ตำนาน ผีโพง ภาคเหนือ

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 12 มกราคม 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,172
    "คนพายัพ" เล่าเรื่องขนหัวลุกของตำนานผีโพง

    ผมเป็นคนภาคเหนือครับ เมื่อเด็กๆ อยู่ อ.สารภี จ.เชียงใหม่ เคยได้ยินเรื่องผีๆ สางๆ หลายอย่าง เช่น ผีกะ หรือผีปอบจะมีมากที่สุด ถ้าสงสัยว่าใครเป็นปอบหรือโดนปอบสิง ก็ต้องตามหมอไล่ผีมาปราบ

    ในหมู่บ้านผมเคยมีปอบ 2-3 ครั้ง พวกผู้ใหญ่และเด็กๆ ก็ชอบไปดูหมอไล่ผีมาปราบ ไล่ผีปอบออกไป

    หมอไล่ผีเป็นชายสูงอายุ เวลามาปราบผีจะสวมเสื้อยันต์สีแดง และมีย่ามใส่อุปกรณ์ต่างๆ หลายอย่าง คือเขาสัตว์หรือเขี้ยวเสือ มีดลงอักขระเรียกว่ามีดหมอ ข้าวสารสำหรับเสกซัดใส่ผี ฯลฯ

    ก่อนอื่นจะขอน้ำหนึ่งขันมาเสก แล้วใช้ใบหนาดจุ่มน้ำมนต์สลัดใส่ผี ต่างกับภาคกลางที่ใช้ใบมะยม เพราะเชื่อว่ากิ่งและใบมะยมชื่อพ้องกับเทพเจ้าแห่งความตาย คือพระยมและบ่วงยมบาศ ไม้ยมทัณฑ์ สำหรับคล้องวิญญาณผู้ตายไปนรก กับลงโทษคนบาปด้วยไม้ของพระยม

    แต่ใบหนาดก็เชื่อว่าผีกลัว นำมาขับไล่ผีตรงกัน

    ส่วนมากผีจะร้องโอดโอยเมื่อถูกซัดด้วยน้ำมนต์จากใบหนาด ร้องว่า..ฉันกลัวแล้ว! ฉันจะไปแล้ว! คนที่โดนปอบสิงก็จะหายป่วยเป็นปกติ

    นอกจากผีปอบแล้วยังมีผีโพงที่เด็กๆ กลัวกันมากอีกครับ

    บางคนเรียก "ผีโพลง" บ้าง "ผีโพรง" บ้าง มารู้ทีหลังว่าชื่อตรงกับภาคอีสาน แต่เขาหมายถึงผีกระสือ คงจะเป็นเพราะปรากฏตัวเป็นดวงไฟวับๆ แวมๆ คล้ายกัน แต่ผีโพงที่บ้านผมไม่ใช่ผีกระสือ เป็นผีอีกชนิดหนึ่งที่ไม่ทำร้ายมนุษย์ แต่พวกเด็กๆ ได้ยินคำว่าผีก็ย่อมหวาดกลัวกันอยู่แล้ว

    ผู้ใหญ่เล่าว่า ผีโพงจะออกหากินในคืนฝนตกพรำๆ เห็นเป็นดวงไฟลอยไปมา เดี๋ยวโผล่ที่นั่น เดี๋ยวโผล่ที่นี่ จู่ๆ ก็หายไปโดยไม่มีร่องรอย

    เล่ากันว่าผีโพงคือคนธรรมดาๆ แต่เคยทำเวรกรรมไว้ในชาติก่อนจึงต้องมาเป็นผีโพง เที่ยวหากบเขียดกินประทังชีวิต เวลาหาเหยื่อจะมีน้ำมูกหยดเป็นลูกไฟให้คนรู้

    คืนฝนตกพรำๆ ผมกับพี่น้องจะออกไปตีกบกัน พบกับเพื่อนบ้านหลายคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ บางคืนเห็นดวงไฟลุกโพลงบ้าง วอมแวมบ้าง ปรากฏอยู่ในความมืดสลัว น่ากลัวเอาการ

    ที่แปลกคือ ถ้าบอกคนอยู่ใกล้ๆ ให้ดูเขาจะไม่เห็น หรือเขาบอกเรา เราก็จะไม่เห็นเช่นกัน

    มีตำนานเรื่องผีโพงว่าเป็นผู้ชาย ถ้ามีลูกเมียแล้วเวลาจะออกไปหากินก็เอาหมอนข้างวางแทนตัวแล้วใช้ผ้าห่มคลุมไม่ให้ลูกเมียสงสัย ขณะที่ดูดกินเมือกคาวจากกบเขียดอยู่นั้น บังเอิญมีคนรู้จักมาเห็นเข้า ผีโพงก็จะกราบไหว้อ้อนวอนว่าเปิดเผยความลับของตน เพราะเป็นสิ่งน่าอับอายขายหน้าอย่างยิ่ง

    บางรายมีฐานะก็จะมอบแก้วแหวนเงินทองให้เป็นค่าปิดปากเสียด้วยซ้ำไป

    ผีโพงบางตัวเวลาออกหากินจะสะพายดาบไปด้วย ถ้าโดนจับได้หรือจวนตัวจริงๆ ก็อาจจะทำร้ายคนพบเห็นได้ง่ายๆ คนที่เจอเข้าอย่างจังส่วนมากมักใจอ่อนยอมรับสินบนของผีโพงทั้งนั้นแหละครับ

    อาจจะกลัวตายหรืออยากได้เงินทองก็ไม่ทราบ คนที่เป็นผีโพงจึงเก็บความลับไว้ได้ ไม่ถูกประจานเหมือนอย่างผีปอบ

    ที่รู้แน่ว่าเป็นผีโพงก็เพราะการกินกบเขียดดิบๆ เป็นๆ ข้อสำคัญคือมีแสงเรืองส่องออกจากจมูก แล้วหยดลงพื้นคล้ายขี้ไต้ ต่อมาคนที่เป็นผีโพงนานๆ เข้าก็มักฉลาดขึ้น ยามออกหากินก็พกไฟฉายติดตัวไปด้วย ถ้ามีใครพบเห็นเข้าก็แก้ตัวได้ว่าออกมาหากบหาปลาเหมือนคนอื่นๆ

    ข้อสำคัญต้องปกปิดแสงเรืองๆ จากจมูกไว้ให้มิดชิดด้วยนะครับ

    พ่อผมเคยเล่าว่า ผีโพงจัดอยู่ในตระกูลเดียวกับผีกะ หรือผีปอบ ต่างกันที่ไม่ทำร้ายคนอื่น นอกจากจะมีใครทำให้แค้นเคืองจริงๆ จนมันเกิดความโกรธจัด ถึงขั้นผูกพยาบาท ก็จะเอาก้านกล้วยพุ่งใส่อกจนถึงกับล้มตายได้

    บ้างก็เชื่อกันว่าถ้าใครทำให้ผีโพงเจ็บแค้นอาฆาต มันจะใช้ก้านกล้วยพุ่งข้ามหลังคาบ้านคนนั้น ทำให้เกิดอัปมงคล จนถึงกับฉิบหายล้มตายได้ง่ายๆ ทั้งบ้าน

    คนส่วนมากคงจะได้สินบนปิดปากจากผีโพงบ้าง กลัวผีโพงอาฆาตเอาบ้าง จึงไม่มีใครบอกกล่าวหรือยืนยันว่าคนนั้นคนนี้เป็นผีโพง นอกจากจะเล่าสืบต่อกันมา

    ถ้าจะพูดด้วยเหตุผลแล้ว ชาวบ้านทั่วไปเชื่อว่าผีโพงไม่ได้ทำอันตรายผู้คนหรือแม้แต่ทำให้ใครเดือดร้อน จึงไม่ค่อยสนใจนักว่าในหมู่บ้านจะมีผีโพงหรือไม่? หรือใครเป็นผีโพงกันแน่?

    เมื่อผมเติบโตขึ้น เรื่องราวของผีปอบยังมีกระเซ็นกระสายอยู่บ้าง แต่เรื่องผีโพงค่อยๆ เลือนหายไป เหลือแต่ตำนานที่เล่าสู่กันฟังเท่านั้นเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...