ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    อินเดียยืนยันศพที่พบในหลุมของไอเอส เป็นแรงงานก่อสร้างที่ถูกลักพาตัวไป เผยแพร่: 20 มี.ค. 2561 21:14: โดย: MGR Online
    561000002925001.jpg
    เอเจนซีส์ - อินเดียระบุว่า พลเมืองของตนจำนวน 39 ราย ที่ถูกลักพาตัวในอิรัก โดยฝีมือกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ได้รับการยืนยันแล้วว่าเสียชีวิต หลังตรวจดีเอ็นเอศพที่พบในหลุมขนาดใหญ่นอกเมืองโมซุล

    ศุษมา สวราช รัฐมนตรีต่างประเทศของอินเดีย ได้บอกต่อรัฐสภาว่า ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าตรงกับบรรดาแรงงานก่อสร้างที่หายตัวไปในเดือนมิถุนายน 2014 ช่วงที่เมืองดังกล่าวตกเป็นของไอเอส

    "ด้วยหลักฐาน จึงสามารถพูดได้ว่าทั้ง 39 รายได้เสียชีวิตแล้ว" สวราช ระบุในวันอังคาร (20 มี.ค.)

    ที่ผ่านมา อินเดียเชื่อว่าจะมีตัวประกันบางส่วนยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งขัดต่อคำให้การของผู้รอดชีวิตรายหนึ่ง แถมยังบอกว่าจะไม่ประกาศข่าวการตายของคนเหล่านี้หากปราศจากหลักฐานที่แน่นหนา

    สวราช บอกว่า บัตรประชาชน เส้นผมยาว และกำไลแบบที่ชาวซิกห์ชอบใส่ ถูกเก็บขึ้นมาจากหลุมศพของแรงงานเหล่านี้

    ศพของพวกเขาถูกพบใกล้กับหมู่บ้านบาดุช ห่างจากบริเวณพื้นที่ก่อสร้างประมาณ 10 กิโลเมตร ทั้งนี้ กลุ่มไอเอสถูกกล่าวหาว่าทำการประหารนักโทษอย่างน้อย 500 รายในคุกแห่งหนึ่งบริเวณพื้นที่เดียวกันเมื่อเดือนมิถุนายน 2014

    แรงงานรายหนึ่ง ที่หลบหนีการสังหารหมู่และเดินทางกลับอินเดียได้ในปี 2015 ได้บอกกับเว็บไซต์ข่าวแห่งหนึ่งว่า เขากับเพื่อนร่วมงานถูกพาตัวไปหมู่บ้านบาดุช หลังจากถูกลักพาตัวได้ 4 วัน แล้วถูกยิง

    เขาอ้างว่ากระสุนแค่เฉียดตัวเขาไป และได้ทำการหลบหนีไปยังเมืองเออร์บิลที่ชาวเคิร์ดควบคุมอยู่ เขายังบอกด้วยว่า แรงงานเหล่านั้นได้โทรศัพท์ติดต่อไปหาครอบครัวและสถานทูตอินเดียในแบกแดด ช่วงก่อนถูกประหารเพียงไม่กี่วัน

    อย่างไรก็ตาม สวราชได้แย้งมาตลอดเกี่ยวกับคำบอกเล่าเรื่องการตายของตัวประกันเหล่านี้ โดยบอกในวันอังคารด้วยว่า คนที่หนีรอดมาจากอิรักได้ เป็นเพราะแกล้งทำตัวว่าเป็นชาวมุสลิมจากบังกลาเทศ

    https://mgronline.com/around/detail/9610000028068
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    23นักการทูตรัสเซียเดินทางกลับสู่มอสโก หลังถูกอังกฤษตะเพิดจากปมวางยาพิษสายลับสองหน้า
    เผยแพร่: 20 มี.ค. 2561 21:59: โดย: MGR Online
    561000002927501.jpg
    รอยเตอร์ - 23 นักการทูตรัสเซียและครอบครัว เดินทางออกจากสถานทูตในลอนดอน มุ่งหน้ากลับสู่มอสโกแล้วในวันอังคาร(20มี.ค.) หลังจากถูกขับไล่ออกนอกประเทศ ท่ามกลางวิกฤตครั้งเลวร้ายที่สุดในความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและอังกฤษนับตั้งแต่สงครามเย็น อันมีชนวนเหตุมาจากสายลับสองหน้าแดนหมีขาวรายหนึ่งถูกโจมตีด้วยสายพิษทำลายระบบประสาทในอังกฤษ

    เทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษกล่าวโทษรัสเซียสำหรับเหตุเล่นงานสายลับสองหน้าชาวรัสเซียและลูกสาว พร้อมกับขีดเส้นใต้ให้ชาวรัสเซีย 23 คนที่เธอระบุว่าทำงานเป็นสายลับโดยใช้งานด้านการทูตอำพรางตัว ออกจากลอนดอนภายใน 1 สัปดาห์

    รัสเซียยืนกรานปฏิเสธมาตลอดว่าไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับเหตุโจมตี เซียร์เก สกรีปัล ซึ่งเคยเป็นนายทหารยศพันเอก ในศูนย์บัญชาการข่าวกรองทางทหารของกองทัพรัสเซีย (GRU) และ ยูเลีย บุตรสาวของเขา พร้อมกับตอบโต้ด้วยการขีดเส้นตายเช่นกันให้เวลานักการทูตอังกฤษ 23 คนออกจากมอสโกภายใน 1 สัปดาห์ เช่นเดียวกับปิดบริติช เคาน์ซิล(British Council) ในรัสเซีย

    ช่างภาพของรอยเตอร์ที่อยู่ในเหตุการณ์เปิดเผยว่ารถบัสติดป้ายทะเบียนด้านการทูต 3 คัน เดินทางออกจากสถานทูตรัสเซียในลอนดอนในตอนเช้าวันอังคาร(20มี.ค.) โดยพบเห็นพนักงานของสถานทูตโบกมืออำลาตอนที่รถบัสเคลื่อนตัวออกไป

    รัสเซีย ปฏิเสธชี้แจงกับ เมย๋ ที่ขอให้อธิบายว่าสารทำลายระบบประสาทที่พัฒนาโดยกองทัพโซเวียตถูกใช้โจมตี สกรีปัล ได้อย่างไร ในขณะที่สายลับสองหน้ารายนี้เป็นผู้แจ้งระบุอัตลักษณ์ของสายลับจำนวนหลายสิบคนให้แก่ เอ็มไอ 6 อันเป็นหน่วยงานข่าวกรองในต่างประเทศของสหราชอาณาจักร ก่อนถูกเจ้าหน้าที่รัสเซียจับกุมในปี 2004

    เขาถูกพิพากษาจำคุก 13 ปีในปี 2006 แต่ในปี 2010 เขาได้รับสถานะผู้ลี้ภัยในอังกฤษ หลังถูกแลกตัวกับสายลับของรัสเซียหลายคนที่โดนจับกุมในตะวันตก ส่วนหนึ่งของการแลกเปลี่ยนสายลับตามรูปแบบของสงครามเย็นที่สนามบินเวียนนา

    สกรีปัลและลูกสาว ถูกพบหมดสติบนม้านั่งด้านนอกห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่เมืองซัลส์บิวรี ทางตอนใต้ของอังกฤษเมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม และเวลานี้อาการของทั้งสองคนยังอยู่ในขั้นสาหัส ส่วนตำรวจอังกฤษรายหนึ่งก็ถูกสายพิษดังกล่าวจนบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน แต่อาการทรงตัว

    รัสเซียบอกว่าพวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเหตุโจมตีเลยและย้ำข้อเรียกร้องที่ขอให้อังกฤษส่งมอบตัวอย่างของสายทำลายระบบประสาทที่ใช้เล่นงานสกรีปัล

    สหรัฐฯและพวกชาติมหาอำนาจยุโรประบุว่ามีความเชื่อเช่นเดียวกับอังกฤษว่ารัสเซียควรถูกประณามโทษฐานวางยาพิษสายลับ แต่ไม่ได้บ่งชี้ว่าพวกเขาจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

    บอริส จอห์นสัน รัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษระบุเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่ามีความเป็นไปได้สูงลิ่วที่ตัวประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินเองจะเป็นคนตัดสินใจให้ใช้สายพิษเล่นงานสกรีปัล

    อย่างไรก็ตาม ปูติน ซึ่งได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 4 เมื่อวันอาทิตย์(18มี.ค.) ยืนกรานว่ารัสเซียถูกกล่าวหาอย่างมั่วๆ "มันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ถูกพาดพิง ผมทราบเรื่องนี้ผ่านสื่อ สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวของผมคือถ้ามันเป็นสารทำลายระบบประสาทเกรดทหาร คนที่โดนพิษคงจะตายคาที่"

    ปูตินกล่าวต่อว่า "อย่างที่สอง รัสเซีย ไม่มีสายทำลายระบบประสาทดังกล่าว เราทำลายอาวุธเคมีทั้งหมดแล้วภายใต้การตรวจตราขององค์กรระหว่างประเทศ และเราทำมันเป็นประเทศแรก ไม่เหมือนกับพันธมิตรของเราบางชาติที่เคยสัญญาจะทำมัน แต่เคราะห์ร้ายที่พวกเขาไม่ทำตามสัญญา"

    นักวิทยาศาสตร์ยุคสมัยสงครามเย็นรายหนึ่งอ้างในวันอังคาร(20มี.ค.) ว่าเขาช่วยคิดค้นสารทำลายระบบประสาทดังกล่าว สวนทางกับท่าทีของมอสโกที่ยืนกรานว่าทั้งรัสเซียและสหภาพโซเวียตไม่เคยมีโครงการดังกล่าว

    อย่างไรก็ตามศาสตราจารย์ ลิโอนิด รินค์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอาร์ไอเอ ว่าการโจมตีดูเหมือนจะไม่ใช่ฝีมือของมอสโก เพราะว่าสกรีปัลและลูกสาวไม่ได้เสียชีวิตทันทีทันใด

    https://mgronline.com/around/detail/9610000028085
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    'จีน' กำลังเพิ่มอิทธิพลทางเศรษฐกิจและทางยุทธศาสตร์ที่ 'บรูไน'
    เผยแพร่: 20 มี.ค. 2561 22:48: โดย: ไนล์ โบวี
    561000002930201.jpg

    สุลต่าน ฮัสซานัล โบลเกียห์ แห่ง บรูไน (ขวา) ทรงตรวจแถวทหารกองเกียรติคุณ เคียงคู่กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน (ซ้าย) ณ บริเวณด้านนอกของมหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2017 ในวโรกาสที่สมเด็จพระราชาธิบดีบรูไนเสด็จพระราชดำเนินเยือนจีน
    (เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

    China throws sinking Brunei a lifeline
    By Nile Bowie
    18/03/2018

    สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไน กำลังทรงทอดพระเนตรไปที่ปักกิ่งด้วยความหวังที่จะได้รับความช่วยเหลือ ขณะที่ทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่เคยอุดมสมบูรณ์ในประเทศของพระองค์ กำลังแห้งเหือดไปอย่างรวดเร็ว

    สิงคโปร์ - สุลด่าน ฮัสซานัล โบลเกียห์ (Sultan Hassanal Bolkiah) สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไน กำลังต้องทรงวิ่งแข่งกับเวลา เนื่องจากทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของประเทศซึ่งเคยมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์กำลังเหือดแห้งไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่พวกนักลงทุนต่างชาติจากที่อื่นๆ เตรียมการเพื่อถอนตัวออกไป จีนกลับกำลังมีบทบาทสำคัญในการให้ความหวังใหม่แก่ชีวิตทางเศรษฐกิจของประเทศเล็กๆ ที่ปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบอิสลามแห่งนี้

    ธนาคารใหญ่ระดับระหว่างประเทศ เป็นต้นว่า เอชเอสบีซี และ ซิตี้แบงก์ ต่างพากันยุติการดำเนินกิจการในบรูไนเมื่อไม่นานมานี้ เนื่องจากมองเห็นว่าธุรกิจในด้านน้ำมันและก๊าซของพวกเขากำลังหดตัวลงเรื่อยๆ โดยมีแรงฉุดจากราคาพลังงานของโลกซึ่งลดลงต่ำเตี้ยมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่กลับมีสถาบันการเงินใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งเดินหน้าเข้ามาเติมเต็มช่องว่างสุญญากาศที่เกิดขึ้น นั่นก็คือ แบงก์ ออฟ ไชน่า (Bank of China หรือ BOC)

    บีโอซีเข้ามาตั้งสาขาในบรูไนเมื่อปี 2016 เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่กิจการต่างๆ ของจีนที่นำเอาเม็ดเงินเข้ามาทำการลงทุนโดยตรง (foreign direct investment หรือ FDI) เป็นจำนวนมาก หยาง เจียน (Yang Jian) เอกอัครราชทูตของจีนประจำกรุงบันดาร์เซอรีเบอกาวัน เมื่อปีที่แล้วได้พูดถึงรัฐสุลต่านแห่งนี้ว่า เป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญจุดหนึ่งในแผนการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative หรือ BRI) มูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นความริเริ่มด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางบกข้ามทวีปและทางทะเล ที่ถือเป็นซิกเนเจอร์ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง

    ผู้สังกตการณ์บางรายเชื่อว่า จีนมีเจตนาความตั้งใจที่จะอาศัยการลงทุนอย่างมากมายของตนและความผูกพันทางการเมืองอันใกล้ชิดกับพระราชาธิบดีผู้ปกครองบรูไน เพื่อโน้มน้าวโอนเอนจุดยืนของประเทศนี้ในกรณีพิพาททางดินแดนในทะเลจีนใต้ ซึ่งรัฐสุลต่านแห่งนี้ก็เป็นคู่กรณีฝ่ายหนึ่งที่ประกาศอ้างสิทธิอธิปไตยในหลายๆ บริเวณซ้อนทับกับจีนและหลายชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พวกเขาอธิบายว่า ถ้าหากปักกิ่งประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ ก็จะเป็นการโยกคลอนขัดขวางไม่ให้พวกชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผู้อ้างกรรมสิทธิ์ทั้งหลาย สามารถบรรลุฉันทามติเป็นหนึ่งเดียวในประเด็นปัญหานี้

    “จีนกำลังใช้แรงกดดันอย่างมหาศาลต่อบรูไน เพื่อให้อ่อนข้อยินยอมทำความตกลง “ร่วมกันพัฒนา” กับจีนในบริเวณซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (exclusive economic zone หรือ EEZ) ของบรูไน นี่เป็นสิทธิซึ่งต้องเป็นของบรูไนอย่างชัดเจนไม่ว่าพิจารณาจากมาตราไหนๆ ก็ตามทีในอนุญาสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (UN Convention on the Law of the Sea หรือ UNCLOS)” นี่เป็นความเห็นของ บิลล์ เฮย์ตัน (Bill Hayton) นักวิจัยผู้ช่วยของโครงการเอเชีย-แปซิฟิก แห่ง ชัทแธมเฮาส์ (Chatham House) สถาบันคลังสมองชื่อดังด้านกิจการระหว่างประเทศ ซึ่งตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงลอนดอน

    “บรูไนจะชื่มชอบยินดีมากที่จะได้การลงทุนจากญี่ปุ่น, รัฐเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อื่นๆ, สหรัฐฯ, หรือยุโรป อย่างไรก็ดี ในขณะนี้มีเพียงพวกผู้ประกอบการจากประเทศจีนเท่านั้นซึ่งกำลังมองหาพิจารณาโอกาสการลงทุนต่างๆ ของที่นั่น” เขาบอกกับเอเชียไทมส์ โดยชี้ด้วยว่า จวบจนถึงตอนนี้ บรูไน “ยังคงยืนหยัดหนักแน่น” ในเรื่องการธำรงรักษาสิทธิต่างๆ ในทรัพยากรทางทะเลของตน

    กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคแถบนี้ ปักกิ่งได้มีสานสายสัมพันธ์ทางการทูตอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับรัฐบาลของชาติเหล่านี้เช่นกัน โดยทั้งเสนอโครงการลงทุนต่างๆ , แพกเกจความช่วยเหลือแบบใจกว้าง, และข้อตกลงทางการค้า ความเคลื่อนไหวเหล่านี้บางครั้งบางคราวก็กระตุ้นให้เกิดกระแสคัดค้านตลอดจนอารมณ์ความรู้สึกต่อต้านจีนขึ้นมาด้วยความวิตกห่วงใยเกี่ยวกับอธิปไตย สำหรับบรูไน จนกระทั่งถึงตอนนี้ ความมั่งคั่งร่ำรวยจากน้ำมันของตนก็ยังคงทำให้ประเทศนี้สามารถหลีกเลี่ยงไม่ถึงกับต้องพึ่งพาขึ้นต่อจีนในทางเศรษฐกิจ

    แต่ถ้าหากไม่มีการสำรวจค้นพบแหล่งทรัพยากรใหม่ๆ แล้ว แหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติสำรองที่มีอยู่ในปัจจุบันก็จะเหือดแห้งไปภายในเวลาไม่เกิน 20 ปี เมื่อคิดคำนวณจากอัตราการขุดค้นนำขึ้นมาใช้ในปัจจุบัน ทั้งนี้ตามผลการวิจัยคาดการณ์ของหลายๆ สำนัก ถึงแม้บรูไนได้ให้การสนับสนุนการค้าเสรีของภูมิภาค และได้ส่งเสริมสนับสนุนการลงทุนในภาคเศรษฐกิจที่อยู่นอกภาคพลังงานมาระยะหนึ่งแล้ว แต่พวกผู้สังเกตการณ์เชื่อว่ารัฐเล็กๆ แห่งนี้ยังคงถือว่าขาดการเตรียมตัวสำหรับอุปสรรคต่างๆ ที่รอคอยอยู่ข้างหน้า

    พระราชาธิบดีแห่งบรูไน ซึ่งทรงมีความห่วงใยมานานแล้วเกี่ยวกับเรื่องที่ประเทศต้องพึ่งพาภาคพลังงานอย่างหนักหน่วงชนิดไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพของเศรษฐกิจเช่นนี้ เวลานี้ดูเหมือนจะทรงทอดพระเนตรเห็นการทูตแบบพร้อมควักสมุดเช็กสั่งจ่ายเงิน (checkbook diplomacy) ของปักกิ่ง ว่าเป็นสิ่งที่เศรษฐกิจของบรูไนจำเป็นต้องอาศัยเพื่อจะได้เริ่มต้นก้าวกระโดดไปสู่การกระจายตัวสู่ภาคส่วนต่างๆ อย่างหลากหลายยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงกำลังทรงยินยอมเปิดทางให้รัฐสุลต่านแห่งนี้กลายเป็นที่มั่นระดับภูมิภาคแห่งหนึ่งสำหรับผลประโยชน์ทางธุรกิจของจีน ถ้าหากไม่ใช่ถึงกับเป็นผลประโยชน์ในทางยุทธศาสตร์ของแดนมังกร

    ทั้งสองฝ่ายได้จัดตั้งเขต “ระเบียงเศรษฐกิจบรูไน-กว่างซี” (Brunei-Guangxi Economic Corridor หรือ BGEC) ขึ้นในปี 2014 เพื่อส่งเสริมเพิ่มพูนการค้าและการลงทุนระดับทวิภาคี ระเบียงเศรษฐกิจบรูไน-กว่างซี ตั้งเป้าหมายที่จะระดมเงินมากกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในลักษณะของการร่วมลงทุน ซึ่งจะทำให้บรูไนมีปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับเขตปกครองตนเองชนชาติจ้วงแห่งกว่างซี (กวางสี) อันเป็นเขตปกครองฐานะเทียบเท่ามณฑลของจีนที่มีอาณาเขตติดต่อโดยตรงกับทะเลจีนใต้

    เท่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้ จีนมีฐานะเป็นนักลงทุนต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดของบรูไน ด้วยยอดเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้นอยู่ในระดับราวๆ 4,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โรงกลั่นน้ำมันและนิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมูอารา เบซาร์ (Muara Besar refinery and petrochemical complex) ที่จีนหนุนหลังอยู่ ถือเป็นโครงการลงทุนจากต่างประเทศขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบรูไน ย่อมจะยิ่งสร้างเสริมฐานะดังกล่าวให้มั่นคงแข็งแกร่งขึ้นไปอีก ทั้งนี้ผู้ลงทุนฝ่ายจีนจะควักกระเป๋าสำหรับการก่อสร้างในระยะที่ 1 ของโครงการนี้เป็นมูลค่า 3,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ระยะที่ 2 ประมาณการกันว่าจะต้องใช้เงินอีก 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

    https://mgronline.com/around/detail/9610000028095
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    สื่อแพร่วิดีโอน่าขนลุก!วัตถุคล้ายจานบินพุ่งแซงเครื่องบินโดยสารเหนือท้องฟ้าสหรัฐฯ(ชมคลิป)
    เผยแพร่: 21 มี.ค. 2561 04:00: โดย: MGR Online

    เดอะซัน - สื่อต่างประเทศเผยแพร่วิดีโอน่าขนลุก อ้างว่าเป็นภาพวัตถุบินไม่สามารถระบุเอกลักษณ์บินไล่ตามก่อนแซงหน้าเครื่องบินโดยสารลำหนึ่งเหนือท้องฟ้าของสหรัฐฯ กระพือทฤษฎีสมคบคิดต่างๆนานา ในนั้นรวมถึงเชื่อว่ามันเป็นยานบินของมนุษย์ต่างดาว

    ในวิดีโอพบเห็นวัตถุบินไม่สามารถระบุเอกลักษณ์รูปร่างคล้ายจานบิน เคลื่อนที่ไล่ตามเครื่องบินโดยสารลำหนึ่งเหนือท้องฟ้าเมืองลินคอล์น รัฐนิวแฮมป์เชียร์ ก่อนขยับเข้าไปใกล้และแซงหน้าไป

    561000002932601.jpg

    รายงานข่าวระบุว่าคลิปดังกล่าวเป็นภาพที่บันทึกไว้ตั้งแต่ปี 2016 แต่มันเพิ่งถูกแชร์ลงบนยูทฺูปเมื่อไม่นานที่ผ่านมา และดึงดูดผู้เข้าชมแล้วจำนวนมาก

    พวกผู้ใช้ยูทูป ยังคงถกเถียงกันเกี่ยวกับวิดีโอนี้ โดยบางส่วนเชื่อว่ามันเป็นยานบินจากนอกโลกเนื่องจากชัดเจนว่ามันไม่ใช่การใช้โปรแกรมโฟโต้ช็อปตัดต่อ อย่างไรก็ตามคนอื่นๆบ่งชี้ว่ามันอาจเป็นส่วนหนึ่งของการซ้อมรบ, เครื่องบินเติมน้ำมันกลางอากาศหรือไม่ก็เป็นการใช้เทคนิคสร้างภาพจากคอมพิวเตอร์(CGI)

    561000002932602.jpg

    ผู้เห็นเหตุการณ์รายหนึ่งระบุว่า "ผมบอกได้เลยว่ามันคือการซ้อมรบของนักบินของกองทัพบริเวณภูเขาแถวๆที่ผมพักอาศัยอยู่ มันเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ถูกพบเห็นเป็นปกติแถวนั้น"

    อย่างไรก็ตามผู้เห็นเหตุการณ์อีกคนเชื่อว่าบางทีมันอาจเป็นยานบินของมนุษย์ต่างดาว "ผมคิดในใจทันทีเลยว่า มันเป็นอากาศยานรูปร่างแปลกๆ บางทีดูคล้ายอากาศยานทางทหาร แต่ไม่ใช่เครื่องบินแน่ๆ ยูเอฟโอกำลังแซงเครื่องบินเจ็ต ไม่มีเฮลิคอปเตอร์ลำไหนสามารถทำได้ ผมรุดออกไปดูและโชคดีที่ใช้มือถือบันทึกวิดีโอเอาไว้ได้"

    561000002932603.jpg

    กระนั้นก็ตามผู้ใช้อินเตอร์เน็ตบางส่วนพยายามหาคำอธิบายที่ต่างออกไป "มันอาจเป็นเครื่องบิน 2 ลำที่บินในระดับความสูงต่างกัน ลำหนึ่งพ่นไอเป็นทางยาว" ขณะที่คนอื่นๆสันนิษฐานว่ามันอาจเป็นบอลลูนตรวจวัดสภาพอากาศหรือไม่ก็อากาศยานชนิดใดชนิดหนึ่ง

    https://mgronline.com/around/detail/9610000028113
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ทรัมป์ต่อสายตรงยินดี'ปูติน'ชนะเลือกตั้ง หวังจัดประชุมซัมมิตระหว่างกัน
    เผยแพร่: 21 มี.ค. 2561 02:31: โดย: MGR Online
    561000002932201.jpg
    เอเอฟพี - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯและวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ต่อสายตรงพูดคุยกันทางโทรศัพท์ในวันอังคาร(20มี.ค.) หารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะจัดประชุมซัมมิตระหว่างกัน ในขณะที่ ทรัมป์ แสดงความยินดีกับ ปูติน ที่ได้รับเลือกตั้งนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีอีกสมัย

    นอจากนี้ทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซียเผยด้วยว่าทั้งสองยังย้ำถึงความสำคัญของความพยายามร่วมกันเพื่อจำกัดการแข่งขันสะสมอาวุธและเพิ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ หลังกรณีพิพาทเหตุโจมตีสายลับสองหน้ารัสเซียในอังกฤษฉุดความสัมพันธ์ระหว่างมองโกกับพวกมหาอำนาจตะวันตกดำดิ่ง

    "โดนัดล์ ทรัมป์ แสดงความยินดีกับ วลาดิมีร์ ปูติน ต่อชัยชนะของเขาในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี" วังเครมลินระบุในถ้อยแถลง "ประเด็นที่ทั้งสองให้ความสนใจเป็นพิเศษ ก็คือการทำงานในความเป็นไปได้ที่จะจัดการประชุมระดับสูงสุด" วังเครมลินระบุ "ขณะเดียวกันทั้งสองได้ย้ำถึงความสำคัญของความพยายามร่วมกันในการจำกัดการแข่งขันทางอาวุธ และผู้นำทั้งสองยังได้หารือถึงการยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้วย"

    อย่างไรก็ตาม วังเครมลินเผยว่า ปูตินและทรัมป์ ไม่ได้หารือกันถึงประเด็นพิพาทกรณีอดีตสายลับรัสเซียถูกโจมตีด้วยสารทำลายระบบประสาทในอังกฤษ ซึ่งฉุดความสัมพันธ์ระหว่างมอสโกกับตะวันตกดำดิ่ง

    "ไม่" ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกของปูตินบอกกับสำนักข่วอินเตอร์แฟ็กซ์ หลังถูกถามว่าระหว่างพูดคุยกันทางโทรศัพท์นั้น ทรัมป์และปูติน ได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับเหตุวางยาพิษ เซอร์เก สกรีปัล อดีตสายลับสองหน้าชาวรัสเซียและลูกสาวของเขาหรือไม่

    โฆษกของวังเครมลินระบุว่าประเด็นต่างๆที่ผู้นำทั้งสองหยิบยกมาพูดคุยนั้น มีทั้งวิกฤตในยูเครนและซีเรีย เช่นเดียวกับโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ในขณะที่ ทรัมป์ กำลังผลักดันแผนประชุมซัมมิตครั้งประวัติศาสตร์กับ คิม จองอึน ผู้นำเปียงยาง

    "ตลอดการพูดคุยนั้น การสนทนาเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และกระฉับกระเฉง" เครมลินระบุ พร้อมชี้ว่าเป้าหมายของการหารือกันก็คือช่วยให้ทั้งสองประเทศ "ก้าวผ่านอุสรรคต่างๆที่สะสมมานานในความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ"

    ทางฝั่งทำเนียบขาวยืนยันว่ามีการพูดคุยกันทางโทรศัพท์ แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดที่ ทรัมป์ แสดงความยินดีกับ ปูติน ในชัยชนะศึกเลือกตั้งที่ดูเหมือนจะมลทินอยู่พอสมควร

    เมื่อวันอาทิตย์(18มี.ค.) ปูติน คว้าชัยชนะในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างถล่มทลาย ทำให้เขาคืนสู่เก้าอี้เครมลินเป็นสมัยที่ 4 ด้วยคะแนนโหวตสูงสุดเป็นประวัติการณ์

    พวกผู้นำชาติตะวันค่อยๆทยอยออกมาแสดงความยินดีกับปูติน ท่ามกลางคำกล่าวหาจากพวกนักสังเกตการณ์ที่อ้างว่ามีการยัดไส้บัตรลงคะแนนและคำกล่าวหาโกงเลือกตั้งอื่นๆ แม้มีรายงานการพบเห็นความผิดปกติน้อยกว่าครั้งที่ผ่านๆมาก็ตาม

    ด้าน ทรัมป์ เพิกเฉยต่อกรณีถูกตรวจสอบอย่างดุเดือดเกี่ยวกับมิตรภาพของเขากับปูติน โดยบอกในวันอังคาร(20มี.ค.) ว่าพร้อมพบปะกับผู้นำรัสเซียเร็วๆนี้ "ผมต่อโทรศัพท์พูดคุยกับประธานาธิบดีปูตินและแสดงความยินดีกับชัยชนะในศึกเลือกตั้งของเขา" ทรัมป์กล่าว "จำเป็นต้องต่อสายโทรศัพท์ในข้อเท็จจริงที่ว่า เราอาจะร่วมมือกันในอนาคตอันใกล้นี้"

    https://mgronline.com/around/detail/9610000028112
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    มือปืนบุกยิงโรงเรียนมัธยมแมรีแลนด์เสียชีวิต หลังลั่นไกใส่นักเรียนเจ็บสาหัส2คน เผยแพร่: 21 มี.ค. 2561 01:02: โดย: MGR Online
    561000002931101.jpg
    เอเอฟพี - มือปืนที่บุกยิงภายในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในแมรีแลนด์ สหรัฐฯ ทำนักเรียนได้รับบาดเจ็บ 2 รายเมื่อวันอังคาร(20มี.ค.) ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในโรงพยาบาล หลังถูกยิงตอบโต้โดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำสถาบันการศึกษาดังกล่าว

    ทิม คาเมรอน นายอำเภอเซนต์แมรี เปิดเผยว่าเจ้าหน้าที่คุ้มกันโรงเรียนตอบสนองต่อสถานการณ์ความปลอดภัยในโรงเรียน ได้ไล่ตามมือปืนและยิงต่อสู้กัน

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนเวลาประมาณ 8.00น.(ตรงกับเมืองไทย 19.00น.) ภายในโรงเรียนมัธยมเกรทมิลล์ส ในรัฐแมรีแลนด์ ทางตะวันออกของสหรัฐฯ ใช้เวลาขับรถจากกรุงวอชิงตัน ลงไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราวๆ 90 นาที

    เบื้องต้นเจ้าหน้าที่เผยว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 ราย หนึ่งในนั้นเป็นมือปืน ในเหตุยิงกันที่เกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนการเดินขบวนต่อต้านความรุนแรงภายในสถาบันการศึกษาของเหล่านักเรียนทั่วประเทศ

    คาเมรอน เปิดเผยกับเครือข่ายสถานีโทรทัศน์เอ็มเอสเอ็นบีซีว่าคนร้ายที่ลงมือเพียงลำพัง เปิดฉากยิงเข้าใส่เหยื่อซึ่งเป็นเด็กนักเรียนหญิงไม่นานหลังโรงเรียนเริ่มการเรียนการสอนในตอนเช้า จากนั้นมือปืนก็ปะทะกับเจ้าหน้าที่คุ้มกันโรงเรียน จนได้รับบาดเจ็บสาหัส

    นายอำเภอเซนต์แมรี เปิดเผยว่านักเรียนหญิงรายได้รับบาดเจ็บสาหัสในเหตุการณ์นี้ เช่นเดียวกับวัยรุ่นชายอีกคน โดยทั้งสองและผู้ก่อเหตุถูกนำตัวส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลในพื้นที่ ก่อนที่มือปืนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา

    561000002931102.jpg


    หลังจากเกิดเหตุ โรงเรียนเต็มไปด้วยแสงไฟกระพริบจากรถตำรวจและรถฉุกเฉินที่อยู่โดยรอบ ในขณะที่ เจนาธาน ฟรีส นักเรียนของสถาบันการศึกษาดังกล่าว ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า "มันเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่นานหลังจากเริ่มเข้าสู่ชั่วโมงเรียน ตำรวจตอบสนองรวดเร็วมาก เจ้าหน้าที่ชุดตอบสนองสถานการณ์มากันมากมายเลย"

    ทั้งนี้มีรายงานว่าโรงเรียนมัธยมอีกแห่งที่อยู่ใกล้ๆกันได้ดำเนินการอพยพพวกเด็กนักเรียน ในมาตรการป้องกันไว้ก่อน

    เหตุการณ์ที่เกรทมิลล์ส เกิดขึ้นราว 5 สัปดาห์ หลังเกิดเหตุกราดยิงในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในฟลอริดา คร่าชีวิตนักเรียน 14 คนและผู้ใหญ่ 3 ศพ

    พวกนักเรียนของโรงเรียนมาร์จอรีย์ สโตนแมน ดักลาส ได้เคลื่อนไหวรณรงค์ระดับรากหญ้าให้ควบคุมอาวุธปืนตามหลังเหตุกราดยิงดังกล่าว โดยพวกเขานัดชุมนุมอีกครั้งในวันเสาร์นี้ ภายใต้สโลแกน "March For Our Lives," ซึ่งคาดหมายว่าจะมีผู้คนจำนวนมากออกไปรวมตัวกันตามเมืองต่างๆของสหรัฐฯ โดยมีกิจกรรมหลักอยู่ในวอชิงตัน

    ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา พวกนักเรียนมัธยมหลายหมื่นคนทั่วสหรัฐฯ ได้เคลื่อนไหวภายใต้สโลแกน #ENOUGH ลุกจากห้องเรียนทั่วประเทศประท้วงเหตุความรุนแรงจากอาวุธปืน

    https://mgronline.com/around/detail/9610000028108
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    จริงไหม‘เอฟบีไอ’สนใจเรื่องของ ‘เซ็กซ์สปาย’รัสเซียซึ่งถูกจับที่พัทยา? เผยแพร่: 19 มี.ค. 2561 23:18: โดย: ริชาร์ด เอส เอห์รลิค
    561000002885301.jpg

    อนัสตาเซีย วาชูเควิช สาวเบลาลุสผู้สารภาพว่าตัวเองเป็นสาวเอสคอร์ตและเมียเก็บอภิมหาเศรษฐีชาวรัสเซีย ในภาพถ่ายเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2017 ซึ่งโพสต์อยู่ในบัญชีอินสตาแกรมของเธอ
    (เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

    FBI piqued by Russia sex spy story
    By Richard S Ehrlich
    16/03/2018

    มีรายงานว่าสำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) พยายามหาทางเข้าสอบปากคำ อนัสตาเซีย วาชูเควิช ซึ่งในขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ในประเทศไทย หลังจากที่หญิงสาวผู้สารภาพว่าตนเองเป็นสาวเอสคอร์ตและเป็นเมียเก็บของมหาเศรษฐีรัสเซียผู้นี้ อ้างว่ามีข้อมูลลับเกี่ยวกับบทบาทของรัสเซียในการแทรกแซงการเลือกตั้งปี 2016 ของสหรัฐฯ

    กรุงเทพฯ - หญิงสาวชาวเบลาลุสคนหนึ่งซึ่งกำลังถูกจับกุมคุมขังอยู่ในเมืองไทย อ้างว่ามีไฟล์บันทึกเสียงพูดคุยของชาวรัสเซียและชาวอเมริกันหลายคนซึ่งมีส่วนในการสมรู้ร่วมคิดเพื่อทำให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นฝ่ายได้เปรียบในการเลือกตั้ง ขณะที่ตัวเธอก็มีความพยายามในการสร้างชื่อให้ตนเองในฐานะเป็น “สาวนักล่า” ด้วยการแอบบันทึกเสียงการยั่วยวนให้ “เหยื่อ” ผู้มั่งคั่งร่ำรวย ลุ่มหลงเสน่ห์ของเธอ ในเวลาที่เธอทอดกายและอาศัยเซ็กซ์มาเสแสร้งเสนอและสนองความรักอันจอมปลอม

    อานัสตาเซีย วาชูเควิช (Anastasia Vashukevich) เวลานี้ถูกกักขังด้วยข้อหาเข้าเมืองอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายในประเทศไทย และกำลังหาทางให้ได้ไปลี้ภัยทางการเมืองในสหรัฐฯ เธอบอกกับบรรดาผู้สื่อข่าวว่า เธอ กับ อเล็กซานเดอร์ คีริลลอฟ (Alexander Kirillov) หนุ่มชาวรัสเซียที่เป็น “เจ้านาย” ของเธอ ได้แอบบันทึกเสียงพูดคุยของ โอเล็ก เดริปาสคา (Oleg Deripaska) “ออริการ์ช” (oligarch –มหาเศรษฐีผู้สร้างฐานะขึ้นมาด้วยเส้นสายทางการเมืองและทางธุรกิจ หลังสหภาพโซเวียตล่มสลายและมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจต่างๆ อย่างขนานใหญ่) ชาวรัสเซียเอาไว้เป็นเวลารวม 16 ชั่วโมง ในช่วงเวลาระหว่างปี 2016 ถึง 2017

    วาชูเควิช อ้างว่าในไฟล์บันทึกเสียงลับๆ ของเธอเหล่านี้ มีทั้งที่เป็นเสียงการพูดคุยขณะที่ เดริปาสคา เข้าร่วมประชุมหารือด้วยตนเอง ในลักษณะสมรู้ร่วมคิดกับชาวอเมริกันและชาวรัสเซียหลายคน เกี่ยวกับการส่งอิทธิพลต่อการเลือกตั้งในสหรัฐฯ เพื่อให้เป็นที่มั่นใจว่า ทรัมป์ซึ่งในตอนนั้นยังมีฐานะเป็นเพียงผู้มุ่งหวังที่จะได้เป็นประธานาธิบดี สามารถกลายเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้ง

    การกล่าวอ้างของเธอเหล่านี้อย่างน้อยที่สุดก็มีค่าควรแก่การตรวจสอบอยู่เหมือนกัน เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่า เดริปาสคา ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนที่เข้มแข็งคนหนึ่งของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียนั้น ครั้งหนึ่งเคยว่าจ้าง พอล มานาฟอร์ต (Paul Manafort) อดีตผู้จัดการทีมงานรณรงค์หาเสียงของทรัมป์ ให้มาทำงานกับเขา

    ขณะที่ เดริปาสคา กับ มานาฟอร์ต ได้แตกคอกันในเวลาต่อมาสืบเนื่องจากเรื่องเงินๆ ทองๆ รวมทั้งเงินจำนวน 19 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯซึ่งตั้งใจจะนำไปลงทุน และ เดริปาสคาได้กล่าวหา มานาฟอร์ต ว่าเป็นตัวการทำให้เกิดความเสียหายขึ้น ในคดีซึ่งฟ้องร้องต่อศาลบนเกาะเคย์แมน แต่ มานาฟอร์ตก็ยังคงถูกสงสัยเรื่อยมาว่า เขาอาจจะทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับทีมรณรงค์หาเสียงของทรัมป์กับเดริปาสคา และจากนั้นออริการ์ชรัสเซียผู้นี้ก็ส่งต่อไปให้ปูติน

    เมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา มานาฟอร์ตได้ให้การที่ศาลสหรัฐฯ ณ เมืองอเล็กซานเดรีย รัฐเวอร์จีเนีย ปฏิเสธความผิดตามข้อกล่าวหาในหลายๆ กระทง โดยที่เขาเจอทั้งข้อหาสมรู้ร่วมคิดเพื่อเป็นปรปักษ์กับสหรัฐฯ, หลบเลี่ยงการเสียภาษีเงินได้, ทุจริตฉ้อฉลด้านการธนาคาร, ฟอกเงิน, และความผิดอาญาอื่นๆ

    ขณะที่ช่วงไม่กี่สัปดาห์หลังๆ มานี้ โรเบิร์ต มุลเลอร์ (Robert Mueller) ที่ปรึกษากฎหมายพิเศษ หรือก็คือ อัยการพิเศษ ของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ออกหมายเรียกเอกสารต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับพวกธุรกิจของทรัมป์ อันเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าการสืบสวนของเขากำลังขยายวงกว้างออกไปจนครอบคลุมถึงเรื่องบทบาทของเม็ดเงินจากต่างประเทศที่มีต่อกิจกรรมทางการเมืองของทรัมป์ จวบจนถึงเวลานี้ยังไม่มีหลักฐานที่ปรากฏโฉมออกมาแล้วอันไหนเลยซึ่งพิสูจน์ยืนยันว่า เดริปาสคามีความเกี่ยวข้องโยงใยกับทรัมป์ และตัวประธานาธิบดีผู้นี้ก็ยังคงปฏิเสธเรื่อยมาว่าทีมหาเสียงของเขาไม่ได้มีการสมคบกับฝ่ายรัสเซียใดๆ ทั้งสิ้น

    อย่างไรก็ดี พวกเจ้าหน้าที่สอบสวนสหรัฐฯได้แสดงความสนใจอยู่บ้างต่อข้ออ้างของสาวเอสคอร์ตชาวเบลาลุสที่กำลังอยู่ในคุกไทยผู้นี้ ที่ว่าเธอมีหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องการแทรกแซงการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ทั้งนี้ตำรวจไทยได้จับกุม วาชูเควิช, คีริลลอฟ, และคนอื่นๆ อีก 8 คนเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ที่เมืองพัทยา และตั้งข้อหาพวกเขาในเรื่องวีซ่าเข้าเมืองขาดอายุ ตลอดจนทำงานโดยที่ไม่ได้มีใบอนุญาตให้ประกอบอาชีพในประเทศไทย

    561000002885302.jpg

    อนัสตาเซีย วาชูเควิช ขณะอยู่ในสถานที่กักกันของไทย ในภาพถ่ายเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2018 (ภาพจากอินสตาแกรม)

    วาชูเควิช และ คีริลลอฟ ซึ่งเวลานี้อยู่ในคุกไทยทั้งคู่ บอกว่าพวกเขาจะเปิดเผยรายละเอียดต่างๆ ของไฟล์บันทึกเสียงซึ่งพวกเขาอ้างว่ามีอยู่ ก็ต่อเมื่อหลังจากผู้ต้องหาทั้ง 10 คนเหล่านี้ได้รับฐานะเป็น “ผู้ลี้ภัยทางการเมือง” ในสหรัฐฯ เนื่องจากพวกเขาหวาดกลัวว่าหากถูกเนรเทศกลับไปรัสเซียแล้ว พวกเขาจะต้องติดคุกหรือไม่ก็ถูกฆ่า

    ทั้งสองคนนี้สามารถเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน? คงต้องบอกว่าเครดิตความน่าเชื่อถือของพวกเขากำลังมีคำถามตัวโต เนื่องจากพวกเขาได้เคยคุยโวซ้ำแล้วซ้ำอีกเอาไว้ในหนังสือที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2016 ของเธอ ว่าพวกเขามีทักษะความชำนาญในเรื่อง “การพูดจาแบบซ่อนเล่ห์เหลี่ยม”, การหลอกลวง, และการโกหกเพื่อควบคุมคนอื่นๆ ให้อยู่หมัด

    เมื่อถูกสอบถามเกี่ยวกับเรื่องราวของคนทั้งสอง ฮีทเธอร์ เนาเอิร์ต (Heather Nauert) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันที่ 6 มีนาคมว่า “เรื่องนี้ฟังดูแล้วเหมือนเป็นเรื่องราวที่แปลกประหลาดเอามากๆ”

    “ดิฉันไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรที่น่าสนใจอย่างยิ่งซึ่งเราจำเป็นต้องรับรู้ และซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยจะแจ้งให้เรารับทราบ” เนาเอิร์ตกล่าวกับพวกผู้สื่อข่าวในกรุงวอชิงตัน เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับรายงานข่าวที่ระบุว่า พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯได้พยายามติดต่อกับ วาชูเควิช ที่กำลังถูกคุมขัง ทว่าประสบความล้มเหลวไม่สามารถเข้าถึงตัวเธอได้

    จากการที่ วาชูเควิช ยืนยันแข็งขันว่า เธอ กับ คีริลลอฟ ครอบครองไฟล์เสียงสนทนาระหว่าง เดริปาสคา กับคนอื่นๆ ซึ่งสามารถใช้ยืนยันการกระทำผิดของเขาได้นั้น ทำให้สื่อมวลชนเพ่งเล็งความสนใจไปที่ภูมิหลังของหนุ่มสาวคู่นี้ และสถานการณ์แวดล้อมในตอนที่พวกเขาถูกจับกุมคุมขัง

    ในหนังสือของวาชูเควิชที่ใช้ชื่อเรื่องหวือหวาแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า “Who Wants to Seduce a Billionaire” (ใครต้องการยั่วยวนอภิมหาเศรษฐีบ้าง) ซึ่งเขียนเป็นภาษารัสเซียในลักษณะมุ่งให้เป็นคู่มือแนะนำวิธีการ และบรรยายความเสมือนกับนวนิยายเบาๆ สนุกๆ นั้น มีการพรรณนากันอย่างเห็นภาพเกี่ยวกับยุทธศาสตร์อันละเอียดอ่อนในทางเซ็กซ์และในทางการสอดแนมซึ่ง วาชูเควิช และ คีริลลอฟ นำเอามาใช้

    “อัดเสียงพูดคุยเอาไว้ ฉันจะฟังพวกเขาพูดคุยกัน และบอกเธอว่าฉันคิดยังไงเกี่ยวกับพวกเขา และการพูดจาของตัวเธอ” คีริลลอฟสั่งวาชูเควิชผ่านทางโทรศัพท์ไอโฟนของเธอ นี่คือข้อความตอนหนึ่งในหนังสือเล่มนี้ของเธอซึ่งบรรยายถึงเซ็กซ์บนเรือยอชต์ลำหนึ่งเมื่อปี 2016 ระหว่างเธอกับมหาเศรษฐีออริการ์ชชาวรัสเซียผู้หนึ่ง ที่เธอไม่ได้บอกชื่อจริง แต่หตั้งชื่อเล่นให้ว่า “รุสลัน” (Ruslan)

    การตั้งชื่อเล่นเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการเล่นสนุกกับชื่อที่มีอยู่จริงๆ เพราะในเวลาต่อมา วาชูเควิช (ซึ่งเรียกตัวเธอเองในชื่อ นัสตยา รืย์บคา Nastya Rybka) ได้ยืนยันว่า อภิมหาเศรษฐีคนที่ในหนังสือของเธอพูดถึงนั้น คือ เดริปาสคา ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทอลูมิเนียม รูซัล ของรัสเซีย รูซัล (Rusal) นี่แหละที่กลายเป็น รุสลัน (Ruslan)

    “นี่แหละ ฉันกำลังอัดเสียงพูดของอภิมหาเศรษฐีระดับท็อปคนหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังว่าเป็นคนเรียบร้อยคนรักครอบครัว และชีวิตส่วนตัวของเขานั้นเป็นสิ่งที่คนครึ่งโลกต้องการที่จะรู้จัก” เธอเขียนเอาไว้เช่นนี้ในหนังสือ “ฉันอัดเสียงขณะตัวเองกำลังมีเซ็กซ์กับอภิมหาเศรษฐีผู้นี้ แล้วส่งต่อไปให้อเล็กซ์”

    ในหนังสือความยาว 250 หน้าเล่มนี้ เธอบรรยายเกี่ยวกับการอัปโหลดไฟล์เสียงที่เธอแอบอัดเอาไว้ไปเก็บ “ในสถานที่ปลอดภัยแห่งหนึ่ง ซึ่งคนเขาจะรู้ว่าจะไปค้นหาได้ที่ไหน เป็นการเผื่อเอาไว้ในกรณีที่ฉันเกิดตายไปอย่างลึกลับ”

    เดริปาสคา ได้ประณามหนังสือของวาชูเควิช ตลอดจนการโพสต์ภาพหลายๆ ภาพในบัญชีอินสตาแกรมของเธอ รวมทั้งบทสัมภาษณ์ในเวลาต่อมาของเธอกับคีริลลอฟ โดยบอกว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสีให้เขาเสื่อมเสีย และกำลังฟ้องร้องพวกเขาอยู่ในศาลรัสเซียแห่งหนึ่ง

    โดยตามรายงานข่าวของสำนักข่าว อาร์ไอเอ โนวอสตี (RIA Novosti) ของรัสเซียระบุว่า “ในวันที่ 27 มีนาคมนี้ ศาล (ในเมืองครัสโนดาร์ Krasnodar) จะพิจารณาคดีที่นักธุรกิจ โอเล็ก เดริปาสคา ฟ้องร้อง อานัสตาเซีย วาชูเควิช และ อเล็กซานเดอร์ คีริลลอฟ”

    561000002885303.jpg

    อภิมหาเศรษฐีชาวรัสเซีย โอเล็ก เดริปาสคา (ขวา)

    เอกสารของศาลกล่าวว่า เดริปาสคาฟ้องร้องทั้งคู่ในข้อหาละเมิด “ชีวิตส่วนตัว” ของเขา และรุกล้ำ “ข้อมูลส่วนตัว” ของเขา พร้อมกับเรียกร้องต้องการค่าชดเชยสำหรับ “ความเสียหายทางศีลธรรม” ของเขา

    สำหรับระยะไม่กี่ปีหลังๆ มานี้ คีริลลอฟ (ซึ่งยังเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อเล็กซ์ เลสลีย์ Alex Lesley) ได้สร้างหญิงสาวหลายคนที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจ, ต้องการครอบงำผู้ชาย, และเต็มไปด้วยอันตราย ให้คอยหลอกบรรดา “เป้าหมาย” ซึ่งไม่รู้สึกสงสัยอะไร ในหลายๆ ประเทศ ให้มีเซ็กซ์ด้วย, ให้ตกอยู่ในความรัก, และสารภาพชีวิตส่วนตัวของพวกเขา วาชูเควิช เขียนเอาไว้เช่นนี้

    กลุ่มดังกล่าวนี้ซึ่งตั้งฐานอยู่ในกรุงมอสโก มีกิจกรรมด้านการแลกเปลี่ยนคู่นอน และการเล่น “เกม” ทางจิตวิทยาต่างๆ ซึ่งผสมผสานคติสุขารมณ์นิยมอันกระตือรือร้น (enthusiastic hedonism) เข้ากับการสวมบทบาทในทางเซ็กซ์และทางอารมณ์แบบหลอกๆ, การยอมตัวเป็นทาสอย่างสมัครใจ, การตีก้นและรูปแบบอื่นๆ ของ “การแสดงฐานะการเป็นผู้ครอบงำและการเป็นผู้พิชิต”

    สำหรับสถานเอกอัครราชทูตรัสเซียในกรุงเทพฯนั้น เมื่อผู้สื่อข่าวติดต่อสอบถามไป ก็ไม่ได้ให้คำตอบใดๆ ในเรื่องเกี่ยวกับคีริลลอฟ รวมทั้งสิ่งที่เขากำลังฝึกอบรมผู้หญิงในกลุ่มของเขา

    ส่วนสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯแถลงเพียงว่า “เราทราบจากรายงานข่าวของสื่อมวลชนเกี่ยวกับการจับกุมบุคคลเหล่านี้ของเจ้าหน้าที่รับผิดชอบฝ่ายไทย เราขอแนะนำให้คุณติดต่อกับหน่วยงานรักษากฎหมายของไทยเพื่อหาข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติม”

    ขณะที่ตั้งแต่นั้นมาพวกเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยก็เข้มงวดกวดขันไม่ให้สื่อมวลชนเข้าถึงบุคคลทั้งสองที่ถูกคุมขังอยู่

    โทรทัศน์ข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานข่าวว่า สำนักข่าวสอบสวนกลางของสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) ถูกพวกเจ้าหน้าที่ไทยสั่งห้ามไม่ให้ติดต่อกับทั้งคู่ ทั้งนี้ซีเอ็นเอ็นอ้างการเปิดเผยของ “เจ้าหน้าที่อาวุโสชาวไทย” ผู้หนึ่งที่ไม่มีการระบุนาม แต่อยู่ในสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (Immigration Department) ที่กรุงเทพฯ อันเป็นหน่วยงานรับผิดชอบสถานกักกันแห่งนี้

    “คำขอนี้ถูกพวกเจ้าหน้าที่ไทยปฏิเสธ เนื่องจากตามระเบียบแล้วอนุญาตให้เฉพาะผู้แทนทางกฎหมายและสมาชิกในครอบครัวของผู้ต้องขังเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงผู้ต้องขังได้ นี่เป็นคำบอกเล่าเพิ่มเติมของแหล่งข่าวรายนี้ ผู้ซึ่งขอไม่ให้บอกชื่อเสียงเรียงนาม เนื่องจากไม่ได้รับมอบอำนาจให้พูดกับสื่อมวลชน” ซีเอ็นเอ็นรายงานเอาไว้เช่นนี้เมื่อวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา

    ข่าวนี้ไม่สามารถหาฝ่ายที่เป็นอิสระมายืนยันรับรองได้ และก็ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าเอฟบีไอได้ขอเข้าเยี่ยมบุคคลทั้งสองเมื่อใด หรือใช้เหตุผลว่าอะไร

    หนุ่มสาวคู่นี้ถูกตำรวจไทยจับกุมขณะกำลังบรรยายต่อกลุ่มผู้ฟังซึ่งแทบทั้งหมดเป็นชายหญิงชาวต่างชาติที่ยอมจ่ายเงินคนละ 700 ดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับเรียนรู้ “บทเรียนในการยั่วยวน” เป็นเวลา 1 สัปดาห์ คาดหมายกันว่าชายหญิงทั้ง 10 คนนี้จะถูกเนรเทศออกไปภายหลังเสร็จสิ้นการดำเนินคดีทางอาญา

    ยังไม่มีกำหนดว่าศาลจะตัดสินคดีนี้เมื่อใด และทั้งรัสเซียและเบลาลุสต่างก็ไม่ได้มีการยื่นขออย่างเป็นทางการ เพื่อให้ฝ่ายไทยดำเนินการเนรเทศพลเมืองของพวกเขากลับไป

    อาจมีความเป็นไปได้เช่นกันที่ทั้งคู่จะถูกเนรเทศไปยังประเทศซึ่งเป็นต้นทางของเที่ยวบินที่พวกเขาใช้เดินทางมากรุงเทพฯ ซึ่งน่าจะเป็นเมืองดูไบ ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

    561000002885304.jpg

    อนัสตาเซีย วาชูเควิช ในภาพเซลฟี่บนเรือยอชต์ลำหนึ่งเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2016 (ภาพจากอินสตาแกรม)

    เมื่อปีที่แล้ว วาชุเควิชได้โพสต์ภาพหลายภาพบนอินสตาแกรม โดยอ้างว่าเป็นภาพที่แสดงให้เห็นตัวเธอ, เดริปาสคา, และรองนายกรัฐมนตรี เซียร์เก ปริค็อดโค (Sergei Prikhodko) ของรัสเซีย ขณะพบกันบนเรือยอชต์ของออริการ์ชผู้นี้เมื่อปี 2016 ปริค็อดโดนั้นเป็นหนึ่งในนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลที่มีอิทธิพลมากที่สุด

    วาชูเควิช ซึ่งอยู่ในวัย 20 เศษๆ และมีรูปร่างเพรียวระหง ระบุในบัญชีอินสตาแกรมของเธอ nastya_rybka.ru ว่าตัวเองเป็น “เมียเก็บของเดริปาสคา ตามโครงการของ อเล็กซ์ เลสลีย์”

    เธอโพสต์ภาพเซลฟี่เซ็กซี่เอาไว้จำนวนมาก รวมทั้งภาพของเธอกับชาย 2 คนซึ่งดูเหมือนเป็น เดริปาสคา กับ ปริค็อดโค บนเรือยอชต์ลำหนึ่ง เธอยังเขียนเกี่ยวกับสิ่งที่เธออ้างว่าเป็นความกักขฬะหยาบคายทางเซ็กซ์ของ “รองนายกรัฐมนตรี” ที่มิได้มีการเอ่ยชื่อผู้หนึ่ง

    หนังสือที่พูดจาเปิดเผยและภาพทางออนไลน์ที่เปิดเนื้อเปิดตัวของเธอ ได้ถูก อเล็กซี นาวัลนืย์ (Alexi Navalny) นักเคลื่อนไหวฝ่ายค้านของรัสเซียนำมาใช้ในการจัดทำวิดีโอซึ่งโพสต์ทางยูทูบ และอินสตาแกรมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อตั้งข้อกังขาว่าอาจจะเป็นการติดสินบน

    พวกผู้ทำหน้าที่สืบสวนสอบสวนของนาวัลนืย์ ได้สัมภาษณ์ วาชูเควิช และ คีริลลอฟ ซึ่งกล่าวยืนยันว่าในหนังสือของเธอนั้นเป็นการพูดถึง เดริปาสคา และ ปริค็อดโค

    เดริปาสคา โพสต์ทางอินสตาแกรมของเขาว่า วิดีโอของนาวัลนืย์และภาพตลอดจนคำพูดข้อเขียนต่างๆ ของวาชูเควิช เป็น “ข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จที่ก่อให้เกิดความเดือดดาล” ต่อจากนั้นเจ้าหน้าที่เซนเซอร์ทางอินเทอร์เน็ตของรัสเซียก็เรียกร้องให้ลบสิ่งเหล่านี้ออกไป

    ปรากฏว่าอินสตาแกรม ซึ่งเจ้าของคือเฟซบุ๊ก ได้ลบวิดีโอของนาวัลนืย์ และสิ่งที่เวชูเควิชโพสต์เอาไว้ออกไปบางส่วน แต่วิดีโอนี้ยังคงสามารถติดตามชมได้ทางยูทูบ ซึ่งเป็นของค่ายกูเกิล (
    )

    “แฮปปี้วันวาเลนไทน์ ที่รัก @oleg.deripaska บางทีวันนี้ ยูทูบ กับ อินสตาแกรม อาจจะถูกบล็อก” เธอโพสต์บนอินสตาแกรมของเธอที่ส่งถึงเขาจากเมืองดูไบเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ไม่นานก่อนเดินทางมาประเทศไทย

    561000002885305.jpg

    หนังสือภาษารัสเซียเรื่อง “Who Wants to Seduce a Billionaire” (ใครต้องการยั่วยวนอภิมหาเศรษฐีบ้าง) ของอนัสตาเซีย วาชูเควิช (ภาพจากอินสตาแกรม)

    หนังสือของวาชูเควิช นั้น ระบุอุทิศหนังสือเล่มนี้แด่ “อภิมหาเศรษฐีขี้อายของฉัน” และในหนังสือมีหลายๆ บท พูดถึง “พบกับเขาและมีเซ็กซ์กัน”, “ฉันเริ่มยั่วยวนเขา”, และ “กลเม็ดเรื่องเซ็กซ์เมื่อมีสาวอีกคนหนึ่ง”

    ในหนังสือเล่มนี้ คีริลลอฟเขียนเอาไว้ว่า “สาวนักล่าคนนี้เล่นอย่างเอาจริงเอาจัง เธออาจจะเกลียดใครสักคน แต่ถ้าเธอจะต้องรักเขาแล้ว เธอก็จะหลงรักเขาและทำให้เขาหลงรักเธอ จากนั้นเธอก็จะเปลี่ยนกลับไปสู่อีกอัตลักษณ์หนี่ง และ (มีเซ็กซ์) กับเขา!”

    ก่อนหน้านี้ เขาเคยเขียนหนังสือเล่มหนึ่งที่ใช้ชื่อเรื่องว่า “Life without Panties” (ชีวิตที่ไม่มีกางเกงใน) และหลังจากนั้นก็พูดถึงตัวเขาเองว่าเป็น “คู่แข่ง” คนหนึ่งของปูติน

    ในกรุงเทพฯ หญิงสาวชาวยูเครนวัย 21 ปีคนหนึ่ง (เป็นหนึ่งในกลุ่ม “ผู้ยั่วยวน”ของคีริลลอฟ) ยอมบอกชื่อของเธอแต่ขอให้ระบุเพียงแค่ว่า “มิชา” (Misha) ได้จัดหาหนังสือของวาชูเควิชในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษมาให้แก่ผู้เขียน (ริชาร์ด เอส เอห์รลิค)

    “นัสตยาเป็นเพื่อนสนิทของฉัน อเล็กซ์เป็นเทรนเนอร์ของฉัน ฉันรู้จักพวกเขามาเกือบปีครึ่งแล้ว ฉันต้องการทำอะไรที่สามารถทำได้เพื่อช่วยเหลือพวกเขา” มิชา บอก

    เมื่อสอบถามว่าทำไมวาชูเควิชจึงเขียนหนังสือเล่มนี้และอัปโหลดภาพของเดริปาสคา มิชาตอบว่า “หนังสือเล่มนี้รวมทั้งภาพทั้งหมดที่เธอโพสต์บนอินสตาแกรมก็เพื่อสำหรับเดริปาสคา มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการยั่วยวนเขา” มิชากล่าว “เธอรักเขามากๆ เธอบอกฉันอย่างนั้น ... นัสตยามอบหนังสือเล่มนี้ให้เขา มันเป็นของขวัญจากเธอถึงเขา”

    วาชูเควิชยังโพสต์ภาพหลายๆ ภาพบนอินสตาแกรม ซึ่งเป็นภาพตัวเองในสภาพเปลือยบางส่วนกำลังกอดกับคีริลลอฟอยู่บนเตียง “อเล็กซ์กับนัสตยาน่ะ พวกเขารักกัน เขาเป็นเทรนเนอร์ของเธอ, เป็นคู่รักของเธอ, เป็นเพื่อนของเธอ, เป็นผู้คอยสนับสนุนให้กำลังใจเธอ”

    แต่ เดริปาสคา ซึ่ง “ต้องการแสดงตัวเป็นเจ้าของ” กลับ “รู้สึกอิจฉาริษยา” มิชา ระบุ

    https://mgronline.com/around/detail/9610000027659
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ญาติแจ้งความ หนุ่มวัยเบญจเพสหายตัวหลังดินเหมืองแม่เมาะถล่มทับถนน ตร.อ้างศาลให้รอ 7 วันค่อยเข้าค้นหา
    เผยแพร่: 21 มี.ค. 2561 09:49: ปรับปรุง: 21 มี.ค. 2561 09:58: โดย: MGR Online
    561000002933901.jpg


    ลำปาง - ชาวบ้านแม่เมาะแจ้งความขอลงบันทึกประจำวัน สงสัยลูกวัยเบญจเพสหายตัวไปพร้อมจักรยานยนต์ตั้งแต่คืนเกิดเหตุดินทิ้งเหมืองลิกไนต์สไลด์ตัวทับถนนที่ขี่รถกลับหลังเลิกงานทุกคืน จนถึงขณะนี้ยังไม่เจอตัว ขณะที่ตำรวจบอกรอ 7 วันให้ศาลสั่งถึงเข้าดูที่เกิดเหตุได้


    561000002933902.jpg

    รายงานข่าวแจ้งว่า ตั้งแต่คืนวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ชาวบ้านผาแมว ม.8 ต.หัวเสือ อ.แม่ทะ จ.ลำปาง ยังคงพูดคุยและสอบถามความคืบหน้าในการติดตามหาตัวน้องตูน หรือนายภัททิยา บัวงาม วัย 25 ปี ที่หายตัวไปตั้งแต่คืนวันที่ 17 มี.ค.ที่เกิดเหตุกองดินทิ้งของเหมืองลิกไนต์แม่เมาะ กฟผ.สไลด์ตัวทับถนน-สายพานลำเลียงดิน

    ครอบครัวนายภิททิยาเกรงว่าเขาจะถูกดินสไลด์ทับร่างระหว่างขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้านหลังเลิกงานที่ร้านอาหารในเวลา 01.00 น.เศษของคืนที่เกิดเหตุดังกล่าว เพราะเป็นเส้นทางที่เดินทางไป-กลับระหว่างที่ทำงานกับบ้านเป็นประจำทุกวัน เนื่องจากหลังจากนั้นก็ไม่สามารถติดต่อน้องตูนได้อีกเลย

    561000002933903.jpg

    น.ส.สกุณา วงค์มงคล อายุ 30 ปี พี่สาวของน้องตูน เปิดเผยว่า ทางครอบครัวได้ไปแจ้งความเพื่อลงบันทึกประจำวันน้องชายหายไว้ที่ สภ.แม่เมาะเมื่อ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยระบุว่าน้องชายของตนจะเดินทางกลับจากทำงานที่ร้านอาหารน้องปูคาราโอเกะ ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ มาบ้านทุกคืน แต่คืนวันที่ 17 มี.ค.จนถึงปัจจุบันน้องชายยังไม่ได้กลับบ้าน ซึ่งเกรงว่าน้องชายจะได้รับอันตราย จึงได้เดินทางมาแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน

    น.ส.สกุณากล่าวว่า ปกติน้องตูนไม่เคยไปไหน และเมื่อทำงานเสร็จก็จะขี่จักรยานยนต์ ยามาฮ่า แกรนด์ ฟีล่าโน่ สีเขียว-ขาว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ผ่านถนนภายในเหมืองแม่เมาะเส้นที่เกิดเหตุกลับบ้านเป็นประจำ แต่จนกระทั่งเช้าวันที่ 18 มี.ค.ก็ไม่สามารถติดต่อได้อีก ซึ่งแฟนของน้องเข้าไปดูที่ถนนก็มองไม่เห็นเพราะดินสไลด์ลงมาทับถมจำนวนมาก

    ขณะนี้อยากให้ทาง กฟผ.และบริษัทที่ดูแลพื้นที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณทางเข้าถนนดังกล่าว ว่าน้องตูนได้ขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาหรือไม่ เพราะจากการสอบถามทางร้านทราบว่าคืนที่น้องหายตัวไป น้องตูนออกจากร้านมา 01.23 น. และได้มีแขกคนหนึ่งที่ทางร้านรู้จักดีขอซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของน้องมาลงปากทางเข้าถนนดังกล่าว ก่อนที่น้องจะขี่รถมาตามลำพัง

    “ตอนนี้ทางครอบครัวก็ทำได้เพียงแต่ไปติตตามสถานที่อื่นๆ ที่คาดว่าน้องจะไป หรือน้องอาจจะได้รับอันตรายจากอย่างอื่นแต่ก็ไม่พบ แม้แต่การไปทรงเจ้า ซึ่งครอบครัวก็ยังมีความหวังเพราะร่างทรงบอกว่ายังไม่ตาย แต่ก็ยังหาตัวไม่เจอ ส่วนที่ไปแจ้งความไว้ที่ สภ.แม่ทะ ทางเจ้าหน้าที่ยังต้องให้รอไปอีกประมาณ 7 วันเพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุได้ ซึ่งทางครอบครัวก็ยังหวังว่าจะได้เจอน้องชายอยู่”

    561000002933904.jpg

    น.ส.สุภาพ บัวงาม อายุ 56 ปี แม่ของนายภัททิยา พูดด้วยน้ำตาคลอว่าใจหายไม่รู้ว่าลูกจะเป็นอย่างไร ทุกวันนี้ลูกถือเป็นคนที่หาเลี้ยงครอบครัว เพราะที่บ้านก็เช่าอยู่ และน้องจะอยู่กับแม่ตลอดไม่เคยเหลวใหล หากจะไปไหน หรือค้างที่ไหนก็จะบอกแม่ตลอด หากยังมีชีวิตอยู่ก็ขอให้น้องกลับมา แม่เป็นห่วงมาก ส่วนที่บอกว่ามีความหวังไหมว่าน้องยังมีชีวิตอยู่ก็ยังเป็นความหวังสุดท้าย

    ด้านแฟนน้องตูน (ขอสงวนชื่อ) ระบุว่า ตนหวั่นว่านายภัททิยาจะหายไปในกรณีที่เกิดเหตุดินสไลด์ เพราะตนจะไปรอรับแฟนทุกวัน และหากตูนจะไปไหนก็จะบอกทุกครั้ง แต่คืนที่เกิดเหตุตนไปรอรับที่ปากทางออกจากถนนภายในเหมืองแม่เมาะเช่นเดิมก็ไม่กลับมา เมื่อโทร.หาก็ไม่มีคนรับสายอีกเลย

    สำหรับถนนทางเข้าและพื้นที่เกิดเหตุดินสไลด์ ขณะนี้ กฟผ.ยังคงปิดเส้นทาง ห้ามบุคคลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปโดยเด็ดขาด ขณะที่บริเวณที่เกิดเหตุก็ยังคงมีการสไลด์ตัวของดินอยู่ต่อเนื่อง

    https://mgronline.com/local/detail/9610000028124
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Komkrit Tul Uitekkengติดตาม

    อีกไม่นาน...ภาควิชาปรัชญา ม.ศิลปากร จะถูกยุบลงเป็นสาขาวิชา นี่เป็นจุดเริ่มต้น ซึ่งคงไม่ได้แสดงให้เห็นเพียงแค่การการเปลี่ยนแปลงในมหาวิทยาลัยฯ แต่แสดงถึงความพยายามจะลดความสำคัญของวิชาการสายมนุษยศาสตร์ - อักษรศาสตร์ลงจนหายไปในที่สุด
    ...
    การยุบหรือลดสถานะเช่นนี้ เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในสถาบันอื่นๆ แต่เราไม่เคยเรียนรู้จากประสบการณ์ของที่อื่นๆเลย ว่าจะเสียอะไรหรือได้อะไรมากกว่ากัน...
    .
    ปล. ไม่ใช่แค่ภาคปรัชญา แต่ทุกภาควิชาในคณะฯ และกำลังดำเนินการไปทุกๆคณะวิชาฯ
    .
    (อันนี้ขอปรับแก้จากการโพสครั้งแรก เพื่อสร้างความเข้าใจมากขึ้นนะครับ คืออธิบายรายละเอียดด้วยเลย)
    .
    .
    จุดเริ่มต้นของการถอยหลังลงคลอง...
    มหาวิทยาลัยศิลปากรออกระเบียบ เรื่องการจัดการส่วนงานภายใน และการยุบเลิก ปีพ.ศ.2561 โดยตั้งเกณฑ์ว่า หากจะขอจัดตั้งเป็นภาควิชา ต้องมีเกณฑ์ดังนี้
    1.มีอาจารย์มากกว่า สิบคน
    2.มีหลักสูตรสองหลักสูตรขึ้นไป คือป.ตรีหนึ่ง ป.โทหนึ่ง
    3.เลี้ยงตัวเองได้ และมีอาคารสถานที่เอง
    หากไม่เข้าเกณฑ์ อาจลดลงเป็นสาขาวิชา ซึ่งมีเพียงหนึ่งหลักสูตรและจำนวนอาจารย์ตามเกณฑ์ สกอ.
    บังคับใช้ และให้ดำเนินการให้เสร็จในปีนี้
    .
    .
    เป็น "ภาควิชา" กับเป็น "สาขาวิชา ต่างกันยังไง ?
    .
    คำพูดสวยงามของผู้บริหารว่าไม่ต่างกัน แถมเป็นสาขาจะบริหารจัดการได้สะดวก ลดภาระ ซึ่งไม่จริง เพราะ...
    .
    1.ภาควิชามีสถานะเป็นหน่วยงาน แต่สาขาไม่มีสถานะเป็นหน่วยงาน ซึ่งแปลว่าความเป็นอิสระในการบริหารจัดการ อำนาจในการต่อรอง โต้แย้ง จะลดลงมาก ด้วยสถานภาพที่ต่างกัน ซึ่งเกี่ยวพันกับเสรีภาพทางวิชาการด้วย
    .
    2.สาขาวิชาขึ้นตรงต่อคณะฯ นั่นหมายความว่า คณะสามารถเข้ามาแทรกแซงหรือจัดการได้ง่ายขึ้น
    .
    3.การ "ยุบเลิก"สาขาวิชาสามารถทำได้ง่าย เพราะขั้นตอนไม่ยาก ไม่ต้องผ่านสภามหาวิทยาลัย ในทางกลับกัน หากประสงค์จะจัดตั้งภาควิชาจะทำได้ยากกว่าเพราะต้องผ่านสภามหาวิทยาลัย เท่ากับสกัดการเกิดขึ้นของหน่วยงานไปในตัว
    .
    4.ส่วนการยุบเลิกภาควิชานั้นก็ทำได้ยากกว่าเช่นกัน ซึ่งแปลว่าการเป็นสาขาวิชา(ซึ่งถูกยุบง่าย)เปิดโอกาสเสี่ยงในการยุบ "ศาสตร์"นั้น แต่การคงอยู่ของภาควิชาเท่ากับรักษาการคงอยู่ของ "ศาสตร์" ในมหาวิทยาลัยไปด้วย
    เช่น ศาสตร์ทางปรัชญาอยู่ในหลักสูตรของภาควิชาฯ แต่หากภาควิชาฯถูกยุบลงเป็นสาขาและไม่มีจำนวนอาจารย์เพิ่ม หลักสูตรก็จะโดนยกเลิกและศาสตร์ทางปรัชญาที่ถูกสอนในมหาวิทยาลัยจะค่อยๆลดลงจนหมด
    .
    5.หัวหน้าภาควิชา มีหลักเกณฑ์ในการตั้ง และมีการสรรหาตามระบบ แต่หัวหน้าสาขาไม่มีกลไก ซึ่งผู้บริหารอาจเลือกคนตามความต้องการของตัวเองได้ และขึ้นตรงกับผู้บริหารคณะ ซึ่งอาจเกิดปัญหาในทางธรรมาภิบาลได้ เช่นการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม
    .
    6.หัวหน้าภาควิชาฯเป็นกรรมการบริหารคณะฯโดยตำแหน่ง แต่เมื่อภาควิชาถูกยุบลงเป็นสาขา ตำแหน่งกรรมการประจำคณะจะเปลี่ยน นั่นแปลว่าการบริหารจัดการคณะจะเปลี่ยนไปและอาจเกิดปัญหาในแง่ธรรมาภิบาลได้ เช่นแนวนโยบายของคณะที่ไม่เป็นธรรม เนื่องจากอาจมีการเลือกเฉพาะคนของตัว เพราะตัวแทนภาควิชาโดยตำแหน่งไม่มีอยู่ในกรรมการคณะ
    .
    7.การแบ่งเป็นภาควิชา เป็นการแบ่งที่มีลักษณะ "สากล" กล่าวคือ มหาวิทยาลัยลัยส่วนใหญ่ในโลกใช้กัน แต่การลดลงเป็นสาขาวิชา นอกจากไม่เป็นสากลแล้ว อาจเกิดปัญหาในกรณีการทำข้อตกลงกับมหาวิทยาลัยอื่นๆได้ คือไม่มีความสอดคล้องกัน
    .
    8.ที่ว่าการยุบลงเป็นสาขาภาระจะลดลงเป็นเรื่องไม่จริง เพราะการทำงานยังคงเดิม เช่น สาขาก็ยังคงต้องจัดทำรายงานประจำปี เพียงแต่ไม่ต้องส่งถึงสภามหาวิทยาลัยเหมือนภาควิชา ต้องโดนประเมินเหมือนกัน ส่วนการจัดทำหลักสูตรข้ามสาขา ก็เป็นไปได้ยากด้วยเกณฑ์จากสกอ.ในเรื่องคุณวุฒิอาจารย์ อีกทั้ง ค่าตอบแทนของภาควิชาฯซึ่งโดยมากเป็นงบประมาณแผ่นดินจัดสรรโดยมหาวิทยาลัย ในคณะที่หัวหน้าสาขาวิชาเป้นงบรายได้ของคณะ
    .
    10 .อธิการบดีเป็นคนพูดเองว่า เกณฑ์ในการเป็นภาคฯอิงจาก "คณะสายวิทยาศาสตร์" ซึ่งมีธรรมชาติต่างจากฝั่งศิลปะและมนุษยศาสตร์(อักษรศาสตร์)ตั้งแต่แรก เช่น ทางฝั่งนั้นมีการจัดแบ่งการบริหารเป็นส่วนๆแต่ต้น แต่ทางอักษรศาสตร์ใช้ทรัพยากรส่วนกลาง จำนวนนักศึกษา อาจารย์และหลักสูตรก็ต่างกัน จึงไม่ควรเอาเกณฑ์จากสาขาที่ต่างกันมาใช้ร่วมกันโดยไม่คำนึงถึงธรรมชาติที่ต่างกัน และไม่เคยทำประชาพิจารณ์
    .
    11.อาจตีความได้ว่า เพื่อสนองนโยบายในการลดจำนวนหลักสูตรทางมนุษยศาสตร์หรือศิลปะให้น้อยลง เพราะสายวิชาเหล่านี้ "ไม่ทำเงิน" และไม่ตอบสนองนโยบายรัฐ ดังนั้นระเบียบการยุบเลิกอันนี้ ในระยะยาวคือการ "สลาย" ศาสตร์ทางมนุษย์ศาสตร์และศิลปะลงนั่นเอง(ซึ่งจะค่อยๆเกิดขึ้นช้าๆ) และนี่คือมหาวิทยาลัย "ศิลปากร" แปลว่า ผู้กระทำการสร้างสรรค์ศิลปะ?
    .
    12.แม้อธิการจะย้ำว่า จะเป็นภาควิชาหรือจะเป็นสาขาอยู่ที่คณะเองจะตัดสินใจ แต่มหาวิทยาลัยเป็นผู้ตั้งเกณฑ์ ออกระเบียบซึ่งวางกลไกให้เกิดภาควิชาในฝั่งมนุษยศาสตร์และศิลปะได้ยาก เท่ากับมหาวิทยาลัยจงใจให้เกิดการยุบเลิกภาควิชาในทางฝั่งนี้ใช่หรือไม่?

    13.การยยุบเลิกเช่นนี้ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในมหาวิทยาลัยอื่นๆ เช่นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งสุดท้ายต้องใช้เวลาถึง 7 ปี ในการกลับคืนสภาพสู่ภาควิชาฯ ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยและคณะไม่เคยพิจารณาบทเรียนเหล่านี้ก่อนการออกระเบียบบ้างหรือ?
    .
    13.ฝั่งคณะอักษรศาสตร์เองยิ่งน่าเศร้า เพราะแม้หากเลือกจะปฏิบัติตามระเบียบนี้ ยังมีทางเลือกหลายแบบ เช่น ให้ภาควิชาฯที่ยังสามารถเป็นภาควิชาตามเกณฑ์ได้ รักษาความเป็นภาควิชาฯไว้ ส่วนภาคที่อาจมีปัญหาก็อาจเลือกให้รวมกันแต่คงสถานะของภาควิชาไว้ได้ หรือต่อรองกับทางมหาวิทยาลัยเพื่อขอระยะเวลาเพิ่ม (แต่ผู้บริหารคณะไม่คิดจะต่อรอง กลับสนองนโยบายอย่างเร่งด่วน) กลับเลือกการยุบลงเป็นสาขา และยังพยายามโน้มน้าวให้สาขาต่างๆยุบรวมลงเป็นสาขาเดียวกัน เช่น พยายามโน้มน้าวให้ปรัชญา ประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์รวมกัน หรือ สาขาอื่น โดยไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมรองรับ(อาจตีความได้ว่าเพื่อประหยัดงบฯ หรือสะดวกในการที่คณะจะเข้ามาจัดการได้ง่าย)
    อีกทั้งการรวมสาขาวิชาก็มีปัญหาที่มองเห็นได้ทันที เช่น หากรวมสาขาที่มีอาจารย์น้อยและมากเข้าด้วยกัน ฝั่งที่มีอาจารย์มากกว่าก็ย่อมมีเสียงมากกว่าเสมอในการประชุมหรือลงมติ
    .
    14. นโยบายของมหาวิทยาลัยเช่นนี้ ไม่เป็นประโยชน์ต่อใครนอกจากผู้บริหารมหาวิทยาลัย ซึ่งเมื่อออกนอกระบบกลับพยายาม "รวมอำนาจ" ไปสู่ศูนย์กลางในการบริหาร ผิดหลักการของอุดมศึกษาที่ควรมีอิสระและกระจายอำนาจสู่ส่วนงานต่างๆ นอกจากนี้ยังมิได้คำนึงถึงพันธกิจในการให้การศึกษามากกว่าการหากำไร อีกทั้งลืมรากเหง้าว่ามหาวิทยาลัยของตนเองมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอย่างไร นี่คือเรื่องน่าอับอายที่สุด

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    สัญญาณมหากลียุค Signs of the end in Current Events


    เจ้าหน้าที่ตื่นตกใจกับน้ำพุพุ่งสูงขนาดใหญ่ในช่วงเวลาเดียวกันกับการเกิดฝูงแผ่นดินไหวกว่าสองร้อยครั้งบนพื้นที่รอบๆเยลโลสโตน
    https://www.express.co.uk/news/scie...ption-2018-Earthquakes-steamboat-geyser-erupt

    ไม่ใช่ครั้งแรกของการไหวแต่การตื่นของยักษ์ที่หลับและแผ่นดินไหว/ความร้อนกว่าสองร้อยองศาชายฝั่งตะวันตก-แม็กซิโกเป็นเหมือนคำเตือน เป็นเช่นกระบี่จ่อคอหอยอเมริกาว่าถ้าไม่หันหลังกลับมหาภัยพิบัติจะตีพวกเขาดั่งทำนายไบเบิ้ลและใบลาน.
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    อิสราเอลยอมรับเคยบุกทำลาย “เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์” ในซีเรียเมื่อปี2007

    กองทัพอิสราเอลยอมรับอย่างเป็นทางการในวันนี้ (21) ว่า พวกเขาเคยทำลายสิ่งที่ต้องสงสัยว่าเป็นเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของซีเรียในปี 2007 และระบุว่า การโจมตีทางอากาศครั้งนั้นขจัดภัยคุกคามต่ออิสราเอลและภูมิภาคนี้และเป็นสาสน์ถึงประเทศอื่นๆ

    คลิก >>https://mgronline.com/around/detail/9610000028253

    #MGROnline #อิสราเอล #เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ #ซีเรีย
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ประธานาธิบดีพม่า "ถิ่นจอ" ลาออก

    ประธานาธิบดีพม่า นายถิ่นจอ (Htin Kyaw) ซึ่งเป็นพลเรือน ได้ลาออกจากตำแหน่ง โดยมีผลในทันที "ทั้งนี้เพื่อหยุดพักจากหน้าที่ กับความรับผิดชอบต่างๆ" สำนักงานของประธานาธิบดี ระบุในคำแถลงฉบับหนึ่ง ที่โพสต์ในเฟซบุ๊กวันพุธนี้

    คลิก >>https://mgronline.com/indochina/detail/9610000028257

    #MGROnline #การเมือง #ประธานาธิบดี #พม่า

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    อย.เล็งทบทวนขึ้นทะเบียน "ยาสัตว์" เข้มงวดเท่ายาคน ล้อมคอก "วัคซีนหมาบ้า" ตกคุณภาพ

    อ่าน >> https://mgronline.com/qol/detail/9610000028326

    #อย #ทบทวน #ขึ้นทะเบียน #ยาสัตว์ #วัคซีนพิษสุนัขบ้า #เข้มงวด #ยาคน #Qol #MGROnline
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    #Liveคนเคาะข่าว 20-03-2561 |Rerun|
    เปิดหลักฐาน กฎหมายปิโตรเลียมใหม่
    ทาให้ชาติและคนไทยเสียประโยชน์?

    •ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี
    ผอ.ศูนย์วิจัยนโยบายพลังงานและทรัพยากร ม.รังสิต

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    “ทรัมป์” เปิดทำเนียบขาวรับ “เจ้าชายโมฮัมเหม็ด” ฟุ้งขายอาวุธให้ซาอุฯ ช่วยสร้างงานในอเมริกา 40,000 ตำแหน่ง

    ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เปิดห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาวต้อนรับการไปเยือนของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบียเมื่อวานนี้ (20 มี.ค.) พร้อมกล่าวชื่นชมข้อตกลงขายอาวุธให้แก่ซาอุฯ ว่ามีส่วนช่วยกระตุ้นการจ้างงานในอเมริกา แม้ริยาดจะถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเข้าไปแทรกแซงสงครามเยเมนก็ตาม

    คลิก>>https://mgronline.com/around/detail/9610000028165

    #MGROnline #ทรัมป์ #ต้อนรับ #เจ้าชายโมฮัมเหม็ด #ซาอุดีอาระเบีย
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ... “อาฟริกาใต้ ขาดน้ำสาหัส มิถุนายนนี้อาจจะขาดน้ำใช้ เมืองใหญ่ในโลกกำลังจะตามมา”

    ... ตอนนี้เมือง “เคปทาวน์” หนึ่งที่เมืองใหญ่และจอแจแห่งหนึ่งของ “อาฟริกาใต้” กำลังประสบปัญหาขาดแคลานน้ำอย่างหนัก มาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2018 นี้ และคาดว่าเดือนมิถุนายนจะสาหัสหนักกว่าเดิมถึงขั้นอาจจะปิดท่อน้ำ เพราะว่ามีความไม่สัมพันธ์และสมดุลที่ดีระหว่างประชากรและการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้น กับ ความแห้งแล้งที่มากขึ้นของเมืองและโลก

    ... นอกจากนี้มีการเปิดเผยว่าปริมาณน้ำในเขื่อนที่หล่อเลี้ยงเมืองเคปทาวน์ทางทิศเหนือนั้นระดับลดลงมา 13% จากที่ผ่านมา ทำให้คาดว่าเมืองจะขาดน้ำใช้ในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ พวกเขากำลังจะเผชิญกับเหตุการณ์ Day Zero หรือการปิดก็อกตัดน้ำที่ตอนแรกคาดว่าจะมาถึงเมื่อประมาณกลางเดือนเมษายน และตอนหลังเลื่อนมาที่กลางเดือนมิถุนายปีนี้แทน ที่วันนั้นทางการจะถูกบังคับให้ปิดท่อน้ำที่จะหล่อเลี้ยงมาที่เมืองเคปทาวน์ทันที ที่กระทบทั้งเขตบ้านเรือนที่อยู่อาศัยและเขตธุรกิจด้วย และโอกาสวันที่ไร้น้ำใช้นั้น ก็มีความเป็นไปได้นั้นสูงมาก หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย

    ... ซึ่งมีการคาดว่าถ้าเหตุการณ์นั้นมาถึงจริงๆ การขาดน้ำจะนำมาซึ่งมาโกลาหล อลหม่านไปทั่วเมือง เกิดการไร้กฎระเบียบที่ควบคุมยาก ของผู้คนที่ต้องการน้ำมาใช้ในครอบครัวของตน

    ... โดยมีการบอกว่าสาเหตุนั้นเกิดจาก “ความไม่สมดุลของการเติบโตของเมือง” ที่มากเกินไป ทำให้ประชากรอพยพเข้าเมืองมากขึ้น ขณะที่น้ำที่นำมาใช้หล่อเลี้ยงผู้คนในเมืองกลับไม่เพียงพอ รวมทั้ง “ปัญหาโลกร้อน” ด้วย ทั้งหมดรวมกันเลยทำให้น้ำไม่เพียงพอดังกล่าว และปัญหานี้ก็ไม่ได้เป็นแค่กับที่เคปทาวน์ของอาฟริกาใต้เท่านั้น เพราะว่าทั้งในทวีปอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย และเอเชีย ก็กำลังเผชิญกับภัยการขาดแคลนน้ำ โดยเฉพาะน้ำดื่มอย่างช้าๆ แต่ไม่มีที่ไหนภัยแล้งมาเร็วกว่าเคปทาวน์แล้ว

    ... “เราไม่มีเวลาแก้ไขแล้ว เราต้องการช่วยเหลือจากพระเจ้าโดยเร็ว” คนเคปทาวน์บอกแบบสิ้นหวัง โดยในตอนนี้ทางการได้เตรียมสถานีจ่ายน้ำให้ทั่วเมือง 200 จุด แต่ละจุดรองรับผู้คนได้ประมาณ 20,000 คน

    ... But as overdevelopment, population growth, and climate change upset the balance between water use and supply, urban centers from North America to South America and from Australia to Asia increasingly face threats of severe drinking-water shortages

    ... นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่ของเมืองก็ได้วางแผนในการเก็บกักน้ำฉุกเฉินเอาไว้สำหรับการติดตั้งทางการทหาร และได้ออกกฎเกณท์ว่า การเติมน้ำในสระว่ายน้ำ การรดน้ำต้นไม้ การล้างรถเป็นความผิดทางกฏหมาย , รวมทั้งได้มีการส่งสายตรวจไปดูแลบ่อน้ำเพื่อหลีกเลี่ยงการขโมยน้ำตามแหล่งน้ำพุธรรมชาติอีกด้วย นอกจากนั้นยังมีการร้องเรียนเรื่องการขึ้นราคาน้ำจากพวกพ่อค้าที่หน้าเลือดและฉวยโอกาศด้วย

    ... หลายเดือนที่ผ่านมาประชาชนได้ถูกเรียกร้องให้ใช้น้ำอย่างประหยัด แต่มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้คนนั้น ยังไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ำอย่างประหยัดขึ้นแต่อย่างใด ยังคงใช้มากเหมือนก่อนเคย จนเมื่อเดือนมกราคม 2018 ที่ผ่านมาทางการจึงต้องเตือนต่อครัวเรือนว่าอาจจะต้องมีการลดการใช้น้ำมากกว่าเดิมอีกและให้ใช้น้ำได้แค่ 50 ลิตรต่อวัน ที่น้อยกว่าหนึ่งในหกเท่าของมาตรฐานการใช้น้ำของอเมริกา ถ้าไม่ใช้น้ำอย่างประหยัด ทางการต้องทำปิดก๊อกตัดการใช้น้ำที่เรียกว่า Day Zero ที่วันนั้นทุกคนอาจจะต้องใช้น้ำแค่ 25 ลิตรต่อคนต่อวัน ที่ปริมาณน้อยกว่าสี่นาทีของการอาบน้ำด้วยฝักบัวเท่านั้น

    ... “ผมไม่แน่ใจว่าเราจะหลีกเลี่ยงวันปิดท่อน้ำได้หรือไม่ ... ตลอดมาเราใช้น้ำมากเกินไป เราเก็บน้ำไว้ใช้ไม่ได้เลย มันน่าเศร้า” นายKevin Winter หัวหน้าผู้วิจัยเรื่องน้ำในเขตเมืองของมหาวิทยาลัยเคปทาวน์ได้กล่าวเอาไว้, ขณะที่นักวิจัยอีกคนหนึ่ง นาย David Olivier ก็บอกว่า “พื้นฐานของปัญหานี้ก็คือว่า รูปแบบการใช้ชีวิตของพวกเราเอง เราเชื่อว่าเรามีสิทธิที่จะใช้น้ำตามใจเรามากเท่าที่เราอยากใช้”

    ... “พวกเขาแสดงทัศคติและปฏิกิริยาที่โกรธเกรี้ยวในการโพสท์ตามโซเชี่ยลมีเดีย ว่าพวกเขามีสิทธิที่จะใช้มากแค่ไหนก็ได้ เพราะว่าพวกเขาจ่ายภาษีให้รัฐแล้ว ดังนั้นรัฐต้องจัดหามาให้พวกเขาใช้แบบเดิมต่อไป”

    ... การที่เคปทาวน์มีภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนและมีโอเอซิสที่สมบูรณ์แวดล้อมด้วยทะเลทราย และที่ราบสูงดักความชื้นมหาสมุทรที่มีน้ำอุ่นจากทะเลมาได้ ทำให้ภูมิทัศน์ต้นไม้ดูสวยงามดึงดูดคนรวยมาพักอาศัยที่นี่มากขึ้น ที่ตามมาด้วยการสร้างสวนที่สวยงาม สวนน้ำขนาดใหญ่ โรงบ่มไวน์ สวนที่เขียวชอุ่ม และการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ที่ก่อสร้างมากมายผู้คนต่างถิ่นก็อพยพมาหางานทำกินที่นี่มากขึ้น และตามมาด้วยการใช้น้ำที่ฟุ่มเฟือยในที่สุด แต่ขณะเดียวกันแม้เมืองจะเติบโตทันสมัยแต่อีกมุมหนึ่งคนที่ยากจนก็มีเป็นแสนๆคน และการว่างงานก็มากถึง 25% เช่นกัน และปัญหาเรื่องน้ำนี้ก็มีการคาดการณ์มาตั้ง 20 ปีมาแล้วแต่ก็แก้ไขปัญหาไม่ทัน จนลุกลามมาถึงวันนี้ที่ต้องอาจจะปิดท่อน้ำ Day Zero ในที่สุด และพวกเขาก็พยายามทำทุกวิถีทางแม้แต่การพยายามประจานแจ้งชื่อว่าใครบ้างในเขตที่ใช้น้ำเปลืองที่สุด เพื่อให้เกิดความอายและใช้เพื่อนบ้านบีบกดดันกันและกัน

    ... แต่ปัญหาการใช้น้ำ ที่เกิดจากการเติบโตของเมืองที่ทั้งคนและอาคารมากก็เป็นปัญหาหนึ่งเท่านั้น เพราะเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ผิดพลาดในการคาดเดาและคำนวณปริมาณน้ำฝนด้วยเช่นกัน เพราะพวกเขายังใช้รูปแบบการคำนวณแบบเดิมที่โลกยังไม่ร้อน และไม่คิดว่าความแห้งแล้งจะมาถึงรวดเร็วขนาดนี้ โลกที่ร้อนขึ้น ทำให้น้ำฝนตกน้อยลง ความชื้นในอากาศน้อยลง ทำให้พวกเขาต้องพยายามมองหาแหล่งน้ำโดยด่วน หรือแม้แต่มีความพยายามแปลงน้ำทะเลมาเป็นน้ำจืดหรือ Desalination plant เพื่อจะมาจ่ายให้ผู้บริโภคที่มากขึ้นและยังฟุ่มเฟือยในเมืองต่อไป แต่ขณะเดียวกัน การลดการใช้น้ำนั้นก็ใช้ไม่ได้กับทุกประเภทของอาคารเพราะว่า โรงพยาบาล หรือโรงเรียนนั้นยังไงก็ต้องใช้น้ำลดลงยาก และตราบใดที่คนมากอพยพมาในเมืองใหญ่การใช้น้ำในอาคารดังกล่าวก็ลดลงไม่ได้เลย

    ... ปัญหามันร้ายแรงมาตอนปี 2014 ที่ตอนนั้นหกเขื่อนน้ำเต็มแต่จากนั้นไม่นานก็เกิดการน้ำลดระเหยเร็วมากแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในร้อยปี ศตวรรษนี้และโดยเฉลี่ยเขื่อนที่จ่ายน้ำนั้นสามารถรักษาระดับน้ำได้แค่ 26% ของความจุที่สามารถเก็บได้แค่นั้นเอง และมีแค่เขื่อนที่ใหญ่ที่สุดที่สามารถเก็บน้ำได้มากกว่าครั้งหนึ่งของความต้องการของเมืองในยามเกิดเหตุฉุกเฉิน ที่เหลือต่ำกว่า 50% และเจ้าหน้าที่ของเมืองจะต้องตัดการจ่ายน้ำเมื่อระดับน้ำเหลือเพียงแค่ 13.5 % ของเขื่อน

    ... นักวิจัยบอกต่อว่า “เราอาจจะไม่ได้เจอเหตุการณ์แห้งแล้งแบบนี้อีกแห่งในรอบสิบปีนี้ แต่ก็เป็นไปได้ที่เรื่องแบบนี้จะเป็นเรื่องปรกติมากขึ้น ที่เราจะเจอภาวะที่ต้องประหยัดน้ำหนักๆมากกว่าเดิม และเราไม่สามารถไว้ใจกับระบบจัดการน้ำแบบเดิมได้อีกแล้ว”

    .. และเรื่องการขาดแคลนน้ำแบบนี้ จะเกิดขึ้นทั่วโลกเช่นกัน

    ... ในขณะปัญหาโลกร้อนก็ได้สร้างปัญหาความอดอยากและความวุ่นวายทางการเมืองในหลายประเทศใกล้เคียงด้วยเช่นกัน เช่น ในหลายประเทศรอบทะเลอาระเบีย จากอิหร่านถึงโซมาเลีย, ขณะที่ประชากรราว 21 ล้านคนของ “เม็กซิโก” ยังต้องใช้น้ำแค่บางช่วงเวลาของวัน และหนึ่งในห้าต้องถูกจำกัดการใช้ไม่กี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพราะน้ำไม่เพียงพอ, ขณะที่ “อินเดีย” ตามเมืองใหญ่ก็มีปัญหาน้ำไม่เพียงพอเช่นเดียวกัน , ที่ “ออสเตรเลีย” เมืองเมลเบิร์น ก็บอกว่ากำลังจะประสบปัญหาน้ำขาดแคลนเช่นกันในรอบเกือบสิบปี, ฝ่าย “อินโดนีเซีย” เมืองจาการ์ต้า ก็เจอปัญหาภัยแล้งทำให้คนดูดน้ำใต้ดินมาใช้เยอะจนเมื่อช่วงน้ำทะเลหนุนจะทำให้เมืองค่อยๆทรุดและน้ำท่วมได้ง่าย ( เหมือนกรุงเทพบ้านเรา ) ปัญหา “วิกฤติการใช้น้ำ” ยังคุกคามเมืองใหญ่ในโลกอย่างช้าๆ คำถามคือว่าเมืองไหนจะเป็นรายต่อไปต่อจาก เคปทาวน์

    ... ตราบใดการกระจายรายได้และความเจริญยังไม่ได้ผล ก็จะทำให้ผู้คนจากต่างจังหวัดยังพยายามอพยพมาเป็นคนเมืองมากขึ้น ตราบใดที่จำนวนประชากรในเมืองใหญ่ไม่สมดุลกับจำนวนน้ำใช้ การดูดน้ำใต้ดินมาใช้ และยังหาแหล่งน้ำมาเพิ่มเติมหรือชดเชยไม่ได้ วันหนึ่งทั่วโลกก็จะประสบปัญหานี้ไม่ช้าก็เร็ว ไม่มากก็น้อย

    ... "I'm not sure if we'll be able to avert Day Zero," says Kevin Winter, lead researcher at an urban water group at the University of Cape Town. "We're using too much water, and we can't contain it. It's tragic."

    ... international water management awards. It even tries to shame top water users by publishing their names.
    . But extreme events are only going to become more common." And consequences could be felt in many other places across the globe.

    .

    .

    .

    https://news.nationalgeographic.com...-drought-taps-shutoff-other-cities/?beta=true
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ... “อียูฟัดกันเองกับอเมริกา จะเก็บภาษีบริษัทไฮเทค ทั้ง กูเกิ้ล เฟสบุ๊ค
    อเมซอน แก้แค้นที่อเมริกาขึ้นภาษีเหล็ก”

    ... เรื่องของประเทศริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกนั้นกำลังดุเดือด ขณะที่การเมืองนั้นนักปกครองอียูถูกมนต์เงินตราและกระสุนอเมริกาครอบงำไปหมดตัวแล้ว แต่การค้าพวกพ่อค้าส่วนหนึ่งก็ยังอยากจะต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของพวกเขา เช่นว่า หลังจากที่ทรัมป์ประกาศว่าจะขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียมจากต่างประเทศเพื่อจะอุดหนุนบริษัทเหล็กของตนเอง ทำให้ประเทศอื่นๆเดือนร้อน ทำให้อียูขู่ว่าจะออกมาตรการเล่นงานอเมริกาคืน

    ... โดยอียูประกาศว่านำเสนอที่ประชุมในสัปดาห์หน้า เพื่อจะเก็บภาษีของประเทศไฮเทคใหญ่ๆ ของอเมริกา อย่างเช่น กูเกิ้ล เฟสบุ๊ค อเมซอน Airbnb Uber ที่มาจากซิลิกอนวัลลีย์ เป็นต้น ประมาณ 2-5% ที่มาหลีกเลี่ยงภาษีหนักๆที่ประเทศตน อียูเลยจะออกมาตรการให้พวกนั้น เลือกว่าจะจดทะเบียนการจ่ายภาษีที่ไหนบ้าง และพวกเขามีสิทธิ์ที่จะจดทะเบียนรายได้ในประเทศที่ภาษีต่ำมากๆ เช่นไอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก หรือเนเธอร์แลนด์ ได้

    ... อียูบอกว่าบริษัทเหล่านั้นมียอดรายได้ประจำปีประมาณ 924 ล้านดอลล่าร์แต่พวกเขาได้หลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีแพงๆที่ประเทศตนตลอดมา ขณะที่ธุรกิจสตาร์ทอัพจากประเทศเล็กในยุโรปที่ต้องการเป็นคู่แข่งอย่างNetflix อาจจะได้รับการปกป้องจากการจ่ายภาษีที่แพงใหม่นี้ เพราะรายได้ของพวกเขาที่ยังต้องพึ่งจากยอดการสมัครมากกว่าอย่างอื่น เป็นการสร้างบริษัทไอทีของยุโรปมาแข่งกับของอเมริกาด้วยในอีกทางหนึ่ง ... เมื่ออียูประกาศแบบนั้น ทำให้นายสตีฟ มนูชิน รัฐมนตรีการคลังของอเมริกา เด็กเก่าวอลล์สตรีท ก็ออกมาบอกแกมขู่ว่าทำแบบนั้นจะทำให้กระทบกับบริษัทใหญ่ของอเมริกา การจ้างงาน และการเติบโตของอเมริกาด้วย

    ... ตอนนี้อียูวางไว้สองแผนหลังจากทรัมป์ประกาศเรื่องขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียม คือเจรจาต่อรอง หรือถ้าไม่สำเร็จก็จะเอาคืนแก้แค้น ด้วยการเก็บภาษีจากบริษัทจากอเมริกาให้หนักบ้างดังกล่าว

    ... เมื่อสิงหาคม 2016 นั้น อียูเคยประกาศจะเก็บภาษีย้อนหลังกับ แอปเปิ้ล ที่มาจดทะเบียนในไอร์แลนด์ในข้อตกลงยกเว้นภาษีและเก็บบางส่วนที่ต่ำ ทำให้แอปเปิ้ลจ่ายเงินภาษีคืนกับยุโรปเล็กน้อยกุ๊กกิ๊กอาโนเนะมาก เพียงแค่รัฐบาลไอร์แลนด์หวังเพื่อดึงมาสร้างงานในไอร์แลนด์ ( คล้ายๆแบบบีโอไอ ของไทย ) มาตั้งแต่ปี 1991 – 2015 ตอนนั้น 2016 อียูประกาศเก็บภาษีย้อนหลังที่ 14,600 ล้านยูโร ข่าวนั้นทำให้ผู้บริหารแอปเปิ้ลเป็นไมเกรนสองข้างทันที โดยอียูบีบไอร์แลนด์ต้องทำกฎหมายเก็บภาษีย้อนหลังด้วย จนถึงตอนนี้แอปเปิ้ลยังซื้อถ่วงเวลาอ้างไปเรื่อยเปื่อย ยังไม่จ่ายให้อียูเลย ขณะที่อีกทางเลือกนั้นก็คือ ทรัมป์ก็เข้ามาเป็นทางเลือกของแอปเปิ้ลและบริษัทแนวเดียวกันอื่นๆ โดยทรัมป์จะลดภาษีให้กับบริษัทขนาดใหญ่ให้น้อยลงมโหฬารที่ออกกฏหมายไปแล้ว ทำให้โอกาสที่แอปเปิ้ลเลยดีใจกิ๊บกิ้ว บอกจะย้ายฐานกลับไปบ้านอเมริกาตามที่ทรัมป์ประกาศ ก็เป็นไปได้ เช่นกัน

    ... ในตอนนี้ แอปเปิ้ล มีเงินเก็บในบัญชีต่างแดนกว่า 250,000 ล้านดอลล่าร์ และอาจจะเตรียมขนเงินสดกลับและไปจ่ายภาษีที่บ้าน 38,000 ล้านดอลล่าร์ตามกฏหมายใหม่ ของทรัมป์ และกำลังวางแผนตอบแทนทรัมป์ในการลดภาษีให้พวกเขา ทำให้รายจ่ายน้อยลง รายได้มากขึ้น ราคาหุ้นของแอปเปิ้ลพุ่งขึ้นกระฉูดในพริบตา โดยบอกว่าจะกลับมาสร้างงานในอเมริกากว่า 20,000 ตำแหน่งในเวลา 5 ปีข้างหน้านี้ และกำลังวางแผนเรื่องการสร้างโรงงานในนิคมใหม่อยู่ ขณะที่ ทิม คุก หัวหน้าใหญ่ของแอบเปิ้ล ที่หนีจ่ายภาษีของประเทศตัวเองมากว่า 29 ปี ก็ปากหวานหลังจากได้ลดภาษีว่า “เราสำนึกอย่างลึกซึ้งในความรับผิดชอบ ที่ว่าเราต้องตอบแทนประเทศของเราและผู้ที่ช่วยทำให้เราประสบความสำเร็จได้มาได้ ให้เป็นจริง”

    ... “We have a deep sense of responsibility to give back to our country and the people who help make our success possible

    .... Transatlantic trade tensions rose on Friday with the news that the European Union (EU) plans to impose a digital tax on Facebook, Amazon, Google and other big tech companies.
    The company has about $250 billion in cash stored overseas, but under changes to tax law, companies can bring that money back to the US with lower penalties.
    Apple had already stored $36.3 billion to pay the bill and move the cash.

    ... US Treasury Secretary Steven Mnuchin warned against jeopardizing the major contribution tech firms make to US jobs and economic growth.

    .. Brussels is seeking an exemption from the tariffs but is preparing to retaliate if Trump goes ahead.

    .

    .


    https://news.cgtn.com/news/336b544f796b7a6333566d54/share_p.html
    https://www.theverge.com/2018/1/17/16901936/apple-tax-bill-foreign-money-united-states
    https://www.bloomberg.com/news/arti...-cash-irish-miss-deadline-as-eu-comes-to-town
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ... "กัมพูชาแซงหน้าไทย ตั้ง Pass App ขึ้นมาแข่งอูเบอร์จัดการรถรับจ้างแล้ว"

    ... "อูเบอร์" เข้ามาใน "ไทย" พร้อมๆกับ "กัมพูชา" ในการเจาะตลาดในย่านนี้ พร้อมกับจี้จุดอ่อนของแต่ละประเทศตรงประเด็น เช่นไทย ที่มีปัญหาที่การต้องจ่ายค่าประกอบธุรกิจเช่าแท๊กซี่แพง และใบประกอบทะเบียนขับขี่แท็กซี่แพงและภาษีอีก ทั้งขนส่งออกกฏเอาใจบริษัทขายรถ อายุรถต้องจะมาบังคับให้น้อยลงไปกระแดะตามประเทศรวยๆ คือขับไม่นานก็ต้องเปลี่ยนรถใหม่เพื่อเอาใจบริษัทคนผลิตรถจากต่างชาติอีก และผูกขาดทั้งจากขนส่งราชการกับบริษัทปล่อยเช่า ทำให้บริษัทนั้นต้องปล่อยเช่าแพงให้คนขับแท็กซี่ ทำให้แท็กซี่ก็ต้องวิ่งเฉพาะจุดโซนเขตที่จะมั่นใจว่าได้เงินเพียงพอ และอูเบอร์ก็โจมตีจุดนี้ จนปัจจุบันก็กลายเป็นปัญหามะเร็งในถนน ที่รัฐบาลชุดไหน ก็ไม่มีสติปัญญาหรือความจริงใจที่จะแก้ไขได้ ไม่เคยมองมันว่า เป็นความทุกข์และความปลอดภัย สะดวกของประเทศระดับชาวบ้านที่สำคัญมากๆ

    ... จากนั้น อูเบอร์ก็มาเป็นพระเอกขี่ม้าขาว หยิบชิ้นปลามัน แก้ปัญหาแค่ปลายเหตุ มาพร้อมกับความทันสมัย, แต่ปรากฏว่า ที่ "กัมพูชา" เพื่อนบ้านเรา เขาไปไกลกว่านั้น เพราะเขาบอกว่า การที่แท็กซี่หรือตุ๊กตุ๊กอินเดียวิ่งให้อูเบอร์นั้น ต้องจ่ายให้พวกอูเบอร์เขา 25% เงินไหลออกนอกทันที พวกเขาเลยได้สร้างแอปของคนกัมพูชาเอง อย่างน่าภูมิใจแทน ที่ชื่อว่า Pass App ในการออกมาแข่งขันกับยักษ์ใหญ่อย่างอูเบอร์ จากคำบอกเล่าของคนขับ Pass App บอกว่าจะจ่ายประมาณ 10-15% ที่จะถูกกว่าวิ่งผ่านการจัดการของอูเบอร์ เงินก็กระจายไหลเวียนอยู่ในกัมพูชา และตอนนี้ Pass App ก็กำลังได้รับความนิยมมากกว่าอูเบอร์แบบเดียวกับที่ซัมซุงอัดไอโฟนในวงการสมาร์ทโฟน ในเรื่องยอดขาย

    ... ย้อนกลับมามองบ้านเรา เมื่อไหร่จะมีการรื้อและปฏิรูประบบการออกใบผู้ประกอบให้เช่ารถแท๊กซี่ รวมทั้งลดราคาใบประกอบขับขี่ทะเบียนแท๊กซี่ ค่าภาษีป้ายลดลง อายุรถก็นานขึ้นจะได้คุ้มทันในการใช้ ไม่ใช่แค่ 9 ปีต้องเปลี่ยนรถใหม่อีกแล้ว แว่วว่าจะลดลงอีก ทั้งๆที่พวกแท๊กซี่จะขอขยายเป็น 12 ปี ก็ไม่ยอม สงสัยกลัวบริษัทขายรถยนตร์ต่างชาติกำไรหด,แบบเป็นธรรมกับทุกๆฝ่าย บาปกรรมจะได้ไม่ต้องตกอยู่กับคนขับแท๊กซี่ที่โดนด่าเป็นจำเลยสังคม จะได้กล้ารับส่งในทุกๆเขต หรือถ้าไม่มีปัญญาแก้ปัญหากระจิ้บกระเจี้ยบแค่นี้ ถ้าไม่รื้อทั้งระบบ อย่างน้อยก็อยากเห็นคนไทยเก่ง แก้ปัญหาปลายเหตุ สร้างทำแอปเรียกแท๊กซี่หรือรถรับจ้างแบบนี้ขึ้นมาบ้าง กล้าแข่งกับต่างชาติไหม จะได้ไหม ไม่งั้นอายกับเพื่อนบ้านของเราไหม ? อยากถามผู้ปกครองของไทยทุกสมัย เข้ามาแล้ว ปฏิรูปอะไรบ้าง หรือดีแต่อ้างว่าเพื่อประชาชน แต่แท้จริงกอบโกยเพื่อตัวเองเหมือนๆกันก็แค่นั้น

    .

    .
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ... “ทรัมป์ จะกลับมาหาเรื่องอิหร่านอีก เอาใจอิสราเอลและซาอุด”

    ... หลังจากที่รับเงินค่าซื้ออาวุธล็อตใหญ่ จากซาอุดอาระเบียเมื่อปีที่แล้ว “อเมริกา” ก็เอาใจสมนาคุณลูกค้าเกรดเอ โดยการยิงเรือจรวดจากเรือรบเมื่อปีที่แล้วใส่ฐานทัพรัสเซียในซีเรีย ตามมาด้วยจะยกเลิกการเจรจา P5+1 Joint Comprehensive Plan of Action (JCPOA) ที่เป็นการเจรจาผ่อนปรนให้กับ “อิหร่าน” เมื่อ 14 กรกฎาคม 2015 ในสมัยของลุงโอบาม่า ที่ทรัมป์มองว่าอ่อนนุ่มนิ่มให้อิหร่านมากเกินไป และล่าสุดก็ปลดรัฐมนตรีต่างประเทศ นายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน ออกไปเพราะขัดแย้งกับเขาในหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่องอิหร่านด้วย

    ... เขาจึงเอาอดีตหัวหน้าซีไอเอ “นายไมค์ ปอมปีโอ” มาเป็นแทน นายนี้เป็นสายเหยี่ยว ทั้งเตรียมมาเพื่อจะหาเรื่องในการเจรจากับเกาหลีเหนือโดยตรง รวมทั้งล่าสุดจะหาเรื่องอิหร่านอีกแล้ว ทรัมป์บอกว่าจะพยายามแก้ไขรายละเอียดในการผ่อนปรนของ JCPOA ให้ยากขึ้นเช่นว่าจะให้ออกกฏให้เจ้าหน้าที่นานาชาติสามารถไปตรวจที่หน้างานของโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านได้ทุกโรง ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ และจะไม่ยกเลิกเวลาควบคุมจาก 25 ปี เป็นยาวตลอดไป ที่อาจจะหนักเกินไปกับอิหร่าน หรืออเมริกาอาจจะถอนตัวจากการตกลง นั้นแต่ฝ่ายเดียว และที่สำคัญจะบีบพวกสมุนทั้ง อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมันด้วย ขณะที่ “จีน และ รัสเซีย” คงจะเอาใจช่วยอิหร่านต่อไป

    ... “to either fix the deal’s disastrous flaws, or the United States will withdraw.”

    ... ขณะที่ “อิหร่าน” ก็บอกว่า “ถ้าอเมริกาถอนตัวออกจากข้อตกลงนี้ ที่ผ่อนปรนให้อิสระแก่อิหร่านในการพัฒนาความสามารถนิวเคลียร์เพื่อสันติ ( เป็นเวลาไม่เกิน 25 ปี ) จะเป็นการกระทำที่ผิดพลาด ... และยังเตือนประเทศใหญ่ยุโรปอีกว่า ถ้าพวกเขาเดินตามเพื่อเอาใจอเมริกาในการคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหญ่ในการประชุมรอบใหม่นี้แล้ว จะเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่”

    ... ขณะที่นาย Peter Jenkins, อดีตทูต “อังกฤษ” ประจำ IAEA หรือ “ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ” ก็ได้บอกว่า ไม่มีข้อตกลงนานาชาติใดๆที่จะจำกัดอิหร่านไม่ให้พัฒนาอาวุธเพื่อปกป้องตัวเอง ประธานาธิบดีทรัมป์ ไม่มีสิทธิใดๆที่จะไปเป็นเผด็จการออกคำสั่ง หรือจำกัดรายละเอียดเกินไปจากข้อตกลงนั้น และจะเป็นการโดดเดี่ยวอเมริกาออกจากสังคมโลกด้วย” ( เป็นตัวเห็บเห่าน่ารังเกียจ )

    ... “และการข้อตกลง JCPOA นั้นเป็นจัดอยู่ภายใต้อำนาจของ ยูเอ็น ถ้าอเมริกาจะตั้งตัวแก้ไขหรือถอนตัวออกฝ่ายตัว ก็แปลว่าไม่เคารพหรือเชื่อฟังมติของสหประชาชาติ ก็เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับประเทศอื่นๆทั่วโลก และจะไม่มีใครไว้ใจอเมริกาอีกต่อไป” ( ยูเอ็น เป็นลูกสมุนชั้นเลว หางแถวของอเมริกามานานแล้ว )

    ... ยิ่งกว่านั้น จะเป็นการทำให้ต่างชาติขาดแรงจูงใจในการเจรจากับ“เกาหลีเหนือ” ( เกาหลีเหนือคือม้าของขุนศึกจีน ) เป้าหมายต่อไปที่จะให้พวกเขาต้องการบีบให้ลดการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ด้วย และเรื่องนี้พันธมิตรบริวารของอเมริกา อย่าง “ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ แคนาดา ออสเตรเลีย” ต่างก็ไม่เห็นด้วยที่อเมริกาจะถอนตัวหรือแก้ไขข้อตกลงเพื่อเล่นงานอิหร่านแบบไม่สนใจมติยูเอ็นเลย และยิ่งกว่านั้นมันจะทำให้ปัญหารัสเซียครอบครองไครเมียยากขึ้นไปอีก

    ... Iran also has a sovereign right to possess missiles to defend itself. There are no international treaties banning conventional missiles. “President Trump has no right to dictate limits or restrictions over and beyond those just described,” said Peter Jenkins, a former UK ambassador to the IAEA.

    scuttling the JCPOA will increase global mistrust of the United States and remove any incentive for North Korea to negotiate a deal to curtail its own nuclear program.

    ... นักวิเคราะห์ของสำนักข่าวรอยเตอร์บอกว่าทรัมป์ควรจะเอาเวลาไปแก้ไขปัญหาใหญ่ๆที่ ซีเรีย เยเมน และอัฟกานิสถานก่อนดีกว่า ที่จะมาสร้างอีกปัญหา โลกต้องการเวลามาสร้างสันติและเคารพกฏเกณท์กติกานานาชาติมากกว่าที่จะมาทำลายสันติภาพและทำลายกฏเกณท์ให้โลกวุ่นวายขึ้น

    ... “ฝรั่งเศส” นั้นมีเพิ่งการลงทุนร่วมกันกับ “อิหร่าน” ไม่นานเมื่อปีที่แล้วในการสำรวจขุดเจาะพลังงานที่แหล่งแก็สธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง North Dome และ South pars ที่เป็นพรมแดนทางทะเลที่เชื่อมกับ “กาต้าร์” ที่ก็กำลังถูก “ซาอุด” เล่นงานอย่างหนักเพื่อบีบให้มาเป็นศัตรูกับอิหร่านตามเดิม แต่กาต้าร์ ไม่สนใจ เพราะว่าพลังงานและผลประโยชน์ของชาติสำคัญกว่า ซาอุดเลยเอาเรื่องศาสนามาแกล้ง โดยบอกว่ากาต้าร์เป็นพวกไม่ดี ไปคบกับพวกชีอะห์ ไปโน่นเลย

    ... เรื่องนี้ยังอีกยาว ทั้ง “อิหร่าน เกาหลีเหนือ และรัสเซีย” ( กาต้าร์ด้วย ) กำลังโดนเล่นงานอย่างหนัก เพื่อเบี่ยงเบนปัญหาเรื่องฟองสบู่ในตลาดพันธบัตร และตลาดหุ้นและระเบิดหนี้อเมริกา กำลังจะแตก

    .

    .

    . http://www.presstv.com/Detail/2018/...nctions-JCPOA-Germany-France-Britain-Document
    https://www.reuters.com/article/us-...ar-deal-will-be-bad-for-the-u-s-idUSKBN1F735D
     

แชร์หน้านี้

Loading...