ตายแล้วไปไหน-พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ตุปั๊ดตุเป๋, 20 มีนาคม 2019.

  1. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ตายแล้วไปไหน
    โดย พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ
    คัดลอกจากไฟล์อริยบุตรหนังสือธรรมะ


    สารบัญ

    ๑.คำบอกเล่า
    ๒.ตายจากเด็กหญิงอายุ ๗ ขวบ ไปรออยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
    ๓.มีอาชีพฆ่าหมูตายแล้วไปสวรรค์
    ๔.ลูกชายแทงตัวเองตายถึง ๗ แผล มาบอกให้แม่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลออกชื่อเขาโดยเฉพาะคนเดียว
    ๕.ตายจากคนไปรออยู่ที่สำนักท่านพระยายมราชโมทนาบุญพระกรรมฐานแล้วไปเกิดเป็นเทวดา
    ๖.ผีผู้หญิงออกลูกตายกับผีผู้ชายถูกยิงตายมาขอบุญหลวงพ่อ โมทนาแล้วไปเกิดเป็นเทวดา
    ๗.ตายจากสุนัขชื่อ "ปุย" ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๗
    ๘.พระสารีบุตรช่วยมารดาในอดีตที่ผ่านมาแล้ว ๑๐๐ ชาติได้ตายจากคนไปเกิดเป็นเปรต
    ๙.ตายจากพระสงฆ์ไปเกิดเป็นพญานาคมีนามว่า "พญาเอรกปัตตนาคราช"
    ๑๐.การบรรลุมรรคผลพระนิพพานของท่านอัญญาโกณฑัญญะกับท่านสุภัททะปริพาชก
    ๑๑.ตายจากกาไปเกิดเป็นเปรตมีชื่อว่า "กากะเปรต"
    ๑๒.ตายจากปลามีเกล็ดเป็นสีทองแล้วไปอยู่ในอเวจีมหานรก
    ๑๓.จากพรหมมาเกิดเป็นคน
    ๑๔.คนใกล้จะตายควรแนะนำอย่างไร
    ๑๕.ศีลบริสุทธิ์
    ๑๖.ท่านหลวงตาอินมรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเทวดามีหน้าที่ยืนยามอยู่ทาง ๔ แพร่ง สวรรค์เขตจาตุมหาราช
    ๑๗.ท่านเจ้าคุณเทพประสิทธินายกมรณภาพแล้วไปพระนิพพาน
    ๑๘.เทวดาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาขออาตมาให้บวชเณรให้เพราะขาดอานิสงส์บวชเณร
    ๑๙.หลวงพ่อตอบคำถามศิษย์ที่ถามถึงผู้ที่ตายไปแล้วไปเกิดเป็นอะไร (เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗)
    ๒๐.ตายจากคนอาชีพจับปูทะเลขายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส เทวโลก
    ๒๑.ตายจากหญิงแก่ชอบถวายสังฆทานไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส เทวโลก
    ๒๒.ท่านท้าวเทพกษัตรีกับท่านท้าวศรีสุนทรได้มาบอกว่าท่านอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส

    เทวโลก
    ๒๓.ปลูกต้นมะม่วงล้อมวิหาร ตายจากคนไปเกิดเป็นนางฟ้าบนแดนสวรรค์
    ๒๔.ตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นพระกาล เป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
    ๒๕.ท่านมาฆมาณพตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นท่านพระอินทร์ หัวหน้าเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
    ๒๖.ก่อนตายนึกถึงพระพุทธเจ้าตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส เทวโลก เทวโลก
    ๒๗.พระอัสสชิพระสาวกรุ่นแรกของพระพุทธเจ้า ก่อนที่จะนิพพานมีทุกขเวทนาอย่างหนัก
    ๒๘.ตายจากแม่ชีไปรออยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา
    ๒๙.ตอนเช้ากับตอนหัวค่ำจับพระที่ห้อยคอขอท่านคุ้มครอง ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นยามา
    ๓๐.พระเยซูตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต
    ๓๑.หลวงปู่พระครูบาธรรมชัย (พระครูวรเวทย์วิสิฐ) มรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต
    ๓๒.หลวงพ่อปานวัดบางนมโคปรารถนาพระโพธิญาณมรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต
    ๓๓.พระศรีอาริยเมตไตรยปรารถนาพระโพธิญาณจึงไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต
    ๓๔.สองพี่น้องตายจากคน คนพี่ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ส่วนคนน้องไปเกิดบนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี
    ๓๕.ตายจากคนไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี
    ๓๖.ท่านอาฬารดาบสกับท่านอุทกดาบส ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นอรูปพรหม
    ๓๗.พระมหาทองปอนด์ วันม่อนธาตุ จังหวัดอุตรดิตถ์ มรณภาพเมื่อ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๒
    ๓๘.พระเทพวิสุทธิเมธี วัดอนงคาราม มรณภาพแล้วไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๗
    ๓๙.ประสบการณ์ตายของพระมหาถาวร (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง)
    ๔๐.พระพินิจอักษร (ท่านทองดี) มาบอกหลวงพ่อว่าท่านเป็นพรหมชั้นที่ ๗
    ๔๑.ตายจากคนไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๘
    ๔๒.ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปพระนิพพาน
    ๔๓.หลวงพ่อพาโยมพ่อและโยมแม่ในชาติปัจจุบันไปพระนิพพาน
    ๔๔.หลวงพ่อไปพบลูกศิษย์ตายแล้วไปอยู่ที่พระนิพพาน
    ๔๕.ประสบการณ์ตายของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    ๔๖.ท่านจ่าพัว ชระเอม ตายแล้วไปอยู่บนแดนพระนิพพาน
    ๔๗.การอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย
    ๔๘.โลกันตนรกเป็นนรกขุมพิเศษมีโทษหนักกว่าอเวจีมหานรก
    ๔๙.ทายกวัดตายแล้วไปลงอเวจีมหานรก
    ๕๐.โยมน้อย แก้วแดง เป็นความหวังพระนิพพานในบรรดานักปฏิบัติชุดแรกของหลวงพ่อ
    ๕๑.ตายจากพระสงฆ์มีเงินให้กู้ ไม่ผ่านสำนักพระยายมราชลงนรกเลย
    ๕๒.พระเทวทัตตายจากความเป็นคนไปอยู่ในอเวจีมหานรก
    ๕๓.พระเจ้าอชาตศัตรูตายจากความเป็นคนไปอยู่โลหะกุมภีเป็นยมโลกียนรกขุมที่ ๑
    ๕๔.พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ก่อนสิ้นชีพิตักษัยทรงเปล่งวาจาว่า “หญิงขอลาไปนิพพาน”
    ๕๕.ตายจากคน (ผู้หญิงแขก) ไปเกิดเป็นเปรตมาขอบุญอาตมาแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
    ๕๖.ขณะมีชีวิตไม่เคยทำบุญให้ทานตายจากคนไปเกิดเป็นเปรต
    ๕๗.สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงลาจากพุทธภูมิเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๓๓
    ๕๘.ตายจากไก่ไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
    ๕๙.สุนัขที่วัดท่าซุงตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ฟังเทศน์แล้วเลื่อนไปอยู่สวรรค์ชั้นยามา
    ๖๐.ตายจากช้างและลิงไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
    ๖๑.ตายจากงูเหลือมไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้วลงมาเกิดเป็นคนได้สำเร็จอรหัตผล
    ๖๒.ตายจากคนไปเกิดเป็นวัว
    ๖๓.ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นนกยาง
    ๖๔.ตายจากพระสงฆ์ไปเกิดเป็นเต่า
    ๖๕.พระติสสะก่อนตายจิตนึกถึงจีวรแพรผืนใหม่ ตายแล้วไปเกิดเป็นเล็นเฝ้าจีวรอยู่ ๗ วัน
    ๖๖.หลวงพ่อเขียนถึงการมรณภาพของหลวงปู่คำแสน วัดดอนมูล จังหวัดเชียงใหม่
    ๖๗.หลวงพ่อเห็นผีปอบที่ท่าลาน
    ๖๘.ตายจากคนซึ่งอยู่ข้างๆ วัดบางนมโค จังหวัดพระนครศรีอยุธยาไปเกิดเป็นสัมภเวสี
    ๖๙.หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มรณภาพแล้วท่านไปพระนิพพาน
    ๗๐.ตายจากมหาเศรษฐีที่ "ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ" ไปเกิดเป็นลูกคนขอทาน
    ๗๑.ในชาติก่อนซ่อมพระพุทธรูปที่ปรักหักพัง ตายแล้วมาเกิดเป็นคนที่มีความสาวความสวยไม่เปลี่ยนแปลงจนอายุ ๑๒๐ ปี
    ๗๒.ลักษณะของผีปลวก
    ๗๓.นายพลโตโจอดีตแม่ทัพใหญ่ของญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่สองมาบอกหลวงพ่อว่า "ท่านไม่ตกนรก"
    ๗๔.คนชาติฝรั่งตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดารักษาพื้นที่ที่ชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา
    ๗๕.ตายจากคนอเมริกันที่ให้ทานกับคนที่มีศีลมีธรรมน้อยจึงไปเกิดเป็นภุมเทวดาที่มีบุญน้อยมาก
    ๗๖.ขุนสมาหารราชวัตรตายจากคนไปเกิดเป็นเทวดาสวรรค์เขตจาตุมหาราช
    ๗๗.หลวงปู่ดู่ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    ๗๘.ตายจากคนไปเกิดเป็นเทวดารักษาเขตที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตจังหวัดภูเก็ต สวรรค์เขตจาตุมหาราช
    ๗๙.ท่านรุกขเทวดาที่เสาตกนํ้ามันมาหาหลวงพ่อที่วัดชิโนรสเป็นเทวดาเขตจาตุมหาราช
    ๘๐.ท่านขุนไกรตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช
    ๘๑.ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน
    ๘๒.เรื่องปัญญา

    ---------

    ๘๓.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๒
    ๘๔.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๔
    ๘๕.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๕
    ๘๖.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๖
    ๘๗.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๘
    ๘๘.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๙
    ๘๙.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๐
    ๙๐.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๑
    ๙๑.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๔
    ๙๒.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๕
    ๙๓.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๖
    ๙๔.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๗
    ๙๕.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๘
    ๙๖.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๒๐
    ๙๗.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๒๑
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2019
  2. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑.คำบอกเล่า

    เนื่องในงานทำบุญวันคล้ายวันเกิดของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ในปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๔๔ เพื่อเป็นการระลึกถึงพระคุณความดีของหลวงพ่อ ข้าพเจ้าและคณะศิษย์หลวงพ่อได้จัดพิมพ์หนังสือเรื่อง “ตายแล้วไม่สูญ” และ “ตายแล้วไปไหน”

    เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ทราบตามความเป็นจริงว่า “คนที่ตายไปแล้วไม่สูญ” เรื่องนรก สวรรค์ พรหม และพระนิพพาน นั้นมีจริงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ และหลวงพ่อได้นำวิชา “มโนมยิทธิ” มาสอนบรรดาคณะศิษย์ให้ฝึกไปพิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง จะได้หมดความสงสัยและมีความมั่นใจในการปฏิบัติเพื่อให้เกิดมรรคผล

    ข้าพเจ้าคิดที่จะทำหนังสือเรื่อง “ตายแล้วไม่สูญ” และ “ตายแล้วไปไหน” เพื่อแจกเป็นที่ระลึกในงานทำบุญวันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อมานานแล้ว แต่ติดในด้านทุนทรัพย์ในการจัดพิมพ์เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูง จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อปลายเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ได้มีโอกาสคุยเรื่องนี้กับหลวงพี่สมปอง ท่านฟังแล้วก็บอกว่าให้เริ่มลงมือทำได้เลยให้ทันแจกในปีนี้ ท่านและคณะธัมมวิโมกข์ของท่านจะช่วยพิมพ์ต้นฉบับ และจัดทำรูปเล่มให้ทั้งหมด พร้อมทั้งจะช่วยหาทุนให้ด้วย ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมาก หลังจากนั้นจึงมากราบเรียนขออนุญาตท่านพระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ เจ้าอาวาสวัดท่าซุง ท่านก็มีเมตตาอนุญาตให้พิมพ์ได้

    เรื่องราวทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้ารวบรวมคำสอนของหลวงพ่อที่ท่านพูดเกี่ยวกับคนที่ตายไปแล้วไปเกิดในแดนนรก แดนสวรรค์ แดนพรหม และแดนพระนิพพาน เป็นเรื่องพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้บ้าง และเรื่องที่หลวงพ่อท่านได้ประสบมาเองบ้าง เนื่องจากเรื่องที่หลวงพ่อท่านนำมาสอนนั้นมีมากมายหลายเรื่อง ข้าพเจ้าจึงรวบรวมมาเท่าที่จะมีเวลาทำได้ จากหนังสือหลายๆ เล่มของหลวงพ่ออาทิ หนังสือธัมมวิโมกข์ หนังสืออ่านเล่น หนังสือไตรภูมิ ฯลฯ ส่วนใหญ่ของเรื่องต่างๆ ที่จัดพิมพ์ไว้ในหนังสือเล่มนี้ หลายท่านที่มาฝึกญาณ ๘ ที่บ้านสายลมสามารถฝึกไปพิสูจน์ด้วยตนเอง ว่าเป็นความจริงตรงตามที่หลวงพ่อได้ประสบมา และนำมาเล่าให้คณะศิษย์ฟัง

    ทุนทรัพย์ในการจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ เป็นศรัทธาของบรรดาคณะศิษย์หลวงพ่อที่เป็นญาติผู้ใหญ่ พี่ๆ น้องๆ ที่ปฏิบัติธรรมด้วยกัน ช่วยกันบริจาคทรัพย์มากบ้างน้อยบ้างตามกำลังศรัทธา โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่มาฝึกญาณ ๘ ที่บ้านสายลมได้ช่วยกันรวบรวมเงินมาเป็นค่าพิมพ์ด้วยความศรัทธาและเต็มใจจริงๆ ทำให้ข้าพเจ้ามีความซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก และขออนุโมทนากับทุกท่านที่มีจิตศรัทธาเป็นบุญกุศล ถ้าหากมีการขาดตกบกพร่องหรือข้อผิดพลาดประการใดในหนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว

    หนังสือเล่มนี้สำเร็จได้ด้วยอำนาจพระบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอริยสงฆ์ทั้งหมด ครูบาอาจารย์ท่านผู้มีพระคุณทั้งหมด ตลอดจนพรหมและเทวดาทั้งหมด อันมีองค์หลวงพ่อและท่านแม่เป็นที่สุด ท่านมีพระเมตตาสงเคราะห์ช่วยเหลือ

    ผลบุญใดที่จะพึงมีขึ้นจากการพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมกราบถวายเพื่อบูชาพระคุณความดีขององค์หลวงพ่อที่มีต่อข้าพเจ้าและบรรดาคณะศิษย์หลวงพ่อ ให้ได้พบวิธีปฏิบัติตนเพื่อการพ้นทุกข์ ไม่ต้องกลับมาเกิดพบกับความทุกข์อีกต่อไป

    ในที่สุดนี้ ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุแล้ว และธรรมใดที่องค์หลวงพ่อเข้าถึงแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าและท่านผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคทุนทรัพย์ในการพิมพ์ครั้งนี้ ตลอดจนท่านผู้อ่านหนังสือเล่มนี้ทุกๆ ท่าน จงเกิดปัญญาในการตัดกิเลสและเข้าถึงที่สุดของธรรมนั้นโดยฉับพลันในชาติปัจจุบันนี้โดยมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์และปราศจากทุกขเวทนาใดๆ ทั้งปวงด้วยเถิด.


    คณิตพร บุณยเกียรติ (เปี๊ยก)

    ๗ ตุลาคม ๒๕๔๔
     
  3. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒.ตายจากเด็กหญิงอายุ ๗ ขวบ ไปรออยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

    “..วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๓๑ ท่านพระยายมราชกับท่านนายบัญชีได้มาตามอาตมาให้ไปที่สำนักงานท่านด่วนเพราะเด็กบ่นหาท่าน ก่อนถึงสำนักงานของท่าน ท่านบอกให้อาตมาไปในรูปนอกคือ กายเนื้อ เพราะเด็กและคนที่เห็นจะได้จำได้ ถ้าไปในรูปในคืออทิสสมานกาย เขามองไม่เห็นหรือเห็นไม่ชัดอาจจะจำไม่ได้

    เมื่อไปถึงสำนักพระยายมราช เห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุ ๗ ปี รูปร่างขาวโปร่ง เป็นคนทางทิศตะวันออก เมื่อเห็นอาตมาเธอก็วิ่งมาหากราบลงที่เท้าและเกาะไว้ไม่ยอมปล่อย ถามเธอว่า “ตายเพราะอะไร” เธอตอบว่า “เป็นโรคอหิวาต์ตาย” ถามเธอว่า “ตายเมื่อไร” เธอตอบว่า “ตายเดือนกันยายน ๒๕๓๑ นี่เอง” ถามเธอว่า “ก่อนตายนึกอย่างไร” เธอตอบว่า “เมื่อ ๓ ปีที่แล้วมา เธอมาที่วัดท่าซุงกับพ่อและแม่ เมื่อพ่อแม่ให้ไปไหว้อาตมา หนูจะเข้าไปกราบที่ตัก” อาตมาบอกว่า “ไม่ต้องกราบบนตัก กราบใกล้ๆ ก็ใช้ได้”

    เมื่อกราบแล้วก็นั่งตรงนั้นตลอดเวลาจนกว่าจะกลับ จากนั้นก็กลับบ้านเห็นอาตมาตลอดวัน (พระท่านบอกว่าได้ฌานในสังฆานุสติ) พอตื่นนอนก็เห็นอาตมา เวลาจะทำอะไรถ้าถามอาตมาแล้วอาตมายิ้ม แสดงว่าให้ทำได้ ถ้าไม่ยิ้มแสดงว่าห้ามทำ

    เมื่อก่อนมาพบหลวงพ่อเธอได้ตีแมลงตัวเล็กๆ บินมาตายบ้าง ไม่ตายบ้าง พอกลับมาจากหาอาตมาแล้ว จะตีแมลงตอนเย็นมองดูหน้าอาตมาไม่ยิ้มเลยเลิกตี เมื่อป่วยท้องเดินร้อนภายในมาก แต่เห็นอาตมายิ้มและสวยขึ้นๆ หนูเลยสบายใจ เมื่อจะตายเห็นแมลงฝูงใหญ่บินมาจะเข้าตา เลยตกใจตอนนี้เอง คน ๔ คนนุ่งแดงที่ยืนอยู่นี่แหละ เธอชี้ไปที่คนนุ่งแดง ๔ คนยืนอยู่ ท่านทั้งสี่ยิ้มชอบใจ

    เธอเล่าต่อไปว่า คนนุ่งแดง ๔ คนไปชวนหนูมา หนูจะไม่มา หลวงพ่อบอกว่า “ไปเถอะ พ่อจะไปด้วย” หนูจึงมา เมื่อมาถึงท่านลุงแล้ว หลวงพ่อออกปากฝากท่านลุงแล้วหลวงพ่อก็หายไป หนูเหงาเลยขอให้ท่านลุงเอาหลวงพ่อหนูคืนมา เมื่อกี้ท่านลุงทั้งสองหายไปคงไปตามหลวงพ่อมา

    อาตมาถามท่านลุงว่า “สอบสวนแล้วหรือยัง” ท่านลุงบอกว่า “เด็กได้ฌานในสังฆานุสติ ฌาน พลัดนิดเดียวที่เห็นแมลง เป็นการตายนอกฌาน เธอไปสวรรค์ได้เลย ท่านมาฝากผมจะต้องสอบสวนอะไรกันอีก”

    ในที่สุดทั้งหมดก็พาหนูน้อยไปสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก เธอบอกว่า “เธอตายนอกฌานไปพรหมไม่ได้ เธอจะไปอยู่กับท่านปู่” อาตมาถามท่านนายบัญชีว่า “ทำไมเอามาตั้งแต่อายุยังน้อย”

    ท่านเปิดบัญชีให้ดูและอ่านให้ฟังว่า มีสิทธิ์เป็นมนุษย์ ๗ ปีแล้วกลับที่เดิมคือดาวดึงส์ เมื่อถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เธอเข้าไปหาท่านปู่ สนิทสนมแบบคนรู้จักกันดี เธอสวยมีเครื่องประดับก็สวยมาก แสงสว่างมากด้วยอำนาจสังฆานุสติ..”
     
  4. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓.มีอาชีพฆ่าหมูตายแล้วไปสวรรค์

    “..ชายชาวจีนผู้หนึ่งมีอาชีพฆ่าหมูและก็เอาไปขาย พอตอนแก่มีคนบอกว่า “ตายแล้วจะตกนรก” แกก็เลยใส่บาตรทุกวัน

    ก่อนจะใส่บาตรทุกครั้งแกจะยกมือไหว้พระสงฆ์ก่อนและจะท่องคาถา “นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ” แล้วก็ใส่บาตร

    ทีนี้พอตอนจะตายแกเห็นยมทูตมา แกก็ว่า “นะโมตัสสะ” ปรากฏว่ายมทูตเผ่นไปเลย เวลานั้นจิตเขาเป็นกุศล อกุศลจึงเข้าไม่ได้ ถ้ายมทูตมานี่ยังไม่แน่จะลงนรกหรือไม่ต้องไปสอบสวนก่อน ถ้าแกนึกนะโมตัสสะได้ ท่านพระยายมราชก็ปล่อยให้ไปสวรรค์ก่อน แต่ในเมื่อแกว่า นะโมตัสสะ ตอนก่อนจะตาย ท่านจึงปล่อยให้ไปสวรรค์ทันที..”
     
  5. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๔.ลูกชายแทงตัวเองตายถึง ๗ แผล มาบอกให้แม่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลออกชื่อเขาโดยเฉพาะคนเดียว

    “..มีผู้หญิงคนหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่า ลูกชายแทงตัวเองตายถึง ๗ แผล คิดไม่ออกว่าทำไมไม่เจ็บ อาตมาก็ตอบให้ผู้หญิงคนนี้ฟังว่า ตามธรรมดาอย่าว่าแต่มีดพกแทงเข้าไปเลย แค่เข็มจิ้มเข้าไปก็ไม่ไหวแล้ว หมดแรงที่จะแทงถึง ๗ แผล

    เราก็นึกว่าถึงวาระเขาแล้วก็แล้วกัน ความจริงคนนี้ลักษณะเขาเป็นคนดี ต้องถือว่าเป็นกฎของกรรมเดิมเข้ามาสนอง เรื่องโกรธเคืองใคร น้อยใจใครขนาดที่จะฆ่าตัวตายนั้น เขาบอกว่าไม่มี เขาทำภาพให้ดู เขาเป็นคนดี ไม่ใช่คนกินเหล้าเมายาหยำเปจนไร้สติ กินก็กินบ้างเป็นของธรรมดา ตามปกติแล้วเป็นคนเฉยๆ ไม่พูดมาก

    แม่ตอบว่า “ใช่ค่ะ พูดแต่พูดไม่มาก” ถ้าไม่เมาพูดกับใครก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดี ไม่ใช่คนเกกมะเหรกเกเร และก็เขาก็บอกว่า “มันเป็นกฎของกรรม ที่ผมแทงตัวเองนี่ ผมนึกว่าผมแทงข้าศึก แทงศัตรู” เขาทำท่าให้ดูไม่ต้องไปดูที่ไหน เขายืนอยู่ข้างแม่เขา

    อาตมาก็เลยถามว่า “จะเอาอะไร”

    อานิสงส์ของการถวายสังฆทาน
    เขาก็บอกว่า ขอพระพุทธรูปหน้าตักกว้าง ๔ นิ้วหรือ ๕ นิ้วก็ได้ ๑ องค์ จะเป็นพระพุทธรูปโลหะหรือพระพุทธรูปปั้นก็ได้ ผ้าไตร ๑ ไตร อาหารตามสมควร ขอนํ้าดื่มสัก ๑ ขวด จะเป็นนํ้าดื่มธรรมดาหรือจะเป็นนํ้าเป๊ปซี่โคล่าอะไรก็ได้ ถวายเป็นสังฆทาน

    และให้อุทิศส่วนกุศลเจาะจงออกชื่อเขาตรงๆ เลย ให้เฉพาะเขาคนเดียว เขาจะได้รับเต็มที่และเขาจะมีความสุข เพราะอานิสงส์มีดังนี้คือ

    การถวายพระพุทธรูป ถ้าเป็นเทวดาจะมีรัศมีกายสว่างมาก

    การถวายผ้าไตรจีวร ได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์

    การถวายอาหาร ทำให้มีร่างกายเป็นทิพย์

    การที่ขอนํ้า ๑ ขวดนั้น จะได้บริบูรณ์ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีนํ้ากิน และนํ้านี้มีอานิสงส์จะได้สระโบกขรณี เทวดามักจะถือเอาสระโบกขรณีเป็นจุดเด่น ถ้าวิมานไหนไม่มีสระโบกขรณี จะถือว่าวิมานนั้นด้อยกว่าเขา
     
  6. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๕.ตายจากคนไปรออยู่ที่สำนักท่านพระยายมราชโมทนาบุญพระกรรมฐานแล้วไปเกิดเป็นเทวดา

    “..วันนี้จะขอเล่าเกร็ดความรู้ที่ได้มาจาก การเจริญพระกรรมฐาน ซึ่งเป็นความรู้ที่ได้มาเป็นกรณีพิเศษ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๔ อาตมาไปเทศน์ที่วัดศีรษะเมือง (วัดมหาธาตุ)อำเภอสรรค บุรี จังหวัดชัยนาท วันนั้นเขาทำบุญงานศพ สำหรับงานศพรายนี้ก็ปรากฏว่าลูกสาวเป็นคนจัดงานทำศพพ่อ ได้มาอาราธนาอาตมาเป็นประธาน ก็เลยบอกเจ้าภาพว่า

    “จะให้เป็นประธานก็ได้ แต่ถ้าพระเป็นประธานละก้อ การจัดงานศพพ่อก็ดี การจัดงานบวชก็ดี และ การทำบุญทั้งหมด จะมีบาปแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้คือ

    (๑) สิ่งใดก็ตามที่เป็นบาปอกุศลจะต้องไม่มีในงานนี้ แม้แต่ไข่ลูกหนึ่งก็ห้ามทุบ ถึงเขาบอกว่าไข่ไม่มีตัวก็ไม่ได้ ใจมันไม่สบาย

    (๒) เวลาจัดงานศพ ควรจะหาคนรับรองแขกแทนตัวเอง ใจจะได้ไม่กังวล

    เวลาพระให้ศีล ต้องรับศีลให้จบและตั้งใจรับศีลด้วยความเคารพ
    เวลาพระสวด ก็ต้องตั้งใจฟังพระสวดจนจบด้วยความเคารพ
    เวลาพระเทศน์ ต้องฟังเทศน์ด้วยความเคารพจนจบ
    เวลาถวายทาน ให้ตั้งใจถวายทานด้วยความเคารพ

    (๓) อย่าให้มีสุรายาเมา เข้ามาเจือปนในงาน

    (๔) มหรสพอย่ามีแม้แต่ปี่พาทย์ กลองยาว เพราะคนเล่นส่วนใหญ่มักจะกินเหล้ากัน”

    ลูกสาวก็รับคำและปฏิบัติตามนั้น ตอนเช้าบวชน้องชาย ตอนสายก็นำศพพ่อขึ้นศาลา ตอนเพลเลี้ยงพระ ๓๐ กว่าองค์ ถวายผ้าสบง ผ้าไตรจีวร เป็นสังฆทานเต็มอัตรา มีเทศน์ ๒ องค์ อาตมากับเจ้าคุณภาวนาภิรามเถระ ซึ่งเป็นอาจารย์วิปัสสนาญาณองค์หนึ่ง ตอนต้นอาตมาก็บอกอานิสงส์ไปสัก ๑๕ นาที ต่อมาเจ้าคุณภาวนาฯ ซึ่งเป็นองค์ถาม องค์นี้ท่านชอบร่ายยาวอย่างน้อยที่สุดจะต้องพูด ๓๐ นาที ท่านว่าอารัมภบทก่อน

    เมื่อท่านเริ่มตั้งนะโม อาตมาก็จับจิตเข้าสู่ความสงบตามแบบฉบับที่หลวงพ่อปานเคยสอนว่า ก่อนจะเทศน์ต้องทำจิตให้เข้าสู่พระกรรมฐานสูงสุดเท่าที่เรามีอยู่ ขณะที่ท่านร่ายยาวอาตมาก็นึกว่าวันนี้ได้กำไร

    พอจิตวางอารมณ์ได้สบายสัก ๕ นาที ก็นึกถึงคนตายว่า “นายกิ่มแกไปอยู่ที่ไหน” มองดูรอบๆ บริเวณที่เขาทำบุญ เห็นแต่พวกเปรตมายืนเต็มพรืดเป็นแสนรอบศาลาไปหมด แต่ผีนายกิ่มไม่ปรากฏมีอยู่ที่นั้น จึงสงสัยว่า “นายกิ่มน่ากลัวจะมีอันตราย” หมายความว่าแกอาจจะถูกลงโทษด้วยกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงกำหนดจิตนึกถึงท่านท้าวมหาราช ถามท่านว่า “เวลานี้นายกิ่มอยู่ที่ไหน ใครควบคุมอยู่ ถ้าอยู่ในช่วงเสวยทุกขเวทนาอยู่ ขออนุญาตครู่หนึ่งได้โปรดนำมาก่อนด้วย เวลานี้เขาทำบุญใหญ่ให้”

    จะไปเรียกเขามาเฉยๆ ไม่ได้ เราไม่มีสิทธิ์เลย ท่านท้าวมหาราชท่านให้ลูกน้อง ๒ คนไปบอกเจ้าหน้าที่แล้วจึงนำมา

    ภาพก็ปรากฏ นายกิ่มเดินมาหน้าตาเศร้าสร้อยมีความทุกข์เหลือเกิน มีโซ่ ๒ เส้นล่ามคอ มีคนจูงหางโซ่ข้างละคน นายกิ่มอยู่ตรงกลาง พอมาถึงก็นั่งก้มหน้าแสดงความทุกข์ข้างธรรมาสน์ เรียกอย่างไรก็ไม่เงยหน้าฟังเลยไม่ยอมพูด จึงถามคนที่คุมมาว่า “ทำไมเป็นอย่างนี้”

    เขาบอกว่า “กรรมมันหนักครับ” จึงถามว่า “เขาตัดสินแล้วหรือยัง” เขาตอบ “ยังครับ ยังรอการตัดสินอยู่ ถ้าตัดสินแล้วไม่มีสิทธิ์ที่จะช่วยให้พ้นทุกข์ได้ ถ้าลงนรกไปแล้วไม่มีสิทธิ์ขอท่าน ถ้าได้ก็เพียงแต่ความร้อนลดน้อยลงไปบ้าง” จึงถามว่า

    “วันนี้เขาบวชลูกชายแกเพื่อทำบุญให้ มีการถวายสังฆทาน เลี้ยงพระบังสุกุล ๓๐ กว่าองค์ และก็มีเทศน์ด้วย จัดว่าเป็นมหากุศล บุญใหญ่ทั้งหมดขนาดนี้ ทำไมจึงโมทนาไม่ได้” เขาตอบว่า “ไม่มีสิทธิ์โมทนา เพราะกรรมหนัก บุญที่ลูกทำให้ก็ดี หรือบุญที่นายกิ่มทำมาแล้วก็ดี เวลานี้กำลังไม่พอ”

    แล้วเขาก็เล่าประวัติของนายกิ่ม ว่าเดิมทีทำความไม่ดีมามาก แต่ตอนปลายได้มาพบอาตมานั้นแกทำความดี เวลานั้นอาตมายังอยู่กรุงเทพฯ ขึ้นมาทีไรมานอนพัก ๕ วัน ๗ วัน นายกิ่มก็มานอนอยู่ด้วยทุกวัน ถ้าอาตมาไม่กลับแกก็ไม่กลับ ให้ลูกสาวเอาข้าวต้มมาถวายตอนเช้า ตอนเพลเอาข้าวสวยมาถวาย ตอนบ่ายตอนเย็นเอาเภสัชมาถวาย ทำดีทุกอย่างมาประมาณ ๑๐ ปี เหล้าก็ไม่ดื่ม

    แต่ทว่าอดีตของแกมันไม่ดี เขาเรียกว่า ต้นคดปลายดี หรือเรียกว่า โจรกลับใจก็ได้ ชั่วกับดีมันกํ้ากึ่งกัน จะลงนรกทีเดียวหรือขึ้นสวรรค์เลยก็ไม่ได้ ต้องสอบสวนก่อน ก็เลยบอกว่า “ความดีเขามีอยู่ แต่เวลาตายจิตมัวหมอง อย่างนี้บุญอะไรเขาจึงจะโมทนาได้”

    คนที่คุมมาท่านชี้มาที่อาตมาบอกว่า “บุญพระกรรมฐานของท่านช่วยได้” ถามอีกว่า “บุญที่เขาทำมาก่อนกับบุญเวลานี้จะรวมตัวกันหรือไม่” ท่านตอบว่า “รวมตัวครับ” แสดงว่า เวลากุศลกรรมส่งผล ผลบุญทั้งหมดที่ทำไว้ก็จะรวมตัวกันช่วยเสริมทันที

    ในทำนองเดียวกัน ถ้าเวลาอกุศลกรรมส่งผลเมื่อใด ผลบาปทั้งหมดก็จะรวมตัวกันช่วยเสริมทันทีเช่นเดียวกัน ทำให้ทุกข์หนักมากยิ่งขึ้น

    อาตมาจึงบอกให้นายกิ่มตั้งใจฟังและโมทนาตามว่า “กุศลผลบุญใดที่อาตมาเคยบำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่ต้นจนกระทั่งปัจจุบันนี้ จะพึงให้ประโยชน์และความสุขแก่อาตมาเพียงใด ขอนายกิ่มจงโมทนารับผลบุญนี้เช่นเดียวกับอาตมาตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”

    เพียงเท่านี้ปรากฏว่า โซ่ที่รัดคอล่ามไว้ ๒ เส้นหลุดออกไปจากคอทันทีโดยไม่ต้องปลด นายกิ่มก้มลงกราบอาตมา กราบครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ ก็ยังคงสภาพเดิมอยู่ แต่พอกราบครั้งที่ ๓ เสร็จ ลุกขึ้นมาสวยอร่ามเป็นเทวดามีความสวยผิดปกติ หลังจากนั้นก็ไปจับลูก ทักคนโน้นคนนี้ จับคอเขย่าก็ไม่มีใครเหลียวดู เพราะเขาไม่รู้เรื่อง

    อาตมาได้ถามคนคุมว่า “ทำไมนายกิ่มจึงสวยมากอย่างนี้” เขาตอบว่า “ด้วยอำนาจบุญพระกรรมฐานที่ท่านให้ สามารถที่จะเปลื้องให้พ้นจากความทุกข์ เมื่อบุญส่วนหนึ่งเข้าถึงใจแล้ว บุญทั้งหมดที่นายกิ่มทำมาก่อนก็ดี บุญที่ลูกสาวทำให้ในวันนี้ก็ดี บุญทั้งหมดก็มารวมตัวกันหมด จึงทำให้เป็นเทวดาที่มีความสวยงามมาก”

    ก็เลยบอกท่านว่า “ขอขอบใจที่ได้แนะนำฉัน” คนคุม ๒ คนก็เลยบอกว่า “ท่านครับ ผมเองก็ไม่อยากจะทำงานในตำแหน่งนี้เหมือนกัน ต้องคอยมารับคนแบบนี้มันลำบาก ไม่มีความสุข ผมสองคนก็อยากได้บ้าง” ก็เลยถามว่า “ทำอย่างไรเธอทั้งสองจึงจะได้ล่ะ” เขาก็บอกว่า “ท่านให้กับนายกิ่มแบบไหนก็ให้ผมแบบนั้น ผมก็จะได้รับเหมือนกัน”

    ก็เลยบอกว่า “อ้าว! แล้วไม่หนีงานเขาหรือ” เขาตอบว่า “นายเขาไม่ถือว่าหนีงานขอรับ ถ้ามีบุญถึงก็จะได้ไปเป็นเทวดา” อาตมาไม่ได้ลงทุนอะไร ก็เลยตั้งจิตอธิษฐานแบบเดียวกันกับที่ให้กับนายกิ่ม พออธิษฐานจบ สองคนโมทนาแล้วเขาก็กราบ ๓ หนๆ ที่ ๓ มีสภาพเหมือนกับนายกิ่ม รูปร่างสวยงามเช่นกัน

    เป็นอันว่าอานิสงส์แห่งการเจริญพระกรรมฐาน ถ้าเราจะทำบุญให้แก่คนตาย อันนี้มีประโยชน์มาก แต่ประโยชน์นั้นมันจะต้องถึงตัวเราก่อน ไม่ใช่คนตายจะมีโอกาสมาโมทนาเฉยๆ เราต้องเป็นผู้ให้เขาจึงจะได้รับ

    สรุปแล้วก็คือ ตัวเราเองต้องมีบุญซะก่อน จึงจะไปอุทิศส่วนกุศลให้คนตายได้ แดนใดที่ไม่มีบุญ ทำแล้วก็ไม่ได้รับเหมือนกัน หมายถึงพระที่ไม่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทำไปเท่าไรก็ไม่มีผล อุทิศส่วนกุศลให้คนตายก็ไม่ได้รับ ทำบุญในเขตที่มีบุญน้อยก็มีอานิสงส์น้อย เขาก็มีความสุขน้อย ถ้าทำบุญในเขตที่มีบุญมาก เขาก็ได้รับผลมาก

    ท่านพระยายมราช ท่านบอกว่า ถวายสังฆทานได้บุญดีที่สุด และท่านจะช่วยได้จริงๆ ต้องเฉพาะคนที่ผ่านสำนักท่านเท่านั้น อย่าง สัมภเวสี เปรต อสุรกาย ไม่ผ่านท่านท่านช่วยไม่ได้ และคนที่ลงนรกทันที เวลาตายก็ช่วยไม่ได้เพราะไม่ได้ผ่านสำนักท่าน

    ท่านได้บอกว่า เพื่อความแน่นอนจะปรากฏให้ทำดังนี้ เวลาทำบุญเสร็จ ก็อุทิศส่วนกุศลให้แก่คนตาย ถ้ายังไม่มั่นใจว่าเขาจะได้รับหรือเปล่า ให้บอกกับท่านว่า ถ้าบุคคลนี้ (ให้เอ่ยชื่อ นามสกุล) ยังไม่มีโอกาสโมทนาเพียงใด ขอท่านพระยายมราชเป็นพยานด้วย ถ้าหากว่าพบท่านผู้นี้เมื่อไร ท่านก็ไม่ต้องสอบสวน ท่านจะให้เขาโมทนาทันที เขาก็จะไปสวรรค์เลย..”
     
  7. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๖.ผีผู้หญิงออกลูกตายกับผีผู้ชายถูกยิงตายมาขอบุญหลวงพ่อ โมทนาแล้วไปเกิดเป็นเทวดา

    “..ผีที่จับได้เขารับสารภาพ ถามว่า “มาจากไหน เขาให้ทำอะไร” ผีตอบว่า “ไม่อยากทำ แต่เขาใช้ทั้งคาถา ใช้ทั้งมัด ใช้ทั้งเฆี่ยน”

    พอเล่าเสร็จก็ถามว่า “แล้วอยากไปไหม” ผีบอกว่า “ผมอยากพ้นไปครับ” จึงบอกให้โมทนา พอโมทนาผลบุญเท่านั้นแหละเป็นเทวดาทันที เป็นผู้หญิงออกลูกตายคนหนึ่งกับผู้ชายถูกยิงตาย

    พอเป็นเทวดาแล้วก็บอกว่า “เพื่อนผมถูกจับอีก ๑๐ คน พรุ่งนี้ผมจะเอามา” ถามว่า “แกจะเอามาได้หรือ” ตอบว่า “ได้ครับ ผมเป็นเทวดาแล้วผมแก้ได้”

    พอวันรุ่งขึ้นแก เอามา ๑๕ คน มาเป็นตับเลย ถามลูกศิษย์ท้าวมหาราชว่า “ทำไมไม่กัน” ท่านบอก “อ้าว ก็ท่านบอกให้เอามา” ถามว่า “ใคร” ท่านบอก “ก็ไอ้พวกเมื่อคืนนี้” ทั้งหมดที่มาก็ขอโมทนา มันก็สบายไปหมด

    ประเดี๋ยวลูกศิษย์ท้าวมหาราชไปแบกมาอีก ๗ คน ไปขโมยเขามา ต้องแบกเข้ามา เขามัด ๓ เปลาะเห็นชัดเลย เชือกมัด ๓ เปลาะกระดิกไม่ได้เลย แล้วก็เฆี่ยนถ้าไม่ทำตาม ใช้ไปแล้วยังใช้คาถาเฆี่ยนตีตามอีก

    พอลูกศิษย์ท้าวมหาราชเอาพวกอีก ๗ คนมาก็ถามว่า “จะแก้อย่างไรล่ะ”

    ท่านก็บอกคาถาอภิญญาที่พระพุทธเจ้าให้ “สัมปจิตฉามิ”

    พอว่าคาถานี้ปั๊บเชือกขาดทันที คนนั้นลุกได้ คล้ายๆ ท่านจะสอนเรา วิธีแก้อย่างนี้ได้ ก็เลยแบกมา..”
     
  8. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๗.ตายจากสนัขชื่อ "ปุย" ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๗

    "..มีลูกสุนัขตัวหนึ่งมันป่วย เจ้าตัวนี้เกิดมาใหม่ๆ ตัวเบาเหมือนนุ่น ตัวเล็กที่สุด ต่อมาก็แข็งแรงแล้วก็ป่วย

    รุ่งขึ้นก็ตายตอนเช้า มันอยู่ข้างล่าง อาตมานอนอยู่ชั้นบนก็เห็นผู้ชาย ๔-๕ คน นุ่งขาวห่มขาวเป็นแบบคนธรรมดา รูปร่างใหญ่เดินเข้ามา อาตมามีความรู้สึกว่าเป็นพรหม

    จึงถามว่า "มาทำไม" เขาก็บอกว่า "ผมมารับปุยครับ" เจ้าหมาตัวนี้หมายเลข ๓๔ อาตมาเรียกมันว่า "ปุย" เพราะขนปุยเหมือนหมาจู

    ถามว่า "ปุยคนไหน" ตอบว่า "คนนี้ครับ" ก็เลยถามว่า "ตายแล้วไปอยู่ไหนล่ะ" เขาตอบว่า "อยู่พรหมชั้นที่ ๗ เขาเป็นท้าวมหาพรหม เขาลงมาประเดี๋ยวเดียว เขาก็กลับ" แสดงว่าพรหมมารับพรหม.."
     
  9. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๘.พระสารีบุตรช่วยมารดาในอดีตที่ผ่านมาแล้ว ๑๐๐ ชาติได้ตายจากคนไปเกิดเป็นเปรต

    "..เรื่องพระสารีบุตร จากพระไตรปิฎกเล่ม ๒๖ หน้า ๑๖๑ เมื่อพระสารีบุตรท่านเจริญพระกรรมฐานเป็นที่สบายอารมณ์แล้ว ท่านไปแดนเปรตพบหญิงเปรตคนหนึ่งผอมมีแต่ซี่โครง เปลือยกายมีเส้นเอ็นสะพรั่ง ท่านจึงถามว่า "เธอเป็นใคร"

    การถามแบบนี้แสดงว่าท่านทราบว่าเปรตนั้นเป็นใคร แต่ระเบียบของพระรู้แล้วต้องทำเป็นไม่รู้ ระเบียบนี้พระพุทธเจ้าทรงใช้เป็นปกติ

    เปรตตอบว่า "เมื่อก่อนในชาติที่ผ่านมาแล้ว ๑๐๐ ชาติ ฉันเป็นมารดาของท่าน เวลานี้ฉันหิวมาก มีความกระหายในอาหาร เมื่อความหิวเกิดขึ้นก็กินนํ้าลาย เสมหะ นํ้ามูก ที่เขาถ่มทิ้ง กินไขมันเหลวจากซากศพที่เขาเผา กินโลหิตของหญิงทั้งหลายที่คลอดบุตร เป็นต้น ลูกเอ๋ย ลูกจงให้ทานอุทิศส่วนกุศลให้แม่บ้าง แม่จะได้เลิกหิวเสียที"

    พระสารีบุตรท่านตั้งใจจะช่วยมารดา เมื่อท่านรับรองว่าจะช่วยแล้วท่านก็มาปรึกษากับ พระโมคคัลลาน์ พระอนุรุทธ พระกับปินะ หรือที่ชาวบ้านหรือพระนักเทศน์เรียกว่า "พระกบิน"

    ท่านทั้งหมดช่วยกันสร้างกุฏิ ๔ หลังใน ๔ ทิศ (สร้างกุฏิเพิงหมาแหงน) และถวายข้าวหยิบมือหนึ่ง กับข้าวหยิบมือหนึ่ง ใส่ใบไม้ และนํ้าหนึ่งฝาบาตร ผ้ากว้างคืบ ยาวคืบ หนึ่งผืน ถวายพระสงฆ์เป็นสังฆทานและวิหารทาน

    แล้วร่วมกันอุทิศส่วนกุศลให้มารดาพระสารีบุตร (มารดาคนนี้เคยเป็นมารดาพระสารีบุตรเมื่อ ๑๐๐ ชาติที่แล้วมา ไม่ใช่มารดาในชาติปัจจุบันของท่านซึ่งก่อนตายท่านเป็นพระโสดาบัน)

    เมื่ออุทิศส่วนกุศลให้แล้ว อานิสงส์บังเกิดดังนี้

    ถวายข้าวและนํ้า ทำให้เธอได้ร่างกายที่เป็นทิพย์

    ถวายผ้าคืบยาวคืบ เป็นเหตุให้เธอได้เครื่องประดับที่เป็นทิพย์

    ถวายกุฏิเพิงหมาแหงน เป็นเหตุให้เธอได้วิมานที่สวยงามมาก

    ถวายนํ้า ๑ ฝาบาตร เป็นเหตุให้เธอได้สระโบกขรณี

    เมื่อยามราตรีเธอก็ปรากฏกายพร้อมทั้งวิมานและสระโบกขรณีให้พระโมคคัลลาน์เห็น
    ท่านก็ถามว่า "เป็นใคร"
    เธอตอบว่า "ฉันคือมารดาพระสารีบุตรที่เป็นเปรต ที่พระสารีบุตรถวายสังฆทานและพระคุณเจ้าช่วยกันสร้างกุฏิถวายสงฆ์แล้วอุทิศส่วนกุศลให้"

    แสดงว่าคนฉลาดรู้จักทำบุญไม่ต้องสิ้นเปลืองมาก ก็ได้รับอานิสงส์สูง เมื่อให้เขา เขาได้รับ เราผู้ทำก็มีผลเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อให้ใครก็ตามผู้รับก็มีผลไม่บกพร่อง.."
     
  10. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๙.ตายจากพระสงฆ์ไปเกิดเป็นพญานาคมีนามว่า "พญาเอรกปัตตนาคราช"

    "..ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "สมเด็จพระพุทธกัสสป" ได้มีภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาอยู่ในถํ้าติดชายทะเล คือภูเขาชายทะเล เวลานั้นคนมีอายุถึง ๔๐,๐๐๐ ปี ท่านบวชเป็นพระจำศีลภาวนานานถึง ๒๐,๐๐๐ ปี ยังเป็นพระปุถุชนคนธรรมดาที่เรียกว่า "สมมุติสงฆ์"

    วันหนึ่งท่านอาบนํ้าอยู่ชายทะเล มีเรือสำเภาลำหนึ่งแล่นมาช้าๆ เพราะลมอ่อน เฉียดเข้ามาใกล้ที่ท่านอาบนํ้า ท่านเห็นตะไคร่นํ้าจับข้างเรืออยู่มันยาวมาก เรือเดินทะเลต้องเดินทางกันเป็นเดือนๆ ตะไคร่ก็จับมาก

    ท่านก็เลยนึกสนุกขึ้นมาโผกายไปจับตะไคร่นํ้า ปล่อยให้เรือลากไปตามอัธยาศัย ร่างกายของท่านหนัก ตะไคร่ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้จึงหลุดออกมา ตัวท่านก็หลุดออกมาจากเรือแต่ไม่เป็นไรเพราะนํ้าตื้น

    การพรากของเขียว คือการทำให้ตะไคร่นํ้าหลุดออกจากที่เดิม พระพุทธเจ้าทรงปรับเป็นอาบัติปาจิตตีย์ แต่มีโทษไม่เหมือนกับอาบัติปาจิตตีย์การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นลงนรก แต่ปาจิตตีย์การพรากของเขียวให้พลัดพรากจากที่เดิมของท่านก็คือ

    ท่านเป็นพระอยู่องค์เดียวจึงไม่มีการแสดงอาบัติ คือไม่มีโอกาสระงับโทษนี้ เวลาตายอาบัติก็คาใจนิดเดียวเท่านี้ การจำศีลภาวนาของท่านไม่มีผลให้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาหรือพรหม แต่ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นพญานาค ด้วยอำนาจแห่งการบำเพ็ญบารมีมานานถึง ๒๐,๐๐๐ ปี

    และมีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงมีสภาวะเป็นทิพย์มีความเป็นอยู่คล้ายเทวดา มีที่อยู่เป็นทิพย์ มีเครื่องบริโภคเป็นทิพย์ มีสมบัติอันเป็นทิพย์แต่ทว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานมีนามว่า "พญาเอรกปัตตนาคราช" ก็เพราะว่ามีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนนาคธรรมดา มีสภาพเหมือนตะไคร่นํ้าคือ ทั้งตัวรุ่มร่ามนุงนังไปหมด เหมือนตะไคร่นํ้าลอยนํ้า

    ต่อมาพญาเอรกปัตตนาคราชก็ได้ นางนาควิกา คือนาคนารีอีกตัวหนึ่งมาเป็นคู่ครอง มีลูกสาวมีนามว่า "นางนาคมาณวิกา" ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันทรงอุบัติขึ้น พญานาคตนนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นนาคแต่มีอารมณ์ใจเป็นทิพย์ มีความคิดอยู่เสมอว่าเมื่อไรหนอพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่จะทรงอุบัติขึ้น

    ท่านมีอายุนานเหลือเกินเพราะท่านเกิดเป็นนาคในสมัยสมเด็จพระพุทธกัสสป และพระองค์ทรงนิพพานไปแล้ว สิ้นเวลาเป็นล้านๆ ปี ท่านพญานาคตนนี้ก็ยังมีอายุยืนเป็นพญานาคอยู่ ถ้าหากว่าท่านตายจากความเป็นนาค ความดีเดิมปรากฏก็จะบันดาลให้ท่านเป็นเทวดาได้ แต่ทว่าอายุของท่านมันนานเกินไป แต่จิตใจก็ยังน้อมไปด้วยกุศล

    วันหนึ่งท่านเกิดไม่สบายใจคิดว่า องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงอุบัติขึ้นในโลกแล้วหรือยัง ทนไม่ไหวจึงได้เรียกลูกสาวคือ นางนาคมาณวิกาให้แปลงเป็นมนุษย์สาวสวย ตัวท่านเองก็แผ่พังพานให้ลูกสาวยืนอยู่บนพังพานของท่าน แล้วก็ร้องเพลงเป็นพุทธภาษิต ที่ท่านแต่งขึ้นโดยตั้งจิตคิดว่า เพลงนี้มีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะทรงแก้ได้ คนธรรมดาไม่สามารถจะแก้ได้ เพลงของท่านเป็นพุทธภาษิตที่ สมเด็จพระพุทธกัสสป ตรัสไว้ ท่านจำได้เพราะจิตเป็นทิพย์

    เมื่อท่านแผ่พังพานลอยขึ้นมาในน่านนํ้า นางนาคมาณวิกาก็ร้องเพลงที่พ่อแต่งให้ โดยมีสัญญาว่า "ถ้าใครร้องเพลงแก้เพลงนี้ได้ เราจะยอมเป็นภรรยา" รูปร่างหน้าตาของลูกสาวท่านสวยมาก ไม่ว่าใครๆ ที่ทราบข่าวก็พากันไปร้องเพลงแก้ เมื่อร้องเพลงแก้แล้วนางก็ตอบว่า "ไม่ถูก" ท่านพ่อก็เป็นพยานบอกว่า "ยังไม่ถูก" ถ้าร้องเพลงแก้ถูกเมื่อไรก็ยกลูกสาวของเราให้เป็นภรรยาทันที เพราะสภาวะท่านเป็นทิพย์ ท่านก็พูดภาษาคน

    อุตตรมาณพบรรลุพระโสดาบัน
    ต่อมาองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเห็นว่า อุตตรมาณพ ซึ่งเป็นคู่ครองกันมากับนางนาคมาณวิกา จะได้เป็นพระโสดาบัน

    เวลานั้นอุตตรมาณพได้ยินข่าวเขาลือว่า นางนาคมาณวิกามีรูปร่างหน้าตา ทรวดทรงสวยยิ่งกว่ามนุษย์ใดๆ ในโลกที่จะพึงสวยเท่า มาร้องเพลงให้คนแก้ ถ้าใครแก้ได้จะยอมเป็นภรรยา

    จึงได้ศึกษาว่าเพลงเขาร้องว่าอย่างไร ก็ตั้งใจจะร้องแก้ ก็เดินออกจากบ้านไป เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทราบอุปนิสัยว่าเขาจะได้ พระโสดาปัตติผล พระองค์จึงได้ไปนั่งดักกลางทาง ครั้นอุตตรมาณพเห็นพระพุทธเจ้าจึงเข้าไปถวายนมัสการเพราะรู้จัก พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสถามว่า "เธอจะไปไหน"

    อุตตรมาณพจึงได้กราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้าจะไปร้องเพลงแก้นางนาคมาณวิกา"

    พระพุทธเจ้าทรงทราบแล้วว่าเขาเป็นเนื้อคู่กัน เขาจะต้องเป็นคู่ครองกันแน่ และอีกประการหนึ่ง เมื่อเป็นคู่ครองกันแล้วได้ฟังเทศน์ของพระองค์ เขาจะได้บรรลุพระโสดาปัตติผล

    องค์สมเด็จพระทศพลทรงต้องการอย่างเดียวคือพระโสดาปัตติผล ให้เขาเจริญเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า พระองค์จึงตรัสถามอุตตรมาณพว่า "เพลงที่เธอจะไปร้องแก้ เธอจะร้องว่าอย่างไร" อุตตรมาณพจึงเล่าให้พระพุทธเจ้าฟัง

    พระองค์จึงได้บอกว่า "แก้แบบนี้ไม่ถูก ต้องแก้แบบนี้" แล้วพระองค์ก็ทรงผูกเพลงเป็นพุทธภาษิตไปให้ร้องเพลง และอุตตรมาณพก็ไปขอรับอาสาจะร้องเพลงแก้ นางนาคมาณวิกาก็ร้องเพลงคำถาม อุตตรมาณพก็ร้องเพลงแก้

    พญาเอรกปัตตนาคราชตั้งใจฟังอยู่ พอได้ฟังการร้องเพลงแก้นี้ถูกต้องตามที่ตนตั้งใจไว้ ก็คิดในใจว่าเวลานี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารจะต้องอุบัติขึ้นแล้ว ก็ดีใจจึงได้เอาพังพานตีนํ้า นํ้าเป็นคลื่นทำเอาคนที่ยืนอยู่ริมแม่นํ้า หล่นลงไปในนํ้าตามๆ กันเพราะถูกคลื่น

    พญาเอรกปัตตนาคราชจึงค่อยๆ เอาหางประคองคนทั้งหมดขึ้นไปบนตลิ่ง แล้วตนเองก็แปลงเป็นมนุษย์ขึ้นไปถามอุตตรมาณพว่า "เพลงที่ท่านนำมาแก้นี้ ท่านคิดได้เองหรือว่าใครสอนท่าน"

    อุตตรมาณพจึงตอบว่า "เพลงนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้" ท่านจึงถามว่า "เวลานี้พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน" อุตตรมาณพบอกที่แล้วก็พากันไป

    เมื่อไปถึง พระพุทธเจ้าก็เทศน์โปรด อุตตรมาณพเป็นพระโสดาบัน นางนาคมาณวิกาและพญาเอรกปัตตนาคราชเข้าถึงพระไตรสรณคมน์ แล้วยกลูกสาวพร้อมด้วยสมบัติอันเป็นทิพย์ให้อุตตรมาณพ คือนำสมบัติส่วนนั้นมาไว้เมืองมนุษย์ จะนำไปไว้บาดาลไม่ได้

    อุตตรมาณพกลายเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่า การฟังพระธรรมเทศนาคราวนั้น ถ้าพญาเอรกปัตตนาคราชไม่เป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็จะได้บรรลุพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้น ที่ฟังแล้วไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้ ก็เพราะว่าพญาเอรกปัตตนาคราชไม่ใช่คน เป็นสัตว์เดรัจฉาน จึงไม่มีโอกาสที่จะบรรลุมรรคผล

    การที่นำเรื่องราวของพญาเอรกปัตตนาคราชมาเล่านี้ ก็เพื่อให้บรรดาพุทธบริษัทรู้จักลีลาของพระว่า พระองค์ใดท่านปฏิบัติไม่ดีเพียงแค่ความชั่วเพียงเล็กน้อยเท่านี้ ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

    แต่ถ้าพระองค์มีนิสัยไม่ดี คือมีจิตอิจฉาริษยาบุคคลอื่นที่ทำตนได้ดีกว่าก็ตาม หรือเรี่ยไรทรัพย์สินทั้งหลายมาแล้ว ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์กลับเอาไปประกอบกิจเป็นประโยชน์ของตนก็ตาม ให้เป็นประโยชน์แก่พวกพ้องก็ตาม

    เหล่านี้เป็นปัจจัยให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นลง อเวจีมหานรก ถ้าท่านทั้งหลายไปเคารพ ปฏิบัติตามพระพวกนี้เข้า พระไปนรกท่านก็ไปนรกด้วย พระไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานท่านก็ไปเกิดด้วย เพราะนิยมตามแบบฉบับเดียวกัน.."
     
  11. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๐.การบรรลุมรรคผลพระนิพพานของท่านอัญญาโกณฑัญญะกับท่านสุภัททะปริพาชก

    “..เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศว่า พระองค์จะนิพพานที่ระหว่างนางรังทั้งคู่ที่เมืองกุสินารามหานคร

    พระอานนท์ก็ทัดทานว่า เมืองกุสินาราเป็นเมืองเล็ก การนิพพานที่นั่นจะไม่เหมาะสม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่าเหมาะ เพราะเมืองกุสินาราเคยเป็นเมืองของพระเจ้าจักรพรรดิ และคนที่เป็นจักรพรรดิในเมืองนั้นก็คือ ตถาคต

    ฉะนั้นเมืองใดที่เคยมีจักรพรรดิ เมืองนั้นถือว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญ เมืองที่พระอานนท์ท่านเสนอก็คือเมืองราชคฤห์กับเมืองพาราณสี การที่องค์สมเด็จพระบรมครูตรัสแก่พระอานนท์ว่า เมืองกุสินารามหานครเมื่อก่อนนี้เป็นมหาประเทศ เป็นเขตที่อยู่ของพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลกนั้นเป็นเหตุอย่างหนึ่ง

    แต่เนื้อแท้จริงๆ การที่พระองค์จะทรงไปนิพพานที่นั่นก็เพื่อหวังจะไปโปรดบริษัทคนสุดท้าย เพราะคนที่เกิดมาจะได้บรรลุมรรคผล บางคนก็พระอรหันต์สอนได้ แต่บางท่านพระอรหันต์สอนไม่ได้เพราะวิสัยตรงเฉพาะพระพุทธเจ้า ท่านผู้นั้นคือ ท่านสุภัททะปริพาชก

    เวลากลางคืนก่อนที่องค์สมเด็จพระบรมครูจะเข้าสู่พระนิพพานในวันรุ่งขึ้นเวลาใกล้รุ่งอรุณ ก็ปรากฏว่ามีท่านๆ หนึ่งคือ สุภัททะปริพาชก ต้องการจะเข้าไปกราบทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้า พระอานนท์ก็ทรงห้ามไว้

    เพราะเวลานี้สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประชวรหนัก ท่านอย่าไปรบกวนพระองค์เลย ขณะที่พระอานนท์กำลังพูดกับท่านสุภัททะปริพาชก พระพุทธเจ้าได้ทรงสดับด้วยทิพโสตญาณ เมื่อพระองค์ทรงทราบก็บอกพระอานนท์ให้ปล่อยเข้ามา “ว่าการที่ตถาคตมาที่นี่ ก็มาเพราะลูกชายคนนี้เท่านั้น”

    จะเห็นว่าตอนก่อนจะมาพระองค์ตรัสอย่างหนึ่ง ถ้าตรัสว่าจะมาโปรดสุภัททะปริพาชก ก็คงจะต้องถูกทัดทาน พระองค์จึงให้เหตุผลคนละอย่าง เพราะพระพุทธเจ้าทรงทราบว่า สุภัททะปริพาชก พระสาวกก็สอนไม่ได้ เป็นคนมีอารมณ์แข็ง

    ก่อนที่จะมาเกิดชาตินี้เป็นพี่น้องกันกับ ท่านอัญญาโกณฑัญญะ ท่านอัญญาโกณฑัญญะเป็นน้อง ท่านสุภัททะปริพาชกเป็นพี่ แต่ท่านอัญญาโกณฑัญญะเวลาทำบุญจะเริ่มทำบุญตั้งแต่แรกนา ส่วนพี่ชายคือท่านสุภัททะปริพาชกทำบุญเมื่อขนข้าวเข้ายุ้งเสร็จแล้ว

    ฉะนั้น เมื่อเวลาสำเร็จมรรคผล ท่านอัญญาโกณฑัญญะจึงได้บรรลุมรรคผลก่อนคนอื่นทั้งหมด สำหรับพี่ชายทำบุญเมื่อเก็บข้าวเสร็จแล้ว จึงบรรลุมรรคผลหลังสุดคือพระพุทธเจ้าจะนิพพาน

    เป็นอันว่าท่านสุภัททะปริพาชกก็เข้ามา พระองค์จึงถามถึงความประสงค์แล้วก็ตรัสว่า “เวลานี้ตถาคตป่วยมากนะ เวลาก็ใกล้จะสว่างมากแล้ว เมื่อใกล้สว่างตถาคตก็ต้องนิพพาน ฉะนั้นการถามปัญหาของเธอจงงดไว้ จงฟังเทศน์เถิด”

    พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์ปรารภขันธ์ ๕ ว่า “จงอย่าสนใจกับร่างกายของเรา อย่าสนใจร่างกายของบุคคลอื่น อย่าสนใจกับวัตถุธาตุใดๆ ทั้งหมด เพราะทุกอย่างมันเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง ถ้าเราเข้าไปยึดแล้ว ก็เป็นทุกขัง เป็นทุกข์ ในที่สุดมันก็พัง ต้องเป็นอนัตตา ดึงมันไว้ไม่อยู่ ฉะนั้นขอเธอจงปรับใจของเธอให้เข้าใจถึงเรื่องนี้ให้รู้ตามความเป็นจริง”
    รวมความว่า ไม่ให้สนใจในรูปโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือรูปของเรา

    เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์จบประเดี๋ยวเดียว ท่านสุภัททะปริพาชกก็ไป
    ปฏิบัติ สักครู่เดียวก็สำเร็จอรหัตผล...”
     
  12. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๑.ตายจากกาไปเกิดเป็นเปรตมีชื่อว่า "กากะเปรต"

    "..อาตมาขอนำเรื่องจากพระสูตรมาเล่าให้ฟังคือเรื่อง "กากะเปรต"

    เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อครั้งองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เวลานั้นพระองค์ประทับอยู่ที่เวฬุวันมหาวิหาร ในกรุงราชคฤห์มหานคร

    เวลานั้นพระโมคคัลลาน์กับพระลักขณะ จำพรรษาอยู่บนยอดเขาคิชฌกูฏ ในตอนเช้าทั้งสององค์ก็ลงมาเพื่อไปบิณฑบาต ขณะเดินมาอยู่ดีๆ ปรากฏว่าพระโมคคัลลาน์ยิ้มออกมาเฉยๆ พระลักขณะเห็นพระโมคคัลลาน์ยิ้มออกมาเฉยๆ จึงถามว่า "พระคุณเจ้ายิ้มเรื่องอะไร"

    เวลานั้นปรากฏว่าพระโมคคัลลาน์ท่านเห็นอหิเปรตกับกากะเปรตอยู่ข้างหน้า แต่ท่านไม่ตอบเพราะพระลักขณะซึ่งเป็นปฏิสัมภิทาญาณเหมือนกันท่านไม่เห็น ส่วนพระโมคคัลลาน์ท่านเป็นอัครสาวกมีความเข้มข้นกว่าจึงเห็น

    ความเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณมีกำลังไม่เท่ากันคือ

    ๑) ปฏิสัมภิทาญาณขั้นปกติ มีกำลังตํ่า

    ๒) ปฏิสัมภิทาญาณขั้นมหาสาวก มีกำลังความเป็นทิพย์สูงกว่า

    ๓) ปฏิสัมภิทาญาณขั้นอัครสาวก มีกำลังสูงกว่าพระมหาสาวก

    ฉะนั้น บรรดาท่านผู้ที่ฝึกมโนมยิทธิได้ความเป็นทิพย์ จึงมีความรู้สึกไม่สมํ่าเสมอกัน ใช้จิตมากๆ ใช้ปัญญาน้อย ความแจ่มใสของจิตก็น้อย การเห็นก็ไม่ค่อยจะตรงนัก ไม่ชัดเจนแจ่มใส

    ต่อมาเมื่อกลับจากบิณฑบาต ฉันข้าวเสร็จ พระโมคคัลลาน์เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์ และบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์จบ พระลักขณะก็ถามพระโมคคัลลาน์ต่อหน้าพระพุทธเจ้า ถามว่า

    "เมื่อเช้าพระคุณเจ้ายิ้มเดินมาแล้วยิ้มเฉยๆ ผมถามท่าน ท่านบอกให้ถามต่อหน้าองค์สมเด็จพระบรมครู อยากจะถามว่าเมื่อตอนเช้าท่านยิ้มเพราะเรื่องอะไร"

    พระโมคคัลลาน์จึงตอบว่า

    "เมื่อตอนเช้าที่เรายิ้มเพราะเห็นเปรต ๒ เปรต คือ อหิเปรตกับกากะเปรต"

    เมื่อพระโมคคัลลาน์กล่าวเพียงเท่านี้ พระพุทธเจ้าก็ทรงรับรองว่า

    "อหิเปรตก็ดี กากะเปรตก็ดี มีจริงๆ ตามที่พระโมคคัลลาน์ว่า ตถาคตเห็นเปรตทั้งสองนี้มาตั้งแต่บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีคนอื่นเห็น ตถาคตจึงไม่พูดเพราะไม่มีพยาน เวลานี้พระโมคคัลลาน์เห็นแล้วตถาคตมีพยาน ตถาคตก็ขอยืนยัน"

    ต่อจากนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงกล่าวถึงกรรมของเปรตทั้งสอง แต่วันนี้จะพูดถึงกรรมของกากะเปรตเรื่องเดียวก่อน

    องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงกล่าวว่า "เปรตทั้งสองตนนั้นมีตัวยาว ๒๕ โยชน์ (๑ โยชน์มี ๔๐๐ เส้น) เปรตทั้งสองนี้มีสภาพเหมือนกันคือ มีไฟลุกตั้งแต่หัวพุ่งไปหาหางและไฟก่อตัวขึ้นจากหางพุ่งไปหาหัว ไฟก่อตัวขึ้นตรงกลางตัวรวมไปทั้งหัวทั้งหางและกลางเสร็จ

    รวมความว่าเปรตทั้งสองนี้จมอยู่ในกองเพลิงตลอดเวลา สำหรับอหิเปรตนั้นมีรูปร่างคล้ายคน แต่หัวเป็นงู (อหิแปลว่างู) ส่วนกากะเปรตนั้นมีหัวเป็นคนแต่ตัวเป็นกา"

    แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสบุพกรรมของกากะเปรตนี้ทำบาปอะไรไว้ เรื่องมีดังนี้

    ถอยหลังไปกัปนี้เองสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "สมเด็จพระพุทธกัสสป" เวลานั้นบรรดาประชาชนทั้งหลายตั้งใจถวายอาหารแก่พระสงฆ์ สมัยนั้นเขาจะถวายพระองค์ไหนเขาก็รับบาตรจากท่านไป เมื่อชาวบ้านเขารับบาตรจากพระเถระไปแล้ว ก็นำอาหารที่มีรสเลิศหมายความว่าอาหารที่ทำดีแล้วใส่บาตร

    ในขณะที่ใส่อาหารลงไปในบาตรนั้น ยังไม่ทันจะถวายพระ ก็มีกาตัวหนึ่งจับอยู่บนยอดไม้มองเห็นอาหารในบาตรเป็นที่ชอบใจ จึงได้โฉบลงมาคาบเอากับข้าวในบาตรไปเต็มปากตามกำลังที่จะนำไปได้ แล้วก็ไปยืนกิน

    พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า กาทำบาปเพียงเท่านี้ เมื่อตายจากความเป็นกาก็ไปเกิดเป็นกากะเปรต มีหัวเป็นคนตัวเป็นกายาว ๒๕ โยชน์ มีไฟไหม้ก่อตัวทางหัวพุ่งไปถึงหาง ไฟไหม้ก่อตัวทางหางพุ่งมาทางหัว ไฟไหม้ก่อตัวตรงกลางลามไปทั่วตัว ต้องไหม้อยู่อย่างนี้นับเป็น พุทธันดร

    และพระองค์ตรัสอีกว่า อาการที่กาขโมยอาหารเขากิน ถึงแม้ข้าวนั้นยังไม่ได้เป็นของสงฆ์คือยังไม่ได้ประเคนพระ ยังเป็นเจตนาที่จะถวายพระอยู่ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ของบุญ ยังไม่เป็นอาหารของสงฆ์ จึงได้มาเกิดป็นกากะเปรตอยู่ในแดนของเปรต

    พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่าอาหารที่ถวายสงฆ์แล้ว ถ้าขโมยกินอย่างนี้เป็นขโมยข้าวสงฆ์ จะมีโทษมากกว่านี้มาก จะไปเกิดแค่เปรตไม่ได้ จะต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรกก่อนในอเวจีมหานรก หรือข้าวที่เขาถวายพระเสร็จแล้ว เขาจะนำไปเลี้ยงคน

    ตอนนั้นถ้าฉกฉวยเอาไปกินเป็นส่วนตัวก็ถือว่าเป็นขโมยของสงฆ์เหมือนกัน แต่ถ้าพระท่านอนุญาตว่ากินได้อันนี้ไม่มีโทษเพราะพระให้แล้ว มีหลายท่านถามว่า "กินข้าววัดต้องชำระหนี้สงฆ์ไหม"

    ถ้าขโมยกินต้องชำระหนี้สงฆ์ ถ้าพระให้กินไม่ต้องชำระหนี้สงฆ์ คือพระให้ไม่เป็นหนี้
    รวมความว่าการที่จะเกิดมาเป็นคนได้ต้องอาศัยศีล ๕ และกรรมบถ ๑๐

    จะมีทรัพย์สินบ้าง ก็เพราะผลของทาน
    จะมีปัญญาบ้าง ก็เพราะการอบรมธรรม

    และการเกิดมาเป็นคนแล้วกลับทำความชั่ว ก็จะต้องกลับไปเกิดเป็นสัตว์นรก กว่าจะมาเกิดเป็นคนใหม่ก็ยํ่าแย่ใช้เวลาอีกนานเป็นการถอยหลัง

    ทางที่ดีควรจะก้าวหน้าต่อไป อย่างน้อยจากการเป็นคนแล้วก็ไปเกิดบนสวรรค์เป็นเทวดาหรือนางฟ้า ไปเป็นพรหมก็ยิ่งดีกว่า ไปพระนิพพานดีถึงที่สุด.."
     
  13. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๒.ตายจากปลามีเกล็ดเป็นสีทองแล้วไปอยู่ในอเวจีมหานรก

    "..สุพรรณมัจฉา ปลาสีทองตัวนี้มาติดตาข่ายที่เด็กเอาไปขึงไว้ พ่อแม่เด็กเห็นเข้าว่า ปลามีเกล็ดเป็นทอง ไม่ควรเก็บไว้เองจึงนำมาถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลเห็นเป็นของแปลกก็นำไปถวายพระพุทธเจ้า

    แล้วกราบทูลถามว่า "ปลาตัวนี้ทำบุญอะไรไว้ เกล็ดจึงเป็นสีทอง" เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเห็นเข้าก็บอกว่า "ปลาตัวนี้สมัยก่อนเคยบวชเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ที่มีเกล็ดเป็นสีทองก็เพราะอาศัยเคยปฏิบัติศีลปฏิบัติธรรมในตอนต้นด้วยความเคารพ

    แต่ว่าในตอนปลายมือเป็นพระคณาจารย์ ด่าว่าพระภิกษุทั้งหลายที่มีความผิดบ้าง ไม่ผิดบ้าง โดยเจตนาร้าย เวลาตายไปแล้วจึงไปเกิดเป็นสัตว์นรกในอเวจีมหานรก" ยืนกางแขนกางขาอย่างพระเทวทัต

    และเมื่อกรรมเบาลงก็เลื่อนขึ้นมาตามลำดับ จนกระทั่งมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นปลามีเกล็ดเป็นสีทอง แต่ว่าปากเหม็นเพราะด่าพระ

    พระพุทธเจ้าจึงถามว่า "กปิลมัจฉา เดิมทีเดียวเธอบวชเป็นพระใช่ไหม"
    พอปลาอ้าปากตอบว่า "ใช่" กลิ่นก็เหม็นคลุ้งไปทั้งพระวิหาร

    พระองค์ถามต่อไปว่า "เพราะอะไรเธอจึงตกอเวจีมหานรก"
    เธอก็ตอบว่า "เพราะเป็นพระปากร้าย ด่าไม่ว่าใคร ไม่มีเหตุไม่มีผล อิจฉาริษยาพระด้วยกัน กล่าวร้ายด้วยการนินทาให้ร้ายบ้าง"

    ชาวบ้านก็เหมือนกันที่ปากไม่ดีแบบนี้ ไปด่าพระด่าเจ้า ด่าผู้ทรงศีล ก็มีสภาพอย่างเดียวกับกปิลมัจฉา เมื่อพระพุทธเจ้าถามถึงแม่กับน้องสาว ปลาก็บอกว่า "ไปอเวจีมหานรกเหมือนกันเพราะทำกรรมอย่างเดียวกันคือด่าพระ"

    ท่านถามถึงพี่ชาย
    ปลาก็ตอบว่า "พี่ชายท่านไม่เอาด้วย ก็เลยเป็นพระอรหันต์แล้วไปพระนิพพาน"

    เมื่อปลาตอบเท่านี้ก็เสียใจ เอาหัวฟาดอ่างถึงแก่ความตายกลับลงไปอเวจีมหานรกใหม่.."
     
  14. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๓.จากพรหมมาเกิดเป็นคน

    "..มีสองสามีภรรยามาขอให้อาตมาช่วยตั้งชื่อลูกชาย

    ก็ถามว่า "ลูกชายเกิดวันอะไร" เขาก็ตอบว่า "เกิดวันพฤหัสบดี" ก็บอกว่า "เด็กคนนี้มันจะเป็นนักรบชั้นดีนะ" ให้ชื่อ "สุรสิทธิ์" หรือ "สุรเดช"

    เรื่องชื่อนี้ถามจากข้างบนอีกทีว่า เด็กคนนี้มาจากไหนมาเพื่ออะไร" ท่านบอกว่า "เด็กคนนี้จะมาเกิดเพื่อเป็นทหาร จะเป็นทหารอะไรก็ได้ตามสบายเขา ก็ดีทั้งนั้นแหละอย่าไปขวางเขานะ"

    ฉันว่าชื่อ "สุรเดช" ดีกว่า แปลว่า "มีอำนาจมาก"
    "สุรสิทธิ์" แปลว่า "กล้าที่จะยึดเมืองต่างๆ"

    เด็กคนนี้ต้องระมัดระวังหน่อยนะ คือว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่นี่ต้องถือเหตุผลเป็นสำคัญ อย่าทำอะไรประเภทไม่มีเหตุไม่มีผล เพราะเด็กคนนี้มาจากพรหม

    พวกพรหมจิตจะแข็งเพราะพรหมมาจากฌาน ถ้าหากว่าไม่มีเหตุผล จะมีสภาพเหมือนกับคนจองหอง ไม่ง้อใคร

    พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าเรื่องอยุติธรรมนี่ไม่ยอมก้มหัวให้แน่ เพราะพวกพรหมไม่ประจบ แต่ตอนเด็กๆ เอาแน่ไม่ได้

    ระยะต้น กรรมที่เป็นอกุศลบางอย่างอาจทำให้โฉเฉไปบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา และต่อไปกรรมที่เป็นกุศลจะเข้า เราควรจะดีใจว่าลูกเราจะเป็นคนมีเหตุมีผล ต่อไปข้างหน้าพวกนี้จะลงมามาก จะขึ้นมีอำนาจในเมือง.."
     
  15. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๔.คนใกล้จะตายควรแนะนำอย่างไร

    "..ถ้าป่วยใหม่ๆ อาตมาแนะนำให้ทำดังนี้คือ

    ๑) ให้นำพระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร พร้อมอาหารและของใช้ที่จำเป็น นำไปให้ผู้ป่วยเห็นและให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า

    "ของทั้งหมดนี้ขอถวายเป็นสังฆทานแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เพื่ออุทิศส่วนกุศลผลบุญทั้งหมดนี้ให้เจ้ากรรมนายเวรของผู้ป่วยได้โมทนาและอโหสิกรรมให้ผู้ป่วยด้วย"

    แล้วญาติก็นำของทั้งหมดไปถวายพระเป็นสังฆทาน จิตใจของผู้ป่วยจะได้สบายเพราะได้เห็นพระพุทธรูปและได้ทำบุญ

    ๒) ถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีก ก็ควรนำเงินจะมากหรือน้อยตามแต่ศรัทธา ให้ผู้ป่วยถือเงินไว้และให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า

    "เงินจำนวนนี้ขอถวายชำระหนี้สงฆ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถ้าเคยไปหยิบหรือนำของสงฆ์มาโดยเจตนาหรือไม่ได้เจตนาก็ตาม"

    ๓) ในระหว่างที่นอนป่วยอยู่ ควรนำพระพุทธรูปมาตั้งไว้ให้ผู้ป่วยได้มองเห็น อย่าไปตั้งไว้ในที่ผู้ป่วยเห็นไม่ถนัด ผู้ป่วยลืมตาขึ้นมาเมื่อใดก็จะเห็นพระทันที จิตของผู้ป่วยจะได้จับอยู่ที่พระ ใจจะสบายช่วยให้คลายจากทุกขเวทนาได้บ้าง และถ้าตายเมื่อใดก็จะไม่ลงนรก

    ๔) ถ้าป่วยมากมีทุกขเวทนามาก ควรแนะนำสั้นๆ ให้นึกถึงพระพุทธเจ้า หรืออย่างใดอย่างหนึ่งดีกว่า ถ้าไปแนะนำยาวๆ จะเกิดอาการกลุ้ม

    ๕) ถ้าต้องการให้ผู้ป่วยตายแล้วไปพระนิพพาน ให้นึกภาวนาว่า "นิพพานัง สุขัง" ถ้าคิดว่าป้องกันไม่ให้ลงนรกก็ให้ภาวนาว่า "พุทโธ" ให้บอกสั้นๆ อย่าบอกยาว

    ๖) ถ้าผู้ป่วยภาวนาไม่ไหว ก็ให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ ให้นึกถึงพระไว้หรือจะนึกถึงพระสงฆ์ก็ได้ อย่าไปแนะนำยาวๆ เพราะเวลานั้นทุกขเวทนามากจะทำให้กลุ้ม ดีไม่ดีจิตใจเขาดีอยู่แล้ว ถ้าแนะนำไม่ดี พูดมากไปเขาจะกลุ้มจะทำให้ลงนรกไป ให้ดูตาคนป่วย ถ้าตาลอยๆ ตาปรือๆ อย่าไปพูดมาก

    ฉะนั้น การแนะนำคนป่วยก่อนตาย ต้องระมัดระวังให้ดี.."
     
  16. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๕.ศีลบริสุทธิ์

    "..พระธรรมนี่พระสงฆ์นำมาแนะนำแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้ายอมรับนับถือเป็นส่วนตัวก็สามารถจะพ้นนรกได้แน่ นอนชาตินี้ แต่ชาติต่อไปเราก็ไม่แน่ แล้วการที่จะคิดว่าชาติต่อไปเราอาจจะเกิดเป็นคน เราจะยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า หรือพระอริยสงฆ์ต่อไปนี่ไม่แน่นอนนัก

    เพราะการเกิดแต่ละชาติเราไม่ได้รับแต่ผลของความดีฝ่ายเดียว เป็นการรับผลทั้งความดีและความชั่ว จะเห็นว่าคนที่เกิดมาแล้วนี้ไม่ใช่มีความสุขอย่างเดียว อารมณ์ที่ทำให้เกิดเป็นทุกข์ก็มีอยู่ หรือไม่ได้มีแต่ความทุกข์อย่างเดียว อารมณ์ที่เป็นสุขก็มีอยู่

    ขณะใดที่อารมณ์ความเป็นสุขเกิดขึ้น ขณะนั้นถือว่ารับผลของกุศลเก่า คือบุญเก่าที่เราทำไว้แล้วในชาติก่อนๆ มาสนองเรา เราก็มีความสุข

    ผลของทานเป็นปัจจัยให้ได้ลาภสักการะ

    ผลของการรักษาศีลให้เกิดความสุขหลายๆ ประการ

    ผลของการเจริญภาวนาและศึกษาธรรม เป็นเหตุให้เกิดปัญญามีความฉลาด

    ถ้าผลของความทุกข์ ผลของปาณาติบาต ทำให้คนมีอายุสั้นพลันตาย

    ผลของอทินนาทาน ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย

    ผลของกาเมสุมิจฉาจาร ทำให้ลูกหรือบุคคลในปกครองว่ายากสอนยาก ไม่อยู่ในโอวาท แนะนำอย่างไรก็ไม่เชื่อฟัง

    ผลของมุสาวาท เกิดมาชาตินี้ในระหว่างนั้นให้ผล พูดดีเท่าไรก็ไม่มีคนอยากรับฟัง

    ผลของการดื่มสุราเมรัย ทำให้เป็นโรคปวดศีรษะไม่หาย หรือเป็นโรคเส้นประสาทหรือว่าเป็นโรคบ้า

    ทั้งหมดตามที่กล่าวมาแล้วนี้เป็นผลจากความดี หรือความชั่วในชาติก่อน ที่ยังตามมาสนองเรา ถ้าบังเอิญเกิดในชาตินั้นยามจะตาย ผลของอกุศลก็ครอบงำจิตพอดี

    เราก็ลืมพระพุทธเจ้า ลืมพระอริยสงฆ์ ทั้งนี้เพราะความมั่นคงของจิตไม่มี ถ้าความมั่นคงของจิตมีต้องปฏิบัติในธรรม ให้ธรรมทรงตัวทรงใจ หมายความว่า การจะพูดก็ดี การจะทำก็ดีการจะคิดก็ดี อยู่ในขอบเขตของพระธรรม

    เพราะว่า พระธรรมนั้นพระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราปฏิบัติในด้านของความดี และก็พระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สอนก็ทรงสอนไว้ถึง ๘๔,๐๐๐ หัวข้อ เราจะปฏิบัติกันอย่างไรได้หมด

    อันนี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท อาจจะเป็นเครื่องอัดอั้นตันใจสำหรับบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเพราะว่าถ้าพูดถึงพระธรรมแล้วไม่รู้จะเอาตรงไหนดี ก็เอากันอย่างนี้ก็แล้วกัน

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระธรรมวินัยที่พระองค์ตรัสไว้แล้วหลายหมื่นหัวข้อ ถึง ๘๔,๐๐๐ หัวข้อ ท่านบอกว่าให้เลือกปฏิบัติตามที่เราเห็นสมควรที่พอจะปฏิบัติได้ เพราะการที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มากๆ ก็ทราบว่า อัธยาศัยของคนไม่เสมอกัน กำลังใจของคนก็ไม่เสมอกัน อัธยาศัยต่างกันอย่างหนึ่ง กำลังใจต่างกันอย่างหนึ่ง ก็มีความจำเป็นต้องตรัสไว้มาก เพื่อความเหมาะสมของแต่ละบุคคล

    เวลานี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายกำลังฟังเรื่องการปฏิบัติตนเพื่อให้พ้นนรกคำว่า "นรก" ก็หมายถึงเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ต้องการจะหนีนรกกันแล้วเราก็ปฏิบัติกันอยู่ในขอบเขตของสังโยชน์ ๓ ประการ

    ในเมื่อปฏิบัติอยู่ในขอบเขตของสังโยชน์ ๓ ประการ ก็เอาพระธรรมวินัยที่อยู่ในขอบเขตของสังโยชน์ ๓ ประการ ก็เอาพระธรรมวินัยที่อยู่ในขอบเขตของสังโยชน์ ๓ ประการมาปฏิบัติไม่ใช่ว่ากันดะไปทั้งหมด พระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในขอบเขตของสังโยชน์ ๓ ประการ ก็คือ "ศีลห้า และกรรมบถ ๑๐ "

    ถ้าการปฏิบัติศีลห้าครบถ้วน ก็ถือว่าได้ความดี หนีนรกได้แบบหยาบๆ ชาตินี้มีความสุขแต่ความสุขน้อยไปหน่อย ชาติหน้ามีความสุขแน่แต่ด้อยไปนิดหนึ่ง กาลเวลาที่จะถึงนิพพานยังไกลอยู่

    ฉะนั้น องค์สมเด็จพระบรมครูจึงได้ตรัสกรรมบถ ๑๐ ประการให้ปฏิบัติอีกจุดหนึ่งถ้าปฏิบัติได้ในกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการด้วย ในศีลห้าด้วยปฏิบัติครบถ้วนตั้งแต่วันนี้ไปจนกว่าจะตาย ความเป็นอยู่ในความเป็นมนุษย์นี่ก็มีทุกข์ยาก

    ส่วนใหญ่จะมีแต่ความสุขความทุกข์ก็มีบ้างแต่ไม่หนักนัก ไม่ถึงกับเกิดความเร่าร้อนจุ้นจ้าน แต่ในด้านความสุขนี่มีมาก ถ้าตายจากชาตินี้ไปแล้ว หากว่าไม่พบพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ ในสมัยที่เป็นเทวดาหรือพรหม กลับมาเกิดเป็นคนอีกครั้งเดียวก็ไปนิพพาน

    การที่จะปฏิบัติในศีลห้าก็ดี กรรมบถทั้ง ๑๐ ประการก็ดี บรรดาท่านพุทธบริษัทก็ต้องมีหัวข้อขึ้นต้น เพราะกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการนี้มีทั้งศีลและธรรม ศีลห้า นี่ก็มีทั้งศีลและธรรมเหมือนกัน แต่ฝ่ายธรรมะนี่คดๆ อยู่ข้างในมองไม่ค่อยเห็น ถ้าไม่ใช่ปัญญาแล้วก็มองไม่เห็น ถ้าใช้ปัญญาจึงจะมองเห็น แต่ว่าปัญญาที่ใช้ต้องใช้ให้ถูกต้อง ถ้าใช้ไม่ถูกต้อง ก็ไม่เห็นเหมือนกัน

    เป็นอันว่าเห็นหรือไม่เห็นก็ยังไม่ต้องพูดกัน มาว่ากันถึงว่า หัวข้อคือบทต้น เรียกว่า "หน้าปก" ถือเอกหน้าปกก็แล้วกัน ก่อนที่จะเข้าถึงศีล ก่อนที่จะเข้าถึงกรรมบถ ทั้ง ๑๐ ประการ นี่ว่ากันเฉพาะฆราวาสนะ

    ถ้าพระหรือเณรมีศีลแค่ ๕ หรือมีกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการครบถ้วนก็ไม่แคล้วอบายภูมิ เพราะว่าสิกขาบทที่จะต้องปฏิบัติมากกว่านี้สำหรับพระหรือเณรให้ปฏิบัติในสิกขาบทของท่านด้วย แล้วก็ต้องมีกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการครบถ้วนด้วย

    เท่าที่เคยเห็นมาบางที่ท่านก็เผลอ ๆ เหมือนกัน บางท่านก็เผลอในศีล ๕ บางท่านก็เผลอในกรรมบถ ๑๐ หากว่าท่านผู้ใดเผลอในศีลห้าก็ดี เผลอในกรรมบถ ๑๐ ก็ดี พระหรือเณรท่านนั้นโอกาสที่จะขึ้นสู่สวรรค์ไม่มีเลย ทางที่จะไปก็มีทางเดียว คืออบายภูมิ มีนรกเป็นต้น

    ขอประทานอภัยเถอะครับ ผมพูดเรื่องนรกอยู่เรื่อย ๆ ก็มีข่าวเข้ามาว่า พระสงฆ์ ซึ่งเป็น ศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นลูกของพระพุทธเจ้าหรือว่าสาวกของพระพุทธเจ้านั่นเองในปัจจุบัน

    บางท่าน ๆ โกรธท่านบอกว่า "อะไรก็นรก ๆ คนที่เกิดมาก็เลยไม่ต้องไปสวรรค์กัน"

    ก็ขอตอบเสียในที่นี้ว่า "คนที่เขาไปสวรรค์นะมีมากนะครับ คนที่ไปพรหมก็มีมากและปัจจุบันคนที่จะไปนิพพานก็มีมาก ที่ว่าจะต้องตกนรกกัน เพราะว่าท่านลืมทางไปสวรรค์ลืมทางไปพรหมโลก ลืมทางไปนิพพาน"

    ตอนนี้ก็จะขอเปิดประตูให้พบทางไปสวรรค์ ทางไปพรหมโลก พบทางไปนิพพานซะก่อน เรื่องพระไม่อธิบาย สำหรับพระสำหรับเณรนี่ปฏิบัติอย่างไรไม่อธิบายให้ฟังเพราะท่านเป็นปูชนียบุคคล เป็นบุคคลที่ชาวบ้านต้องไหว้ต้องบูชาอยู่แล้ว ก็ต้องยอมรับนับถือว่า ทุกท่านคงปฏิบัติความดีครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่ต้องอธิบายกัน

    ก็มาพูดกับฆราวาสเพราะฆราวาสมีเวลาน้อยในการที่จะปฏิบัติความดี เพราะต้องทำมาหากิน ไม่เหมือนกับพระกับเณรต้องอาศัยชาวบ้านเลี้ยงชีวิต จิตที่คิดในด้านของความดีมีมาก มาพูดถึงชาวบ้านชาวเมืองกันดีกว่า

    "ฆราวาส" ประตูที่จะเปิดเข้าสู่ทางสวรรค์ หรือทางพรหมโลก ทางนิพพานหรือว่าประตู ที่จะเข้าถึงศีลและธรรม มีศีลห้า และกรรมบถ ๑๐ เป็นต้น และเขาก็ใช้ประตู ๒ บาน

    บานที่ ๑ เรียกว่า "หิริ" คือความละอายต่อความชั่ว

    บานที่ ๒ เรียกว่า "โอตตัปปะ" คือเกรงกลัวผลของความชั่ว

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทโปรดทราบว่า ประตูจริงๆ น่ะมี ๒ บาน ที่จะเข้าถึงศีลกับธรรม บานที่ ๑ เรียกว่า "หิริ" คือความละอายต่อความชั่ว หรือความละอายต่อบาปอกุศล คือบาปอกุศลนี่ถ้าเราไม่อายมันก็โผล่หน้าเข้ามาถึงเรา

    ในเมื่ออายแล้วก็พยายามหลบบาป หลบอกุศล "อกุศล" นี่แปลว่า ไม่ฉลาด "บาป" นั่นแปลว่าความชั่ว คือหลบความชั่ว หลบความโง่ ไม่ฉลาดก็คือโง่ "โอตตัปปะ" เกลงกลัวผลของความโง่ หรือเกรงกลัวผลของความชั่วจะให้ผลเป็นทุกข์ เพราะความโง่ก็ดี ความชั่วก็ดีนำเราไปสู่อบายภูมิแน่นอน

    นั่นคือว่า นำไปไหน นำไปนรกบ้าง เบามาหน่อยก็นำไปเป็นเปรต เบามาหน่อยก็นำไปอสุรกาย เบามาอีกนิดก็นำไปเกิดเป็นสัตว์เดรัชฉานเบากว่านั้นหน่อยก็เกิดเป็นคนที่หาความสมบูรณ์แบบไม่ได้

    ก็เป็นอันว่าท่านทั้งหลาย ทุกท่านอันดับแรกตั้งกำลังใจไว้ว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเราจะเป็นคนขี้อาย เราจะเป็นคนกลัวอายความชั่ว กลัวความชั่ว แล้วก็ความชั่วที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระพุทธศาสนานี่มามาก อายหมวดไหนกันก่อน

    อันดับแรก อายการละเมิดศีลห้า

    อันดับที่ ๒ อายการละเมิดกรรมบถ ๑๐

    และอันดับต่อไปก็กลัวผลของการละเมิดศีลห้า กลัวผลของการละเมิดกรรมบถ ๑๐ จะให้ผลสนองเรา เพราะการละเมิดศีลก็ดี การละเมิดกรรมบถ ๑๐ ก็ดีมีผลในชาติปัจจุบัน

    นั่นหมายความว่าจะสร้างความทุกข์ให้เกิดแก่เราอย่างหนัก แต่ว่าถ้าเราอายได้ เรากลัวได้ เราก็สามารถจะดึงเอาศีลห้าก็ดี กรรมบถ ๑๐ ก็ดี มาไว้กับเราตอนนี้เราจะพบกับความสุขอย่างมหันต์ อย่างที่ท่านทั้งหลายจะไม่เคยพบมาในกาลก่อน

    ชาตินี้มีความสุขหนักและชาติหน้าก็มีความสุขอย่างหนัก และทุกๆ ชาติเราจะมีความทุกข์เล็กน้อยแต่มีความสุขมาก ชื่อว่าทุกข์ไปเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานไม่มีต่อไปอีก

    ศีลห้า มีอะไรบ้าง?

    ข้อ ๑ ปาณาติบาต พระพุทธเจ้าบอกว่า ทรงให้เว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทางที่ดีก็เว้นจากการทรมานสัตว์เสียด้วย

    ข้อที่๒ อทินนาทาน ไม่ถือเอาทรัพย์สินที่บุคคลอื่นไม่ให้มาเป็นของตนโดยไม่ชอบธรรม

    ข้อที่๓ กาเมสุมิจฉาจาร ให้เว้นจากการละเมิดความรัก คือในสามีและภรรยาของบุคคลอื่น ยินดีเฉพาะสามีและภรรยาของตนเอง

    ข้อที่๔ เว้นจากการมุสาวาท คือการไม่พูดให้ตรงตามความเป็นจริง เป็นการทำลายประโยชน์ของบุคคลผู้รับฟัง

    ข้อที่๕ เว้นจากการดื่มสุราและเมรัย เพราะข้อนี้หนักมาก ถ้าเมาเมื่อไหร่แย่เมื่อนั้นจำอะไรไม่ได้ ดีไม่ดีเห็นว่าพ่อเป็นเพื่อนไปอีก แต่บางคนเห็นว่าพ่อเป็นฟุตบอลไปก็มีเตะพ่อตีแม่ อย่างนี้ก็มี

    เป็นอันว่าศีลทั้ง ๕ ประการมีตามนี้ ทีนี้ต่อไปก็มาพูดกันถึงกรรมบถ ๑๐

    กรรมบถ ๑๐ นี่จริง ๆ ก็เหมือนกับศีลห้า อยู่มาก แตกต่างกันอยู่นิดหน่อยเท่านั้นเอง กรรมบถ ๑๐ ก็คือ

    ข้อที่ ๑. เว้นจากการฆ่าสัตว์

    ข้อที่ ๒. เว้นจากการลักทรัพย์ (เหมือนศีลห้า)

    ข้อที่ ๓. เว้นจากการกาเมสุมิจฉาจาร คือเป็นชู้กับสามีภรรยาเขา (นี่สำหรับทางกาย ทางกายคือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม)

    ทางวาจา ท่านจัดไว้ ๔ ศีลห้าจัดไว้แค่ ๑ ทางกายเหมือนศีลห้าเปี๊ยบ ไม่ต่างกันเลย แต่ทางวาจาท่านจัดไว้ ๔

    ๑."ไม่พูดปด" นี่คือศีลห้า ห้ามแค่นี้ กรรมบถ ๑๐ ห้ามต่อไป "ไม่พูดคำหยาบ" และก็ "ไม่พูดวาจาส่อเสียดยุยงส่งเสริมให้เขาแตกร้าวกัน" และก็ "ไม่พูดวาจาที่ไร้ประโยชน์" มี ๔

    ด้านจิตใจนี่ศีลห้า ไม่ได้บอกไว้ แต่ว่ากรรมบถ ๑๐ บอกไว้ว่าจิตใจ คือ

    ๑. จงอย่าอยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นใดมาเป็นของตน คือไม่ขโมยด้วย และก็ไม่นึกด้วย ศีลห้านี่ไม่ได้ขโมยแต่นึกอยากได้นี่ไม่ผิด กรรมบถ ๑๐ ไม่ขโมยแต่นึกอยากได้ผิด

    ต่อไปข้อที่ ๒ ของจิตใจความรู้สึกนึกคิด นั่นก็คือไม่พยาบาทจองล้างจองผลาญใคร คือไม่จองเวรจองกรรมใคร โกรธน่ะโกรธ แต่ทว่าโกรธแล้วก็หายไป ต่อก็ไม่จองล้างผลาญใคร

    แล้วข้อที่ ๓ ด้านจิตใจ มีความเห็นตรงตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือไม่ขัดคอพระพุทธเจ้า พูดกันง่าย ๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าตายแล้วเกิดเราก็เชื่อว่าตายแล้วเกิด ไม่ใช่ตายแล้วสูญ อย่างนี้เป็นต้น

    และสวรรค์มีจริง พรหมโลกมีจริง นิพพานมีจริง เราก็ไม่เถียง เรายอมรับนับถือด้วยปัญญา ถ้าทำบาปอกุศลก็ไปเกิดเป็นสัตว์นรกบ้าง เปรตบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง อันนี้เราก็ไม่เถียง ยอมรับและการปฏิบัติอย่างไรจะให้พ้นจากความทุกข์เสวยแต่ความสุข อันนี้เราก็ปฏิบัติตามอย่างนี้เรียกว่า "สัมมาทิฏฐิ" มีความเห็นชอบ เป็นข้อที่ ๓ ของกรรมบถ ๑๐ ก็จะไม่พูดยํ้ามาก

    ต่อมาก็หันมาดูศีลข้อที่ ๑ ศีลก็ดี กรรมบถ ๑๐ ก็ดี จะอธิบายควบกันไป ถ้าแยกกันนี่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย มันจะยืดยาดมากเกินไป คือว่าอันนี้เวลานี้เราเข้ามาปฏิบัติในข้อที่ว่า "วิจิกิจฉา" ข้อที่ ๒ ของสังโยชน์ (ขอนำเอาข้อที่ ๓ มาพูดรวมกัน)

    ข้อที่ ๒ บอกว่า ไม่สงสัยในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยอมปฏิบัติตาม ที่นี้พระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน "คำสั่ง" ก็คือวินัย "คำสอน" ก็ได้แก่ธรรมะ

    "คำสั่ง" หมายถึงห้ามหรือเตือนว่าจงอย่าทำ จงเว้น

    "คำสอน" หมายความว่าจงทำตามนี้ จงปฏิบัติตามนี้ จะมีความสุข (ขอนำมารวมกันกับข้อวิจิกิจฉา คือความสงสัยในสังโยชน์ข้อที่ ๒ เอาสีลัพพตปรามาสมารวมกันเลยถ้าไม่รวมกันแล้วยุ่ง ท่านก็ฟังกันยืดยาด ดีไม่ดีฟังกันเดือนก็ไม่จบ)

    ก็รวมความว่า เวลานี้เรายอมรับนับถือในพระธรรม ได้แก่ "หิริ" และ "โอตตัปปะ" นี่เป็นอันว่าไม่ฝืนแล้ว อาย อายความชั่ว เกรงกลัวผลของความชั่ว ไม่สงสัยในพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ถ้าเราอายเรากลัวไม่มีจุดปฏิบัติเราก็ท้อใจมาเริ่มปฏิบัติเริ่มแรก เอากันในเรื่องของศีล สำหรับศีลนี่ข้อไหนเหมือนกับกรรมบถจะบอกว่าเหมือนกัน ข้อไหนที่แยกกันเป็นกรรมบถโดยเฉพาะจะบอกว่านี่แยกกัน เพื่อสะดวกแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท.."

    คาถามหาเสน่ห์
    "..คำว่า "เสน่ห์" แปลว่า "ความรัก" ความรักซึ่งกันและกัน เป็นเยื่อใยแห่งความรัก ที่ดึงกำลังใจของบุคคลอื่นให้มารักเรา และก็เราเอง ถ้าคนอื่นเขาทำเราก็รักเขาเหมือนกัน ถ้าต่างคนต่างมีมหาเสนห์ บรรดาท่านพุทธบริษัท

    โลกนี้จะมีแต่ความสุขจะหาความทุกข์ไม่ได้ความทุกข์จะมีบ้างก็แค่เรื่องของขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ คือ ร่างกายมันก็ต้องแก่ มันป่วย เป็นเรื่องธรรมดาของขันธ์ ๕ คือร่างกาย แล้วมันก็ตาย เราจะมีทุกข์อยู่บ้างเมื่อความแก่เข้ามาถึง เพราะร่างกายไม่ทรงตัว กำลังไม่ดี ความเชื่องช้าก็ปรากฏก็หนักใจอยู่นิดหนึ่ง ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้นมันก็มีความลำบากอยู่บ้าง มีความทุกข์อยู่บ้าง ความตายจะเข้ามาถึงก็มีความทุกข์บ้าง เพราะมีทุกขเวทนามาก

    แต่นอกจากอาการทั้ง ๓ อย่างนี้แล้ว เราจะมีแต่ความสุข เพราะคนที่มีเสน่ห์มากก็มีคนรักมาก ถ้าเราพบปะสังสรรค์กับสมาคมใด บุคคลใด เราเป็นคนมีเสน่ห์ สมาคมนั้นเขาไม่เกลียด ผู้ที่เกลียดก็คือว่า คนที่มีเสน่ห์ไม่เท่า เขามีเสน่ห์น้อยเกินไปมีคนรักน้อยเกินไป อาจจะมีการอิจฉาริษยากันได้ นี่เป็นของธรรมดา

    แต่ถ้าพบหน้ากันเข้าจริงๆ บ่อยๆ อาการอิจฉาริษยาก็จะหมดไป เหลือแต่ความรัก คาถามหาเสน่ห์นี่มีอยู่ ๔ ข้อ ๔ คำ คือ

    ๑. ไม่พูดปด

    ๒. ไม่พูดคำหยาบ

    ๓. ไม่พูดส่อเสียด

    ๔. ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล

    นี่แหละเป็นคาถามหาเสน่ห์ คำว่า "คาถา" นี่มาจากภาษาบาลี แปลว่า "วาจาเป็นเครื่องกล่าว" ก็หมายถึงคำพูดที่เราพูดไปเอง คำพูดที่เราพูดออกไปนี่ ภาษาบาลี ท่านเรียกว่า "คาถา" (แต่คนไทยพูดเข้าเลยหาว่าเป็นคาถามหานิยมไปเลย เป็นการเสกคาถาไป)

    ความจริงไม่ใช่ นี่พระพูด ไม่ใช่หมอไสยศาสตร์ หมอเสน่ห์ลมพูด พระพูดถือบาลีเป็นพื้นฐานเป็นหลัก คาถาในที่นี้ถือว่า วาจาเป็นเครื่องกล่าว คือ คำพูด

    อาตมาจำถ้อยคำของท่านสุนทรภู่ไว้ได้ตอนหนึ่ง ท่านกล่าวว่า

    "คนเราจะชั่วหรือดีอยู่ที่ปาก จะได้ยากหิวโหยเพราะชิวหา"

    หมายความว่า จะชั่วหรือดีอยู่ที่ปากพูด เสียงที่พูดออกไป จะได้ยากหิวโหยเพราะชิวหา คือลิ้นเป็นเครื่องแต่งเสียง (วันนี้ร่างกายไม่ดีมาก แต่ขอทำงานตามหน้าที่ เพราะปล่อยร่างกายดีก็ไม่ได้พูด ถ้าไม่ได้พูดงานก็ไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจ ก็ขอพูดทั้งๆ ที่เสียงก็ไม่ดีร่างกายก็ไม่ดี เพลียมากเหลือเกิน )

    ก็รวมความว่า คนเราจะดีจะชั่วอยู่ที่ปาก การพูด พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าต้องการมีเสน่ห์

    ๑. อย่างพูดปดมดเท็จ แต่คนพูดปดมดเท็จนี่ ถ้าเขาจับไม่ได้มันก็ดี การยอมรับนับถือยังมีอยู่ ถ้าจับคำพูดปดมดเท็จได้เมื่อไรเมื่อนั้นแหละความเป็นที่เคารพนับถือก็ดีความเป็นมิตรสหายซึ่งกันและกันก็ดี ก็ต้องสลายตัวไป เพราะอะไร?

    เพราะเราเป็นคนทำลายประโยชน์เขา ในเมื่อเราเป็นคนพูดปด คนที่จะคบหาสมาคมด้วยก็หายาก เพราะว่าถ้าพูดกิจการงานกับเขา เขาก็หวังไม่ได้ว่าเราจะพูดตามความเป็นจริง เรียกว่าเราจะต้องเป็นคนมีทุกข์มาก ไม่มีใครอยากคบหาสมาคมด้วย

    สำหรับคำพูดปดนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาลองซ้อมดูแล้ว ความจริงข้อนี้ก็เป็นทั้งศีลทั้งธรรมะ ศีลมีแค่พูดปด กรรมบถ ๑๐ ก็เติมพูดหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ เหลวไหล ข้อนี้ก็รวมทั้งศีลและก็กรรมบถ ๑๐ ด้วย

    สำหรับวาจานี่ บรรดาท่านทั้งหลาย อาตมาเคยถามว่าการรักษาศีลห้า ระวังตอนไหน ส่วนมากจริง ๆ บอกว่า หนักใจที่ มุสาวาท

    เขาว่าเขาจำเป็นต้องโกหก เขาถือว่าจำเป็น อย่างการค้าขายนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าไม่โกหกมันก็ขายไม่ค่อยจะได้บางทีไม่จำเป็นต้องโกหกต้องโกหก เดี๋ยวพ่อค้าฟังแล้วเขาจะเกลียดนี่หรือเปล่าก็ไม่ทราบ ความจริงที่ว่าหนักใจก็ได้แก่พวกพ่อค้าแม่ค้า บรรดาท่านสตรีทั้งหลายนี่หนักใจมาก ว่าศีล ๔ ข้อพอรักษาได้ บอกว่าข้อมุสาวาทนี่หนักใจ

    แต่ความจริงถ้าเราไม่พูดโกหกจะได้ไหม ลองไม่พูดโกหกดู ดูซิจะขายของได้หรือไม่ได้ ของดีเราก็บอกว่า "นี่ของดีจริง ๆ นะ" ไม่หลอกลวงกัน ไอ้ที่ดีขนาดกลางก็บอกว่า นี่ดีขนาดกลาง ไอ้ที่ดีขนาดเลวก็บอกว่านี่ดีขนาดเลว ถ้าถามว่าขนาดเลวทำไมจึงว่าดี ก็เพราะยังเป็นของดีไม่แตกสลายผ้าไม่ขาด ขันไม่แตก แก้วไม่แตก ก็เป็นของดี

    แต่ว่าอัตราของมันเป็นของเลวหยาบไปหน่อย สวยน้อยไปนิด เนื้อละเอียดน้อยไปหน่อย อย่างนี้เป็นต้น ก็เรียกว่าดีขนาดเลวเราก็บอกตามความเป็นจริง ข้อนี้หวังว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงคงไม่หนักใจ

    มาอีกตอน เรื่องราคาของของ ราคาของของนี่จำเป็นต้องโกหกกัน ถ้าไม่โกหกกันมันขายราคาแพงไม่ได้ แล้วก็มีปัญหาอยู่ว่า

    สมมุติว่าของชิ้นนี้ในท้องตลาดเขาขายราคา ๑๐ บาท แต่ว่าต้นทุนจริงๆ มันเป็นบาทหรือสองบาทเท่านั้นไม่มาก ถ้ามีคนเขามาขอซื้อเขาขอลด ไม่ใช่ต่อ บอก ๑๐ บาท เขาขอลด ๙ บาทหรือ ๘ บาท ถ้าต่อนั้นหมายความว่าต้องเป็น ๑๑ บาทหรือ ๑๒ บาท คงไม่มีคนซื้อคนใดเขาต่อให้มันสูงขึ้น มีแต่ว่าขอลดลงว่าขอลดลงมาอย่างนี้

    ถ้าเราขายไปเราก็เสียราคาท้องตลาด ถ้าขายถูกเกินไปนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัทในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ นี่อาตมาเคยพบมา

    ตอนนั้นยังอยู่วัดประยุรวงศาวาส จะไปเทศน์นี่นครปฐม ข้ามสะพานพระพุทธยอดฟ้ามาที่พาหุรัด เพื่อขึ้นรถยนต์ที่นั่น รถโดยสาร ไปเจอะกระเป๋าถือลูกหนึ่งชอบใจ ก็เข้าไปซื้อ ตกลงกับเจ๊กว่าตอนเย็นจะมาเอา เขาปิดราคาไว้ ถามเขาบอกว่า จะเอาไปแต่เอาไปไม่ได้เพราะไปเทศน์จะให้สตางค์ก่อนเอาไหม?

    เถ้าแก่ก็บอกว่าไม่ต้อง เห็นหน้ากันเกือบทุกวัน เขาไว้วางใจแต่ว่าพอกลับมาปรากฏว่าของในร้านทั้งหมด เขาเขียนราคาสูงขึ้นไปหมด ราคาเดิมก็ไม่มีสมมุติว่าราคาเดิมเป็น ๑๐ บาท ตอนเช้ามองดูแล้วมันเป็น ๑๐ บาท

    แต่ว่าตอนเย็นกลับมามันกลายเป็น ๑๓ บาทไป ของบางอย่าง กระเป๋าลูกนั้นประเภทเดียวกัน ถามเขาเวลานั้นค่าเงินมันสูงเขาเอา ๒๐ บาท ตอนเช้าเขียนราคา ๒๐ บาท

    ในฐานะที่ชอบกันก็บอกว่า"ฉันเอาลูกหนึ่งฉันไม่ขอลดละ เถ้าแกจะลำบากเพราะรู้จักกันดี"

    เถ้าแก่เลยบอกว่า"ท่านไม่ขอลดผมจะลดให้ ผมเอา ๑๘ บาท" แต่ตอนเย็นพอมาถึงปรากฏว่ากระเป๋าประเภทนั้นราคาขึ้นไปเป็น ๒๕ บาท ก็เลยถามว่า

    "เถ้าแก่ เมื่อเช้านี้มัน ๒๐ บาทน่ะ นี่แค่ตอนเย็นมัน ๒๕ บาท ฉันจะเอาสตางค์ที่ไหนมาซื้อ"

    เถ้าแก่ก็เลยบอกว่า "กระเป๋าของท่านอยู่ข้างในครับ ผมไปเก็บไว้ข้างในแล้วราคาผมก็เขียนเท่านี้เหมือนกัน แต่ว่าผมรับสตางค์จริง ๆ แค่ ๑๘ บาท"

    ก็ถามว่า "ทำไมจำเป็นต้องขึ้นราคากันตามนี้ด้วยล่า มันไวเกินไป"

    เถ้าแก่ก็บอกว่า "หลังจากท่านขึ้นรถไปแล้วไม่นานนัก ประมาณ ๑ ชั่วโมงเศษก็มีเจ้าหน้าที่เขามาแจ้งบอกให้ขึ้นราคาของไปเท่านั้นเท่านี้ ต้องขึ้นราคาตามนี้ เขาว่าของขึ้นไปกี่เปอร์เซ็นต์ก็แล้วกัน ให้ขึ้นราคาของไปอย่างละกี่เปอร์เซ็นต์ ต้องทำตามเขา"

    ก็เลยถามว่า "ถ้าเราไม่ขายตามเขาล่ะ เราขายถูกเราจะขายได้ดี เขาขายแพงขายไม่ได้ดี"

    เถ้าแก่บอกว่า "ไม่ได้หรอกครับ ถ้าไม่ขายตามเขา เราขายถูกเขาจะส่งคนมาซื้อหมด เมื่อซื้อหมดแล้วเราก็ไม่สามารถจะหาของราคาเท่านั้นมาขายได้อีก เพราะเขาขายแพงขึ้น"

    มันมีความจำเป็นต้องขายตามเขา แต่ในที่สุดท่านเถ้าแก่ก็เอากระเป๋าให้มาแล้วรับเงิน ๑๘ บาทตามเดิม เขามีความซื่อสัตย์ดี แต่ว่าป้ายที่เขียนไว้นั้นเป็นราคา ๒๕ บาท เถ้าแก่แกก็สั่งไว้ว่า "ถ้าใครเขาถามท่านให้บอกว่าเขาขายราคา ๒๕ บาทนะครับ ไม่งั้นผมเสียแน่"

    แต่ความจริงอาตมามาถึงวัดคนนั้นถาม คนนี้ถามก็บอกว่า "อย่าบอกราคากันเลยราคาไม่ต้องบอกกัน ป้ายเขาเขียนเท่านี้ก็เชื่อเท่านี้ก็แล้วกัน ผมจ่ายเท่าไรเป็นเรื่องของผมให้ถือว่าป้ายเขาเขียนไว้เท่านี้ก็แล้วกัน"

    แต่นั้นมา ถึงญาติโยมพุทธบริษัทที่จะต้องบอกราคาเกิน ความจริงถ้าบอก ของราคา ๒ บาท เราขาย ๑๐ บาท เขาขอลด ๘ บาท แล้วก็บอกว่า

    "ไม่ได้หรอก ฉันซื้อมา ๙.๕๐ บาทแล้วนี่ฉันได้ ๕๐ สตางค์เท่านั้นเอง ถ้าจะลดก็ลดได้เพียง ๒๕ สตางค์" อย่างนี้ก็โกหก เป็นมุสาวาท

    ทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นมุสาวาท? ก็ต้องตอบเขาเฉย ๆ ว่า "ของต้นทุนมันแพงต้องขายเท่านี้ ถ้าจะลดได้ก็ลดได้แค่ ๕๐ สตางค์ หรือ ๒๕ สตางค์ ลดเกินกว่านั้นไม่ได้เพราะต้นทุนมันแพง"ถ้าเขาถามว่า"ต้นทุนแพงราคาเท่าไร"ก็ตอบเฉยๆ ว่า "ของมันหลายชิ้นด้วยกัน ตอบยากเพราะมันต้องเปิดตำรา"เท่านี้ก็หมดเรื่องหมดราว ไม่เป็นมุสาวาท

    ก็รวมความว่า คนที่พูดมุสาวาทเป็นคนไร้สัจจะ คนเกลียด แต่พูดตามความเป็นจริง บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ไปที่ไหนใครก็ชอบ คนทุกคนต้องการรับฟังวาจาที่ตรงตามความเป็นจริง แต่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิงก็ต้องระวังเหมือนกัน

    การพูดตามความเป็นจริงนั้นต้องเลือกเวลา อย่าพูดจนกระทั่งเขามีความเสียหายต่อหน้าประชาชนเกินไป ต้องใช้ปัญญาด้วย

    ความจริงข้อนี้เราควรจะพูดที่ไหน แล้วเวลาพูดนั้นเป็นเวลาควรจะพูดแล้วหรือยัง? ถ้าเป็นเครื่องสะเทือนใจของบุคคลผู้รับฟัง เวลาที่เขาอารมณ์ไม่ดีอย่าเพิ่งพูดความจริง รอเวลาอารมณ์ดีจิตใจเขาสบาย พูดอ้อมหน้าอ้อมหลังไปก่อน เห็นท่าว่าเขาจะยอมรับแล้วก็ไม่โกรธจึงควรพูด ถ้าพูดไปแล้วผู้รับฟังโกรธ บรรดาท่านพุทธบริษัท นั่นหมายถึงความตายจะเข้ามาถึงผู้พูด

    ตามที่พูดกันว่า "วาจาจริงเป็นวาจาไม่ตาย" แต่คนพูดตามความเป็นจริงอาจจะตายได้ นี่ต้องระวังให้มาก ก็ถือว่าถ้าเราพูดตรงไปตรงมาตามความเป็นจริงและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิง เลือกเวลาเหมาะเวลาสม ใช้ปัญญาหน่อย อย่างนี้ถือว่า วาจาเป็นทิพย์ ท่านจะมีความสุขมากในฐานะที่คนทั้งหลายมีความไว้วางใจในท่าน

    สำหรับกรรมบถ ๑๐ และศีลข้อนี้อธิบายกันยาว เพราะนี่มันยาวไปหน่อยนะ

    ต่อไปข้อหนึ่ง คือ "วาจาหยาบ" วาจาหยาบ เป็นเครื่องสะเทือนใจบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าไม่จำเป็นอย่าพูดเลย แต่ความจริงบางโอกาสก็จำเป็นต้องพูดจำเป็นต้องใช้ แต่ควรใช้เฉพาะบุคคล

    ที่มีความจำเป็นของเรา อย่างคนที่อยู่ในปกครองจะเป็นลูกหรือจะเป็นใครก็ตามเถอะ เพราะคนเรามีนิสัย ๒ อย่าง คนที่มีนิสัยละเอียด นี่เป็นคนดีมาก คนประเภทนี้ชอบปลอบ และค่อยพูดค่อยจามีเหตุผล รับฟังแล้วปฏิบัติตามคนประเภทนี่พูดหยาบตึงตังโครมครามไม่ได้เสียหายกันเลย ทั้งนี้เพราะอะไร?

    เพราะเธอมาจากสวรรค์ ถ้าบางคนเป็นคนนิสัยหยาบ เธอมาจากอบายภูมิ ถ้าพูดอ่อนโยน อ่อนหวาน เสร็จแก่ขี่คอแน่ คนประเภทนี้ไม่ต้องการวาจาดี ต้องใช้วาจาหยาบ ตึงตัวโครมคราม นี่เฉพาะคนในปกครองของเรา มีความจำเป็นต้องใช้ให้เหมาะกับนิสัย

    แต่สำหรับกับเพื่อนบ้าน บรรดาญาติโยมทั้งหลาย อาตมาคิดว่าใช้วาจาอ่อนโยนดีกว่า วาจาอ่อนโยนและอ่อนหวานนี้เป็นประโยชน์มาก ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะว่าจะพูดที่ไหนใครก็ชอบจะพูดที่ไหนใครก็รัก

    แต่ว่าสำหรับเพื่อนที่คบหาสมาคมกันสนิทก็ไม่แน่นัก บางทีพูดเพราะๆ เข้าแก่ด่าเอาเลย หาว่าดัดจริต ฉะนั้น คำว่า "วาจาหยาบ" นี่ต้องดูเฉพาะบุคคล

    บางคนถ้าเป็นเพื่อนคบหาสมาคมมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก อาตมาพบท่านๆ หนึ่ง สมัยที่ยังไม่แก่นัก อาตมาก็ยังไม่แก่เกินไปนะเวลานั้น เวลานี้มันหาหนุ่มเกือบไม่ได้อยู่แล้ว มีแรงมาพูดได้ก็บุญตัวเวลานั้นยังไม่แก่เกินไป ไปพบคนๆ หนึ่งเคยเรียนหนังสือชั้นประถมมาด้วยกัน เธอเป็นอธิบดีกรมๆ หนึ่ง พอไปพูดวาจาหวานๆ เข้า

    แกชักกระชากเสียงว่า "ทำไมต้องพูดอย่างนี้ เมื่อสมัยเป็นเด็กอย่าลืมนะว่าเรียนหนังสือโต๊ะเดียวกัน ความเป็นใหญ่เป็นโต สำหรับเพื่อนรักไม่มีสำหรับเรากับท่าน" เขาว่าอย่างนั้น ว่าเพื่อนกันไม่มีอะไรใหญ่กว่ากัน ห้ามยกย่องสรรเสริญกันแบบนั้น นี่แบบนี้เขาก็มีนะ

    แล้วก็มีคนอีกคนหนึ่งเพื่อนกันที่เขาเป็นฆราวาส เขาก็ไปพบเพื่อนของเขาเหมือนกัน คนนี้ออกมาจากโรงเรียนแล้วก็ไม่มีงานราชการทำ เธอไมอยากจะทำ อยากจะทำงานส่วนตัว ก็เดินไปเดินมาแบบพ่อค้าหาบเร่ แต่ความจริงไม่ได้หาบ ติดต่อของที่โน่นเอามาขายที่นี่ ติดต่อที่นี่ไปขายที่โน่น รู้สึกว่ารายได้ดี รายได้ของเธอดีมาก

    บางวันสมัยนั้นค่าของเงินยังแพงอยู่ ก๋วยเตี๋ยวชามละ ๕ สตางค์ บางวันเธอได้กำไรเป็นร้อยๆ นับเป็นร้อยๆ บางวันถึงพัน อย่างไม่ได้เลยก็ ๒-๓ ร้อยบาท นี่แค่เฉพาะกำไร รวยมาก ดีกว่ารับราชการ เธอไปพบเพื่อนคนหนึ่งเป็นอธิบดีเหมือนกัน (คำว่า "เหมือนกัน" ก็เหมือนกับเพื่อนอาตมาอีกคนหนึ่ง) มาถึงก็ยกมือไหว้ "ท่านครับ" ครับผมเข้าให้

    อธิบดีหันมาด่าเลย บอก "นี่..มึงอย่ามาพูดกับกูอย่างนี้ กูไม่ใช่นายมึง กูเป็นเพื่อนของมึงทีหลังห้ามพูดนะ" นายนั่นก็บอกว่า "ท่านเป็นอธิบดี" แกก็เลยกระชากเสียงมาใหม่บอก"กูเป็นอธิบดีสำหรับคนอื่น ไม่ใช่อธิบดีของมึง มึงเป็นเพื่อนกู ไปกินเหล้าด้วยกัน" ชวนไปกินเหล้ากันเลย

    รวมความว่า วาจาหยาบต้องดูเฉพาะบุคคลที่ควรไม่ควร รวมความว่า แหม..ถ้าใช้หวานๆ เกินไปสำหรับเพื่อนก็ไม่ดีเหมือนกัน ถ้ากร้าวเกินไปสำหรับเพื่อนบางคนก็ไม่ดีเหมือนกัน ต้องเลือกวาจาใช้ รวมความว่าใช้วาจานิ่มนวลไมหยาบคายมีประโยชน์กว่า เป็นที่รักของบุคคลทั่วไป นี่ว่าสำหรับคนทั่วไปนะเป็น "คาถามหาเสน่ห์" เหมือนกัน

    เวลามันเหลือน้อย ยํ้าไปมาก ซอยไปมาก มันจะยุ่งแล้วหลวงตา มันจะจบไม่ทันเสียงก็แห้งลงมาทุกที แรงมันหมด มันยังไม่ตายก็พูดไปก่อน พูดให้มันขาดใจตายไปเลย

    ก็รวมความว่า ต่อไป "วาจาส่อเสียด" เรื่องการยุแยงตะแคงแสะ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อย่าให้มีเด็ดขาด อันนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับเราเลยท่าน เรายุให้เขาแตกแยกกันก็อย่าลืม หอกนั้นมันจะสนองเรา อย่าลืมว่าคนทุกคนนะเขามีปัญญา

    ทีแรกถ้าเขายังไม่พบหน้าซึ่งกันและกัน เขาอาจจะเชื่อเรา และคนที่มีปัญญาเบาคือจิตทรามไร้ปัญญาก็แล้วกัน เมื่อรับฟังแล้วก็เชื่อเลยประเภทนี้ก็มี แบบนี้สร้างความแตกร้าวให้เกิดขึ้นมาเยอะ คนบางคนเขาใชัปัญญาก็มีเหมือนกัน ถ้าบังเอิญเขาพบกันเข้า ไต่ส่วนกันเข้าเมื่อไร วาจาที่เรายุแยงตะแคงแสะไว้มันไม่ตรงตามความเป็นจริง

    ตอนนี้แหละ ญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิง เรื่องร้ายก็ตกกับเรา เขาเกลียดนํ้าหน้า ดีไม่ดีแทนวาจาจะต่อว่ากลายเป็นอาวุธไปก็ได้ เขาอาจจะจ้างคนมาฆ่าให้ตาย หรือเขาจะฆ่าเองก็ได้ ข้อนี้อย่าทำ

    แล้วสำหรับอีกวาจาหนึ่ง คือ "วาจาเพ้อเจ้อเหลวไหล" คือวาจาไร้ประโยชน์ นี่บรรดาท่านพุทธบริษัท อย่าให้มีเป็นอันขาด พูดไปมันก็เหนื่อยเปล่า ถ้าคนเลวเขารับฟังก็ฟังได้ แต่ถ้าเป็นการเล่านิทานไม่เป็นไร ไม่ไร้ประโยชน์ สร้างความรื่นเริงบันเทิงใจให้เกิดแก่ผู้รับฟัง นิทานใครๆ ก็ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องจริง

    แต่วาจาที่พูดกับเพื่อน ถึงแม้ว่าไม่ใช่วาจาที่เป็นงานเป็นการ แต่พูดไปไร้เหตุไร้ผลนี่ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน อย่าพูดเลย ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะพูดไปเราก็เป็นคนเสีย วันหลังถ้าไปเจอะหน้ากันเข้าหรือเขาไปพบกัน เขาไปพบกับคนอื่นใดเขาจะกล่าวว่า "ไอ้หมอนั่น อีหมอนี่มันไม่ดี พูดส่งเดชไร้ประโยชน์"

    ต่อไปข่าวนี้กระจายมากไปเท่าไรก็ตามที เราก็เป็นคนเสียเท่านั้นทีหลังจะพูดอะไรกับใครเขา เขาก็ไม่อยากจะฟัง ถ้ามีความทุกข์ปรารถนาจะขอความช่วยเหลือ เขาก็ไม่อยากช่วย เพราะเขาไม่เชื่อวาจาของเรา

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตามที่ท่านสุนทรภู่ท่านว่าไว้ว่า "จะชั่วหรือดีอยู่ที่ปาก จะได้ยากหิวโหยเพราะชิวหา" นี่เป็นความจริง ถ้าเราเป็นคนพูดที่ดีคือ

    ๑. พูดตามความเป็นจริง

    ๒. ไม่พูดหยาบคาย ใช้วาจาไพเราะ

    ๓. ไม่ส่อเสียด ไม่ยุยงส่งเสริมเขาให้แตกร้าวกัน

    ๔. ใช้วาจาเฉพาะที่วาจาที่เป็นประโยชน์

    ทั้ง ๔ ประการนี้ คำว่า "โทษ" ไม่มีกับเรา มีแต่คุณเท่านั้น จะไปที่ไหนจะพูดที่ไหน ใครก็อยากรับฟัง เขาถือว่า วาจาเป็นทิพย์.."
     
  17. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๖.ท่านหลวงตาอินมรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเทวดามีหน้าที่ยืนยามอยู่ทาง ๔ แพร่ง สวรรค์เขตจาตุมหาราช

    “..ถ้าออกเดินทางจากโลกมนุษย์มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก จะเห็นทางใหญ่ขาวโพลนแลดูใสสะอาดดีกว่าถนนชั้นหนึ่งในเมืองมนุษย์ เดินไปสักครู่หนึ่งจะถึงทาง ๔ แพร่ง ความจริงพวกที่เขาได้ฌาน เขาเดินไม่นานหรอกเพียงแค่หายใจเข้าไม่ทันหายใจออกก็ถึงแล้ว นี่เราค่อยๆ ไปกันช้าๆ มองไปข้างหน้าเห็นทางใหญ่ขาวลาดลง มองไปทางซ้ายเห็นเป็นเนินขึ้นน้อยๆ เป็นทางขาวใหญ่เหมือนกัน มองไปทางขวาเป็นทางชันขาวใหญ่เหมือนกัน แล้วมองมาทางด้านหลังก็เป็นทางที่เราเดินออกมาจากโลกมนุษย์

    เทวดาอิน เป็นยามอยู่ทาง ๔ แพร่ง
    ที่ตรงทางแยก ๔ แพร่งนี้มีเทวดาอยู่ ๑ องค์ยืนยามอยู่ ท่านมีเครื่องทรงสีแดง ผ้าที่นุ่งก็มีพื้นสีแดง เสื้อที่ใส่ก็มีพื้นสีแดง บนศีรษะบางทีก็โพกผ้าสีแดง บางทีก็สวมมงกุฎ ผ้าที่นุ่งเสื้อที่ใส่ประดับไปด้วยเพชรนิลจินดา ขาวแพรวพราวไปหมด รูปร่างท่านสง่าผ่าเผยสวยสดงดงามมาก คนที่ว่าสวยในเมืองมนุษย์ทาบไม่ติด เทวดาไม่มีแก่มีแต่หนุ่ม ท่านยืนยิ้มด้วยความใจดี

    พระที่ท่านนิพพานแล้วชอบเรียกท่านว่า “เทวดาอิน” ไม่ใช่ท่านพระอินทร์นะ คนละองค์กัน สมัยที่ท่านเป็นมนุษย์ท่านบวชเป็นพระ ชื่อว่า “หลวงตาอิน” ท่านได้ฌานสมาบัติแต่เวลาตายไม่ได้เข้าฌานตาย เมื่อตายแล้วก็ไม่ได้ไปเป็นพรหม จึงมาเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช

    มีหน้าที่ยืนยามอยู่ทาง ๔ แพร่ง พระที่ได้ฌานสมาบัติท่านหนึ่งชื่อว่า “อาจารย์ฉัตร” องค์นี้เก่งมาก เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโคเหมือนกันแต่เป็นรุ่นพี่ ท่านบอกว่าเวลาจะไปละก็ให้ไปพบกับเทวดาองค์นี้ ท่านจะถามว่า “ไปเลยหรือว่ากลับ”

    คำว่า “ไปเลย หมายถึงว่าตายไปแล้ว” ถ้าหากบอกว่า “กลับ ก็หมายถึงพระที่ได้ฌานหรือฆราวาสที่ได้ฌาน ไปแล้วต้องกลับ” ก็บอกท่านว่ากลับ จะไปนรกหรือว่าจะไปสวรรค์ หรือจะไปพรหมโลก ก็บอกท่าน พอถึงเวลาใกล้สว่างถ้ายังไม่กลับ ท่านก็จะไปตามบอกว่า “เวลานี้ใกล้สว่างแล้วให้กลับได้” นี่คือหน้าที่ของท่านเทวดาอิน

    ถ้าหากพวกเราผ่านไปแบบช้าๆ ท่านก็จะถาม แต่ถ้าไปเร็วปรี๊ดปร๊าดท่านก็จะถามไม่ทัน ท่านบอกว่า “พวกนี้เสียมารยาท ไม่เคารพต่อพระภูมิเจ้าที่เทวดายาม” ท่านว่าพวกมนุษย์โดยมากมารยาทไม่ค่อยดี แม้จะเป็นพระเป็นเจ้าก็ตาม ผ่านมาตรงนี้น่าจะคุยกันก่อน แต่ไม่ค่อยจะมีใครคุยหรอกรีบไปกันเลย

    ถ้าเวลาเห็นพระผ่านไป ท่านมักจะยกมือไหว้แสดงความเคารพ ถ้าเป็นฆราวาสท่านก็จะกล่าววาจาเป็นสัมโมทนียกถา คือวาจาที่ไพเราะน่าฟัง นี่เป็นจริยาของท่านเทวดาอิน
     
  18. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๗.ท่านเจ้าคุณเทพประสิทธินายกมรณภาพแล้วไปพระนิพพาน

    “..เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๑๔ อาตมาทราบจากคุณนิด (อรอนงค์ อรรถไกวัลวที) ว่าท่านเจ้าคุณเทพประสิทธินายก ตาย เวลานั้นพอดีเจ้าท้องมันทำพิษต้องใช้ยาระบาย มันเพลียเลยขี้เกียจเที่ยว อาศัยการปลงสังขารรู้สึกว่าสบายดี แต่ก็แปลกใจอยู่หน่อยหนึ่ง

    คืนที่กลับมาค้างบ้านครูนนทา กำลังปลงสังขารพอสบายก็ปรากฏแสงสว่างเกิดพุ่งมาทางศีรษะ มีแสงสว่างมากแต่ก็ไม่คิดสงสัย เพราะขณะใดที่มีอารมณ์สบายจะปลากดว่ามีพระพุทธรัศมีแบบนั้นปลากดเสมอ แต่ทว่าวันนั้นเป็นแสงสว่างธรรมดาไม่มีแสงอื่นผสมก็เลยคิดว่าคงเป็นพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่งมาสงเคราะห์

    มันเพลียมากก็เลยปล่อยไปไม่ได้สนใจอะไรอีก ตอนกลางวันฉันยาแก้หวัดเข้าไปเลยนอนหลับตื่นขึ้นเวลา ๑๕.๐๐ น. รู้สึกสบายใจมีกำลังทางร่างกายดี เก็บงานเล็กๆน้อยๆ เสร็จแล้วก็คิดว่าคืนนี้จะออกเที่ยวสักที นานมาแล้วไม่ได้เที่ยว

    พอถึงเวลา ๑๙.๕๕ น. ก็เตรียมสมาทานพระกรรมฐานกันตามปกติ เมื่อเสร็จพิธีสมาทานก็ปลงสังขารตามเคย เวลาผ่านไป ๓๐ นาทีคือถึงเวลา ๒๐.๓๐ น. ได้ยินเสียงนาฬิกาให้สัญญาณว่าเหลืออีก ๓๐ นาทีจะหมดเวลาแล้ว จึงออกจากกายพบ สมเด็จองค์ปฐม ท่านมายืนคุม

    ได้กราบทูลถามว่า “ท่านเทพประสิทธินายกไปไหน” ท่านบอกว่า “ไปพระนิพพาน” ถามท่านว่า “ท่านเป็นพระอรหันต์ระดับไหน” ท่านบอกว่า “เป็นพระอรหันต์ระดับวิชชาสามและทรงมโนมยิทธิ แต่ทิพย์จักขุญาณใสเป็นพิเศษ” เลยลาท่านจะไปตามดูท่านเทพประสิทธินายก ท่านก็บอกว่า “ไปเถอะ ทางนี้ฉันดูเอง” หมายถึงคุมคนที่กำลังเจริญพระกรรมฐานกันอยู่

    เมื่อไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เข้าพบโยมคือท่านปู่พระอินทร์กับท่านย่า เห็นบรรดานางสาวสรรค์เข้าเวรกันมาก จึงถามท่านว่า “มาหาบ่อยๆ โยมรำคาญไหม” ท่านบอกว่า “ไม่รำคาญ มาบ่อยๆ ดี ใจจะได้ไม่ต่ำ เวลาตายจะได้ไม่ไปอบายภูมิเพราะจิตเกาะกุศล” อาตมามองดูแม่สาวๆ วันนี้ไม่สวมชฎาปล่อยผมมาปรกหลัง

    ได้ถามว่า “ทำไมไม่สวมชฎา” ตอบว่า “อยู่เวรปกติไม่ต้องสวมชฎา เวลาท่านผู้ใหญ่ประชุมเทวดาจึงจะสวมชฎา” คุยกับโยมแล้วก็ลาท่านไปพระจุฬามณี ความจริงก็มีสถานที่ติดกันนั่นเอง ท่านบอกว่า “นิมนต์ตามสบาย จะมาหาท่านเทพฯ ใช่ไหม” ตอบท่านว่า “ใช่” ท่านบอกว่า “ท่านเทพฯกำลังมาที่พระจุฬามณี” อาตมาจึงเดินเข้าพระจุฬามณีทางประตูทิศตะวันตก เมื่อผ่านท่านมเหสักขาที่ยืนเป็นยามเฝ้าประตู ท่านเป็นเทวดาอนาคามี

    ท่านมเหสักขาบอกว่า “หลวงพ่อครับ ท่านเทพฯ ที่หลวงพ่อต้องการพบท่านกำลังจะออกมาแล้ว” ก็เลยเดินสวนเข้าไปพบท่านเทพฯ เดินสวนออกมาพอดี ท่านสว่างมากเหลือเกิน ท่าทางสง่างดงามมาก พอถึงกันท่านก็จับมือบอกว่า “ตามฉันทำไม” ตอบท่านว่า “ไม่ทราบว่าไปทางไหนแต่ก็ลองตามดู” ท่านบอกว่า “ดีแบบนี้ดี ทำไปเป็นปกติเถอะ มีประโยชน์แก่ตัวเองมาก” ถามท่านว่า “ท่านมีทิพย์จักขุญาณแจ่มใสมาก ผมทำไม่ได้อย่างท่าน เมื่อท่านตายแล้วผมก็หนัก ยิ่งแก่มากผมก็ยิ่งหนัก เพราะคนก็จะรวมตัวเข้ามา ขอให้ผมแจ่มใสอย่างท่านบ้างได้ไหม”

    ท่านบอกว่า “รักษาสมาธิที่ศูนย์ไว้เป็นปกติก็แล้วกัน มันจะคล่องตัวเอง และชำระใจให้สะอาดมันจะสว่างมากเอง” แล้วต่างก็ลากันไปท่านไปที่ของท่าน อาตมาเข้าไปนมัสการพระ พอเข้าไปพระท่านก็บอกว่า “คุณไม่มานานแล้วควรมาเป็นปกติ การปลงสังขารเป็นของดีแต่ญาณเครื่องรู้จะผิด เวลานี้เรามีศิษย์จำเป็นต้องใช้ญาณ ควรหันกลับเข้าใช้ญาณตามเดิม ความรู้จะได้ว่องไวตามเดิม” และท่านก็สอนมาก ต่อจากนั้นท่านก็ให้ไปเฝ้า สมเด็จพระสมณโคดม ที่พระนิพพาน

    พอขึ้นไปก็เห็นท่านใสสว่างเหมือนดวงอาทิตย์ เข้าไปนมัสการท่านที่พระบาท ท่านตรัสเตือนเรื่องใช้ญาณอีก ท่านว่า “เธอปล่อยมากเกินไป การปลงเป็นสมบัติส่วนตัว การทำญาณให้คล่องเป็นเครื่องมือช่วยศิษย์ เธอต้องทำให้คล่องตามเดิม”

    และท่าน พระมหากัจจายนะ อาจารย์สอนญาณเครื่องรู้ก็เข้ามาหา สมเด็จท่านบอกให้ท่านพระมหากัจจายนะเป็นพี่เลี้ยงเดินนำทางไปเฝ้า สมเด็จพระพุทธกัสสป” ความจริงไม่ต้องนำก็แวะอยู่แล้ว อาตมากราบถามท่าน สมเด็จพระสมณโคดม ว่า “ทำไมข้าพระพุทธเจ้าจึงต้องมีท่านมหากัจจายนะเป็นผู้ควบคุม องค์อื่นคุมไม่ได้หรือ”

    ท่านตรัสว่า “เธอปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน ท่านมหากัจจายนะก็ปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน คนที่ปรารถนาพุทธภูมิจนเข้าถึงบารมีปลายจะเอาพระประเภทสาวกปกติคุมไม่ได้ เพราะจะไม่สามารถทำให้เลื่อมใสได้ ต้องเป็นพวกพุทธภูมิด้วยกัน หรือมิฉะนั้นก็ต้องพระพุทธเจ้าโดยตรงจึงจะทำให้เชื่อและเลื่อมใสได้”

    พบพระนิพพานครั้งแรก
    เมื่อไปเฝ้าสมเด็จพระพุทธกัสสป ท่านก็เตือนเรื่องใช้ญาณและให้หมั่นขึ้นไปเพราะเวลานี้ขาดเฝ้ามานาน การเฝ้าท่านมีประโยชน์จากการได้รับพระพุทธบัญชา บอกให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้แล้วเอามาแนะนำต่อๆ ไป ก็รู้สึกว่ามีประโยชน์มาก

    เมื่อพระองค์ทรงตักเตือนพอสมควรแล้วก็ทรงมีพระพุทธบัญชาให้ไปที่อยู่โดยมีพระมหากัจจายนะ พระอาจารย์เป็นผู้ควบคุม เมื่อจะเข้าประตูวิมานอาตมาเห็นยักษ์ ๔ ตนยืนอยู่ที่ด้านนอกประตูเป็นปกติ ยักษ์พวกนี้เป็นยักษ์อนาคามี เป็นลูกเป็นหลานเก่า พอเห็นเข้าเขาก็ดีใจ พอเข้าประตูไปด้านในมีพรหม ๔ ท่าน เป็นพรหมอนาคามีเหมือนกันเป็นยามด้านใน

    เมื่อสนทนาปราศรัยกันตามสมควรแล้วก็เดินเข้าสู่สถานที่อยู่ พอไปถึงหอระฆังหน้าที่อาศัยก็จำได้ว่า เมื่อตายครั้งหลังในชาตินี้มาตรงนี้และพบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

    ท่านได้ตรัสว่า “เธอคิดไหมว่าชาตินี้เธอจะมาพระนิพพานได้” ได้กราบทูลว่า “ไม่เคยคิดว่าจะมาได้” ท่านทรงถามว่า “เพราะอะไรจึงคิดอย่างนั้น” ได้กราบทูลท่านว่า “วิปัสสนาอ่อนมากและสนใจน้อย” ท่านถามว่า “เธอทราบไหมว่านิพพานอยู่ไหน”

    กราบทูลท่านว่า “ไม่ทราบ” ท่านตรัสว่า “นี่ตรงนี้เขาเรียกอะไร” กราบทูลท่านว่า “ไม่ทราบ” ท่านถามว่า “เทวดาและพรหมทุกชั้นเธอรู้จักหมดไหม” กราบทูลท่านว่า “รู้จักหมด” ท่านถามว่า “ที่ตรงนี้เป็นแดนของเทวดาหรือพรหม” กราบทูลว่า “ไม่ใช่เทวดาและพรหมทั้งสองอย่างเพราะพรหมมีชั้นที่ ๑๖ เป็นชั้นสูงสุดก็ผ่านมาแล้ว”

    ท่านตรัสว่า “ที่ตรงนี้เขาเรียกว่า นิพพาน” จึงกราบทูลท่านว่า “ตามที่เรียนมานั้นครูบาอาจารย์ท่านสอนว่านิพพานไม่มีรูป ไม่มีที่อยู่ ไม่มีอะไรปรากฏ” ท่านทรงแย้มพระโอษฐ์ตรัสว่า “เธอมาถึงนิพพานแล้วยังสงสัย”

    เป็นอันว่าในที่สุดท่านรับรองว่า นิพพานมีสถานที่ มีรูป มีความสุข เป็นสถานที่มีอารมณ์ปกติ ไม่มีอารมณ์ความรัก โลภ โกรธ หลง และอารมณ์ขัดข้องใดๆ เลย เป็นอารมณ์ว่างสบายด้วยประการทั้งปวง ไม่มีห่วง ไม่มีกังวล ขั้นสุดท้ายท่านก็นิรมิตไม้ขึ้น ๑๐ ท่อน

    ท่านบอกว่า “คนที่จะมานิพพานได้จะแบกไม้นี้ไหว ถ้าแบกไม่ไหวก็จะมานิพพานไม่ได้” แล้วท่านก็เรียกพระที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ที่ตายไปแล้วมา ๙ องค์ ปรากฏว่ามี หลวงพ่อปาน เป็นองค์ที่ ๔ ทุกองค์มาถึงก็แบกไม้ขึ้นบ่าไม่มีท่าทางแสดงว่าหนักเลย เหลืออีกท่อนหนึ่ง

    ท่านตรัสว่า “ท่อนนี้เธอแบก” ตอนนั้นกำลังใจไม่มีเลย ใจมันบอกว่าไม่ไหว แต่เกรงพระบารมีก็จำต้องเข้าไปหยิบไม้ท่อนที่เหลือท่อนเดียวนั้น ตั้งท่ายักแย่ยักยันออกแรงเสียสุดแรงเกิด พอหยิบเข้าจริงไม้ท่อนนั้นไม่มีนํ้าหนักเลย มีนํ้าหนักคล้ายเศษกระดาษชิ้นเล็กๆ เท่านั้นเอง รู้สึกว่าเบาก็เลยออกเดินตามพระที่แบกก่อนไปพอเดินไปได้หน่อยเดียว

    ท่านก็เรียกให้เอาไม้มาวางที่เดิมและให้กลับมานั่งที่เก่า ท่านบอกว่า “เธอยังไปไม่ได้ วิปัสสนายังอ่อน กลับไปซ้อมวิปัสสนาให้เข้มข้นเสียก่อน เธอจะมานิพพานได้ในชาตินี้ สถานที่นี้เป็นที่อยู่ของเธอ เกิดมีขึ้นได้เพราะอาศัยอานิสงส์ที่สร้างวิหารทาน (สร้างที่อยู่อาศัยเป็นสาธารณะประโยชน์)

    การป่วยคราวนั้นมีอารมณ์ตัดหมด คิดว่าเราไม่มีทรัพย์สิน ไม่มีญาติ ร่างกายไม่ใช่ของเรา ห้ามคนที่มาเยี่ยมพูดถึงทรัพย์สินและเรื่องอื่นทั้งหมด พูดได้อย่างเดียวธรรมปฏิบัติ ตอนนั้นก็ไม่ทราบว่าอารมณ์อย่างนั้นเป็นอารมณ์สังขารุเปกขาญาณและเป็นอารมณ์ของพระที่เข้าถึงพระนิพพาน ทำส่งเดชแต่ด้วยใจจริง

    เข้าทำนองที่ท่านกล่าวว่าบังเอิญขี้ตรงร่อง เมื่อหวนคิดถึงความหลังครั้งนั้นขึ้นมาแล้ว ก็เลยไม่นั่งตรงที่พระพุทธเจ้าท่านนั่ง จึงนั่งลงข้างล่างกราบตรงนั้นสามครั้ง พอเงยหน้าขึ้นเห็นท่านมานั่งที่เดิมอีกและก็ตรัสว่า “วีระ เธอคิดถึงความหลังหรือ” จึงกราบทูลว่า “คิดอย่างนั้นพระเจ้าข้า”

    พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วก็ตรัสว่า “ดีแล้ว ต่อไปนี้จงซ้อมญาณให้คล่องตามเดิมนะ จะได้เป็นที่อาศัยของศิษย์” พระองค์ทรงชี้ให้ดูสถานที่ว่าหลังนี้เป็นที่อยู่ของเธอเป็นแก้วมณีโชติ หลังนี้เป็นที่ประชุม หลังนี้เป็นที่พักการประชุมเป็นแก้วมณีโชติเหมือนกัน คงจะสงสัยว่าทำไมจึงเรียกว่าแก้วมณีโชติ เรียกแก้วมณีเฉยๆ ไม่ได้หรือ มันไม่เหมือนกัน แก้วมณีธรรมดามีสีใสแต่ไม่สว่าง มีแต่รัศมีออกเมื่อต้องแสงอาทิตย์หรือแสงจันทร์ ส่วนแก้วมณีโชตินั้นมีแสงสว่างออกมาเองเหมือนโคมดวงใหญ่แต่สวยสดงดงามมาก

    เมื่อท่านทรงตักเตือนหมดเรื่อง อาตมาก็กราบทูลถามว่า “ท่านเทพประสิทธินายกอยู่ที่ไหน” ท่านก็ทรงชี้ให้ดูทางทิศตะวันออกของที่อยู่ว่า “นี่วิมานของเธอ ต่อไปนั่นเป็นสระโบกขรณีของเธอ ถัดสระไปเป็นวิมานของนนทาเทวี ห่างจากวิมานนนทาเทวีไปสามคาวุตก็ถึงวิมานของท่านเทพประสิทธินายก”

    ขณะนั้นท่านนั่งอยู่บนที่ของท่าน มองตามไปเห็นท่านนั่งสุกปลั่งคล้ายแสงอาทิตย์ วิมานเป็นแก้วมณีล้วน ทูลถามท่านว่า “สามคาวุตของนิพพาน เทียบระยะความไกลของเมืองมนุษย์ได้เท่าไร” ท่านบอกว่า “ประมาณแสนโยชน์” พอตรัสเท่านี้ก็ได้ยินเสียงนาฬิกาที่กุฏิให้สัญญาณบอกเวลา ๒๑.๐๐ น. พระองค์ตรัสว่า “ได้เวลาแล้ว ลูกศิษย์จะทรมานตัวเกินไป เธอกลับได้ อีก ๑๐ ปีเธอมีสิทธิ์มาที่อยู่ของเธอได้ตามความต้องการ แต่จงคิดไว้เสมอว่าเราจะต้องตายเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้หรืออีกประเดี๋ยวหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อความไม่ประมาทในชีวิต

    ก่อนเธอจะมาลูกศิษย์เขาจะทำตนเป็นคนเข้าถึงธรรมได้หลายคน เมื่อกลับไปพรุ่งนี้เธอเขียนเล่าเรื่องนี้ให้อ๋อย (คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) เขาอ่าน

    อ๋อยเขาเป็นคนมีศรัทธาจริตและพุทธจริต คือมีศรัทธาแต่เชื่อเหตุผลไม่งมงาย เล่าให้เขาฟัง เขาจะได้เร็วกว่าเดิม” และพระองค์ก็เสด็จกลับ อาตมาก็กลับลงมา..”
     
  19. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๘.เทวดาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาขออาตมาให้บวชเณรให้เพราะขาดอานิสงส์บวชเณร

    “..ผีที่มาขอส่วนมากต้องการเหมือนกันคือ ขอพระพุทธรูปหนึ่งองค์ หน้าตักให้เกิน ๔ นิ้วขึ้นไป ผ้าผืนหนึ่งหรือผ้าไตรผืนหนึ่งก็ได้ และก็มีอาหารเล็กน้อย จะเป็นอาหารแห้งหรืออาหารสดก็ได้ทั้งนั้น

    ต่อมามีแปลกอยู่รายเดียว ขอให้บวชเณร คนที่มาขอเป็นเทวดาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จึงบอกว่า “ฉันจะบวชพระให้เอาไหม” ท่านเทวดาบอกว่า “ไม่เอา” ถามว่า “ทำไม”

    ตอบว่า “อานิสงส์บวชพระของผมมีแล้ว ผมขาดอานิสงส์บวชเณร” ถามว่า “อยู่ที่ไหน” ท่านเทวดาพาไปวิมาน ถามว่า “มีวิมานสวยขนาดนี้ยังจะขอบวชเณรอีกหรือ” เขาก็ชี้ให้ดูวิมานข้างๆ ซึ่งสวยกว่าวิมานของเขา เพราะวิมานที่สวยกว่าเขามีอานิสงส์บวชพระ บวชเณร และสังฆทาน แต่ผมขาดอานิสงส์บวชเณรจึงสู้เขาไม่ได้

    เป็นอันว่าเทวดายังมาขอเลย ไม่ใช่แต่ขอเฉพาะผีที่ยากจนเสมอไป ขนาดมีวิมานแพรวพราวยังมาขอ ก็เลยจัดการบวชเณรให้..”
     
  20. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๙.หลวงพ่อตอบคำถามศิษย์ที่ถามถึงผู้ที่ตายไปแล้วไปเกิดเป็นอะไร (เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗)

    “..ต่อไปนี้เป็นเรื่องของท่านผู้มรณภาพ เวลานี้เป็นเวลา ๔.๐๐ น. ตรง คืนนี้ตื่นตั้งแต่ ๒.๓๐น. ก็เป็นอันว่าหลับไม่ได้จนกว่าจะสว่าง และก็ต้องไม่หลับเพราะกิจพึงทำมันยังมี อาการเพลียไม่มีไม่ต้องเป็นห่วง ขอท่านทั้งหลายไม่ต้องเป็นห่วงที่จะคิดว่าเพลียหรือทรมานกาย เพราะนอนเต็มอิ่ม ตื่นมาก็อิ่มเต็มที่ เรื่องตอบคำถามมีดังต่อไปนี้

    รายที่ ๑ นายแพทย์สวัสดิ์ บุณยกุล ถามถึงคุณแม่แก้ว บุณยกุล ซึ่งเป็นมารดาเขียนมา บอกว่า ค่อนข้างท้วม ผิวดำ
    หลวงพ่อ : แม่แก้วมาแล้วหรือยัง ไปตามมาให้ด้วยสิ ไปตามมาทุกคนที่เขาเขียนชื่อมา เขา จะได้ทราบ เอ้ามาแล้วนะ เป็นไงแม่แก้ว เอ๊ะนี่เขาว่าดำนี่ ทำไม่ไม่ดำล่ะ

    แม่แก้ว : เขาว่าดำ

    หลวงพ่อ : อ๋อใช่ เอาล่ะ อยู่ที่ไหน?

    แม่แก้ว : มีความสุขดี

    หลวงพ่อ : เอ้าเป็นอันว่าท่านนายแพทย์สวัสดิ์ บุณยกุล แม่แก้วบอกว่ามีความสุขดี เห็นเขียน มาว่าผิวดำ แต่แม่แก้วมาไม่ดำ ขาว ท้วมหน่อยๆ สวย หน้าตาสดชื่น ถ้าลูกจะทำบุญให้ด้วยความกตัญญูกตเวที แม่แก้วต้องการอะไร

    แม่แก้ว : บอกว่าสบายแล้ว อะไรก็ได้ แต่ว่าถ้าลูกจะทำบุญให้ก็ทำบุญให้เป็นบุญแก่ตัวเอง แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ด้วยความกตัญญู มีจิตประสงค์อยู่ ให้ลูกสร้างความดีให้เป็นปกติ

    หลวงพ่อ : ท่านนายแพทย์สวัสดิ์ บุณยกุล โปรดทราบว่าเวลานี้มารดาของท่านมีความสุขแล้วท่านจะทำอะไรก็ได้ถ้าหวังในความกตัญญูรู้คุณของท่าน แม่แก้วบอกว่าให้ทำตามใจปรารถนา ทั้งนี้เพื่อเป็นบุญของท่านด้วยและเพื่อเป็นความกตัญญูกตเวทีด้วย เป็นอันว่าเรื่อง ของท่านนายแพทย์สวัสดิ์หมดไปหรือแม่แก้วหมดไป สวัสดีแม่แก้วไปหรืออยู่ไหนยังไม่ได้บอกเขาเลย

    แม่แก้ว : ดาวดึงส์

    หลวงพ่อ : แล้วก็ไปเพราะบุญอะไร จะได้บอกให้ลูกเขาทราบ

    แม่แก้ว : บุญเพราะสร้างวิหารทาน ได้บุญเพราะนึกถึงพระ ใส่บาตร ทำบุญอยู่เสมอ เวลา ป่วยจิตใจน้อมถึงกุศล คิดว่าตนต้องตาย จัดเป็นมรณานุสติกรรมฐาน และก็มีความไม่ประมาท คิดถึงบุญเป็นเหตุให้เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

    หลวงพ่อ : ไปละหรือ สวัสดีจ้ะ


    รายที่ ๒ นางเชื้อ เนตรพันธุ์ อายุ ๖๕ ปี ตายเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๑๖ รูปร่างอ้วนขาว สันทัด เป็นมารดาของนางอัจฉรามณี

    หลวงพ่อ : แม่เชื้อมาแล้วรึ ทำบุญอะไรไว้นี่

    แม่เชื้อ : ไหว้พระ

    หลวงพ่อ : คนแก่นี่ไหว้พระเป็นแฮะ ด่าเขามากไหมล่ะ

    แม่เชื้อ : ไม่มาก

    หลวงพ่อ : ดีแล้ว เป็นอะไรตาย?

    แม่เชื้อ : ไม่หายใจตาย

    หลวงพ่อ : ไม่เห็นเขาบอกนี่ว่าเป็นอะไรตาย เขาบอกไม่หายใจตาย ฉันก็เหมือนกัน ไอ้โรคระยำนี่มันเป็นทุกคนแหละ ผีพูดถูกจ้ะ เออนี่เขาถามมา เขาเป็นห่วงนะ เวลานี้อยู่ที่ไหนล่ะ บอกตรงๆ นะ อยู่นรกขุมไหนล่ะ

    แม่เชื้อ : ไม่อยู่นรก

    หลวงพ่อ : นึกว่าอยู่จะให้ลูกเขาตามไปด้วย เดี๋ยวบอกซิ ไอ้ตอนที่จะตายน่ะ นึกอย่างไรมันถึงได้ไม่ลงนรก

    แม่เชื้อ : เวลาป่วยตอนต้น นึกมั่งไม่นึกมั่งเรื่องบุญ

    หลวงพ่อ : เออดีเหมือนกันนี่ มันไม่ลากลงนรกไปเสียได้ก็บุญตัวแล้ว นึกไว้เสมอไม่ได้รึ?

    แม่เชื้อ : คิดว่าจะยังไม่ตาย

    หลวงพ่อ : ดีแม่คุณ แล้วตอนหลังเป็นอย่างไรล่ะ

    แม่เชื้อ : อีตอนหลังป่วยมาก ก็ไม่มากนักหรอก อาการมันหนักขึ้นมาก็เลยคิดว่า คราวนี้คงจะไม่รอดเสียแล้วและมีภาพพระปรากฏ เห็นพระพุทธเจ้าเป็นรูปพระสงฆ์ลอยผ่านมาให้เห็น ๒ ครั้ง นับตั้งแต่เห็นครั้งแรกจิตใจก็ถือพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ท่านสวย

    หลวงพ่อ : เออดีมาก ตอนนั้นนึกถึงความดีของพระพุทธเจ้าหรือความสวยของท่าน

    แม่เชื้อ : ท่านสวยจับใจ

    หลวงพ่อ : ฮึ แอบไปรักพระพุทธเจ้าเข้าแล้วซี

    แม่เชื้อ : เปล่า ท่านสวยจับใจทำให้จิตเป็นกุศล อิ่มใจ ชื่นใจ เมื่อเวลาใกล้จะตายปรากฏว่าเห็นท่านมายืนอยู่ทางขวาใกล้ศีรษะ จีวรเกือบจะถูกหน้า ใจสบาย หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าไอ้จิตวิญญาณหรือกายภายในมันออกมาเมื่อไหร่ เมื่อพลัดออกไปจากร่างแล้วก็ตามท่านไป รู้สึกว่าตามท่านไป ท่านเดินนำหน้าแล้วก็ตามท่านไป พอขึ้นไปใกล้พระจุฬามณี เดินเลยพระจุฬามณีขึ้นไปนิดหนึ่ง

    หลวงพ่อ : ทำภาพให้ถูกนะ ถ้าโกหกเขาละฉันลงนรก แต่แกต้องลงไปก่อนนะ ฉันถามแม่เชื้อนะ ฉันไม่ได้พยากรณ์ เอ้าเดินไปถึงตรงนั้นหรือ

    แม่เชื้อ : เดินไปถึงด้านเหนือของพระจุฬามณี เป็นสถานที่โอ่โถงมีความสวยสดงดงามเป็นวิมานอยู่สบาย

    หลวงพ่อ : สบายแล้วก็แล้วไป เป็นอันว่าอย่างนี้เขาเรียกว่า ตายอยู่กับพุทธานุสติกรรมฐาน นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ไปสวรรค์ ดีแล้วอย่าประมาทนะ ไอ้กรรมที่ทำความชั่วไว้แล้วมันจะลากลงนรก ถ้าประมาทเมื่อไหร่ละก็เสร็จเมื่อนั้น จำไว้ให้ดีนะ

    ทำบุญต่อไป เกื้อกูลต่อไป นึกถึงพระพุทธเจ้าไว้ จะได้เข้าถึงพระโสดาบัน อย่าคิดว่าเป็นนางฟ้าเป็นเทวดาสบาย ดูตัวอย่างเทวดาที่จุติลงมาต่อหน้าต่อตา ลงมาแล้ว เลยไปนรกไม่มีประโยชน์ อย่ามีความประมาท อย่านึกว่าเทวดาวิเศษ หนักๆ เข้าเทวดาจะกลายเป็นเศษ คือ เศษของสัตว์นรก ไม่มีประโยชน์ เอ้าไปแล้วก็ไป ฉันก็จะได้พักบ้าง


    รายที่ ๓ นายวิสัย อนากูล “อนากูล” แปลว่า “ไม่สกปรก” เออนี่ไม่สกปรกมีหรือ รูปร่างสันทัด ผิวขาว ตายเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ สองคนนี่กวดกันจี๋เทียวนี่ บิดามารดาของนายแพทย์สมรัตน์ ระนองธานี

    หลวงพ่อ : มาหรือยังล่ะเตี่ย เอ้าอาศัยความดีอะไรจึงไม่ลงนรก

    นายวิสัย : มีเมตตา อารมณ์มีเมตตาเป็นพื้นฐาน แต่ว่าชาวบ้านจะเห็นหรือไม่เห็นก็ช่าง อาการของคนที่มีเมตตา ไม่จำเป็นต้องยิ้มเสมอ นี่มันเรื่องของใจ

    หลวงพ่อ : อ๋อ มีเมตตาเป็นพื้นฐาน ก็มีพรหมวิหาร ๔ น่ะซี สร้างความระยำไว้บ้างหรือเปล่า

    นายวิสัย : เอาเยอะเหมือนกัน

    หลวงพ่อ : ดีเอาเยอะเหมือนกัน คำว่าเยอะของผีหมายความว่าทำไม่ดีนิดหน่อย ก็ถือว่ามีใช่ไหม

    นายวิสัย : ใช่

    หลวงพ่อ : ไปอยู่ที่ไหนล่ะ

    นายวิสัย : ไม่ไกล

    หลวงพ่อ : ตอบอย่างนี้ได้เรอะ สำหรับฉันไม่มีอะไรไกล ไกลอย่างไรนึกปั๊ปก็ถึงปุ๊ป แต่ชาวบ้านน่ะซี ลูกหลานจะได้เอาอย่าง จะได้รู้จักวิธี

    นายวิสัย : เจริญเมตตาบารมีเข้าไว้ แล้วก็จะไม่มีทางลงนรก บาปกรรมทั้งหลายที่ได้ทำไว้ แล้วจงอย่าตามไปถึง

    หลวงพ่อ : เออดีเหมือนกัน มีจิตเมตตาเข้าไว้เป็นปกติ พ่อคุณมีจิตเมตตา ท่านก็มีศีลครบถ้วน น่ะซีมันเป็น พรหมวิหาร ๔ และแถมมีฌานสมาบัติสมบูรณ์ จะเจริญวิปัสสนาญาณก็เป็นพระอริยเจ้าได้เร็ว จะไปยากอะไรพ่อเทวดา พูดอย่างนี้มันก็ถูกน่ะซี

    นายวิสัย : บอกว่าพูดอย่างเทวดา

    หลวงพ่อ : แล้วนี่อาการความชั่วต่างๆ ไม่ได้ตามไปถึงเลยใช่ไหม

    นายวิสัย : อ๋อ ตอนต้นนึกเหมือนกัน พอนึกแล้วก็ปรากฏว่าใจมันไม่สบาย ก็คิดเข้าไปหาความดี คือความดีของพระพุทธเจ้า ตั้งใจคิดว่า กรรมใดที่ทำมาแล้วเป็นความผิดขอให้อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน

    และต่อจากนั้นไปก็อาศัยอารมณ์เมตตาประจำใจ ใจมันก็อ่อนโยน มีความสดชื่น นึกถึงความดี นึกถึงบารมีพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ เทวดา พ่อแม่เสร็จ ว่าดะเลย แล้วก็ตายสบาย ตายแล้วก็สบาย

    หลวงพ่อ : เออดีมาก อยู่ที่ไหนพ่อเทวดา ไม่รู้จักบอกเล่าพ่อคุณ

    นายวิสัย : บอกไม่ได้

    หลวงพ่อ : ทำไม่ล่ะ มันจะต้องย้ายบ้านหรือ

    นายวิสัย : จริงๆ เวลานี้อยู่กามาวจรสวรรค์เพราะอาศัยเมตตาบารมีเป็นสำคัญ พ้นจากกามาวจรสวรรค์ต้องไปพรหม

    หลวงพ่อ : เรื่องของคนนี่ดูจริยาภายนอกนี่ดูกันไม่ได้ ไม่มีใครเห็นใจใครอย่างท่านสุปฏิฐิตเทพบุตร เลวแสนเลวตอนเป็นมนุษย์ แต่ตอนปลายก่อนจะตายนึกถึงพระพุทธเจ้าหน่อยเดียว เป็นเทวดา และจากเป็นเทวดาแล้วฟังเทศน์พระพุทธเจ้า อุณหิสวิชัยสูตร เป็นพระโสดาบัน ขอบใจนะ แน่จริงๆ ใช้ได้ๆ ไม่เสียทีเกิด

    อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่เสียรองเท้าเปล่า อ้าว ชาวบ้านเขาบอกว่าไม่เสียข้าวเปล่า สวมรองเท้านี่ไม่เสียรองเท้าเปล่า เราเดินไม่เหยียบดินไม่สกปรก ถ้าตายแล้วลงนรก ก็เรียกว่ามันสกปรกเหลือดี ไอ้ เชื้อโรคมันซึมเข้ามาทางรองเท้าก็แย่ เอ้า แม่ซิวหยิน อยู่ที่ไหน

    นางซิวหยิน: ทำท่าไหว้ให้ดู

    หลวงพ่อ : อ๋อ ไหว้เก่งนี่ ไอ้คนไหว้เก่งนี่มันจะไปนรกได้อย่างไร ดีมากๆ ทีหลังพูด

    นางซิวหยิน: ต้องทำท่าไหว้ให้ดู ไม่เช่นนั้นจะไม่เข้าใจ

    หลวงพ่อ : ดีไหว้เก่ง อยู่ด้วยกันกับตาเฒ่า (นายวิสัย) หรือเปล่านี่

    นางซิวหยิน : เปล่า

    หลวงพ่อ : ทำไมแยกเมืองกันเสียล่ะ?

    นางซิวหยิน: ไปตามกำลังใจของบุญ

    หลวงพ่อ : อยู่กับใครล่ะ?

    นางซิวหยิน: ไปเป็นบริวารของ ท่านพรรณวดีศรีโสภาค

    หลวงพ่อ : สบายไหม

    นางซิวหยิน: สบาย

    หลวงพ่อ : ท่านพรรณวดีศรีโสภาคนี่ใจดีหรือเปล่า

    นางซิวหยิน: ท่านใจดีมาก แต่ทว่าท่านเด็ดขาด พูดยิ้มกับใคร ทุกคนกลัวยิ้ม

    หลวงพ่อ : ก็ดีแล้วนี่ เออ ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ

    นางซิวหยิน: ท่านมีระเบียบวินัยดีมาก ท่านเคารพในพระอินทร์

    หลวงพ่อ : “ท่านพระอินทร์” แปลว่า “ท่านทรงความประเสริฐมากและก็ทรงความ เป็นใหญ่ หรือเป็นใหญ่ในความประเสริฐ” พระอินทร์ท่านใจดีไหม?

    นางซิวหยิน: ใจดีมาก

    หลวงพ่อ : เฝ้าเสมอหรือเปล่า?

    นางซิวหยิน: ไม่มีเวรเฝ้า แต่ว่าได้ฟังโอวาทท่านอยู่เสมอ เห็นท่านเสมอ เห็นทีไรท่านยิ้มตลอด เวลา

    หลวงพ่อ : เวลาท่านอยู่บนสวรรค์ ท่านบ่นถึงเมืองมนุษย์บ้างไหม โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยนี่

    นางซิวหยิน: บ่นถึง

    หลวงพ่อ : อ้าว ทีหลังจำไว้นะ จะมาเมืองมนุษย์ละก็ต้องถามท่านด้วย ไม่ถามท่านจะบอกอย่างไร ล่ะ รายการนี้ผ่านไป ขอยุตินะ..”
     

แชร์หน้านี้

Loading...