็นพระอริยเจ้าขั้นไหนเราก็ทราบ แต่การที่จะรู้ การที่จะทราบ แต่การที่จะรู้ การที่จะทราบจริง ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัท เพื่อให้แม่นยำจริง ๆ ให้ถามตรงพระพุทธเจ้า

    ก็ขอพูดอีกครั้งหนึ่ง จะมีคนค้านว่า พระพุทธเจ้านิพพานแล้วจะถามใครอย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สูญไปจากโลก ทั้ง ๓ โลกนี้ พรหมโลก เทวโลก มนุษยโลก พระพุทธเจ้าไม่ได้สูญไปด้วย ใครก็ยังนึกถึงท่าน พระพุทธเจ้ายังอยู่ นั่นคือวิชาความรู้ ใครนึกถึงพระพุทธเจ้า จะปรากฏเป็นภาพพุทธนิมิตเกิดขึ้น

    ภาพพุทธนิมิตจะเป็นองค์ท่าน หรือนิมิตก็ตาม ก็คือว่าเป็นพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน ให้ทูลถามโดยตรง ได้รับคำตอบแบบไหน เชื่อแบบนั้นทันที จะไม่ผิด ไม่ว่าใครทั้งหมด อย่างนี้ไม่ต้องไปขออนุญาตเพื่อรู้

    และต่อไปก็ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้ นี่ก็เป็นอภิญญา การระลึกชาตินี่ต้องฝึกให้สม่ำเสมอ วิธีฝึกไม่ต้องเรียงลำดับ ขืนเรียงลำดับ ชาติ ๑ ๒ ๓ ถอยลงไปนี่เหนื่อยมาก ต้องการรู้ชาติไหน เป็นอะไร นึกถึงภาพนั้น ถ้าจะให้ดี ถามตรงพระพุทธเจ้าและขอเห็นภาพด้วย อันนี้ไม่ยาก ถ้าใช้วิธีถามพระพุทธเจ้า แล้วก็ขอให้เห็นภาพ อันนี้ไม่มีทางผิด

    แล้วต่อไปก็ ทิพจักขุญาณ ตาทิพย์ คือมีความรู้สึกทางใจคล้ายตาทิพย์ อันนี้ไม่ยาก เรื่องทิพจักขุญาณนี่ ใครอยู่ที่ไหน ต้องการจะทราบ ลักษณะเป็นอย่างไร รู้หมด ถ้าจะให้ชัดจริง ๆ อย่าลืมถามพระพุทธเจ้า ทุกอย่างเขาลองมาแล้ว ถ้าต้องการจะรู้ด้วยตนเองนี่บางทีมันก็พลาด ผิดได้ บางทีผิดไม่มาก พลาดไม่มาก แต่มันก็ผิด ยังมีผิด มีถูก ถ้าถามตรงพระพุทธเจ้าไม่มีผิด

    อาสวักขยญาณ ทำกิเลสให้สิ้นไป ทำกิเลสให้สิ้นเป็นขั้น กิเลสให้สิ้นขั้นพระโสดา ขั้นสกิทาคา ขั้นอนาคา ขั้นอรหันต์ ถือว่าตั้งแต่พระโสดาบันก็ชื่อว่าถึงอภิญญาหกแล้ว

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาเหลืออีก ๑ นาทีเศษ ๆ วันนี้ก็มาพูดกันถึงเรื่องมรณานุสสติกรรมฐาน ก็เป็นการบังเอิญที่พระมหาทองปอนด์ท่านมรณภาพ แล้วก็มาลอยให้เห็น บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทอย่าคิดนะว่า ใครตายที่ไหน อาตมารู้ทั้งนั้น ถ้าเขาไม่มาให้เห็นก็ไม่เห็น ถ้าเขาไม่มาให้รู้ก็ไม่รู้ อย่าไปคิดว่าทุกคนถ้าตายแล้ว ไปอยู่ที่ไหน อาตมาต้องรู้ทั้งหมด อันนี้ไม่ถูกต้อง อาตมาจะไม่ใช้ญาณ ที่จะพึงมี ถ้ามีอยู่ก็ไม่ใช้อย่างนี้ เพื่อรู้ เพราะกังวล

    แม้แต่ตัวเองป่วยไข้ไม่สบายอย่างหนัก เวลานี้ห่วงตัวเองมาก ไม่ใช่ห่วงเพื่ออยู่ ห่วงเพื่อตาย เกรงว่าถ้าตายไม่ได้สติมันจะแย่ ก็ควบคุมกำลังใจ เพราะมันป่วยหนัก พระมหาทองปอนด์ท่านเกิดทีหลัง ท่านก็ตายไปแล้ว อาตมาแก่กว่าคิดว่าไม่ช้าก็ต้องตาย เรื่องความตายนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท จัดว่าเป็นมรณานุสสติกรรมฐาน เป็นกรรมฐานที่มีความสำคัญ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านจงอย่าลืม จงอย่าลืมคิดว่าชีวิตนี้มันต้องตาย

    เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายพยายามรวบรวมทำความดี ๑. มีการให้ทานไว้เป็นปกติ ๒. รักษาศีลไว้เป็นปกติ ๓. เจริญภาวนาเท่าที่กำลังใจจะพึงทำได้ จิตใจจับพระพุทธรูปไว้เป็นกำลังใจ หรือภาพพระสงฆ์เป็นกำลังใจ นึกถึงทาน บุญกุศลที่ทำไว้ อย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเมื่อตายจะไม่สิ้นหวังคือจะได้ถึงซึ่งความดี

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาเหลือไม่ถึงครึ่งวินาที ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี
     
  5. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๐.ตายก่อนบวช, เด็กหญิงตาย

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๓๒ แต่ว่าวันนี้เป็นรายการบันทึกของวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๓๒ คือเมื่อวันที่ ๔ บรรดาท่านพุทธบริษัท วันนั้นอาการทางท้องเครียดมาก เมื่อพูดอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทจะสงสัยว่า การพยากรณ์ต่าง ๆ ที่ท่านพยากรณ์ไว้ว่า ร่างกายจะดีขึ้น ทำไมจึงมีอาการป่วยอยู่อีก ก็ต้องขอบอกว่า ขณะที่ท่านพยากรณ์ ท่านก็บอกแล้วว่าร่างกายจะดีขึ้น แต่บางส่วนจะเป็นอยู่ ร่างกายจะดีจริง ๆ ต้องปรับปรุงกันถึง ๒ ปี ร่างกายจึงจะสมบูรณ์

    สำหรับเวลานี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ด้านประสาทต่าง ๆ ของร่างกายนี้จะดีจริง ๆ ทุกส่วนดีหมดเหลือไว้แต่ทางท้องส่วนเดียว เมื่อสมัยก่อนมันเสียทั้งร่างกาย ประสาทเสียหมด กินอะไรเข้าไป ลำไส้ก็ไม่มีการดูดซึม ทุกอย่างของร่างกายที่จะทำขึ้นมาได้ ต้องอาศัยท้าวมหาราชช่วย เวลานี้ท้าวมหาราชท่านก็เบา คุมเฉพาะภายใน

    เรื่องทางท้องยังเป็นอยู่ บรรดาท่านพุทธบริษัท แต่ว่าอาการเป็นก็เบาลง น้อยอาการลง มันเป็นจริง ๆ เวลาประมาณ ๔ โมงเย็น ถึง ๓ ทุ่ม มันมีอาการเครียดตั้งแต่ตอนนี้ แต่ความจริงแล้ว กลางคืนทั้งคืนอาศัยไม่ได้เลย จะต้องนอนหลังเวลา ๕ ทุ่มเสมอไป เพราะท้องถ่ายไม่ปกติ มันถ่ายจริง แต่ก็ถ่ายไม่หมด นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทก็เป็นเรื่องระกำลำบากอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร ส่วนอื่นมันดีได้แล้ว

    มาว่ากันถึงเมื่อคืน วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๓๒ คืนนั้น ตอนหัวค่ำ คือ ตั้งแต่ ๔ โมงเย็นกว่า ๆ อาการเครียดจัด ในท้องร้อนมาก ร้อนมาถึงคอ ร้อนคล้าย ๆ ไฟลวก ร่างกายทรุดโทรม เดินไปก็ซวนไปเซมา เห็นท่าจะไม่ไหว จะเรียกใครเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ ก็รู้สึกว่า มันจะเกิดความรำคาญ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าไม่ได้เกิดประโยชน์ คำว่าไม่เกิดประโยชน์ ก็เพราะว่าถึงแม้ว่าเขาจะมาอยู่ใกล้ ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ก็นอนทนทุกขเวทนาไปตามเรื่อง

    ขณะที่ร่างกายมีอย่างนี้ เราจะมีความประมาทอยู่เพื่อประโยชน์อะไร เราจะเกาะร่างกาย แต่ความจริงขึ้นชื่อว่าร่างกาย จิตใจไม่เกาะมานานแล้ว ถ้าจะถามว่าไม่เกาะ ทำไมจะต้องกินข้าว ก็ต้องขอตอบว่า พระพุทธเจ้าเองทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณก่อนใคร ๆ เวลาที่ร่างกายยังไม่ตาย องค์สมเด็จพระจอมไตรก็เสวยพระกระยาหารเหมือนกัน คำว่า ไม่เกาะ หมายถึงว่า จิตมันไม่เกาะ จิตมันมีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้ต้องตายแน่นอน และความตายเข้ามาในไม่ช้านี้แน่ เอากันแค่นี้นะ

    ถ้าจะถามว่า เจ็บไหม ก็ต้องตอบว่า เจ็บ ปวดไหม ก็ต้องตอบว่า ปวด มันตายไหม ถ้าใครจะมาฆ่าให้ตายนี่ กลัว ถ้ามันจะตายเองกลัวก็ต้องตาย ไม่กลัวก็ต้องตาย ก็เตรียมตัวเพื่อตาย วิธีการเตรียมตัวเพื่อตายก็คือ รวบรวมกำลังใจ ซึ่งมันก็รวมไม่ยาก ปกติใจมันรวมอยู่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เห็นว่ามันไม่สวยทั้งหมด มันไม่มีอะไรสวยเป็นปกติ

    คนก็ไม่มีความมั่นคง ทุกคนก็แก่ไปทุกวัน ทุกคนก็ต้องตาย วัตถุก็มีการทรุดโทรม ร่างกายเราก็ตาย ร่างกายเราก็เป็นวัตถุส่วนหนึ่ง อันนี้จิตใจไม่ผูกพันมันในลักษณะนี้ จึงตัดสินใจว่า การอยู่ตรงนี้เต็มไปด้วยทุกข์เวทนา ถอยออกจากร่างกายดีกว่า ก็เลยถอยออกจากร่างกาย

    อย่าลืมนะว่า ส่วนใดของหมวดที่ ๓ และหมวดที่ ๒ สอนคนอื่นเขาได้ ตัวเองก็ต้องทนได้ ถอยออกจากร่างกาย เข้าไปกราบพระท่าน ก็มีพระอยู่พระใหญ่ ๒-๓ องค์ จริง ๆ แล้ว ๒ องค์ ท่านอยู่เป็นประธาน แล้วต่อมาท่านก็มาอีก รวมทั้งหมด ๒๘ องค์ กราบท่าน ก็คุยกับท่านว่า สถานที่นี้เต็มไปด้วยความสุขสำราญ สุขไม่มีทุกข์ อารมณ์เบาต่างๆ ท่านก็ยอมรับ ก็กราบเรียนถามท่านว่า อยากจะอยู่ตรงนี้

    ท่านก็ตอบว่าเธอนะมีสิทธิ์อยู่แน่ แต่กาลเวลายังไม่ถึง ขอให้ถึงกาลเวลาก่อน ก็กราบเรียนท่านว่า ไม่ได้รุกล้นเวลา ตามที่ปรารถนาก็คิดว่าถ้าบังเอิญร่างกายมันพังวันนี้ ก็ขออยู่บนนี้ ท่านก็ยอมรับ ท่านบอกว่าร่างกายมันพังจริงก็อยู่ได้เลย แต่ฉันคิดว่ามันจะไม่พัง

    ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าร่างกายมันจะต้องดีขึ้น งานข้างหน้ายังมีอยู่มากงานที่ให้ทำยังมีอีกเยอะ ต้องทำเพื่อความสุขของบรรดาปวงชนผู้นับถือพระพุทธศาสนา เวลาเขาเข้ามาในเขต ๑. ให้มีความสุขตามสมควร ประการที่ ๒ เป็นการช่วยกำลังใจให้เกิดความเลื่อมใส

    อันนี้มีความจำเป็นต้องทำ ที่ให้เธอทำเพราะ เธอมาจากพุทธภูมิ งานนี้เป็นงานของพุทธภูมิ เธอต้องรับภาระ ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ภาระอันนี้รับมานานแล้ว ไม่เบื่อ พร้อมที่จะทำ แต่ขอให้ร่างกายดี ท่านก็ยืนยันบอกว่า ร่างกายต้องดี จากนี้ไปมันมีทุกขเวทนาเครียดอีก ๒-๓ วัน ท่านบอกเลย อาการอย่างนี้จะปรากฏอีก ๒-๓ วัน เมื่อถึงวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๓๒ อาการจะคลายตัว หลังจากวันที่ ๑๖ ไปแล้วจะคลายเรื่อย ๆ ไป

    แต่คำว่า หายเลย มันยังไม่หาย เพราะว่า กฎของกรรมยังมีการบังคับอยู่ จึงอยู่ในขอบเขตแต่เบาขึ้น ก็ชื่นใจ คุยกับท่านครู่หนึ่ง ก็หันมานั่งอยู่ที่บ้านพักเห็นบ้านพักเต็มไปด้วยความสวยสดงดงาม มันสวยมากขึ้นกว่าเก่าเยอะ มีอาการวิจิตพิสดารมาก ก็มีความสดชื่น มีความสุข มีความสงัด

    เวลานั้นก็ปรากฏว่า มีคนหลายคนในแดนนั้น เปล่งปลั่งสวยสดงดงาม ผู้หญิงบ้าง ผู้ชายบ้างต่างก็มาเยี่ยม เขาไม่ได้มาเยี่ยมใครเขามาเยี่ยมความมุ่งหมายอันดับสุดท้าย เขาดีใจว่าอันดับสุดท้ายจะได้อยู่ที่นี่เหมือนกัน เพราะเขาอยู่ในเขตนี้

    ท่านพวกนี้ก็เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นภรรยาเก่าบ้าง เป็นพี่น้อง เป็นน้องบ้าง เป็นลูกบ้างเยอะแยะ ทุกคนมีความสุข สักประเดี๋ยวหนึ่งก็ปรากฏว่า พระท่านมาตั้ง ๒ องค์ ท่านมาถึงก็ประทับบนแท่น แท่นนี่ไม่ได้ตั้งไว้นะบรรดาท่านพุทธบริษัท ในแดนนั้นมีอะไรพิเศษอย่างหนึ่ง ถ้าสิ่งใดที่ควรสิ่งนั้นมันจะเกิดเอง ทันทีทันใด อย่างถ้าจะนั่งตรงไหน เราจะนั่งกับพื้นนี่ เขาบอกว่าไม่ควร ต้องมีแท่นรับ แท่นจะขึ้นมารับ

    เมื่อท่านมาถึงท่านก็บอกว่า เราไปเที่ยวสำนักพระยายมกันเถิด เพราะเวลานี้มีบุคคลสำคัญที่เราจำเป็นต้องช่วยไปอยู่ที่นั่น ถามท่านว่า ใคร ท่านบอกว่า ไปเถิดฉันจะไปด้วย ก็เป็นอันว่า ทั้งหมดก็ยกขบวนกันมาสำนักพระยายม มาถึงก็ปรากฏว่า

    คณะท่านท้าวมหาราช ท่านมาเตรียมอยู่แล้ว พอเข้าไปถึงที่นั่น ท่านพระยายมท่านก็ละงานของท่าน ออกมารับพระ แล้วท่านกราบ แล้วท่านก็รายงานบอกว่า วันนี้มีคนสำคัญ ๒ คน ที่ท่านเข้ามาในสำนักของท่าน แต่ความจริงไม่น่าจำเป็นจะต้องผ่าน แต่ก็ต้องผ่าน เพราะเกิดอุปกิเลส

    ถามท่านใคร ท่านก็บอก ประเดี๋ยวก่อน ท่านก็สั่งให้เจ้าหน้าที่บอกไปนำคนนั้นเข้ามา ลัดคิวมาเลย ไม่ต้องรอคิว การสอบสวนนั้นเขาต้องรอคิว บุคคลนั้นเข้ามาก็ปรากฏว่าเป็นคนหนุ่ม หนุ่มมาก อายุประมาณ ๒๐ ปีเศษ ๆ เป็นคนขาวโปร่ง หน้าตาดี ถ้าเดา ๆ นะ ความจริงถ้าไม่เจอะหน้าก็จะเดา คิดว่ามีเชื้อจีนนิด ๆ แต่ดูพ่อแม่ของเธอก็เป็นคนขาว เป็นคนโปร่ง คงไม่ใช่เชื้อจีน

    พอเข้ามาถึงแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ไม่ทำการสอบสวน ไม่เหมือนคนอื่น เขาส่งมาให้พระยายมเลย พระยายมก็ส่งออกมานอกคอก ที่พวกเรานั่งกัน พระท่านนั่งกันเธอก็ก้มลงกราบพระ แล้วก็มากราบอาตมา และกราบทุก ๆ ท่าน กราบรวม ที่มาอยู่ที่นั้น เพราะที่นั่นตั้งแต่จาตุมหาราชขึ้นไปเป็นเทวดาทุกชั้น

    พระยายมท่านก็ถาม ท่านบอกว่า เธอน่ะ เวลาตายไม่ได้นึกถึงพระรึ เธอคนนั้น ก็ตอบว่า ไม่ได้นึกถึงขอรับ ท่านถามว่าทำไมจึงไม่นึกถึง ก็เธอตั้งใจจะเป็นพระใช่ไหม เธอก็ตอบว่า ตอนต้นตั้งใจนะเป็นพระครับ ก็เลยถามทวนถอยหลัง อาตมาถามแทรกนิดหนึ่ง บอกว่าขอให้เธอเล่าประวัติความเป็นมาซิ

    เธอก็เล่าประวัติความเป็นมาว่า เธอมีอายุ ๒๓ ปี ตั้งใจจะบวช พ่อกับแม่เตรียมเครื่องครบชุดแล้ว อีก ๒ วัน จะถึงพิธี เขาอุปสมบท เธอก็ตั้งใจแน่วแน่ว่า จะบวชสัก ๑ พรรษา เป็นอย่างน้อย หรือมิฉะนั้นก็ถึง ๓ พรรษา ถ้าสามารถบวชได้ตลอด ก็จะบวชตลอด พ่อแม่ก็อนุญาตแล้ว

    ที่กะไว้น้อย ก็หมายความว่า กะไว้น้อย จะตั้งหน้าตั้งตาทำความดีให้มาก คิดว่า พรรษาแรก จะเป็นพรรษาฝึกฝนตนเองให้ตั้งอยู่ในขอบเขตของพระธรรมวินัย ถ้าสามารถทรงตัวได้ก็จะอยู่ถึง ๓ พรรษาไปแล้ว ถ้าไม่สึก จิตใจเต็มเปี่ยมเต็มใจในการอยู่ มีธรรมปีติพอสมควรก็จะอยู่ตลอดชีวิต เธอตั้งใจไว้อย่างนั้น

    แต่ว่าก่อนจะตายจริง ๆ ออกไปทางหลังบ้าน ไปเพื่อจะหาเพื่อน เวลานั้นถูกงูเห่ากัด งูเห่ากัด พิษมันแล่นเข้าทางกาย มันเจ็บปวดมาก เธอบอกอย่างนั้น ตอนนั้นไม่ได้นึกถึงอะไรเลย อาการที่คิดว่าจะบวช ก็ไม่ได้นึกถึง พระก็ไม่ได้นึกถึง มันมีแต่ปวดอย่างเดียว

    ในเมื่อมันมีแต่ปวดอย่างเดียว รักษาเท่าไรก็ไม่หาย ในที่สุดไม่ช้าก็ตาย ไม่ทันข้ามคืน เธอก็ตาย เวลาที่ตายก็ปรากฏว่า พบคน ๔ คน นุ่งแดง ห่มแดง เธอก็ชี้ไปที่เทวดา ๔ องค์ ก็เลยบอกว่า ท่านทั้ง ๔ องค์นี้ไปรับครับ เวลาไปรับท่านก็รับด้วยดี ให้เดินตามมาเฉย ๆ ไม่มีการบังคับ ไม่มีการข่มเหง มาถึงก็มารอการสอบสวนอยู่ที่นี่ ๓ วันของมนุษย์ แล้วพระคุณเจ้าก็มา

    วันนี้ผมดีใจมาก จิตใจผมอยากจะบวชพระ แต่ผมก็ไม่ได้บวช แต่วันนี้ผมได้โอกาสได้มนัสการพระที่มีความสำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนาถึง ๒ องค์ ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ตัวอาตมานะ มีพระอีก ๒ องค์ที่มีความสำคัญมากในพระพุทธศาสนา เธอหันไปกราบ พระท่านก็ยิ้ม

    แล้วเธอก็บอกว่า ถึงแม้ว่าเขาจะนำไปไหน ก็พร้อมจะไปขอรับ ในเมื่อได้มีโอกาสได้กราบพระที่มีความสำคัญตามความตั้งใจแล้ว พระยายมก็บอกว่า อานิสงส์ในการบวชของเธอมี การเข้ามาที่นี่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปนรกทุกคน เป็นดินแดนที่ช่วยคนไม่ต้องการให้ลงนรก

    ถ้าใครคนใดคนหนึ่งนึกถึงบุญอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้แต่อย่างเดียวได้ ที่นี่ก็ปล่อยให้ไปสวรรค์ก่อน หลังจากนั้นพระยายมก็บอกว่า ต่อแต่นี้ไปหมดภาระของฉัน หน้าที่แห่งการควบคุมเธอไม่มี ต่อนี้ไปเธอเป็นอิสระ ไปได้ตามกำลังบุญของเธอ

    บรรดาท่านพุทธบริษัท พอพระยายามพูดเท่านั้น ร่างกายของเธอเปลี่ยนทันที เปลี่ยนจากความเป็นคนเป็นเทวดา มีความสวยสดงดงามมาก มีชฎาแหลมเปี๊ยบทรวดทรงดี หน้ายิ้มแย้มแจ่มใสมีความสดชื่น

    หลังจากนั้นไป ก็มีเทวดา ๔ องค์ ๔ องค์ต่างหาก แต่งตัวงามมาก มีชฎาพร้อมแพรวพราวเป็นระยับ ก็นำเธอไปส่งที่วิมานของบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก เวลานั้นพระท่านก็ไปด้วย ทุกคนก็ไปเทวดาก็รู้สึกแห่ไปเป็นขบวน วิมานของเธอกว้างใหญ่ไพศาลมามีความสวยสดงดงามเป็นพิเศษ

    หลังจากนั้นเมื่อกิจการเรียบร้อยแล้ว พระท่านก็กลับ ถามพระท่านบอกว่าคนที่คิดจะบวช แต่เขายังไม่ได้บวช อารมณ์นี้เป็นมหากุศลใช่ไหม ท่านก็ตอบว่า ใช่ กราบเรียนถามท่านว่า อานิสงส์การอุปสมบทบรรพชาเขาจะได้ไหม

    ท่านก็ตอบว่า อานิสงส์อุปสมบทบรรพชานี้ เขาได้สมบูรณ์แบบ กราบเรียนท่านว่า ด้วยความสงสัยจริง ๆ ความสงสัยจริง ๆ ไม่ได้พูดกับท่านนะ นี่พูดให้ท่านทั้งหลายฟังว่า อาตมานี่สงสัยว่าคนมันยังไม่ได้บวช จะได้อานิสงส์บรรพชาครบถ้วนเหมือนคนบวชไหม

    ท่านบอกว่า ได้ครบ เขาตั้งใจว่าจะบวช แล้วเขาก็มีการเตรียมการแล้วทุกอย่าง ตลอดจนกระทั่งการตัดสินใจ เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าบวชปีแรกจะทำให้ดีที่สุด ถ้าดีสมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว จะอยู่ให้ครบ ๓ ปี ดีสมบูรณ์บริบูรณ์แล้วจะอยู่ตลอดชีวิต

    เขาตัดสินใจเด็ดขาดนี่ถือว่าบวชใจแล้ว บวชแต่ร่างกาย แต่ใจไม่บวชนี่ ลงนรกนับไม่ถ้วน แต่คนที่บวชใจ ร่างกายยังไม่บวชไปสวรรค์ ไปนิพพานนับไม่ถ้วนเหมือนกัน เมื่อท่านตรัสอย่างนั้นก็หมดสงสัย

    ก็รวมความว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เรื่องนี้ก็ไม่ต้องคุยกันมาก เป็นแต่เพียงบอกว่า คนที่ตั้งใจจะทำบุญ ทุกคนตัดสินใจแล้วว่า ทำบุญ อานิสงส์ย่อมได้ อย่าง เปสการีธิดา เธอทำบุญแล้ว คนนั้นทำบุญแล้ว แต่ สาตกีเทพธิดา เตรียมแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำบุญ ตายจากความเป็นคนเป็นนางฟ้าทันที มีวิมานอยู่ทันที

    สำหรับคนที่ตั้งใจจะบวชก็เหมือนกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท เขาพร้อมแล้วในการบวช แต่ไม่ใช่สักแต่คิดว่าจะบวช และการบวชไม่ได้บวชตามประเพณี การบวชตามประเพณีนี่ไม่แน่ในอานิสงส์ ตัดสินใจตามนี้แล้ว พระท่านบอกว่า อานิสงส์สมบูรณ์แบบ นี่เป็นรายที่หนึ่ง

    ต่อมาพระท่านก็บอกว่า กลับไปที่เดิมใหม่ ไปที่สำนักพระยายมก็กลับมาอีก เวลานี้เวลาเหลืออีก ๘ นาที บรรดาท่านพุทธบริษัท เมื่อถึงแล้ว พระยายมก็รายงานบอกว่า ยังมีคนที่มีความสำคัญอีกคนหนึ่ง ก็เรียนถามท่านบอกว่า เธอคนนั้นเป็นใคร ท่านก็นำเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ขาวโปร่ง รูปร่างหน้าตาดี อายุ ๔ ขวบ ออกมา

    ท่านบอกว่า เด็กหญิงคนนี้ เป็นโรคท้องร่วงตาย ตายเมื่อวานนี้เอง เพิ่งตายใหม่ ๆ อยู่ไม่ไกลนัก ถามท่านบอกว่า มีความสำคัญอย่างไร ท่านบอกว่า เป็นหน้าที่ของพระท่านจะบรรยาย เมื่อนำเด็กหญิงคนนี้มาแล้ว เด็กหญิงคนนี้มาก็เข้าไปไหว้พระท่าน เธอไหว้เรียบร้อยจริยาดีมาก สงบเสงี่ยมเรียบร้อย แล้วหันมาไหว้อาตมา พร้อมกับไหว้เทวดาทั้งหลาย

    หลังจากนั้นก็ถามเด็กหญิงคนนั้นว่า หนู เกิดที่ไหน เธอก็ตอบว่า เกิดไม่ไกลจากวัดท่านเท่าไรเจ้าค่ะ ระยะทางไม่เกิน ๑๐๐ กิโลเมตร ความจริงเธอบอกจังหวัด บอกบ้านที่อยู่เหมือนกับบรรดาท่านพุทธบริษัท แต่ว่าตามระเบียบ เสียงมาบอกว่า สงวนไว้ อย่าบอกที่อยู่แน่นอน เราไม่ใช่พระโมคคัลลาน์ ก็เป็นอันว่า ถามว่า หนูเป็นโรคอะไรตาย เธอบอกว่า เป็นโรคท้องร่วงตาย ถามว่าหนู ขณะที่ตาย หนูคิดอะไร เธอตอบว่า หนูเคยไปถวายสังฆทานกับแม่ หนูเคยไปเจริญกรรมฐานกับแม่

    พอเธอพูดเท่านี้ก็ตกใจ แล้วนึกขึ้นมาได้ นึกเป็นภาพเด็กเล็ก ๆ อายุประมาณ ๔ ปี ท่าทางสุภาพเรียบร้อย ทำงานทุกอย่างทุกสิ่งเรียบร้อยมาก แต่ทุกอย่างที่ทำออกมาและทุกอย่างปกติหมด ไม่มีอะไรต้องเตือนกัน ยังคิดว่าหนูน้อยคนนี้ทำไมอายุน้อยนัก

    ก็ถามว่า เวลาหนูจะตายหนูคิดอะไร เธอบอกว่า ขณะก่อนป่วย ชอบเจริญกรรมฐาน ไปเที่ยวโน่นไปเที่ยวนี่ แต่เวลามันป่วยจริง ๆ ก็นึกไม่ออก ท้องมันเดินมาก มันร้อนในท้อง แล้วก็ปวดท้องมาก จิตก็คิดอยู่แค่ปวดท้องอย่างเดียว

    เมื่อถึงเวลาจะตาย ได้ยินเสียงตึงตังโครมครามตกใจนิดหนึ่ง จิตก็ออกจากร่าง เห็นลุงทั้ง ๔ องค์ไปยืนยัน ลุงคนหนึ่งจำนวน ๔ องค์ เขาอุ้ม บอก หนู ไปกับลุงเถิด ลุงจะมารับไป ลุงใจดี ลุงอุ้มหนู หนูก็กอดคอลุง ลุงก็นำมาหาลุงใหญ่ แล้วลุงใหญ่ให้ไปพักตรงโน้น

    ในกลุ่มคน กลุ่มคนที่พัก ไม่ใช่พักแบบทรมานคือไม่มีโซ่ ไม่มีตรวน เป็นอิสระทุกอย่าง มีความสุขพอสมควร แต่ไม่มีอาหารการกิน ก็ถามพระท่านว่า เด็กคนนี้มีความสำคัญหรือ ท่านบอกว่า มีความสำคัญมาก เพราะเด็กคนนี้ถ้าอยู่ต่อไปเบื้องหน้า ถ้าอยู่เป็นมนุษย์นะ ก็จะสามารถตัดสังโยชน์ ๕ ได้

    ฟังแล้วอายเด็ก ว่า ไอ้หนูน้อยตัวเล็ก ๆ เท่านี้ ต่อไปเบื้องหน้า เธอจะตัดสังโยชน์ได้ รูปร่างหน้าตาเธอก็สวย ทรวดทรงดี แต่ว่าที่จำเป็นต้องตายนี้ เพราะบุญช่วยให้ตาย พอท่านตรัสแบบนั้นก็ตกใจ จึงกราบเรียนถามว่า เป็นเพราะอะไร บุญช่วยอาจจะมีชีวิตอยู่นาน ท่านก็บอกว่า บุญช่วย บุญ คือที่สามารถจะตัดสังโยชน์ได้ มันมี ๒ ประการ คือว่า ๑. อานิสงส์เต็มพร้อมในการตัดสังโยชน์ และประการที่สอง เธอขาดอธิษฐานบารมี

    ถ้ามีอธิฐานบารมี หวังตั้งใจเพื่อนิพพานมาในชาติก่อนไว้เสมอ ๆ เธอจะยังไม่ต้องตาย เพราะว่าเธอจะสามารอยู่ตัดสังโยชน์ได้ แต่ว่าเธอขาดอธิษฐานบารมี ในเมื่อขาดอธิษฐานบารมี รูปร่างหน้าตาเธอก็สวย ทรวดทรงก็ดี จริยาก็เรียบร้อย ฐานะบิดามารดาก็ดี ย่อมเป็นที่ต้องตาต้องใจของคน ฉะนั้นกามคุณสามารถจะเบียดเบียนเธอ ซึ่งจะไม่สามารถมีโอกาสเข้าตัดสังโยชน์ได้ ในเมื่อบุญใหญ่เห็นว่ามีความสำคัญอย่างนี้เข้ามาตัดให้เธอตาย ถามว่าเธอตายเสียแล้ว เธอสามารถจะตัดสังโยชน์ ๕ ประการใช่ไหม

    ท่านก็บอว่า ตัด ๕ ได้แล้ว ก็ตัด ๑๐ ได้ด้วย เพราะอะไร เพราะการเกิดเป็นเทวดาหรือเป็นพรหม หรือนางฟ้าก็ตาม มีโอกาสที่จะบำเพ็ญกุศลต่อ เทวดากับพรหมนี่ฟังเทศน์จากพระอริยเจ้าก็ตาม ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าก็ตาม บรรลุมรรคผลนับไม่ถ้วน มากกว่าคน เด็กคนนี้ตายเพราะกำลังกุศลสนับสนุน จึงมีความจำเป็นต้องมารับ

    และการมารับวันนี้ก็มาครบถ้วน อย่างฉันเป็นต้นศาสนา (ตัวท่านนะ ไม่ใช่อาตมานะ) ก็มารับ พระอริยสาวกที่เป็นอรหันต์ก็มามาก เป็นอาตมาก็มีเยอะ เป็นสกิทาคามีก็เยอะ เป็นโสดาบันก็เยอะ เป็นเทวดาหรือพรหม ฌานโลกีย์ก็มาก รวมความว่ามาพร้อมกันทั้งหมด อย่างนี้บุญเธอใหญ่จึงต้องมากัน ในเมื่อเธอเป็นนางฟ้าก็ตาม เป็นเทวดาก็ตามเธอต้องเป็นนางฟ้า บุญบารมีนี้จะส่งผลให้เธอเป็นคนที่ไม่ประมาทสามารถปฎิบัติตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานได้

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็มาพูดเรื่องความตายอีก แต่ตายดี คนแรกตั้งใจบวช ตายแล้วก็ดี เด็กน้อยคนนี้แม้จะเป็นเด็กเล็ก เคยเห็นถวายสังฆทานเป็นปกติ มากับแม่ ขอเดี่ยว หมายความว่า ต้องขอเป็นอิสระ

    พ่อกับแม่ถวายแล้วเธอต้องถวายเป็นส่วนตัว และเด็กหญิงคนนี้เจริญกรรมฐานคล่องมาก เคยเรียกมาถาม จำหน้าได้ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ไม่เกิน ๑๐๐ กิโลเมตร เคยเรียกมาถามเธอ เวลานั้น มีวันหนึ่ง มีคนเขาเกิดสงสัย ในการเห็นนั่นเห็นนี่ เห็นสวรรค์ นรก สงสัยสวรรค์ นรก พรหมโลก ตายแล้วเกิดจริงไหม ก็เลยเรียกเด็กคนนี้มาถาม เธออธิบายได้คล่องมาก ถามเธอถึงเรื่องวิธีปฏิบัติ เธอได้อะไรบ้างเล่าให้ฟังซิ เธอก็เล่าให้ฟัง ตามที่เธอพบมาทุกอย่างเป็นเหตุให้ผู้ใหญ่คนนั้นหรือคณะนั้น หมดสงสัยหรือเพิ่มสงสัยก็ไม่ทราบ

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง จะพูดต่อไปก็ไม่ไหวแล้ว ขอทุกท่านถือว่า การปฏิบัติตามที่ผ่านมาแล้วนี่นะ เรื่องที่กล่าวมาแล้วนี้เป็นประโยชน์ หากท่านจะนำไปใช้บ้างก็จะดี ในที่สุดนี้เวลาเหมือไม่ถึงครึ่งนาที บรรดาท่านพุทธบริษัท ต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี
     
  6. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๘๗.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๘
    โดย
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(วีระ ถาวโร) หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
    คัดลอกจากไฟล์ "อริยบุตรหนังสือธรรมะ"


    สารบัญ
    ๑.คำปรารภ
    ๒.วิหาร ๑๐๐ เมตร
    ๓.จุไรท่องดวงพระจันทร์
    ๔.จุไรท่องดวงจันทร์ (ตอนที่ ๒)
    ๕.จุไรกับราคาวัดท่าซุง จุไรถามสร้างวิหาร ๑๐๐
    ๖.จุไรถามสร้างวิหาร ๑๐๐ เมตร (ต่อ)
    ๗.ในวิหาร ๑๐๐ เมตร
    ๘.ความเป็นมาของมณฑปหน้าวิหาร ๑๐๐ เมตร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2019
  7. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑.คำปรารภ

    ท่านผู้อ่านโปรดทราบ หนังสืออ่านเล่นเล่ม ๘ นี้ ก็คงมีความมุ่งหมายให้เป็นหนังสืออ่านเล่นตามเดิม ไม่ใช่ตำราเรียน เรื่องราวต่าง ๆ ที่มี จุไร เป็นตัวแสดง และมีคุณป้าน้อย เป็นตัวพี่เลี้ยง โปรดทราบว่า จุไร และป้าน้อย ก็เป็นบุคคลของนิทาน ไม่มีตัวตนจริง เรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องของดวงจันทร์ก็ดี เรื่องสวรรค์ เทวดานางฟ้าก็ดี เป็นเรื่องของนิทาน แต่ทว่า เรื่องของวิหารหรืออาคารต่าง ๆ เป็นเรื่องจริง ที่นำมาเป็นนิทานก็เพื่อให้ผู้อ่านไม่เครียดเกินไป

    เพราะถ้าจะเล่าความเป็นมาของวัดเนื่องในการก่อสร้าง ผู้อ่านก็จะเบื่อและเครียด จึงนำมาร่วมกับนิทาน จะได้อ่านแบบอ่านนิทาน ไม่หนักอารมณ์ เรื่องความเป็นมาของราคาก่อสร้าง รวมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เป็นเรื่องจริง นอกนั้นเป็นเรื่องนิทานทั้งหมด ขอให้อ่านแบบอ่านนิทาน คือ อ่านแล้วก็ผ่านไป

    ในที่สุดนี้ ขออวยพรให้ท่านผู้อ่าน จงร่ำรวย มีความสุขสมหวังตามที่ตั้งใจไว้จงทุกประการเถิด


    ส.สังข์สุวรรณ

    ๑๒ ตุลาคม ๒๕๓๒
     
  8. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒.วิหาร ๑๐๐ เมตร

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ก่อนอื่นก็ขอแจ้งให้ทราบว่าตามธรรมดานิทาน ก็เป็นเรื่องจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ถึงแม้จะเป็นเรื่องจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ถึงแม้จะเป็นเรื่องจริง แต่หาหลักฐานไม่ได้ ก็ต้องบอกว่าเป็นนิทานคำว่า นิทาน โบราณท่านจะแปลว่าอะไรไม่ทราบ แต่อาตมาขอตีความหมายว่าเรื่องมาจากที่ไกล นั่นก็หมายความว่า ทบทวนกันได้ยาก แต่อาตมาขอตีความหมายว่า เรื่องมาจากที่ไกล

    นั่นก็หมายความว่า ทบทวนกันได้ยาก แต่ว่าต่อไปก็จะขอให้บรรดาพุทธบริษัทอ่านเรื่องจริง คือ มีเรื่องจริงในนิทานทั้งนี้ก็เพราะว่า ในระยะนี้มีข่าวทางโทรทัศน์หลาย ๆ ช่อง มาขอถ่ายภาพที่วัด แต่ละท่านต่างก็ประกาศด้วยความหวังดี มีบางรายหลายท่านประกาศบอกว่า เป็นวัดพันล้าน นั่นหมายความว่า การก่อสร้างวัดนี้ ใช้เงินถึงพันล้านบาท แต่บางแห่งท่านประกาศว่าเป็นวัด ๔ พันล้าน ฟังแล้วก็น่าปลื้มใจ

    บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เพราะว่า ราคาแพงดี และก็สามารถหาเงินสร้างได้อย่างดี แต่ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น เรื่องพันล้านก็ดี ๔ พันล้านก็ดี ที่พูดมานั้น ท่านประมาณตามราคาปัจจุบัน แต่ว่าวัดนี้นะ สร้างกันมาตั้งแต่เริ่มต้น

    คือว่า จริง ๆ แล้ววัดนี้ อาตมามาอยู่ใหม่ ๆ มีกุฏิอยู่ ๓ หลัง มีสภาพผุพัง มีดีอยู่หลังเดียว คือ กุฏิเจ้าอาวาส และเจ้าอาวาสก็ไม่ใช่อาตมาเป็นเจ้าอาวาส หอสวดมนต์เก่ามีอยู่ ก็โย้ใกล้จะล้ม ศาลาการเปรียญก็เย้ ใกล้จะล้ม วิหารก็พังโล่ หลังคาโปร่งฟ้า ไม่ใช่มองเฉย ๆ ไม่ใช่มองทะลุฝา หมายความว่า หลังคาพังมาเลยด้านหนึ่ง โบสถ์ก็แตกร้าว ถ้าพูดถึงว่า ค่าของวัตถุในเวลานั้น เกือบไม่มีค่า

    อาตมาอยู่ที่วัดนี้ ตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ ก็มาเริ่มช่วยสร้างหอสวดมนต์ ซึ่งเจ้าอาวาสตั้งเสาไว้ ๘ ปี (มีเฉพาะเสานะ ๘ ปี) การก่อสร้างในช่วงแรก ๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๑๖ ก็ไม่ได้ทำอะไรมาก ได้สร้างกระท่อมอยู่หลังหนึ่ง ที่โคนต้นโพธิ์ เวลานี้รื้อแล้ว ไปสร้างแบบไว้ในสระ แต่ว่าแบบในสระนั่นสวยกว่ามาก ต่อมาก็สร้างกุฏิตึกชายน้ำ ซึ่งความจริงก็สร้างหนีน้ำ เพราะทราบว่าน้ำจะท่วมสูง ถ้าขืนอยู่ในกระท่อมน้ำท่วมตาย สร้างตึกหลังนั้นก็ไม่มีทุน ทำแบบลวก ๆ ให้มันทันกับเวลาที่น้ำจะท่วม

    ต่อมาก็สร้างศาลาที่หลวงพ่อ ๔ องค์อยู่ เห็นศาลาเก่ามันโย้เย้มาก เกรงว่าจะพังลงมา ก็ทำแบบลวก ๆ อีกเหมือนกัน ราคาก็ไม่แพง และในช่วงหลังต่อมาก็สร้างห้องกรรมฐานข้างตึกชายน้ำ และก็สร้างตึกขาวด้านนอก หมายความว่า ตึกชั้นเดียว ไม่ใช่ ๔ ชั้น และก็ทางเป๊ปซี่ คือ คุณประสิทธิ์ ตัณฑเศรษฐี เวลานั้นเป็น รองผู้จัดการใหญ่ เวลานี้เป็น ผู้จัดการใหญ่ นำผ้าป่ามาทอด มาขุดน้ำบาดาลให้แสนเศษ ประมาณแสนสาม และต่อมาท่านก็นำผ้าป่ามาช่วยในการสร้างศาลาอีกแสนห้า แต่ยอดเงินไม่แน่นอนนะ จำไม่ค่อยได้ ไม่ได้เอาตำรามาอ่าน

    ก็รวมความว่า ใช้เวลา ๖ ปี ไม่เต็ม ๖ ปีนัก ก็ใช้เงินไปจริง ๆ ประมาณ ๔ แสนเศษ และก็สร้างอาคารเสริมศรีอีกหลังหนึ่ง เนื้อที่ของวัดจริง ๆ เวลานั้นหรือเวลานี้ก็เหมือนกัน เป็นเนื้อที่ของวัดเดิม ๖ ไร่ แต่ว่าเวลานี้ญาติโยมซื้อถวายเข้ามาแล้ว ๒๐๐ ไร่เศษ

    การก่อสร้างจริง ๆ มาเริ่มกันจริง ๆ พ.ศ. ๒๕๑๗ เพราะว่าเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ท่าน ดร.เดือน บุนนาค อดีตรองนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาค สองสามีภรรยากับคณะ นำพระพุทธรูปองค์หนึ่งมาถวาย เป็นพระประธานในพระอุโบสถปัจจุบัน และท่านก็ให้เงินไว้หมื่นบาท เป็นทุนเริ่มต้นสร้างพระอุโบสถ และงานจริงจังที่จะทำการก่อสร้างจริง ๆ เป็นเงินเป็นทองขึ้นมา คือ ใช้เงินใช้ทองมาก ก็เริ่มจากปีนั้น

    แต่ทว่าบรรดาผู้ฟัง หรือท่านผู้อ่านทั้งหลายโปรดทราบ ก็เริ่มจากปีนั้น แต่ทว่าบรรดาผู้ฟัง หรือท่านผู้อ่านทั้งหลายโปรดทราบ ราคาของในระยะนั้น มันยังไม่แพง ความจริงมันก็แพงขึ้นมาก อย่างไม้แป (ไม้ยางหน้าสามคุณหนึ่งนิ้วครึ่ง) เวลานั้นศอกละ ๙๐ สตางค์ แต่เดี๋ยวนี้ศอกละ ๑๒ บาท เหล็ก ๔ หุน เวลานั้น เส้นละ ๒๐ บาท เวลานี้เส้นละ ร้อยกว่า ก็ลองเทียบราคากัน

    ฉะนั้น ราคาที่บรรดาท่านทั้งหลายประกาศออกไปว่า พันล้านบ้าง ๔ พันล้านบ้าง ก็ถือว่า เป็นราคาประเมินปัจจุบัน แต่ความจริงไม่ตรง ค่าใช้จ่ายจริง ๆ จ่ายประเภทสร้างจริงจัง เริ่มตั้งแต่ปี ๒๕๑๗ ถึงสิ้นเดือนสิงหาคม ๒๕๓๒ จ่ายไปทั้งหมด (ค่าใช้จ่ายนะ ไม่ใช่เฉพาะก่อสร้างนะ) เรียกว่า จ่ายทุกอย่าง

    ขึ้นชื่อว่า เป็นการจ่ายก็ลงบัญชีหมด จะกินจะใช้ เครื่องมือเครื่องไม้ก็ตาม เดินทางก็ตามทั้งหมดชื่อว่า จ่าย จ่ายทุกประเภททั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะก่อสร้างรวมยอดที่จ่ายจริง ๆ ๓๕๓,๓๒๗,๔๖๙ บาท ๓๖ สตางค์ นี่บัญชี เขาจดเรียบร้อย

    ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า จ่ายจริง ๆ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๗ ถึงเดือนสิงหาคม ๒๕๓๒ จ่ายไปแล้วทั้งสิ้น ในการก่อสร้างบ้าง กินบ้าง ใช้บ้าง เดินทางบ้าง ป่วยไข้ไม่สบายบ้าง ทุกอย่างในการจ่ายค่าอาหารพระบ้าง กระแสไฟฟ้าบ้าง ทั้งหมด ๓๕๓,๓๒๗,๔๖๙ บาท ๓๖ สตางค์ ก็เป็นอันว่า ไม่ถึงพันล้าน

    ทีนี้มาว่ากันถึง การรับเงิน เงินนี่ ได้มาจากไหน ก็ต้องขอบอกว่า บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายถวายมาเพื่อการก่อสร้างจริง ๆ ๑๙๗,๘๓๔,๙๙๓ บาท ๗๕ สตางค์ ถ้ารับตามนี้ จ่ายตามนี้ละก็ขาดดุลไป ๑๕๕,๔๙๒,๔๗๕ บาท ๖๑ สตางค์ แต่ความจริง เงินขาดดุลนี้ไม่ใช่เงินเอามาจากไหน ก็เป็นเงินที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทผาติกรรมสังฆทานบ้าง บริจาคเรื่องวัตถุมงคลบ้าง และทำบุญไม่จำกัดประเภทบ้าง

    คือ วางเฉย ๆ มาถึงก็ใส่บาตรบ้าง มาถึงก็ประเคนบ้าง ใส่ซองประเคนบ้าง ไม่บอกว่า ทำบุญอะไร เอามารวมกัน และอีกส่วนหนึ่งก็คือถวายไว้ใช้ส่วนตัว ว่า ส่วนนี้ขอถวายหลวงพ่อไว้ใช้ส่วนตัว รวมเงิน ๔ ประเภท คือ ๑. สังฆทาน ๒. วัตถุมงคล ๓. ทำบุญไม่จำกัดประเภท ถวายเฉย ๆ และ ๔. ถวายไว้ใช้ส่วนตัว

    รวมแล้วได้เงิน ๑๕๕,๔๙๒,๔๗๕ บาท ๖๑ สตางค์ ทั้งหมดนี้ว่ากันถึงสิ้นสิงหาคม ๒๕๓๒ ไม่มีหนี้สิน เป็นอันว่าในช่วงนี้ไม่มี ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าอาตมาใกล้ตายเต็มที เวลานี้งานจริง ๆ ก็ทำแบบเรียกว่า พอไปได้ ค่อย ๆ พาย ค่อย ๆ แจว ค่อย ๆ ถ่อ บางครั้งก็ถึงขั้นปักหลัก หยุดเฉย ๆ ก็มี ถ้าเงินไม่พอจ่าย จะมากเกินไปก็หยุดพักชั่วคราวบ้าง ผ่อนช่างเสียบ้าง เวลานี้รู้สึกว่างานช้าลง เพราะเกรงว่า ถ้าตายในช่วงที่มีหนี้มาก ๆ จะเป็นภาระหนักกับบรรดาพระสงฆ์ที่อยู่รับภาระเบื้องหลัง

    ทีนี้ก็มาคุยกันเรื่อง วิหาร ๑๐๐ เมตร วิหาร ๑๐๐ เมตรนี่ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทหรือหลาย ๆ ท่านสงสัยเหลือเกินว่าสร้างขึ้นมาได้อย่างไร มีหลายท่านพยากรณ์ราคา (เอา ราคาเยอะเสียอีกแล้ว) บางท่านถามว่าถึง ๑๐๐ ล้านไหมครับ บางท่านถามว่าถึง ๗๐ ล้าน ไหมครับ บางท่านก็ถามว่าถึง ๓๐ ล้าน ไหมครับ แต่ท่านที่ถามว่า ๓๐ ล้าน บอกว่าสร้างไม่ได้แน่ แต่อาตมาก็ขอบอกว่าทั้งหมดจริง ๆ ราคา ๑๐ ล้านเศษ ไม่ใช่ ๓๐ ล้าน ไม่ใช่ ๑๐๐ ล้าน ไม่ใช่กี่ร้อยล้าน ไม่ใช่อย่างนั้น

    ราคาจริง ๆ ๑๐ ล้านเศษ ๆ เฉพาะตัวอาคารที่เป็นคอนกรีตทั้งหมด รวมช่อฟ้า หน้าบัน พระพุทธรูป อะไรต่ออะไรหมดเสร็จ ไม่เกิน ๗ ล้านบาท และก็ค่าหินอ่อนอีก ๑,๒๖๔,๓๔๑ บาท ค่ากระจกที่ปิด ๔,๔๗๗,๗๘๕ บาท รวมค่าหินอ่อน กับค่ากระจกก็ ๕,๗๔๒,๑๒๖ บาท และต่อไปก็ค่าแรงงานอีกไม่มากนัก เพราะแรงงานนี่ เอาคนใกล้ ๆ ตำบลนี้มาทำงานกัน

    เป็นอันว่า ช่างก่อสร้าง ๓ ช่าง ๓ กลุ่ม หัวหน้าจบ ดุษฎีบัณฑิตประถม คำว่า ดุษฎีบัณฑิตประถม ก็เพราะว่า ในสมัยนั้นวิชาการที่บังคับให้เรียนในโรงเรียน บังคับจบกันแค่ ป.๔ ฉะนั้นทั้ง ๓ ช่างนี้ จบ ป. ๔ ทั้งหมด เรียกว่า เรื่องประถมนั้นไม่ต้องเรียนกันอีก เป็น ดุษฎีบัณฑิต ไปเลย เขาเรียกว่า ดุษฎีบัณฑิตประถม

    และสำหรับช่างปั้น ช่างทำความสวยงาม คือ นายประเสริฐ แก้วมณี กับนางจำเนียร แก้วมณี ภรรยา สามีเป็นช่างปั้น ภรรยาเป็นช่างประดับ ทั้ง ๒ คนนี้ เก่งมาก ก็จบชั้นเดียวกันคือ ป.๔ เหมือนกัน เป็นอันว่า ช่างที่นี่เป็น ช่าง ป.๔ และเจ้าอาวาสเองก็เป็นคนจบ ป. ๔ เหมือนกัน

    ทีนี้มาว่าถึงการเริ่มต้น ในการสร้างวิหาร ๑๐๐ เมตร ขอเล่าตามความจริง นั่นก็คือว่า เดิมทีเดียว ไม่ได้คิดจะสร้างวิหาร ๑๐๐ เมตร ใหญ่โตมโหฬารแบบนี้ การสร้างมีอย่างนี้จะเล่าให้ฟัง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๘ กับ พ.ศ. ๒๕๒๙ สองปีนี่ อาตมาเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดหลายครั้ง อยู่ในขั้นที่เรียกว่า เข้าตรีฑูต หรือดีไม่ดีก็เป็นจตุฑูต

    ตรีฑูต แปลว่า สาม จตุฑูต แปลว่า สี่ แต่ฑูต ไม่ทราบว่าเขาเรียกว่าอะไร หมายความว่าอย่างไร อยู่ในสภาพที่เรียกว่าไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ แต่ว่าเวลานั้น ได้คุณหมอ คือ ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์ประสิทธิ์ ฟูตระกูล ท่านสงเคราะห์ให้การรักษาเป็นอย่างดี เมื่อมีทุกข์เมื่อไร หมอประสิทธิ์ถึงเมื่อนั้น ขณะที่ปัสสาวะไม่ออก มันคั่งหนัก ท้องโป่ง คุณหมอประสิทธิ์ก็วิ่งมาจากกรุงเทพฯ อุตส่าห์สวนให้

    ก็รวมความว่า ได้รับความเมตตาปรานีจากท่านมาก และก็อีกหลาย ๆ หมอ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๙ อาตมามีความรู้สึกว่า เราคงไม่รอดในปีนี้แน่ เพราะสภาพของร่างกายอยู่ในสภาพที่ใช้อะไรไม่ได้เลย ดูด้านประสาททั้งหมด หมดสภาพ จึงนั่งนึกถึงพระพุทธเจ้า

    แต่ความจริงเรื่องพระพุทธเจ้า นึกถึงท่านทุกวัน นึกถึงภาพพระพุทธรูปที่แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง บางครั้งก็ปรากฏเป็นนิมิตบ้าง ความชื่นใจก็ปรากฏ แต่มานึกในใจว่า เราอยากจะทำพระใหญ่ ๆ แต่ไม่ใหญ่มากนัก พอเป็นนิมิตใจให้หนัก เพื่อเกิดความชุ่มชื่น พระยืนสัก ๓๐ ศอก และก็พระนั่ง หน้าตักสัก ๘ ศอก ช่วงนั้นพระยืน ๓๐ ศอก สร้างแล้วกำลังสร้าง ไปคิดถึงท่าพระนั่ง เราจะมีเงินที่ไหนไปสร้าง

    ต่อมาก็มีท่านผู้มีศรัทธา คือ คุณสุชาดี มณีวงศ์ เจ้าของรายการกระจกหกด้าน ช่อง ๗ เวลาประมาณ ๑๙ นาฬิกาเศษ เป็นเวลาของท่านทุกวัน คุณสุชาดีนี่มาทำบุญหลายอย่าง ศรัทธาสูงส่งมากมีกำลังใจสูง แต่ทว่ามีเงินก้อนหนึ่ง ซึ่งเป็นเงินก้อนใหญ่มาก คือ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ท่านจัดเช็คมาถวาย

    ก็ถามเธอว่า ต้องการให้ทำอะไร คุณสุชาดีก็บอกว่า สุดแล้วแต่หลวงพ่อ ตามอัธยาศัย ทำอะไรก็ได้ ก็จึงบอกคุณสุชาดีว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อาตมาคิดจะสร้างพระหน้าตัก ๘ ศอก จะตั้งไว้ในเขตพื้นที่ ๑๐๐ เมตร ด้านหลัง จะทำแท่นสูง ๆ หน่อย แล้วก็จะทำหลังคา ๔ เสา มีหลังคามุงเป็นสังกะสี คิดว่าเงินแสนบาทคงพอ คุณสุชาดีก็บอกว่า ตามใจอะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอให้ทำก็แล้วกัน

    ต่อมา คุณจันทนา วีระผล ทราบข่าว ก็เซ็นเช็คให้อีก ๑๐๐,๐๐๐ บาท เป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท จะสร้างพระหน้าตัก ๘ ศอก อาตมาก็คิดว่า เอาละถ้าได้อีก ๑๐๐,๐๐๐ บาท แทนที่จะใช้หลังคาสังกะสี ก็ทำหลังคาให้มันดีสักหน่อย มีช่อฟ้า หน้าบัน เอาเล็ก ๆ ราคาก็ไม่แพงมากนัก ถ้าหากว่าไม่พอ มีญาติโยมทั้งหลายที่มีจิตเมตตาถวายเป็นส่วนตัว ก็จะร่วมด้วย คือต้องร่วมกันแน่ และขณะที่คิดว่าจะสร้างพระหน้าตัก ๘ ศอก และพระยืนสูง ๓๐ ศอก

    ก็นึกในใจว่า ขอพระได้โปรดเมตตา ถ้าร่างกายมันจะตายเวลานี้ ก็ให้มันตายไป เพราะกำลังใจจริง ๆ ไม่อยากจะอยู่ เพราะว่าร่างกายมันเต็มไปด้วยความทุกข์ แต่ถ้ามันยังไม่ตาย ก็ขอให้มีโอกาสได้สร้างพระหน้าตัก ๘ ศอก องค์หนึ่ง จิตใจจะได้ชุ่มชื่น นึกถึงพระ ใจก็สบาย

    ต่อมาเวลาไม่นานนัก ล่วงมา จำได้ว่า เดือนธันวาคม จะเป็น พ.ศ. ๒๕๒๙ หรือ ๒๕๓๐ จำไม่ได้แน่ มาดูป้ายที่หน้าวิหารก็แล้วกัน เวลานี้กำลังพูดนี่ กำลังป่วย ก็หารือกับพระท่านว่า สำหรับพระ ๘ ศอก เราจะสร้างที่ไหนกันดี จึงจะเหมาะ พระท่านก็บอกว่า ถ้าสร้างที่ร้อยไร่ มันลึกไปข้างหลัง และเป็นที่ลุ่ม ไม่ดี ทางที่ดีก็ซื้อที่ของ จ่าเพราะ ซึ่งติดกับหลังโรงพยาบาล เนื้อที่ติดกับวัด ถ้าซื้อที่ตรงนั้น และสร้างตรงนั้นจะเหมาะดีมาก ในเวลานั้นปรากฏว่า จ่าเพราะท่านกำลังขายกันอยู่

    เลยกราบเรียนกับพระท่านบอกว่า เขากำลังขายกัน มีคนมาขอซื้อ เขาขายไร่ละสี่หมื่น ถ้าคิดเป็นงานก็งานละหนึ่งหมื่น พระท่านก็บอกว่า ไม่เป็นไรหรอก ไปเรียกเขามาเถิด ฉันจะแนะนำให้เขาช่วย ก็ไปเชิญจ่าเพราะมา ท่านก็ดี ท่านบอกไอ้เรื่องจะขายไม่เป็นไรครับ ถ้าหลวงพ่อต้องการผมก็จะให้ทั้งหมด คือ ขายให้ และลดราคาลงจากไร่ละสี่หมื่นลงมาบ้าง และก็แถมถวายพิเศษ เนื้อที่ประมาณ ๓ ไร่เศษ ให้อีกด้วย ในพื้นที่นั้นก็เป็นอันว่า เนื้อที่ ๒๗ ไร่ จ่าเพราะคิดจริง ๆ ประมาณ ๒๔ ไร่ ก็ถือว่า ท่านเป็นนักบุญ

    เมื่อได้ที่มาแล้วในระหว่างนั้นเป็นระหว่างเข้าพรรษา ต่อมาถึงเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. นั้น (พ.ศ. ไปดูที่หน้าวิหารนะ ถ้าใครสงสัย) ก็ปรึกษาพระท่านอีก พระท่านบอกว่า ถึงสาระที่จะทำได้แล้ว ก็บอกว่า ผมป่วยมาก เดินไม่ค่อยจะไหว ท่านบอกว่า ไม่เป็นไร นั่งรถไป ไปถึงที่ตรงนั้นก็ลง ฉันจะแนะนำให้ เมื่อท่านว่าอย่างนั้นก็ไปตามท่านสั่ง ในเมื่อเป็นความประสงค์ของพระ พระองค์นี้เป็นพระวัดไหน ไม่ต้องถามนะ

    ถ้าขืนถามเข้า เดี๋ยวจะไปกวนใจท่าน ท่านเป็นพระที่มีความสำคัญมาก มีความรู้มากจริง ๆ และพูดอะไรไม่เคยผิด เมื่อไปถึงที่ตรงนั้น ก็เลยถามท่านว่า พระจะสร้างตรงไหนครับ ท่านก็บอกว่า เอาตรงนี้ก็แล้วกัน พระอยู่ตรงนี้นะ และถามว่าอาคารจะทำอย่างไรครับ ปักเสา ๔ เสา หรือปักเสา ๘ เสา คือเสาร่วมใน กับเสาระเบียง ท่านบอกว่าไม่ควรหรอก เพราะว่าเวลานี้คุณมีทุน ๒๓๐,๐๐๐ บาทเศษ มีคนทำบุญเข้ามาอีก แต่ว่าต่อไปข้างหน้า เมื่อเริ่มทำเข้า พระองค์นี้มีความสำคัญมาก (ท่านหมายถึงพระพุทธรูปนะที่จะทำ) ให้ตั้งตรงนี้นะ

    เพราะตรงนี้ แต่เดิมทีเดียวโบราณเขาฝังพระบรมสารีริกธาตุไว้ มีพระบรมสารีริกธาตุเก่าอยู่ทับลงไป คนจะได้ไม่ทำลายพระบรมสารีริกธาตุ และไม่เดินข้ามไปข้ามมา เอาห้องพระอยู่ตรงนี้ และกำหนดตัวอาคาร ไม่ใช่โรงเฉย ๆ ทำยกพื้นขึ้นมาประมาณ ๑ เมตร ยกเสาขึ้นมาประมาณ ๑ เมตร แล้วก็ทำพื้น เอากว้าง ๒๘ เมตร เอายาว ๑๐๐ เมตร

    พอท่านบอกอย่างนี้ก็ลมขึ้นเลย (ลมขึ้น คือ ลมหายใจออก ลมลง คือ ลมหายใจเข้า) ก็เป็นอันว่า งง พอท่านบอกอย่างนี้ ก็ งงติ้ว คิดอย่างไรกันแน่ จะไปได้หรือ แต่ว่าก็ลองฟังท่านดู ท่านอธิบายให้ฟังว่าทำอย่างนี้นะ ยังไม่ต้องใช้เงินมาก เรามีเงิน ๒๓๐,๐๐๐ บาทเศษ เอาแค่เงินที่มีอยู่ก่อน

    อันดับแรก เรียกช่างมาตีผัง กำหนดอาคารแบบนี้ เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตั้งต้นจากทิศตะวันตกหันทางยาวไปทิศตะวันออก ตอนที่ตั้งปกตินี่ เดิมทีเดียวอาตมาจะเอายาวจากเหนือไปใต้ จากใต้ไปเหนือ แต่ท่านบอกว่า อย่างนั้นไม่ควร ต้องเอายาวไปทิศตะวันออก ตั้งต้นทางทิศตะวันตกและตรงนี้สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๘ ศอก

    อันดับแรก ยังไม่ต้องทำอะไรมาก ให้ช่างเขาตั้งตอหม้อก่อน และก็ทำพื้น เฉพาะจริง ๆ ที่พระพุทธรูปจะตั้ง หลังจากนั้นก็ให้ช่างปั้นพระพุทธรูปเริ่มทำ เราก็ยกเสาตรงนี้ ตรงที่มีพระพุทธรูป ยกเสาขึ้น และก็เทพื้นแบน ๆ ชั้นบน แทนที่จะเป็นหลังคา ก็เป็นพื้นอีกชั้นหนึ่งไม่เอามาก เอาห้องสั้น ๆ และเสาที่ตั้งไปนั่น ถ้าใครยังไม่ให้สตางค์มาเราก็ยังไม่สร้างต่อ เมื่อท่านบอกอย่างนั้น ก็ตัดสินใจว่า โอ…ถ้าอย่างนี้ไปรอด เราไม่ทำวู่วาม ไม่หักโหมเกินไปในที่สุดก็สั่งช่างตีผังทำตามนั้น

    ต่อมา เมื่อญาติโยมพุทธบริษัททราบเข้าต่างคนต่างก็ช่วยกันคนนั้นก็ทำบุญ คนนี้ก็ทำบุญ ทำบุญสร้างพระหน้าตัก ๘ ศอก ทำบุญสร้างวิหารพระ ๘ ศอก ต่างคนต่างทำบุญ เงินก็ค่อย ๆ มา พื้นที่ค่อย ๆ ขยายไป ๆ ในที่สุด ภายใน ๒ เดือน พื้นของอาคาร ๑๐๐ เมตรก็เต็ม เป็นตัวอาคารภายในก่อนยังไม่มีเฉลียง หลังจากนั้นญาติโยมพุทธบริษัทไป ๆ มา ๆ เมื่อเห็นเข้าก็ชอบใจ ต่างคนต่างให้ต่างคนต่างถวาย ก็ค่อย ๆ สร้างตั้งเสาสูงขึ้น จะเห็นว่า ในช่วงแรกจะมีช่างไม่กี่คน เพราะถ้าช่างมากจริง ๆ หาสตางค์ไม่ทัน

    อาศัยที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทเมตตาเรื่อย ๆ ก็ทำไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งการตั้งเสาเสร็จ และกำแพงก็ก่อ พื้นชั้นบนก็ก่อ ต่อมา พระที่เคยแนะนำ ท่านก็มาหา เมื่อท่านมีเวลาว่าง ก็มาเยี่ยม แล้วท่านก็บอกว่า คุณ เป็นอย่างไร พอหาทันไหม ก็บอกว่า ถ้าสร้างเบา ๆ แบบนี้พอไหวครับ ญาติโยมก็มีเมตตามากช่วยกัน และต่างคนต่างก็ช่วย ความจริงเงินทองไม่ได้มีมามากนัก บางคนก็ ๕ บาท ๑๐ บาท ๒๐ บาท ๓๐ บาท ๑๐๐ บาทบ้าง ๑,๐๐๐ บาท นาน ๆ ที นาน ๆ มี ๑๐,๐๐๐ บาทครั้ง

    ก็รวมความว่า ของใหญ่ มาจากของเล็ก ของมากมาจากของน้อย ต่อไปก็ค่อย ๆ ทำดาดฟ้าเสร็จ ทำกำแพงเสร็จ ท่านก็บอกว่า ข้างบนทำทรงไทยนะ เอาเล็ก ๆ สร้างแบบธรรมดา ๆ อย่าให้วิจิตรพิสดารนัก เอาแบบหลังคาชั้นเดียว คือว่า ไม่ต้องสวยสดงดงามอะไร ใช้สัดส่วนตามนี้ ท่านก็บอกสัดส่วนให้ บอกว่าทำเป็นมุข ๓ มุข เป็นยอด ๓ ยอด หมายถึง เป็นการบูชาพระไตรสรณาคมน์ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

    เมื่อสร้างหลังคาเสร็จเรื่อย ๆ มา ทีนี้เพิ่มช่างอีกนิดหนึ่ง รู้สึกว่าญาติโยมให้มากขึ้น พออาคารโตขึ้นญาติโยมก็ให้มากขึ้น ต่อมา ท่านก็บอกว่า คนที่มาที่นี่ไม่มีใครเขานั่งแต่ในวิหารอย่างเดียวนะ เขาจะต้องมีที่โปร่งให้ด้วย ควรทำเฉลียงออกไปอีก ๖ วา (กว้าง ๑๒ เมตร) ยาวเท่าตัวอาคาร เพราะคนไปคนมา เขาอยากโปร่ง เขาจะได้พักข้างนอก หรือบางคนเสร็จภารกิจบ้าง แต่เพื่อนยังไม่เสร็จภารกิจ คนที่เสร็จแล้วก็ไปพักคอยข้างนอก จะได้มีความสุข

    หลังจากนั้น เมื่อท่านสั่งก็ทำค่อย ๆ ทำไป เวลาทำไม่รุกรานนัก เพราะถ้ารุกรานหาเงินไม่ทัน เพราะหลังนี้คิดในใจแล้ว ไม่อยากเป็นหนี้ เพราะเป็นหนี้มาก อาการใกล้ตายเต็มที ถ้าตายลงไปเวลานั้นเสร็จ พระเจ้าที่อยู่เบื้องหลังลำบากหมด เขาก็จะมาทวงสตางค์พวกเธอ พวกเธอก็จะหาให้ไม่ได้ก็จะลำบาก เลยทำแบบทะนุถนอมงานช้า ๆ เมื่อสร้างเสร็จ ท่านก็บอกว่า เอาอย่างนี้ดีไหม พระพุทธรูป เป็นพุทธบูชา เราบูชา ท่านเป็นองค์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระพุทธรูป ให้เป็นพระพุทธชินราชดีไหม

    เป็นอันว่า ท่านสั่งแบบปรึกษา ความจริงเป็นคำสั่งของท่าน แต่ฟังแล้ว ลีลาเหมือนกับปรึกษา ก็เลยกราบเรียนท่านบอกว่า ดี ท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้นให้ช่างเขาทำเป็นพระพุทธชินราชจะสวยงามดี เอ้า…ว่าอะไรก็ว่าตามกัน เพราะว่าท่านพูดมา ท่านบอกมาไม่ผิดจริง ๆ พระองค์นี้ ถ้าใครไปพบเข้านะ อย่าบอกว่า อาตมาบอกนะ แต่ว่าอยู่ที่ไหนไม่ยืนยัน เพราะว่า ท่านห้ามบอกสถานที่ของท่าน แต่บังเอิญโชคดี ไปพบท่านละก็ ทุกอย่าง ท่านบอกไม่ผิดถ้าเราถวายความเคารพด้วยความจริงใจ

    หลังจากท่านสั่งทำพระพุทธรูปแล้ว คือ กำลังทำพระ ท่านก็บอกว่า ห้องพระนี่ เฉพาะเพดานที่พระพุทธรูปอยู่ คือ ตั้งพระพุทธรูป เราปิดกระจกหน่อยดีไหม จะได้เป็นเงาสะท้อนขึ้น มองสูง ๆ ในเมื่อท่านแนะนำแบบนั้นก็บอกว่า เอ้า…กระจก ก็ติดเป็นกระจก เพราะท่านบอกให้ปิดกระจกก็ปิด ซื้อกระจกเขามา ในตอนต้น กระจกเงาไม่ค่อยจะดีนัก ก็พบอย่างไร ก็ซื้ออย่างนั้น เพราะคนไม่มีสตางค์ ซื้อเขามากล่องละ ๗,๕๐๐ บาท ต่อมา ก็มาพบกระจกที่มีเงาดีมากกล่องละ ๘,๕๐๐ บาท เมื่อพบเข้าแล้ว ก็สั่งซื้อกระจก ซื้อแบบ ๘,๕๐๐ บาท เป็นพื้นฐาน เอามาทีละกล่อง ค่อย ๆ ปิดไปทีละน้อย ๆ

    ในที่สุด ตรงเพดานพระก็มีกระจกแพรวพราว เป็นเงาดี ท่านก็บอกว่า เอาอย่างนี้ดีไหม ห้องพระที่เป็นผนังนี่ ปิดกระจกเสียงให้รอบตัว เต็มห้อง ก็เลยกราบเรียนท่านว่า ถ้ามีคนเขามาทำบุญเงินไม่คั่น งานก็ไม่หยุด ท่านก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ซิ การจะทำงานนะ ต้องบอกราคาของเรา เราทำงุบงิบอย่างนี้ ก็ไม่มีใครเขารู้ เขาก็หนักใจ กระจกเวลานี้เราใช้อย่างดี กล่องละ ๘,๕๐๐ บาท ในก่อนใหญ่ก็มีกล่องเล็กอยู่ ๑๐๐ กล่อง ก็เป็นอันว่า ราคากระจกกล่องเล็ก คือ กล่องละ ๘๕ บาท บอกญาติโยมเขาอย่างนี้ ใครจะรับคนละกี่กล่องก็ได้ตามใจชอบ คนละกล่อง คนละ ๒ กล่อง หรือ ๔ คน ๑ กล่องก็ใช้ได้ เมื่อได้บทอย่างนี้ ท่านเตือนให้ เวลานั้นก็ป่วยคิดอะไรไม่ออก

    ก็เป็นอันวา ตกลงตัดสินใจตามนั้น ก็จัดบอกบุญเป็นกล่อง ๆ คราวนี้รู้สึกว่า ญาติโยมดีใจมากรับกันทั่วฐานะ ไม่ว่าใคร ต่างคนต่างก็รับ เห็นที่ปิดแล้วก็ชอบอกชอบใจ ต่างคนต่างรับ แล้วต่อมามีญาติโยมพุทธบริษัทถามว่า เสาที่ปิด คือ ท่านบอกว่า ปิดห้องพระแล้ว ลองปิดเสาดูซิ มันสวยไหม ก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า เห็นที่เชียงใหม่กับลำพูน เขาปิดเสาโบสถ์ เสาวิหาร สวย ๆ แวววาวดี นึกชอบใจมานาน

    พอท่านพูดขึ้นมาก็นึกออก บอกว่าดีด้วยครับ เมื่อขณะที่ปิดไปแล้ว ๒-๓ ต้น ก็มีญาติโยมพุทธศาสนิกชนช่วย ร่วมกันซื้อกระจกก็ให้คุณนิรัตน์ช่วยคิดราคา คุณนิรัตน์ เลาหะสุรโยธิน คนนี้ช่วยงานก่อสร้าง ตอนหลังช่วยมาก งานประดับประดาปิดกระจก การซื้อของก็ถูกลง เพราะพ่อค้าซื้อของพ่อค้าถูกลงมาก แกช่วยวัดได้ดีมากช่วยวัดจริง ๆ หลายล้าน ลดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศาลา ๔ ไร่ลดไปล้านกว่า ศาลา ๑๒ ไร่ นี่ลดค่าของไปได้ความจริงไม่ใช่ให้ลด แต่ว่าการซื้อของ เขาทำอย่างนี้

    อย่างพวกเราก็ไปเจอะกับตัวแทนของบริษัท ของเขาพบตัวแทนบริษัทลดราคาแล้วยังไม่พอใจ ไปหาผู้จัดการ เขาจะซื้อด้วยเงินสด ในเมื่อผู้จัดการบอกราคาลดแล้วยังไม่พอใจ ไปหาเจ้าของบริษัทห้างร้านจริง ๆ เลย ทางนั้นก็ลดลงมาให้อีก ก็รวมความว่าได้ลดลงมาก ตอนนี้ให้คุณนิรัตน์ลองคิดราคาเสา ค่าเหล็ก ค่าปูน ค่าทราย ค่าแรงงาน ค่ากระจก ค่าแรงงานปิด ทั้งหมดต้นละเท่าไร คุณนิรัตน์ก็คำนวณตามความเป็นจริงว่า ต้นละ ๑๒,๐๐๐ บาท พอทราบว่าต้นละ ๑๒,๐๐๐ บาท บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททีนี้ต่างคนต่างก็เป็นเจ้าของเสากัน หลายคนเป็น ๑ ต้นก็ได้ ไม่จำกัด

    ก็รวมความว่า เมื่อเสาแพรวพราวขึ้น ตอนนี้ก็มาถึงข้างฝา ปิดบ้างแล้วบางฝา หลัง ๆ พระพุทธรูป คนนั้นก็ชอบ คนนี้ก็ชอบต่างคนต่างซื้อให้ ต่อมาฝาก็เสร็จ ภายในเสร็จ ก็ภายนอก ทีแรกจะปิดแค่เล็กน้อย ปิดแค่มณฑปบนหลังคา และช่อฟ้า หน้าบันนิดหน่อย แต่ทว่าเมื่อทำเข้าแล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัทต่างคนต่างเห็นชอบต่อคนละนิด ต่อคนละหน่อย ผลที่สุดเต็มหลัง

    รวมความว่า วิหาร ๑๐๐ เมตรที่แพรวพราวเป็นระยับขึ้นมาการสร้างจริง ๆ มาจากการเริ่มต้นนิดเดียว คือ จากเงินของคุณสุชาดี มณีวงศ์ เจ้าของรายการกระจกหกด้าน ช่อง ๗ สี และของคุณจันทนา วีระผล สองท่านนี้ให้คนละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท เริ่มต้น แต่ความจริงตอนแรกไม่คิดว่าเริ่มต้น คิดว่าทำกันจบแค่ ๒๐๐,๐๐๐ บาท คือ ปั้นแท่นแล้ว ก็ปั้นพระ เมื่อปั้นพระเสร็จ ก็ทำอาคาร ๔ เสาปักขึ้นไป เป็นเสาร่วมใน และก็ปักอีก ๔ เสา เป็นเสาร่วมนอกทำหลังคาให้มีช่อฟ้า หน้าบันเล็กน้อย เท่านั้นพอ

    แต่ไป ๆ มา ๆ ด้วยบุญบารมีของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ต่างคนต่างก็คิดต่างก็ช่วยกัน จนกระทั่งวิหารหลังนี้เสร็จ ราคาจริง ๆไม่แน่นอนนัก กะโดยประมาณว่าเฉพาะตัวอาคารที่ยังไม่ประดับรวมช่อฟ้า หน้าบัน พระพุทธรูป เสร็จทั้งหมดคงไม่เกิน ๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท แล้วก็ราคาหินอ่อนที่ปูทั้งหมด เป็นเงิน ๑,๒๖๔,๓๔๑ บาท ค่ากระจกทั้งหมด ๔,๔๗๗,๗๘๕ บาท รวมค่ากระจกและค่าหินอ่อนแล้วเป็นเงิน ๕,๗๔๒,๑๒๖ บาท กับค่าแรงงานอีกบ้างพอสมควรที่ยังขาดไป

    เป็นอันว่า วิหารหลังนี้ เสร็จด้วยความดีของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ฉะนั้นของที่บรรดาท่านทั้งหลายที่รวมกันคนละนิดคนละหน่อย อย่างกระจกนี่ บางท่านก็ช่วย ๑ กล่อง บางท่านก็ช่วย ๒ คน ๑ กล่อง อย่างนี้เป็นต้น กล่องเล็กนะ กล่องละ ๘๕ บาท ท่านก็ช่วยมากบ้าง น้อยบ้าง ส่วนใหญ่ก็คนละกล่อง ๒ กล่อง ไม่มาก ไม่หนักใจ ไม่หนักทรัพย์สิน แต่อย่าลืมว่า คนที่มาที่นี่มาก ไม่ใช่วันละมาก คือมากันทุกวัน วันละน้อยบ้าง มากบ้าง วันละ ๒๐ คน บ้าง ๓๐ คนบ้าง ๒-๓ คนบ้าง บางทีก็มาเป็นร้อยคนบ้าง

    ทีนี้เวลามีงานหนัก ๆ อย่างงานเป่ายันต์เกราะเพชร งานกฐิน งานเข้าพรรษา ออกพรรษา งานสงกรานต์ ญาติโยมรู้กัน ต่างคนต่างก็คนละกล่อง ๒ กล่อง เป็นเจ้าของกระจกบ้าง เป็นเจ้าของทองบ้าง ทุกอย่างต่างคนต่างช่วยกัน วิหารหลังนี้เกิดขึ้นมาได้สำเร็จรูปตามกำลังศรัทธาของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท

    ทีนี้มาว่าถึงว่า มีอะไรบ้าง จากวิหารนี้ ความจริงเมื่อตอนก่อนพระที่แนะนำท่านก็บอกว่า มีพระบรมสารีริกธาตุตรงนี้ และให้สร้างพระพุทธรูปทับ ก็ทำตามท่าน ขณะที่ทำในระยะนั้น วิหารยังไม่มีหลังคา มีแต่พื้นล่าง มีแต่เสาบน เสาพื้นบนตั้งแล้ว แต่ยังไม่เทพื้น ในเวลากลางคืน

    ปรากฏว่า มีดาวขึ้นจากดิน คนที่เห็นคนแรกคือ พ.ต.พงษ์เทพ แกมานอนเป็นเพื่อนในเวลาว่าง พ.ต.พงษ์เทพ เห็นก็คิดว่า ไฟอะไรนะ แต่ไฟสีน่ารัก สีสวย สีขาวนวล ๆ โตมาก โตกว่าบาตรพระ ๒-๓ เท่า ลอยไม่สูงนัก ไล่ ๆ กับยอดไม้ ลอยวนไปวนมาทางร้อยไร่ เธอก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไป ค่อย ๆ ตามไป กลางคืนค่อนข้างดึก

    ในทัศนะแบบนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท เท่าที่เคยปรากฏมา เป็นพระบรมสารีริกธาตุ และแสงโคมที่ลอยนั้น ไม่ใช่ลอยสีด้าน ๆ ธรรมดา สว่างมาก และอาการอย่างนี้ย่อมปรากฏกับคนเยอะ คนเห็นกันมา ที่พูดนี่ไม่ใช่โฆษณานะโยมนะ พูดกันตามความเป็นจริงว่าเขาเห็นกัน และก็การสร้างวิหารหลังนี้ ความจริงไม่ใช่สร้างแต่วิหารก็ต้องสร้างอาคารรอบ ๆ หลังวิหารออกมา เป็นหอพักนักเรียนสตรี เพราะนักเรียนสตรีเธอไม่ยอมไปพักหอพักข้างนอก มันไปพักใกล้กับผู้ชาย บางคนเขาอาจจะมองในด้านไม่ดีนัก เธอขอพักข้างใน และแยกออกมาจากพระ นี่ไกลกัน และต้องทำรอบ ๆ อาคาร

    ทีนี้ พระพุทธรูปที่ตั้งรอบวิหาร ๑๐๐ เมตร ด้านหน้าถ้าถามว่า พระพุทธรูปทำไมเยอะแยะนัก พระพุทธรูป ๔ ศอก ก็ต้องตอบว่า ทุกอย่างที่วัดนี้ ทำตามความประสงค์ของญาติโยม ถ้าเจตนาเต็มจริง ๆ เนื่องในการหยุดสร้าง อาตมารู้สึกของญาติโยมสร้างพระอุโบสถเสร็จ เมื่อสร้างพระอุโบสถแล้ว ขณะที่สร้างอาคารรอบ ๆ พระอุโบสถ

    พอสร้างช่วงนั้นเสร็จ ก็มีความรู้สึกเต็มแล้ว พอใจอย่างยิ่ง ตั้งใจอยากจะหยุดตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา งานก่อสร้างนี่เบื่อมานานแล้ว คือ เบื่อ เบื่อจริง ๆ มันหนัก หนักอกหนักใจ หนักทรัพย์สิน หนักทุกอย่าง มันหนักหมด ถ้าช่างเป็นคนดีก็ดีไป ถ้าช่างเลว ๆ ก็กลุ้มใจจากช่างอีก มันก็วุ่นวายไปหมด ที่ทำไปทำไปก็ถือว่า วัตถุ ไม่ใช่สมบัติของเรา แต่ว่าอานิสงส์มันเป็นสมบัติของเรา และก็เป็นสมบัติของทุกคนที่เขาทำบุญมา พระท่านก็เตือน บอกว่าทำเพื่อเป็นการแนะนำเขา

    หลังจากนั้นมา ก็มีญาติโยมพุทธบริษัท ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๑ ท่านนั้นก็จะสร้างห้องกรรมฐาน ท่านนี้ก็จะสร้างห้องกรรมฐาน จะสร้างกุฏิกรรมฐาน อาตมาก็มีความรู้สึกว่า ถ้าหากว่าจะสร้างเฉพาะห้องกรรมฐาน คือ กุฏิเป็นไม้ ไม่ช้าปลวกก็กินหมด ในเมื่อปลวกกินหมด มันก็ต้องเสียสตางค์เปล่า ๆ ก็มาคิดในใจ บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะญาติโยม ถ้าทำอาคารเป็นไม้กับทำอาคารเป็นตึก ตึกมีความมั่นคงกว่า แต่ราคาเท่ากัน จะเอาอะไร ญาติโยมก็สละเป็นห้องมาตึกหรือไม้ เอาทั้งนั้น อาตมาก็ทำเป็นตึก

    เพราะมันพังยาก พระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอกก็เหมือนกัน ที่เรียกว่า พระชำระหนี้สงฆ์ จริง ๆ แล้ว เดิมที่เดียวไม่คิดว่าเป็นพระชำระหนี้สงฆ์ เพราะอาตมานึกอยากจะสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก มาตั้งแต่เด็ก เวลานั้นเข้าไปโบสถ์หลังไหนก็ตาม ถ้าโบสถ์หลังนั้นมีพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอกละก็ ชื่นอกชื่นใจมาก ตั้งแต่อายุ ๑๐ ปีกว่านิดหน่อย นั่งมองพระ จำภาพพระ ไม่อยากจะเลิก ก็นั่งนึกมาตั้งแต่เด็กว่า ในชีวิตของเรา จะมีโอกาสได้สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก สักองค์ไหม

    ต่อมา มาเจอะหลวงพ่อปานเข้า ท่านก็บอกว่า พระประธานหน้าตัก ๔ ศอก เขาถือว่า เป็นพระมาตรฐาน ในเมื่อมีบริเวณสถานที่อยู่ก็ลองให้ช่างวัดดู ว่าตรงนี้ ฉันจะสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก จะได้สักกี่องค์ ทีแรกตั้งใจตะสร้างสัก ๒ องค์ก็พอ แต่ช่างวัดดูแล้วบอกตรงนี้สร้างได้ ๒๘ องค์ ก็สั่งช่างทำ ราคาเท่าไร ช่างอย่าเพิ่งทวงสตางค์กันนะ ปูน ทราย หิน ฉันมีเสร็จ แต่เงินค่าจ้างรอ ๆ ก่อน ช่างประเสริฐนี่เป็นคนทำ ช่างเขาบอก ไม่เป็นไรครับ หลวงพ่อมีเมื่อไรก็ให้เมื่อนั้น แต่ในช่วงทำให้ผมมีข้าวกินก็แล้วกัน

    เป็นอันว่า เขาก็ทำ อาตมาก็ให้ทำ เมื่อทำไป และสร้างพระขึ้นมา ๒๘ องค์ ต่อมาญาติโยมพุทธบริษัทรู้เข้า คนนั้นก็ขอเป็นเจ้าของ คนนี้ก็ขอเป็นเจ้าของ ตอนนี้ราคาพระแต่ละองค์จะตั้งราคาเท่าไร เรื่องการตั้งราคานี่ทุกอย่างอาตมาไม่ได้ตัดสินใจเอง ถ้ามีอะไรข้องใจ ก็ถามพระที่มีความเคารพ ท่านก็คิด คิดไปคิดมา ท่านก็บอกว่า ถ้าไม่ปิดทององค์ละ ๑๐,๐๐๐ บาท อาตมาก็เสียววาบ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ๑๐,๐๐๐ บาท จริง ๆ แล้ว มันก็ไม่เหลืออะไรเลย คือ ไม่ได้พูดว่าการค้ากำไรนะ เวลานั้นต้องปั้นกันขึ้นมาเอง ไม่ใช่ว่าหล่อแบบไว้ ทั้งค่าจ้างช่าง ค่าอะไรต่ออะไรเสร็จ ก็หมด

    ท่านบอกหมดก็หมดไป ไม่ต้องมีกำไร เป็นอันว่า คิดในใจว่าไม่ขาดทุนบุญตัวแล้ว ก็ยอมรับ บอกญาติโยมว่า ถ้าหากว่าไม่ปิดทององค์ละ ๑๐,๐๐๐ บาท คราวนี้เขาถามว่า ปิดทอง ก็ถามท่านอีกส่งข่าวไปหาท่าน แล้วท่านก็มาบอก ถ้าปิดทององค์ละ ๕๐,๐๐๐ บาท ทั้งค่าแรงงาน ค่าทอง ค่าสี เสร็จ ก็อยู่ในเกณฑ์นั้น นั่นราคาในช่วงนั้นนะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท แต่ในช่วงนี้ ๕๐,๐๐๐ บาท มันตึงตัวมาก ไม่ใช่ตึงอย่างเดียว มันปริ ปริไปเลย เป็นอันว่าพระ ๒๘ องค์ เพียงไม่ถึง ๒ เดือน มีเจ้าภาพหมด อาตมาก็ เอ้า…มีเจ้าภาพแล้ว ก็แล้วกันไป เราก็ทำเท่านั้นแหละ

    ต่อมา เมื่อทำศาลา ๓ ไร่ขึ้น ก็สร้างพระเพื่อตัวเองขึ้นมาอีก ในเมื่อสร้างพระเพื่อตัวเองอีก ญาติโยมรู้ ลูกสาวคุณหญิงเยาวมาลย์ทราบ ก็ขอเป็นเจ้าภาพ เพื่ออุทิศให้คุณพ่อ คุณแม้ เอาเข้าแล้ว ที่ศาลา ๔ ไร่ ก็เช่นเดียวกัน ต่อมาญาติโยมส่งสตางค์กันมาเลยคราวนี้ ฉันขอสร้างพระ ๔ ศอก ๑ องค์ ผมขอสร้างพระ ๔ ศอก ๑ องค์ ว่ากันไปว่ากันมา มากันอีก ๑๐๙ องค์ ไม่มีที่จะสร้าง ต้องไปสร้างที่หน้าอาคาร ๑๒ ไร่ ที่หน้าอาคาร ๑๒ ไร่ จริง ๆ เกือบจะไม่พอ

    ในเมื่อสร้างที่นั่นแล้ว ก็ยังไม่จบ ก็มีญาติโยมส่งสตางค์มาอีก ขอสร้างอีก เวลานี้ก็ยังมี จึงมาสร้างกันที่หน้า ๑๐๐ เมตร อีก ๖๔ องค์ ก็ยังไม่แน่ใจว่า จะพอเหมือนกัน ยังไม่ทราบเลย ยังไม่ได้ถามบัญชีเขาว่า เงินที่ญาติโยมที่เขาส่งมาสร้างพระนี่ กี่องค์กันแน่ ที่ยังไม่ได้สร้าง

    ก็รวมความว่า ที่วัดนี้ทั้งหมด ที่ว่า ใหญ่โตมโหฬารนี่ ความจริงไม่ใช่กำลังใจของอาตมาโดยตรง กำลังใจของอาตมาโดยตรงก็แค่สร้างแค่บริเวณพระอุโบสถ กับโรงพยาบาลที่ว่าราคาทั้งหมดผ่านมาแล้ว ทั้งหมด ๓๕๓,๓๒๗,๔๖๙ บาท ๓๖ สตางค์ ว่า สร้างทั้งหมด รวมสร้างตรงโรงพยาบาลด้วย รวมสร้างโรงเรียนด้วย ซื้อพื้นที่ด้วยเสร็จหมดทุกอย่าง ก็เป็นเงินแค่ ๓๕๓,๓๒๗,๔๖๙ บาท ๓๖ สตางค์ ก็มากสำหรับอาตมา

    ทีนี้เงินที่ถวายเพื่อการก่อสร้างจริง ๆ เป็นเงิน ๑๙๗,๘๓๔,๙๙๓ บาท ๗๕ สตางค์ ถ้าลบกันออกมาแล้วก็ขาดไป ๑๕๕,๔๙๒,๔๗๕ บาท ๖๑ สตางค์ ความจริงเงินนี่ไม่ได้มาจากไหน ไม่ใช่งอกเอง ที่จ่ายไปได้ทั้งหมด

    เพราะเป็นเงิน ๑. ผาติกรรมสังฆทาน อันนี้ไม่น้อยเลย วัตถุมงคลก็มาก และท่านที่ทำบุญไม่จำกัดประเภท อันนี้เยอะ และก็มีมากที่ท่านถวายไว้ใช้ส่วนตัว เดือนละหลายแสน บางเดือน ๑๐๐,๐๐๐ บ้าง ๒ แสน ๔ แสน บางเดือนถึง ๘ แสนก็มี ทุกท่านเป็นห่วง เพราะว่าสตางค์ที่ได้มาไม่ค่อยจะเก็บไว้ใช้ เพราะว่าใช้ในการก่อสร้างหมด

    อาตมาก็คิดเหมือนกัน ถ้าเราจะเก็บไว้ใช้ มีสิทธิ์ แต่ทว่ามันเก็บไว้มากเกินไป ก็ไม่เป็นเรื่อง นอกจากจะเก็บไว้ยืนยัน ป้องกันทรัพย์เบื้องหลัง พระเบื้องหลังที่อาตมาตายไปแล้ว พอมีผลเลี้ยงพระต่อไปได้เท่านั้นเอง ที่หวังอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทุกอีกประเภทหนึ่ง คือ ทุนสงเคราะห์นักเรียนอันนี้มา บรรดาท่านทั้งหลายที่นิยมสงเคราะห์นักเรียนนี้มากไม่ใช่น้อย

    เป็นอันว่า เริ่มสบายใจ หากว่าอาตมาจะตายเวลานี้ พระเณรก็ไม่อด คนงานของวัดก็ไม่อด อย่างค่ากระแสไฟฟ้านี่เดือนที่แล้วมาที่พูดนี่ เดือนกันยายน เดือนสิงหาคมนี่จ่ายไปแล้ว ๗๐,๐๐๐ บาทเศษ ที่จริงค่ากระแสไฟฟ้านี่ก็ไม่แพง เพราเมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๓๑ องค์การไฟฟ้ามาเก็บ ซึ่งกระแสไฟต่ำกว่านี้เยอะ ๑๒๐,๐๐๐ บาทเศษ ต่อมาปั่นไฟใช้เอง ก็เสียไปจริง ๆ ระยะต้น เดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาทเศษ

    ต่อมาก็เพิ่มกระแสไฟเข้ามา อันนี้ไม่แน่นอน กำลังเพิ่มกระแสไฟให้เต็มอัตรา เพราะอาคารที่สร้างใหม่อีกมา ก็คิดในใจว่าจะต้องเสียค่ากระแสไฟฟ้าจริง ๆ เดือนละประมาณ แสนเศษ ๆ อันนี้พระที่ท่านเมตตา ท่านบอกว่า เงินส่วนนี้ที่เขาทำบุญมาเป็นเงินที่มีไว้ เพื่อยืนยันความเป็นอยู่ของพระเบื้องหลัง ท่านแนะนำอย่างไรก็ว่ากันไปตามนั้น หมายถึงว่าอะไร ว่าตามกัน ถ้าถามว่าพระองค์นี้อยู่วัดไหน ก็ตอบไม่ได้เลย เพราะท่านสั่งปิด ก็มีคนหลาย ๆ คนที่พบท่าน แต่บางทีอาจจะไม่เข้าใจในท่าน

    เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน วันนี้พูดไปพูดมาได้เรื่องได้ราวบ้างหรือเปล่า ก็ไม่ทราบ ก็สรุปแล้วรวมความว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวัดท่าซุง ไม่ใช่กำลังใจของเจ้าอาวาสโดยเฉพาะ เป็นน้ำใสใจจริงของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิง ตั้งใจทำบุญกันโดยตรง เอาละเวลานี้ก็หมดเวลาแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่พุทธศาสนิกชนผู้อ่าน และผู้ฟังทุกท่าน สวัสดี
     
  9. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓.จุไรท่องดวงพระจันทร์

    ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ตอนนี้ก็ขอพาบรรดาท่านทั้งหลายมาพบกับ จุไร เพราะว่าจุไร หายหน้าหายตาไปนาน ทั้งนี้เพราะว่า เธอกำลังเร่งรัดในการทำกรรมฐาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังเรียนหนังสือ ทั้ง ๒ อย่างนี้ควบคู่กัน โอกาสจึงไม่ค่อยจะมีมาคุยกัน แต่ว่าวันนี้จุไรว่าง พอมีโอกาส ก็ขอนำเรื่องราวของจุไรมาเล่าสู่กันฟังดังนี้

    เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๓๒ จุไร พร้อมกับ บิดาและมารดาได้พากันไปที่วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี วันนั้นเป็นวันแรกที่วัดท่าซุงทำการเปิดวิหาร ๑๐๐ เมตร เพื่อฝึกพระกรรมฐาน เธอกับมารดาและบิดาทั้ง ๓ คน เมื่อได้มีโอกาสบำเพ็ญกุศลเบื้องต้นในห้องรับแขกแล้ว ก็ตามพระไปที่วิหาร ๑๐๐ เมตร

    ครั้นถึงวิหาร ๑๐๐ เมตร ก็นึกเอะใจว่า เอ วิหารทุก ๆ แห่ง เขาไม่มีกระจก และก็พื้น แต่ความจริง ถ้าพื้นเป็นหินอ่อนก็เป็นของธรรมดา แต่ว่าวิหารหลังนี้แปลก ใช้หินอ่อนแผ่นเล็ก ๆ เธอทราบจากพระบอกว่าทั้งนี้เพราะมีเนื้อที่หลายพันตารางเมตร ในเมื่อมีเนื้อที่มาก ก็มีความจำเป็นอยู่เอง ต้องใช้ของที่ราคาถูก ทั้ง ๆ ที่คิดว่าถูก ราคาก็ล้านเศษ

    ก็เป็นอันว่า เธอได้เข้าไปภายในวิหาร ๑๐๐ เมตร อันดับแรกก็ตกตะลึง เพราะภายในมีไฟช่อเต็มราว สว่างไสวมาก และทั้งเสาก็ดี ฝาก็ดี เพดานก็ดี แพรวพราวเป็นระยับ ซึ่งยังไม่เคยเห็นที่อื่นมาก่อน ต่อไปก็มีโอกาสไปมนัสการพระพุทธชินราช เป็นพระประธาน หน้าตัก ๘ ศอก และข้าง ๆ นั้น ก็เป็นห้องพระบรมสารีริกธาตุ ก็มนัสการด้วย ขณะที่ไหว้พระพุทธชินราชก็ดี ไหว้พระบรมสารีริกธาตุก็ดี จิตใจก็ปลื้มปีติ มีความอิ่มเอิบ ซึ้งใจ

    ต่อมาเวลานั้น ก็ถึงเวลาแนะนำกรรมฐานพอดี ทว่าท่านที่มาทั้งหลายพากันถวายสังฆทานเสร็จ เธอก็บอกแม่ บอกว่า คุณแม่เจ้าขา เวลานี้หลวงปู่จะสอนกรรมฐานแล้ว ในขณะที่แม่กับพ่อได้ฟังก็ต่างคนต่างมารวมกันที่เขาเจริญพระกรรมฐาน วันนั้นจุไรเลยแปลกใจอยู่เรื่องหนึ่ง ในเรื่องของกรรมฐาน เธอบอกว่า หลวงปู่สอนพระกรรมฐานวันนี้แปลก เพราะการสอนพระกรรมฐานวันก่อน ๆ เท่าที่เคยฟังมา ไม่มีพระสูตรแทรก

    แต่ว่าวันนี้มีพระสูตรแทรก และเป็นพระสูตรที่มีความสำคัญแปลกไปกว่าอย่างอื่น อ้างอิงถึงว่า ทาน เป็นปัจจัยให้ได้อรหันต์ในเบื้องหน้า หมายความว่า ชาติก่อนโน้นเคยให้ทานมา ผลของทาน เป็นปัจจัยให้สำเร็จพระอรหันต์ในชาตินี้ แต่ว่าท่านผู้นั้นในท้องเรื่องของนิทานก็มีความเป็นว่า

    ท่านเป็นคนฆ่าสัตว์ คือ ฆ่านก ดักนก ยิงนก ต่อนก เอามาขาย ถ้าวันไหนเหลือก็เก็บไว้วันพรุ่งนี้ ย่างไว้ ถ้าเหลือมาก ๆ ย่างบ้าง เก็บเป็นบ้าง เวลาเก็บเป็น ๆ ก็เกรงว่านกจะบินหนีไป หักแข้งนกเสียบ้าง หักกระดูปีกบ้าง ปล่อยให้นกได้รับความทรมานเจ็บปวด ท่านก็ไม่คำนึง เป็นแต่เพียงว่า ท่านต้องการว่า วันพรุ่งนี้ยังมีเนื้อสดของนกขายก็แล้วกัน บาปของท่านขนาดนี้ ความจริงแล้วก็ต้องลงอบายภูมิ

    ในเมื่อจุไรเธอฟังไป เธอก็คิดต่อไป พระ คือ หลวงปู่ ท่านก็บอกว่า โดยเฉพาะบุคคลคนนี้ ขอออกชื่อ นึกชื่อออกว่า ท่านติสสะ ต่อมามีชื่อต่อข้างหน้าว่า ปูติคัต ก็รวมชื่อเดียวกันว่าปูติคัตติสสะ ซึ่งแปลเป็นในความว่า ท่านติสสะที่มีร่างกายเน่า เมื่อท่านติสสะมีร่างกายเน่า ขณะที่เป็นพรานนก ฆ่านกทุกวันเป็นประจำ เพราะเป็นอาชีพ

    แต่ว่ามาวันหนึ่ง มีพระอรหันต์มาบิณฑบาต ท่านก็ไม่รู้ว่า พระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ แต่มีความรู้สึกว่า เราเป็นคนมีบาป สร้างบาปทุกวัน แต่ว่าวันนี้ พระท่านมาโปรด ก็ขอทำบุญสักครั้งหนึ่ง จึงนิมนต์พระท่านหยุด แล้วก็รับบาตรท่านมา สั่งคนในบ้าน บอกว่า ให้ทำแกง ทำกับข้าวให้อร่อยที่สุด ด้วยเนื้อนกเมื่อทำเสร็จแล้ว ก็ใส่บาตรพระไป

    ตามที่รับคำแนะนำมานั้น บอกว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ที่พระถามว่า ท่านปูติคัตทำบาปอะไรมาไว้ ร่างกายของปูติคัตจึงเน่า กระดูกก็แตก เดิมทีเป็นตุ่มเล็ก ๆ ทั่วตัว หลังจากนั้น ตุ่มเล็ก ๆ ก็โตเท่าเมล็ดถั่วเขียว ทุกหัวเหมือนกัน หลังจากนั้น ก็โตเท่าเมล็ดถั่วเหลือง โตเท่าผลมะตูม หรือโตเท่าผลส้ม ก็รวมความว่าโตเต็มที่ แล้วก็แตกเป็นน้ำเหลืองทั้งตัว เน่า ลุกไม่ขึ้น ต่อมา กระดูกของร่างกายก็แตก ได้รับทุกขเวทนามาก พระถามว่า ท่านปูติคัตทำบาปอะไรไว้ จึงได้รับทุกขเวทนาอย่างนี้

    ตอนนั้น ตามคำสอนของพระ ท่านก็บอกว่า ปูติคัตเดิมทีเป็นพรานนก ตามที่กล่าวมาแล้ว เพราะบาปฆ่านก บาปหักกระดูกนก หักแข้ง หักขา หักกระดูกปีก ฉะนั้น บาปฆ่านก เป็นเหตุให้เป็นหนองทั้งตัว บาปหักกระดูกแข้ง กระดูกขา เป็นเหตุให้กระดูกในร่างกายแตก ลุกไม่ขึ้น มีทุกขเวทนามาก จนกระทั่ง พระพุทธเจ้าต้องไปรักษาพยาบาลเอง แต่ขณะที่พระพุทธเจ้าทรงเช็คร่างกายที่เปื้อนไปด้วยน้ำเลือด น้ำเหลือง แห้งดีแล้ว ร่างกายเธอก็เบา จุไร ได้ยินพระท่านแนะนำ หลวงปู่ท่านแนะนำว่า

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า ติสสะ ร่างกายของเธอนี้ ไม่นานนักก็จะมีวิญญาณไปปราศแล้ว ร่างกายนี้จะเป็นของทับแผ่นดิน ซึ่งไม่มีใครเขาต้องการ เหมือนกับท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์ พอท่านปูติคัตฟังอย่างนี้ จิตก็จับ คือ ร่างกายของเรา ไร้ประโยชน์ อีกไม่ช้าไม่นานก็มีวิญญาณไปปราศแล้ว คือ วิญญาณออกแล้ว เมื่อวิญญาณออกไป ร่างกายนี้ไม่มีใครเขาต้องการ ไม่ว่าศพไหนทั้งหมด

    เธอก็คิดต่อ ศพทุกศพ ขณะที่มีชีวิตอยู่ จะรักกันแสนรักขนาดไหน แต่เมื่อกลายเป็นศพแล้วทุกนก็ส่งศพเข้าวัดบ้าง ส่งศพเข้าโรงพยาบาลบ้าง ส่งศพเข้าหลุมฝังศพบ้าง ส่งศพไปเผาเสียบ้าง รวมความว่าความรักเดิม ไม่มีความหมาย เธอก็คิดตาม ในเมื่อท่านปูติคัตคิดตามอย่างนั้นแล้ว ในที่สุด ท่านก็บรรลุอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ก็นิพพาน

    ต่อมา พระก็ถามพระพุทธเจ้าว่า ปูติคัตที่มีกระดูกแตก เน่า เพราะฆ่านก เพราะหักกระดูกนก พระก็ถามต่อไปว่า เพราะอะไรเวลานี้พระปูติคัตไปไหน พระพุทธเจ้าก็ตอบว่า ท่านปูติคัตไปนิพพาน พระก็ถามว่า ปูติคัตป่วยขนาดนี้ และก็ไปนิพพานได้อาศัยกรรมอะไรเป็นเหตุ เป็นปัจจัย สมัยชาติก่อนทำอะไรไว้ พระเจ้าข้า

    พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในสมัยชาติก่อน เมื่อปูติคัตเป็นพรานนก เวลานั้นได้ถวายอาหารกับพระสงฆ์จริงครั้งหนึ่งในชีวิต คือ ในชีวิตเขา ถวายครั้งเดียว อาศัยที่ถวายทานแก่พระอรหันต์ครั้งนั้น เป็นปัจจัยให้ปูติคัตได้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ แล้วก็ไปนิพพาน

    เมื่อจุไรเธอฟัง ก็หนักใจ เพราะว่า คำว่า ทาน เคยได้ยินพระเทศน์ หรือว่าทายกตามวัด หรือคนที่มีความรู้ธรรมะทั้งหลาย เคยพูดกัน บอกว่า ขึ้นชื่อว่าทานอย่างเดียวไม่สามารถจะไปนิพพานได้

    แต่ว่าพระสูตรนี้ พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า อาศัยอานิสงส์ของทานไปนิพพานได้ แต่ในเมื่อเธอคิดตามแล้ว ก็คิดว่า เราเป็นเด็กนั่นเป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขาคิดว่า ทานไปนิพพานไม่ได้ ทีนี้พระท่านบอกว่า พระพุทธเจ้ายืนยันว่า อานิสงส์ของทานไปนิพพานได้ หลังจากฟังแล้ว เธอก็เล่าให้แม่ฟังตามความคิดเห็น

    ต่อมา ก็ถึงเวลาพระกรรมฐาน ในเมื่อพระท่านให้สัญญาณบอกว่า เวลานี้เป็นเวลาเจริญพระกรรมฐานแล้ว ทุกคนที่มาฝึกใหม่ก็เข้าห้องฝึก คนที่ฝึกเก่าได้แล้ว ยังไม่คล่องตัว ก็เข้าห้องซ้อม คนที่ได้แล้วรู้สึกว่ามีการคล่องตัว ก็อยู่ห้องโถง นั่งกันตามแบบสบาย ๆ เสาเยอะ ตอนโคนเสาเป็นหินอ่อน ๘ เหลี่ยม ต่อโคนเข้าไปก็เป็นกระจกเงาแพรวพราวเป็นระยับ

    แต่ทว่าจุไรเธอเป็นเด็ก เป็นเด็กอายุเพียง ๕ ปีเศษ ๆ หรือ ๗ ปี มองหน้ากันแล้ว ก็ไม่แน่ใจนักในอายุ เธอก็ติดว่า คนอย่างเรา ถ้าจะพิงเสา เดี๋ยวเขาจะหาว่าเป็นคนแก่ ในที่สุดก็ไม่พิงเสา หันหน้าไปตรงพระพุทธชินราช ลืมตาจับภาพพระพุทธชินราช ชื่นใจ สบายจิต หลับตานึกถึงภาพพระพุทธชินราชติดตา เห็นสภาพชัดเจน แจ่มใสมาก แล้วก็หลับตา ภาวนา คาถาภาวนาก็ไม่จำกัด

    แต่วันนั้นรู้สึกว่า จุไรเธอจะภาวนาว่า นะ มะ พะ ธะ เพราะเป็นคำภาวนาของ มโนมยิทธิ ความจริงมโนมยิทธินี้หลวงปู่ของจุไรเคยบอกว่า คำภวนานั้นมีเยอะ ไม่มีคำกำจัดเฉพาะ นะ มะ พะ ธะ แต่ว่าท่านพิสูจน์แล้ว เห็นว่า นะ มะ พะ ธะ มีความคล่องตัว และแจ่มใส จึงนำมาสอนพุทธบริษัท ความจริงคาถาภาวนาอย่างอื่นก็ใช้ได้ มีเยอะ หลายสิบอย่าง

    เมื่อเธอจับลมหายใจเข้าออก และก็ภาวนาตาม และคิดตามว่าตามปกติธรรมดา พระบังสุกุลคนตายว่า อนิจจา วต สงขารา ซึ่งแปลว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ อุปปาทวยธมนิโม เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป อุปปชชิตวา นิรุชฌนจิ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป คือตาย เตสํ วูปสโม สุโข การเข้าไปสงบกาย ชื่อว่า เป็นสุข

    อันนี้เป็นคาถาภาวนาสำหรับคนที่ตายแล้ว ที่เรียกว่า ผี แต่ว่าคาถาบังสุกุลคนเป็น อจีร วตยํ กาโย ทว่าเมื่อแปลตามความหมายเข้าจริง ๆ คือว่า อีกไม่นานนัก ร่างกายนี้จะมีวิญญาณไปปราศแล้ว ก็เหมือนกับของที่เขาทิ้ง เป็นของที่บุคคลพึงทอดทิ้ง ไม่ต้องการเหมือนกับท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์ (ถือเอาใจความ)

    เธอก็แปลกใจว่า บังสุกุลเป็นก็น่าจะบังสุกุลให้บุคคลนี้มีความสุข มีความเจริญ มีความร่ำรวย มีความปรารถนาสมหวัง ปลอดภัยอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่พระกลับบอกว่า อีกไม่นานนัก เธอจะตายแล้ว แต่ในฐานะที่เป็นเด็กก็ไม่อยากจะคิดค้านพระ ก็เลยน้อมมาคิดถึงว่า ใครบ้างที่เกิดแล้วไม่ตาย มีไหม เธอก็นึกว่า เธอยังไม่ตาย จุไรยังไม่ตาย คุณพ่อยังไม่ตาย คุณแม่ยังไม่ตาย คุณปู่คุณย่ายังไม่ตาย คุณยายคุณตายังไม่ตาย

    แต่ว่าคุณทวดตาย และไปดูเด็กรุ่นน้องข้างๆ บ้าน เขาตายไปก่อนหลายคน ก็เลยคิดตามความเป็นจริงว่า เราก็จะตายเหมือนกัน ถ้าเราจะตายจริง ๆ เราจะไปสวรรค์ชั้นไหน ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็มีสนุกสนานมาก น่าไป ชั้นยามา ก็นั่งสวดมนต์บ้าง เจริญกรรมฐานบ้าง ชั้นดุสิต เป็นเรื่องของพระโพธิสัตว์ ชั้นนิมมานรตี ก็เป็นหน้าที่ของเทวดาที่เนรมิตต่าง ๆ ชั้นปรนิมฯ ก็มีอำนาจมาก

    แต่ทว่าจริง ๆ แล้ว ก็ไม่น่าจะไป คือว่า ทุกคนที่เกิดมาแล้วตาย เทวดาก็จุติ น่าจะไปนิพพานมากกว่า เธอก็คิดว่า นิพพานจะไปได้หรือไม่ได้ หลวงปู่เคยบอกว่า ให้ตั้งใจไว้ก็แล้วกันว่าจะไปนิพพาน

    เวลานั้นเธอก็ตั้งใจคิดว่า ถ้าตายเมื่อไร ไปนิพพานเมื่อนั้น เพียงเท่านี้ ก็ปรากฏว่า ในเวลานั้น ภาพพระพุทธรูปที่เห็นเป็นพระพุทธชินราช เป็นปูนอยู่ เวลาที่เธอภาวนา และคิดอย่างนี้ใจก็จับ นึกถึงภาพพระพุทธชินราชไปด้วย เป็นอันว่า พระพุทธชินราชองค์นั้นค่อย ๆ มีเนื้อปรากฏขึ้น เหมือนกับคนธรรมดา แต่ว่าเป็นพระที่สวยมาก ผิวพรรณผ่องใส จีวรก็สวย รัศมีกายก็สวย ลุกขึ้นจากแท่น แล้วบอกกับเธอว่า ให้ออกมา จากอก ตามความรู้สึกของเธอว่า ออกไปจากอก

    เมื่ออกมันแหวกขึ้น ออกไป พอไปยืนข้าง ๆ ท่าน ท่านก็บอกว่า ร่างกายเดิมมันนั่งตรงนี้นะ ร่างกายที่มีเนื้อ มีหนังที่เราคิดว่า ไม่ช้ามันก็จะตาย มันนั่งตรงนั้น เวลาที่เราออกมาแล้วมายืนตรงนี้ ร่างกายมีสภาพเหมือนร่างกายตาย ต่อไปนี้ร่างกายมันจะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของร่างกาย เราไปเที่ยวกันดีกว่า ดีกว่ามานั่งเฉย ๆ ในที่นี้ จุไร ก็กราบท่าน บอกว่า ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจะไปทางไหน จุไรไปด้วยเจ้าค่ะ

    ก็เป็นอันว่า พระท่านก็ค่อย ๆ พาลอยขึ้นไปอย่างช้า ๆ (คำว่า ช้า ๆ ก็ใช้เวลาไม่ถึง ๒ นาที ถ้าคำว่าไปเร็ว ๆ พอนึกปั๊บก็ถึงปุ๊บ) ค่อย ๆ ลอยขึ้นไปบนอากาศ เข้าไปใกล้ดวงจันทร์เข้าไปทุกที ๆ ผลที่สุดก็ถึงดวงจันทร์

    จุไรเธอก็สงสัยว่า พระท่านจะพามาดวงจันทร์ทำไม ดวงจันทร์นี่มันของเก่าเต็มที่แล้ว เวลานี้ใคร ๆ เขาก็มากันได้ ฝรั่งมาตั้งสถานที่ต่าง ๆ มาเที่ยวกัน เป็นอันว่า ฝรั่งที่มาเที่ยวกันก่อน เขาถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะไว้ที่ดวงจันทร์กันบ้างหรือเปล่า ก็ไม่ทราบก็คิดว่า มันเป็นของเก่า แต่ว่าไม่กล้าฝืน พระต้องเป็นพระ เพราะเธอมีความเคารพ

    ในที่สุด พระท่านก็พาลงไปหยุดที่พื้นผิวของดวงจันทร์ ท่านถามจุไรว่า หลานรัก ดวงจันทร์นี่มีอะไรแปลกประหลาดบ้างไหม จุไรเธอก็ดูไปรอบ ๆ เธอก็บอกว่า ตามปกติที่มาดวงจันทร์ ก็ไม่เคยไปเที่ยวครบบริเวณของดวงจันทร์ ไปเฉพาะจุด

    แต่ว่าสำหรับสถานที่นี้ไม่เคยมา ท่านก็บอกว่า ใช่ ตรงนี้ หลานไม่เคยมาจริง ขอหลานจุไรตามหลวงปู่มา ท่านใช้ศัพท์ว่า หลวงปู่ เหมือนกัน จุไรก็เดินตามท่านไปประเดี๋ยวเดียว การเดิน เป็นการเดินผิดปกติ คือ เท้าไม่ถึงพื้น รู้สึกว่า เดินช้า ๆ แต่มันไปเร็ว ก็ไปหยุดอยู่ที่จุดหนึ่ง ปรากฏว่า ในสถานที่นั้น มีอาคารย่อม ๆ แต่ความจริง

    ถ้าคิดตามของโลกมนุษย์มันก็ไม่ย่อม มีความกว้างประมาณ ๑๐ เมตร มีความยาวประมาณ ๑๗ เมตร และมีความสูงประมาณ ๗ เมตร และก็มีเสาอะไรต่ออะไรต่อที่ยอดอีกเยอะแยะ อีกหลายเสา และก็ไปดูอาคารหลังนั้น มันไม่มีคนเลย มันมีแต่เครื่องจักรกล ที่ไม่รู้เรื่องจริง ๆ แถมมีลูกตา คำว่ามีลูกตา คือ มีกล้อง มีกล้องส่องไปข้างหน้า แล้วก็มีจออยู่ข้างหลังแต่ละกล้อง ๆ ก็มีจอทั้งหมด เธอก็ไปดู จอเขาเขียนว่า ที่นั่น ที่นี่ ที่นี่ ที่โน่น

    ก็รวมความว่า อาคารหลังนี้เป็นลูกตาดู สำหรับดูมนุษย์โลกหรือโลกชมพู ดูทั้งตะวันออกกลาง ตะวันออกไกล เอเชีย ดูหมดภาพเห็นชัดเจนแจ่มใสมาก แต่เธอก็แปลกใจว่า ไม่มีคน แล้วก็ทำไว้ทำไม ทำไว้ให้ใครดู จึงได้กราบทูลถามองค์สมเด็จพระบรมครูว่าอาคารหลังนี้ เขาเรียกว่าอะไรเจ้าค่ะ ท่านก็บอกชัดเจนแจ่มใสหมด อธิบาย เธอก็เข้าใจ

    ในที่สุด เธอก็มาดูภาพที่จอ เห็นชัดเจนแจ่มใส การเคลื่อนไหวทั้งหมดก็เป็นอันว่า รู้การเคลื่อนไหวของโลก ทั้งโลก ก็แปลกใจ แต่เพียงว่า ไม่มีคนแล้วเขาจะให้ใครดู ก็ถามพระท่านบอกว่า เขาทำไว้ทำไม พระท่านก็บอกว่า

    ทีนี้คนทำท่านไม่บอก ว่าจะเป็นคนในโลกชมพูไปทำ หรือชาวโลกพระจันทร์ทำ ท่านไม่บอก ท่านบอกว่ากล้องอยู่ตรงนี้จออยู่ตรงนี้ แต่ทว่ายังมีจออีกจอหนึ่ง ซึ่งอยู่ไกลไปจากนี้มา คือว่า ไกลจากนี้เยอะ จะมีหน้าที่คอยดูอยู่ จุไรเธอจึงถามท่านว่า แล้วมันจะไปได้อย่างไร เพราะมันไกลแสนไกล จุไรถาม พระท่านบอกว่า คนที่ดูจอที่สองต่อไปหรือต้นจอ นั่นเขาอยู่โลกนี้หรือโลกอื่น

    ท่านก็ยิ้ม ท่าบอกว่า เรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่ของเธอที่จะรู้ เป็นแต่เพียงพามาให้ดูว่า ความศิวิไลซ์ในด้านปัญญาของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องเล็ก ขนาดโลกพระจันทร์มายังโลกชมพู เป็นของไม่ยาก

    สำหรับการดูและเวลานี้ การไปการมาของโลกมนุษย์และโลกพระจันทร์ก็เป็นของไม่หนัก ฝรั่งเขามาได้แบบสบาย ๆ ท่านก็ให้ดูภาพข้าง ๆ จอ ซึ่งเป็นภาพเล็ก ๆ จะว่าเป็นภาพถ่ายก็ไม่เชิง เธอก็ดูแล้วเห็นว่า เอ๊…คนโลกพระจันทร์นี่ เขาจมูกโด่ง ๆ เหมือนกันนะ เหมือนกับชาวยุโรป ชาวอเมริกาในโลกชมพู

    ก็ถามท่านว่า คนที่ทำพวกนี่มีจมูกโด่ง ๆ ก็อยากจะทราบว่า เขาเป็นฝรั่งใช่ไหม ท่านบอกว่า ที่โลกพระจันทร์เขาไม่เรียกว่า ฝรั่ง ที่โลกพระจันทร์นี้เขาก็เรียกกันตามธรรมดา ๆ ว่า คน ท่านก็ยิ้ม ๆ แล้วก็ถามท่านว่า อนุภาพของอาคารหลังนี้ ตาต่าง ๆ มีอานุภาพประเภทใดบ้าง

    ท่านก็บอกว่า เฉพาะอานุภาพของสถานี สถานีนี้ไม่มีอะไรอย่างอื่น นอกจากดูอย่างเดียว เป็นกล้องส่งรายงานไปให้ต้นทางว่า อะไรจะเกิดที่ไหนบ้าง มุมไหนของโลกชมพู ใครจะทำอะไร มีการเคลื่อนไหวแบบไหน และภาพที่ปรากฏก็มีการบันทึกภาพไว้ด้วย นั่นก็หมายความว่า จุไรก็เข้าใจ เพราะที่บ้านเธอมี วิดีโอเทป ก็คล้าย ๆ กับวิดีโอเทป แต่ความจริงอาจจะไม่ใช่ นักวิทยาศาสตร์เขาเก่ง

    เธอก็มองต่อไป ถามพระท่านบอกว่า อานุภาพแห่งการใช้อาวุธมีไหม ท่านบอกว่า สถานีนี้ไม่มี เพราะว่าสถานีนี้มีความต้องการอย่างเดียวคือการเคลื่อนไหว แล้วท่านก็ชี้ให้ดูไกล ๆ ออกไปในอากาศ ก็จะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ลอยไปตามกระแสของโลก ลอยเร็วมากก็ถามท่านว่า นั่นอะไร ท่านก็บอกว่า สิ่งสภาพใหญ่มีทางเกะกะนิดหน่อย อันนี้เป็น จรวด มีความเร็วสูง แต่อันนั้นเป็น ดาวเทียม ท่าทางเก้งก้างมาก ความจริงสภาพของจรวดก็ดี สภาพของดาวเทียมก็ดี รู้สึกว่า มีเยอะแยะ มีสภาพแตกต่างกัน

    ก็ถามท่านว่า จรวดก็ดี ดาวเทียมก็ดี เป็นของใคร พระท่านก็ตอบว่า เป็นชาวโลกชมพู โลกที่หนูอยู่ แล้วเธอก็ถามท่านว่า ชาวโลกชมพู จะมีสิทธิ์จับจองสถานที่แห่งนี้ในโลกพระจันทร์ เป็นที่อยู่ได้ไหม พระท่านก็ยิ้ม ท่านก็บอกว่า นั่นเป็นความสามารถของนักวิทยาศาสตร์

    หลังจากนั้น ท่านก็บอกว่า ประเดี๋ยวก่อนนะ เราหยุดกันตรงนี้ก่อน มาสังเกตความวิจิตรพิสดารของเครื่องประดับ ในการสร้างอาคารหลังนี้จะดูซิว่า มันเหมือนอะไรในโลกมนุษย์ จุไรก็เข้าไปดูมันมีเหล็ก มีอะไรต่ออะไร เหมือนกับที่ข้างบ้านเขาทำกัน นั่นทุกอย่าง มันก็เป็นของแข็งคล้ายคลึงกัน และไปดูจอ ก็คล้าย ๆ จอโทรทัศน์ที่บ้าน แต่ว่าไม่เหมือนจริง ๆ มันมีสภาพคล้ายคลึงกัน ก็กราบเรียนท่านว่า อันนี้มันเหมือนกับโลกที่อยู่จริง ๆ ท่านก็บอกว่า ใช่ ที่ไหนมีคน ที่นั่นความสามารถย่อมมีเสมอกัน

    แต่ชาวโลกพระจันทร์จริง ๆ อาจจะมีความสามารถกว่าโลกชมพูก็ได้ แต่ว่าถ้าเราถือว่า ชาวโลกพระจันทร์มีความสามารถยิ่งกว่าโลกชมพูก็ไม่แน่นัก ถ้าคิดอย่างนี้มันอาจจะเป็นความโง่ของเราก็ได้ เพราะชาวโลกชมพู ถ้าไม่เก่งจริง ก็ไม่สามารถมาโลกพระจันทร์ได้ ก็รวมความว่า วันนี้ก็อยู่แค่สถานีแรก เพราะว่ายังเคลื่อนย้ายไปไม่ไหว เวลามันจะหมด สวัสดี
     
  10. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๔.จุไรท่องดวงจันทร์(ตอนที่ ๒)

    ท่านผู้อ่านทั้งหลาย เรื่องราวต่าง ๆ ของจุไร ขอได้โปรดทราบว่าเป็นนิทาน อย่าถือว่า เป็นเรื่องจริงจัง ก็มาคุยกันต่อไป

    ในเมื่อจุไรไปกับพระแล้ว พระท่านก็แนะนำให้รู้จักสถานีหมายถึงว่า กล้องส่องทางไกล ส่องมายังมนุษยโลก แต่ว่าจุไรเองก็ยังไม่ทราบว่า เป็นมนุษย์ชาวโลกชมพูทำ หรือว่าเป็นมนุษย์ในโลกพระจันทร์ทำ เธอก็มารำพึงในใจว่า

    นี่เรามาคนเดียว พระท่านก็นำมา และก็ไม่ได้ชวนใครมาด้วย ถ้ารู้ตัวอยู่ก่อน ก็จะชวนคุณแม่มาด้วย แต่ว่ามองดูคุณแม่ เห็นว่านั่งสงบ มีอารมณ์สงัด มองดูไปอีกคนหนึ่ง คือ คุณป้าน้อย นามสกุล กานดา (สำหรับชื่อนี่ ท่านผู้ฟัง ท่านผู้อ่านได้โปรดทราบว่า ไม่มีเจตนาจะนำใครมาเป็นตัวเรื่องในนิทาน ด้วยเป็นชื่อที่ตั้งขึ้น และนามสกุลที่ตั้งขึ้น ถ้าบังเอิญไปชนกับชื่อของใคร นามสกุลของใครเข้า ก็ขอได้โปรดอภัยด้วย ไม่มีเจตนาเป็นอย่างอื่น)

    ก็รวมความว่า มองเห็นป้าน้อย ก็คิดในใจว่า ถ้าบารมีของพระมีความเข้มข้น และไม่เกินวิสัยที่จะสงเคราะห์ได้ ขอให้ป้าน้อยขึ้นมาที่นี่ เพียงคิดเท่นี้ ก็ปรากฏว่ามีแสงสว่างเป็นสาย ๖ สี พุ่งลงมาที่ป้าน้อย แล้วป้าน้อยก็ลอยขึ้นไปตามแสง ก็เป็นอันว่า ป้าน้อย นามสกุล กานดา จุไรก็พบ ได้เป็นเพื่อนคุยกัน

    ในเมื่อพระท่านกำลังจะพาไปสถานที่อื่น จุไรก็ถามป้าน้อยว่า ป้าเคยมาที่นี่ไหม ป้าน้อยก็บอกว่า ป้าไม่เคยมาจ้ะ จุไรก็ชี้ให้ดูว่า ป้า ดูอะไรนี่แน่ะ ลูกตาหลายตาเยอะเชียว ส่องลงมาโลกชมพูที่เราอยู่ แล้วก็มีจอข้างหลังเยอะ เห็นภาพโลกชมพูชัดเจน ใครจะไป ใครจะมา ไปไหน มาไหน เห็นชัดเจน ป้าน้อยก็เอามือไปจับ ๆ ป้าน้อยเป็นผู้ใหญ่ อายุประมาณเห็นจะ ๖๐ หรือ ๗๐

    ก็เป็นอันว่า จับไปจับมา ก็ไปขยับไปจับปุ่มอะไรเข้าก็ไม่ทราบ ภาพนั้นก็มีการเคลื่อนไหว หมายความว่า ดูภาพจุดนี้แล้วก็เห็นจุดโน้นได้ ตามปุ่มต่าง ๆ ป้าน้อยดูแล้ว ก็บอกจุไรว่า ของอัศจรรย์จริง ๆ นะ แต่ความจริง มันก็ไม่แปลกมากนัก เพราะว่าเวลานี้ชาวโลกชมพูเขาไปดวงจันทร์ ไปดวงอังคารกัน

    คนในโลกชมพูก็สามารถเห็นภาพได้ทุกคน ถ้าดูโทรทัศน์ แล้วเขาสามารถจะพูกันได้ ฉะนั้นสถานีนี้จะเป็นใครทำไม่สำคัญ แต่ว่าป้าน้อยมองไปมองมา ป้าน้อยบอก จุไรหลานรัก ที่หลานเห็นภาพเป็นเงา ๆ ไหม

    จุไรก็บอกไม่เห็นเจ้าค่ะ คุณป้า ป้าน้อยก็ บอกว่า ป้าเห็นเงา ๆ เงาของคนจมูกโด่ง ๆ จุไรก็บอกว่า เหมือนที่ภาพตรงนี้ไหม ก็ชี้ไปมุมสถานี เป็นภาพเล็ก ๆ ป้าน้อยก็บอกว่า ใช่ เหมือนกัน เป็นคนจมูกโด่ง ๆ เข้าใจว่าจะเป็นฝรั่ง พระท่านก็ยิ้ม ท่านก็บอกว่า น้อยเอ๊ย ชาวโลกนี้เขาไม่มีฝรั่ง ไม่มีไทย ไม่มีลาว ไม่มีเจ๊กนะ

    ก็รวมความว่า ป้าน้อยก็ยังไม่ทราบว่า ชาวโลกไหนทำกัน พระท่านก็บอกว่า น้อยและหลานจุไรไปกับหลวงปู่ หลวงปู่จะพาเดินไปค่อย ๆ เดินนะ ไปแล้วก็ดูซ้ายดูขวาว่ามันมีอะไรบ้าง ในเมื่อจุไรกับป้าน้อย เดินเคียงคู่กันไป พระนำหน้า ก็มองทางซ้าย มองทางขวา สายตากวาดไปในที่ต่าง ๆ มาดูทางด้านขวา

    ก็ปรากฏว่า มีปุ่มโลหะ ตั้งอยู่หลาย ๆ ปุ่ม ก็ทราบทูลถามพระท่านว่า ปุ่มทั้งหลายเหล่านั้นเป็นอะไร ท่านก็บอกว่า แต่ละปุ่ม เป็นสถานีย่อย ๆ แต่ละคนเขาทำไว้ คือ ทั้งนี้เขาอยากจะดูความเคลื่อนไหวของชาวโลกชมพู ป้าน้อยก็กราบทูลท่านว่า ถ้าอย่างนั้นปุ่มทั้งหลายเหล่านี้ ชาวโลกพระจันทร์ทำหรือชาวโลกชมพูทำ

    ท่านก็ยิ้มเฉย ๆ ท่านไม่บอก หันดูไปทางซ้ายก็ปรากฏว่า มีภาพคล้าย ๆ เรือ จะเป็นเรือบินก็ไม่ใช่ ภาพก็ไม่ค่อยจะเหมือนกัน หัวมันป้าน ๆ แต่มีสภาพคล้าย ๆ กับเครื่องไอพ่น แต่หางและหัวไม่เหมือนเครื่องไอพ่นในโลกมนุษย์ ป้าน้อยก็ถามพระท่านว่า ไอ้นั้นเป็นเรือใช่ไหม ท่านก็ตอบว่า ใช่ ถามท่านว่า เรืออะไร ท่านก็บอกว่า เรือบิน ถามว่าบินไปไหน ท่านก็บอกว่า บินไปโลกชมพู

    และถามท่านว่า จุดที่เขาจะไปตรงไหน ท่านก็ชี้จุด ไปจุดเขตของคนจมูกโด่ง คนจมูกฟีบอย่างชาวเอเชียนี้ เขาไม่ลงมา เพราะว่าชาวเอเชียยังมีความฉลาดไม่พอเท่าเขา แต่ชาวจมูกโด่ง ๆ อันนี้รู้สึกว่าเขาฉลาดมาก เขาไม่สนใจความฉลาดของชาวเอเชีย

    จุไรจึงกราบเรียนท่านว่า หลวงปู่เจ้าคะ จะไปชมเรือได้ไหม ท่านก็บอกว่า ได้ จึงพากันไป เลี้ยวซ้ายเดินไปนิดเดียวก็ถึงเรือเข้าไปในเรือก็ปรากฏว่า ไม่มีคนอีก คนสักคนก็ไม่มี ร่องรอยของคนก็ไม่มี

    ก็ปรากฏว่า ทุกสิ่งทุกอย่างทำความสะอาดเรียบร้อยหมดเก็บงำไว้อย่างดี ปิดมิดชิด แต่ว่าฝาประตูเปิด ตามปกติเขาปิดสนิท แต่ว่าพอพระท่านเอามือเข้าไปแตะ ประตูก็เลื่อนออก ไม่ใช่ดึงออกประตูเลื่อนออกเอง จึงพาเข้าไปชมในเรือ ไม่มีอะไรเป็นอาวุธ ที่นั่งเรียบร้อย ไม่ใช่นั่งอย่างเดียว นอนก็ได้ ที่นั่งกว้างขวาง ทางเดินก็กว้างขวาง

    แต่สิ่งที่ประหลาดที่สุด ก็คือ ไม่มีส้วม และก็มีจุด ๆ หนึ่งมีกล่องคล้าย ๆ กล่องแก้ว แต่ว่าแข็งมากอาจจะเป็น เหล็กใส เก็บยาแบบแคปซูลไว้เยอะเขาเขียนไว้ พระท่านก็อ่าน ท่านก็บอกว่านั่นเป็นยา ยาที่เป็นอาหาร คนทุกคนที่ไปกับยานพาหนะอันนี้จะไปไกลแสนไกลถึงไหนก็ตาม วันหนึ่งกินยาแค่เม็ดเดียว จะสามารถทรงร่างกายได้ และมีกำลังดี

    จุไรเธอก็กราบทูลหลวงปู่ว่า ถ้าอย่างนั้นหนูอยากจะได้บ้าง จะเอาได้ไหม ท่านก็บอกว่า เป็น อทินนาทาน เจ้าของเขายังถือว่า เป็นของเขาอยู่ เขาไม่ได้ทิ้ง เขาเก็บไว้มิดชิดอย่างนี้ และเรือเขาก็ปิดสนิท อย่างเราเข้ามาด้วยปาฏิหาริย์ เอาของเขาไม่ได้ รวมความว่า ทั้งสองคน ทั้งป้าทั้งหลานต่างคนต่างนึกเสียดาย อยากจะได้ยา แต่ก็ไม่กล้าพูด ไม่กล้าบอก ไม่กล้าแสดงกิริยา เพราะเกรงใจพระท่าน

    พระท่านก็บอกว่า ไปกันดีกว่า ไปข้างหน้าจะพบอะไรดีกว่านี้ เดินกันไปสักครู่เดียว คือ ประเดี๋ยวเดียว ใช้เวลาประมาณสัก ๑ นาที แต่มาไกลมาก เป็นการเดินแบบลอย ขานั้นรู้สึก ก้าวไปก้าวมา ก้าวเท้าซ้าย ก้าวเท้าขวา แต่ว่ามันเร็วจัด ก้าวช้า ๆ แต่รู้สึกว่าเร็วมาก

    ก็ไปพบสถานีประหลาดอีกสถานีหนึ่ง สถานีนี้มีสภาพเป็นเงาคล้าย ๆ กระจกทั้ง ๔ ด้าน แต่ทว่า ไม่มีลูกตาส่อง มีความใหญ่โตน้อยกว่าสถานีอื่น จะเน้นจุดนี้ก่อน ความใหญ่โตของสถานีนี้ก็มีความยาวประมาณ ๘ เมตร กว้างประมาณ ๕ เมตร สูงประมาณ ๗ เมตรเหมือนกัน

    อีกด้านหนึ่งของสถานีมีจอเยอะ จอดูเห็นหมดเหมือนกันดูโลกมนุษย์ ชมพูทวีป หรือว่าโลกชมพูเห็นหมดทุกอย่างการเคลื่อนไหวทุกอย่าง เห็นหมด ป้าน้อยก็เป็นคนซน มือก็แหย่ตรงนั้น แหย่ตรงนี้

    ก็ปรากฏผลว่า พอแหย่ปั๊บ มันก็ย้ายที่มอง ที่มองต่าง ๆ ตามจุดต่าง ๆ มันมีปุ่มสำหรับบังคับ ที่นี่มองจุดนั้นออกขึ้นจอนี้ พอกดปุ่มนี้ขึ้นจอนั้น และก็ย้ายปั๊บ ไอ้จอนั่นแหละ จะย้ายที่เคลื่อนไหวไปได้ คล้าย ๆ กับหน้ากล้องส่าย แต่ว่าสภาพของกล้องไม่มี ป้าน้อยก็ดี จุไรก็ดี ก็แปลกใจ

    พระท่านก็บอว่า ลูกและหลานรัก สถานีนี้ ถึงแม้จะเล็กกว่าสถานีก่อน ก็มีอานุภาพมากกว่าสถานีก่อนมาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าสถานีนี้นอกจากจะดูโลกชมพูแล้ว การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของโลกชมพู จะเป็นจุดไหนก็ตาม ตามที่เขาต้องการ เขาจะทราบหมด และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ของที่เก็บไว้ในตึก ในราม ในตู้ ถ้าเขาต้องการจะเห็น เขาก็เห็นภาพได้ด้วย อัศจรรย์มาก

    นอกจากดูภาพได้แล้ว ก็ยังมีสิ่งอัศจรรย์ คือ อาวุธสำคัญ คำว่า อาวุธนี้ไม่ใช่อาวุธทำลายคนอื่น แต่ว่าเป็นการทำลายอาวุธ ที่จะมาทำอันตรายประเทศของเขา ป้าน้อยคันปากทนไม่ไหว กราบเรียน

    ท่านก็ตอบว่า ชื่อประเทศฉันไม่บอก นั่นก็หมายความว่า ประเทศนั้นชื่อว่า ท่านไม่บอก คือว่า ไม่บอกประเทศให้ ป้าน้อยก็ถามต่อไปว่า ประเทศที่ทำเจ้าของเขาอยู่โลกชมพู หรือว่าโลกพระจันทร์ ท่านก็ตอบว่า ท่านไม่มีสิทธิ์จะบอก ป้าน้อยก็มองไปมองมา ตามทัศนะของคนผู้ใหญ่ สนใจมาก และรู้สึกว่า พิถีพิถัน มองไปมองมาก็เห็นภาพจมูกโด่ง ๆ ปรากฏเป็นภาพขึ้นมา

    เธอก็ถามพระท่านว่า พวกที่ทำนี่เป็นฝรั่งใช่ไหม ท่านก็บอกว่า ที่นี่เขาไม่มีฝรั่ง แต่ก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ของชาวโลกที่เขาทำได้ เขามีความเก่งกาจมาก ป้าน้อยก็รำพันในใจว่า นักวิทยาศาสตร์นี้เขาเป็นช่างประดิษฐ์ คิดค้นต่างๆ สิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปก็เป็นไปได้ อย่างโลกพระจันทร์ กับโลกชมพู ไกลกันแสนไกล ชาวโลกชมพูก็มาได้ แค่เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง คนอยู่ต้นทางก็เห็นหมด ทั่วโลกก็เห็นหมด

    รวมความว่า ถ้าใครดูโทรทัศน์ ต่างคนต่างเห็น ต่างคนต่างรู้ได้ยินเสียงเขาพูดกันเป็นความมหัศจรรย์ของมันสมอง ยากนักก็ถือว่า เป็นคนมีบุญ เธอก็หันเข้าไปปรึกษากับจุไรว่า หลานคิดไหมว่า นักวิทยาศาสตร์นี่เขามาจากไหน จุไรก็บอกว่า นักวิทยาศาสตร์เป็นคนช่างคิด เป็นคนช่างประดิษฐ์ ถ้าชาติก่อนจริง ๆ น่าจะมาจากชั้นนิมมานรดี เพราะว่าเทวดาชั้นนิมมานรดีเป็นนักเนรมิต ถ้าเทวดาชั้นปรนิมฯ ต้องการอะไร เทวดาชั้นนิมมานรดีก็เนรมิตให้หมด

    การเนรมิตหรือประดิษฐ์หรือคิดค้น มันก็มีสภาพเหมือนกัน ถ้าเป็นคนก็ต้องคิด ต้องทำ ถ้าเป็นเทวดา ก็นึกเอาเฉย ๆ เพราะ เทวดาไม่มีธาตุ ๔ แต่มนุษย์เรามีธาตุ ๔ ก็ทำ จับของที่เป็นส่วนหนึ่งของธาตุ ๔ มาปรับปรุงได้ พระท่านก็หันมายิ้ม ท่านก็บอกว่า การตัดสินใจอย่างนั้นดี เพราะความเป็นจริงนักวิทยาศาสตร์จริง ๆ มาจากชั้นนิมมานรดีเกือบทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทั้งหมดเสียจริง ๆ

    ป้าน้อยก็กราบทูลถามท่านว่า ที่ว่าไม่ใช่ทั้งหมด ที่ไปจากชั้นนิมมานรดีนี่ เขาทำอะไร ท่านบอกว่า ถ้าไปจากเทวดาชั้นนี้นะจะคิดเฉพาะด้านสันติอย่างเดียว อย่างการมาเที่ยวโลกพระจันทร์ เที่ยวโลกพระอังคาร เที่ยวโลกพระพุทธ เที่ยวโลกพระศุกร์ เที่ยวที่ไหนก็ตาม หรือเที่ยวโลกเกตุ นักคิดเพื่อเที่ยว นี่มาจากชั้นนิมมานรดี แต่พวกค้นคิดอาวุธนี่ ไม่ใช่มาจากชั้นนิมมานรดี ทั้งนี้เพราะอะไรก็เพราะว่าอาวุธ เป็นเครื่องทำลายประหารชีวิต คิดจะสร้างบาป อันนี้ต้องมาจากชั้นอื่น

    ก็ถามว่า ชั้นอื่น สามารถทำได้หรือ ท่านก็เลยบอกว่า เขาสามารถทำได้เหมือนกัน ป้าน้อยก็กราบเรียนถามท่านว่าเพราะอะไร ในเมื่อก่อนนี้เขาเป็นเทวดาแล้ว เมื่อมาเกิดเป็นคนน่าจะสร้างความดี สร้างบารมีต่อ ทำไมต้องสร้างอาวุธเข่นฆ่ากัน

    ท่านก็ตอบว่า มีเยอะไป คนที่ไปจากชั้นดี มีบารมีมาก พอเกิดเป็นมนุษย์ก็ลืมความดี ลืมบุญกุศลที่ตนทำ เพราะระลึกชาติไม่ได้ ขาดการศึกษาด้านนี้โดยเฉพาะ แต่ว่าวิชาการด้านอื่นเขาดี เขาก็ทำคิดจะฆ่าคนโน้น คิดจะฆ่าประเทศนี้ คิดจะฆ่าเหล่าทหารเหล่านั้น

    ก็รวมความว่า การเห็นผิด การเข้าใจผิด เพราะมิจฉาทิฐิ คือ บาป เข้าสนองใจ เป็นของมีจริง ท่านก็เลยบอกว่า การคุยกันเรื่องนี้ก็ดี แต่ว่ามันก็ไม่ดีหรอก มันช้าเกินไป เราตรวจดูกันต่อไป

    คือ สถานีนี้จะเห็นว่า มีปุ่ม ๆ หนึ่งจะสามารถเปล่งแสงออกไปได้ คือ รังสีต่าง ๆ ป้าน้อยก็ถามว่า รังสีต่าง ๆ นี่เขาใช้อะไร ท่านก็บอว่า ถ้าปุ่มนี้นะ เมื่ออาวุธข้าศึกเข้ามาในข่ายที่ต้องการจะป้องกัน เมื่อกดปุ่มนี้ลงไป รังสีจะพุ่งไปที่อาวุธนั้น อาวุธจะเบนทิศทางเขาจะเบนไปไกลแสนไกลอย่างไรก็ได้ ให้เบนกลับหลัง หันกลับที่เดิมก็ยังได้

    นั่นหมายความว่า อาวุธนั้นจะไปทำลายเจ้าของเอง และปุ่มที่สองปุ่มนี้เขาจะยับยั้งอานุภาพของอาวุธ สมมติว่าถ้ายิงจรวดมากระทบรังสีนี้เข้า จรวดนั้นจะด้าน ถ้าไปตกปุ๊บที่ใดที่หนึ่งก็ตาม จะด้านเฉย ๆ ไม่มีการระเบิด จะต้องการให้ไปตกที่ไหน ก็ใช้รังสีจุดเดิมสั่งเบนทิศทาง แต่ว่าสำหรับปุ่มที่สาม เมื่ออาวุธยิงเข้ามา เขากดรังสีนี้ปรากฏขึ้น อาวุธนั้นจะทำลาย จะแตกในอากาศ

    ป้าน้อยก็ถามว่า สำหรับสถานีนี้ จะสั่งการให้อาวุธไปลงที่ไหนนั้นได้ไหม ท่านบอกว่าได้เลย สมมติว่าถ้าเขาเองยิงจรวด จะไปที่ใดที่หนึ่งก็ตาม บังเอิญจรวดของเขา (ก็ดูตามภาพในจอ) จะลงผิดที่ผิดทาง ที่เขาต้องการ เขาจะกดปุ่ม เบนจรวดนั้นให้ลงเฉพาะจุดที่เขาต้องการได้ทันที

    ก็รวมความว่า สถานีนี้เป็นสถานีที่มีอานุภาพมากกว่าสถานีก่อน ป้าน้อยก็กราบทูลถามท่านว่า แล้วสถานีนี้ ฐานที่ตั้ง คือ คนสั่งการอยู่ที่ไหน ท่านบอกว่า อย่าถามท่านเลย เป็นกฎของกรรม ท่านก็หันมาถามจุไรว่า หลานรัก อยากจะเที่ยวต่อไปไหม จุไรก็กราบเรียนบอกว่า อยากจะเที่ยวต่อไปเจ้าค่ะ

    ท่านบอกจะให้ดูอีกสถานีหนึ่ง เป็นสถานีเล็ก ๆ ท่านก็พาไป เมื่อเข้าไปถึง เป็นสถานีย่อม ๆ อาคารกว้างจริง ๆ ประมาณ ๔ คูณ ๔ คือ กว้าง ๔ เมตร และก็ยาว ๔ เมตร เป็นสี่เหลี่ยม สูงประมาณ ๗ ศอก ไม่โตเลย ๗ ศอก ก็ ๓ เมตรครึ่ง ต่ำ ๆ แคระ ๆ แต่ลักษณะก็คล้าย ๆ กับสถานีทีสอง มีอะไรคล้ายคลึงกันมาก ท่านก็บอกว่า ดูที่จอให้ดีซิ พอมองที่จอ สถานีนี้มองเฉพาะเอเชียอย่างเดียว ถ้าจะเบนทิศทางไปทางยุโรป หรืออเมริกาจะจางมาก ดูไม่ถนัด ดูได้เหมือนกัน แต่ไม่ถนัด รู้สึกจาง ๆ มาก

    จุไรก็กราบเรียนถามว่า หลวงปู่เจ้าค่ะ อยากจะทราบว่า สถานีนี้ใครสร้าง ท่านก็เลยบอกให้ถามป้าน้อยเขาซิ ป้าน้อยเขาคนชอบดู ป้าน้อยเป็นคนชอบพิสูจน์ ป้าน้อยก็นั่งมองดูสถานีสักครึ่งนาที ก็ตอบออกมาว่า เอ๊ะ…สถานีนี้จมูกไม่โด่งนะ จมูกแฟบ ๆ ใส่เสื้อคอตั้ง ก็รวมความว่า นักวิทยาศาสตร์ที่ทำนี่ เป็นคนจมูกต่ำ ๆ และก็ใส่เสื้อคอตั้ง จุไรเธอก็มองบ้าง จุไรบอก เอ๊ะ นี่มีขากถุยด้วยนะคะ นอกจากเสื้อคอตั้ง จมูกไม่โด่ง ยังมีขากถุย ก็มีอย่างนี้ด้วย พระท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่า เออ ดีมากใช้กำลังใจได้ดี แต่ก็อย่ารู้ละเอียดเลยนะ เอาแค่นั้นก็แล้วกัน

    ก็รวมความว่า ๓ สถานี ไม่รู้ว่า ใครเป็นใครกันแน่ พระท่านก็บอกว่า เท่าที่พามาดูนี่เพราะการมาครั้งแรกน่ะ มันไม่มี เวลานี้สถานีทั้ง ๓ นี่ เกิดขึ้นมาใหม่ จึงมาให้ดู จะได้ทราบว่า เวลานี้คนเรามีปัญญา สามารถดีมาก และเก่งกาจขึ้นมามาก สามารถจะทำอะไรก็ได้ อยู่คนละโลก มองกันเมื่อไรก็ได้ รู้สภาพความเป็นมา ถ้ามีภาพอะไรที่ต้องการก็สามารถบันทึกภาพไว้ได้

    ท่านก็เลยบอกว่าเท่าที่ดูนี่ ไม่มีความหมายอย่างอื่น ให้ดูเฉย ๆ และไม่ต้องการให้รู้อะไร แต่สิ่งที่มีประโยชน์ยิ่งกว่านั้นมีอยู่ นั่นคือ ท่านพาไปอีกจุดหนึ่ง ไกลจากที่นั้นพอควร ถ้าจะเทียบเมืองมนุษย์เราละก็ ใช้ระยะทางไกลประมาณ ๕๐ กิโลเมตร ขณะที่ลอยเคว้งคว้างไปในอากาศ ต่ำ ๆ มองเห็นทรายเบื้องหน้าขาวพรึบ แต่ไม่ใช่ขาวเป็นสีเงินเฉย ๆ มีแพรวพราวเป็นระยับ จับแสง คล้ายกับต้องแสงอาทิตย์ แล้วมีประกายขึ้นมา สวยมาก

    พระท่านก็พาลงที่นั่น ท่านบอกว่า ถ้าลักษณะทรายแบบนี้นะ มีที่ไหน ที่นั่นมีทองคำ และเป็นทองคำที่มีกำลังหนาแน่นมาก เป็นทองคำที่ขุดไม่ลึก แต่เอามือกวาด ๆ ทรายออก ก็ถึงทองคำ แต่ไม่ใช่ทองคำแท่ง เป็นแร่ทองคำ และไม่ใช่แร่ถลุง เป็นทองคำแท้เม็ดเล็ก ๆ ท่านบอกว่า พิสูจน์ดูก็ได้ ทั้งสองคน ทั้งป้าทั้งหลานก็นั่งลง เอามือกวาด ๆ ทราย กวาดลึกลงไปประมาณสักครึ่งฟุตก็ปรากฏว่า เห็นเม็ดทองเหลืองอร่าม เป็นทองร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกคนก็ตะลึง

    พระท่านบอกว่า ดูได้นะ แต่ว่าอย่าหยิบเอาไป ป้าน้อยก็กราบเรียนถามท่านว่า มีเจ้าของหรือ ท่านก็ตอบว่า เธอไม่ได้นำขันธ์ ๕ มา แบกไปไม่ไหวหรอก ที่มาที่นี่ ก็อยากจะบอกให้ทราบว่าทองจุดนี้เป็นสายเดียวกับทองที่เชียงราย และลำปาง หนูจุไรก็ถามบ้างว่า มันคนละโลกนะเจ้าคะ เชียงรายและลำปางนี่ เป็นของโลกชมพู แต่ว่าสถานที่นี้เป็นโลกพระจันทร์ ท่านก็หันมาถามบอกว่า นักวิทยาศาสตร์เขาบอกแล้วใช่ไหมว่า ในอากาศมันมีกระแสไฟฟ้าเดินเป็นปกติ ทุกคนก็ งง

    ในที่สุด ท่านก็บอกว่า เอาละ เวลาเขาจวนจะเลิกกันแล้ว การเจริญพระกรรมฐานในวิหาร ๑๐๐ เมตร วิหารแก้วนะ เขาจะเลิกกันแล้ว ประเดี๋ยวเขาจะคอย ในเมื่อเขาเลิกกัน เขาจะเห็น คน ๒ คน นั่งเฉย ๆ ดีไม่ดีเขาคิดว่า ตาย เขาจะนำไปฝัง จะลำบากเปล่า ๆ ท่านก็พากลับ แต่ว่าก่อนที่จะกลับ ก็แวะไปที่เชียงราย กับที่ลำปาง ท่านบอกว่าจุดนี้เป็นทอง เฉพาะที่เชียงราย จุดนี้นะ มีทองคำ

    แต่กระแสจุดใหญ่ ๆ ของทองคำยังไม่มีใครทราบ และสายเดิมของทองคำ เดินสายตามทางนี้ ยิ่งไกลออกไป ยิ่งมีความจางสูงเวลานี้ สายที่ไกลออกไป มีความจางสูง และก็มีกระแสข้าง ๆ ในระหว่างนานมาแล้ว ประมาณสัก ๓๐ ปี ๓๐ ปีเศษผ่านมานี่ ชาวเขาเขาขุดได้กันทุกวัน เวลานี้เขายังขุดกันอยู่ แต่ว่าความจริง ที่เขาจุดจริง ยังไม่ถูกสาย ถ้าสายจริง ๆ ต้องดูภูเขาลูกนี้ มีลักษณะแบบนี้ จุดสีขาวอยู่ตรงนี้ โขดหินนี่อยู่ตรงนี้ ลักษณะของเขาเป็นอย่างนี้ ข้างซ้ายของเขา ข้างขวาของเขา เป็นอย่างนี้

    ถ้าหากเดินตามสายนี้ ยืนจากเขาลูกนี้ออกไป หันหน้าไปทางทิศใต้ ขุดตามทางสายนั้น เขาจะเจอะแหล่งทองคำ ที่มีความสำคัญมาก แต่ทว่าเราเป็นนักบุญ ก็ไม่ควรที่จะเข้ามายุ่งกับองคำประเภทนี้ ก็เป็นหน้าที่ของนักธรณีวิทยาของกรมทรัพยากร หรืออะไรก็ไม่ทราบ คือว่า ทางราชการเขารู้ไม่ใช่ไม่รู้ แต่วาระมันยังไม่ถึง คือว่า ยังไม่มีคนมาทำสัมปทานละมั้ง เพราะนั่นเป็นหน้าที่ของบ้านเมือง เรื่องเราไม่เกี่ยว

    เวลานี้ อีกประเดี๋ยวเดียวก็หมดเวลา ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่านทุกคน สวัสดี
     
  11. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๕.จุไรกับราคาวัดท่าซุงและถามสร้างวิหาร ๑๐๐ เมตร

    ตอนนี้ให้ชื่อว่า จุไรกับราคาววัดท่าซุง เมื่อจุไรกับป้าน้อย กลับมาจากดวงจันทร์แล้ว และก็ไปแวะที่จังหวัดเชียงราย ไปดูสถานที่ทองคำก็พอดีหมดเวลา ในที่สุด สองป้าหลานก็กลับมาที่วัดท่าซุงตามเดิมต่างคนต่างลืมตาขึ้น ก็เห็นคนที่มาฝึก นั่งกันสะพรั่ง คนทั้งหลายไม่ไปที่รับแขก ทั้งนี้ก็เพราะว่า สงสัยป้าน้อยกับจุไร คิดว่าสอนคนนี้ทำไมนั่งกรรมฐานนานนัก และในที่สุดคุณแม่ของจุไรก็ถามว่า ลูกรักไปไหนมา

    จุไรก็บอกว่า ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะไปไหน แต่ทว่าขณะที่นั่งไป และพิจารณาร่างกายว่า อีกไม่นานนัก ร่างกายนี้จะมีวิญญาณไปปราศจากร่าง ออกไปแล้ว ก็เป็นของที่ทุกคนทิ้ง เหมือนกับท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์ ตามที่หลวงปู่ท่านพูด นั่งคิดไป ก็ดูภาพพระพุทธรูปไป ในที่สุด อารมณ์เผลอ มีความรู้สึกเหมือนกับว่า มีพระท่านหนึ่ง รูปร่างสวยสดงดงามมาก มาบอกว่า จะนั่งพิจารณาทำไม ไปเที่ยวกันเถิด แล้วก็พาไปที่ดวงจันทร์

    และบรรดาทุกคนก็ถามว่า มีอะไรบ้าง จุไรก็เล่าให้ฟัง ตามที่กล่าวมาแล้ว แต่ทว่าในการเล่า ก็บอกว่า เหลียวไปเหลียวมาที่ดวงจันทร์ มีพระกับจุไรสองคน แต่เป็นการบังเอิญอย่างยิ่ง คิดว่าเหงา คุณแม่ก็ไม่ไป เลยคิดถึงป้าน้อยเห็นว่า ป้าน้อย เป็นคนคล่องในการสอนกรรมฐาน หรือขณะสอนกรรมฐานอยู่ ก็คิดถึงป้าน้อย อยากให้ป้าน้อยไปด้วย และทุกคนก็พูดว่า น่าจะเป็นความจริง

    ทั้งนี้เพราะว่า คุณน้อย นามสกุล กานดา ปรากฏว่า ในขณะที่เธอกำลังสอนกรรมฐานอยู่ เวลานั้นคุณน้อยก็บอกว่าเป็นความจริงตามนั้น ขณะที่กำลังสอนกรรมฐานอยู่ก็ได้ยินเสียงเด็กเรียก จำเสียงได้ว่า เป็นเสียงของจุไร ก็คิดในใจว่าหลานรักไปเที่ยวที่ดวงจันทร์ แต่ความจริง เห็นจุไรอยู่ที่ดวงจันทร์ อาจจะมีความกลัว หรืออันตรายเกิดขึ้น จึงให้บอกให้ ชาโดว์ สอนต่อไป และเธอเองก็ไปที่ดวงจันทร์ ไปพบจุไร เรื่องก็มาลงกันตรงนี้

    ก็เป็นอันว่า ทุกคนเข้าใจ เมื่อเข้าใจ ต่อไปทุกคนก็บอกว่ารับแขก คือว่า เวลานั้น จุไรถามว่า หลวงพ่อไปไหน ทุกคนก็บอกว่า ท่านนั่งอยู่ร่วมด้วยประมาณ ๑๕ นาที เสียงสัญญาณบอกเวลาของท่านว่าหมด ท่านก็ไปรับแขกที่สถานีรับแขก จุไรจึงถามป้าน้อยว่าจะไปที่รับแขกไหม ป้าน้อยก็บอก ป้าเพลีย จะต้องนั่งพักเสียหน่อยหนึ่ง จุไรก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นป้ากับหนู ก็คุยกันสองคนก็แล้วกัน หนูก็เพลียเหมือนกัน หลังจากนั่งกันเรียบร้อยแล้ว มนัสการพระพุทธชินราชแล้ว ก็นั่งคุยกันต่อหน้าพระ ทั้งสองคนมีจิตอิ่มเอิบ เอิบอิ่มมาก

    จุไรจึงถามป้าน้อยว่า คุณป้า เมื่อวานนี้ เห็นหลวงปู่ท่านแจกของเด็กนักเรียนชั้นประถมที่วัดท่าซุง สถานที่รับแขก เห็นท่านประกาศว่า หนังสือเรียนสำหรับ ป . ๑ ถึง ป.๖ ครบชุด จำนวนหนังสือทั้งหมด ๓,๗๒๗ เล่ม เป็นเงินที่ซื้อมา ๖๕,๘๙๗ บาท และชุดเครื่องแบบนักเรียนชายหญิง มีเสื้อ กางเกง และกระโปรง รวมแล้วจำนวน ๒๐๙ ชุด เป็นเงิน ๒๘,๒๓๑ บาท รวมแล้วทั้งค่าหนังสือและค่าเครื่องแบบนักเรียนราคา ๙๔,๑๒๘ บาท

    อันนี้ เป็นรายการที่หลวงปู่ท่านแจก เด็กนักเรียนประถม และคุณป้าทราบไหมว่า นักเรียนมัธยม ท่านแจกไหม คุณป้าก็บอกว่า ภาระนักเรียนมัธยม อยู่ที่หลวงปู่องค์เดียว เครื่องแบบ คนละ ๒ ชุด หนังสือเรียนทั้งหมด อาการกลางวันฟรี และอาหารเช้า เย็น และยังสงเคราะห์อย่างอื่นอีกมาก

    ก็รวมความว่า หลวงปู่มีภาระหนัก ต้องเลี้ยงลูกจริง ๆ ๓๐๐ คน และเลี้ยงอย่างแพงด้วย จุไรจึงถามว่า หลวงปู่ต้องจ่ายเดือนละเท่าไร ป้าน้อยก็ตอบว่า ไม่ได้ถาม เพราะว่า ท่านต้องจ่ายค่าครูผู้สอนด้วย และก็อาหารนักเรียนด้วย หนังสือเรียนทั้งหมดด้วย อุปกรณ์การศึกษา และก็อาหารการบริโภค ทั้งเช้าและเย็นด้วย แต่ว่าท่านอาศัยบรรดาลูกหลานของท่าน ต่างคนต่างช่วยกันเข้ามา คนละไม้คนละมือ แต่ว่าเห็นประกาศไว้ว่า ให้นักเรียนฟรีทั้งหมด ทั้ง ๓ เทอม

    นั่นก็หมายความว่า นักเรียนบางรุ่นที่เข้ามาอยู่หอพักตามปกติ ต้องเสียค่าอาหารเดือนละ ๖๐๐ บาท ค่าข้าวสารเดือนละ ๘๐ บาท แต่หลวงปู่ท่านต้องซื้อข้าวสารจริง ๆ ถังละ ๑๓๔ บาท ต้องจ่ายแทนเด็กไปจริง ๆ อ้อ ขอโทษ ๑๔๓ บาท ต้องจ่ายแทนเด็กไปจริง ๆ ๖๓ บาท ต่อ ๑ ถัง เด็กหอพักกี่คน ต้องจ่ายแทนคนละ ๖๓ บาทเหมือนกันหมด และสำหรับอาหารการบริโภคก็เช่นเดียวกัน ถ้าบกพร่องก็หามาเสริมให้ อาศัยลูกหลานของท่านมาก จุไรก็บอกว่า โอ้โฮ คุณป้า หลวงปู่มีภาระหนักมากนะ

    คุณป้าก็บอกว่า ท่านมีภาระหนัก ความจริงเวลานี้ ท่านก็แก่มากแล้ว อายุมากแล้ว และก็ป่วยไข้ไม่สบายตลอดเวลา การป่วยของท่าน ป่วยทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นโรคทางท้อง อืดและเสียดทุกวัน แต่ก็ทนทำทุกอย่างก็เพราะรักลูก รักหลาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูกหลานของท่านก็ดีมา ต่างคนต่างก็ช่วยกันคนละไม้ คนละมือ ไม่หนักนัก ในที่สุดก็สามารถเป็นไปได้ เงิน ๓ เทอม ที่ให้นักเรียนฟรีทุกประเภท ประกาศว่า เทอมละ ล้านบาทเศษ ไม่ใช้น้อยเลย นี่ยังไม่คิดค่าเงินเดือนครู

    จุไรจึงถามต่อไปว่า คุณป้า คุณป้ามาที่วัดเสมอทุกเดือนใช่ไหม ป้าน้อยก็บอกว่า หลานรัก ป้าไม่ได้มาทุกเดือน บางเดือนมาหลายครั้ง และก็มาช่วยหลวงปู่ท่านสอนกรรมฐานบ้าง ช่วยทำอาหารบ้าง หาเงินมาทำอาหารถวายพระบ้าง ถวายหลวงปู่บ้าง ป้ามีความห่วงท่านมาก เพราะท่านก็อายุมากแล้ว งานท่านก็หนัก

    จุไรจึงถามว่า คุณป้าอยากจะถามจริง ๆ เถิดว่า วัดท่าซุงตั้งแต่หลวงปู่มาอยู่นี่ จนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้นะ ค่าก่อสร้างสิ้นไปเท่าไร หมดเงินไปเท่าไร ป้าน้อยก็บอกว่า ค่าก่อสร้างวัดนี้นะ มีเท่าไรเดี๋ยวป้าอ่านให้ฟัง ป้าน้อยก็หยิบเอา หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๘ มาเปิดตรงหน้าต้น ก็เลยบอก หลวงปู่ประกาศไว้ที่หน้าต้นนี่ให้บรรดาประชาชนรู้ว่า ราคาสร้างวัดจริง ๆ นั้น ไม่มีใครรู้ จุไรก็บอกว่า หนูรู้ ป้าน้อยก็ถามว่า หนูรู้มาจากไหน

    จุไรก็บอกว่า หนูรู้มาจากโทรทัศน์ แต่ราคาทางโทรทัศน์ไม่เหมือนกัน การดูโทรทัศน์ครั้งแรก ช่องหนึ่ง ก็ช่องหนึ่ง คนละช่อง คำว่า ช่องหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่า ช่อง ๑ เลยทีเดียว คือ ช่องแรกที่ดู เขาบอกว่า วัดท่าซุง เป็นวัดพันล้าน ต่อมาอีกช่องหนึ่ง รายการต่อมา ออกข่าววิหาร ๑๐๐ เมตร เหมือนกัน วิหารแก้ว บอกว่า วัดท่าซุงเป็น วัดราคา ๔ พันล้าน หนูคิดว่า เวลาห่างกันไม่เกินหนึ่งเดือน ทำไมหลวงปู่จ่ายเงินไปถึง ๓ พันล้าน ก็น่าแปลกใจ ท่านได้เงินมาจากไหน ป้าน้อยฟังหลานสาวแล้วก็ยิ้ม ก็บอกว่า จุไรหลานรัก ป้าจะอ่านให้ฟัง นี่เป็นการประกาศให้ทราบของหลวงปู่ คอยฟังให้ดีนะ

    ท่านบอกว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ปีนั้น เป็นปีเริ่มสร้างพระอุโบสถ และก็สร้างโรงพยาบาล จนกระทั่งเดือนสิงหาคม ๒๕๓๒ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะค่าก่อสร้าง ค่ากิน ค่าของใช้ ค่าพาหนะ ทุกอย่าง ค่ายารักษาโรค ที่ขึ้นชื่อว่า จ่าย ก็จด เจ้าหน้าที่เขามีหน้าที่จด คือ ป้านนทา อนันตวงศ์ คนนี้ จดตรงไปตรงมาเปี๊ยบ

    ก็สรุปแล้วว่า ค่าใช้จ่ายทุกอย่างของวัดท่าซุง ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ถึงเดือนสิงหาคม ๒๕๓๒ จ่ายไปแล้วจริง ๓๕๓,๓๒๗,๔๖๙ บาท ๓๖ สตางค์ มันยังไม่ถึงพันล้าน และท่านบอกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายจ่ายทั้งหมดนี้ มีเงินค่าก่อสร้าง ที่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนถวาย เพื่อค่าก่อสร้างโดยตรง ๑๙๗,๘๓๔,๙๙๓ บาท ๗๕ สตางค์

    ฉะนั้น รายรับ ๑๙๗ ล้าน เอาถ้วนก่อน และก็รายจ่าย ๓๕๓ ล้านเศษทั้งนั้นนะ ก็ยังจ่ายเกินไป ๑๕๕,๔๙๒,๔๗๕ บาท ๖๑ สตางค์ ที่จ่ายเกินไปนี่ เงินที่ได้มาจ่ายเกินไป คือ ๑. เงินผาติกรรมสังฆทาน ๒. เงินค่าวัตถุมงคล ที่คนรับวัตถุมงคลไปแล้ว มอบสตางค์ให้แก่วัด ๓. คนที่ทำบุญไม่จำกัดประเภท วางเฉย ๆ และประการที่ ๔. เงินที่ถวายเป็นส่วนตัว เพื่อหลวงพ่อใช้เป็นส่วนตัว

    รวมความว่าเงิน ๔ ประเภทนี้ หลวงปู่จัดมารวมในการใช้จ่ายในวัดทั้งหมด ๑๕๕,๔๙๒,๔๗๕ บาท ๖๑ สตางค์ จุไรก็บอกว่า โอ้โฮ เงินเยอะเหลือเกินนี่นะ และการก่อสร้างหลวงปู่ เห็นประกาศว่าเป็นหนี้เสมอ ๆ ใช่ไหม ป้าน้อยก็บอกว่า ใช่ หลวงปู่สร้างนะ เป็นหนี้ ถ้าไม่เป็นหนี้ก่อน ก็ไม่มีเงินสร้าง และเมื่อทำไปแล้ว ญาติโยมท่านมี่มีศรัทธา เห็นเข้ามีความเลื่อมใส ก็ช่วย ดูตัวอย่าง วิหาร ๑๐๐ เมตร ที่หลานนั่งอยู่นี่ หลานสงสัยไหมว่า ราคาเท่าไร

    จุไรมองไปมองมา ก็บอก หนูเป็นเด็ก หนูกะประมาณราคาไม่ได้ แต่ว่าเมื่อตอนเช้า ตอนสายนิด ระหว่างเช้า เห็นคนเขาคุยกัน บอกว่า เขามาดูวิหาร ๑๐๐ เมตรแล้ว เห็นว่า ราคาอาจจะถึง ๑๐๐ ล้านบาท ป้าน้อยก็ยิ้ม ก็นั่นแหละการคาดคะเนราคา ไม่เสมอกันกับความเป็นจริง แต่ความเป็นจริง หลวงปู่บอกแล้วว่า เสียค่าใช้จ่ายจริง ๆ ๑๐ ล้านเศษ ไม่ใช่ เป็นร้อย เป็นพันล้าน ๑๐ ล้านเศษ ประมาณ ๑๗ ล้านกว่า

    ป้าน้อยก็บอกว่า ดูตัวอย่าง อย่างหินอ่อนนี่ ท่านซื้อมา ๑,๒๖๔,๓๔๑ บาท และก็กระจกทั้งหลังนี่ท่านซื้อมา ๔,๔๗๗,๗๘๕ บาท รวมสองอย่างนี้ ทั้งหมดราคา ๕,๗๔๒,๑๒๖ บาท และการก่อสร้างในฐานะที่เป็นปูน หิน ทราย เหล็กทั้งหมด รวมทั้งค่าจ้างด้วยประมาณ ๗ ล้านเศษ คิดเฉลี่ยแล้วตามอัตรานี้ประมาณ ๑๒ ล้านเศษ

    นี่ยังไม่ได้คิดค่าแรงงาน รวมค่าแรงงานทั้งหมด รวมค่าของจุกจิกทุกอย่าง เครื่องประดับประดาทั้งหมดแล้ว แต่ว่ายังไม่คิดค่าโคมไฟ ค่าโคมไฟนี่จริง ๆ ก็เป็นเรื่องเขามีเจ้าของ ท่านบอกว่าประมาณ ๑๗ ล้านเศษ ๆ ไม่แพง

    จุไรก็ถามว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หินก็ดี กระจกก็ดี ย่อมมีราคาแพง หลวงปู่ท่านเอาสตางค์ที่ไหนมาซื้อ ป้าน้อยก็บอกว่า ท่านซื้อตามเงินที่คนทำบุญ เพราะว่า อัตราค่าหินนี่ หินจริง ๆ หินแผ่นเหล็ก หินอ่อน ราคา ตารางเมตรละ ๒๕๐ บาท และกระจก กล่องละ ๘๕ บาท ท่านก็บอกราคาจริง ๆ แก่ญาติโยมว่า หินนี่ ตารางเมตรละ ๒๕๐ บาท และกระจก กล่องละ กล่องเล็ก ๆ นะ กล่องย่อม กล่องละ ๘๕ บาท

    ทีนี้ คนมีศรัทธาก็เบาใจ คนหนึ่งจะเอา ๑ ตารางเมตร ก็ได้ หรือ ๓-๔ คน จะเอา ๑ ตารางเมตรก็ได้ กระจกคนหนึ่งรับกระจก ๑ กล่องก็ได้ หลาย ๆ คนรับกระจก ๑ กล่องก็ได้ อาศัยของน้อยราคาถูก แต่ว่าคนทำบุญไม่หนักใจ จึงช่วยกันเข้ามา ในเมื่อได้มาเท่าไร ท่านก็ปิดกระจกเท่านั้น

    จุไรจึงถามว่า การเป็นมาของการสร้างวิหาร ๑๐๐ เมตรนี่ คุณป้าทราบไหมว่า หลวงปู่ตั้งใจจะทำขนาดไหนกันแน่ และมีเหตุผลเป็นมาประเภทใด คุณป้าน้อยก็บอกว่า หลาน เวลานี้เราคุยกันสองคนสบาย ไม่มีใครขัดคอ ความจริงเป็นอย่างนี้นะ หลวงปู่เล่าให้ป้าฟังว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๘ กับ พ.ศ. ๒๕๒๙

    หลวงปู่ป่วยหนักมากเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดหลายครั้ง ท่านก็มีความรู้สึกว่า ขณะนี้ได้สร้างพระ ๓๐ ศอกองค์หนึ่งแล้ว ชื่นใจ นอนหลับตา ลืมตาเมื่อไร ก็เห็นภาพพระ ชัดเจนแจ่มใส จับอารมณ์ทรงตัว และความรู้สึกอยากจะสร้างท่านก็เลยคิดในใจว่า ถ้าบุญบารมียังจะสามารถทรงชีวิตอยู่ได้ ขอให้ไข้ อาการที่เป็นอยู่นี้ บรรเทาลงบ้าง ไม่ใช่หายเลย

    เพราะเวลานั้น อาการเครียดมาก ปัสสาวะคั่งหลายหน ถ่ายปัสสาวะไม่ออก เรียกว่า คาท่อปัสสาวะ ไม่ถ่ายปัสสาวะ ท้องโป่ง เจ็บมาก จนกระทั่งศาสตราจารย์นายแพทย์ประสิทธิ์ ฟูตระกูล อยู่จุฬาลงกรณ์ อุตส่าห์มาสวนปัสสาวะออก น้ำออกตั้งลิตรครึ่ง และในกาลต่อมาก็เป็นอีก เขาสันนิษฐานกันว่า อาจจะเป็นลูกหมากโตก็ได้ แต่หลวงพ่อก็บอกว่า ไม่ใช่ลูกหมากโต

    ท่านบอกว่า ท่านโกมารภัจจ์บอกนี่ คุณน้อยพูดนะท่านโกมารภัจจ์บอกว่า ไม่ใช่ลูกหมากโต ถ้าไปรักษาลูกหมากโตจะผิด จะเจ็บตัวเปล่าเพราะจะต้องถูกผ่า ความจริงอาการทางอุจจาระแข็ง อุจจาระไปเบียดทางเดินของปัสสาวะ ท่านให้ไปล้างท้อง ในเมื่อล้างท้องก็บรรเทา แล้วก็หายไป ฉะนั้นอาการขัดเบาปรากฏขึ้นก็มีการล้างท้อง ก็หายไป ก็เป็นอันว่าไม่ต้องผ่าท้อง

    ปีนั้น หลวงปู่ท่านบอกว่า มันอาจจะไม่สิ้นปี อาจจะตายก็ได้ จึงตั้งใจคิดว่า ถ้าหากบุญวาสนาบารมีมีจริง ก็ขอให้มีโอกาสสร้างพระสักองค์หนึ่ง คือ พระหน้าตัก ๘ ศอก หรือว่าถ้าจะตายจริง ๆ ก็ไม่ว่า ตายขณะนี้ก็ไม่แปลก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า บุญทำมามากแล้ว มันจะไปไหนก็ไปเถิด ท่านว่าอย่างนั้น และป้าน้อยก็บอกว่า

    เพื่อเป็นมิ่งขวัญของเราต่อไป เป็นกำลังใจของพวกเราต่อไป หลังจากนั้นไม่ช้านัก คุณสุชาดี มณีวงศ์ เจ้าของรายการกระจกหอกด้าน ช่อง ๗ เวลาประมาณ ๑๙ นาฬิกาเศษ ๆ นิดหน่อย ก็มาที่สัด ท่านทำบุญอย่างอื่นหลายรายการแล้ว

    แต่ก็มีรายการพิเศษ คือ เซ็นเช็คมา ๑๐๐,๐๐๐ บาท ถวายหลวงปู่ บอกว่า หลวงปู่จะทำอะไรก็ได้ตามอัธยาศัย นี่ป้าเรียก หลวงปู่ตามหลานนะ ตามปกติเขาเรียกว่า หลวงพ่อ คือ เขาไม่อยากให้ท่านแก่มาก ถ้าเรียกหลวงปู่ หลวงตาท่านจะแก่มาก ก็เลยเรียก หลวงพ่อกัน ถึงเอาไว้ เมื่อถวายหลวงปู่ท่านไป ๑๐๐,๐๐๐ บาท เซ็นเช็คมา หลวงปู่ก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เวลานี้ ฉันอยากจะสร้าง พระหน้าตัก ๘ ศอก ไว้ที่ร้อยไร่ ขอร่วมบุญด้วยก็แล้วกันนะ เขาก็ดีใจโมทนา

    ต่อมา คุณจันทนา วีระผล ทราบเข้า ก็เซ็นเช็คถวายมาอีก ๑๐๐,๐๐๐ บาท ถือว่าเป็นรายการพิเศษจริงๆ หลวงปู่ท่านบอกว่า ท่านสร้างอะไร ไม่เคยมีทุน แต่รายการนี้มีทุกเป็นพิเศษ นอกจากสร้างพระ ๓๐ ศอกที่มีทุน อย่างอื่นไม่มีทุน อย่างหมอประสิทธิ์ ฟูตระกูล นี่ก็ให้ทุนหลายหมื่นบาท ดูเหมือนจะเป็น ๖๐,๐๐๐ บาท

    ก็รวมความว่า มีคนช่วยกันมาแล้วสองแสน ท่านก็คิดว่า ท่านแก่แล้ว ถ้าขืนทำอะไรใหญ่โต มันจะไม่ทันตาย จะเป็นภาระหนักกับพระ ก็บอกกับเจ้าของเงินว่าจะสร้างพระหน้าตัก ๘ ศอก ไว้ที่ร้อยไร่ และก็สร้างแทนขึ้นให้สูงหน่อย กันน้ำท่วม หลังจากนั้นก็ตั้งเสา ๔ เสา ทำหลังคาตรง และตั้งอีก ๔ เสา ทำหลังคาเฉลียงมีช่อฟ้า หน้าบัน การดำริเป็นเช่นนั้น

    ในกาลต่อมา ท่านป่วยหนักลงไป พอจะลุกขึ้นเดินใกล้ ๆ ได้ไม่ไกลนัก ท่านก็ให้เจ้าหน้าที่ของวัด นำรถมารับท่าน ตั้งใจจะไปหาสถานที่ในร้อยไร้ สร้างพระ ๘ ศอก ท่านคิดว่า ท่านอาจจะตายเสียก่อนก็ได้ ปรากฏว่าเวลานั้น หลวงปู่องค์สำคัญ ที่หลวงปู่ของเรามีความเคารพนับถือมาก ท่านมาที่วัดพอดี ในเมื่อท่านมาสถานที่ ที่หลวงปู่ของเราพักอยู่ ไม่เห็น ก็ถามพระว่า ท่านมหาวีระไปไหน พระก็บอกว่า หลวงพ่อไปที่ร้อยไร่ครับ ท่านก็นั่งรถของท่านตามไปทันที

    พอไปถึงแล้ว ท่านก็ถามว่า จะทำอะไร ก็กราบเรียนท่านบอกว่า จะสร้าง พระพุทธรูปหน้าตัก ๘ ศอก ท่านถามว่า จะทำอย่างไร ทำตรงไหน ก็ชี้สถานที่ให้ท่านทราบ ท่านก็บอกว่า สถานที่ที่ตรงนี้ มันไม่เหมาะ มันลุ่ม และอยู่หลังวัดเกินไป คนที่จะมาไหว้ ก็มาลำบาก และอีกประการหนึ่ง ถามว่า อาคารจะมีไหม หลวงปู่ก็กราบเรียนท่าน บอกว่า มีอาคาร ท่านถามว่า อาคารจะทำอย่างไร ก็บอกว่า ปักเสาแรก ๔ เสา ทำเป็นตัวอาคาร หลังคาข้างบน มีช่อฟ้า หน้าบัน และปักอีก ๔ เสา เป็นเฉลียง

    ท่านบอกว่า อย่างนี้ก็ไม่เหมาะสม ไม่สมควรกับพระที่มีความสำคัญมาก และก็บอกว่า เธอนะ แก่แล้ว เธอจะไม่ทำอะไรต่อไป ฉันก็คิดว่า ในเมื่อเราแก่แล้วควรจะทำการก่อสร้างทิ้งทวน นั่นหมายความว่าทำที่ระลึกสำคัญไว้จุดหนึ่ง ก่อนจะตาย เมื่อเวลาเราจะตาย จะได้เอาเป็นนิมิต ที่มีความสำคัญ ติดตา ติดใจไป

    หลวงปู่กราบเรียนถามท่านว่า จะให้ทำอย่างไรครับ หลวงปู่ที่เคารพของหลวงปู่ของเรา ที่หลวงปู่ของเราเคารพมาก ท่านก็สั่งว่าที่ตรงนี้ไม่เหมาะ ที่จ่าเพราะตรงโน้น หลังโรงพยาบาล ๒๗ ไร่เศษ เขากำลังขาย ให้ไปซื้อที่นั่น หลวงปู่กราบเรียนท่านบอกว่า เงินไม่มี ท่านบอกไม่เป็นไร เรื่องการเงินในเมื่อทำการซื้อ ประกาศเข้าก็มีคนเขามาทำบุญมาเอง ตามกำลังศรัทธา อย่าตั้งกฎเรี่ยไร ไปเรียกเขามาถามซิ

    หลวงปู่ก็เลยกราบเรียนท่านบอกว่า เกรงใจเขา เขาเริ่มขายไปบ้างแล้ว ท่านก็บอกว่า ไม่เป็นไร เขายังไม่ใช่ขายจริง ๆ เป็นแต่เพียงว่า มัดจำกัน เขาสามารถจะคืนกันได้ และก็ยกที่อื่นให้แทนได้ เขามีที่อีกต่างหาก ที่ชิดน้ำ

    ในที่สุด หลวงปู่ก็กลับมาที่ศาลา ๒ ไร่ ก็ให้ ดาบตระกูล เปาริก ไปเชิญ จ่าเพราะมา จ่าเพราะมา ก็ถามถึงราคาซื้อที่ จ่าเพราะก็กราบเรียนกับหลวงปู่ของเราว่า ถ้าหลวงพ่อต้องการจะซื้อ กระผมจะถวายครับ คำว่า ถวาย ไม่ได้ถวายทั้งหมด คือว่า จะยอมขายให้

    ในเมื่อหลวงปู่ของเราถามเขาว่า ราคาไร่ละเท่าไร เขาบอกว่า ไร่ละ ๔๐,๐๐๐ บาท กำลังขายอยู่เวลานี้นะ ไร่ละ ๔๐,๐๐๐ บาท และที่ที่เป็นทาง หลวงพ่อทำทางเข้ามา ๓ ไร่เศษ อันนี้ ผมขอถวายไม่คิดเป็นเงิน และส่วนที่คิดราคานั้นก็คิดลดลงมาตามสมควร รู้สึกลดลงมาเป็นหมื่น ก็เป็นอันว่า เป็นการตกลงซื้อ แต่ยังไม่มีเงินให้
     
  12. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๖.จุไรถามสร้างวิหาร ๑๐๐ เมตร (ต่อ)

    เมื่อจุไรฟังป้าน้อย ป้าน้อย นามสกุล กานดา นะ ก็อย่าลืมว่า ชื่อนี่สมมติขึ้นมาไปตรงกับ ชื่อของใคร และนามสกุลของใคร ก็ขออภัยด้วย เพราะไม่มีเจตนาอย่างอื่น จุไรจึงถามป้าน้อยว่า คุณป้าที่นี่ราคาแพง ตั้งไร่ละ ๔๐,๐๐๐ บาท แต่ที่ ๒๗ ไร่เศษ เจ้าของตัดทิ้งเศษไป ส่วนที่เป็นเศษก็ดี ยกพื้นที่อีก ๓ ไร่ ให้กับหลวงปู่ไม่เอาสตางค์

    และก็ที่ทั้งหมด ที่เอาสตางค์ ก็ลดให้อีกหลายหมื่นบาท อยากจะถามว่า คุณจ่านี่อยู่ไหน จ่าเพราะ ป้าน้อยก็บอกว่า ป้าก็เห็นว่า คุณจ่าเพราะนี่เคยมาทำบุญที่ศาลาพระพินิจ และก็บางครั้งเมื่อตาสง่าไม่อยู่ ก็เป็นคนอาราธนาพระ อาราธนาธรรมแทน ก็อยู่ข้าง ๆ กับโรงเรียนนี่เอง และการก่อสร้างทั้งหมด

    คุณป้าน้อยก็บอกว่า หลานรักจำไว้นะ ที่หลวงปู่ประกาศไป สร้างวัดทั้งหมดด้วยสร้างโรงพยาบาลด้วย สร้างโรงเรียนด้วย ซื้อที่อีกด้วย เพราะที่ที่วัดนี้จริง ๆ นะ มีแค่ ๖ ไร่ แต่เวลานี้ที่เพิ่มขึ้น ๒๐๐ ไร่เศษ เป็นที่ซื้อใหม่ และจุไรก็ถามป้าน้อยต่อไปว่า ในเมื่อตกลงซื้อที่แล้ว หลวงปู่สตางค์ที่ไหนมาซื้อคะ ป้าน้อยก็บอกว่า จ่าเพราะท่านไม่เร่งรัด ท่านบอกว่า จะให้เมื่อไรก็ได้ เพราะทราบว่าหลวงปู่ไม่มีสตางค์

    ต่อมา เมื่อประกาศยอมรับซื้อแล้ว จ่าเพราะก็พร้อมจริง ๆ จะให้โอนเมื่อไรก็ได้ จ่ายสตางค์หมด หรือจ่ายสตางค์ไม่หมดยังไม่จ่ายสตางค์เลย โอนก็ได้ เชื่อใจกัน เพราะว่า จ่าเพราะนี่ ยอมรับนับถือหลวงปู่มาก

    และในที่สุด หลวงปู่ก็ประกาศให้บรรดาลูกหลานทราบ ลูกหลานทราบ ต่างคนก็ต่างทำบุญกัน คนละเล็ก คนละน้อย ตามกำลัง ต่างกำลัง บางคนถึง ๑๐๐,๐๐๐ บาท อย่างเจ๊จันทนา วีระผล นี่คนอื่นเรียกว่า เจ๊ นะหลาย ป้าเรียกท่านว่า คุณแม่ คุณแม่จันทนา วีระผล คนนี้ ๑๐๐,๐๐๐ บาท และคุณแม่จันทนานี่ ป้าเรียกแม่ นะ ก็ทำบุญอีกทุกเดือน เดือนละ ๗,๐๐๐ บาท เป็นประจำ ในเมื่อหลวงปู่เข้ากรุงเทพฯ คุณแม่ก็ต้องมาทำบุญเดือนละ ๗,๐๐๐ บาท

    แล้วหลังจากนั้น คนมากด้วยกัน ทำบุญคนละไม่มากนัก รายละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท เห็นจะมีรายเดียว นอกจากนั้นเป็น ๑,๐๐๐ บาทบ้าง บางรายก็ถึง ๑๐,๐๐๐ บาทบ้าง บางรายก็ ๒๐ บาท ๓๐ บาทบ้าง รวมกันมากคนเข้าเพียงเดือนเดียวก็สามารถชำระหนี้ได้ เมื่อชำระหนี้เสร็จ

    ตอนที่หลวงปู่ท่านจะตีผัง ทำอาคาร ๑๐๐ เมตร แต่ความจริง ไม่ใช่อาคาร ๑๐๐ เมตร ท่านตั้งใจว่า จะทำเป็นเสาตั้งขึ้น สูงประมาณ ๑ เมตร ใช้เนื้อที่ประมาณ ๔ ห้อง ยาวประมาณ ๔ ห้อง กว้างประมาณ ๒ ห้อง จะสร้างแท่นพระบนพื้น แล้วก็ทำหลังคา มีช่อฟ้า หน้าบัน จั่วเล็ก ๆ และนอกจากนั้น พื้นต่อไป ก็ไม่มี ท่านกะเท่านี้ คิดว่า เงินมีอยู่ ๒๐๐,๐๐๐ บาทเศษ ๆ สร้างเท่าที่เงินจะพึงมี

    ทั้งนี้ เพราะท่านรู้ตัวว่า ท่านแก่แล้ว และก็ป่วยไข้ไม่สบายมาก ถ้าขืนทำใหญ่ ๆ ความตายจะเข้ามาถึงเมื่อไร ก็ไม่ทราบ จะเป็นเรื่องหนักใจกับพระที่อยู่เบื้องหลัง แต่ทว่าหลานรัก เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็กลับกลายอีก ในเมื่อการซื้อที่เสร็จ โอนที่เสร็จ หลวงปู่ท่านจะไปตีผังทำเล็ก ๆ คำว่า ผัง ก็คือ กะพื้นที่ทำการก่อสร้าง

    ขณะที่ท่านไปที่นั้น ก็มี คุณนิรัตน์ เลาหะสุรโยธิน กับภรรยา คือ คุณสุรัตนา และก็ช่างเชียร ช่างชิต และหลาย ๆ คน และก็นายดาบตระกูล เปาริก และก็จ่าตำรวจ พเยาว์ นามสกุลจำไม่ได้ อยู่ที่นั้นก็บังเอิญ หลวงปู่ใหญ่ คำว่า หลวงปู่ใหญ่ ก็หมายความว่า ท่านเป็นพระผู้ใหญ่จริง ๆ และก็เป็นพระที่หลวงปู่ของเรา เคารพนับถือมาก ท่านก็มาพอดี และท่านก็ถามว่า จะสร้างที่ตรงไหน

    หลวงปู่ของเราก็กราบเรียนท่านบอกว่า จะสร้างที่ตรงนี้ ท่านถามว่า จะสร้างใหญ่สักเท่าไร หลวงปู่ก็บอกว่า ใช้ที่ยาวสัก ๔ ห้อง ห้องละ ๔ เมตร และกว้างสัก ๒ ห้อง เท่านี้ก็พอ ทำพระ ๘ ศอกขึ้น แล้วก็ตั้งเสา ทำหลังคา ตามที่พูดมาแล้ว

    ท่านก็บอกว่า ทำเท่านี้ก็ดี แต่ว่าทางที่ดีแล้ว ควรจะกะให้ยิ่งไปกว่านั้น เอาแค่สตางค์ที่ญาติโยมทำบุญมา แล้วก็ทำต่อไป ถ้าเรายังไม่ได้สตางค์ เราก็ยังไม่ทำ ทำกำหนดพื้นที่ไว้ก่อน เราทำเฉพาะเงินที่เรามีอยู่

    หลวงปู่ของเราก็ถามหลวงปู่ใหญ่ ท่านบอกว่า จะให้ทำอย่างไร ท่านก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตีผังเข้า ทีแรกคุณจะเอายาวไปทางไหน หลวงปู่ของเราก็กราบเรียนท่านบอกว่า ทีแรกจะเอายาว จากใต้ไปเหนือ หลวงปู่ใหญ่ท่านบอกว่า

    ไม่ถูก ทางที่ดีต้องยาวจากตะวันตกไปตะวันออก หันหน้าไปทางทิศเหนือ แล้วก็ไม่ใช่ยาว ๔ ห้อง ต้องเป็นยาวจริงๆ ๑๐๐ เมตร คือ ๒๕ ห้อง และกว้าง ๒๘ เมตร คือ ๗ ห้อง ตั้งเป็นอาคาร เรียกว่า อาคาร ๑๐๐ เมตร ทำเสาตอหม้อให้ครบพื้นที่ เข้าใจว่าเวลานี้เงินมี ๒๐๐,๐๐๐ บาทเศษ กว่าจะตั้งเสาเสร็จ ก็คงมีคนมาทำบุญพอ มากบ้าง น้อยบ้าง อย่าหนักใจ

    เมื่อตั้งเสาเสร็จแล้ว ถ้ามีเงินต่อไปก็เทพื้นให้เต็ม ที่เป็นพื้นแรก เมื่อเทพื้นเสร็จก็ตั้งพระพุทธรูป ถัดเข้ามาหนึ่งห้อง จากทิศตะวันตกหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ห้องทางซ้ายพระพุทธรูป เป็นห้องบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และหลังจากนั้น ถ้ามีสตางค์ก็ปั้นพระขึ้นต่อมา

    ถ้าใครเขามีสตางค์มาให้อีก ก็ตั้งเสาไปตามสตางค์ที่มีหมดสตางค์เมื่อไร หยุดเมื่อนั้น ได้สตางค์มาใหม่ ก็ทำต่อไป ถ้าตั้งเสาเสร็จ และมีคนให้สตางค์อีก ก็ทำพื้นชั้นบน เรียกว่า ดาดฟ้า เมื่อทำดาดฟ้าแล้ว ถ้าทำอย่างนี้ คนที่มาไหว้พระพุทธรูป ๘ ศอก เขาไหว้สบาย มีพื้นที่นั่งและหลังคาให้เขา แต่ให้ทำตามสตางค์ สตางค์ไม่มีก็เลิก

    หลังจากนั้น ท่านก็บอกว่า ถ้าเขาให้สตางค์มาอีก (คำว่าเงิน ท่านเรียกสตางค์ พระผู้ใหญ่) ก็ก่อฝาขึ้น มีช่องโปร่งกลาง มีช่องระบายอากาศผ่านได้ ต่อมา ถ้ามีสตางค์อีก ก็ตั้งอาคารทรงไทยข้างบน ไม่ต้องใหญ่โต ใช้กว้างเพียงแค่ ๔ เมตร ทำยอด เป็นแบบยอดปราสาท ๓ ยอด เป็นการบูชา พระไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ท่านก็แนะนำต่อไปว่า เท่าที่บอกมาทั้งหมดนี้นะราคาประมาณ ๔ ล้านเศษ ๆ ท่านบอกราคาเสร็จ

    ต่อมา ในเมื่อท่านสั่ง หลวงปู่ของเราเชื่อท่านมานาน ยอมรับนับถือมานาน เมื่อท่านสั่งตามนั้น ก็สั่งช่าง ตีผังตามนั้น ในเมื่อสั่งช่างตีผัง หลวงปู่ใหญ่ท่านก็นั่งมอง ท่านก็ติบ้าง ชมบ้าง ต่อบ้างเติมบ้าง ขยับนี้นิดขยับนี้หน่อย

    ท่านก็ชี้บอกว่า ตรงที่สั่งให้สร้างพระพุทธรูปตรงนี้ และทำห้องพระบรมสารีริกธาตุตรงนี้ เพราะข้างล่างมีพระบรมสารีริกธาตุ เป็นการรักษาของสำคัญของพระพุทธศาสนาเอาไว้ หลังจากนั้นท่านก็บอกว่า ฉันจะลาละนะ ฉันมาธุระเท่านี้ เห็นคุณกำลังจะตีผังเล็ก ๆ ก็ไม่เหมาะ

    แต่ความจริง เราเป็นคนแก่ เราแก่แล้ว และใกล้จะตายแล้ว ก็ทำทิ้งทวน อาคารใหญ่ไว้เป็นหลังสุดท่านของชีวิต หลังจากนี้ไปอาคารใหญ่ ๆ จะไม่มีอีก ฉันจะไม่แนะนำให้สร้าง เลิกกัน เพราะว่า อย่างไร ๆ ก็ปล่อยมันไป ตายเพียงแค่นี้ แล้วท่านก็บอกว่า ฉันจะลา ก่อนที่ท่านจะขึ้นรถ ท่านก็บอกว่า เรื่องการเงินไม่สำคัญ ฉันจะช่วยให้คนทำบุญเอง นั่นก็หมายความว่า ท่านจะแนะนำลูกศิษย์ลูกหาของท่าน ที่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาช่วยกันทำบุญ

    จุไรก็กราบเรียนคุณป้าน้อย ถามว่า คุณป้าเจ้าขา อยากจะทราบว่า หลวงปู่ใหญ่นี่อยู่ที่ไหน หนูอยากจะไปกราบบ้าง ป้าน้อยก็บอกว่า ป้าน่ะเห็นเวลาท่านมาหาหลวงปู่ของเรานะ เวลาท่านมาหาหลวงปู่ของเราป้าเห็น ป้าได้ยินท่านพูด ท่านมีร่างกายแก่แล้ว แต่เสียงเพราะมาก ลีลาการพูด ก็เพราะ มีเหตุมีผล น่ารัก ยิ้มแย้มแจ่มใส ดูปากก็สดชื่น เห็นแล้วก็ชื่นใจ น่าเลื่อมใส แต่ป้าเอง ก็ไม่กล้าถาม ท่านว่า ท่านอยู่วัดไหน ครั้นไปถามหลวงปู่เราเข้า หลวงปู่ของเราก็บอกว่า ท่านไม่ให้บอกชื่อ วัดของท่าน ฉันจะบอกได้อย่างไร

    ก็เป็นอันว่า ถ้าใครเขายอมรับนับถือท่าน เขาบูชาท่าน เขาไหว้พระพุทธรูป ก็ถึงพระทุกองค์แล้ว และทุกคนต้องเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่นับถือพระพุทธศาสนาและพระทุกองค์ก็ถือว่า เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ถ้าเราถึงพระพุทธเจ้า ถือว่าเราถึงทุกองค์ ในเมื่อหลวงปู่ของเรา ท่านบอกกับป้าอย่างนี้ ป้าก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร

    หลังจากนั้น จุไรก็ถามป้าน้อยบอกว่า และอาคารหลังนี้เป็นกระจกมาได้อย่างไร ป้าน้อยก็เล่าให้ฟังว่า ฟังไปก่อนป้าจะเล่าให้ฟัง เมื่องานทำแบบค่อย ๆ ทำ เป็นงานช้า ๆ ไม่ใช่งานเร่งรีบ เมื่อทำไปถึงขึ้น ตั้งคานทรงไทยบนหลังคาแล้ว แต่ว่าอาคารทรงไทยและอาคารใหญ่ยังไม่เสร็จ เป็นแต่เพียงว่า มีกำแพง เริ่มมีอาคารทรงไทย คนก็ค่อยทำบุญมากขึ้น ๆ ตามลำดับ ทุคนเห็นเข้าก็ปลื้มใจ คิดว่าหลวงปู่ของเราท่านทำของชิ้นสุดท้าย ท่านจะตายไปกับของชิ้นนี้หรือไม่ ก็ไม่ทราบ

    แต่ป้าขอบอกอะไรอีกนิดหนึ่ง ช่างที่ทำนี่เป็นสองกลุ่มนะ คือ ช่างที่วัดเวลานั้น สองกลุ่ม สำหรับ ช่างพร หนูสำเภา เป็นหัวหน้านากรก่อสร้าง ๒๐ ไร่ ทาง ๒๐ ไร่โน้น ทางด้านใต้ติดกับคลองยาง ช่างชิต เป็นหัวหน้าการก่อสร้างวิหาร ๑๐๐ เมตร และก็ ช่างวิเชียร เป็นช่างก่อสร้างอาคารรอบ ๆ หอพักหญิงข้างหลังวิหาร นั่นสร้างพร้อมกัน แล้วก็รอบตัวอาคาร สร้างพร้อมกัน การสร้างทีเดียวพร้อมกันหลาย ๆ อย่าง ก็เป็นการหนักเงินมาก แต่หลวงปู่ท่านก็อดทน

    ท่านก็บอกกับป้าบอกว่า ไหน ๆ พ่อก็จะตายแล้ว มันเป็นวันเวลาใกล้ตายเข้ามาเต็มที การประวิงเวลา การประวิงเวลา ตามหลักวิชาการก็ดี บนบานศาลกล่าวก็ดี จะมีผลเพียงใด ฉันไม่ทราบ ฉันทราบแต่เพียงว่า ชีวิตฉัน เดินใกล้ความตายเข้าไปทุกวัน ฉันก็ไปหนักใจอยู่นิดว่า ฉันจะสร้างเสร็จหรือไม่เสร็จ และไม่แน่ใจ ก็เป็นอันว่า

    ถ้าสร้างเสร็จ ก็เสร็จไป ถ้าไม่เสร็จ ก็ปล่อยให้เป็นภาระของคนเบื้องหลัง คนเบื้องหลัง พระเบื้องหลัง ท่านเห็นควรสร้างต่อ ท่านก็สร้าง ท่านไม่เห็นสมควรสร้างต่อ ท่านก็ไม่สร้าง แต่การจะทำอะไรขึ้นมาทุกอย่างนี่ มันมีอานิสงส์ก่อน พอตั้งใจ อานิสงส์ก็เกิดทันทีลงมือทำแม้แต่ยังไม่เสร็จ อานิสงส์ก็ได้ครบทันที เพราะตั้งใจทำให้เสร็จ นี่หลวงปู่ของเรา ท่านพูดอย่างนี้นะ

    ต่อมาปรากฏว่า เมื่อสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาแล้ว เป็นพระพุทธรูปพระชินราช ทำเสาขึ้นมา วันหนึ่งหลวงปู่ใหญ่ท่านก็มาเรียกหลวงปู่ของเรา ไปที่วิหาร ๑๐๐ เมตร ท่านก็ชี้ให้ดูว่า เพดานของพระพุทธชินราชนี่ ถ้าเราจะปิดกระจกเงาสักหน่อยจะดีไหม จะทำให้เกิดสวยสดงดงาม น่าเลื่อมใสขึ้น และน่าชื่นใจกับบุคคลผู้เห็น หลวงปู่ของเราก็บอกว่า ดี ท่านบอกว่า ถ้าบังเอิญคนเขาทำบุญมากกว่านั้น ปิดฝาหลังเป็นกระจกด้วย ปิดเพดานด้วย อย่างนี้ จะสร้างความสดชื่น กับบุคคลผู้พบเห็น

    ในเมื่อหลวงปู่ของเรารับแล้ว ท่านก็กลับท่านมาประเดี๋ยวเดียว หลวงปู่ก็สั่งซื้อกระจก ความจริง กระจกนี้ ก็ซื้อมากไม่ได้ อันดับแรกจริง ๆ ซื้อกระจกที่มีคุณภาพต่ำนิด เพราะยังไม่พบกระจก ที่มีคุณภาพสูงกว่า กล่องใหญ่ กล่องละ ๘,๗๐๐ บาท ขอโทษ กล่องละ ๗,๕๐๐ บาท อันนี้ซื้อมา ๒-๓ กล่อง และภายหลังต่อมาซื้อกล่องใหญ่ คือ กล่องใหญ่นี่มี ๑๐๐ กล่อง กล่องละ ๘,๕๐๐ บาท ภายหลังนี่นะ อันนี้ซื้อมาก

    ต่อมา ในเมื่อหลวงปู่ท่านรู้ราคากระจก ท่านก็บอกกับลูกหลานมาว่า กระจกปิดพระนี่นะ กล่องใหญ่ กล่องละ ๘,๕๐๐ บาท ถ้ากล่องเล็กก็กล่องละ ๘๕ บาท ใครจะทำบุญด้วยก็ได้นะ ตามกำลังศรัทธา เอากันคนละกล่องเล็ก หรือ ๔ คนกล่องเล็ก หรือเอาคนละกล่องใหญ่ ก็ตามใจ ตามศรัทธา เพียงเท่านี้ละหลานรัก

    ปรากฏว่า เงินค่ากระจกมาลิ่ว มึงกล่อง กูกล่อง กล่องเล็ก บางท่าน เอาลังใหญ่เลย ลังละ ๘,๕๐๐ บาท ก็มีหลาย ๆ ท่าน ขนาดบริจาคยกลัง แต่คนที่มีทุนน้อยก็มี ๓ คน ๔ คน กล่องเล็ก กล่องละ ๘๕ บาท ท่านที่มีทุนมากหน่อย ก็คนละกล่องบ้าง ๒ กล่องบ้าง กล่องละ ๘๕ บาท ของมาก ของน้อย เป็นอันว่า เงินค่ากระจกไม่คั่นก็ปิดได้ตลอด ในเมื่อปิดได้ตลอด ฝา และเพดาน

    ต่อมาหลวงปู่ของเราก็คิดว่า ถ้าหากว่าจะปิดเสาด้วยจะดีไหม ก็ปรึกษากันบอกว่า การเห็นที่จังหวัดเชียงใหม่ เขาเอากระจกปิดเสาดูแล้วมันชื่นใจดี ก็พอดีวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ปรึกษากันแล้ว หลวงปู่กับพระ กับเจ้าหน้าที่ หลวงปู่ใหญ่ท่านก็มาบอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อย่าปิดแต่เสาเลย ปิดเพดานทั้งหมดหลัง ปิดฝาทั้งหมด ก็แล้วกัน ปิดเสาด้วย

    ก็กราบเรียนถามท่านว่า กระจกจะมีพอหรือ ค่าแรงงาน จะมีพอหรือ ท่านบอกว่า ค่าแรงงาน เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ เงินค่าวัตถุมงคลบ้าง เงินสังฆทานบ้าง และก็เงินถวายเป็นส่วนตัวบ้าง และก็เงินที่เขาถวายไม่จำกัดประเภทบ้าง อย่างนี้ทั้งหมด

    เรามาใช้ค่าแรงงาน กับการก่อสร้างทุกอย่างได้ แล้วก็หันมาถามหลวงปู่ของเราว่า เงินที่ถวายเป็นส่วนตัว เธอเก็บไว้เท่าไร หลวงปู่ของเราก็บอกว่า ไม่มี จ่ายหมดทุกเดือน พร้อมกับเงินสงฆ์ ทำการก่อสร้างบ้าง จ่ายภายในบ้าง ค่าอาหารการบริโภคของพระ ค่ากระแสไฟฟ้า

    ค่ากระแสไฟฟ้า เมื่อปีที่แล้วมา จ่ายเดือนสุดท้าย เดือนตุลาคมถึงเดือนละ ๑๒๐,๐๐๐ บาท จุไรฟังแล้วก็หูอื้อ บอกคุณป้า ค่าไฟฟ้านี่องค์การเก็บเดือนละ ๑๒๐,๐๐๐ บาท เชียวหรือ ป้าน้อยก็บอกว่าไม่ใช่ ๑๒๐,๐๐๐ บาทถ้วน นะหลานรัก ๑๒๐,๐๐๐ บาทเศษ แต่เวลานั้น ดวงโคมแสงสว่างไฟฟ้า ยังไม่สว่างเท่านี้ น้อยกว่านี้เยอะ น้อยกว่านี้เท่าตัวกว่า

    เรียกว่า ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ก็ประมาณ ๔๐ เปอร์เซ็นต์ ของปัจจุบัน หลวงปู่ของเราเห็นท่าสู้ไม่ไหว ก็ปั่นเครื่องใช้เอง ใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าเอง หลังจากเขาเก็บเดือนละ ๑๒๐,๐๐๐ บาทเศษ พอปั่นเครื่องใช้เอง เดือนแรกเสีย ๕๐,๐๐๐ บาทเศษ ปั่นทั้งวัด ไม่ได้หรี่ไฟเลย ก็เป็นอันว่า เวลานี้คิดว่า ถ้าติดไฟครบคงจะจะต้องจ่ายเดือนละ ๑๐๐,๐๐๐ บาทเศษ แต่ว่า ถ้าคิดจะใช้ไฟองค์การอาจจะถึง ๓๐๐,๐๐๐ บาท

    ต่อมา เมื่อหลวงปู่ใหญ่ท่านบอกอย่างนั้น หลวงปู่ของเราก็แจ้งให้บรรดาลูกหลานทราบ ทุกคนก็พร้อมใจกัน และต่อมาหลวงปู่ของเราก็คิดว่า เสาแต่ละต้น มีคนถามว่า ราคาเท่าไร จึงให้เจ้าหน้าที่ไปคิดค่าเหล็ก ค่าทราย ค่าหิน ค่าปูน เสร็จ ค่าแรงงานด้วย ทำเสาแล้วก็คิด ค่ากระจกเท่าไร ค่าแรงงานของกระจกเท่าไร เมื่อคิดเบ็ดเสร็จแล้ว ได้ราคาต้นละ ๑๒,๐๐๐ บาท พอบอกราคา ๑๒,๐๐๐ บาท ก็ปรากฏว่า มีเจ้าภาพเยอะขึ้น

    เอาละ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย เวลาหมดแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่านทุกคนทุกท่าน สวัสดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...