ตายแล้วไม่สูญตายแล้วไปหน เล่าโดยหลวงพ่อ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย mahaasia, 16 พฤศจิกายน 2007.

  1. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    คำบอกเล่า<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>

    <o:p></o:p>
    เนื่องในงานทำบุญวันคล้ายวันเกิดของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ในปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๔๔ เพื่อเป็นการระลึกถึงพระคุณความดีของหลวงพ่อ ข้าพเจ้าและคณะศิษย์หลวงพ่อได้จัดพิมพ์หนังสือเรื่อง
     
  2. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นเปรต

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p> </o:p>
    เรื่องที่ ๑๕๒

    พระสารีบุตรช่วยมารดาในอดีตที่ผ่านมาแล้ว ๑๐๐ ชาติได้ตายจากคนไปเกิดเป็นเปรต

    "..เรื่องพระสารีบุตร จากพระไตรปิฎกเล่ม ๒๖ หน้า ๑๖๑ เมื่อพระสารีบุตรท่านเจริญพระกรรมฐานเป็นที่สบายอารมณ์แล้ว ท่านไปแดนเปรตพบหญิงเปรตคนหนึ่งผอมมีแต่ซี่โครง เปลือยกายมีเส้นเอ็นสะพรั่ง ท่านจึงถามว่า "เธอเป็นใคร" การถามแบบนี้แสดงว่าท่านทราบว่าเปรตนั้นเป็นใคร แต่ระเบียบของพระรู้แล้วต้องทำเป็นไม่รู้ ระเบียบนี้พระพุทธเจ้าทรงใช้เป็นปกติ เปรตตอบว่า "เมื่อก่อนในชาติที่ผ่านมาแล้ว ๑๐๐ ชาติ ฉันเป็นมารดาของท่าน เวลานี้ฉันหิวมาก มีความกระหายในอาหาร เมื่อความหิวเกิดขึ้นก็กินนํ้าลาย เสมหะ นํ้ามูก ที่เขาถ่มทิ้ง กินไขมันเหลวจากซากศพที่เขาเผา กินโลหิตของหญิงทั้งหลายที่คลอดบุตร เป็นต้น ลูกเอ๋ย ลูกจงให้ทานอุทิศส่วนกุศลให้แม่บ้าง แม่จะได้เลิกหิวเสียที"<o:p></o:p>
    พระสารีบุตรท่านตั้งใจจะช่วยมารดา เมื่อท่านรับรองว่าจะช่วยแล้วท่านก็มาปรึกษากับ พระโมคคัลลาน์ พระอนุรุทธ พระกับปินะ หรือที่ชาวบ้านหรือพระนักเทศน์เรียกว่า "พระกบิน" ท่านทั้งหมดช่วยกันสร้างกุฏิ ๔ หลังใน ๔ ทิศ (สร้างกุฏิเพิงหมาแหงน) และถวายข้าวหยิบมือหนึ่ง กับข้าวหยิบมือหนึ่ง ใส่ใบไม้ และนํ้าหนึ่งฝาบาตร ผ้ากว้างคืบ ยาวคืบ หนึ่งผืน ถวายพระสงฆ์เป็นสังฆทานและวิหารทาน แล้วร่วมกันอุทิศส่วนกุศลให้มารดาพระสารีบุตร (มารดาคนนี้เคยเป็นมารดาพระสารีบุตรเมื่อ ๑๐๐ ชาติที่แล้วมา ไม่ใช่มารดาในชาติปัจจุบันของท่านซึ่งก่อนตายท่านเป็นพระโสดาบัน) <o:p></o:p>
    เมื่ออุทิศส่วนกุศลให้แล้ว อานิสงส์บังเกิดดังนี้<o:p></o:p>
    ถวายข้าวและนํ้า ทำให้เธอได้ร่างกายที่เป็นทิพย์<o:p></o:p>
    ถวายผ้าคืบยาวคืบ เป็นเหตุให้เธอได้เครื่องประดับที่เป็นทิพย์<o:p></o:p>
    ถวายกุฏิเพิงหมาแหงน เป็นเหตุให้เธอได้วิมานที่สวยงามมาก<o:p></o:p>
    ถวายนํ้า ๑ ฝาบาตร เป็นเหตุให้เธอได้สระโบกขรณี<o:p></o:p>
    เมื่อยามราตรีเธอก็ปรากฏกายพร้อมทั้งวิมานและสระโบกขรณีให้พระโมคคัลลาน์เห็น <o:p></o:p>
    ท่านก็ถามว่า "เป็นใคร" <o:p></o:p>
    เธอตอบว่า "ฉันคือมารดาพระสารีบุตรที่เป็นเปรต ที่พระสารีบุตรถวายสังฆทานและพระคุณเจ้าช่วยกันสร้างกุฏิถวายสงฆ์แล้วอุทิศส่วนกุศลให้"<o:p></o:p>
    แสดงว่าคนฉลาดรู้จักทำบุญไม่ต้องสิ้นเปลืองมาก ก็ได้รับอานิสงส์สูง เมื่อให้เขา เขาได้รับ เราผู้ทำก็มีผลเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อให้ใครก็ตามผู้รับก็มีผลไม่บกพร่อง.."<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>

    <!-- text below generated by server. PLEASE REMOVE --></OBJECT></LAYER>
    </SPAN></STYLE></NOSCRIPT></TABLE></SCRIPT></APPLET><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc1.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://geocities.com/js_source/geov2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript>geovisit();</SCRIPT>[​IMG] <NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT>[​IMG]
     
  3. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p> </o:p>
    เรื่องที่ ๑๒๘

    ตายจากพระสงฆ์ไปเกิดเป็นพญานาคมีนามว่า "พญาเอรกปัตตนาคราช"

    "..ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "สมเด็จพระพุทธกัสสป" ได้มีภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาอยู่ในถํ้าติดชายทะเล คือภูเขาชายทะเล เวลานั้นคนมีอายุถึง ๔๐,๐๐๐ ปี ท่านบวชเป็นพระจำศีลภาวนานานถึง ๒๐,๐๐๐ ปี ยังเป็นพระปุถุชนคนธรรมดาที่เรียกว่า "สมมุติสงฆ์" <o:p></o:p>
    วันหนึ่งท่านอาบนํ้าอยู่ชายทะเล มีเรือสำเภาลำหนึ่งแล่นมาช้าๆ เพราะลมอ่อน เฉียดเข้ามาใกล้ที่ท่านอาบนํ้า ท่านเห็นตะไคร่นํ้าจับข้างเรืออยู่มันยาวมาก เรือเดินทะเลต้องเดินทางกันเป็นเดือนๆ ตะไคร่ก็จับมาก ท่านก็เลยนึกสนุกขึ้นมาโผกายไปจับตะไคร่นํ้า ปล่อยให้เรือลากไปตามอัธยาศัย ร่างกายของท่านหนัก ตะไคร่ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้จึงหลุดออกมา ตัวท่านก็หลุดออกมาจากเรือแต่ไม่เป็นไรเพราะนํ้าตื้น<o:p></o:p>
    การพรากของเขียว คือการทำให้ตะไคร่นํ้าหลุดออกจากที่เดิม พระพุทธเจ้าทรงปรับเป็นอาบัติปาจิตตีย์ แต่มีโทษไม่เหมือนกับอาบัติปาจิตตีย์การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นลงนรก แต่ปาจิตตีย์การพรากของเขียวให้พลัดพรากจากที่เดิมของท่านก็คือ ท่านเป็นพระอยู่องค์เดียวจึงไม่มีการแสดงอาบัติ คือไม่มีโอกาสระงับโทษนี้ เวลาตายอาบัติก็คาใจนิดเดียวเท่านี้ การจำศีลภาวนาของท่านไม่มีผลให้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาหรือพรหม แต่ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นพญานาค ด้วยอำนาจแห่งการบำเพ็ญบารมีมานานถึง ๒๐,๐๐๐ ปี และมีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงมีสภาวะเป็นทิพย์มีความเป็นอยู่คล้ายเทวดา มีที่อยู่เป็นทิพย์ มีเครื่องบริโภคเป็นทิพย์ มีสมบัติอันเป็นทิพย์แต่ทว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานมีนามว่า "พญาเอรกปัตตนาคราช" ก็เพราะว่ามีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนนาคธรรมดา มีสภาพเหมือนตะไคร่นํ้าคือ ทั้งตัวรุ่มร่ามนุงนังไปหมด เหมือนตะไคร่นํ้าลอยนํ้า<o:p></o:p>
    ต่อมาพญาเอรกปัตตนาคราชก็ได้ นางนาควิกา คือนาคนารีอีกตัวหนึ่งมาเป็นคู่ครอง มีลูกสาวมีนามว่า "นางนาคมาณวิกา" ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันทรงอุบัติขึ้น พญานาคตนนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นนาคแต่มีอารมณ์ใจเป็นทิพย์ มีความคิดอยู่เสมอว่าเมื่อไรหนอพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่จะทรงอุบัติขึ้น ท่านมีอายุนานเหลือเกินเพราะท่านเกิดเป็นนาคในสมัยสมเด็จพระพุทธกัสสป และพระองค์ทรงนิพพานไปแล้ว สิ้นเวลาเป็นล้านๆ ปี ท่านพญานาคตนนี้ก็ยังมีอายุยืนเป็นพญานาคอยู่ ถ้าหากว่าท่านตายจากความเป็นนาค ความดีเดิมปรากฏก็จะบันดาลให้ท่านเป็นเทวดาได้ แต่ทว่าอายุของท่านมันนานเกินไป แต่จิตใจก็ยังน้อมไปด้วยกุศล <o:p></o:p>
    วันหนึ่งท่านเกิดไม่สบายใจคิดว่า องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงอุบัติขึ้นในโลกแล้วหรือยัง ทนไม่ไหวจึงได้เรียกลูกสาวคือ นางนาคมาณวิกาให้แปลงเป็นมนุษย์สาวสวย ตัวท่านเองก็แผ่พังพานให้ลูกสาวยืนอยู่บนพังพานของท่าน แล้วก็ร้องเพลงเป็นพุทธภาษิต ที่ท่านแต่งขึ้นโดยตั้งจิตคิดว่า เพลงนี้มีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะทรงแก้ได้ คนธรรมดาไม่สามารถจะแก้ได้ เพลงของท่านเป็นพุทธภาษิตที่ สมเด็จพระพุทธกัสสป ตรัสไว้ ท่านจำได้เพราะจิตเป็นทิพย์<o:p></o:p>
    เมื่อท่านแผ่พังพานลอยขึ้นมาในน่านนํ้า นางนาคมาณวิกาก็ร้องเพลงที่พ่อแต่งให้ โดยมีสัญญาว่า "ถ้าใครร้องเพลงแก้เพลงนี้ได้ เราจะยอมเป็นภรรยา" รูปร่างหน้าตาของลูกสาวท่านสวยมาก ไม่ว่าใครๆ ที่ทราบข่าวก็พากันไปร้องเพลงแก้ เมื่อร้องเพลงแก้แล้วนางก็ตอบว่า "ไม่ถูก" ท่านพ่อก็เป็นพยานบอกว่า "ยังไม่ถูก" ถ้าร้องเพลงแก้ถูกเมื่อไรก็ยกลูกสาวของเราให้เป็นภรรยาทันที เพราะสภาวะท่านเป็นทิพย์ ท่านก็พูดภาษาคน<o:p></o:p>
    อุตตรมาณพบรรลุพระโสดาบัน

    ต่อมาองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเห็นว่า อุตตรมาณพ ซึ่งเป็นคู่ครองกันมากับนางนาคมาณวิกา จะได้เป็นพระโสดาบัน เวลานั้นอุตตรมาณพได้ยินข่าวเขาลือว่า นางนาคมาณวิกามีรูปร่างหน้าตา ทรวดทรงสวยยิ่งกว่ามนุษย์ใดๆ ในโลกที่จะพึงสวยเท่า มาร้องเพลงให้คนแก้ ถ้าใครแก้ได้จะยอมเป็นภรรยา จึงได้ศึกษาว่าเพลงเขาร้องว่าอย่างไร ก็ตั้งใจจะร้องแก้ ก็เดินออกจากบ้านไป เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทราบอุปนิสัยว่าเขาจะได้ พระโสดาปัตติผล พระองค์จึงได้ไปนั่งดักกลางทาง ครั้นอุตตรมาณพเห็นพระพุทธเจ้าจึงเข้าไปถวายนมัสการเพราะรู้จัก พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสถามว่า "เธอจะไปไหน" <o:p></o:p>
    อุตตรมาณพจึงได้กราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้าจะไปร้องเพลงแก้นางนาคมาณวิกา" <o:p></o:p>
    พระพุทธเจ้าทรงทราบแล้วว่าเขาเป็นเนื้อคู่กัน เขาจะต้องเป็นคู่ครองกันแน่ และอีกประการหนึ่ง เมื่อเป็นคู่ครองกันแล้วได้ฟังเทศน์ของพระองค์ เขาจะได้บรรลุพระโสดาปัตติผล องค์สมเด็จพระทศพลทรงต้องการอย่างเดียวคือพระโสดาปัตติผล ให้เขาเจริญเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า พระองค์จึงตรัสถามอุตตรมาณพว่า "เพลงที่เธอจะไปร้องแก้ เธอจะร้องว่าอย่างไร" อุตตรมาณพจึงเล่าให้พระพุทธเจ้าฟัง พระองค์จึงได้บอกว่า "แก้แบบนี้ไม่ถูก ต้องแก้แบบนี้" แล้วพระองค์ก็ทรงผูกเพลงเป็นพุทธภาษิตไปให้ร้องเพลง และอุตตรมาณพก็ไปขอรับอาสาจะร้องเพลงแก้ นางนาคมาณวิกาก็ร้องเพลงคำถาม อุตตรมาณพก็ร้องเพลงแก้ <o:p></o:p>
    พญาเอรกปัตตนาคราชตั้งใจฟังอยู่ พอได้ฟังการร้องเพลงแก้นี้ถูกต้องตามที่ตนตั้งใจไว้ ก็คิดในใจว่าเวลานี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารจะต้องอุบัติขึ้นแล้ว ก็ดีใจจึงได้เอาพังพานตีนํ้า นํ้าเป็นคลื่นทำเอาคนที่ยืนอยู่ริมแม่นํ้า หล่นลงไปในนํ้าตามๆ กันเพราะถูกคลื่น พญาเอรกปัตตนาคราชจึงค่อยๆ เอาหางประคองคนทั้งหมดขึ้นไปบนตลิ่ง แล้วตนเองก็แปลงเป็นมนุษย์ขึ้นไปถามอุตตรมาณพว่า "เพลงที่ท่านนำมาแก้นี้ ท่านคิดได้เองหรือว่าใครสอนท่าน" อุตตรมาณพจึงตอบว่า "เพลงนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้" ท่านจึงถามว่า "เวลานี้พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน" อุตตรมาณพบอกที่แล้วก็พากันไป<o:p></o:p>
    เมื่อไปถึง พระพุทธเจ้าก็เทศน์โปรด อุตตรมาณพเป็นพระโสดาบัน นางนาคมาณวิกาและพญาเอรกปัตตนาคราชเข้าถึงพระไตรสรณคมน์ แล้วยกลูกสาวพร้อมด้วยสมบัติอันเป็นทิพย์ให้อุตตรมาณพ คือนำสมบัติส่วนนั้นมาไว้เมืองมนุษย์ จะนำไปไว้บาดาลไม่ได้ อุตตรมาณพกลายเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่า การฟังพระธรรมเทศนาคราวนั้น ถ้าพญาเอรกปัตตนาคราชไม่เป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็จะได้บรรลุพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้น ที่ฟังแล้วไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้ ก็เพราะว่าพญาเอรกปัตตนาคราชไม่ใช่คน เป็นสัตว์เดรัจฉาน จึงไม่มีโอกาสที่จะบรรลุมรรคผล<o:p></o:p>
    การที่นำเรื่องราวของพญาเอรกปัตตนาคราชมาเล่านี้ ก็เพื่อให้บรรดาพุทธบริษัทรู้จักลีลาของพระว่า พระองค์ใดท่านปฏิบัติไม่ดีเพียงแค่ความชั่วเพียงเล็กน้อยเท่านี้ ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ถ้าพระองค์มีนิสัยไม่ดี คือมีจิตอิจฉาริษยาบุคคลอื่นที่ทำตนได้ดีกว่าก็ตาม หรือเรี่ยไรทรัพย์สินทั้งหลายมาแล้ว ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์กลับเอาไปประกอบกิจเป็นประโยชน์ของตนก็ตาม ให้เป็นประโยชน์แก่พวกพ้องก็ตาม เหล่านี้เป็นปัจจัยให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นลง อเวจีมหานรก ถ้าท่านทั้งหลายไปเคารพ ปฏิบัติตามพระพวกนี้เข้า พระไปนรกท่านก็ไปนรกด้วย พระไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานท่านก็ไปเกิดด้วย เพราะนิยมตามแบบฉบับเดียวกัน.."<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>

    <!-- text below generated by server. PLEASE REMOVE --></OBJECT></LAYER>
    </SPAN></STYLE></NOSCRIPT></TABLE></SCRIPT></APPLET><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc1.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://geocities.com/js_source/geov2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript>geovisit();</SCRIPT>[​IMG] <NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT>[​IMG]
     
  4. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปพระนิพพาน

    เรื่องที่ ๔

    การบรรลุมรรคผลพระนิพพานของท่านอัญญาโกณฑัญญะกับท่านสุภัททะปริพาชก

    ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    “..เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศว่า พระองค์จะนิพพานที่ระหว่างนางรังทั้งคู่ที่เมืองกุสินารามหานคร พระอานนท์ก็ทัดทานว่า เมืองกุสินาราเป็นเมืองเล็ก การนิพพานที่นั่นจะไม่เหมาะสม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่าเหมาะ เพราะเมืองกุสินาราเคยเป็นเมืองของพระเจ้าจักรพรรดิ และคนที่เป็นจักรพรรดิในเมืองนั้นก็คือ ตถาคตฉะนั้นเมืองใดที่เคยมีจักรพรรดิ เมืองนั้นถือว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญ เมืองที่พระอานนท์ท่านเสนอก็คือเมืองราชคฤห์กับเมืองพาราณสี การที่องค์สมเด็จพระบรมครูตรัสแก่พระอานนท์ว่า เมืองกุสินารามหานครเมื่อก่อนนี้เป็นมหาประเทศ เป็นเขตที่อยู่ของพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลกนั้นเป็นเหตุอย่างหนึ่ง แต่เนื้อแท้จริงๆ การที่พระองค์จะทรงไปนิพพานที่นั่นก็เพื่อหวังจะไปโปรดบริษัทคนสุดท้าย เพราะคนที่เกิดมาจะได้บรรลุมรรคผล บางคนก็พระอรหันต์สอนได้ แต่บางท่านพระอรหันต์สอนไม่ได้เพราะวิสัยตรงเฉพาะพระพุทธเจ้า ท่านผู้นั้นคือ ท่านสุภัททะปริพาชก<O:p></O:p>
    เวลากลางคืนก่อนที่องค์สมเด็จพระบรมครูจะเข้าสู่พระนิพพานในวันรุ่งขึ้นเวลาใกล้รุ่งอรุณ ก็ปรากฏว่ามีท่านๆ หนึ่งคือ สุภัททะปริพาชก ต้องการจะเข้าไปกราบทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้า พระอานนท์ก็ทรงห้ามไว้ เพราะเวลานี้สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประชวรหนัก ท่านอย่าไปรบกวนพระองค์เลย ขณะที่พระอานนท์กำลังพูดกับท่านสุภัททะปริพาชก พระพุทธเจ้าได้ทรงสดับด้วยทิพโสตญาณ เมื่อพระองค์ทรงทราบก็บอกพระอานนท์ให้ปล่อยเข้ามา ว่าการที่ตถาคตมาที่นี่ ก็มาเพราะลูกชายคนนี้เท่านั้นจะเห็นว่าตอนก่อนจะมาพระองค์ตรัสอย่างหนึ่ง ถ้าตรัสว่าจะมาโปรดสุภัททะปริพาชก ก็คงจะต้องถูกทัดทาน พระองค์จึงให้เหตุผลคนละอย่าง เพราะพระพุทธเจ้าทรงทราบว่า สุภัททะปริพาชก พระสาวกก็สอนไม่ได้ เป็นคนมีอารมณ์แข็ง ก่อนที่จะมาเกิดชาตินี้เป็นพี่น้องกันกับท่านอัญญาโกณฑัญญะท่านอัญญาโกณฑัญญะเป็นน้อง ท่านสุภัททะปริพาชกเป็นพี่ แต่ท่านอัญญาโกณฑัญญะเวลาทำบุญจะเริ่มทำบุญตั้งแต่แรกนา ส่วนพี่ชายคือท่านสุภัททะปริพาชกทำบุญเมื่อขนข้าวเข้ายุ้งเสร็จแล้ว<O:p></O:p>
    ฉะนั้น เมื่อเวลาสำเร็จมรรคผล ท่านอัญญาโกณฑัญญะจึงได้บรรลุมรรคผลก่อนคนอื่นทั้งหมด สำหรับพี่ชายทำบุญเมื่อเก็บข้าวเสร็จแล้ว จึงบรรลุมรรคผลหลังสุดคือพระพุทธเจ้าจะนิพพาน เป็นอันว่าท่านสุภัททะปริพาชกก็เข้ามา พระองค์จึงถามถึงความประสงค์แล้วก็ตรัสว่า เวลานี้ตถาคตป่วยมากนะ เวลาก็ใกล้จะสว่างมากแล้ว เมื่อใกล้สว่างตถาคตก็ต้องนิพพาน ฉะนั้นการถามปัญหาของเธอจงงดไว้ จงฟังเทศน์เถิด<O:p></O:p>
    พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์ปรารภขันธ์ ๕ ว่า จงอย่าสนใจกับร่างกายของเรา อย่าสนใจร่างกายของบุคคลอื่น อย่าสนใจกับวัตถุธาตุใดๆ ทั้งหมด เพราะทุกอย่างมันเป็นอนิจจังไม่เที่ยง ถ้าเราเข้าไปยึดแล้ว ก็เป็นทุกขังเป็นทุกข์ ในที่สุดมันก็พัง ต้องเป็นอนัตตาดึงมันไว้ไม่อยู่ ฉะนั้นขอเธอจงปรับใจของเธอให้เข้าใจถึงเรื่องนี้ให้รู้ตามความเป็นจริงรวมความว่า ไม่ให้สนใจในรูปโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือรูปของเรา<O:p></O:p>
    เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์จบประเดี๋ยวเดียว ท่านสุภัททะปริพาชกก็ไป<O:p></O:p>
    ปฏิบัติ สักครู่เดียวก็สำเร็จอรหัตผล...”<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>

    <O:p></O:p>

    <!-- text below generated by server. PLEASE REMOVE --></OBJECT></LAYER>
    </SPAN></STYLE></NOSCRIPT></TABLE></SCRIPT></APPLET><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc1.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://geocities.com/js_source/geov2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript>geovisit();</SCRIPT>[​IMG] <NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT>[​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2007
  5. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปพระนิพพาน

    เรื่องที่ ๔

    การบรรลุมรรคผลพระนิพพานของท่านอัญญาโกณฑัญญะกับท่านสุภัททะปริพาชก

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    “..เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศว่า พระองค์จะนิพพานที่ระหว่างนางรังทั้งคู่ที่เมืองกุสินารามหานคร พระอานนท์ก็ทัดทานว่า เมืองกุสินาราเป็นเมืองเล็ก การนิพพานที่นั่นจะไม่เหมาะสม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่าเหมาะ เพราะเมืองกุสินาราเคยเป็นเมืองของพระเจ้าจักรพรรดิ และคนที่เป็นจักรพรรดิในเมืองนั้นก็คือ ตถาคต ฉะนั้นเมืองใดที่เคยมีจักรพรรดิ เมืองนั้นถือว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญ เมืองที่พระอานนท์ท่านเสนอก็คือเมืองราชคฤห์กับเมืองพาราณสี การที่องค์สมเด็จพระบรมครูตรัสแก่พระอานนท์ว่า เมืองกุสินารามหานครเมื่อก่อนนี้เป็นมหาประเทศ เป็นเขตที่อยู่ของพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลกนั้นเป็นเหตุอย่างหนึ่ง แต่เนื้อแท้จริงๆ การที่พระองค์จะทรงไปนิพพานที่นั่นก็เพื่อหวังจะไปโปรดบริษัทคนสุดท้าย เพราะคนที่เกิดมาจะได้บรรลุมรรคผล บางคนก็พระอรหันต์สอนได้ แต่บางท่านพระอรหันต์สอนไม่ได้เพราะวิสัยตรงเฉพาะพระพุทธเจ้า ท่านผู้นั้นคือ ท่านสุภัททะปริพาชก<o:p></o:p>
    เวลากลางคืนก่อนที่องค์สมเด็จพระบรมครูจะเข้าสู่พระนิพพานในวันรุ่งขึ้นเวลาใกล้รุ่งอรุณ ก็ปรากฏว่ามีท่านๆ หนึ่งคือ สุภัททะปริพาชก ต้องการจะเข้าไปกราบทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้า พระอานนท์ก็ทรงห้ามไว้ เพราะเวลานี้สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประชวรหนัก ท่านอย่าไปรบกวนพระองค์เลย ขณะที่พระอานนท์กำลังพูดกับท่านสุภัททะปริพาชก พระพุทธเจ้าได้ทรงสดับด้วยทิพโสตญาณ เมื่อพระองค์ทรงทราบก็บอกพระอานนท์ให้ปล่อยเข้ามา ว่าการที่ตถาคตมาที่นี่ ก็มาเพราะลูกชายคนนี้เท่านั้นจะเห็นว่าตอนก่อนจะมาพระองค์ตรัสอย่างหนึ่ง ถ้าตรัสว่าจะมาโปรดสุภัททะปริพาชก ก็คงจะต้องถูกทัดทาน พระองค์จึงให้เหตุผลคนละอย่าง เพราะพระพุทธเจ้าทรงทราบว่า สุภัททะปริพาชก พระสาวกก็สอนไม่ได้ เป็นคนมีอารมณ์แข็ง ก่อนที่จะมาเกิดชาตินี้เป็นพี่น้องกันกับ ท่านอัญญาโกณฑัญญะ ท่านอัญญาโกณฑัญญะเป็นน้อง ท่านสุภัททะปริพาชกเป็นพี่ แต่ท่านอัญญาโกณฑัญญะเวลาทำบุญจะเริ่มทำบุญตั้งแต่แรกนา ส่วนพี่ชายคือท่านสุภัททะปริพาชกทำบุญเมื่อขนข้าวเข้ายุ้งเสร็จแล้ว<o:p></o:p>
    ฉะนั้น เมื่อเวลาสำเร็จมรรคผล ท่านอัญญาโกณฑัญญะจึงได้บรรลุมรรคผลก่อนคนอื่นทั้งหมด สำหรับพี่ชายทำบุญเมื่อเก็บข้าวเสร็จแล้ว จึงบรรลุมรรคผลหลังสุดคือพระพุทธเจ้าจะนิพพาน เป็นอันว่าท่านสุภัททะปริพาชกก็เข้ามา พระองค์จึงถามถึงความประสงค์แล้วก็ตรัสว่า เวลานี้ตถาคตป่วยมากนะ เวลาก็ใกล้จะสว่างมากแล้ว เมื่อใกล้สว่างตถาคตก็ต้องนิพพาน ฉะนั้นการถามปัญหาของเธอจงงดไว้ จงฟังเทศน์เถิด <o:p></o:p>
    พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์ปรารภขันธ์ ๕ ว่า จงอย่าสนใจกับร่างกายของเรา อย่าสนใจร่างกายของบุคคลอื่น อย่าสนใจกับวัตถุธาตุใดๆ ทั้งหมด เพราะทุกอย่างมันเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง ถ้าเราเข้าไปยึดแล้ว ก็เป็นทุกขัง เป็นทุกข์ ในที่สุดมันก็พัง ต้องเป็นอนัตตา ดึงมันไว้ไม่อยู่ ฉะนั้นขอเธอจงปรับใจของเธอให้เข้าใจถึงเรื่องนี้ให้รู้ตามความเป็นจริงรวมความว่า ไม่ให้สนใจในรูปโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือรูปของเรา<o:p></o:p>
    เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์จบประเดี๋ยวเดียว ท่านสุภัททะปริพาชกก็ไป<o:p></o:p>
    ปฏิบัติ สักครู่เดียวก็สำเร็จอรหัตผล...”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>

    <o:p></o:p>

    <!-- text below generated by server. PLEASE REMOVE --></OBJECT></LAYER>
    </SPAN></STYLE></NOSCRIPT></TABLE></SCRIPT></APPLET><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc1.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://geocities.com/js_source/geov2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript>geovisit();</SCRIPT>[​IMG] <NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT>[​IMG]
    ตายจากความเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วไปเกิดเป็นพรหม,เป็นเทวดา

    <o:p> </o:p>
    เรื่องที่ ๑๔๑

    ตายจากสุนัขชื่อ "ปุย" ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๗

    "..มีลูกสุนัขตัวหนึ่งมันป่วย เจ้าตัวนี้เกิดมาใหม่ๆ ตัวเบาเหมือนนุ่น ตัวเล็กที่สุด ต่อมาก็แข็งแรงแล้วก็ป่วย รุ่งขึ้นก็ตายตอนเช้า มันอยู่ข้างล่าง อาตมานอนอยู่ชั้นบนก็เห็นผู้ชาย ๔-๕ คน นุ่งขาวห่มขาวเป็นแบบคนธรรมดา รูปร่างใหญ่เดินเข้ามา อาตมามีความรู้สึกว่าเป็นพรหม จึงถามว่า "มาทำไม" เขาก็บอกว่า "ผมมารับปุยครับ" เจ้าหมาตัวนี้หมายเลข ๓๔ อาตมาเรียกมันว่า "ปุย" เพราะขนปุยเหมือนหมาจู ถามว่า "ปุยคนไหน" ตอบว่า "คนนี้ครับ" ก็เลยถามว่า "ตายแล้วไปอยู่ไหนล่ะ" เขาตอบว่า "อยู่พรหมชั้นที่ ๗ เขาเป็นท้าวมหาพรหม เขาลงมาประเดี๋ยวเดียว เขาก็กลับ" แสดงว่าพรหมมารับพรหม.."<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>

    <!-- text below generated by server. PLEASE REMOVE --></OBJECT></LAYER>
     
  6. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ตายจากความเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วไปเกิดเป็นสัตว์นรก

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p> </o:p>
    เรื่องที่ ๑๕๐

    ตายจากปลามีเกล็ดเป็นสีทองแล้วไปอยู่ในอเวจีมหานรก

    <o:p> </o:p>
    "..สุพรรณมัจฉา ปลาสีทองตัวนี้มาติดตาข่ายที่เด็กเอาไปขึงไว้ พ่อแม่เด็กเห็นเข้าว่า ปลามีเกล็ดเป็นทอง ไม่ควรเก็บไว้เองจึงนำมาถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลเห็นเป็นของแปลกก็นำไปถวายพระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลถามว่า "ปลาตัวนี้ทำบุญอะไรไว้ เกล็ดจึงเป็นสีทอง" เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเห็นเข้าก็บอกว่า "ปลาตัวนี้สมัยก่อนเคยบวชเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ที่มีเกล็ดเป็นสีทองก็เพราะอาศัยเคยปฏิบัติศีลปฏิบัติธรรมในตอนต้นด้วยความเคารพ แต่ว่าในตอนปลายมือเป็นพระคณาจารย์ ด่าว่าพระภิกษุทั้งหลายที่มีความผิดบ้าง ไม่ผิดบ้าง โดยเจตนาร้าย เวลาตายไปแล้วจึงไปเกิดเป็นสัตว์นรกในอเวจีมหานรก" ยืนกางแขนกางขาอย่างพระเทวทัต และเมื่อกรรมเบาลงก็เลื่อนขึ้นมาตามลำดับ จนกระทั่งมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นปลามีเกล็ดเป็นสีทอง แต่ว่าปากเหม็นเพราะด่าพระ <o:p></o:p>
    พระพุทธเจ้าจึงถามว่า "กปิลมัจฉา เดิมทีเดียวเธอบวชเป็นพระใช่ไหม" <o:p></o:p>
    พอปลาอ้าปากตอบว่า "ใช่" กลิ่นก็เหม็นคลุ้งไปทั้งพระวิหาร <o:p></o:p>
    พระองค์ถามต่อไปว่า "เพราะอะไรเธอจึงตกอเวจีมหานรก" <o:p></o:p>
    เธอก็ตอบว่า "เพราะเป็นพระปากร้าย ด่าไม่ว่าใคร ไม่มีเหตุไม่มีผล อิจฉาริษยาพระด้วยกัน กล่าวร้ายด้วยการนินทาให้ร้ายบ้าง"<o:p></o:p>
    ชาวบ้านก็เหมือนกันที่ปากไม่ดีแบบนี้ ไปด่าพระด่าเจ้า ด่าผู้ทรงศีล ก็มีสภาพอย่างเดียวกับกปิลมัจฉา เมื่อพระพุทธเจ้าถามถึงแม่กับน้องสาว ปลาก็บอกว่า "ไปอเวจีมหานรกเหมือนกันเพราะทำกรรมอย่างเดียวกันคือด่าพระ" ท่านถามถึงพี่ชาย <o:p></o:p>
    ปลาก็ตอบว่า "พี่ชายท่านไม่เอาด้วย ก็เลยเป็นพระอรหันต์แล้วไปพระนิพพาน" <o:p></o:p>
    เมื่อปลาตอบเท่านี้ก็เสียใจ เอาหัวฟาดอ่างถึงแก่ความตายกลับลงไปอเวจีมหานรกใหม่.."<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>

    <!-- text below generated by server. PLEASE REMOVE --></OBJECT></LAYER>
    </SPAN></STYLE></NOSCRIPT></TABLE></SCRIPT></APPLET><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc1.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://geocities.com/js_source/geov2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript>geovisit();</SCRIPT>[​IMG] <NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT>[​IMG]
     
  7. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ตายแล้วกลับไปเกิดเป็นคน

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p> </o:p>
    เรื่องที่ ๑๑๕

    จากพรหมมาเกิดเป็นคน

    "..มีสองสามีภรรยามาขอให้อาตมาช่วยตั้งชื่อลูกชาย ก็ถามว่า "ลูกชายเกิดวันอะไร" เขาก็ตอบว่า "เกิดวันพฤหัสบดี" ก็บอกว่า "เด็กคนนี้มันจะเป็นนักรบชั้นดีนะ" ให้ชื่อ "สุรสิทธิ์" หรือ "สุรเดช" เรื่องชื่อนี้ถามจากข้างบนอีกทีว่า เด็กคนนี้มาจากไหนมาเพื่ออะไร" ท่านบอกว่า "เด็กคนนี้จะมาเกิดเพื่อเป็นทหาร จะเป็นทหารอะไรก็ได้ตามสบายเขา ก็ดีทั้งนั้นแหละอย่าไปขวางเขานะ" <o:p></o:p>
    ฉันว่าชื่อ "สุรเดช" ดีกว่า แปลว่า "มีอำนาจมาก" <o:p></o:p>
    "สุรสิทธิ์" แปลว่า "กล้าที่จะยึดเมืองต่างๆ"<o:p></o:p>
    เด็กคนนี้ต้องระมัดระวังหน่อยนะ คือว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่นี่ต้องถือเหตุผลเป็นสำคัญ อย่าทำอะไรประเภทไม่มีเหตุไม่มีผล เพราะเด็กคนนี้มาจากพรหม พวกพรหมจิตจะแข็งเพราะพรหมมาจากฌาน ถ้าหากว่าไม่มีเหตุผล จะมีสภาพเหมือนกับคนจองหอง ไม่ง้อใคร พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าเรื่องอยุติธรรมนี่ไม่ยอมก้มหัวให้แน่ เพราะพวกพรหมไม่ประจบ แต่ตอนเด็กๆ เอาแน่ไม่ได้ระยะต้น กรรมที่เป็นอกุศลบางอย่างอาจทำให้โฉเฉไปบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา และต่อไปกรรมที่เป็นกุศลจะเข้า เราควรจะดีใจว่าลูกเราจะเป็นคนมีเหตุมีผล ต่อไปข้างหน้าพวกนี้จะลงมามาก จะขึ้นมีอำนาจในเมือง.."<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>

    <!-- text below generated by server. PLEASE REMOVE --></OBJECT></LAYER>
    </SPAN></STYLE></NOSCRIPT></TABLE></SCRIPT></APPLET><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc1.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://geocities.com/js_source/geov2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript>geovisit();</SCRIPT>[​IMG] <NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT>[​IMG]
     
  8. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ปกิณกะ

    เรื่องที่ ๑๗๒

    คนใกล้จะตายควรแนะนำอย่างไร

    "..ถ้าป่วยใหม่ๆ อาตมาแนะนำให้ทำดังนี้คือ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ๑) ให้นำพระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร พร้อมอาหารและของใช้ที่จำเป็น นำไปให้ผู้ป่วยเห็นและให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า <o:p></o:p>
    "ของทั้งหมดนี้ขอถวายเป็นสังฆทานแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เพื่ออุทิศส่วนกุศลผลบุญทั้งหมดนี้ให้เจ้ากรรมนายเวรของผู้ป่วยได้โมทนาและอโหสิกรรมให้ผู้ป่วยด้วย"<o:p></o:p>
    แล้วญาติก็นำของทั้งหมดไปถวายพระเป็นสังฆทาน จิตใจของผู้ป่วยจะได้สบายเพราะได้เห็นพระพุทธรูปและได้ทำบุญ<o:p></o:p>
    ๒) ถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีก ก็ควรนำเงินจะมากหรือน้อยตามแต่ศรัทธา ให้ผู้ป่วยถือเงินไว้และให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า <o:p></o:p>
    "เงินจำนวนนี้ขอถวายชำระหนี้สงฆ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถ้าเคยไปหยิบหรือนำของสงฆ์มาโดยเจตนาหรือไม่ได้เจตนาก็ตาม"<o:p></o:p>
    ๓) ในระหว่างที่นอนป่วยอยู่ ควรนำพระพุทธรูปมาตั้งไว้ให้ผู้ป่วยได้มองเห็น อย่าไปตั้งไว้ในที่ผู้ป่วยเห็นไม่ถนัด ผู้ป่วยลืมตาขึ้นมาเมื่อใดก็จะเห็นพระทันที จิตของผู้ป่วยจะได้จับอยู่ที่พระ ใจจะสบายช่วยให้คลายจากทุกขเวทนาได้บ้าง และถ้าตายเมื่อใดก็จะไม่ลงนรก<o:p></o:p>
    ๔) ถ้าป่วยมากมีทุกขเวทนามาก ควรแนะนำสั้นๆ ให้นึกถึงพระพุทธเจ้า หรืออย่างใดอย่างหนึ่งดีกว่า ถ้าไปแนะนำยาวๆ จะเกิดอาการกลุ้ม<o:p></o:p>
    ๕) ถ้าต้องการให้ผู้ป่วยตายแล้วไปพระนิพพาน ให้นึกภาวนาว่า "นิพพานัง สุขัง" ถ้าคิดว่าป้องกันไม่ให้ลงนรกก็ให้ภาวนาว่า "พุทโธ" ให้บอกสั้นๆ อย่าบอกยาว<o:p></o:p>
    ๖) ถ้าผู้ป่วยภาวนาไม่ไหว ก็ให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ ให้นึกถึงพระไว้หรือจะนึกถึงพระสงฆ์ก็ได้ อย่าไปแนะนำยาวๆ เพราะเวลานั้นทุกขเวทนามากจะทำให้กลุ้ม ดีไม่ดีจิตใจเขาดีอยู่แล้ว ถ้าแนะนำไม่ดี พูดมากไปเขาจะกลุ้มจะทำให้ลงนรกไป ให้ดูตาคนป่วย ถ้าตาลอยๆ ตาปรือๆ อย่าไปพูดมาก<o:p></o:p>
    ฉะนั้น การแนะนำคนป่วยก่อนตาย ต้องระมัดระวังให้ดี.."<o:p></o:p>

    <!-- text below generated by server. PLEASE REMOVE --></OBJECT></LAYER>
    </SPAN></STYLE></NOSCRIPT></TABLE></SCRIPT></APPLET><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc1.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://geocities.com/js_source/geov2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript>geovisit();</SCRIPT>[​IMG] <NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT>[​IMG]
     
  9. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    เรื่องที่ ๙๙

    ท่านหลวงตาอินมรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเทวดามีหน้าที่ยืนยามอยู่ทาง ๔ แพร่ง สวรรค์เขตจาตุมหาราช

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p> </o:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2007
  10. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    เรื่องที่ ๙๙

    ท่านหลวงตาอินมรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเทวดามีหน้าที่ยืนยามอยู่ทาง ๔ แพร่ง สวรรค์เขตจาตุมหาราช

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p> </o:p>
    “..ถ้าออกเดินทางจากโลกมนุษย์มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก จะเห็นทางใหญ่ขาวโพลนแลดูใสสะอาดดีกว่าถนนชั้นหนึ่งในเมืองมนุษย์ เดินไปสักครู่หนึ่งจะถึงทาง ๔ แพร่ง ความจริงพวกที่เขาได้ฌาน เขาเดินไม่นานหรอกเพียงแค่หายใจเข้าไม่ทันหายใจออกก็ถึงแล้ว นี่เราค่อยๆ ไปกันช้าๆ มองไปข้างหน้าเห็นทางใหญ่ขาวลาดลง มองไปทางซ้ายเห็นเป็นเนินขึ้นน้อยๆ เป็นทางขาวใหญ่เหมือนกัน มองไปทางขวาเป็นทางชันขาวใหญ่เหมือนกัน แล้วมองมาทางด้านหลังก็เป็นทางที่เราเดินออกมาจากโลกมนุษย์ <o:p></o:p>
    เทวดาอิน เป็นยามอยู่ทาง ๔ แพร่ง

    ที่ตรงทางแยก ๔ แพร่งนี้มีเทวดาอยู่ ๑ องค์ยืนยามอยู่ ท่านมีเครื่องทรงสีแดง ผ้าที่นุ่งก็มีพื้นสีแดง เสื้อที่ใส่ก็มีพื้นสีแดง บนศีรษะบางทีก็โพกผ้าสีแดง บางทีก็สวมมงกุฎ ผ้าที่นุ่งเสื้อที่ใส่ประดับไปด้วยเพชรนิลจินดา ขาวแพรวพราวไปหมด รูปร่างท่านสง่าผ่าเผยสวยสดงดงามมาก คนที่ว่าสวยในเมืองมนุษย์ทาบไม่ติด เทวดาไม่มีแก่มีแต่หนุ่ม ท่านยืนยิ้มด้วยความใจดี<o:p></o:p>
    พระที่ท่านนิพพานแล้วชอบเรียกท่านว่า เทวดาอิน ไม่ใช่ท่านพระอินทร์นะ คนละองค์กัน สมัยที่ท่านเป็นมนุษย์ท่านบวชเป็นพระ ชื่อว่า หลวงตาอิน ท่านได้ฌานสมาบัติแต่เวลาตายไม่ได้เข้าฌานตาย เมื่อตายแล้วก็ไม่ได้ไปเป็นพรหม จึงมาเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช มีหน้าที่ยืนยามอยู่ทาง ๔ แพร่ง พระที่ได้ฌานสมาบัติท่านหนึ่งชื่อว่า อาจารย์ฉัตร องค์นี้เก่งมาก เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโคเหมือนกันแต่เป็นรุ่นพี่ ท่านบอกว่าเวลาจะไปละก็ให้ไปพบกับเทวดาองค์นี้ ท่านจะถามว่า ไปเลยหรือว่ากลับ”<o:p></o:p>
    คำว่า ไปเลย หมายถึงว่าตายไปแล้ว ถ้าหากบอกว่า กลับ ก็หมายถึงพระที่ได้ฌานหรือฆราวาสที่ได้ฌาน ไปแล้วต้องกลับ ก็บอกท่านว่ากลับ จะไปนรกหรือว่าจะไปสวรรค์ หรือจะไปพรหมโลก ก็บอกท่าน พอถึงเวลาใกล้สว่างถ้ายังไม่กลับ ท่านก็จะไปตามบอกว่า เวลานี้ใกล้สว่างแล้วให้กลับได้ นี่คือหน้าที่ของท่านเทวดาอิน <o:p></o:p>
    ถ้าหากพวกเราผ่านไปแบบช้าๆ ท่านก็จะถาม แต่ถ้าไปเร็วปรี๊ดปร๊าดท่านก็จะถามไม่ทัน ท่านบอกว่า พวกนี้เสียมารยาท ไม่เคารพต่อพระภูมิเจ้าที่เทวดายาม ท่านว่าพวกมนุษย์โดยมากมารยาทไม่ค่อยดี แม้จะเป็นพระเป็นเจ้าก็ตาม ผ่านมาตรงนี้น่าจะคุยกันก่อน แต่ไม่ค่อยจะมีใครคุยหรอกรีบไปกันเลย ถ้าเวลาเห็นพระผ่านไป ท่านมักจะยกมือไหว้แสดงความเคารพ ถ้าเป็นฆราวาสท่านก็จะกล่าววาจาเป็นสัมโมทนียกถา คือวาจาที่ไพเราะน่าฟัง นี่เป็นจริยาของท่านเทวดาอิน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>

    <!-- text below generated by server. PLEASE REMOVE --></OBJECT></LAYER>
    </SPAN></STYLE></NOSCRIPT></TABLE></SCRIPT></APPLET><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc1.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://geocities.com/js_source/geov2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript>geovisit();</SCRIPT>[​IMG] <NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT>[​IMG]
     
  11. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    เรื่องที่ ๙๖

    ผีผู้หญิงออกลูกตายกับผีผู้ชายถูกยิงตายมาขอบุญหลวงพ่อ โมทนาแล้วไปเกิดเป็นเทวดา

    “..ผีที่จับได้เขารับสารภาพ ถามว่า มาจากไหน เขาให้ทำอะไร ผีตอบว่า ไม่อยากทำ แต่เขาใช้ทั้งคาถา ใช้ทั้งมัด ใช้ทั้งเฆี่ยน พอเล่าเสร็จก็ถามว่า แล้วอยากไปไหม ผีบอกว่า ผมอยากพ้นไปครับ จึงบอกให้โมทนา พอโมทนาผลบุญเท่านั้นแหละเป็นเทวดาทันที เป็นผู้หญิงออกลูกตายคนหนึ่งกับผู้ชายถูกยิงตาย <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    พอเป็นเทวดาแล้วก็บอกว่า เพื่อนผมถูกจับอีก ๑๐ คน พรุ่งนี้ผมจะเอามา ถามว่า แกจะเอามาได้หรือ ตอบว่า ได้ครับ ผมเป็นเทวดาแล้วผมแก้ได้ <o:p></o:p>
    พอวันรุ่งขึ้นแก เอามา ๑๕ คน มาเป็นตับเลย ถามลูกศิษย์ท้าวมหาราชว่า ทำไมไม่กัน ท่านบอก อ้าว ก็ท่านบอกให้เอามา ถามว่า ใคร ท่านบอก ก็ไอ้พวกเมื่อคืนนี้ ทั้งหมดที่มาก็ขอโมทนา มันก็สบายไปหมด ประเดี๋ยวลูกศิษย์ท้าวมหาราชไปแบกมาอีก ๗ คน ไปขโมยเขามา ต้องแบกเข้ามา เขามัด ๓ เปลาะเห็นชัดเลย เชือกมัด ๓ เปลาะกระดิกไม่ได้เลย แล้วก็เฆี่ยนถ้าไม่ทำตาม ใช้ไปแล้วยังใช้คาถาเฆี่ยนตีตามอีก <o:p></o:p>
    พอลูกศิษย์ท้าวมหาราชเอาพวกอีก ๗ คนมาก็ถามว่า จะแก้อย่างไรล่ะ <o:p></o:p>
    ท่านก็บอกคาถาอภิญญาที่พระพุทธเจ้าให้ สัมปจิตฉามิ <o:p></o:p>
    พอว่าคาถานี้ปั๊บเชือกขาดทันที คนนั้นลุกได้ คล้ายๆ ท่านจะสอนเรา วิธีแก้อย่างนี้ได้ ก็เลยแบกมา..<o:p></o:p>

    <!-- text below generated by server. PLEASE REMOVE --></OBJECT></LAYER>
    </SPAN></STYLE></NOSCRIPT></TABLE></SCRIPT></APPLET><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc1.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://geocities.com/js_source/geov2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript>geovisit();</SCRIPT>[​IMG] <NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT>[​IMG]
     
  12. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    เรื่องที่ ๙๓

    ลูกชายแทงตัวเองตายถึง ๗ แผล มาบอกให้แม่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลออกชื่อเขาโดยเฉพาะคนเดียว

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p> </o:p>
    “..มีผู้หญิงคนหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่า ลูกชายแทงตัวเองตายถึง ๗ แผล คิดไม่ออกว่าทำไมไม่เจ็บ อาตมาก็ตอบให้ผู้หญิงคนนี้ฟังว่า ตามธรรมดาอย่าว่าแต่มีดพกแทงเข้าไปเลย แค่เข็มจิ้มเข้าไปก็ไม่ไหวแล้ว หมดแรงที่จะแทงถึง ๗ แผล เราก็นึกว่าถึงวาระเขาแล้วก็แล้วกัน ความจริงคนนี้ลักษณะเขาเป็นคนดี ต้องถือว่าเป็นกฎของกรรมเดิมเข้ามาสนอง เรื่องโกรธเคืองใคร น้อยใจใครขนาดที่จะฆ่าตัวตายนั้น เขาบอกว่าไม่มี เขาทำภาพให้ดู เขาเป็นคนดี ไม่ใช่คนกินเหล้าเมายาหยำเปจนไร้สติ กินก็กินบ้างเป็นของธรรมดา ตามปกติแล้วเป็นคนเฉยๆ ไม่พูดมาก <o:p></o:p>
    แม่ตอบว่า ใช่ค่ะ พูดแต่พูดไม่มาก ถ้าไม่เมาพูดกับใครก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดี ไม่ใช่คนเกกมะเหรกเกเร และก็เขาก็บอกว่า มันเป็นกฎของกรรม ที่ผมแทงตัวเองนี่ ผมนึกว่าผมแทงข้าศึก แทงศัตรู เขาทำท่าให้ดูไม่ต้องไปดูที่ไหน เขายืนอยู่ข้างแม่เขา<o:p></o:p>
    อาตมาก็เลยถามว่า จะเอาอะไร”<o:p></o:p>
    อานิสงส์ของการถวายสังฆทาน

    เขาก็บอกว่า ขอพระพุทธรูปหน้าตักกว้าง ๔ นิ้วหรือ ๕ นิ้วก็ได้ ๑ องค์ จะเป็นพระพุทธรูปโลหะหรือพระพุทธรูปปั้นก็ได้ ผ้าไตร ๑ ไตร อาหารตามสมควร ขอนํ้าดื่มสัก ๑ ขวด จะเป็นนํ้าดื่มธรรมดาหรือจะเป็นนํ้าเป๊ปซี่โคล่าอะไรก็ได้ ถวายเป็นสังฆทาน และให้อุทิศส่วนกุศลเจาะจงออกชื่อเขาตรงๆ เลย ให้เฉพาะเขาคนเดียว เขาจะได้รับเต็มที่และเขาจะมีความสุข เพราะอานิสงส์มีดังนี้คือ<o:p></o:p>
    การถวายพระพุทธรูป ถ้าเป็นเทวดาจะมีรัศมีกายสว่างมาก<o:p></o:p>
    การถวายผ้าไตรจีวร ได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์<o:p></o:p>
    การถวายอาหาร ทำให้มีร่างกายเป็นทิพย์<o:p></o:p>
    การที่ขอนํ้า ๑ ขวดนั้น จะได้บริบูรณ์ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีนํ้ากิน และนํ้านี้มีอานิสงส์จะได้สระโบกขรณี เทวดามักจะถือเอาสระโบกขรณีเป็นจุดเด่น ถ้าวิมานไหนไม่มีสระโบกขรณี จะถือว่าวิมานนั้นด้อยกว่าเขา<o:p></o:p>

    <!-- text below generated by server. PLEASE REMOVE --></OBJECT></LAYER>
    </SPAN></STYLE></NOSCRIPT></TABLE></SCRIPT></APPLET><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc1.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://geocities.com/js_source/geov2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript>geovisit();</SCRIPT>[​IMG] <NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT>[​IMG]
     
  13. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    <!-- following code added by server. PLEASE REMOVE --><LINK href="http://us.geocities.com/js_source/div.css" type=text/css rel=stylesheet><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.geocities.com/js_source/div03.js"></SCRIPT> <!-- preceding code added by server. PLEASE REMOVE -->
    เรื่องที่ ๙๐

    ตายจากคนไปรออยู่ที่สำนักท่านพระยายมราชโมทนาบุญพระกรรมฐานแล้วไปเกิดเป็นเทวดา

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p> </o:p>
    “..วันนี้จะขอเล่าเกร็ดความรู้ที่ได้มาจาก การเจริญพระกรรมฐาน ซึ่งเป็นความรู้ที่ได้มาเป็นกรณีพิเศษ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๔ อาตมาไปเทศน์ที่วัดศีรษะเมือง (วัดมหาธาตุ)อำเภอสรรค บุรี จังหวัดชัยนาท วันนั้นเขาทำบุญงานศพ สำหรับงานศพรายนี้ก็ปรากฏว่าลูกสาวเป็นคนจัดงานทำศพพ่อ ได้มาอาราธนาอาตมาเป็นประธาน ก็เลยบอกเจ้าภาพว่า<o:p></o:p>
    จะให้เป็นประธานก็ได้ แต่ถ้าพระเป็นประธานละก้อ การจัดงานศพพ่อก็ดี การจัดงานบวชก็ดี และ การทำบุญทั้งหมด จะมีบาปแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้คือ<o:p></o:p>
    (๑) สิ่งใดก็ตามที่เป็นบาปอกุศลจะต้องไม่มีในงานนี้ แม้แต่ไข่ลูกหนึ่งก็ห้ามทุบ ถึงเขาบอกว่าไข่ไม่มีตัวก็ไม่ได้ ใจมันไม่สบาย<o:p></o:p>
    (๒) เวลาจัดงานศพ ควรจะหาคนรับรองแขกแทนตัวเอง ใจจะได้ไม่กังวล <o:p></o:p>
    เวลาพระให้ศีล ต้องรับศีลให้จบและตั้งใจรับศีลด้วยความเคารพ <o:p></o:p>
    เวลาพระสวด ก็ต้องตั้งใจฟังพระสวดจนจบด้วยความเคารพ<o:p></o:p>
    เวลาพระเทศน์ ต้องฟังเทศน์ด้วยความเคารพจนจบ<o:p></o:p>
    เวลาถวายทาน ให้ตั้งใจถวายทานด้วยความเคารพ<o:p></o:p>
    (๓) อย่าให้มีสุรายาเมา เข้ามาเจือปนในงาน<o:p></o:p>
    (๔) มหรสพอย่ามีแม้แต่ปี่พาทย์ กลองยาว เพราะคนเล่นส่วนใหญ่มักจะกินเหล้ากัน”<o:p></o:p>
    ลูกสาวก็รับคำและปฏิบัติตามนั้น ตอนเช้าบวชน้องชาย ตอนสายก็นำศพพ่อขึ้นศาลา ตอนเพลเลี้ยงพระ ๓๐ กว่าองค์ ถวายผ้าสบง ผ้าไตรจีวร เป็นสังฆทานเต็มอัตรา มีเทศน์ ๒ องค์ อาตมากับเจ้าคุณภาวนาภิรามเถระ ซึ่งเป็นอาจารย์วิปัสสนาญาณองค์หนึ่ง ตอนต้นอาตมาก็บอกอานิสงส์ไปสัก ๑๕ นาที ต่อมาเจ้าคุณภาวนาฯ ซึ่งเป็นองค์ถาม องค์นี้ท่านชอบร่ายยาวอย่างน้อยที่สุดจะต้องพูด ๓๐ นาที ท่านว่าอารัมภบทก่อน <o:p></o:p>
    เมื่อท่านเริ่มตั้งนะโม อาตมาก็จับจิตเข้าสู่ความสงบตามแบบฉบับที่หลวงพ่อปานเคยสอนว่า ก่อนจะเทศน์ต้องทำจิตให้เข้าสู่พระกรรมฐานสูงสุดเท่าที่เรามีอยู่ ขณะที่ท่านร่ายยาวอาตมาก็นึกว่าวันนี้ได้กำไร พอจิตวางอารมณ์ได้สบายสัก ๕ นาที ก็นึกถึงคนตายว่า นายกิ่มแกไปอยู่ที่ไหน มองดูรอบๆ บริเวณที่เขาทำบุญ เห็นแต่พวกเปรตมายืนเต็มพรืดเป็นแสนรอบศาลาไปหมด แต่ผีนายกิ่มไม่ปรากฏมีอยู่ที่นั้น จึงสงสัยว่า นายกิ่มน่ากลัวจะมีอันตราย หมายความว่าแกอาจจะถูกลงโทษด้วยกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงกำหนดจิตนึกถึงท่านท้าวมหาราช ถามท่านว่า เวลานี้นายกิ่มอยู่ที่ไหน ใครควบคุมอยู่ ถ้าอยู่ในช่วงเสวยทุกขเวทนาอยู่ ขออนุญาตครู่หนึ่งได้โปรดนำมาก่อนด้วย เวลานี้เขาทำบุญใหญ่ให้ <o:p></o:p>
    จะไปเรียกเขามาเฉยๆ ไม่ได้ เราไม่มีสิทธิ์เลย ท่านท้าวมหาราชท่านให้ลูกน้อง ๒ คนไปบอกเจ้าหน้าที่แล้วจึงนำมา ภาพก็ปรากฏ นายกิ่มเดินมาหน้าตาเศร้าสร้อยมีความทุกข์เหลือเกิน มีโซ่ ๒ เส้นล่ามคอ มีคนจูงหางโซ่ข้างละคน นายกิ่มอยู่ตรงกลาง พอมาถึงก็นั่งก้มหน้าแสดงความทุกข์ข้างธรรมาสน์ เรียกอย่างไรก็ไม่เงยหน้าฟังเลยไม่ยอมพูด จึงถามคนที่คุมมาว่า ทำไมเป็นอย่างนี้ เขาบอกว่า กรรมมันหนักครับ จึงถามว่า เขาตัดสินแล้วหรือยัง เขาตอบ ยังครับ ยังรอการตัดสินอยู่ ถ้าตัดสินแล้วไม่มีสิทธิ์ที่จะช่วยให้พ้นทุกข์ได้ ถ้าลงนรกไปแล้วไม่มีสิทธิ์ขอท่าน ถ้าได้ก็เพียงแต่ความร้อนลดน้อยลงไปบ้าง จึงถามว่า วันนี้เขาบวชลูกชายแกเพื่อทำบุญให้ มีการถวายสังฆทาน เลี้ยงพระบังสุกุล ๓๐ กว่าองค์ และก็มีเทศน์ด้วย จัดว่าเป็นมหากุศล บุญใหญ่ทั้งหมดขนาดนี้ ทำไมจึงโมทนาไม่ได้ เขาตอบว่า ไม่มีสิทธิ์โมทนา เพราะกรรมหนัก บุญที่ลูกทำให้ก็ดี หรือบุญที่นายกิ่มทำมาแล้วก็ดี เวลานี้กำลังไม่พอ”<o:p></o:p>
    แล้วเขาก็เล่าประวัติของนายกิ่ม ว่าเดิมทีทำความไม่ดีมามาก แต่ตอนปลายได้มาพบอาตมานั้นแกทำความดี เวลานั้นอาตมายังอยู่กรุงเทพฯ ขึ้นมาทีไรมานอนพัก ๕ วัน ๗ วัน นายกิ่มก็มานอนอยู่ด้วยทุกวัน ถ้าอาตมาไม่กลับแกก็ไม่กลับ ให้ลูกสาวเอาข้าวต้มมาถวายตอนเช้า ตอนเพลเอาข้าวสวยมาถวาย ตอนบ่ายตอนเย็นเอาเภสัชมาถวาย ทำดีทุกอย่างมาประมาณ ๑๐ ปี เหล้าก็ไม่ดื่ม แต่ทว่าอดีตของแกมันไม่ดี เขาเรียกว่า ต้นคดปลายดี หรือเรียกว่า โจรกลับใจก็ได้ ชั่วกับดีมันกํ้ากึ่งกัน จะลงนรกทีเดียวหรือขึ้นสวรรค์เลยก็ไม่ได้ ต้องสอบสวนก่อน ก็เลยบอกว่า ความดีเขามีอยู่ แต่เวลาตายจิตมัวหมอง อย่างนี้บุญอะไรเขาจึงจะโมทนาได้ คนที่คุมมาท่านชี้มาที่อาตมาบอกว่า บุญพระกรรมฐานของท่านช่วยได้ ถามอีกว่า บุญที่เขาทำมาก่อนกับบุญเวลานี้จะรวมตัวกันหรือไม่ ท่านตอบว่า รวมตัวครับ แสดงว่า เวลากุศลกรรมส่งผล ผลบุญทั้งหมดที่ทำไว้ก็จะรวมตัวกันช่วยเสริมทันที ในทำนองเดียวกัน ถ้าเวลาอกุศลกรรมส่งผลเมื่อใด ผลบาปทั้งหมดก็จะรวมตัวกันช่วยเสริมทันทีเช่นเดียวกัน ทำให้ทุกข์หนักมากยิ่งขึ้น <o:p></o:p>
    อาตมาจึงบอกให้นายกิ่มตั้งใจฟังและโมทนาตามว่า กุศลผลบุญใดที่อาตมาเคยบำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่ต้นจนกระทั่งปัจจุบันนี้ จะพึงให้ประโยชน์และความสุขแก่อาตมาเพียงใด ขอนายกิ่มจงโมทนารับผลบุญนี้เช่นเดียวกับอาตมาตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป <o:p></o:p>
    เพียงเท่านี้ปรากฏว่า โซ่ที่รัดคอล่ามไว้ ๒ เส้นหลุดออกไปจากคอทันทีโดยไม่ต้องปลด นายกิ่มก้มลงกราบอาตมา กราบครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ ก็ยังคงสภาพเดิมอยู่ แต่พอกราบครั้งที่ ๓ เสร็จ ลุกขึ้นมาสวยอร่ามเป็นเทวดามีความสวยผิดปกติ หลังจากนั้นก็ไปจับลูก ทักคนโน้นคนนี้ จับคอเขย่าก็ไม่มีใครเหลียวดู เพราะเขาไม่รู้เรื่อง<o:p></o:p>
    อาตมาได้ถามคนคุมว่า ทำไมนายกิ่มจึงสวยมากอย่างนี้ เขาตอบว่า ด้วยอำนาจบุญพระกรรมฐานที่ท่านให้ สามารถที่จะเปลื้องให้พ้นจากความทุกข์ เมื่อบุญส่วนหนึ่งเข้าถึงใจแล้ว บุญทั้งหมดที่นายกิ่มทำมาก่อนก็ดี บุญที่ลูกสาวทำให้ในวันนี้ก็ดี บุญทั้งหมดก็มารวมตัวกันหมด จึงทำให้เป็นเทวดาที่มีความสวยงามมาก ก็เลยบอกท่านว่า ขอขอบใจที่ได้แนะนำฉัน คนคุม ๒ คนก็เลยบอกว่า ท่านครับ ผมเองก็ไม่อยากจะทำงานในตำแหน่งนี้เหมือนกัน ต้องคอยมารับคนแบบนี้มันลำบาก ไม่มีความสุข ผมสองคนก็อยากได้บ้าง ก็เลยถามว่า ทำอย่างไรเธอทั้งสองจึงจะได้ล่ะ เขาก็บอกว่า ท่านให้กับนายกิ่มแบบไหนก็ให้ผมแบบนั้น ผมก็จะได้รับเหมือนกัน <o:p></o:p>
    ก็เลยบอกว่า อ้าว! แล้วไม่หนีงานเขาหรือ เขาตอบว่า นายเขาไม่ถือว่าหนีงานขอรับ ถ้ามีบุญถึงก็จะได้ไปเป็นเทวดา อาตมาไม่ได้ลงทุนอะไร ก็เลยตั้งจิตอธิษฐานแบบเดียวกันกับที่ให้กับนายกิ่ม พออธิษฐานจบ สองคนโมทนาแล้วเขาก็กราบ ๓ หนๆ ที่ ๓ มีสภาพเหมือนกับนายกิ่ม รูปร่างสวยงามเช่นกัน<o:p></o:p>
    เป็นอันว่าอานิสงส์แห่งการเจริญพระกรรมฐาน ถ้าเราจะทำบุญให้แก่คนตาย อันนี้มีประโยชน์มาก แต่ประโยชน์นั้นมันจะต้องถึงตัวเราก่อน ไม่ใช่คนตายจะมีโอกาสมาโมทนาเฉยๆ เราต้องเป็นผู้ให้เขาจึงจะได้รับ สรุปแล้วก็คือ ตัวเราเองต้องมีบุญซะก่อน จึงจะไปอุทิศส่วนกุศลให้คนตายได้ แดนใดที่ไม่มีบุญ ทำแล้วก็ไม่ได้รับเหมือนกัน หมายถึงพระที่ไม่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทำไปเท่าไรก็ไม่มีผล อุทิศส่วนกุศลให้คนตายก็ไม่ได้รับ ทำบุญในเขตที่มีบุญน้อยก็มีอานิสงส์น้อย เขาก็มีความสุขน้อย ถ้าทำบุญในเขตที่มีบุญมาก เขาก็ได้รับผลมาก <o:p></o:p>
    ท่านพระยายมราช ท่านบอกว่า ถวายสังฆทานได้บุญดีที่สุด และท่านจะช่วยได้จริงๆ ต้องเฉพาะคนที่ผ่านสำนักท่านเท่านั้น อย่าง สัมภเวสี เปรต อสุรกาย ไม่ผ่านท่านท่านช่วยไม่ได้ และคนที่ลงนรกทันที เวลาตายก็ช่วยไม่ได้เพราะไม่ได้ผ่านสำนักท่าน ท่านได้บอกว่า เพื่อความแน่นอนจะปรากฏให้ทำดังนี้ เวลาทำบุญเสร็จ ก็อุทิศส่วนกุศลให้แก่คนตาย ถ้ายังไม่มั่นใจว่าเขาจะได้รับหรือเปล่า ให้บอกกับท่านว่า ถ้าบุคคลนี้ (ให้เอ่ยชื่อ นามสกุล) ยังไม่มีโอกาสโมทนาเพียงใด ขอท่านพระยายมราชเป็นพยานด้วย ถ้าหากว่าพบท่านผู้นี้เมื่อไร ท่านก็ไม่ต้องสอบสวน ท่านจะให้เขาโมทนาทันที เขาก็จะไปสวรรค์เลย..”<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>

    <!-- text below generated by server. PLEASE REMOVE --></OBJECT></LAYER>
    </SPAN></STYLE></NOSCRIPT></TABLE></SCRIPT></APPLET><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc1.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://geocities.com/js_source/geov2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript>geovisit();</SCRIPT>[​IMG] <NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT>[​IMG]
     
  14. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    <!-- following code added by server. PLEASE REMOVE --><LINK href="http://us.geocities.com/js_source/div.css" type=text/css rel=stylesheet><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.geocities.com/js_source/div03.js"></SCRIPT> <!-- preceding code added by server. PLEASE REMOVE -->
    เรื่องที่ ๙

    ท่านเจ้าคุณเทพประสิทธินายกมรณภาพแล้วไปพระนิพพาน

    “..เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๑๔ อาตมาทราบจากคุณนิด (อรอนงค์ อรรถไกวัลวที) ว่าท่านเจ้าคุณเทพประสิทธินายก ตาย เวลานั้นพอดีเจ้าท้องมันทำพิษต้องใช้ยาระบาย มันเพลียเลยขี้เกียจเที่ยว อาศัยการปลงสังขารรู้สึกว่าสบายดี แต่ก็แปลกใจอยู่หน่อยหนึ่ง คืนที่กลับมาค้างบ้านครูนนทา กำลังปลงสังขารพอสบายก็ปรากฏแสงสว่างเกิดพุ่งมาทางศีรษะ มีแสงสว่างมากแต่ก็ไม่คิดสงสัย เพราะขณะใดที่มีอารมณ์สบายจะปลากดว่ามีพระพุทธรัศมีแบบนั้นปลากดเสมอ แต่ทว่าวันนั้นเป็นแสงสว่างธรรมดาไม่มีแสงอื่นผสมก็เลยคิดว่าคงเป็นพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่งมา สงเคราะห์ มันเพลียมากก็เลยปล่อยไปไม่ได้สนใจอะไรอีก ตอนกลางวันฉันยาแก้หวัดเข้าไปเลยนอนหลับตื่นขึ้นเวลา ๑๕.๐๐ น. รู้สึกสบายใจมีกำลังทางร่างกายดี เก็บงานเล็กๆน้อยๆ เสร็จแล้วก็คิดว่าคืนนี้จะออกเที่ยวสักที นานมาแล้วไม่ได้เที่ยว<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    พอถึงเวลา ๑๙.๕๕ น. ก็เตรียมสมาทานพระกรรมฐานกันตามปกติ เมื่อเสร็จพิธีสมาทานก็ปลงสังขารตามเคย เวลาผ่านไป ๓๐ นาทีคือถึงเวลา ๒๐.๓๐ น. ได้ยินเสียงนาฬิกาให้สัญญาณว่าเหลืออีก ๓๐ นาทีจะหมดเวลาแล้ว จึงออกจากกายพบ สมเด็จองค์ปฐม ท่านมายืนคุม ได้กราบทูลถามว่า ท่านเทพประสิทธินายกไปไหนท่านบอกว่า ไปพระนิพพาน ถามท่านว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ระดับไหนท่านบอกว่า เป็นพระอรหันต์ระดับวิชชาสามและทรงมโนมยิทธิ แต่ทิพย์จักขุญาณใสเป็นพิเศษเลยลาท่านจะไปตามดูท่านเทพประสิทธินายก ท่านก็บอกว่า ไปเถอะ ทางนี้ฉันดูเองหมายถึงคุมคนที่กำลังเจริญพระกรรมฐานกันอยู่<o:p></o:p>
    เมื่อไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เข้าพบโยมคือท่านปู่พระอินทร์กับท่านย่า เห็นบรรดานางสาวสรรค์เข้าเวรกันมาก จึงถามท่านว่า มาหาบ่อยๆ โยมรำคาญไหมท่านบอกว่า ไม่รำคาญ มาบ่อยๆ ดี ใจจะได้ไม่ต่ำ เวลาตายจะได้ไม่ไปอบายภูมิเพราะจิตเกาะกุศลอาตมามองดูแม่สาวๆ วันนี้ไม่สวมชฎาปล่อยผมมาปรกหลัง ได้ถามว่า ทำไมไม่สวมชฎาตอบว่า อยู่เวรปกติไม่ต้องสวมชฎา เวลาท่านผู้ใหญ่ประชุมเทวดาจึงจะสวมชฎา คุยกับโยมแล้วก็ลาท่านไปพระจุฬามณี ความจริงก็มีสถานที่ติดกันนั่นเอง ท่านบอกว่า นิมนต์ตามสบาย จะมาหาท่านเทพฯ ใช่ไหมตอบท่านว่า ใช่ท่านบอกว่า ท่านเทพฯกำลังมาที่พระจุฬามณีอาตมาจึงเดินเข้าพระจุฬามณีทางประตูทิศตะวันตก เมื่อผ่านท่านมเหสักขาที่ยืนเป็นยามเฝ้าประตู ท่านเป็นเทวดาอนาคามี <o:p></o:p>
    ท่านมเหสักขาบอกว่า หลวงพ่อครับ ท่านเทพฯ ที่หลวงพ่อต้องการพบท่านกำลังจะออกมาแล้วก็เลยเดินสวนเข้าไปพบท่านเทพฯ เดินสวนออกมาพอดี ท่านสว่างมากเหลือเกิน ท่าทางสง่างดงามมาก พอถึงกันท่านก็จับมือบอกว่า ตามฉันทำไมตอบท่านว่า ไม่ทราบว่าไปทางไหนแต่ก็ลองตามดูท่านบอกว่า ดีแบบนี้ดี ทำไปเป็นปกติเถอะ มีประโยชน์แก่ตัวเองมากถามท่านว่า ท่านมีทิพย์จักขุญาณแจ่มใสมาก ผมทำไม่ได้อย่างท่าน เมื่อท่านตายแล้วผมก็หนัก ยิ่งแก่มากผมก็ยิ่งหนัก เพราะคนก็จะรวมตัวเข้ามา ขอให้ผมแจ่มใสอย่างท่านบ้างได้ไหมท่านบอกว่า รักษาสมาธิที่ศูนย์ไว้เป็นปกติก็แล้วกัน มันจะคล่องตัวเอง และชำระใจให้สะอาดมันจะสว่างมากเองแล้วต่างก็ลากันไปท่านไปที่ของท่าน อาตมาเข้าไปนมัสการพระ พอเข้าไปพระท่านก็บอกว่า คุณไม่มานานแล้วควรมาเป็นปกติ การปลงสังขารเป็นของดีแต่ญาณเครื่องรู้จะผิด เวลานี้เรามีศิษย์จำเป็นต้องใช้ญาณ ควรหันกลับเข้าใช้ญาณตามเดิม ความรู้จะได้ว่องไวตามเดิมและท่านก็สอนมาก ต่อจากนั้นท่านก็ให้ไปเฝ้า สมเด็จพระสมณโคดม ที่พระนิพพาน<o:p></o:p>
    พอขึ้นไปก็เห็นท่านใสสว่างเหมือนดวงอาทิตย์ เข้าไปนมัสการท่านที่พระบาท ท่านตรัสเตือนเรื่องใช้ญาณอีก ท่านว่า เธอปล่อยมากเกินไป การปลงเป็นสมบัติส่วนตัว การทำญาณให้คล่องเป็นเครื่องมือช่วยศิษย์ เธอต้องทำให้คล่องตามเดิมและท่าน พระมหากัจจายนะ อาจารย์สอนญาณเครื่องรู้ก็เข้ามาหา สมเด็จท่านบอกให้ท่านพระมหากัจจายนะเป็นพี่เลี้ยงเดินนำทางไปเฝ้า สมเด็จพระพุทธกัสสปความจริงไม่ต้องนำก็แวะอยู่แล้ว อาตมากราบถามท่าน สมเด็จพระสมณโคดม ว่า ทำไมข้าพระพุทธเจ้าจึงต้องมีท่านมหากัจจายนะเป็นผู้ควบคุม องค์อื่นคุมไม่ได้หรือท่านตรัสว่า เธอปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน ท่านมหากัจจายนะก็ปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน คนที่ปรารถนาพุทธภูมิจนเข้าถึงบารมีปลายจะเอาพระประเภทสาวกปกติคุมไม่ได้ เพราะจะไม่สามารถทำให้เลื่อมใสได้ ต้องเป็นพวกพุทธภูมิด้วยกัน หรือมิฉะนั้นก็ต้องพระพุทธเจ้าโดยตรงจึงจะทำให้เชื่อและเลื่อมใสได้”<o:p></o:p>
    พบพระนิพพานครั้งแรก

    เมื่อไปเฝ้าสมเด็จพระพุทธกัสสป ท่านก็เตือนเรื่องใช้ญาณและให้หมั่นขึ้นไปเพราะเวลานี้ขาดเฝ้ามานาน การเฝ้าท่านมีประโยชน์จากการได้รับพระพุทธบัญชา บอกให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้แล้วเอามาแนะนำต่อๆ ไป ก็รู้สึกว่ามีประโยชน์มาก เมื่อพระองค์ทรงตักเตือนพอสมควรแล้วก็ทรงมีพระพุทธบัญชาให้ไปที่อยู่โดยมีพระมหากัจจายนะ พระอาจารย์เป็นผู้ควบคุม เมื่อจะเข้าประตูวิมานอาตมาเห็นยักษ์ ๔ ตนยืนอยู่ที่ด้านนอกประตูเป็นปกติ ยักษ์พวกนี้เป็นยักษ์อนาคามี เป็นลูกเป็นหลานเก่า พอเห็นเข้าเขาก็ดีใจ พอเข้าประตูไปด้านในมีพรหม ๔ ท่าน เป็นพรหมอนาคามีเหมือนกันเป็นยามด้านใน เมื่อสนทนาปราศรัยกันตามสมควรแล้วก็เดินเข้าสู่สถานที่อยู่ พอไปถึงหอระฆังหน้าที่อาศัยก็จำได้ว่า เมื่อตายครั้งหลังในชาตินี้มาตรงนี้และพบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ปัจจุบัน ท่านได้ตรัสว่า เธอคิดไหมว่าชาตินี้เธอจะมาพระนิพพานได้ได้กราบทูลว่า ไม่เคยคิดว่าจะมาได้ท่านทรงถามว่า เพราะอะไรจึงคิดอย่างนั้นได้กราบทูลท่านว่า วิปัสสนาอ่อนมากและสนใจน้อยท่านถามว่า เธอทราบไหมว่านิพพานอยู่ไหนกราบทูลท่านว่า ไม่ทราบท่านตรัสว่า นี่ตรงนี้เขาเรียกอะไรกราบทูลท่านว่า ไม่ทราบท่านถามว่า เทวดาและพรหมทุกชั้นเธอรู้จักหมดไหมกราบทูลท่านว่า รู้จักหมดท่านถามว่า ที่ตรงนี้เป็นแดนของเทวดาหรือพรหมกราบทูลว่า ไม่ใช่เทวดาและพรหมทั้งสองอย่างเพราะพรหมมีชั้นที่ ๑๖ เป็นชั้นสูงสุดก็ผ่านมาแล้วท่านตรัสว่า ที่ตรงนี้เขาเรียกว่า นิพพานจึงกราบทูลท่านว่า ตามที่เรียนมานั้นครูบาอาจารย์ท่านสอนว่านิพพานไม่มีรูป ไม่มีที่อยู่ ไม่มีอะไรปรากฏท่านทรงแย้มพระโอษฐ์ตรัสว่า เธอมาถึงนิพพานแล้วยังสงสัย<o:p></o:p>
    เป็นอันว่าในที่สุดท่านรับรองว่า นิพพานมีสถานที่ มีรูป มีความสุข เป็นสถานที่มีอารมณ์ปกติ ไม่มีอารมณ์ความรัก โลภ โกรธ หลง และอารมณ์ขัดข้องใดๆ เลย เป็นอารมณ์ว่างสบายด้วยประการทั้งปวง ไม่มีห่วง ไม่มีกังวล ขั้นสุดท้ายท่านก็นิรมิตไม้ขึ้น ๑๐ ท่อน ท่านบอกว่า คนที่จะมานิพพานได้จะแบกไม้นี้ไหว ถ้าแบกไม่ไหวก็จะมานิพพานไม่ได้ แล้วท่านก็เรียกพระที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ที่ตายไปแล้วมา ๙ องค์ ปรากฏว่ามี หลวงพ่อปาน เป็นองค์ที่ ๔ ทุกองค์มาถึงก็แบกไม้ขึ้นบ่าไม่มีท่าทางแสดงว่าหนักเลย เหลืออีกท่อนหนึ่ง ท่านตรัสว่า ท่อนนี้เธอแบกตอนนั้นกำลังใจไม่มีเลย ใจมันบอกว่าไม่ไหว แต่เกรงพระบารมีก็จำต้องเข้าไปหยิบไม้ท่อนที่เหลือท่อนเดียวนั้น ตั้งท่ายักแย่ยักยันออกแรงเสียสุดแรงเกิด พอหยิบเข้าจริงไม้ท่อนนั้นไม่มีนํ้าหนักเลย มีนํ้าหนักคล้ายเศษกระดาษชิ้นเล็กๆ เท่านั้นเอง รู้สึกว่าเบาก็เลยออกเดินตามพระที่แบกก่อนไปพอเดินไปได้หน่อยเดียว ท่านก็เรียกให้เอาไม้มาวางที่เดิมและให้กลับมานั่งที่เก่า ท่านบอกว่า เธอยังไปไม่ได้ วิปัสสนายังอ่อน กลับไปซ้อมวิปัสสนาให้เข้มข้นเสียก่อน เธอจะมานิพพานได้ในชาตินี้ สถานที่นี้เป็นที่อยู่ของเธอ เกิดมีขึ้นได้เพราะอาศัยอานิสงส์ที่สร้างวิหารทาน (สร้างที่อยู่อาศัยเป็นสาธารณะประโยชน์)<o:p></o:p>
    การป่วยคราวนั้นมีอารมณ์ตัดหมด คิดว่าเราไม่มีทรัพย์สิน ไม่มีญาติ ร่างกายไม่ใช่ของเรา ห้ามคนที่มาเยี่ยมพูดถึงทรัพย์สินและเรื่องอื่นทั้งหมด พูดได้อย่างเดียวธรรมปฏิบัติ ตอนนั้นก็ไม่ทราบว่าอารมณ์อย่างนั้นเป็นอารมณ์สังขารุเปกขาญาณและเป็นอารมณ์ของพระที่เข้าถึงพระ นิพพาน ทำส่งเดชแต่ด้วยใจจริง เข้าทำนองที่ท่านกล่าวว่าบังเอิญขี้ตรงร่อง เมื่อหวนคิดถึงความหลังครั้งนั้นขึ้นมาแล้ว ก็เลยไม่นั่งตรงที่พระพุทธเจ้าท่านนั่ง จึงนั่งลงข้างล่างกราบตรงนั้นสามครั้ง พอเงยหน้าขึ้นเห็นท่านมานั่งที่เดิมอีกและก็ตรัสว่า วีระ เธอคิดถึงความหลังหรือจึงกราบทูลว่า คิดอย่างนั้นพระเจ้าข้าพระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วก็ตรัสว่า ดีแล้ว ต่อไปนี้จงซ้อมญาณให้คล่องตามเดิมนะ จะได้เป็นที่อาศัยของศิษย์พระองค์ทรงชี้ให้ดูสถานที่ว่าหลังนี้เป็นที่อยู่ของเธอเป็นแก้วมณีโชติ หลังนี้เป็นที่ประชุม หลังนี้เป็นที่พักการประชุมเป็นแก้วมณีโชติเหมือนกัน คงจะสงสัยว่าทำไมจึงเรียกว่าแก้วมณีโชติ เรียกแก้วมณีเฉยๆ ไม่ได้หรือ มันไม่เหมือนกัน แก้วมณีธรรมดามีสีใสแต่ไม่สว่าง มีแต่รัศมีออกเมื่อต้องแสงอาทิตย์หรือแสงจันทร์ ส่วนแก้วมณีโชตินั้นมีแสงสว่างออกมาเองเหมือนโคมดวงใหญ่แต่สวยสดงดงามมาก<o:p></o:p>
    เมื่อท่านทรงตักเตือนหมดเรื่อง อาตมาก็กราบทูลถามว่า ท่านเทพประสิทธินายกอยู่ที่ไหนท่านก็ทรงชี้ให้ดูทางทิศตะวันออกของที่อยู่ว่า นี่วิมานของเธอ ต่อไปนั่นเป็นสระโบกขรณีของเธอ ถัดสระไปเป็นวิมานของนนทาเทวี ห่างจากวิมานนนทาเทวีไปสามคาวุตก็ถึงวิมานของท่านเทพประสิทธินายก ขณะนั้นท่านนั่งอยู่บนที่ของท่าน มองตามไปเห็นท่านนั่งสุกปลั่งคล้ายแสงอาทิตย์ วิมานเป็นแก้วมณีล้วน ทูลถามท่านว่า สามคาวุตของนิพพาน เทียบระยะความไกลของเมืองมนุษย์ได้เท่าไรท่านบอกว่า ประมาณแสนโยชน์พอตรัสเท่านี้ก็ได้ยินเสียงนาฬิกาที่กุฏิให้สัญญาณบอกเวลา ๒๑.๐๐ น. พระองค์ตรัสว่า ได้เวลาแล้ว ลูกศิษย์จะทรมานตัวเกินไป เธอกลับได้ อีก ๑๐ ปีเธอมีสิทธิ์มาที่อยู่ของเธอได้ตามความต้องการ แต่จงคิดไว้เสมอว่าเราจะต้องตายเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้หรืออีกประเดี๋ยวหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อความไม่ประมาทในชีวิต ก่อนเธอจะมาลูกศิษย์เขาจะทำตนเป็นคนเข้าถึงธรรมได้หลายคน เมื่อกลับไปพรุ่งนี้เธอเขียนเล่าเรื่องนี้ให้อ๋อย (คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) เขาอ่าน อ๋อยเขาเป็นคนมีศรัทธาจริตและพุทธจริต คือมีศรัทธาแต่เชื่อเหตุผลไม่งมงาย เล่าให้เขาฟัง เขาจะได้เร็วกว่าเดิมและพระองค์ก็เสด็จกลับ อาตมาก็กลับลงมา..”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>

    <!-- text below generated by server. PLEASE REMOVE --></OBJECT></LAYER>
    </SPAN></STYLE></NOSCRIPT></TABLE></SCRIPT></APPLET><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc1.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://geocities.com/js_source/geov2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript>geovisit();</SCRIPT>[​IMG] <NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT>[​IMG]
     
  15. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    เรื่องที่ ๘๖

    ตายจากเด็กหญิงอายุ ๗ ขวบ ไปรออยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p> </o:p>
    “..วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๓๑ ท่านพระยายมราชกับท่านนายบัญชีได้มาตามอาตมาให้ไปที่สำนักงานท่านด่วนเพราะเด็กบ่นหาท่าน ก่อนถึงสำนักงานของท่าน ท่านบอกให้อาตมาไปในรูปนอกคือ กายเนื้อ เพราะเด็กและคนที่เห็นจะได้จำได้ ถ้าไปในรูปในคืออทิสสมานกาย เขามองไม่เห็นหรือเห็นไม่ชัดอาจจะจำไม่ได้ เมื่อไปถึงสำนักพระยายมราช เห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุ ๗ ปี รูปร่างขาวโปร่ง เป็นคนทางทิศตะวันออก เมื่อเห็นอาตมาเธอก็วิ่งมาหากราบลงที่เท้าและเกาะไว้ไม่ยอมปล่อย ถามเธอว่า ตายเพราะอะไรเธอตอบว่า เป็นโรคอหิวาต์ตายถามเธอว่า ตายเมื่อไรเธอตอบว่า ตายเดือนกันยายน ๒๕๓๑ นี่เองถามเธอว่า ก่อนตายนึกอย่างไรเธอตอบว่า เมื่อ ๓ ปีที่แล้วมา เธอมาที่วัดท่าซุงกับพ่อและแม่ เมื่อพ่อแม่ให้ไปไหว้อาตมา หนูจะเข้าไปกราบที่ตักอาตมาบอกว่า ไม่ต้องกราบบนตัก กราบใกล้ๆ ก็ใช้ได้” <o:p></o:p>
    เมื่อกราบแล้วก็นั่งตรงนั้นตลอดเวลาจนกว่าจะกลับ จากนั้นก็กลับบ้านเห็นอาตมาตลอดวัน (พระท่านบอกว่าได้ฌานในสังฆานุสติ) พอตื่นนอนก็เห็นอาตมา เวลาจะทำอะไรถ้าถามอาตมาแล้วอาตมายิ้ม แสดงว่าให้ทำได้ ถ้าไม่ยิ้มแสดงว่าห้ามทำ เมื่อก่อนมาพบหลวงพ่อเธอได้ตีแมลงตัวเล็กๆ บินมาตายบ้าง ไม่ตายบ้าง พอกลับมาจากหาอาตมาแล้ว จะตีแมลงตอนเย็นมองดูหน้าอาตมาไม่ยิ้มเลยเลิกตี เมื่อป่วยท้องเดินร้อนภายในมาก แต่เห็นอาตมายิ้มและสวยขึ้นๆ หนูเลยสบายใจ เมื่อจะตายเห็นแมลงฝูงใหญ่บินมาจะเข้าตา เลยตกใจตอนนี้เอง คน ๔ คนนุ่งแดงที่ยืนอยู่นี่แหละ เธอชี้ไปที่คนนุ่งแดง ๔ คนยืนอยู่ ท่านทั้งสี่ยิ้มชอบใจ <o:p></o:p>
    เธอเล่าต่อไปว่า คนนุ่งแดง ๔ คนไปชวนหนูมา หนูจะไม่มา หลวงพ่อบอกว่า ไปเถอะ พ่อจะไปด้วยหนูจึงมา เมื่อมาถึงท่านลุงแล้ว หลวงพ่อออกปากฝากท่านลุงแล้วหลวงพ่อก็หายไป หนูเหงาเลยขอให้ท่านลุงเอาหลวงพ่อหนูคืนมา เมื่อกี้ท่านลุงทั้งสองหายไปคงไปตามหลวงพ่อมา อาตมาถามท่านลุงว่า สอบสวนแล้วหรือยังท่านลุงบอกว่า เด็กได้ฌานในสังฆานุสติ ฌาน พลัดนิดเดียวที่เห็นแมลง เป็นการตายนอกฌาน เธอไปสวรรค์ได้เลย ท่านมาฝากผมจะต้องสอบสวนอะไรกันอีก”<o:p></o:p>
    ในที่สุดทั้งหมดก็พาหนูน้อยไปสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก เธอบอกว่า เธอตายนอกฌานไปพรหมไม่ได้ เธอจะไปอยู่กับท่านปู่อาตมาถามท่านนายบัญชีว่า ทำไมเอามาตั้งแต่อายุยังน้อยท่านเปิดบัญชีให้ดูและอ่านให้ฟังว่า มีสิทธิ์เป็นมนุษย์ ๗ ปีแล้วกลับที่เดิมคือดาวดึงส์ เมื่อถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เธอเข้าไปหาท่านปู่ สนิทสนมแบบคนรู้จักกันดี เธอสวยมีเครื่องประดับก็สวยมาก แสงสว่างมากด้วยอำนาจสังฆานุสติ..”<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>

    <!-- text below generated by server. PLEASE REMOVE --></OBJECT></LAYER>
    </SPAN></STYLE></NOSCRIPT></TABLE></SCRIPT></APPLET><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc1.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://geocities.com/js_source/geov2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript>geovisit();</SCRIPT>[​IMG] <NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT>[​IMG]
     
  16. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    เรื่องที่ ๗๕

    มีอาชีพฆ่าหมูตายแล้วไปสวรรค์

    “..ชายชาวจีนผู้หนึ่งมีอาชีพฆ่าหมูและก็เอาไปขาย พอตอนแก่มีคนบอกว่า ตายแล้วจะตกนรกแกก็เลยใส่บาตรทุกวัน ก่อนจะใส่บาตรทุกครั้งแกจะยกมือไหว้พระสงฆ์ก่อนและจะท่องคาถา นะโมตัสสะ นะโมตัสสะแล้วก็ใส่บาตร ทีนี้พอตอนจะตายแกเห็นยมทูตมา แกก็ว่า นะโมตัสสะปรากฏว่ายมทูตเผ่นไปเลย เวลานั้นจิตเขาเป็นกุศล อกุศลจึงเข้าไม่ได้ ถ้ายมทูตมานี่ยังไม่แน่จะลงนรกหรือไม่ต้องไปสอบสวนก่อน ถ้าแกนึกนะโมตัสสะได้ ท่านพระยายมราชก็ปล่อยให้ไปสวรรค์ก่อน แต่ในเมื่อแกว่า นะโมตัสสะ ตอนก่อนจะตาย ท่านจึงปล่อยให้ไปสวรรค์ทันที..”<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
     
  17. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    เรื่องที่ ๗๓

    เทวดาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาขออาตมาให้บวชเณรให้เพราะขาดอานิสงส์บวชเณร

    “..ผีที่มาขอส่วนมากต้องการเหมือนกันคือ ขอพระพุทธรูปหนึ่งองค์ หน้าตักให้เกิน ๔ นิ้วขึ้นไป ผ้าผืนหนึ่งหรือผ้าไตรผืนหนึ่งก็ได้ และก็มีอาหารเล็กน้อย จะเป็นอาหารแห้งหรืออาหารสดก็ได้ทั้งนั้น ต่อมามีแปลกอยู่รายเดียว ขอให้บวชเณร คนที่มาขอเป็นเทวดาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จึงบอกว่า ฉันจะบวชพระให้เอาไหมท่านเทวดาบอกว่า ไม่เอาถามว่า ทำไมตอบว่า อานิสงส์บวชพระของผมมีแล้ว ผมขาดอานิสงส์บวชเณรถามว่า อยู่ที่ไหนท่านเทวดาพาไปวิมาน ถามว่า มีวิมานสวยขนาดนี้ยังจะขอบวชเณรอีกหรือเขาก็ชี้ให้ดูวิมานข้างๆ ซึ่งสวยกว่าวิมานของเขา เพราะวิมานที่สวยกว่าเขามีอานิสงส์บวชพระ บวชเณร และสังฆทาน แต่ผมขาดอานิสงส์บวชเณรจึงสู้เขาไม่ได้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เป็นอันว่าเทวดายังมาขอเลย ไม่ใช่แต่ขอเฉพาะผีที่ยากจนเสมอไป ขนาดมีวิมานแพรวพราวยังมาขอ ก็เลยจัดการบวชเณรให้..”<o:p></o:p>
     
  18. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    <!-- following code added by server. PLEASE REMOVE --><LINK href="http://us.geocities.com/js_source/div.css" type=text/css rel=stylesheet><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.geocities.com/js_source/div03.js"></SCRIPT> <!-- preceding code added by server. PLEASE REMOVE -->
    เรื่องที่ ๗๒

    หลวงพ่อตอบคำถามศิษย์ที่ถามถึงผู้ที่ตายไปแล้วไปเกิดเป็นอะไร (เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗)

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    “..ต่อไปนี้เป็นเรื่องของท่านผู้มรณภาพ เวลานี้เป็นเวลา ๔.๐๐ น. ตรง คืนนี้ตื่นตั้งแต่ ๒.๓๐น. ก็เป็นอันว่าหลับไม่ได้จนกว่าจะสว่าง และก็ต้องไม่หลับเพราะกิจพึงทำมันยังมี อาการเพลียไม่มีไม่ต้องเป็นห่วง ขอท่านทั้งหลายไม่ต้องเป็นห่วงที่จะคิดว่าเพลียหรือทรมานกาย เพราะนอนเต็มอิ่ม ตื่นมาก็อิ่มเต็มที่ เรื่องตอบคำถามมีดังต่อไปนี้<o:p></o:p>
    รายที่ ๑ นายแพทย์สวัสดิ์ บุณยกุล ถามถึงคุณแม่แก้ว บุณยกุล ซึ่งเป็นมารดาเขียนมา บอกว่า ค่อนข้างท้วม ผิวดำ<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : แม่แก้วมาแล้วหรือยัง ไปตามมาให้ด้วยสิ ไปตามมาทุกคนที่เขาเขียนชื่อมา เขา จะได้ทราบ เอ้ามาแล้วนะ เป็นไงแม่แก้ว เอ๊ะนี่เขาว่าดำนี่ ทำไม่ไม่ดำล่ะ<o:p></o:p>
    แม่แก้ว : เขาว่าดำ<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : อ๋อใช่ เอาล่ะ อยู่ที่ไหน?<o:p></o:p>
    แม่แก้ว : มีความสุขดี<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : เอ้าเป็นอันว่าท่านนายแพทย์สวัสดิ์ บุณยกุล แม่แก้วบอกว่ามีความสุขดี เห็นเขียน มาว่าผิวดำ แต่แม่แก้วมาไม่ดำ ขาว ท้วมหน่อยๆ สวย หน้าตาสดชื่น ถ้าลูกจะทำบุญให้ด้วยความกตัญญูกตเวที แม่แก้วต้องการอะไร<o:p></o:p>
    แม่แก้ว : บอกว่าสบายแล้ว อะไรก็ได้ แต่ว่าถ้าลูกจะทำบุญให้ก็ทำบุญให้เป็นบุญแก่ตัวเอง แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ด้วยความกตัญญู มีจิตประสงค์อยู่ ให้ลูกสร้างความดีให้เป็นปกติ<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : ท่านนายแพทย์สวัสดิ์ บุณยกุล โปรดทราบว่าเวลานี้มารดาของท่านมีความสุขแล้วท่านจะทำอะไรก็ได้ถ้าหวังในความกตัญญูรู้คุณของท่าน แม่แก้วบอกว่าให้ทำตามใจปรารถนา ทั้งนี้เพื่อเป็นบุญของท่านด้วยและเพื่อเป็นความกตัญญูกตเวทีด้วย เป็นอันว่าเรื่อง ของท่านนายแพทย์สวัสดิ์หมดไปหรือแม่แก้วหมดไป สวัสดีแม่แก้วไปหรืออยู่ไหนยังไม่ได้บอกเขาเลย<o:p></o:p>
    แม่แก้ว : ดาวดึงส์<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : แล้วก็ไปเพราะบุญอะไร จะได้บอกให้ลูกเขาทราบ<o:p></o:p>
    แม่แก้ว : บุญเพราะสร้างวิหารทาน ได้บุญเพราะนึกถึงพระ ใส่บาตร ทำบุญอยู่เสมอ เวลา ป่วยจิตใจน้อมถึงกุศล คิดว่าตนต้องตาย จัดเป็นมรณานุสติกรรมฐาน และก็มีความไม่ประมาท คิดถึงบุญเป็นเหตุให้เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : ไปละหรือ สวัสดีจ้ะ <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    รายที่ ๒ นางเชื้อ เนตรพันธุ์ อายุ ๖๕ ปี ตายเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๑๖ รูปร่างอ้วนขาว สันทัด เป็นมารดาของนางอัจฉรามณี<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : แม่เชื้อมาแล้วรึ ทำบุญอะไรไว้นี่<o:p></o:p>
    แม่เชื้อ : ไหว้พระ<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : คนแก่นี่ไหว้พระเป็นแฮะ ด่าเขามากไหมล่ะ<o:p></o:p>
    แม่เชื้อ : ไม่มาก<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : ดีแล้ว เป็นอะไรตาย?<o:p></o:p>
    แม่เชื้อ : ไม่หายใจตาย<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : ไม่เห็นเขาบอกนี่ว่าเป็นอะไรตาย เขาบอกไม่หายใจตาย ฉันก็เหมือนกัน ไอ้โรคระยำนี่มันเป็นทุกคนแหละ ผีพูดถูกจ้ะ เออนี่เขาถามมา เขาเป็นห่วงนะ เวลานี้อยู่ที่ไหนล่ะ บอกตรงๆ นะ อยู่นรกขุมไหนล่ะ<o:p></o:p>
    แม่เชื้อ : ไม่อยู่นรก<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : นึกว่าอยู่จะให้ลูกเขาตามไปด้วย เดี๋ยวบอกซิ ไอ้ตอนที่จะตายน่ะ นึกอย่างไรมันถึงได้ไม่ลงนรก<o:p></o:p>
    แม่เชื้อ : เวลาป่วยตอนต้น นึกมั่งไม่นึกมั่งเรื่องบุญ<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : เออดีเหมือนกันนี่ มันไม่ลากลงนรกไปเสียได้ก็บุญตัวแล้ว นึกไว้เสมอไม่ได้รึ?<o:p></o:p>
    แม่เชื้อ : คิดว่าจะยังไม่ตาย<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : ดีแม่คุณ แล้วตอนหลังเป็นอย่างไรล่ะ<o:p></o:p>
    แม่เชื้อ : อีตอนหลังป่วยมาก ก็ไม่มากนักหรอก อาการมันหนักขึ้นมาก็เลยคิดว่า คราวนี้คงจะไม่รอดเสียแล้วและมีภาพพระปรากฏ เห็นพระพุทธเจ้าเป็นรูปพระสงฆ์ลอยผ่านมาให้เห็น ๒ ครั้ง นับตั้งแต่เห็นครั้งแรกจิตใจก็ถือพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ท่านสวย<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : เออดีมาก ตอนนั้นนึกถึงความดีของพระพุทธเจ้าหรือความสวยของท่าน<o:p></o:p>
    แม่เชื้อ : ท่านสวยจับใจ<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : ฮึ แอบไปรักพระพุทธเจ้าเข้าแล้วซี<o:p></o:p>
    แม่เชื้อ : เปล่า ท่านสวยจับใจทำให้จิตเป็นกุศล อิ่มใจ ชื่นใจ เมื่อเวลาใกล้จะตายปรากฏว่าเห็นท่านมายืนอยู่ทางขวาใกล้ศีรษะ จีวรเกือบจะถูกหน้า ใจสบาย หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าไอ้จิตวิญญาณหรือกายภายในมันออกมาเมื่อไหร่ เมื่อพลัดออกไปจากร่างแล้วก็ตามท่านไป รู้สึกว่าตามท่านไป ท่านเดินนำหน้าแล้วก็ตามท่านไป พอขึ้นไปใกล้พระจุฬามณี เดินเลยพระจุฬามณีขึ้นไปนิดหนึ่ง<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : ทำภาพให้ถูกนะ ถ้าโกหกเขาละฉันลงนรก แต่แกต้องลงไปก่อนนะ ฉันถามแม่เชื้อนะ ฉันไม่ได้พยากรณ์ เอ้าเดินไปถึงตรงนั้นหรือ<o:p></o:p>
    แม่เชื้อ : เดินไปถึงด้านเหนือของพระจุฬามณี เป็นสถานที่โอ่โถงมีความสวยสดงดงามเป็นวิมานอยู่สบาย<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : สบายแล้วก็แล้วไป เป็นอันว่าอย่างนี้เขาเรียกว่า ตายอยู่กับพุทธานุสติกรรมฐาน นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ไปสวรรค์ ดีแล้วอย่าประมาทนะ ไอ้กรรมที่ทำความชั่วไว้แล้วมันจะลากลงนรก ถ้าประมาทเมื่อไหร่ละก็เสร็จเมื่อนั้น จำไว้ให้ดีนะ ทำบุญต่อไป เกื้อกูลต่อไป นึกถึงพระพุทธเจ้าไว้ จะได้เข้าถึงพระโสดาบัน อย่าคิดว่าเป็นนางฟ้าเป็นเทวดาสบาย ดูตัวอย่างเทวดาที่จุติลงมาต่อหน้าต่อตา ลงมาแล้ว เลยไปนรกไม่มีประโยชน์ อย่ามีความประมาท อย่านึกว่าเทวดาวิเศษ หนักๆ เข้าเทวดาจะกลายเป็นเศษ คือ เศษของสัตว์นรก ไม่มีประโยชน์ เอ้าไปแล้วก็ไป ฉันก็จะได้พักบ้าง<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    รายที่ ๓ นายวิสัย อนากูล อนากูลแปลว่า ไม่สกปรกเออนี่ไม่สกปรกมีหรือ รูปร่างสันทัด ผิวขาว ตายเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ สองคนนี่กวดกันจี๋เทียวนี่ บิดามารดาของนายแพทย์สมรัตน์ ระนองธานี<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : มาหรือยังล่ะเตี่ย เอ้าอาศัยความดีอะไรจึงไม่ลงนรก<o:p></o:p>
    นายวิสัย : มีเมตตา อารมณ์มีเมตตาเป็นพื้นฐาน แต่ว่าชาวบ้านจะเห็นหรือไม่เห็นก็ช่าง อาการของคนที่มีเมตตา ไม่จำเป็นต้องยิ้มเสมอ นี่มันเรื่องของใจ<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : อ๋อ มีเมตตาเป็นพื้นฐาน ก็มีพรหมวิหาร ๔ น่ะซี สร้างความระยำไว้บ้างหรือเปล่า<o:p></o:p>
    นายวิสัย : เอาเยอะเหมือนกัน<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : ดีเอาเยอะเหมือนกัน คำว่าเยอะของผีหมายความว่าทำไม่ดีนิดหน่อย ก็ถือว่ามีใช่ไหม<o:p></o:p>
    นายวิสัย : ใช่<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : ไปอยู่ที่ไหนล่ะ<o:p></o:p>
    นายวิสัย : ไม่ไกล<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : ตอบอย่างนี้ได้เรอะ สำหรับฉันไม่มีอะไรไกล ไกลอย่างไรนึกปั๊ปก็ถึงปุ๊ป แต่ชาวบ้านน่ะซี ลูกหลานจะได้เอาอย่าง จะได้รู้จักวิธี<o:p></o:p>
    นายวิสัย : เจริญเมตตาบารมีเข้าไว้ แล้วก็จะไม่มีทางลงนรก บาปกรรมทั้งหลายที่ได้ทำไว้ แล้วจงอย่าตามไปถึง<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : เออดีเหมือนกัน มีจิตเมตตาเข้าไว้เป็นปกติ พ่อคุณมีจิตเมตตา ท่านก็มีศีลครบถ้วน น่ะซีมันเป็น พรหมวิหาร ๔ และแถมมีฌานสมาบัติสมบูรณ์ จะเจริญวิปัสสนาญาณก็เป็นพระอริยเจ้าได้เร็ว จะไปยากอะไรพ่อเทวดา พูดอย่างนี้มันก็ถูกน่ะซี<o:p></o:p>
    นายวิสัย : บอกว่าพูดอย่างเทวดา<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : แล้วนี่อาการความชั่วต่างๆ ไม่ได้ตามไปถึงเลยใช่ไหม<o:p></o:p>
    นายวิสัย : อ๋อ ตอนต้นนึกเหมือนกัน พอนึกแล้วก็ปรากฏว่าใจมันไม่สบาย ก็คิดเข้าไปหาความดี คือความดีของพระพุทธเจ้า ตั้งใจคิดว่า กรรมใดที่ทำมาแล้วเป็นความผิดขอให้อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน และต่อจากนั้นไปก็อาศัยอารมณ์เมตตาประจำใจ ใจมันก็อ่อนโยน มีความสดชื่น นึกถึงความดี นึกถึงบารมีพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ เทวดา พ่อแม่เสร็จ ว่าดะเลย แล้วก็ตายสบาย ตายแล้วก็สบาย<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : เออดีมาก อยู่ที่ไหนพ่อเทวดา ไม่รู้จักบอกเล่าพ่อคุณ<o:p></o:p>
    นายวิสัย : บอกไม่ได้<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : ทำไม่ล่ะ มันจะต้องย้ายบ้านหรือ<o:p></o:p>
    นายวิสัย : จริงๆ เวลานี้อยู่กามาวจรสวรรค์เพราะอาศัยเมตตาบารมีเป็นสำคัญ พ้นจากกามาวจรสวรรค์ต้องไปพรหม<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : เรื่องของคนนี่ดูจริยาภายนอกนี่ดูกันไม่ได้ ไม่มีใครเห็นใจใครอย่างท่านสุปฏิฐิตเทพบุตร เลวแสนเลวตอนเป็นมนุษย์ แต่ตอนปลายก่อนจะตายนึกถึงพระพุทธเจ้าหน่อยเดียว เป็นเทวดา และจากเป็นเทวดาแล้วฟังเทศน์พระพุทธเจ้า อุณหิสวิชัยสูตร เป็นพระโสดาบัน ขอบใจนะ แน่จริงๆ ใช้ได้ๆ ไม่เสียทีเกิด อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่เสียรองเท้าเปล่า อ้าว ชาวบ้านเขาบอกว่าไม่เสียข้าวเปล่า สวมรองเท้านี่ไม่เสียรองเท้าเปล่า เราเดินไม่เหยียบดินไม่สกปรก ถ้าตายแล้วลงนรก ก็เรียกว่ามันสกปรกเหลือดี ไอ้ เชื้อโรคมันซึมเข้ามาทางรองเท้าก็แย่ เอ้า แม่ซิวหยิน อยู่ที่ไหน<o:p></o:p>
    นางซิวหยิน: ทำท่าไหว้ให้ดู <o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : อ๋อ ไหว้เก่งนี่ ไอ้คนไหว้เก่งนี่มันจะไปนรกได้อย่างไร ดีมากๆ ทีหลังพูด<o:p></o:p>
    นางซิวหยิน: ต้องทำท่าไหว้ให้ดู ไม่เช่นนั้นจะไม่เข้าใจ<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : ดีไหว้เก่ง อยู่ด้วยกันกับตาเฒ่า (นายวิสัย) หรือเปล่านี่<o:p></o:p>
    นางซิวหยิน : เปล่า<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : ทำไมแยกเมืองกันเสียล่ะ?<o:p></o:p>
    นางซิวหยิน: ไปตามกำลังใจของบุญ<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : อยู่กับใครล่ะ?<o:p></o:p>
    นางซิวหยิน: ไปเป็นบริวารของ ท่านพรรณวดีศรีโสภาค<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : สบายไหม<o:p></o:p>
    นางซิวหยิน: สบาย<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : ท่านพรรณวดีศรีโสภาคนี่ใจดีหรือเปล่า<o:p></o:p>
    นางซิวหยิน: ท่านใจดีมาก แต่ทว่าท่านเด็ดขาด พูดยิ้มกับใคร ทุกคนกลัวยิ้ม<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : ก็ดีแล้วนี่ เออ ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ<o:p></o:p>
    นางซิวหยิน: ท่านมีระเบียบวินัยดีมาก ท่านเคารพในพระอินทร์<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : “ท่านพระอินทร์แปลว่า ท่านทรงความประเสริฐมากและก็ทรงความ เป็นใหญ่ หรือเป็นใหญ่ในความประเสริฐพระอินทร์ท่านใจดีไหม?<o:p></o:p>
    นางซิวหยิน: ใจดีมาก<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : เฝ้าเสมอหรือเปล่า?<o:p></o:p>
    นางซิวหยิน: ไม่มีเวรเฝ้า แต่ว่าได้ฟังโอวาทท่านอยู่เสมอ เห็นท่านเสมอ เห็นทีไรท่านยิ้มตลอด เวลา<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : เวลาท่านอยู่บนสวรรค์ ท่านบ่นถึงเมืองมนุษย์บ้างไหม โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยนี่<o:p></o:p>
    นางซิวหยิน: บ่นถึง<o:p></o:p>
    หลวงพ่อ : อ้าว ทีหลังจำไว้นะ จะมาเมืองมนุษย์ละก็ต้องถามท่านด้วย ไม่ถามท่านจะบอกอย่างไร ล่ะ รายการนี้ผ่านไป ขอยุตินะ..”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
     
  19. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    <!-- following code added by server. PLEASE REMOVE --><LINK href="http://us.geocities.com/js_source/div.css" type=text/css rel=stylesheet><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.geocities.com/js_source/div03.js"></SCRIPT> <!-- preceding code added by server. PLEASE REMOVE -->
    เรื่องที่ ๗๐

    ตายจากคนอาชีพจับปูทะเลขายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    “..ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ก่อนจะตายถ้าจิตใจผ่องใส นึกถึงบุญกุศลนิดหน่อยตายแล้วก็ไปสวรรค์ทันที เรื่องนี้ให้ชื่อเรื่องว่า เทพธิดาปูทะเล เรื่องมีอยู่ว่า<o:p></o:p>
    วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๓๑ ขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกนั่งอยู่กับ ท่านปัญจสิกขเทพบุตร ซึ่งทำหน้าที่เปรียบเหมือนเลขาของท่านพระอินทร์ เห็นนางฟ้า ๘ องค์ รูปร่างหน้าตาสวยสดงดงามมาก ผิวพรรณผ่องใส เครื่องประดับก็สวย แต่มีองค์หนึ่งนั่งใกล้มากที่สุด ท่านมองหน้าไม่ละสายตา เบื้องหลังนางฟ้า ๘ องค์ไกลออกไปประมาณ ๒ เส้น เป็นภาพผู้หญิงอ้วนใหญ่ ผิวเนื้อดำแดงค่อนข้างดำ หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว ในความรู้สึกของอาตมาเป็นภาพนางยักษิณี จึงหันไปถามท่านปัญจสิกขเทพบุตรว่า บนสวรรค์มีภาพประเภทไม่สวยอย่างนี้เหมือนกันรึท่านตอบว่า ปกติไม่มี แต่นางฟ้า ๘ องค์นี้เป็นคนมีบาปอยู่เบื้องหลังหมายความว่าในระยะต้นสร้างบาปไว้มากแต่ว่าไม่ถึงอนันตริยกรรม อนันตริยกรรมได้แก่ ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิต ยุยงให้สงฆ์แตกกัน ตอนช่วงหลังของชีวิตและตอนใกล้จะตายได้ทำกำลังใจเป็น สัมมาทิฐิ รู้จักการให้ทาน รู้จักการรักษาศีล รู้จักการเจริญภาวนา เวลาจะตายจิตใจก็เกาะความดี เมื่อตายแล้วก็มาเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกก่อน แต่ทว่าบาปยังติดตามอยู่ ถ้าไม่สร้างความดีต่อเป็นการป้องกัน เมื่อจุติไปจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อไรบาปจะดึงเธอทั้งหมดลงอบายภูมิทันที<o:p></o:p>
    ท่านพุทธบริษัทเมื่ออ่านหรือฟังแล้ว จงคิดตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า <o:p></o:p>
    จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา เวลาก่อนจะตาย จิตใจเป็นอกุศลหรือเศร้าหมองนิดหน่อย ก็จะไปอบายภูมิทันที<o:p></o:p>
    จิตเต ปาริสุทเธ สุคติ ปาฏิกังขา ก่อนจะตาย แม้แต่จิตใจผ่องใสในด้านของบุญกุศลนิดหน่อย ก็จะไปสวรรค์ทันที<o:p></o:p>
    อาตมาหันไปถามนางฟ้าที่อยู่ใกล้มากที่สุด และมองหน้าไม่ยอมละ ถามเธอว่า สมัยเป็นมนุษย์อยู่ที่ไหนเธอตอบทันทีว่า จำฉันไม่ได้รึอาตมาบอก ถ้าอย่างนั้นขอดูภาพเดิมให้เห็นภาพเธอเป็นคนแก่อายุประมาณใกล้ ๖๐ ปี รูปร่างใหญ่เทอะทะ ผิวเนื้อดำแดงค่อนข้างดำ ถามเธอว่า รูปร่างของเธอเป็นอย่างนี้ เธอมีสามีหรือเปล่าเธอตอบว่า มีเธอแสดงภาพให้เห็นตั้งแต่สมัยเป็นเด็กแล้วก็เป็นสาววัยรุ่นถึงสาวใหญ่ ตอนสาวรุ่นรูปร่างทรวดทรงดี หน้าตาดี ผิวพรรณไม่ดำ ผิวเนื้อดำแดงและเกลี้ยง ร่างกายมาเปลี่ยนแปลงตอนอายุใกล้ ๔๐ เธอเป็นคนจน <o:p></o:p>
    เวลานั้นอาชีพจริงๆ ก็คือ จับปูทะเลมาขาย ปูทะเลจับมาได้ก็ต้องมัด จับปั๊บมัดปุ๊บ ทำมาแต่เด็กก็ทำได้คล่องรวดเร็วแล้วก็เอามาขาย พอเป็นสาวขึ้นมาก็จับปูทะเลขายเหมือนเดิม แต่งงานแล้วก็ยังทำอยู่เหมือนเดิม มาเปลี่ยนแปลงเอาจริงๆ เมื่อตอนอายุ ๓๐ ปีเศษ ขายปูได้กำไรพอสมควรมีทุนอยู่บ้าง ไม่จับปูเองแล้วแต่เป็นคนซื้อปูมาขายและคุมการขาย<o:p></o:p>
    ให้นึกดูว่า สภาพปูถูกมัดกระดิกกระเดี้ยไม่ได้แบบนั้น มันทรมานขนาดไหน มีการเจ็บปวด มีการเมื่อยขนาดไหน สรุปแล้วเธอทำบาปมาอย่างหนัก เป็นบาปที่ติดตามมา ที่เห็นเป็นภาพนางยักษิณีอยู่ข้างหลังตอนที่มาเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว<o:p></o:p>
    ความจริงในตอนระยะต้นๆ ตั้งแต่เด็กมาจนถึงสาวใหญ่ แต่งงานแล้วก็ตาม บุญเธอก็ทำบ้างแต่ก็ทำบุญแบบผิวเผิน หมายความว่าใส่บาตรบ้างแต่ก็นานๆ ใส่ครั้ง นานๆ ก็ไปฟังเทศน์บ้างแต่ก็ไม่ตั้งใจนัก เขาทำบุญเรี่ยไรก็ทำบ้างแต่ไม่ได้ตั้งใจมาก ทำประเภทปัดสวะให้ผ่านพ้นไป ฉะนั้นท่านทั้งหลายที่แจกฎีกาพึงทราบว่า คนที่เขาทำบุญตามฎีกาเขาจำใจทำกันมา แต่ก็ได้บุญถึงแม้จะได้บุญไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ตาม เปรียบเหมือนชาวบ้านเขามีข้าว ๑ กะละมังได้บุญเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่เราได้บุญไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย มีข้าวแค่ ๑ จาน ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย<o:p></o:p>
    ต่อมาเมื่อเธอมีอายุ ๔๐ ปีเศษๆ ก็มีความรู้สึกว่าอาชีพเดิมมันบาปทั้งหมด ก็เพราะบังเอิญมีพระหลวงตาที่น่าเคารพท่านหนึ่ง ท่านเป็นพระอยู่ใกล้บ้านไปรับบาตรเป็นประจำ ผ่านอยู่เสมอ ท่านอธิบายให้ฟังว่า การทำแบบนี้มันบาปในที่สุดเธอก็ละจากอาชีพขายปูทะเลมาเป็นอาชีพรับจ้างอย่างอื่นที่ไม่เป็นบาป ความจริงน่าขอบคุณหลวงตาองค์นั้นที่ท่านแนะนำ ตอนหลังเธอตั้งหน้าตั้งตาทำบุญ บุญใหญ่เธอทำมาเป็นปกติ ใส่บาตร ฟังเทศน์ ใครไปเรี่ยไรก็ให้ ทำบุญมาเรื่อยๆ จิตใจเป็นบุญกุศล<o:p></o:p>
    ต่อมาระยะใกล้จะตาย ๔ เดือน เธอก็มีโอกาสมาที่วัดท่าซุง ในงานเป่ายันต์เกราะเพชร เห็นวัดเข้าก็ชอบใจ คิดในใจว่าวัดสวยๆ แบบนี้หายาก เธอสนใจมณฑปแก้วที่ปิดกระจกทั้งข้างนอกและข้างใน ก็ชอบใจมากเข้าไปนั่งไหว้พระดูภาพพระก็ชอบใจ มีจิตใจสดชื่น ไปนั่งนานจนกว่าจะถึงเวลาเป่ายันต์เกราะเพชร ก็ไปรับยันต์เกราะเพชรตอน ๔ โมงเช้า ปรากฏว่าเขาประกาศว่ารถจะออก ๔ โมงเย็น จึงไปนั่งป๋ออยู่ที่มณฑปแก้วใหม่ สดชื่นมากจิตใจจับอยู่ที่นั่น<o:p></o:p>
    ต่อมาได้ทราบข่าวว่า ที่ซอยสายลมมีพระวัดท่าซุงไปสอนพระกรรมฐานที่นั่น เธอก็ไปกับเขาด้วย ไปเจริญพระกรรมฐานวันแรกเธอบอกว่า ภาพพระที่มองเห็นเวลาลืมตา แต่เวลาหลับตาแล้วพระองค์นั้นไม่เห็น เห็นแต่ปูที่คลานยั้วเยี้ยที่เธอจับมาก็ดี ภาพที่เธอกำลังมัดปูก็ดี นั่งขายปูก็ดี” <o:p></o:p>
    รวมความว่า ภาพปูปรากฏเต็มไปหมด จะมองเท่าไรก็ไม่เห็นภาพพระเห็นแต่ปูแทน ในที่สุดลืมตาดูพระใหม่ ทิ้งภาพปู พอเห็นภาพพระแจ่มใสดี สดชื่น นานๆ เข้าจึงหลับตาใหม่ ก็ปรากฏเห็นภาพปูอีก เป็นอันว่าวันแรกของการเจริญพระกรรมฐานคือวันเสาร์ ไม่มีผลเห็นพระแต่มีผลเห็นปูทะเลแทน เธอก็เศร้าสลดใจ พอถึงเวลาอุทิศส่วนกุศล พระท่านแนะนำว่า ให้ขอท่านพระยายมราชและเทพเจ้าเป็นพยานในการบำเพ็ญกุศล” <o:p></o:p>
    เผอิญท่านพระยายมราชท่านมาบอกกับอาตมาในวันนั้นว่า ถ้าใครทำบุญไว้ เวลาอุทิศส่วนกุศลให้บอกท่านให้เป็นพยาน ถ้าบังเอิญต้องผ่านสำนักท่าน การสอบสวนเรื่องบาปก็ไม่มี ท่านจะเป็นพยานให้เพราะบุญมีอยู่แล้ว จะส่งไปสวรรค์ก่อนเธอบอกว่า ดีใจในถ้อยคำนี้เวลาพระท่านนำอุทิศส่วนกุศลสดชื่นมาก ตั้งใจจริงๆ เพราะว่าปูเป็นเหตุ ถึงอย่างไรก็ไม่ขอลงนรกแน่ เธอคิดในใจว่า ถ้าขืนลงนรกเสียท่าปูแน่ ปูนับเป็นพันเป็นหมื่นมันตามเล่นงานแน่นอน เธอไม่ได้คิดถึงไฟนรกคิดถึงแต่ปูอย่างเดียว พออุทิศส่วนกุศลเสร็จเธอก็รีบไปที่จุดสังฆทาน จะเอาชุดใหญ่ ๕๐๐, ,๐๐๐, ,๐๐๐ เงินก็ไม่มี ผสมผเสได้ ๑๐๐ บาท ก็ถวายสังฆทานชุดเล็ก ๑๐๐ บาททันที<o:p></o:p>
    วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่สองไปใหม่ตอนกลางวัน ตั้งใจไปถวายสังฆทานชุดเล็ก ๑๐๐ บาททันทีและก็ฟังพระท่านคุยไป นั่งดูพระพุทธรูปไป ตัดสินใจว่าวันนี้จะไม่ยอมให้ภาพปูเข้ามากวนใจ จะขออยู่กับพระพุทธรูป หลับตาบ้างลืมตาบ้าง ใครจะคุยอย่างไรก็ช่าง สนใจพระพุทธรูปอย่างเดียว พอตอนกลางคืนเจริญพระกรรมฐาน เวลาหลับตาปรากฏว่า ภาพปูกับภาพพระแย่งกัน ภาพพระเกิดขึ้นบ้าง เห็นภาพปูบ้างสลับกัน เธอก็ดีใจว่าวันนี้พระสู้กับปูแล้วปูแพ้ เพราะภาพปูเกิดขึ้นมาน้อย เห็นภาพพระมากกว่า พอเจริญพระกรรมฐานเสร็จก็ถวายสังฆทานชุดเล็ก ๑๐๐ บาทอีก<o:p></o:p>
    ต่อมาวันที่สาม ก็ทำอย่างนั้นอีก พอไปถึงปุ๊บไม่ต้องการอะไรทั้งหมด ตั้งหน้าตั้งตาจ้องพระพุทธรูปกับพระสงฆ์ที่พูด มองลีลาพระสงฆ์ที่นั่งพูดบ้างและจำภาพพระพุทธรูปบ้าง ดูสองอย่าง อย่างไหนเลือนก็จับอีกอย่างหนึ่งเข้ามาแทน ตั้งใจจับพระพุทธรูปกับพระสงฆ์ช่วยกันขับปู วันนี้ชนะเด็ดขาดภาพปูไม่ปรากฏเห็นแต่ภาพพระอย่างเดียว เห็นชัดทั้งภาพพระพุทธรูปกับพระสงฆ์ ภาพปูไม่เกิด เธอดีใจมาก<o:p></o:p>
    ก็รวมความว่าเธอทำอย่างนี้มาได้ ๓ ครั้ง วาระที่สุดของชีวิตของเธอก็มาถึง เวลาที่จะตายจริงๆ เธอมีอาการป่วยกระเสาะกระแสะมาหลายวัน ปวดศีรษะบ้าง แน่นหน้าอกบ้าง เสียดท้องบ้างเป็นปกติ แต่ในเวลานั้นก็ตั้งใจภาวนาว่า พุทโธนึกถึงภาพพระกับพระสงฆ์ที่เคยเห็น ภาพก็ชัดเจนแจ่มใสเป็นบางครั้ง บางทีมันปวดมากภาพก็หายไป พอคลายหน่อยจิตก็เห็นภาพ แต่ใจไม่ยอมปลด มันจะปวดอย่างไรก็ตาม ก็ตั้งใจภาวนา พุทโธบ้าง นะมะพะธะบ้าง จับภาพพระพุทธเจ้าบ้าง จับภาพพระสงฆ์บ้างสลับกันไปในที่สุดก็ตาย<o:p></o:p>
    เวลาจะตายเธอบอกว่าไม่มีความรู้สึกว่ามันจะตาย มันเป็นแต่มีความรู้สึกวูบไป อาการปรากฏทีแรกมันอืดเสียดมาก เมื่ออาการอืดเสียดหายไป มีนงงหายไป จิตมีอารมณ์เป็นสุขมาก มีความเยือกเย็น มีความสบาย จิตก็จับภาพพระพุทธรูปภาวนาว่า พุทโธเดี๋ยวก็ นะมะพะธะสลับกับทั้ง ๒ อย่าง ภาพพระก็เกิดมีสภาพแจ่มใส สดใสขึ้น สวยขึ้นๆ ตามลำดับ เป็นทองอร่ามขึ้น ในที่สุดพระท่านยิ้ม เมื่อเห็นภาพพระพุทธรูปยิ้ม เธอก็มีอาการสดชื่น ตอนนี้เองเธอบอกว่า มีความรู้สึกว่าวูบเหมือนกับตกจากที่สูง และมีความรู้สึกอีกทีหนึ่งก็มาอยู่ที่วิมานบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก วิมานสวยสดงดงามมากแพรวพราวเป็นระยับ เป็นเพชรสีน้ำมันก๊าด จะขาวก็ไม่ใช่แต่ใส <o:p></o:p>
    ถามเธอว่า ที่ได้วิมานสวยอย่างนี้เพราะอะไรเธอตอบทันทีว่า เพราะสนใจในมณฑปแก้วและพระพุทธรูปในมณฑปแก้วถามว่า ไปในมณฑปแก้วนั้นกี่ครั้งเธอตอบว่า ไป ๓ ครั้งติดใจ เวลามีงานก็ไป ยามปกติก็ไป เวลาไปต้องเข้าไปในมณฑปแก้วก่อน ไปนั่งหน้าพระพุทธรูป ภาวนาให้สบาย ตัดภาพปูทิ้งไปเห็นพระแทน ดูภาพมณฑปแก้วก็ชอบใจ อันนี้เป็นปัจจัยให้วิมานแก้วใสมาก สว่างมากถามว่า เธอมีเทพบุตรหรือนางฟ้าเป็นบริวารเท่าไรเธอยิ้มแล้วตอบว่า ไม่มีเทวดาเป็นบริวาร มีแต่นางฟ้าเป็นบริวาร ๔,๐๐๐ องค์ เครื่องประดับประดาก็มีมากบอกเธอว่า อยากจะเห็นวิมาน” <o:p></o:p>
    ก็ปรากฏว่าเวลานั้นวิมานก็ลอยมา บ้านเราในเมืองมนุษย์ยกไปไหนไม่ได้ แต่ในเมืองสวรรค์วิมานลอยมาทันที นางฟ้าทั้งหมดหน้าตาแจ่มใสมาก วิมานของเธอใหญ่มากและมีความสว่างไสวมาก ถามเธอว่า เธอมีความรู้สึกอย่างไรกับเรื่องบาปเก่าเวลานี้ภาพนางยักษิณียังปรากฏอยู่ เธอบอกว่า ภาพนางยักษิณีนี่ความจริงไม่ใช่นางยักษิณีจริง เป็นภาพที่แสดงออกเมื่อท่านปรากฏนี่เอง ตามปกติฉันไม่เห็น แต่ว่าภาพนั้นคงเป็นพยานให้ท่านทราบว่า ฉันยังเป็นคนมีบาปถามเธอว่า เธอทราบไหม ถ้าหมดบุญจากสวรรค์ที่ดาวดึงส์เธอจะไปไหนเธอก็ตอบว่า ทราบ เขาจะนำฉันไปไว้นรกขุมที่ ๕” <o:p></o:p>
    ถามเธอว่า จะไปไหมเธอก็ตอบว่า ที่ไปซอยสายลมพระท่านสอนว่า ให้หนีไปพระนิพพาน เวลานี้ฉันตั้งใจไปพระนิพพาน ฉันไปฟังเทศน์ที่พระจุฬามณีเจดียสถานเสมอ ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์และที่ประชุมเทวสภา ก็มีหลายวาระที่บรรดาพระโพธิสัตว์ท่านมาเทศน์ วันไหนพระโพธิสัตว์ท่านไม่ว่างมา ท่านพระอินทร์ก็เทศน์แทน ท่านเทศน์สงเคราะห์ให้เทวดาทุกองค์บำเพ็ญกุศลต่อ ให้ทุกคนมองดูกรรมดั้งเดิมของตัวเองก่อนที่จะตาย ว่ามีกรรมที่เป็นอกุศลไหมและกรรมที่เป็นอกุศลนั้นทิ้งเราหรือยัง เทวดาและนางฟ้าทุกองค์ก็ปฏิบัติตามท่าน รวมความว่าไม่มีเทวดา ไม่มีนางฟ้าองค์ไหนที่ไม่มีบาปกรรมต่อท้ายอยู่เบื้องหลัง ฉะนั้นเทวดาและนางฟ้าทุกองค์ก็ตั้งใจบำเพ็ญกุศลหวังไปพระนิพพาน<o:p></o:p>
    เมื่ออาตมาคุยกับเธอจบก็ถามเธอว่า มีอะไรสั่งไปถึงทางบ้านบ้างไหมเธอก็ตอบว่า ฉันขอสั่งเมื่อท่านเขียนหนังสือแล้วก็บอกเขาด้วยว่า ฉันคนชื่อ ป อยู่หน้า ตายเมื่ออายุ ๕๗ ปี อาชีพเดิมจับปูทะเลและก็ขายปู ต่อมาเมื่ออายุ ๔๐ ปีเศษก็กลายเป็นนักบุญ เวลานี้มีความสุขมาก ขอบรรดาลูกหลานทุกคนที่อยู่ในเมืองมนุษย์ที่คิดว่า การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นปัจจัยให้เกิดความสุขแก่ตัวเองนั้น ความจริงไม่จริงมันจะลากไปสู่อบายภูมิ จะมีความทุกข์หนัก มันไม่คุ้มกันกับความสุขนิดหนึ่งที่ทำให้ร่างกายอิ่ม ฉะนั้นขอบรรดาลูกหลานและพี่น้องทุกคนจงละบาปอกุศล ทำงานรับจ้างเขาที่ไม่เป็นบาปดีกว่า..”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>

    <!-- text below generated by server. PLEASE REMOVE --></OBJECT></LAYER>
    </SPAN></STYLE></NOSCRIPT></TABLE></SCRIPT></APPLET><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc1.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://geocities.com/js_source/geov2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript>geovisit();</SCRIPT>[​IMG] <NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT>[​IMG]
     
  20. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    <!-- following code added by server. PLEASE REMOVE --><LINK href="http://us.geocities.com/js_source/div.css" type=text/css rel=stylesheet><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.geocities.com/js_source/div03.js"></SCRIPT> <!-- preceding code added by server. PLEASE REMOVE -->
    เรื่องที่ ๖๙

    ตายจากหญิงแก่ชอบถวายสังฆทานไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    “..อุปสรรคเป็นของธรรมดาๆ ท่านทั้งหลายต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อนว่า การจะไปไหนก็ดี การจะทำงานทุกอย่างก็ดี แม้แต่การประกอบอาชีพต่างๆ ก็ต้องคิดถึงอุปสรรคก่อน เพราะอุปสรรคต้องมีกับทุกคน วันหนึ่งตั้งใจจะไปหาท่านพระยายมราช ก็ลุกจากที่นอนพอเคลื่อนออกจากที่ก็ปรากฏว่ามี หญิงแก่คนหนึ่งผิวขาว รูปร่างเพรียว อายุประมาณ ๗๐ ปี นั่งขวางทาง จึงให้ชื่อเรื่องนี้ว่า หญิงแก่ขวางทาง หลีกทางซ้ายเธอก็ขวาง หลีกทางขวาเธอก็ขวาง เดินตรงเธอก็ขวาง จึงถามเธอว่า เธอจองเวรจองกรรมอะไรกับฉัน ทำไมจึงขวางทางเดินของฉัน ฉันจะไปหาท่านพระยายมราชแล้วเธอมาขวางทำไมเธอก็ยิ้มบอกว่า ที่ฉันมาขวางเพราะ ฉันยังไม่ต้องการให้ไปหาท่านลุงถามเธอว่า เธอต้องการอะไรเธอตอบว่า ตามฉันมาก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น เธอก็นำหน้าฉันจะตามไปเธอก็พาเดินเรื่อยขึ้นไปทางด้านทิศเหนือ ชันขึ้นไปๆ ปรากฏว่าดินแดนนั้นเป็น เขาพระสุเมรุ เป็นทางที่ราบรื่น สวยสดงดงามมาก ขึ้นไปไม่เหนื่อย พอไปถึงยอดเขาพระสุเมรุก็ไปถึงที่ปัญจสิกขเทพบุตร เป็นที่รวมใกล้พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เมื่อไปถึงเธอก็นั่ง คิดว่าพาไปหาผู้พิพากษาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จึงถามท่านปัญจสิกขเทพบุตรว่า หญิงคนนี้คือใครท่านก็ตอบว่า เป็นหญิงคนหนึ่งที่มีคนเขาถามคุณที่ซอยสายลมว่า เธอตายแล้วไปไหน และคุณตอบสั้นๆ ว่า คิดว่าเธอมีความสุขเพราะว่าคนนี้ทำบุญไว้มาก เวลาเขาถามภาพเกิดกับคุณว่าหญิงคนนี้เคยสร้างพระพุทธรูป ถวายผ้าไตรไว้ในพระพุทธศาสนา แต่ความจริงบุญของเธอไม่ได้ทำแค่นั้นเธอทำไว้มากกว่านั้น เธอเป็นคนใจบุญ เรื่องบาปเป็นของธรรมดาของคนที่เกิดมาต้องมีบาป แต่เธอเป็นคนใจบุญหนัก เคยถวายสังฆทานที่เป็นอาหารกับพระ ถวายสังฆทานที่เป็นของแห้ง เคยทำบุญบวชพระ ทำบุญทอดกฐิน จิตใจของเธอจริงๆ จับอยู่ที่พระพุทธรูปกับผ้าไตร” <o:p></o:p>
    อาตมาจึงหันมาถามเธอว่า ความจริงเป็นอย่างนั้นไหมเธอก็ตอบว่า เป็นความจริงเจ้าค่ะถามเธอว่า บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ผู้หญิงแก่ๆ แบบนี้มีกับเขาด้วยหรือ เพราะนางฟ้าก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี ที่มีรูปร่างแก่น่ะไม่มีเธอก็ตอบว่า เท่าที่ให้เห็นแก่จะได้ทราบว่าเมื่อตายอายุเท่าไรถามถึงอาการตายของเธอ เธอบอกว่า มีอาการร้อนในท้องและก็แน่นในหน้าอกไม่มากนัก ต่อมาศีรษะก็มึน ความร้อนถึงศีรษะตาก็พร่า เวลานั้นจิตใจของเธอไม่ได้นึกอะไรมาก นึกอย่างเดียวว่าเวลานี้เรานับถือพระพุทธเจ้า เราเคยสร้างพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก ๙ นิ้ว ไว้ในพระพุทธศาสนา นอกจากนั้นก็ถวายสังฆทานเป็นพระพุทธรูปหน้าตักขนาด ๕ นิ้วบ้าง ๔ นิ้วบ้าง มีผ้าไตร ที่เป็นวัตถุแห้งก็มาก ที่เป็นอาหารก็มาก ภาพทั้งหมดปรากฏกับเธอ และเวลานั้นก็ปรากฏ มีภาพแมวกับภาพสุนัขที่เธอเลี้ยงไว้ ให้ความเมตตาปรานี เจ้าแมวกับเจ้าสุนัขที่มาหมอบอยู่ข้างๆ จิตเธอก็มีความรักในมัน อาศัยภาพทั้งหลายเหล่านี้ปรากฏ ทุกขเวทนาที่ปรากฏในร่างกายมันก็สลายตัวไปเพราะจิตไม่เกาะ จิตไปเกาะภาพพระพุทธรูปบ้าง จิตไปเกาะผ้าไตรบ้าง การถวายสังฆทานบ้าง เวลานั้นอารมณ์เป็นสุข”<o:p></o:p>
    ต่อมาก็เห็นภาพพระพุทธเจ้าเสด็จมาสว่างใสสะอาดมาก รูปร่างลักษณะโปร่ง ผิวขาวค่อนข้างเหลือง ริมฝีปากแดง สวยมาก ทรงแย้มพระโอษฐ์ จิตใจเธอก็จับพระพุทธเจ้า ต่อมาอีกนิดหน่อยก็เห็นเทวดากับนางฟ้ามีความสวยสดงดงามมากมาชวนเธอว่า ขอให้ไปสวรรค์ด้วยกันเถิด ฉันอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์แต่เท่าที่ปรากฏเวลานั้นมีเฉพาะเทวดากับนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เท่านั้น เธอก็ติดใจนางฟ้า ในที่สุดจิตออกจากร่าง รูปร่างหน้าตาก็เป็นนางฟ้าสวยสดงดงาม” <o:p></o:p>
    เมื่อเธอพูดจบก็ปรากฏว่าร่างกายแก่หายไป มีร่างกายเป็นนางฟ้าสวยสดงดงามแพรวพราวเป็นระยับ สวยมาก จึงถามว่า เท่าที่บอกให้ตามมานี้ต้องการจะให้รู้อะไรเธอก็ตอบว่า อยากจะเล่าให้ฟังเรื่องราวจริงๆ ที่ท่านตอบเขาวันนั้น ยังตอบน้อยไปก็เลยบอกว่า ฉันกำลังป่วยมากและก็เหนื่อยมาก คอก็แห้งเสียงไม่ออก เห็นภาพชัดๆ แค่พระพุทธรูปกับผ้าไตรลอยอยู่ข้างหน้าเธอเธอก็บอกว่า ต้องการให้ทราบตามนี้จึงถามต่อไปว่า ต้องการอะไรอีกเธอถามว่า อยากจะดูวิมานฉันไหมตอบเธอว่า อยากจะดูและวิมานของเธอได้มาจากอะไรเธอก็ตอบว่า สังฆทานถังที่ถวายท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินที่ถวายร่วม ท่านนำไปใช้เป็นสังฆทานบ้าง สร้างวิหารทานบ้าง สร้างพระพุทธรูปบ้าง ฉะนั้นอาศัยที่เงินของฉันมีส่วนในวิหารทาน ฉันจึงมีวิมาน” <o:p></o:p>
    ถามว่า วิมานของเธออยู่ที่ไหนเวลานั้นก็ปรากฏมีวิมานทองคำลอยมาแต่ว่าบนยอดเป็นแก้ว พื้นของวิมานเป็นทองคำสวยสดงดงามมาก มีนางฟ้า สวยสดงดงามประจำอยู่ ๓,๐๐๐ องค์ บรรดานางฟ้าทั้งหลายเห็นเธอเข้าก็ลงมาไหว้ ถามเธอว่า วิมานของเธอเป็นทองคำเพราะอาศัยบุญอะไรเธอตอบว่า อาศัยบุญวิหารทานบ้าง สังฆทานบ้าง เลี้ยงสัตว์บ้าง แต่กำลังใจต่ำไปนิดจึงได้วิมานทองคำถามว่า ยอดวิมานของเธอแทนที่จะเป็นทองคำอย่างวิมานอื่น กลับกลายเป็นแก้วแพรวพราวเป็นระยับเธอตอบว่า ที่เป็นแก้วเพราะ ฉันชอบใจเฉพาะยอดมณฑป ตั้งแต่หลังคาขึ้นไปเบื้องบนของมณฑป แต่ความสนใจในตัวอาคารของมณฑปน้อยไป ถ้าเข้าไปที่นั่นเห็นพระก็มีจิตชุ่มชื่น ฉันพอใจพระทุกองค์ จิตติดใจในพระตายแล้วก็ได้วิมานอย่างนี้ถามเธอว่า นอกจากนี้เธอมีอะไรอีกไหมเธอตอบว่า ท่านจะไปเขียนหนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่ ๖ อยากจะฝากไปถึงลูกถึงหลานเขาจะได้ทราบ บอกเขาว่า ฉันเป็นหญิงเชื้อชาติจีน เป็นจีนทั้งพ่อและแม่ เกิดมาในตระกูลของจีน แต่ว่าอยู่ในเขตพระพุทธศาสนาตั้งแต่เด็ก ชอบการให้ทาน เรื่องความโกรธความไม่ชอบใจก็มีบ้างเป็นของธรรมดา ศีลก็รักษาบ้าง ตอนเด็กๆ ก็ไปวัดกับแม่ แม่ให้ใส่บาตรก็ใส่บาตรบ้าง ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องว่าใส่บาตรมีอานิสงส์อะไรก็ได้บุญ เวลาพระเทศน์ก็ตั้งใจฟังบ้างไม่ตั้งใจฟังบ้าง คิดเรื่องอื่นบ้างถึงแม้ไม่สมบูรณ์แบบแต่ก็ได้บุญ <o:p></o:p>
    ต่อมาก็ชอบในการถวายสังฆทานมาก การเลี้ยงพระก็ชอบ เลี้ยงพระก็เป็นสังฆทาน สังฆทานแห้งก็ชอบ ที่ชอบมากที่สุดก็คือ สังฆทานที่มีพระพุทธรูป มีผ้าไตร และมีอาหารแห้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งติดตาติดใจพระพุทธรูปกับผ้าไตร ตอนต้นถวายพระพุทธรูปองค์เล็กๆ จิตใจก็ไม่ชุ่มชื่น อยากได้องค์ใหญ่ๆ ก็เลยทำบุญด้วยพระพุทธรูปหน้าตัก ๙ นิ้ว เพราะในโลกเขาถือเลข ๙ กัน อะไรๆ ก็เลข ๙ แต่ความจริงเลข ๙ ไม่ได้มีความหมายเด่นไปกว่านั้น ถ้าหากว่าฉันฉลาดฉันจะถวายพระ ๑๒ นิ้ว เป็นพระพุทธชินราชจะดีมาก เพราะสวยสดงดงามมาก แต่ทีนี้คนข้างๆ บ้านบ้าง เพื่อนกันบ้าง ลูกหลานบ้าง เขาบอกว่า ๙ ดี แต่ความจริง ๙ หน้า ๙ หลังนี่มันไปไม่ไกล ก้าวหน้าไป ๑ ก้าวถอยหลังไป ๑ ก้าว ก้าวเท่าไรก็อยู่แค่นั้น”<o:p></o:p>
    รวมความว่าน่าจะไปสูงกว่านี้ แต่กำลังใจดีไม่สมบูรณ์แบบ ก็อยากจะแนะนำให้ลูกหลานจงจำไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าบาป ทำกันแล้วก็พอกันเสียที ให้พยายามทรงความดี อย่างน้อยจิตใจตั้งอยู่ในทาน คิดว่าทานการให้จะมีในเรา <o:p></o:p>
    ประการที่สองศีลรักษาทุกวันไม่ได้ก็รักษาบ้างเป็นประจำวัน <o:p></o:p>
    ประการที่สามกิจที่ฉันทำคือ ฉันบูชาพระทุกวัน ตอนหัวค่ำกับตอนเช้าตรู่ ฉันไม่มีเวลาภาวนามากแต่อาศัยการบูชาพระเป็นกำลัง ฉันติดใจในภาพพระพุทธรูปมาก เวลาจะตายภาพพระพุทธรูปจึงปรากฏและในที่สุดพระพุทธเจ้าเสด็จมานี่เป็นปัจจัยให้ฉันเกิดความสุข ถ้าหากท่านไปพบลูกหลานของฉันบอกด้วยว่า ฉันมีความสุข”<o:p></o:p>
    ต่อมาอาตมาก็หันมาคุยกับท่านปัญจสิกขเทพบุตรถามว่า หญิงคนนี้ตามบัญชีของท่านมีบุญวาสนาบารมีถึงไหนท่านตอบว่า ท่านหมายถึงนิพพานใช่ไหมตอบว่า ใช่ท่านก็ตอบว่า ยัง กำลังบารมียังอ่อนอยู่ ยังไปนิพพานไม่ได้ ทั้งนี้เว้นไว้แต่ว่าถ้าเธอมาอยู่บนสวรรค์แล้ว ตั้งใจบำเพ็ญความดีเพื่อนิพพานต่อไป อาจจะไปได้ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องของเทวดาหรือพรหมจะพยากรณ์ เป็นหน้าที่ขององค์สมเด็จพระชินวรจะพยากรณ์แต่พระองค์เดียว แต่ถ้าเธอทำความดี ความดีก็จะช่วยเธอ”<o:p></o:p>
    ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจงรักษาความดี ๔ ประการไว้คือ<o:p></o:p>
    ๑) รู้จักการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน<o:p></o:p>
    ๒) พูดไพเราะ ใช้วาจาดีๆ<o:p></o:p>
    ๓) ช่วยเหลือการงานซึ่งกันและกัน<o:p></o:p>
    ๔) ไม่ถือตัว<o:p></o:p>
    คุณธรรม ๔ ประการนี้จะเป็นปัจจัยให้ท่านทั้งหลายมีความสุข เพราะความรักกัน..”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>

    <!-- text below generated by server. PLEASE REMOVE --></OBJECT></LAYER>
    </SPAN></STYLE></NOSCRIPT></TABLE></SCRIPT></APPLET><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc1.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://geocities.com/js_source/geov2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript>geovisit();</SCRIPT>[​IMG] <NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT>[​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...