ติดตามสถานะการณ์

เปิดคำพูดสุดท้าย “หมอดูอีที” ก่อนจะสิ้นใจ
10 September 2560 | วาไรตี้

มาพบกันเหมือนอีกเช่นเคยนะคะ สำหรับวันนี้สาวย้อ พลัดถิ่นแห่งเพจอัพยิ้มก็มีข่าวคราวของหมอดูอีที ซึ่งเป็นหมอดูชื่อดังชาวพม่ามาอัพเดทให้ทุกคนได้ทราบกัน ซึ่งล่าสุดเมื่อเวลา 04.20 น. วันที่ 10 กันยายน 2560 ท่านได้เสียชีวิตลงอย่างสงบ แต่ก่อนจะสิ้นใจท่านฝากบอกทุกคนว่าต้องอยู่ที่สูงๆไว้น้ำกำลังจะท่วมใหญ่ ใครไม่เชื่อเสียชีวิตอย่างเดียวจะมีสงครามโลกเก็บข้าวแห้งไว้เยอะๆ หลังจากนั้นท่านก็สิ้นใจ

หมอดูอีที RIP.
ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ

ถือว่าท่านเป็นหมอดูที่มีชื่อเสียงมากอีกคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นดาราหรือนักการเมืองทั่วทุกของมุมโลกก็ข้ามน้ำข้ามทะเลมายังประเทศประพม่า เพื่อที่จะมาขอให้ท่านตรวจดูดวงชะตา สาวย้อ พลัดถิ่นต้องขอแสดงความเสียใจกับทางครอบครัวด้วยนะคะ

http://gd.upyim.co/100511/
.

 

Wudhichai Maitreesophone

สะใจดี กับความตรงไปตรงมาแบบชัดเจนที่ทุกคนมองเห็นได้ โดยไม่ต้องใช้แว่นขยาย วลาดิเมียร์ ปูติน ประกาศต่อสาธารณะว่า หากสหรัฐสนับสนุนอาวุธให้ยูเครน รัสเซีย ก็จะตอบโต้สหรัฐ ด้วยการสนับสนุนอาวุธให้กลุ่มตาลีบัน รบกับสหรัฐ

ยูเครน เป็นอดีตสหภาพโซเวียต อยู่ด้านตะวันตกเฉียงใต้ของรัสเซีย ด้านใต้ของยูเครน อยู่ชายฝั่งทะเลดำ ฐานทัพเรือรัสเซียตั้งกระจายชายฝั่งทะเลดำ ไครเมียร์ และในทะเล Azof อ่าวเล็กๆ เชื่อมทะเลดำ กับแม่น้ำที่เชื่อมกับทะเลแคสเปียนได้ ยูเครน คล้ายๆ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของรัสเซีย สินค้าส่งออก 70 - 80% ส่งขายรัสเซีย เทคโนโลยีทางทหารรัสเซียถ่ายทอดให้ยูเครน แต่ชิ้นส่วนสำคัญๆ ยังต้องนำเข้าจากบริษัทแม่ในรัสเซีย ในยูเครนมีชาวรัสเซียอยู่ในฐานะประชาชนชาวยูเครนจำนวนมาก แน่นอนรัฐบาลก็ต้องเป็นรัฐบาลนิยมรัสเซีย แต่สหรัฐต้องการดาบของรัสเซียอย่างยูเครน เอาไว้ทิ่มแทงรัสเซีย จึงร่วมกับนายโปโรแซงโก้ นักธุรกิจชาวยูเครน ก่อความวุ่นวายขึ้นในยูเครน โดยอ้างความหวังว่าจะได้เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป และใช้เงินยูโรดอลลาร์ สินค้าส่งออกเข้าสหภาพยุโรปไม่มีภาษี สร้างภาพหนทางสว่างไสวในอนาคตของคนยูเครนรุ่นใหม่จนมีผู้เห็นด้วย และสนับสนุนออกมาเดินขบวนประท้วงกันมากมาย แบบเดียวกับ กปปส ของไทย พอได้จังหวะ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ที่นั่งคุมเกมส์ก่อความวุ่นวายอยู่ในกรุงเคียฟ ของยูเครน ก็ส่งทีมทหารรับจ้างของ CIA แต่งชุดทหารรัฐบาลยูเครน กราดยิงเข้าใส่ประชาชนที่ออกมาเดินขบวนประท้วงรัฐบาลยูเครน จนคนยูเครนทั้งประเทศโกรธแค้นรัฐบาลยูเครน ในที่สุดประธานาธิบดียูเครน ก็ประกาศลาออก เลือกตั้งใหม่ให้ประชาชนตัดสินใจเลือกประธานาธิบดีคนใหม่ที่ต้องการ และแน่นอนประชาชนชาวยูเครนต้องเลือกผู้นำเดินขบวน และผู้สร้างความหวังใหม่ที่จะเป็นสมาชิก EU ใช้เงินยูโรดอลลาร์ อย่างสมาร์ทแบบคนเยอรมัน และฝรั่งเศส นายโปโรเซ็งโก้ หัวหน้า กปปส ยูเครนได้เป็นประธานาธิบดี และดำเนินนโยบายปิดล้อมรัสเซียตามคำสั่งของสหรัฐอย่างเคร่งครัด จะไล่ฐานทัพเรือรัสเซียออกจากไครเมียร์ แต่ชาวไครเมียร์ให้ความช่วยเหลือรัสเซีย ด้วยการขอปกครองตัวเอง เยอรมัน และฝรั่งเศส ซึ่งไม่เห็นด้วยกับการให้ยูเครนเข้ามาเป็นสมาชิก EU เพราะลำพังกรีซ และชาติยุโรปตะวันออกที่สหรัฐไปเอาเข้ามาด้วยแผนปิดล้อมรัสเซีย เยอรมัน กับฝรั่งเศสก็ต้องแบกจนหลังแอ่น จนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว จึงแอบช่วยเหลือรัสเซีย ไม่ยอมให้ยูเครนใช้กำลังทหารโจมตีไครเมียร์ ให้ใช้วิธีลงประชามติ ครั้งแรกปกครองตัวเอง ครั้งที่สองขอเข้ารวมกับรัสเซีย ผิดแผนของสหรัฐทั้งหมด การปิดล้อมรัสเซีย ก็คือการปิดล้อมตัวเอง สินค้าเกษตร ที่เคยส่งออกไปรัสเซีย ก็ส่งเข้าไปไม่ได้ จะส่งเข้าตลาด EU ก็ส่งเข้าไปไม่ได้เพราะยังไม่ได้เป็นสมาชิก ส่งเข้าไปก็ต้องจ่ายภาษีเต็มที่ และสินค้าอาหารมาตรฐานก็ยังต่ำ และเมื่อต้องเสียภาษี ราคาสูงคุณภาพต่ำ ก็ขายไม่ได้ ชิ้นส่วนสำคัญของยุทโธปกรณ์ทางทหารที่ต้องสั่งจากรัสเซีย ก็ต้องปิดสายการผลิต ไม่สามารถส่งมอบให้ลูกค้าต่างประเทศได้ เงินตราต่างประเทศ ที่เป็นรายได้ก็หายไป ก็เกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้น ต้องขอกู้จากสหรัฐผู้เป็นเจ้านาย แต่สหรัฐไม่ได้มีแต่บารัค โอบาม่า การให้ต่างประเทศกู้ ก็ต้องขออนุญาตรัฐสภา เมื่อกู้เงินเขาไป แล้วไปแอบยักยอก ทุจริต คอรัปชั่น รัฐสภาก็ตำหนิทำเนียบขาว บารัค โอบาม่า เวลาไปประชุมที่ยุโรป ต้องเลยไปแวะยูเครน ที่จำได้ก็ 2 ครั้ง ที่บารัค โอบาม่าแวะไปเตือนโปโรเซ็งโก้ ให้ลดการทุจริตคอรัปชั่นลง ไม่เช่นนั้นรัฐสภาจะไม่อนุมัติให้ปล่อยกู้อีก แต่การทุจริต คอรัปชั่นของคนใกล้ชิดของประธานาธิบดี โปโรเซ็งโก้ ก็ไม่เคยลดลง จนหมดสมัยของบารัค โอบาม่าก็ไม่มีเงินกู้จากสหรัฐอีก ยูเครนจึงอยู่ในวิกฤติการเงินตลอดมา จนกระทั่ง โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวที่รับผิดชอบเรื่องปิดล้อมรัสเซีย ได้เรียกประธานาธิบดีโปโรเซ็งโก้ ไป Stand by ที่ทำเนียบขาว เพื่อรอพบประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แต่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน ช่วงเช้าประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งหาเสียงไว้ว่า จะร่วมกับรัสเซียทำให้โลกเย็นลง และรู้ว่า โปโรเซ็งโก้คือไอ้ตัวทำให้โลกวุ่นวาย จึงปฏิเสธที่จะให้เข้าพบ จึงต้องมีการ Lobby กันยาวนาน จนประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ รู้หน้าที่ว่าต่อหน้าและลับหลังผู้คนต้องทำอย่างไร ในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ในช่วงเย็นโปโรเซ็งโก้ จึงได้รับอนุญาตให้เข้าพบประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมแผนการต่างๆ ในการก่อกวนชายแดนรัสเซียที่ CIA เขียนแผนไว้ และได้รับอนุมัติจากประธานาธิบดีสหรัฐ ให้ปฏิบัติการได้

นี่คือที่มาที่ไป ที่วลาดิเมียร์ ปูติน ประกาศแบบตรงไปตรงมาในวันนี้ว่า "ถ้าสหรัฐส่งอาวุธให้ยูเครน รัสเซียจะส่งอาวุธให้ตาลีบัน รบกับสหรัฐ ในอัฟกานิสถาน"

http://russia-insider.com/en/politics/putin-trump-if-you-arm-ukraine-ill-arm-taliban/ri20867
.

 

Imm Journal



พม่า: จับกุม ผู้ก่อการร้ายชาวบังคลาเทศจำนวน 50 คน

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในพม่ารายงานการจับกุมผู้ก่อการร้ายชาวบังคลาเทศจำนวน 50 คน และการรายงานของนักข่าวที่ได้เข้าสู่พื้นที่ที่ขัดแย้ง แสดงให้เห็นว่ายังมีการต่อสู้อยู่ในจังหวัดยะไข่

ตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคมถึงวันที่ 7 กันยายน มีผู้ก่อการร้ายบังคลาเทศประมาณ 50 รายถูกจับกุมตัว ซึ่งพวกเขามีความสัมพันธ์กับกองกำลังโรฮิงญา ในระหว่างการจลาจลทางภาคเหนือของเมืองมูเจ็นดูในจังหวัดยะไข่และทำการลอบเผาบ้านเรือน 35 หลัง
ขณะนี้กำลังมีการสืบสวนผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมในข้อหาก่อการร้ายจำนวน 50 คนนี้ในสถานีตำรวจรตามกฎหมายพม่า

 

Saiyidsulaiman Husaini

"ยุทธการปลาหมึกยักษ์ 10"



"ลายนิ้วมือของซาอุดิอาระเบียในเหตุการณ์พม่า"

จากการตรวจสอบเหตุการณ์ในพม่าพบว่าความขัดแย้งในเมืองอะรากัน มันเกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว การปะทุและการแพร่ขยายความขัดแย้งเหล่านี้มันเกิดก่อนวันอีดอัฎฮา ( Eid al-Adha) ซึ่งมันแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวของรัฐอ่าวในภูมิภาคนี้

ในสัปดาห์ที่ผ่านมาความทุกข์ทรมานของชาวมุสลิมในพม่ากลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งของประเทศอิสลาม สื่อตุรกีได้เผยแพร่และสะท้อนข่าวเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างแพร่หลายและรวดเร็ว ซึ่งจากนั้นไม่นานก็ มีการปล่อยรูปภาพประกอบที่อ้างว่าเป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชาวมุสลิมในอะรากัน โดยมีการแพร่ภาพและแพร่กระจายบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ในตุรกีอย่างรวดเร็ว

ในความเป็นจริงแล้ว ภาพเหล่านี้มันเกิดขึ้นคล้ายๆกับภาพในอดีตที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ในซีเรียที่ได้รับการตีพิมพ์ในช่วงเวลาสุดท้ายของการปลดปล่อยอาเลปโปที่ภาพเหล่านี้ถูกเผยแพร่ออกไป ด้วยเหตุนี้เมื่อทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงของภาพเหล่านี้จึงเป็นที่แน่ชัดว่ามันเป็นภาพตัดต่อขึ้นมาและเกิดขึ้นในอีกช่วงเวลาหนึ่งและในอีกพื้นที่หนึ่ง

ตรงนี้ ทำให้เกิดคำถามในใจขึ้นมาว่า : "ใช่.... พวกเขาถูกฆ่าตายในเมืองอะรากัน และพวกเขาต้องอพยพและหนีออกจากบ้านของพวกเขา แต่ทำไมเหตุการณ์ดังกล่าวมันจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่โตที่มีการพาดหัวข่าวของทุกสำนักข่าว และทำไมข้อเท็จจริงเหล่านี้จึงถูกอุปโลกน์ขึ้นมาในรูปแบบของแคมเปญปลอมด้วย ? "

การตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อเท็จจริง :

จากการตรวจสอบเหตุการณ์ในพม่าพบว่าความขัดแย้งในเมืองอาระกันนั้นมันเกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว การปะทุและการแพร่ขยายของความขัดแย้งเหล่านี้มันเกิดก่อนวันอีดอัฎฮา ( Eid al-Adha) ซึ่งมันแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวของรัฐอ่าวในภูมิภาคนี้ การสังหารหมู่ชาวมุสลิมในเมืองอาระกันเกิดขึ้นหลังจากที่ “กองทัพปลดปล่อยโรฮิงญาแห่งอาระกัน” หรือ “อาร์ซา” (Arakan Rohingya Salvation Army – ARSA) ได้บุกโจมตีสถานีตำรวจพม่า ซึ่งถูกระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของประเทศแถบอ่าวเปอร์เซียในการยึดและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งน้ำมันและก๊าซในพื้นที่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายโดยการอพยพประชาชนในพื้นที่เหล่านี้

กองทัพปลดปล่อยโรฮิงญาแห่งอาระกัน” หรือ “อาร์ซา” (Arakan Rohingya Salvation Army – ARSA) ได้รับเงินสนับสนุนจากซาอุดิอาระเบีย

กองทัพปลดปล่อยโรฮิงญาแห่งอาระกัน” หรือ “อาร์ซา” (Arakan Rohingya Salvation Army – ARSA) ซึ่งบุกโจมตีสถานีตำรวจพม่าอันเป็นผลต่อการสังหารหมู่ชาวมุสลิมนั้น ได้รับการสนับสนุนจากซาอุดิอาระเบีย

Ata-Allah Abu Ammar Joununi หัวหน้ากองทัพปลดปล่อยโรฮิงญาแห่งอาระกัน” หรือ “อาร์ซา” (Arakan Rohingya Salvation Army – ARSA) เป็นชาวโรฮิงญา เกิดที่ปากีสถาน เติบโตในนครเมกกะและมีสัญชาติซาอุดิอาระเบีย ซึ่งรัฐบาลริยาดด้วยการสนับสนุนบุคคลนี้และกองทหารอาสาสมัครนี้ได้ฉวยโอกาสจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ของตัวเอง และมีความต้องการที่จะยึดครองพื้นที่ของชาวอาระกันที่มีทรัพย์สมบัติใต้ดินอย่างมหาศาลให้เป็นของตัวเอง และกำหนดให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับพวกเขา

โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ด้วยการก่อรัฐประหารเงียบสามารถขึ้นมาเป็นมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย เพื่อดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาประเทศ “วิชั่น 2030” ของซาอุดิอาระเบีย จึงใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่าที่สุดจากกองทัพปลดปล่อยโรฮิงญาแห่งอาระกัน” หรือ “อาร์ซา” (Arakan Rohingya Salvation Army – ARSA) ในการลงทุนของรัฐบาลริยาดเป็นเวลา 8 ปีในอาระกัน จากเอกสารลับที่ถูกเผยแพร่ออกมาจากสำนักพระราชวังซาอุดิอาระเบียนั้น กองทัพปลดปล่อยโรฮิงญาแห่งอาระกัน” หรือ “อาร์ซา” (Arakan Rohingya Salvation Army – ARSA) ได้รับคำสั่งจากริยาดโดยตรงในการโจมตีสถานีตำรวจพม่า 25 ครั้งล่าสุด และจากเอกสารลับของสำนักราชวังซาอุดิอาระเบีย กษัตริย์ซาอุดิอาระเบียได้ให้การสนับสนุนผู้ลี้ภัยชาวพม่าเกือบ 500,000 คน ตั้งแต่ปี พ. ศ. 2552 (2009) และได้นำมาซึ่งการดำเนินชีวิตและอิทธิพลของพวกเขาในเมืองอาระกัน และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของซาอุดีอาระเบียได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่ออาบูอัมมาร์ (Ata-Allah Abu Ammar Joununi )เพื่อให้มีอิทธิพลอย่างมากในอาระกัน

หมู่บ้าน Rohingya กลายเป็นโรงแรมของ UAE

ตามเอกสารและข้อมูลที่ได้รับ สื่อทุกแขนงและสถานีโทรทัศน์ในภูมิภาคนี้ถูกสร้างขึ้นโดยริยาด มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ในวิสัยทัศน์แผนพัฒนาซาอุดิอาระเบีย 2030 มีแผนจะเปลี่ยนภูมิภาคอาระกันซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรใต้ดินและความมั่งคั่งให้กลายเป็นพื้นที่ปลอดมนุษย์ เว็บไซต์ (MEE) รายงานว่าการลงทุนในการใช้ประโยชน์และควบคุมน้ำมันและก๊าซของซาอุดิอาระเบียไม่ได้จำกัดแค่ในอ่าวเบงกอลเท่านั้น แต่ทว่าบริษัทน้ำมัน Aramco ซึ่งเป็น บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของราชวงศ์ซาอูด ( Al Saud ) ก็ได้ยึดตลาดพลังงานของประเทศพม่าแล้ว นอกจากนี้โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ได้เชิญชวนและส่งเสริมให้พันธมิตรของตนในภูมิภาคคือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เข้ามาลงทุนในการพัฒนาทรัพยากรใต้ดินของประเทศพม่า และอีกด้านหนึ่งก็ได้กว้านซื้อที่ดินที่มีค่าของชาวโรฮิงญาไป ขณะที่ บริษัท อัล – มาร์วาน อาบูดาบี ได้เซ็นสัญญากับรัฐบาลพม่าในการสร้างทางหลวงและโรงแรมในอาระกัน ทำให้รัฐบาลริยาดมีความโลภอยากได้ดินแดนมุสลิมในเมืองอาระกันไว้ครอบครอง ด้วยการกวาดซื้อที่ดินเหล่านี้

Anh Gilman สมาชิกกรมการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา เชื่อว่า ราชวงศ์ซาอูด ต้องการนำชาวโรฮิงยาไปยังประเทศของตนเอง (ผนวกโรฮิงยากับซาอุดิอาระเบีย) และเป็นพื้นที่ปลอดภัยในการจัดหาวัตถุดิบอาหารของซาอุดีอาระเบีย โดยที่ซาอุดิอาระเบียต้องการแก้วิกฤติเศรษฐกิจของตนด้วยการยึดและปกครองเหนือดินแดนมุสลิมอาระกัน

ดังนั้นหากมีการพิจารณาประเด็นเรื่องพม่าจากมุมมองนี้ การวิเคราะห์ปริศนาและการวิเคราะห์วิกฤตินี้ก็จะทำให้มันมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

http://akharinkhabar.ir/analysis/3719573

 

Saiyidsulaiman Husaini

ยุทธการปลาหมึกยักษ์11



Conspiracy theory(ทฤษฎีสมคบคิด)ของสหรัฐอเมริกา,ซาอุดีอาระเบีย,ไอซิสและนาโต้(NATO)
เบื้องหลังการสังหารหมู่ในพม่า

“การสังหารชาวมุสลิมในประเทศพม่าเป็นปฐมบทหรือปฐมเหตุ ในการจุดชนวน “สงครามพุทธ-อิสลาม” “.....!

ในการสังหารชาวมุสลิมพม่า ประเด็นหลักที่ต้องคำนึงก่อนสิ่งอื่นใดนั้นควรอ้างอิงถึงบทบาทของนาโต้ (สภาแอตแลนติก) ในฐานะเป็นผู้วางแผนหลักของแนวทางการขยายตัวของนาโต้ยังเอเชียตะวันออก

พม่าตั้งอยู่ในตำแหน่งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความสำคัญทางการเมือง และเนื่องจากมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซจึงมีความมั่งคั่งเป็นอย่างมาก ความสำคัญนี้ทำให้พม่ากลายเป็นเป้าหมายที่สำคัญสำหรับนาโต้ ชายฝั่งของพม่าติดกับช่องแคบมะละกาซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางทางยุทธศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งช่องแคบมะละกาเชื่อมต่อถึงมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก และเป็นเส้นทางทะเลที่สั้นที่สุดระหว่างอ่าวเปอร์เซียกับจีน

80% ของการนำเข้าน้ำมันของจีน (12 ล้านบาร์เรลต่อวัน) จะถูกขนส่งโดยเรือบรรทุกน้ำมันผ่านช่องแคบนี้ ดังนั้นการควบคุมเส้นทางน้ำนี้มันจึงเปรียบเสมือนการควบคุมคอขวดที่มีการส่งผ่านพลังงานไปยังประเทศจีน

หลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายนและการครอบงำบ่อน้ำมันในภูมิภาคของสหรัฐ ทำให้จีนพยายามป้องกันไม่ให้สหรัฐอเมริกาเข้าถึงช่องแคบมะละกาด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็งในพม่า

ในทางตรงกันข้าม ด้วยการสนับสนุนของนาโต้ผ่านมูลนิธิเพื่อประชาธิปไตยและมูลนิธิโซรอส พยายามวางแผนและสนับสนุน " Saffron Revolution หรือ "การปฏิวัติผ้ากาสาวพัสตร์" ในพม่า โดยพยายามที่จะทำให้รัฐบาลของประเทศนี้เป็นแนวเดียวกันกับตะวันตก

การสังหารชาวมุสลิมในประเทศพม่าเป็นปฐมบทหรือปฐมเหตุ ในการจุดชนวน “สงครามพุทธ-อิสลาม” และการปรากฏตัวของกลุ่มก่อการร้ายในภูมิภาคนี้ เพื่อให้นาโต้สามารถเข้าสู่ภูมิภาคนี้ได้และจัดตั้งกองกำลังทหาร โดยอาศัยข้ออ้างในการเผชิญหน้ากับการโจมตีของผู้ก่อการร้าย
http://www.ana.ir/news/272931
http://www.farsnews.com/13960618000059

 

Bank of Thailand Scholarship Students
(Sep 11) พายุ ‘เออร์มา’ถล่ม ‘ฟลอริดา’ บ้านเกือบ 3 ล้าน‘ไฟดับ’-ถนนจมน้ำ-เครนก่อสร้างบนตึกสูงโค่นลงมา: พายุเฮอร์ริเคนปีศาจ “เออร์มา” ส่งเสียงคำรามเข้าสู่ฟลอริดา ด้วยความเร็วลม 130 ไมล์ (ราว 209 กิโลเมตร) ต่อชั่วโมงในวันอาทิตย์ (10 ก.ย.) โดยทำท่าอาจจะอาละวาดไปเกือบทั่วทั้งมลรัฐทางตะวันออกเฉียงใต้สุดของสหรัฐฯแห่งนี้ ขณะที่ฤทธิ์เดชของมันทำให้ถนนสายต่างๆ จมอยู่ใต้น้ำ บ้านเรือนและธุรกิจต่างๆ หลายล้านรายไม่มีไฟฟ้าใช้ และเครนก่อสร้างขนาดใหญ่บนอาคารสูงเมืองไมอามีหักโค่นลงมา

พายุลูกมหึมาที่มีความกว้างร่วมๆ 400 ไมล์ (640 กิโลเมตร) ลูกนี้ พัดเข้าสู่ชายฝั่งของสหรัฐฯตอนเช้าวันอาทิตย์ (10) ในบริเวณ “ฟลอริดา คีย์ส” หมู่เกาะเล็กๆ ที่อยู่ใต้สุดของฟลอริดาและผู้คนพากันอพยพออกไปแทบทั้งหมดแล้ว จากนั้นก็เริ่มเหยาะย่างอย่างช้าๆ ขึ้นไปตามชายฝั่งตะวันตกของมลรัฐแห่งนี้ พวกนักพยากรณ์อากาศคาดหมายว่านอร์มาอาจเข้าถล่มใส่พื้นที่แถวเมืองแทมปา-เซนต์ปิเตอร์สเบิร์ก ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น ตอนประมาณเช้าวันจันทร์ (11)
“ช่วยกันสวดอ้อนวอน สวดอ้อนวอนเพื่อทุกๆ คนในฟลอริดา” ผู้ว่าการ ริค สกอตต์ กล่าวทางรายการสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ “ฟอกซ์ นิวส์ ซันเดย์” ขณะที่ประชาชนทั่วทั้งรัฐประมาณ 116,000 คน เฝ้าติดตามข่าวคราวสถานการณ์อยู่ในสถานที่พักพิงหลบภัยแห่งต่างๆ

ขณะขึ้นฝั่งสหรัฐฯนั้น ความรุนแรงของเออร์มาถูกจัดให้อยู่ระดับ 4 ในมาตรวัดซึ่งมีทั้งสิ้น 5 ระดับ แล้วพอถึงช่วงเย็นๆ พายุลูกนี้ก็อ่อนกำลังลงจนอยู่ในระดับ 2 ด้วยความเร็วลม 110 ไมล์ (177 กิโลเมตร) ต่อชั่วโมง ซึ่งนำเอาพายุฝนชุ่มโชกมากระหน่ำใส่บรรดาต้นปาล์มในฟลอริดา สำหรับคลื่นพายุซัดฝั่งมีความรุนแรงมาก โดยลูกที่ทำสถิติสูงสุดนั้นวัดได้สูงกว่า 10 ฟุต (3 เมตร) ในบริเวณฟลอริดา คีย์ส โดยที่นักพยากรณ์อากาศเตือนว่าบางพื้นที่บนแผ่นดินใหญ่ยังอาจจะเจอกับคลื่นซัดฝั่งสูงถึง 15 ฟุต (ราว 4.6 เมตร)

ในฟลอริดายังไม่มีรายงานยืนยันการเสียชีวิตใดๆ เฉพาะหน้านี้ เป็นการเพิ่มเติมจาก 24 คนซึ่งสิ้นชีพไประหว่างพายุลูกนี้เคลื่อนผ่านบริเวณทะเลแคริบเบียน

บริเวณใจกลางเมืองไมอามีและเมืองใหญ่อื่นๆ ถนนจำนวนมากถูกน้ำท่วม ส่วนแถวๆ พื้นที่ต่ำๆ ของฟลอริดา คีย์ส สามารถมองเห็นอุปกรณ์เครื่องใช้และเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ลอยฟ่องอยู่ในน้ำ ถึงแม้ขนาดความเสียหายทั้งหมดจากการอาละวาดของนอร์มา ยังไม่เป็นที่ชัดเจนในตอนนี้

หญิงท้องแก่ในไมอามีผู้หนึ่ง ได้คลอดลูกเองโดยได้รับคำแนะนำที่ส่งมาทางโทรศัพท์ เนื่องจากพวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบไม่สามารถเข้าไปหาเธอได้ในเวลาที่ลมพายุกำลังพัดแรงและถนนหนทางก็จมอยู่ในน้ำ แต่ในเวลาต่อมาพวกพนักงานดับเพลิงก็สามารถนำเธอส่งโรงพยาบาล

พายุหมุนทอร์นาโดลูกหนึ่งซึ่งดูเหมือนถูกกระตุ้นให้เกิดขึ้นโดยเฮอร์ริเคนนอร์มา ได้ทำลายบ้านเคลื่อนที่ไป 6 คันในปาล์มเบย์ ซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตรตามแนวชายฝั่งแอตแลนติกของรัฐนี้ มีรายงานว่าเกิดน้ำท่วมตามแนวทางหลวง “อินเตอร์สเตท 4” ซึ่งตัดข้ามบริเวณช่วงกลางๆ ของฟลอริดา

ในเขตกลางเมืองไมอามี เครนก่อสร้าง 2 ในกว่า 20 ตัวที่กำลังถูกใช้เพื่อการก่อสร้างอาคารสูง ได้พังครืนลงมาเนื่องจากแรงลม ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ และพวกเจ้าหน้าที่ของเมืองบอกว่าอาจจะต้องใช้เวลาราว 2 สัปดาห์ในการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ขนาดใหญ่มากนี้

มีการประกาศคำสั่งห้ามออกนอกบ้านยามวิกาลทั้งที่เมืองไมอามี, แทมปา, ฟอร์ต ลอเดอร์เดล และพื้นที่จำนวนมากในส่วนที่เหลือของฟลอริดาใต้ รวมทั้งมีรายงานการจับกุมผู้ละเมิดคำสั่งบางรายด้วย ไมอามี บีช นั้นหามคนภายนอกเข้าไปยังเกาะแห่งนี้

ตำรวจเมืองฟอร์ต ลอเดอร์เดล เข้าจับกุมผู้ต้องหาเอาไว้ 9 คนซึ่งพวกเขาบอกว่าถูกจับภาพทางกล้องทีวีวงจรปิดขณะกำลังบุกเข้าปล้นชิงรองเท้ากีฬาและข้าวของอื่นๆ จากห้างขายเครื่องกีฬาแห่งหนึ่ง และโรงรับจำนำอีกแห่งหนึ่ง ระหว่างที่เกิดพายุ

บ้านเรือนและธุรกิจต่างๆ มากกว่า 2.7 ล้านรายทั่วทั้งมลรัฐเจอไฟฟ้าดับ และพวกเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าบอกว่าจะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ทีเดียวกว่าจะแก้ไขซ่อมแซมให้ทุกๆ รายกลับมีไฟฟ้าใช้ได้ใหม่

ขณะที่เส้นทางพายุซึ่งคาดการณ์กัน แสดงให้เห็นว่าเออร์มากำลังอาละวาดอยู่แถวชายฝั่งอ่าวเม็กซิโกของรัฐฟลอริดา แต่พวกนักพยากรณ์อากาศเตือนว่าทั่วทั้งรัฐ รวมทั้งพื้นที่เขตมหานครไมอามีที่มีประชากร 6 ล้านคน ยังคงตกอยู่ในอันตราย เนื่องจากขนาดอันมหึมาของเฮอร์ริเคนลูกนี้

ทั้งนี้ประชาชนร่วมๆ 7 ล้านในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ ได้รับคำเตือนให้อพยพหลบภัย ในจำนวนนี้เฉพาะที่ฟลอริดาก็มีจำนวน 6.4 ล้านคน

ประชาชนราว 30,000 คนได้รับคำสั่งให้ออกไปจากแถบฟลอริดา คีย์ส ตอนที่พายุเคลื่อนใกล้เข้ามา แต่มีผู้คนจำนวนที่ไม่ทราบแน่ชัดปฏิเสธไม่ยอมอพยพ ส่วนหนึ่งเนื่องจากคนในพื้นที่จำนวนมากซึ่งเผชิญกับพายุมาเยอะแล้ว รู้สึกกันว่าการอยู่สู้อันตรายถือเป็นเรื่องที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรี

เออร์มาขึ้นสู่ฝั่งหลังจากเวลาผ่าน 9.00 น.วันอาทิตย์ (10) นิดเดียว ที่ คุดโจ คีย์ ห่างจากด้านนอกของคีย์ เวสต์ ราว 20 ไมล์ พวกนักพยากรณ์อากาศระบุ ตอนช่วงบ่ายๆ เฮอร์ริเคนลูกนี้พัดวนเวียนอยู่บริเวณมุมตะวันตกเฉียงใต้ของฟลอริดา และเคลื่อนมุ่งหน้าไปยังเมืองเนเปิลส์, ซานิเบล, ฟอร์ต ไมเออร์ส, และถัดจากนั้นคือ ซาราโซตา ด้วยความเร็ว 14 ไมล์ (23 กิโลเมตร) ต่อชั่วโมง

นักพยากรณ์อากาศ ไรอัน มาอูเอะ แห่ง เวเธอร์เบลล์ อะนาไลติกส์ กล่าวว่า ทั่วทั้งคาบสมุทรฟลอริดาจะเจอกับฤทธิ์เดชในเสี้ยวหน้าขวา (right front quadrant) ของเออร์มา ซึ่งเป็นส่วนของพายุเฮอร์ริเคนที่มักก่อให้เกิดลมรุนแรงที่สุด, คลื่นพายุซัดฝั่ง, ฝนกระหน่ำ, และพายุหมุนทอร์นาโด

พื้นที่แทมปา-เซนต์ปิเตอร์สเบิร์ก ซึ่งมีประชากรราว 3 ล้านคน ไม่เคยถูกซัดกระหน่ำตรงๆ จากเฮอร์ริเคนลูกใหญ่ๆ เลย นับตั้งแต่ปี 1921 เป็นต้นมา ทว่ามีลมเริ่มพัดแรงแล้วในเซนต์ปิเตอร์สเบิร์ก ซึ่งอยู่ห่างจากฟลอริดา คีย์ส ไปทางเหนือ ราว 400 ไมล์ และผู้คนเริ่มต้นประสบกับการอาละวาดของเออร์มา

พวกนักพยากรณ์อากาศระบุว่า หลังพัดผ่านฟลอริดาซึ่งทำให้เออร์มาอ่อนกำลังลงแล้ว เฮอร์ริเคนลูกนี้ยังอาจเคลื่อนที่ต่อไปยังรัฐจอร์เจีย, แอละแบมา, มิสซิสซิปปี, เทนเนสซี, และพื้นที่ถัดจากนั้นไปอีก

Source: ผู้จัดการออนไลน์

เพิ่มเติม
1. Hurricane Irma topples a Miami construction crane, and floods parts of the city
https://www.cnbc.com/2017/09/10/hur...ction-crane-and-floods-parts-of-the-city.html

2. Irma aims full fury at Florida's Gulf Coast, floods central Miami
http://www.reuters.com/article/us-s...gulf-coast-floods-central-miami-idUSKCN1BG0KL

 

เกิดเปลวไฟสุริยะขนาด x8.2 ในวันที่ 10 กันยายน 2569 เวลา 23.06 น.



วิดีโอที่ได้รับการอัปเดตได้รับการปรับปรุงโดยกล้องโทรทรรศน์ Solar Dynamics Observatory (SDO) ซึ่งรวบรวมเหตุการณ์การแผ่รังสีจากแสงอาทิตย์ X8.2 รอบบริเวณจุดดับที่ 2673 ด้านตรงข้ามโลก ซึ่งเป็นจุดสูงสุดที่เวลา 23:06 น. 10 กันยายน 2560 พายุกำลังแรงระดับ (S3) ที่แข็งแกร่งกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการเนื่องจากอนุภาคมีพลังไหลผ่านโลก

SolarHam.com

ALERT: เหตุการณ์โปรตอน 10MeV Integral Flux เกินกว่า 1000pfu
เวลาเริ่มต้น: 11 กันยายน 2560 1:40 น.
NOAA มาตราส่วน: S3 - แข็งแรง
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น: การแผ่รังสี - ผู้โดยสารและลูกเรือในละติจูดสูงเที่ยวบินระดับความสูงอาจสัมผัสกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการฉายรังสี นักบินอวกาศบน EVA (ยานพาหนะพิเศษ) มีระดับการแผ่รังสีสูง
ยานอวกาศ - เหตุการณ์เดียวที่รบกวนการดำเนินงานผ่านดาวเทียมระบบเสียงในระบบภาพและการลดประสิทธิภาพของแผงโซลาร์เซลล์เล็กน้อย
วิทยุ - การแพร่กระจายคลื่นวิทยุขั้วโลก HF (ความถี่สูง) ที่ได้รับการย่อยสลายหรือเป็นขั้นตอน

สรุป: วิทยุกระจายเสียง 10 ซม
เวลาเริ่มต้น: 10 กันยายน 2560 22.50 น.
เวลาสูงสุด: 10 กันยายน 2560 22.54 น.
สิ้นสุดเวลา: 11 กันยายน 2560 . 00.06 น.
ระยะเวลา: 76 นาที
ยอดสูงสุด: 1900 sfu
ล่าสุด Penticton เที่ยงฟลักซ์: 107 sfu
www.swpc.noaa.gov/noaa-scales-explanation
คำอธิบาย: การระเบิดทางอากาศ 10 ซม. แสดงว่าการระเบิดทางแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับเปลวไฟจากแสงอาทิตย์ที่ความยาวคลื่น 10 ซม. สูงกว่าพื้นหลังวิทยุขั้นต้น 10 เท่าหรือมากกว่า ซึ่งอาจบ่งบอกถึงสัญญาณรบกวนจากวิทยุที่มีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับแสงอาทิตย์ลุกเป็นไฟ เสียงนี้โดยทั่วไปมีอายุสั้น แต่อาจทำให้เกิดสัญญาณรบกวนสำหรับเครื่องรับสัญญาณที่ละเอียดอ่อนเช่นเรดาร์ GPS และการสื่อสารผ่านดาวเทียม

ALERT: การแผ่รังสีวิทยุชนิด II
เวลาเริ่มต้น: 10 กันยายน 2560 . 23.08 น.
ความเร็วโดยประมาณ: 928 km / s
www.swpc.noaa.gov/noaa-scales-explanation
คำอธิบาย: การปล่อยมลพิษในชั้นที่สองเกิดขึ้นจากการปะทุบนดวงอาทิตย์และโดยปกติแล้วจะมีการปล่อยมวลชเวียนออกมาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ลุกเป็นไฟ

ALERT: การแผ่รังสีวิทยุชนิด IV
เวลาเริ่มต้น: 10 กันยายน 2560 23.08 น.
www.swpc.noaa.gov/noaa-scales-explanation
คำอธิบาย: การปล่อยไอวี 4 ชนิดเกิดขึ้นเมื่อมีการปะทุครั้งสำคัญบนดวงอาทิตย์และโดยทั่วไปแล้วจะเกี่ยวข้องกับการเพิ่มมวลสารของโคโรนาและพายุรังสีดวงอาทิตย์

?Attached is updated video by the Solar Dynamics Observatory (SDO) capturing the X8.2 solar flare event around departing region 2673 peaking at 16:06 UTC today. A Strong (S3) level radiation storm is now in progress as energetic particles stream past Earth.

SolarHam.com

ALERT: Proton Event 10MeV Integral Flux exceeded 1000pfu
Begin Time: 2017 Sep 10 1840 UTC
NOAA Scale: S3 - Strong
Potential Impacts: Radiation - Passengers and crew in high latitude, high altitude flights may experience increasing radiation exposures. Astronauts on EVA (extra-vehicular activity) are exposed to elevated radiation levels.
Spacecraft - Single-event upsets to satellite operations, noise in imaging systems, and slight reduction of efficiency in solar panels are likely.
Radio - Degraded or episodically blacked-out polar HF (high frequency) radio propagation.

SUMMARY: 10cm Radio Burst
Begin Time: 2017 Sep 10 1550 UTC
Maximum Time: 2017 Sep 10 1554 UTC
End Time: 2017 Sep 10 1706 UTC
Duration: 76 minutes
Peak Flux: 1900 sfu
Latest Penticton Noon Flux: 107 sfu
www.swpc.noaa.gov/noaa-scales-explanation
Description: A 10cm radio burst indicates that the electromagnetic burst associated with a solar flare at the 10cm wavelength was double or greater than the initial 10cm radio background. This can be indicative of significant radio noise in association with a solar flare. This noise is generally short-lived but can cause interference for sensitive receivers including radar, GPS, and satellite communications.

ALERT: Type II Radio Emission
Begin Time: 2017 Sep 10 1608 UTC
Estimated Velocity: 928 km/s
www.swpc.noaa.gov/noaa-scales-explanation
Description: Type II emissions occur in association with eruptions on the sun and typically indicate a coronal mass ejection is associated with a flare event.

ALERT: Type IV Radio Emission
Begin Time: 2017 Sep 10 1608 UTC
www.swpc.noaa.gov/noaa-scales-explanation
Description: Type IV emissions occur in association with major eruptions on the sun and are typically associated with strong coronal mass ejections and solar radiation storms.

 

Wudhichai Maitreesophone



กนั้นตอนกลางคืน ผู้ก่อการร้ายและครอบครัว ตกลงใจที่จะเดินเท้าไปยังที่หมายเอง เครื่องบินรบของสหรัฐ ตามโจมตีทิ้งระเบิดใส่ขบวนเดินเท้า ทั้งผู้ก่อการร้ายและครอบครัวตายรวม 85 คน รถบัสอีก 6 คันหนีเตลิดกลับไปชายแดนเลยานอนที่เดิม ตอนนี้ยังเหลือรถบัสอยู่กลางทะเลทราย 17 คัน ที่กองทัพซีเรียต้องส่งข้าวส่งน้ำ ทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซียโกรธจัด ต่อว่าไปทางทำเนียบขาว ทำเนียบขาวตอบกลับมาว่า เขาแค่กลัวว่าผู้ก่อการร้ายชุดนี้จะเข้าไปอยูในอิรักของเขา และเขาไม่ได้โจมตีขบวนรถ เขาโจมตีคนเดินเท้าเท่านั้น แต่เมื่อรัสเซียต่อว่ามา เขาจะสั่งยกเลิกภาระกิจนี้ให้

https://www.almasdarnews.com/article/us-warplanes-stop-shadowing-daesh-convoy-russias-request/

 

Wudhichai Maitreesophone



รัสเซียเขาเต็มที่กับซีเรียจริงๆ ยังไม่เคยเห็นขบวนบรรเทาทุกข์ของรัฐบาลซีเรียเลยนะครับ นี่ที่ Deir Ezzor คอนวอยบรรเทาทุกข์ของรัสเซียเข้ามาแจกจ่ายอาหาร น้ำดื่ม และเวชภัณฑ์ โดยชาวเมือง Deir Ezzor เข้าแถวรอรับของอย่างมีระเบียบ พร้อมๆกับร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญประธานาธิบดี อัล อัสซาด และเพลงมาร์ชกองทัพบก ทำให้บรรยากาศเป็นที่สนุกสนาน

ข่าวด้านการรบ กองทัพบกซีเรียไล่ยึดสนามบินพาณิชย์ของเมือง Deir Ezzor ซึ่งตามข่าวนี้บอกว่า พื้นที่ย่านนี้เชื่อมต่อกับค่าย Garison ของสหรัฐ ที่สหรัฐแจ้งว่า มีทั้งหมด 600 ค่าย ที่จะยกให้ซีเรีย ซึ่งแสดงว่า ตลอดแนวชายแดน ซีเรีย-อิรัค และซีเรีย-จอร์แดน จากภาคตะวันออก ตะวันออกเฉียงใต้ และภาคใต้ สหรัฐอยู่เบื้องหลังการก่อการร้าย และทำลายบ้านเมืองของซีเรียทั้งหมด มันน่าเศร้าใจมากๆ ผมว่า มันถึงเวลาอันควรที่ซีเรียจะต้องยื่นฟ้องเรียกค่าบ้านเมืองเสียหายจากสหรัฐต่อศาลระหว่างประเทศ เขาเที่ยวขับเครื่องบินไปทิ้งระเบิดใส่ทำลายบ้านเมืองของคนอื่น ด้วยความไม่ชอบส่วนตัวต่อผู้นำของประเทศนั้นๆ ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้วครับ...

https://www.almasdarnews.com/article/russian-aid-streams-formerly-besieged-deir-ez-zor/

 

Imm Journal



กัดกันเอง... ซาอุฯจับกุม สองนักการศาสนาสาลาฟีในประเทศ ข้อหาสนับสนุนกาตาร์

นักเคลื่อนไหวเครือข่ายทางสังคมได้เปิดเผยกรณีที่กองกำลังรักษาความปลอดภัยได้จับกุมสองนักเผยแพร่ศาสนาสลาฟีในซาอุดิอาระเบีย

นักเคลื่อนไหวเครือข่ายทางสังคมได้เปิดเผยกรณีที่หน่วยรักษาความปลอดภัยซาอุฯ จับกุม Salman al-Awad นักการศาสนาซาอุดีอาระเบียที่ให้การสนับสนุนกาตาร์ในภาวะวิกฤติกับสี่ประเทศอาหรับกับโดฮา

โดยที่Salman al-Awad นักการศาสนาซาอุดีอาระเบีย ไม่เห็นด้วยในการคว่ำบาตรกาตาร์โดยทั้งสี่ประเทศอาหรับคือซาอุดีอาระเบีย อียิปต์ UAE และบาห์เรน

ข่าวนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจากแหล่งข้อมูลของซาอุดีอาระเบีย

ในขณะเดียวกันบางแหล่งข่าวรายงานว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยซาอุดีอาระเบียได้จับกุม Awad al-Qarni นักการศาสนาอีกคนของซาอุดิอาระเบียที่สนับสนุนกาตาร์

ซาอุดิอาระเบียและพันธมิตรได้กล่าวไว้แล้วว่าการสนับสนุนประเทศกาตาร์จะถือเป็นความผิดทางอาญา และจะถูกดำเนินการทางกฎหมาย

 

Imm Journal

ฮิซบุลลอฮฺ ยึดอุปกรณ์สอดแนมของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ในภาคใต้ของเลบานอน



ฮิซบุลลอฮฺเลบานอน ได้ค้นพบและยึดอุปกรณ์สอดแนมของอิสราเอลซึ่งเป็นกล้องดิจิตอลและกล้องความร้อนซุกซ่อนภายในก้อนหินในพื้นที่ Kfar Sushu ทางภาคใต้เลบานอน

รัฐเถื่อนไซออนิสต์ได้ติดตั้งอุปกรณ์สอดแนมนี้ขึ้นในฐาน "Royat al-Alam" ทางตะวันตกของเขตทุ่งที่ถูกยึดครองของ Shabaa ในเขต Kfar Shuba ทางตอนใต้ของเลบานอน

อุปกรณ์และเครื่องมือสอดแนมถูกค้นพบในเวลาเดียวกับการซ้อมรบที่กว้างขวางของอิสราเอลทางตอนเหนือของปาเลสไตน์ที่อยู่ใกล้กับชายแดนเลบานอน

นอกจากนั้นทางกองทัพเลบานอนได้ทำลายระเบิดขนาดใหญ่สามลูกที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือสอดแนมนี้

http://www.isna.ir/news/96061910525/شناسایی-دستگاه-جاسوسی-رژیم-صهیونیستی-در-جنوب-لبنان

 

Imm Journal

ผู้ก่อการร้ายไอซิส ทิ้งครอบครัวไว้ในเมือง ทัล อะฟาร อิรัก รวม 1,400คน!!



ภายหลังจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายไอซิสถูกกองทัพอิรัก ขับออกจากเมือง ทัล อะฟาร ทำให้ภรรยาและลูกๆรวม 1,400 คน ถูกทิ้งไว้ในเมืองดังกล่าว แต่ขณะนี้ได้อยู่ในความดูแลของรัฐบาลอิรักแล้ว!!

โดยเจ้าหน้าที่กองทัพอิรักระบุว่า ครอบครัวผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่มาจากประเทศ รัสเซีย,ตุรกี,ประเทศแถบเอเชียกลางและบางประเทศในยุโรป

เจ้าหน้าที่อิรักยังเผยว่า ขณะนี้เราทำงานอย่างหนักเพื่อพิสูจน์ทราบสัญชาติบรรดาครอบครัวผู้ก่อการ้ายที่ถูกทิ้งไว้ในเมือง ทัล อะฟาร เพราะส่วนใหญ่กลุ่มบุคคลเหล่านี้ได้ทำการทำลายเอกสารหรือพาสปอร์ต เพื่อป้องกันไม่ให้มีการพิสูจน์ทราบสัญชาติโดยรัฐบาลอิรัก!!!

http://www.presstv.ir/Detail/2017/09/10/534719/daesh-iraq-foreign-women

 

Imm Journal

รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เยือนริยาด เข้าพบคิงซัลมาน ถกสถานการณ์ตะวันออกกลาง



รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซียเดินทางถึงซาอุดีอาระเบียในเย็นวันเสาร์และมีกำหนดจะเจรจากับกษัตริย์ซาอุดิอาระเบียในวันนี้ (วันอาทิตย์)

รายงานจากแหล่งข่าวทางการของซาอุดิอาระเบีย เครื่องบินของรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย Sergei Lavrov ลงจอดที่สนามบิน King Abdul Aziz ในเจดดาห์ โดยได้รับการต้อนรับจาก Adel al-Jabirรัฐมนตรีต่างประเทศ ซาอุดิอาระเบีย

Lavrov มีกำหนดดารเดินทางไปซาอุดิอาระเบียและจอร์แดนระหว่างวันที่ 9 กันยายนถึง 11 กันยายน

Lavrov มีกำหนดการเข้าพบและเจรจากับคิงซัลมาน บิน อับดุลซาซิส ซาอุดิอารเบีย และ Adel al-Jabir รัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดิอาระเบียในเมือง Jeddah จากนั้นจะเดินทางต่อไปยังประเทศจอร์แดน

การหารือของ Lavrov ในซาอุดิอาระเบียและจอร์แดนจะมุ่งเน้นการแก้ไขวิกฤติในภูมิภาคและตะวันออกกลางโดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ในประเทศซีเรียและลดสถานการณ์ความตึงเครียดและความพยายามในการจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรฝ่ายค้านที่ไม่เห็นด้วย

http://www.isna.ir/news/96061910449/لاوروف-وارد-عربستان-شد

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Sep 11) 'รมว.คลัง' ห่วงเงินบาทแข็งค่ากว่าภูมิภาค: "รมว.คลัง" ห่วงเงินบาทแข็งค่ากว่าสกุลอื่นในภูมิภาค พร้อมแจ้ง "ธปท." ดูแล รับกระทบการส่งออกแต่ไม่รุนแรงมาก

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ว่า กระทรวงการคลังมีความเป็นห่วงและแจ้งไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แล้ว เพราะค่าเงินบาทขณะนี้ถือว่าแข็งค่ากว่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาค ซึ่ง ธปท.รับทราบข้อห่วงใยดังกล่าวแล้ว และกำลังมีมาตรการแก้ไข

"หากเงินบาทแข็งค่าระดับใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งถือว่าไม่เป็นไร แต่ขณะนี้เงินบาทแข็งค่ากว่าต่างประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่ของ ธปท.โดยตรงที่จะดูแลสถานการณ์ค่าเงินบาทให้เหมาะสม" นายอภิศักดิ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการที่เงินบาทแข็งค่าย่อมมีผลกระทบต่อภาคการส่งออก แต่ยังไม่รุนแรงมากจนกระทบกับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศปีนี้

ทั้งนี้ ที่ผ่านมากระทรวงการคลังมีมาตรการหลายอย่าง เพื่อช่วยไม่ให้เงินบาทแข็งค่าเกินไป ด้วยการออกมาตรการเป็นระยะเวลา 6 เดือนให้นิติบุคคลต่างประเทศที่ออกพันธบัตร หรือหุ้นกู้ที่เป็นสกุลเงินบาท (บาทบอนด์ ) ในประเทศไทยสามารถแลกกลับเป็นเงินตราต่างประเทศ เมื่อเวลานำเงินออกนอกประเทศไทยได้ เพื่อบรรเทาไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งเกินไปและช่วยให้เกิดความสมดุลในปริมาณการไหลเข้าออกของเงินทุน

นอกจากนี้ ยังระบุถึงกรณีที่สภาองค์การลูกจ้าง สภาแรงงานแห่งประเทศไทย มีมติเสนอรัฐบาลขอปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 700 บาท ว่า เป็นเรื่องของกระทรวงแรงงาน แต่ยอมรับการปรับขึ้นค่าแรงเป็นการเพิ่มต้นทุนของผู้ประกอบการ ซึ่งต้องศึกษาว่าภาคเอกชนรับกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้หรือไม่ เพราะการที่ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นเรื่องดีที่จะดูแลเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำ แต่ต้องดูไม่ให้กระทบจนทำให้ผู้ประกอบการอยู่ไม่ได้ ซึ่งจะต้องดูให้สมดุลทั้ง 2 ด้าน

Source: BOTSS
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/772310

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Sep 11) “ทำไมบาทแข็งค่า ทำไมเงินทุนไหลเข้า” : การแข็งค่าของเงินบาทปีนี้เป็นข่าวมาตลอด ผมเองก็ถูกถามบ่อยเรื่องนี้ โดยเฉพาะช่วงเดือนที่ผ่านมา ที่ค่าเงินบาทเป็นข่าวมาก

ก็เพราะความกังวลของผู้ประกอบการและนักลงทุนถึงผลของเงินบาทแข็งค่าที่จะมีต่อเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะการส่งออกและการท่องเที่ยวที่กำลังเป็นตัวขับเคลื่อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยขณะนี้

นอกจากนี้ พร้อมกับการแข็งค่าของเงินบาท ตลาดหุ้นก็ดูเหมือนจะพุ่งแรง ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศที่กดดันให้เงินบาทยิ่งแข็งค่า ทำให้นักลงทุนหลายคนมีคำถามว่า ทำไมเงินทุนต่างประเทศไหลเข้าประเทศไทยตอนนี้ และสถานการณ์เงินบาทแข็งค่าจะมีต่อไปอีกนานแค่ไหน และจะมีผลต่อเศรษฐกิจอย่างไร นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้

ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์แข็งค่าต่อเนื่องตลอด 8 เดือนแรกของปีนี้ จากระดับ 35.80 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์ สิ้นปีที่แล้ว เป็น 35.43 บาท สิ้นเดือนม.ค.ปีนี้ 34.45 บาท สิ้นเดือนมี.ค. 33.99 บาท สิ้นเดือนมิ.ย. และ 33.26 บาท สิ้นเดือนส.ค. แข็งค่าขึ้นตลอด 8 เดือนแรก รวมแล้วประมาณ 7.1% ตั้งแต่ต้นปี

การแข็งค่าของเงินบาทเป็นผลจากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยต่างประเทศและเศรษฐกิจในประเทศ แต่เท่าที่ประเมินดู ปัจจัยสำคัญที่กดดันให้เงินบาทแข็งค่าปีนี้คงมี 3 ปัจจัย

1. การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ คงจำได้ตอนต้นปี ความรู้สึกเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐปรับตัวดีขึ้นมากจากความเข้าใจว่ารัฐบาลใหม่ภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์จะใช้จ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวได้มากขึ้น กดดันให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐจะต้องปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น ความรู้สึกนี้ ทำให้เงินดอลลาร์เริ่มแข็งค่าขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี

แต่หลังจากนั้น ค่าเงินดอลลาร์ก็เริ่มอ่อนค่าลงเมื่อชัดเจนว่าการลงทุนภาครัฐของสหรัฐจะไม่สามารถเร่งรัดหรือขยายตัวได้ตามคาดจากอุปสรรคภายในระบบการเมืองของสหรัฐเอง เมื่อรัฐบาลสหรัฐไม่สามารถเร่งรัดการลงทุนได้ตามคาด ความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐก็ถูกลดทอนลง

พร้อมกันนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆก็ส่งสัญญาณว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอาจไม่เข้มแข็งอย่างที่ได้คาดไว้ เช่น อัตราเงินเฟ้อที่ยังต่ำที่ 1.7% ในเดือนก.ค. เหล่านี้ทำให้การคาดหวังเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐถูกลดทอนลงเช่นกันคือ ธนาคารกลางสหรัฐอาจไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในทุกการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเหมือนที่เคยคาด ทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าและอ่อนค่าต่อเนื่อง หลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐเมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่ธนาคารกลางสหรัฐไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

2. ปัจจัยเศรษฐกิจไทยเอง โดยเฉพาะการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่มีต่อเนื่องช่วง 8 เดือนแรกปีนี้ ดุลบัญชีเดินสะพัดคือ ผลต่างระหว่างรายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศที่ประเทศได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ ซึ่งรวมถึงรายได้จากการท่องเที่ยว และรายจ่ายที่ประเทศจ่ายในรูปเงินตราต่างประเทศจากการนำเข้าสินค้าและบริการจากต่างประเทศ

ผลต่างนี้ของประเทศไทยเป็นบวกตลอด 8 เดือนแรกปีนี้คือ ประเทศมีรายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศมากกว่ารายจ่าย ทำให้เงินบาทแข็งค่า ที่ต้องตระหนักก็คือ อัตราเพิ่มของรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เทียบกับอัตราเพิ่มของรายจ่ายด้านการนำเข้า ซึ่งแสดงว่าการใช้จ่ายในประเทศอาจเริ่มฟื้นตัว แต่การส่งออกยังอ่อนแอ ดังนั้นจากนี้ไป เราคงเห็นการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดปรับลดลงมากขึ้นในระยะต่อไปและอาจกลายเป็นการขาดดุลซึ่งจะทำให้เงินบาทอ่อนค่า
คือ
3. เงินทุนต่างประเทศ ช่วง 8 เดือนแรกปีนี้ ประเทศไทยมีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามากกว่าไหลออก กดดันให้เงินบาทแข็งค่า

3 ปัจจัยนี้ได้ผสมผสานกัน ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าตั้งแต่ต้นปี แม้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยขณะนั้นยังไม่มีความชัดเจน แต่เงินบาทก็ยังสามารถแข็งค่าได้ต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศ ที่มาจากความรู้สึกที่ดีขึ้นของนักลงทุนต่างประเทศเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง ที่นักลงทุนมองว่าเศรษฐกิจไทยกำลังปรับตัวดีขึ้นจาก
1) เศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อการส่งออกของไทย แม้เงินบาทจะแข็งค่า

2) รายได้เกษตรกรได้ประโยชน์จากราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งน่าจะสนับสนุนการใช้จ่ายในประเทศให้ขยายตัว

3) ความรู้สึกว่าโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐมีความชัดเจนมากกว่าสมัยก่อน บวกกับนโยบายรัฐบาลได้สร้างความชัดเจนให้กับนักลงทุนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย

4) การท่องเที่ยวที่นักลงทุนประเมินว่าประเทศไทยจะได้ประโยชน์จากการเติบโตของกำลังซื้อในภูมิภาคและ

5) นักลงทุนเองก็ไม่ค่อยมีที่ไป ในแง่ของตลาดต่างประเทศที่จะเข้าไปลงทุน เพราะราคาทรัพย์สินในหลายประเทศได้ปรับสูงขึ้นจนเกินปัจจัยพื้นฐาน

แต่สำหรับตลาดการเงินไทย นักลงทุนมองว่ายังสามารถปรับขึ้นได้อีกจากราคาสินทรัพย์ที่ยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้มีเงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามากในช่วงก่อนหน้า ทำให้ตลาดการเงินไทยยังไม่เห็นความเสี่ยงเรื่องภาวะฟองสบู่ในราคาสินทรัพย์ นักลงทุนต่างชาติจึงได้กลับมาให้ความสนใจกับตลาดการเงินไทยมากขึ้น

ที่วิเคราะห์มาคงชัดเจนว่าการแข็งค่าของเงินบาท เป็นผลจากหลายปัจจัย ได้แก่ เศรษฐกิจต่างประเทศ ทิศทางเงินดอลลาร์และการปรับพอร์ทของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเมื่อราคาสินทรัพย์ไทยได้ปรับสูงขึ้นถึงจุดหนึ่ง เงินทุนไหลเข้าคงชะลอ ขณะเดียวกัน การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดก็จะลดลงและเปลี่ยนเป็นติดลบตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ 2 ปัจจัยนี้จะทำให้ค่าเงินบาทเริ่มกลับมาอ่อนค่า ซึ่งอาจเห็นได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 ปีนี้

นี่คือมุมมองเกี่ยวกับค่าเงินบาทที่อยากจะแชร์ให้แฟนคอลัมน์ “เศรษฐศาสตร์บัณฑิต” ทราบ

โดย ดร.บัณฑิต นิจถาวร
คอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ "เศรษฐศาสตร์บัณฑิต"

Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/642478

 

‘เรือเร็วติดจรวดของอิหร่าน’เตือน‘เรือรบอเมริกัน’ ให้ถอยออกไป เผยแพร่: 10 ก.ย. 2560 20:34:00


เรือเร็วทหารติดตั้งจรวดของอิหร่าน ขณะกำลังทดสอบยิงจรวด ทั้งนี้สำนักข่าวของอิหร่านรายงานว่าเรือเร็วทหารอิหร่านได้เตือนเรือรบอเมริกันให้อยู่ห่างจากเรือประมงลำหนึ่งที่ประสบเหตุขัดข้องกลางทะเล บริเวณช่องแคบฮอร์มุซ ทว่าโฆษกนาวีสหรัฐฯแถลงอธิบายเป็นอีกอย่างหนึ่ง



รอยเตอร์ – เรือเร็วทหารติดตั้งจรวดของอิหร่านลำหนึ่ง เผชิญหน้ากับเรือรบอเมริกันในบริเวณอ่าวเปอร์เซีย และเตือนให้นาวีสหรัฐฯลำดังกล่าวถอยห่างจากเรือประมงอิหร่านที่กำลังเสียอยู่กลางทะเล สำนักข่าวทัสนิมของอิหร่านรายงานในวันอาทิตย์ (10 ก.ย.) อย่างไรก็ตาม กองทัพเรืออเมริกันแถลงปฏิเสธว่าไม่ได้มีการติดต่อเกี่ยวข้องโดยตรงใดๆ กับกองกำลังของฝ่ายอิหร่านเลย

ตามรายงานของสำนักข่าวทัสนิม เรือรบอเมริกันลำนั้นได้แล่นจากไปภายหลังได้รับคำเตือนจากเรือเร็วทหารของอิหร่าน ซึ่งสังกัดอยู่กับกองทัพเรือ จากนั้นเรือเร็วทหารอิหร่านได้ลากจูงเรือประมงกลับเข้าสู่ฝั่ง ทั้งนี้เรือประมงอิหร่านลำดังกล่าวได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือเร่งด่วน ภายหลังแล่นออกสู่ทะเล
สำนักข่าวแห่งนี้ไม่ได้ระบุว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อใด เพียงแต่บอกว่าเกิดขึ้นใกล้ๆ กับช่องแคบฮอร์มุซ

ทางด้านกองกำลังนาวีแห่งกองบัญชาการทหารด้านกลางของสหรัฐฯ (US Naval Forces Central Command หรือ NAVCENT) แถลงว่า เรือตรวจการณ์ชายฝั่ง ยูเอสเอส เทมเพสต์ (USS Tempest) ขณะปฏิบัติการอยู่ในอ่าวโอมานเมื่อวันที่ 6 กันยายน ได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือเร่งด่วนจากเรือเล็กที่ไม่ทราบอัตลักษณ์ลำหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากตำแหน่งของเรือเทมเพสต์ราว 75 ไมล์ทะเล

เวลาเดียวกันนั้น มีเรือยนต์ชื่อ “นอร์ดิก วอยาเจอร์” ซึ่งอยู่ใกล้เรือที่ขอความช่วยเหลือมากกว่า จึงได้เสนอให้ความช่วยเหลือ และมีการติดต่อกับเรือลำนั้น สำหรับเทมเพสต์ได้เสนอให้ความสนับสนุนแก่เรือนอร์ดิก วอยาเจอร์ ทว่าได้รับการปฏิเสธ



เรือตรวจการณ์ชายฝั่ง ยูเอสเอส เทมเพสต์ ของกองทัพเรือสหรัฐฯ (ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2003 และเผยแพร่โดยกองทัพเรือสหรัฐฯ)

จากการติดตามการสื่อสารทางวิทยุจากระยะห่าง ยูเอสเอส เทมเพสต์ได้ยิน นอร์ดิก วอยาเจอร์ ประสานงานให้กองทัพเรืออิหร่านเข้ามาช่วยเหลือเพิ่มเติม เพื่อลากเรือที่ขอความช่วยเหลือกลับไปยังอิหร่าน

“ไม่มีช่วงเวลาใดเลยที่มีการติดต่อโดยตรงระหว่างกองกำลังทางเรือของสหรัฐฯและของอิหร่าน” โคอี้ มอร์แกน โฆษกของ NAVCENT แถลง

ทั้งนี้ในระยะไม่กี่เดือนหลังๆ มานี้ มีความตึงเครียดเพิ่มมากขึ้นระหว่างกองทหารอิหร่านและกองทหารสหรัฐฯในแถบอ่าวเปอร์เซีย

เมื่อเดือนสิงหาคม อากาศยานไร้นักบิน (โดรน) ที่มิได้ติดอาวุธลำหนึ่งของอิหร่าน ได้บินห่างไม่ถึง 100 ฟุต (31 เมตร) จากเครื่องบินรบลำหนึ่งของกองทัพเรือสหรัฐฯ ซึ่งกำลังเตรียมที่จะร่อนลงจอดบนเรือบรรทุกเครื่องบินในอ่าวเปอร์เซีย เจ้าหน้าที่สหรัฐฯผู้หนึ่งระบุในตอนนั้น

ในเดือนกรกฎาคม เรือรบสหรัฐฯลำหนึ่งได้ยิงเตือนไปหลายนัด เมื่อมีเรือเร็วอิหร่านลำหนึ่งในอ่าวเปอร์เซียแล่นเข้ามาใกล้ในระยะห่างไม่ถึง 150 หลา (137 เมตร) ถือเป็นเหตุการณ์เช่นนี้ครั้งแรกซึ่งเกิดขึ้นนับแต่ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคมปีนี้ เจ้าหน้าที่อเมริกันหลายรายแถลง

https://mgronline.com/around/detail/9600000092862

 

ปอกเปลือก ทรราช



หมัดต่อหมัด: ตุรกีออกคำเตือนชาวเติร์กทั้งในเยอรมันและที่กำลังจะไปเที่ยวเยอรมัน หลังเยอรมันเตือนประชาชนของตนเองที่จะเดินทางไปตุรกี (การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งสไตล์นาโต้: เวรย่อมระงับด้วยการจองเวร?)
------------

วันที่ 10 ก.ย.60 Sputnik พาดหัวข่าวว่า "หนามยอกเอาหนามบ่ง: กรุงอังการาเดือดปุดๆ ออกคำเตือนสำหรับชาวเติร์กในเยอรมัน" (Tit for Tat: Furious Ankara Issues Travel Warning for Turks in Germany)

ในสัญญาณของความเสื่อมถอยในความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี ตุรกีได้แก้เผ็ดต่อคำเตือนของเยอรมันเกี่ยวกับการเดินทางไปเยือนตุรกี ด้วยคำแนะนำของตนเองเกี่ยวกับความเสี่ยงในการไปเที่ยวเยอรมัน

"การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งในเยอรมันอยู่บนพื้นฐานของความขุ่นเคืองใจที่มีต่อตุรกีโดยตรง และมุ่งขัดขวางประเทศของพวกเราเพื่อไม่ให้เข้าร่วม (เป็นสมาชิกของ) อียู" กระทรวงต่างประเทศของตุรกีเขียนลงในเว็บไซต์เมื่อวันเสาร์นี้ Die Zeit รายงาน

"พลเมืองชาวตุรกีผู้ที่อยู่อาศัยในเยอรมัน หรือกำลังวางแผนจะเดินทางไปที่นั่น ควรจะระมัดระวังมีความรอบคอบในกรณีที่อาจจะเกิดเหตุการณ์เกลียดกลัวชาวต่างชาติ (xenophobic) หรือเหตุการณ์เหยียดผิว พฤติกรรม หรือการโจมตีทางวาจา" (คำเตือนจากฝั่งตุรกี)

นายกรัฐมนตรี Angela Merkel ของเยอรมันได้ปฏิเสธคำเตือนของตุรกี "ดิฉันขอพูดให้ชัดเจนเลยว่า พลเมืองชาวตุรกีทุกคนสามารถเดินทางมาหาเราได้" หัวหน้าพรรค Christian Democratic Union (CDU) กล่าวกับบรรดาตัวแทนของพรรคในเมือง Delbrueck รัฐ North Rhine-Westphalia ของเยอรมัน

บรรดานักการเมืองในสภา Bundestag จากพรรค CDU ของนางแมร์เกิล ได้ประณามคำตอนนั้น (ของตุรกี) "คำเตือนเกี่ยวกับการเดินทางจากตุรกีที่มีต่อเยอรมันเป็นตลกฝืด (a bad joke!) การลงโทษจำคุกแบบไม่ยุติธรรมสำหรับชาวเยอรมันจำนวนมากเป็นสิ่งที่ผิด! เปรียบได้กับพวกนาซีที่คุกคามต่อศักดิ์ศรีของพวกเรา" นาย Peter Altmeier หัวหน้าทีมงานของนางแมร์เกิลเขียนในทวิตเตอร์

ส่วนนาย Peter Tauber เลขาธิการใหญ่ของพรรค CDU เขียนว่า "การที่แอร์โดกันเตือนเกี่ยวกับการเดินทางมายังเยอรมันก็เพื่อไม่ให้ประชาชนพบว่าเสรีภาพ ความยุติธรรม และการเปิดกว้างต่อโลกทำให้ประเทศเข้มแข็งได้อย่างไร"

[จริงๆแล้ว เยอรมันน่าจะขอบคุณแอร์โดกันที่ออกคำเตือนเช่นนั้นมากกว่านะ ประเทศของคุณจะได้ปลอดภัยมากขึ้น แน่นอนแอร์โดกันไม่ต้องการให้ประชาชนของตนเองขนเงินไปเที่ยวเยอรมัน แต่ตาเฒ่าแอร์ก็จะปล่อยให้พวกผู้อพยพผิดกฎหมายเข้าไปในยุโรปแทน เหมือนกับที่เคยทำมาแล้ว ตอนแรกเยอรมันก็โลกสวย พยายามแสดงตนต่อชาวโลกว่าตนเองใจกว้าง มีคุณธรรมสูง รับเลี้ยงผู้อพยพผิดกฎหมายไม่อั้น

ผลที่ตามมาก็คือไอซิสก็เข้าไปด้วย ผู้อพยพจำนวนมากต่างพากันหลั่งไหลไปยังยุโรป เยอรมันรับต่อไปไม่ไหว ถูกประชาชนต่อต้านอย่างหนัก จึงหาทางออกด้วยการแบ่งโคว์ต้าให้กลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปรับไปดูแลแทน โดยเฉพาะกลุ่มผู้อพยพที่เยอรมันมองไม่รับไว้ (พวกเหลือขอหรือมีความเสี่ยงสูง) หลายประเทศเช่นฮังการี่ ออสเตรีย และโปแลนด์ ปฏิเสธที่จะรับผู้อพยพเหล่านั้น อียูใช้กฎหมายบังคับ "ต้องรับว้อย!" ตัวเองรับมา แต่ไม่มีปัญญาเลี้ยงดู และพยายามผลักไปให้เป็นภาระของประเทศอื่นแทน นี่คือหนึ่ีงในปัญหาใหญ่ที่อียูกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ อังกฤษรู้ทัน รีบสละเรือก่อนพวก - ผู้แปล]

การออกประกาศคำเตือนของทางตุรกีเกิดขึ้นหลังจากทางการเยอรมันได้ออกคำเตือนสำหรับตุรกีเมื่อวันอังคารนี้ (เป็นประกาศที่ยาวมาก) ซึ่งได้แนะนำชาวเยอรมันให้มีความระมัดระวังให้มาก เมื่อเดินทางไปยังตุรกี ในส่วนของการกวาดล้างของทางการหลังการทำรัฐประหาร และการก่อการโจมตีด้วยการก่อการร้ายที่ถี่มากขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมา...

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี Angela Merkel แห่งเยอรมันได้กล่าวว่า การจำคุกพลเมืองชาวเยอรมันสิบกว่าคนโดยทางการตุรกีเป็นการเคลื่อนหนีจาก "หลักนิติธรรม" (rule of law) และเยอรมันก็จะผลักดันให้สหภาพยุโรประงับการเจรจาที่จะอนุญาตให้ตุรกีเข้าร่วมในองค์กรนี้

เมื่อเดือนที่แล้ว ประธานาธิบดี Recep Tayyip Erdogan แห่งตุรกีได้เรียกร้องให้ชาวเติร์กในเยอรมันไม่ให้โหวตให้กับพรรค CDU ของนางแมร์เกิล และพรรค SPD พันธมิตรของเธอ หรือพรรค Greens ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในเร็วๆนี้ของเยอรมัน ซึ่งได้เรียกพรรคเหล่านี้ว่า "เป็นศัตรูของตุรกี"

[ถ้ารัสเซียทำแบบนี้บ้าง สหรัฐก็คงจะบอกว่า "รัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้ง ต้องคว่ำบาตร ขับไล่นักการทูต" นี่เป็นการแก้เผ็ดของแอร์โดกัน เพราะว่าตอนที่ตุรกีทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มอำนาจให้แอร์โดกัน ทางการเยอรมันก็ขัดขวางพวกนักการเมืองและรัฐมนตรีของตุรกี ไม่ให้เข้าไปหาไฮปาร์คหาเสียงในเยอรมันและบางประเทศในอียูเช่นกัน สรุป พอๆกัน และความขัดแย้งระหว่างตุรกีกับเยอรมันก็ไม่ได้มีอยู่แค่นี้ ยังไม่เรื่องตุรกีพยายามขับไล่ทหารเยอรมันออกจากฐานทัพต่างๆในตุรกีด้วย - ผู้แปล]

The Eyes
เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
https://www.facebook.com/fisont
https://vk.com/theeyesproject
11/09/2560
-----------
https://sputniknews.com/europe/201709101057268452-germany-turkey-travel-warnings/
http://www.zeit.de/politik/ausland/...bundestagswahlkampf-eu-beitrittsverhandlungen
http://www.auswaertiges-amt.de/DE/Laenderinformationen/00-SiHi/TuerkeiSicherheit.html
https://www.rt.com/op-edge/402477-hungary-slovakia-eu-migrants/
https://sputniknews.com/europe/201709091057244075-germany-bundeswehr-withdraw-turkish-bases/

 

โรฮิงญาอพยพเเล้ว3 แสนคน รมต.ต่างประเทศบังคลาเทศชี้ นี่คือ’ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’
เขียนวันที่ วันจันทร์ ที่ 11 กันยายน 2560 เวลา 16:10 น.เขียนโดย isranews

รมต.ต่างประเทศบังคลาเทศ ชี้ความรุนแรงต่อโรฮิงญาคือการ ’ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ขณะที่ตัวเลขผู้อพยพเพิ่มขึ้น 3 แสนคน เสียชีวิต 3พันคนเตรียมกดดันเมียนมาโดยใช้ศาลเพื่อจบปัญหา



[ภาพประกอบจาก Danish Siddiqui/Reuters]

เมื่อวันที่ 11 ก.ย.60 สำนักข่าวอัลจาซีร่ารายงานว่า เอเอช มะฮฺมู๊ด อาลี (AH Mahmood Ali) รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ บังคลาเทศ กล่าวถึงความรุนแรงต่อโรฮิงญาว่าเป็นการ ‘ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ (genocide) หลังจากมีชาวโรฮิงญาอพยพหนีตายเข้ามาในบังคลาเทศราว 300,000คน

“ประชาคมโลกต่างพูดไปในทางเดียวกันว่านี่คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ พวกเราก็เช่นกัน”รมต.ต่างประเทศบังคลาเทศกล่าวกับสื่อหลังจากการพูดคุยกับตัวแทนทูตเมื่อวันอาทิตย์ที่กรุงดาการ์

อาลี ได้เรียกพบกับตัวแทนทูตจากกลุ่มประเทศทั้งตะวันตกและอาหรับรวมไปถึงตัวแทนระดับสูงจากสหประชาชาติ (UN)เพื่อพูดคุยถึงแนวทางในการให้ความช่วยเหลือทั้งด้านมนุษยธรรมและเชิงการเมืองแก่ชาวโรฮิงญา

อาลี กล่าวรายงานในที่ประชุมว่า ขณะนี้มีชาวโรฮิงญาราว 300,000 คน อพยพเข้ามาในประเทศในช่วง 2 สัปดาห์นับตั้งแต่เกิดเหตุความรุนแรงขึ้นในรัฐยะไข่ ประเทศเมียนมา ส่งผลให้ขณะนี้มีชาวโรฮิงญาที่อยู่ในบังคลาเทศราว 700,000 คน

“นี่คือปัญหาของชาติ” อาลี กล่าว

ด้านตัวแทนทูตสองคนกล่าวภายหลังเข้าพบพูดคุยกับรมต.ต่างประเทศบังคลาเทศว่า นับตั้งแต่เหตุความรุนแรง มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 3,000 คน ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของยูเอ็นที่ระบุไว้ 1,000 คน

ด้านรายงานสหประชาชาติ ระบุว่า ขณะนี้ตัวเลขชาวโรฮิงญาที่อพยพเข้ามาในบังคลาเทศมีจำนวน 294,000 คน

คาซี รีอาซุล ฮัค (Kazi Reazul Hoque)กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งบังคลาเทศกล่าวภายหลังจากตรวจเยี่ยมค่ายผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาในเขต ค๊อกซ์ บาซาร์ (Cox's Bazar) ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ทั้งความรุนแรง การเผาหมู่บ้าน คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กลุ่มโรฮิงญาในเมียนมา เรากำลังคิดว่าท้ายที่สุดสิ่งที่จะกดดันรัฐบาลเมียนมารวมไปถึงกองทัพได้ อาจมีความจำเป็นต้องใช้กลไกศาลสากล ในขณะเดียวกันสิ่งที่ต้องเรียกร้องคือความช่วยเหลือจากนานาชาติต่อประเด็นดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวอัลจาซีร่า ดีฟยา โกปาลัน( Divya Gopalan) รายงานจากพื้นที่ Cox's Bazarว่า ความเห็นประเด็นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ทางนายอาลี รมต.ต่างประเทศ บังคลาเทศกล่าวนั้นมีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะการส่งความช่วยเหลือจากนานาชาติเพื่อแก้ปัญหาโรฮิงญา ขณะที่ปัจจุบันความช่วยเหลือพื้นฐานในค่ายลี้ภัย ยังขาดแคลนเป็นอย่างมาก

ดีฟยา กล่าวว่า มีผู้ลี้ภัยจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการดูเเล สถานการณ์ในค่ายตอนนี้ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มชาวบ้านในพื้นที่ที่เข้ามาช่วยจัดสรรปัจจัยพื้นฐาน

ทั้งนี้ที่ผ่านรัฐบาลบังคลาเทศได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากจากการผลักดันชาวโรฮิงญาจำนวนร้อยกว่าคนกลับไปในฝั่งเมียนมา และช่วงตันปีที่ผ่านมาก็มีการพูดคุยถึงแผนในการย้ายค่ายผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาไปยังเกาะห่างไกล แต่แผนการดังกล่าวก็ถูกยกเลิกไปจากการคัดค้านของกลุ่มนักสิทธิมนุษยชน



(แผนที่แสดงจำนวนผู้อพยพชาวโรฮิงญาในแต่ประเทศนับตั้งแต่เหตุความรุนแรงครั้งเมื่อปี 1970 : ขอบคุณ Aljazeera)

https://www.isranews.org/isranews/59480-rohingya-59480.html

 

Wudhichai Maitreesophone
อื้อหือ..สหรัฐนี่เชื่อถือไม่ได้เลยนะ สุดแสนจะเกเรเลยจริงๆ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาสหรัฐประกาศออกมาลอยๆว่า จะยกพื้นที่ในภาคใต้ของซีเรีย ที่ทหารรับจ้างของสหรัฐยึดครองอยู่จำนวน 600 พื้นที่ให้แก่รัฐบาลซีเรีย โดยจะยังไม่ยกฐานใหญ่ที่เมือง Al-Tanf ให้ เพราะยังเคลียร์กับทหารรับจ้างที่ค่ายนี้ไม่เสร็จสิ้น แล้วก็มีภาพกองทหารอังกฤษยกออกจากค่าย Al-Tanf กลับเข้าไปในอิรัก แต่ก็ไม่เห็นจะทำอะไรที่จะทำให้เชื่อว่าสหรัฐเลิกยุ่งเกี่ยวกับซีเรียแล้วจริงๆ
ผู้ก่อการร้าย ISIS ซึ่งก็ต่องถือว่าลูกน้องเก่าชองสหรัฐ ยอมแพ้ต่อรัฐบาลซีเรีย ด้านชายแดน ซีเรีย-เลบานอน และร้องขอย้ายที่อยู่ไปอยู่ชายแดน ซีเรีย-อิรัก ด้านเมือง Deir Ezzor พอรถบัสเข้าเขตยึดครองของ ISIS แทนที่จะปลอดภัย สหรัฐทำราวกับโกรธแค้น ISIS กลุ่มนี้มาตั้งแต่ชาติก่อน ปล่อยให้ขบวนรถบัสเดินทางลึกเข้าไปถึงกลางทะเลทราย ก็ส่งเครื่องบินรบเข้ามาโจมตีให้หยุดขบวนรถอยู่กลางทะเลทราย แล้วให้เครื่องบินรบทำลายถนนและสะพาน ที่จะเข้าออกทะเลทรายนี้ทั้งหมด ราวกับว่าจะลงโทษให้อดตายกลางทะเลทราย ที่ทำให้แผนของสหรัฐเสียหาย จนเมื่อเช้านี้รัฐบาลรัสเซียคำรามใส่จึงยุติการกระทำดังกล่าว
นอกจากนั้นเมื่อรัฐบาลซีเรียสามารถยึด Deir Ezzor ได้อย่างรวดเร็ว และสั่งยานยนต์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก และเรือจำนวนมากมาที่เมือง Deir Ezzor เพื่อเตรียมการข้ามแม่น้ำ ยูเฟรติส เพื่อเข้ายึดเมืองชายแดน ซีเรีย-อิรัก เมือง Al-Bukamal ซึ่งเป็นด่านเชื่อมกับเมือง Anbar ของอิรัก
เมื่อภาพ และข่าวชัดเจนอย่างนั้น ก็เท่ากับว่ารัฐบาลซีเรียสามารถตัดขาดการเชื่อมต่อระหว่าง ผู้ก่อการร้ายภาคเหนือและภาคใต้ออกจากกัน สหรัฐจึงยอมไม่ได้ โดยได้ออกคำสั่งให้กองทัพชาวเคิร์ดแบ่งกำบังจากเมือง Raqqa ไปชิงดักหน้า ยึดเมือง Al-Bukamal ให้ได้ก่อนกองทัพซีเรียจะไปถึง แต่ในความเป็นจริง กองทัพชาวเคิร์ด SDF ที่กำลังรบกับผู้ก่อการร้าย ISIS อยู่ในเมือง Raqqa ก็ดูเหมือนว่าไม่เต็มใจรบตามคำสั่งของสหรัฐแล้ว ถ้าเป็นไปตามที่ผมคาดการณ์ ข่าวนี้กองทัพเคิร์ดน่าจะแจ้งให้รัสเซียรู้แผนนี้ของสหรัฐ
เมื่อลำดับเหตุการ ในสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่สหรัฐจะยกค่ายทหารรับจ้าง ชายแดน ซีเรีย-จอร์แดน 600 ค่ายให้แก่รัฐบาลซีเรีย โดยขอแลกเปลี่ยนกับคำอนุญาตขนทหารรับจ้างจากค่าย Al-Tanf ไปยังเขตของชาวเคิร์ด PKK ภาคใต้ของตุรกี แท้จริงแล้วจะเอาไปเสริมกำลังให้เคิร์ด SDF ไปยึดเมือง Al-Bukamal ซึ่งหมายถึงควบคุมด่านใหญ่ชายแดน ซีเรีย-อิรัก Al-Bukamal-Anbar นั่นเอง ด้วยความที่สหรัฐโกหก ปลิ้นปล้อนมาตลอด รัสเซียกับซีเรียจึงไม่เชื่อถือข้อเสนอยก 600 ค่ายให้รัฐบาลซีเรีย แต่ซีเรียเข้ายึดเอาเองวันละ 5 ค่าย 10 ค่ายโดยยอมให้สหรัฐหลอกอีกต่อไปแล้ว
เรามาติดตามกันต่อไปดีกว่า
https://mobile.almasdarnews.com/article/race-albukamal-syrian-army-planning-block-us-expansion/
.

 

Imm Journal



ศึกสายเลือด..... อดีตลูกชายกษัตริย์ซาอุดิอาระเบีย ถูกจับกุมตัว
เจ้าชายอัลซาอูดอีกคนหนึ่งตกเป็นเหยื่อของนโยบายของมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบียและถูกจับเข้าคุก
รายงานเผยว่า กองกำลังของมกุฎราชกุมาร โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน แห่งซาอุดิอาระเบีย ได้บุกเข้าไปในพระราชวังของ อับดุลอาซิส บิน ฟาฮัด เมื่อวันพุธและจับกุมตัวเขาและย้ายไปยังสถานที่ที่ไม่เปิดเผย
"อัลโจโฮร่า" แม่ของเจ้าชายคนนี้กำลังหาข่าวคราวจากเขา แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเบาะแสของลูกชายเลย เธอพยายามที่จะเข้าพบกับกษัตริย์ ซัลมาน แห่งซาอุดิอาระเบียแต่ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าพบ
รายงานเปิดเผยว่า นโยบายของโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมานคือเขาไม่มีความออมชอมกับฝ่ายตรงข้ามในครอบครัวอัลซาอูด ซึ่งทุกคนต้องถูกจับกุมและคุมขังทั้งหมด ขณะนี้ไม่มีข้อมูลสถิติเกี่ยวกับว่ายังมีใครในหมู่ครอบครัวของ Abdul Aziz ที่ทำการต่อต้านหลงเหลืออยู่หรือไม่
เจ้าชาย Abdulaziz bin Fahd ประกาศใน Twitter เมื่อวันพุธในความเป็นไปได้ที่เขาจะถูกคุมขังและกล่าวว่าถ้าเขาถูกฆาตกรรม ทุกคนจะรู้ว่าใครเป็นฆาตกรสังหารเขา
http://iuvmpress.com/fa/18535
.