ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    แอปเปิลท่าจะแย่! ยอดขาย “ไอโฟน” ในจีนตกหนัก 20% สวทางกับ “หัวเว่ย” เผยแพร่: 11 ก.พ. 2562 23:29 ปรับปรุง: 12 ก.พ. 2562 14:05 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000001531401.jpg

    รอยเตอร์ - ยอดขาย “ไอโฟน” ของแอปเปิล อิงก์ ในจีน ตกลง 20% เมื่อเทียบเป็นรายปี ในไตรมาส 4 ของปี 2018 ในขณะที่ยอดขายสมาร์ทโฟนของ “หัวเว่ย” คู่แข่งจากท้องถิ่น เติบโตถึง 23% ตามข้อมูลจากบริษัทวิจัยอุตสาหกรรม IDC ที่เปิดเผยในวันจันทร์ (11 ก.พ.)

    รายงานดังกล่าวเป็นการให้ตัวเลขที่ชัดเจนเป็นครั้งแรก ต่อขอบเขตความเสื่อมถอยในยอดขายของแอปเปิลภายในชาติเศรษฐกิจหมายเลข 2 ของโลกแห่งนี้ หลังจากก่อนหน้านี้ทาง ทิม คุ้ก ซีอีโอของแอปเปิล ออกมายอมรับว่าจีนคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทางบริษัทต้องปรับลดประมาณการยอดขายรายไตรมาสอย่างที่ไม่ค่อยพบเห็นบ่อยครั้งนักเมื่อเดือนที่แล้ว

    ด้วยที่ แอปเปิล ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนการส่งมอบไอโฟนในรายงานผลประกอบการรายไตรมาสอีกแล้ว นั่นจึงหมายความว่าผลสำรวจและการตรวจสอบผ่านช่องทางต่างๆ อย่างเช่นของ IDC จึงเป็นตัวบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงในยอดขายที่ชัดเจนที่สุดแล้ว

    ตัวเลขในรายงานเผลให้เห็นว่าการส่งมอบสมาร์ทโฟนของแอปเปิลในไตรมาสสุดท้ายของปี 2018 ลดลง 19.9% ในขณะที่ หัวเว่ย เติบโต 23.3% ซึ่งนั่นทำให้ส่วนแบ่งตลาดของแอปเปิล ลดลงเหลือ 11.5% จากระดับ 12.9% ของหนึ่งปีก่อนหน้านี้

    “นอกเหนือจากการอัปเกรดทั่วๆ ไปในปี 2018 และเปลี่ยนแปลงภายนอกเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีนวัตกรรมสำคัญๆใดๆ ที่จะกระตุ้นให้พวกผู้ใช้เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือ ในขณะที่ราคาก็สูงขึ้นอย่างมาก” รายงานระบุ “สิ่งแวดล้อมระดับมหภาคที่รุนแรงในจีนและการจู่โจมจากผลิตภัณฑ์นวัตกรรมของแบรนด์ภายในประเทศก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้แอปเปิลเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ"

    ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นเดือน รายงานอีกชิ้นจาก Counterpoint ซึ่งมีสำนักงานในฮ่องกง ยืนยันว่า แอปเปิลประสบปัญหายอดขายตกอย่างรุนแรงในอินเดียเช่นกัน หนึ่งในตลาดเกิดใหม่ยักษ์ใหญ่ที่แอปเปิลกำลังตะเกียกตะกายดิ้นแรนอย่างหนัก โดย Counterpoint ระบุว่ายอดขายไอโฟน ช่วงไตรมาส 4 ปีของ 2018 ในอินเดีย ลดลงจากหนึ่งปีก่อนหน้านี้ถึง 25%

    https://mgronline.com/around/detail/9620000014814
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    2018 เป็นปีเลวร้ายที่สุดสำหรับ ‘สมาร์ตโฟน’ มีแต่‘หัวเว่ย’ที่ยังดูดี งานวิจัยยืนยัน เผยแพร่: 2 ก.พ. 2562 18:33 โดย: กองบรรณาธิการเอเชียไทมส์
    562000001202701.jpg

    (เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

    2018 was the worst year ever for smartphone shipments
    By Asia Times staff
    02/02/2019

    ยอดการจัดส่งสมาร์ตโฟนในรอบปี 2018 ที่ผ่านมาอยู่ในอัตราติดลบ หลังจากเคยแต่เติบโตรวดเร็วอย่างต่อเนื่องมายาวนาน แถมพวกนักวิเคราะห์มองว่า เงื่อนไขยากลำบากที่ตลาดกำลังเผชิญอยู่ ยังน่าจะต่อเนื่องเข้าสู่ปี 2019 นี้ด้วย

    ตลาดสมาร์ตโฟนทั่วโลกซึ่งกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีอันต้องอยู่ในภาวะหล่นวูบเสียแล้วเมื่อช่วงปี 2018 ที่ผ่านมา แถมไม่มีสัญญาณใดๆ ว่าจะสามารถไต่กลับขึ้นมาได้ใหม่ภายในอนาคตอันใกล้นี้ รายงานวิจัยฉบับใหม่ระบุ

    ยอดปริมาณการจัดส่งสมาร์ตโฟนของทั่วโลกอยู่ในอัตราลดต่ำ 4.1% เมื่อปีที่แล้ว ทั้งนี้ตามตัวเลขข้อมูลของ ไอดีซี (IDC) บริษัทวิจัยที่เน้นเรื่องไอที (ดูรายละเอียดงานวิจัยนี้ได้ที่ https://www.idc.com/getdoc.jsp?containerId=prUS44826119 ) ถือเป็นผลงานอันน่าเศร้าสำหรับอุตสาหกรรมซึ่งคุ้นเคยกับอัตราเติบโตขยายตัวที่รวดเร็วมาอย่างยาวนาน

    “ตลาดสมาร์ตโฟนของทั่วโลกเวลานี้อยู่ในสภาพยุ่งเหยิง” ตามความเห็นของ ไรอัน รีธ (Ryan Reith) รองประธานโปรแกรม ด้านเครื่องติดตามอุปกรณ์มือถือทั่วโลก (Worldwide Mobile Device Trackers) ของไอดีซี

    “นอกเหนือจากตลาดที่ยังคงมีอัตราเติบโตขยายตัวสูงจำนวนหยิบมือหนึ่ง อย่างเช่น อินเดีย, อินโดนีเซีย, เกาหลี, และเวียดนาม แล้ว เราก็ไม่ได้เห็นกิจกรรมทางบวกเยอะแยะมากมายอะไรเลยในรอบปี 2018 เราเชื่อว่าสภาพเช่นนี้มีปัจจัยจำนวนมากซึ่งส่งผลเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นต้นว่า วงรอบของการเปลี่ยนเครื่องใหม่ที่กำลังยาวนานขึ้น, ระดับการเจาะลึกเข้าไปในตลาดกำลังเพิ่มทวีขึ้นเรื่อยๆ ในตลาดใหญ่ๆ จำนวนมาก, ความไม่แน่นอนในทางการเมืองและในทางเศรษฐกิจ, และความหงุดหงิดไม่พอใจของผู้บริโภคซึ่งกำลังเพิ่มมากขึ้นจากการที่ระดับราคาซึ่งตั้งจำหน่ายขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

    พวกตลาดที่ยังมีอัตราเติบโตสูงเหล่านั้น อาจช่วยให้ หัวเว่ย ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือสัญชาติจีน สามารถรุกคืบหน้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้เมื่อปีที่แล้ว ถึงแม้ภาคอุตสาหกรรมนี้โดยองค์รวมกำลังเผชิญความยากลำบาก

    บริษัทนี้สามารถสร้างสถิติใหม่ในเรื่องของจำนวนหน่วยที่จัดส่ง ที่สูงทะลุหลัก 200 ล้านหน่วย และกระทั่งแซงหน้าบริษัทแอปเปิล ขึ้นเป็นผู้ผลิตสมาร์ตโฟนรายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกในช่วงไตรมาสสอง

    อย่างไรก็ดี ตามข้อมูลตัวเลขของดีเอชซี หัวเว่ยยังคงไม่สามารถคว้าตำแหน่งนี้ไปได้เมื่อคำนวณยอดตลอดทั้งปี 2018 แล้ว

    ในส่วนของตลาดจีน ถึงแม้ยังคงสามารถมองเห็นจุดอ่อนบางประการอย่างต่อเนื่อง แต่ก็กำลังให้รางวัลแก่พวกแบรนด์ท้องถิ่น โดยสมาร์ตโฟนซึ่งขายดีที่สุดในระดับท็อปของตลาดแดนมังกรปีที่แล้วล้วนแต่เป็นแบรนด์ภายในประเทศ ทั้งนี้แบรนด์เหล่านี้ยังกำลังขยายส่วนแบ่งตลาดของพวกตนจาก 66% ไปเป็น 78% ทำให้เหลือที่ทางขยับขยายลดน้อยลงไปอีกสำหรับไอโฟน

    การที่แอปเปิลมุ่งพึ่งพาอาศัยการเสนอขายเครื่องระดับพรีเมี่ยมตั้งราคาสูงๆ น่าที่จะส่งผลกระทบต่อยอดการจัดส่งสมาร์ตโฟนของบริษัทต่อไปอีก รายงานวิจัยฉบับนี้ชี้ โดยที่ยอดปริมาณการจัดส่งเครื่องไอโฟนหล่นลง 11.5% ในช่วงไตรมาสสี่ของปีที่แล้ว ทั้งๆ ที่เพิ่งเปิดตัวโมเดลใหม่ๆ 3 รุ่นเมื่อเร็วๆ นี้

    เวลาเดียวกัน ปริมาณการจัดส่งของหัวเว่ย พุ่งสูงขึ้น 33.6% ในรอบปี 2018

    https://mgronline.com/around/detail/9620000011632
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    อิตาลี,เยอรมนียังคงต้านทานแรงกดดันสหรัฐฯที่ให้แบนอุปกรณ์ 5 จีของหัวเว่ย เผยแพร่: 8 ก.พ. 2562 23:48 ปรับปรุง: 9 ก.พ. 2562 01:26 โดย: คริสโตเฟอร์ สกอตต์
    562000001444601.jpg

    (เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

    Italy, Germany resist ban on Huawei’s 5G gear
    By Christopher Scott
    08/02/2019

    ทางการอิตาลีและเยอรมนีต่างออกมาแถลงว่าไม่ได้เตรียมที่จะสั่งห้ามใช้อุปกรณ์เครือข่าย 5 จีของหัวเว่ยตามที่มีรายงานแพร่สะพัดก่อนหน้านี้ ข่าวนี้ถือเป็นการตีกระหน่ำอย่างแรงต่อการรณรงค์ที่นำโดยสหรัฐฯซึ่งมุ่งดิสเครดิตบริษัทจีนรายนี้

    รัฐบาลเยอรมนีกำลังหาทางหลีกเลี่ยงนโยบายใดๆ ก็ตามที่จะเป็นการจำกัดไม่ให้ หัวเว่ย ผู้ผลิตอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมสัญชาติจีน ดำเนินการสร้างเครือข่าย 5 จีของเยอรมัน หนังสือพิมพ์รายวัน ฮานเดลสบลัตต์ (Handelsblatt) รายงานในวันพฤหัสบดี (7 ก.พ.) (ดูรายละเอียดข่าวนี้ได้ที่ https://www.handelsblatt.com/politi...ml?ticket=ST-2168266-z9ic72QZ27E92LNobQBP-ap2 )

    ในวันพฤหัสบดี (7 ก.พ.) เช่นเดียวกัน รัฐบาลอิตาลีได้ปฏิเสธรายงานข่าวที่ระบุว่า ตนกำลังเตรียมตัวห้ามไม่ให้หัวเว่ยเข้าเกี่ยวกับกับการให้บริการการสื่อสารไร้สายเจเนอเรชั่นต่อไป นั่นคือรุ่น 5 จี

    สื่อมวลชนท้องถิ่นรายงานเอาไว้ก่อนหน้านั้นในวันเดียวกันว่า รัฐบาลอิตาลีเตรียมตัวแล้วที่จะประกาศคำสั่งห้ามใช้อุปกรณ์ซึ่งมาจากพวกบริษัทสัญชาติจีนทั้งหลาย

    ทว่ารัฐมนตรีอุตสาหกรรมของอิตาลีได้ออกมาชี้แจงแก้ข่าวอย่างรวดเร็ว โดยบอกว่า “เราไม่ได้มีความตั้งใจที่จะนำเอาแผนการริเริ่มเช่นนั้นมาบังคับใช้เลย สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเอาไว้เช่นนี้ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.reuters.com/article/us-...an-huawei-zte-from-its-5g-plans-idUSKCN1PW0LV)

    ทั้งนี้ ลา สตามปา (La Stampa) หนังสือพิมพ์รายวันของอิตาลีรายงานข่าวโดยอ้างพวกแหล่งข่าวในกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า รัฐบาลกลางอิตาลีนั้นพรักพร้อมแล้วที่จะใช้อำนาจของตนเพื่อให้มีการถอนตัวออกจากบรรดาสัญญาข้อตกลงซึ่งมีผลบังคับอยู่ ด้วยวัตถุประสงค์ในการพิทักษ์คุ้มครองโครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์ (ดูเพิ่มเติมรายงานข่าวนี้ได้ที่ https://www.lastampa.it/2019/02/07/...e-per-il-g-VRrXU8HLgWWZfqvdNsIWSO/pagina.html)

    ในเยอรมนีนั้น เฮลเกอ เบราน์ (Helge Braun) ประธานคณะเจ้าหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล เช่นเดียวกับกระทรวงกิจการต่างประเทศ, กระทรวงกิจการภายในประเทศ, กระทรวงเศรษฐกิจ, ตลอดจนกระทรวงการคลังและโครงสร้างพื้นฐาน ได้ออกมาประกาศจุดยืนอันเป็นเอกฉันท์ที่ว่า ประเทศนี้ไม่ได้หาทางที่จะแบนหัวเว่ย

    อย่างไรก็ดี ฮานเดลสบลัตต์เตือนเอาไว้ด้วยว่า ระเบียบกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ซึ่งมีกำหนดที่จะจัดทำกันให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนหน้าการจัดประมูล 5 จีของเยอรมนี ยังอาจจะกลายเป็นตัวจำกัดบทบาทของหัวเว่ยได้

    การรณรงค์อย่างลนลานของวอชิงตัน

    การที่ 2 ชาติใหญ่ของยุโรปทำท่าจะให้การต้อนรับหัวเว่ยเช่นนี้ บังเกิดขึ้นทั้งๆ ที่วอชิงตันได้ทุ่มเทความพยายามเพื่อเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวเหล่าชาติพันธมิตรทั้งหลายอย่าได้ใช้อุปกรณ์เครื่องมือจากผู้ผลิตอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมสัญชาติจีนรายนี้ หัวเว่ยนั้นสามารถก้าวผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็วยิ่งจนกระทั่งมีฐานะเป็นผู้นำในเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีเครือข่าย 5 จี

    การรณรงค์ป่าวร้องของสหรัฐฯเพื่อดิสเครดิตหัวเว่ยโดยอ้างเหตุผลทางด้านความมั่นคงแห่งชาติ อยู่ในอาการชะงักงันในระยะไม่กี่เดือนหลังๆ มานี้ ภายหลังประสบความสำเร็จในการดึงเอาออสเตรเลียให้เข้ามาร่วมด้วย ทั้งนี้นอกเหนือจากเยอรมนีและอิตาลีแล้ว จวบจนถึงเวลานี้ รัฐบาลในสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสก็ยังคงไม่ได้ออกมาแถลงว่าพวกเขาจะแบนหัวเว่ย ขณะที่กลุ่มต่างๆ ในแวดวงอุตสาหกรรมต่างพากันเตือนว่า การสั่งห้ามเช่นนั้นจะเป็นการฟาดกระหน่ำสร้างความเสียหายอย่างแรงในเชิงพาณิชย์ขึ้นในภูมิภาคแถบนี้

    แม้กระทั่งแคนาดาก็ยังคงอยู่ระหว่างการพิจารณาเรื่องข้อเสนอให้ห้ามใช้อุปกรณ์ 5 จีของหัวเว่ย เมื่อวันพฤหัสบดี (7 ก.พ.) บีซีอี (BCE) กลุ่มกิจการสื่อสารโทรคมนาคมและสื่อที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ แถลงว่าหากรัฐบาลนำเอานโยบายเช่นนั้นออกมาใช้ ก็จะไม่เป็นการชะลอแผนการของบริษัทในเรื่องนำเอาเครือข่ายรุ่นใหม่ซึ่งสามารถถ่ายทอดสัญญาณการสื่อสารได้อย่างรวดเร็วอย่างยิ่งนี้ออกมาให้บริการ ทั้งนี้ตามรายงานของสำนักข่าวเดอะ แคนาดาเพรส (The Canada Press) (ดูรายละเอียดข่าวนี้ได้ที่ https://www.cbc.ca/news/business/bell-5g-network-plans-huawei-1.5009572 )

    จอร์จ โคป (George Cope) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบีซีอี บอกว่า ผลลัพธ์ของการพิจารณาทบทวนเรื่องความมั่นคงแห่งชาติที่เวลานี้กำลังดำเนินการกันอยู่ จะไม่ “ส่งผลกระทบไม่ว่าในทางใดๆ ต่อกำหนดเวลาของเราในเรื่องตลาดสำหรับ 5 จี” เขาแถลงเช่นนี้โดยไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมไปกว่านี้

    พวกคู่แข่งขันสัญชาติยุโรปของหัวเว่ย ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 ราย คือ อิริคสัน และ โนเกีย ต่างถูกหัวเว่ยทิ้งห่างอยู่ข้างหลังไกลทีเดียว [1] ทั้งนี้ตามคำบอกเล่าของพวกผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม ขณะที่บริษัทสหรัฐฯนั้น ในปัจจุบันไม่มีแห่งใดเลยซึ่งมีความพรักพร้อมที่จะเสนออุปกรณ์แกนหลักอันจำเป็นสำหรับการนำเอาเครือข่าย 5 จีออกมาให้บริการ

    พวกผู้สังเกตการณ์พูดกันว่า ความพยายามในนาทีสุดท้ายของวอชิงตันที่จะสกัดกั้นขัดขวางหัวเว่ยไม่ให้สามารถเข้าสู่ตลาดระหว่างประเทศได้นั้น บังเกิดขึ้นสายจนเกินไปเสียแล้ว รวมทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงการขาดไร้นโยบายภายในประเทศใดๆ ที่จะโปรโมตส่งเสริมผู้ที่อาจจะสามารถเป็นทางเลือกเข้ามาแข่งขันกับหัวเว่ยได้อีกด้วย

    สำหรับเหล่าพันธมิตรของวอชิงตันแล้ว การส่งสัญญาณเข้าร่วมอยู่ในวิธีการแบบมุ่งเผชิญหน้ากับปักกิ่งเช่นนี้ ยังมีความเสี่ยงที่จะทำความเสียหายให้แก่ความสัมพันธ์กับจีน ประเทศซึ่งพวกเขาต้องพึ่งพาอาศัยเป็นอย่างมาก ในฐานะที่เป็นชาติคู่ค้าที่สำคัญรายหนึ่ง –หรือกระทั่งรายสำคัญที่สุด—ของพวกเขา

    เรื่องนี้เห็นได้ชัดเจนจากกรณีของแคนาดา ภายหลังเข้าจับกุม เมิ่ง หว่านโจว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของหัวเว่ย ในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว เมิ่งซึ่งยังเป็นบุตรสาวของผู้ก่อตั้งบริษัทหัวเว่ยอีกด้วย ถูกพวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของแคนาดาจับกุมตามคำร้องขอของวอชิงตัน ทำให้ถูกปฏิกิริยาตอบโต้กลับอย่างรุนแรงจากปักกิ่ง จีนยังเตือนด้วยว่าแคนาดาจะต้องเผชิญผลพวงต่อเนื่องหากยังไม่ปล่อยตัวเมิ่ง ทั้งนี้ออตตาวาดูเหมือนอยู่ในอาการอิหลักอิเหลื่อ เนื่องจากถ้าจะให้อิสรภาพแก่ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของหัวเว่ย พวกเขาอาจจำเป็นต้องละเมิดไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขซึ่งกำหนดเอาไว้ในสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่แคนาดาเซ็นเอาไว้กับสหรัฐฯ

    ความวิตกกังวลด้านความมั่นคงที่ดำรงอยู่มายาวนาน

    ความวิตกกังวลในเรื่องความเสี่ยงทางด้านความมั่นคงแห่งชาตินั้น มีต้นตอมาจากลักษณะธรรมชาติของตัวอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมเอง บวกกับการที่จีนมีกฎหมายความมั่นคงทางไซเบอร์ซึ่งบังคับพวกผู้ให้บริการเครือข่ายการสื่อสารต้อง “ให้ความสนับสนุนและความช่วยเหลือทางเทคนิค” แก่รัฐบาล

    “อุปกรณ์ ‘กระดูกสันหลัง’ ด้านการสื่อสารโทรคมนาคมที่สำคัญ มีการต่อเชื่อมกับบริษัทผู้ผลิตโดยผ่านช่องทางอันประณีตซับซ้อน ... อุปกรณ์อาจจะถูกจำหน่ายออกไปและถูกติดตั้งภายใต้เงื่อนไขที่มีความมั่นคงปลอดภัยอย่างสมบูรณ์แบบ แต่แล้วในเวลาอีก 1 เดือนต่อมา บริษัทผู้ผลิตยังคงสามารถส่งซอฟต์แวร์ไปอัปเดตเพื่อทำให้เกิดจุดอ่อนขึ้นมาหรือทำให้สามารถรบกวนการให้บริการได้ ทั้งนี้ทางบริษัทผู้ให้บริการและลูกค้าของพวกเขาจะไม่รู้เรื่องใดๆ เลยเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงนี้” ศูนย์กลางเพื่อยุทธศาสตร์ศึกษาและการระหว่างประเทศศึกษา (Center for Strategic and International Studies หรือ CSIS) หน่วยงานคลังความคิดของสหรัฐฯซึ่งตั้งสำนักงานอยู่ในกรุงวอชิงตัน เขียนเอาไว้เช่นนี้ในรายงานฉบับเมื่อเร็วๆ นี้

    จีนนั้นบอกปัดไม่ยอมรับความวิตกกังวลซึ่งสหรัฐฯกับพวกชาติพันธมิตรหยิบยกขึ้นมาเหล่านี้ โดยกล่าวว่าเป็นเพียง “การเที่ยวเร่ขายความหวาดกลัว” เท่านั้น ขณะที่พวกนักวิพากษ์วิจารณ์วิธีการของวอชิงตันชี้ว่า บรรดาบริษัททำอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมของสหรัฐฯก็เคยทำงานร่วมมือกับเหล่าหน่วยงานข่าวกรองอเมริกันมาแล้วเช่นกันในอดีตที่ผ่านมา

    หัวเว่ยบอกว่า บริษัทจะไม่มีทางคิดคดทรยศต่อพวกลูกค้าด้วยการยื่นข้อมูลต่างๆ ให้แก่รัฐบาลจีนหรอก เนื่องจากการปฏิบัติเช่นนั้นจะเท่ากับ “การฆ่าตัวตายในเชิงพาณิชย์”

    ในอิตาลี ซึ่งหน่วยงานต่างๆ ดูเหมือนมีความไม่ลงรอยกัน สามารถใช้เป็นภาพสะท้อนถึงความไม่เป็นเอกภาพกันและการเดินกันไปคนละทางสองทางภายในประเทศยุโรปอื่นๆ ได้ดีทีเดียว โดยที่สาระสำคัญก็คือ การที่ผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ของพวกผู้ให้บริการเครือข่ายสื่อสารโทรคมนาคม ปะทะขัดแย้งกับคำแนะนำของพวกเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองและฝ่ายกลาโหม

    บริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายในฝรั่งเศสอย่างออเรนจ์ (Orange) เช่นเดียวกับ บีที กรุ๊ป (BT Group) ผู้ให้บริการในสหราชอาณาจักร ต่างประกาศออกมาแล้วว่า พวกเขาจะจำกัดขนาดขอบเขตของการที่พวกเขาต้องพึ่งพาอาศัยหัวเว่ย ในเรื่องพวกส่วนประกอบแกนหลักของเครือข่ายสื่อสารไร้สาย

    ส่วนในสหรัฐฯ พวกบริษัทสื่อสารโทรคมนาคมรายใหญ่ๆ เผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองมานานปีแล้วไม่ให้ทำงานร่วมมือกับหัวเว่ย นอกจากนั้นในตอนนี้ยังมีความสนับสนุนจากทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตเพื่อให้ออกกฎหมายฉบับใหม่ซึ่งพุ่งเป้ามุ่งเล่นงานทั้งหัวเว่ยและแซดทีอี (ZTE) ทั้งนี้แซดทีอีก็เป็นคู่แข่งรายหนึ่งเช่นกันที่กำลังพัฒนาอุปกรณ์สำคัญยิ่งยวดสำหรับเครือข่าย 5 จี

    หมายเหตุผู้แปล

    [1] ในเรื่องสภาพของพวกคู่แข่งขันสัญชาติยุโรปของหัวเว่ย นั้น เอเชียไทมส์ได้โพสต์ข้อเขียนอีกชิ้นหนึ่ง พูดถึง “โนเกีย” กับลู่ทางโอกาสที่จะฉวยคว้าธุรกิจ 5 จีในยุโรปตะวันตก สืบเนื่องจากการรณรงค์ดิสเครดิตหัวเว่ยของสหรัฐฯ จึงขอเก็บความนำมาเสนอเอาไว้ ณ ที่นี้


    ‘โนเกีย’ คู่แข่ง 5จี ของหัวเว่ยยอมรับ ยังต้องดิ้นรนหนักเพื่อฉวยคว้าโอกาสที่สหรัฐฯอุตส่าห์เปิดให้ในยุโรป

    โดย กองบรรณาธิการเอเชียไทมส์

    (เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

    Huawei 5G rival Nokia struggles to capitalize in Europe
    By Asia Times staff
    01/02/2019

    โนเกีย ผู้ผลิตอุปกรณ์เทเลคอมสัญชาติฟินแลนด์ ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญของหัวเว่ยในเรื่องส่วนประกอบต่างๆ สำหรับเครือข่ายสื่อสารไร้สายระบบ 5 จี ประกาศคาดการณ์ผลประกอบการที่น่าผิดหวัง ทั้งๆ ที่สหรัฐฯเร่งการรณรงค์เพื่อดิสเครดิตคู่แข่งขันสัญชาติจีนรายนี้อย่างหนักหน่วง

    วอชิงตันกำลังทุ่มเทความพยายามแบบไม่มีกั๊ก ในการรณรงค์เพื่อขัดขวางไม่ให้ หัวเว่ย ยักษ์ใหญ่เทเลคอมสัญชาติจีน ก้าวขึ้นสู่ฐานะโดดเด่นเหนือกว่าใครในระดับโลก

    ทว่าขณะที่หัวเว่ยสามารถสถาปนาตนเองกลายเป็นผู้ซัปพลายชั้นนำในเรื่องอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคม ให้แก่พวกชาติพันธมิตรของสหรัฐฯเป็นจำนวนมากไปเรียบร้อยแล้วนั้น การรณรงค์เพื่อดิสเครดิตบริษัทจีนรายนี้ของอเมริกันกลับประสบภาวะชะงักงัน รวมทั้งยังคงไม่มีความแน่นอนเอาเสียเลยที่พวกคู่แข่งของหัวเว่ยจะสามารถเก็บกวาดความได้เปรียบต่างๆ จากลู่ทางโอกาสซึ่งบังเกิดขึ้นมา

    ประเด็นปัญหาหนึ่งที่กำลังเผชิญหน้าโนเกีย บริษัทสัญชาติฟินแลนด์ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่แข่งสำคัญของหัวเว่ย ก็คือการที่ยุโรปกำลังเหมือนกับเตะถ่วงไม่ค่อยแข็งขันในการนำเอาเครือข่าย 5 จีออกมาบริการลูกค้า โดยที่ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องที่พวกเขาจะตัดสินใจคบค้าร่วมมือหรือว่าจะแบนอุปกรณ์ของบริษัทจีน

    นี่เป็นเหตุผลประการหนึ่งที่ว่าทำไมทิศทางอนาคตของโนเกียในปีนี้จึงได้สร้างความผิดหวังให้แก่พวกนักวิเคราะห์ และ ราจีฟ ซูรี (Rajeev Suri) ซีอีโอของบริษัทฟินแลนด์แห่งนี้ แถลงยอมรับว่า บริษัทยังคงอยู่ใน “ระยะต้นๆ” ของความพยายามในหารฉวยคว้าประโยชน์จากลู่ทางโอกาสความเป็นไปได้ซึ่งกำลังเปิดขึ้นมาในยุโรป

    “พูดกันตรงๆ เลย นี่ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาออกความเห็นในหัวข้อนี้หรอก สถานการณ์ยังคงเต็มไปด้วยความสับสนมากๆ ผลซึ่งจะออกมานั้นเป็นสิ่งที่รัฐบาลต่างๆ จะต้องเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช่โนเกีย แต่ถ้าพวกลูกค้าของเราเรียกร้องขอความสนับสนุนแล้ว เราก็ยินดีจะให้” หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์อ้างอิงคำพูดของซูรี (ดูเพิ่มเติมได้ที่ ttps://www.ft.com/content/c86d15fa-2540-11e9-8ce6-5db4543da632 )

    หุ้นของโนเกียตกไปอย่างแรงทีเดียวในวันที่ 31 มกราคม หลังจากบริษัทคาดการณ์ว่า ไตรมาสแรกปีนี้ผลประกอบการจะ “อ่อนปวกเปียกเป็นพิเศษ”

    โนเกีย พร้อมด้วยเพื่อนผู้ผลิตอุปกรณ์เทเลคอมซึ่งเป็นบริษัทยุโรปอีกรายหนึ่งคือ อิริคสัน ยังคงคาดหวังว่าจะสามารถฉวยคว้าได้ธุรกิจพิเศษเพิ่มเติมขึ้นมาบ้างในช่วงหลายๆ ปีข้างหน้านี้ ในเมื่อทั้งสหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, และเยอรมนี ต่างกำลังพิจารณาว่าพวกเขาต้องการพึ่งพาผลิตภัณฑ์หัวเว่ยสักขนาดไหน ไม่ใช่ซื้อกันแบบเต็มพิกัด แต่แนวโน้มเช่นนี้น่าจะอยู่ในลักษณะดำเนินไปอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป

    “พวกผู้ให้บริการด้านการสื่อสารในยุโรปแทบทุกราย มีความโน้มเอียงที่จะใช้เวนเดอร์สัญชาติจีนอย่างน้อยที่สุดก็สำหรับบางส่วนของเครือข่ายของพวกเขา” นี่เป็นความเห็นของ อมิต ฮาร์จันดานี (Amit Harchandani) นักวิเคราะห์ของซิตี้ (Citi) “ด้วยเหตุนี้ ขณะที่เรายังคงคาดการณ์ว่าโนเกียกับอิริคสันจะได้ส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นในยุโรปตะวันตก จากการสูญเสียส่วนแบ่งของพวกเวนเดอร์สัญชาติจีน แต่มันก็จะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าและต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง”

    ถึงแม้มีรายงานว่าพวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯกำลังพยายามล็อบบี้เหล่าชาติพันธมิตรยุโรปอย่างลนลานกระวนกระวาย ให้ช่วยกันขัดขวางอย่างออกหน้าออกตาเพื่อไม่ให้หัวเว่ยได้เป็นผู้ซัปพลายส่วนประกอบต่างๆ ของเครือข่ายสื่อสารไร้สายเจเนอเรชั่นหน้า ทว่าก็ไม่มีใครที่แสดงความปรารถนาจะเข้าร่วมวงด้วยอย่างชนิดเต็มตัว

    มีผู้ให้บริการสื่อสารไร้สายบางรายในสหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, และเยอรมนี ได้ประกาศแบนอุปกรณ์หัวเว่ยบางประเภทอย่างเจาะจงกันเป็นบางส่วนหรือเป็นการชั่วคราว ขณะเดียวกันผู้ให้บริการระดับท็อปของเยอรมนี ซึ่งคือ ดอยเชอ เทเลคอม (Deutsche Telekom) ยังแถลงว่ากำลังพิจารณาที่จะเปลี่ยนแปลงนโยบายจัดซื้อจัดจ้างของตนอีกด้วย ทว่า ดอยเชอ เทเลคอม เจ้าเดียวกันนี้เอง ก็ระบุเอาไว้ในรายงานฉบับหนึ่งของตนซึ่งรั่วไหลไปถึงสำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) โดยบอกว่าการมองเมินหัวเว่ยจะทำให้ยุโรปต้องล้าหลังในเรื่อง 5 จีไปเป็นปีๆ ทีเดียว

    https://mgronline.com/around/detail/9620000013960
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ยอดนักท่องเที่ยวบาดเจ็บจาก “กวาง” ในสวนสาธารณะนาระเพิ่มสูงสุดในประวัติการณ์ By Rabbit_Rapz On 11.2.2019 Last updated 11.2.2019

    ag20190211-1.jpg

    หลังจากผ่านช่วงเทศกาลปีใหม่มาได้เพียงไม่นาน ยอดนักท่องเที่ยวผู้บาดเจ็บจากการถูกกวางชนจนกระเด็น ฯลฯ ในช่วงปี 2019 ที่ “สวนสาธารณะนาระ” หรือ “สวนกวาง” ในเมืองนาระ จังหวัดนาระ มีจำนวนถึง 209 รายแล้ว โดยมีผู้บาดเจ็บสาหัสแล้ว 8 ราย ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวน 5 ราย ถือเป็นสถิติที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติการณ์ เบื้องต้นทางจังหวัดนาระได้ประกาศเตือนนักท่องเที่ยวให้ระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองขณะให้ขนมเซมเบ้กวาง

    ยอดผู้บาดเจ็บจากการถูกกวางชนกระเด็นเพิ่มจากแต่ก่อน

    สวนสาธารณะนาระ เป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวระดับโลกที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปสัมผัสกวางป่าได้อย่างใกล้ชิด แต่หลังจากผ่านช่วงปีใหม่มาได้แค่เดือนเดียว กลับมียอดผู้บาดเจ็บจากการถูกกวางชนกระเด็น ฯลฯ ถึง 209 ราย ซึ่งมีนักท่องเที่ยวบาดเจ็บสาหัส เช่น กระดูกหักบริเวณสะโพก ฯลฯ จำนวน 8 ราย และในจำนวนนั้นเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติถึง 5 ราย โดยเมื่อเปรียบเทียบกับสถิติผู้บาดเจ็บจากกวางของปีที่แล้วตลอดทั้งปี พบว่ามียอดผู้บาดเจ็บเพียง 186 รายเท่านั้น

    อุบัติเหตุเชื่อมโยงกับนิสัยของกวางที่ก้าวร้าวรุนแรงขึ้น
    จากบันทึกจดสถิติผู้บาดเจ็บจนมีอาการกระดูกหัก ตั้งแต่เมื่อ 8 ปีก่อนจนถึงปีที่แล้ว รวมทั้งหมดแล้วพบว่ามีเพียง 10 รายเท่านั้น ซึ่งปีนี้ถือว่ามีจำนวนผู้บาดเจ็บสาหัสมากที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้น นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าเมื่อช่วงเดือน กันยายนถึงเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมีส่วนเชื่อมโยงมาจากลักษณะนิสัยของกวางที่ก้าวร้าวรุนแรงขึ้น ทั้งนี้ ผู้ช่วยสำนักงานสวนสาธารณะนาระ ได้กล่าวว่า “ถึงแม้ว่ากวางในนาระจะคุ้นเคยกับมนุษย์เป็นอย่างดี แต่เราอยากขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวให้ขนมเซมเบ้กวางอย่างอ่อนโยน ไม่แกล้งแหย่จนกวางเกิดอารมณ์ฉุนเฉียว”

    ag20190211-2.jpg

    จัดเจ้าหน้าที่ลานตระเวนและใช้เครื่องแปลภาษาตักเตือนนักท่องเที่ยว
    อย่างไรก็ตาม จะมีการจัดเจ้าหน้าที่ออกลาดตระเวนในสวนสาธารณะเป็นประจำทุกวัน อีกทั้งยังมีการใช้เครื่องแปลภาษาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุต่อนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งได้มีการจัดซื้อเครื่องมือที่สามารถแปลภาษาอังกฤษ, ภาษาจีน ฯลฯ ขนาดเท่าฝ่ามือมาใช้งานแล้วตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา

    เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่พบเห็นเด็กนักท่องเที่ยวชาวจีนที่กำลังแกล้งให้อาหารกวาง จึงนำเอาเครื่องแปลภาษามาแปลเป็นภาษาจีนเพื่อตักเตือนว่า “กวางเป็นสัตว์ป่าและมีโอกาสที่มันจะทำร้ายเราได้” ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยสำนักงานสวนสาธารณะนาระ ยังได้กล่าวถึงกรณีนี้อีกว่า “หากให้อาหารกวางแบบผิดวิธีจะมีโอกาสถูกทำร้ายสูงขึ้น ดังนั้นจึงอยากให้นักท่องเที่ยวให้อาหารกวางอย่างอ่อนโยนด้วย”

    ที่มา : nhk

    https://anngle.org/th/news/narashik...zRGOvtgdPZGxeF1gKm33iiRNubjfGXW2Vk4yjNA07Gwxc
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Watchers
    4kD6gxAzfPtnvzufKEE7P18fah0AhvQcoedUDODvlnlWjDNzllgrwQbJejtiznJax8gk1xNA&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg
    #ข่าวภัยพิบัติ
    // ฝนยังตกหนักต่อเนื่องมากเป็นประวัติการณ์ในชิลีและเปรู //
    12/02/19
    ลิมา - เจ้าหน้าที่กล่าวว่า ฝนตกหนักกระหน่ำต่อเนื่องในชิลีและเปรูสัปดาห์นี้ ทำให้น้ำในแม่น้ำหลายสายเอ่อล้นตลิ่งและชาวบ้านต้องอพยพออกจากบ้านเรือนที่จมอยู่ใต้น้ำท่วม

    ในเขตอาตากามาของชิลี เช่น ที่เมืองอิกีเกประสบน้ำท่วมหนัก หลังจากกระแสน้ำซัดทำลายมาตามเส้นทางที่อยู่อาศัย ท้องถนนหลายสายเสียหาย ทำให้การจัดส่งสิ่งของ เช่น ผลิตภัณฑ์นมล่าช้า ประธานาธิบดีเซบาสเตียน พิเนรา กล่าวว่า ความเสียหายมีมูลค่าราว 90 ล้านดอลลาร์ (2,880 ล้านบาท) ขณะที่ฝนเริ่มบรรเทาลง บางครอบครัวมาตรวจดูสภาพความเสียหายของบ้านเรือน ส่วนที่เปรูประเทศเพื่อนบ้าน เผชิญฝนตกหนักและโคลนถล่มหลายแห่ง มีผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่ง และอีกหลายร้อยคนไม่มีไฟฟ้าใช้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ถนน สะพาน บ้านเรือน สถานพยาบาล สถานีตำรวจ และสถาบันศึกษาเสียหายจากน้ำท่วม .-
    เครดิต : mcot (link: https://www.tnamcot.com/view/6j-I6PY)
    #Watchers


     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Watchers
    fWeVyaaaxLxtags3-Li3KvVdKnh3QfLe68n67VxOQ6xWL61t9OtqT3XRwNiS1Y4nSxMGtXpA&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg

    #ข่าวภัยพิบัติ #โรคระบาด
    // ยูเอ็นประกาศโรคหัดระบาดหนักในฟิลิปปินส์ //

    12/02/19
    ลูซอน -โฆษกสหประชาชาติแถลงว่า โรคหัดระบาดครั้งใหญ่ในเขตเมโทรมะนิลาและเซนทรัลลูซอนที่ฟิลิปปินส์ มีรายงานผู้สงสัยว่าติดเชื้อกว่า 4,300 คน และเสียชีวิตอย่างน้อย 70 คนนับตั้งแต่เดือนมกราคม

    นายฟาร์ฮาน ฮัก โฆษกยูเอ็นกล่าวว่า โรคหัดที่ระบาดหนักในเมโทรมะนิลาและเซนทรัลลูซอนได้แพร่ระบาดไปยังพื้นที่อื่นๆแล้ว โดยเมื่อปี 2561 มีรายงานผู้ติดเชื้อเกือบ 22,000 คนในฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้นถึง 376 เปอร์เซนต์จากปี 2560 ที่ผ่านมาองค์การอนามัยโลกได้ให้ความช่วยเหลือทางเทคนิกและทุนสนับสนุนกับโครงการสร้างภูมิคุ้มกันโรคแห่งชาติของรัฐบาล และติดตามโครงการให้วัคซีนควบคุมโรคระบาดในฟิลิปปินส์ .
    เครดิต: mcot #Watchers

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Watchers
    deI2qP4CLrCMKcO-k6CsUdV3qgNcUV2WeA8DE5RMs2diR1GJyT6WbSX8kBd7APKhgMkCdk1w&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg

    #ข่าวภัยพิบัติ
    ((ผมอยากจะให้คนที่เถียงผมมาอ่านข่าวนี้ ว่ามันปกติไหม เถียงจังว่าปกติ เสียดายถูกแบนไปแล้ว))

    // พายุหิมะกระหน่ำหนักอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในซีแอตเทิล ทำลายสถิติในรอบ30ปี //
    12/02/19
    ซีแอตเทิล - โรงเรียนหลายแห่งปิดการสอนทั่วรัฐวอชิงตันของสหรัฐ รวมทั้งหน่วยงานนิติบัญญัติเลื่อนการพิจารณาลงมติต่างๆในวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น เนื่องจากพายุหิมะฤดูหนาวพัดกระหน่ำอย่างหนักในเขตนอร์ทเวสต์อีกระลอก และยังทำให้หิมะตกที่ฮาวายด้วย

    ในเขตเมืองของนครซีแอตเทิลเผชิญพายุหิมะ 3 ลูกในเดือนนี้ สถานีพยากรณ์อากาศแห่งชาติรายงานว่า ท่าอากาศยานระหว่างประเทศซีแอตเทิล-ทาโคมามีปริมาณหิมะตกสะสม 14.1 นิ้วนับจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ มากกว่าสองเท่าของปริมาณเฉลี่ยในแต่ละปี และนับเป็นปริมาณหิมะตกหนักที่สุดในรอบเดือนในช่วง 30 กว่าปีที่ผ่านมา คนไร้บ้านหลายคนต้องหาที่พักพิงเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น
    Cr: mcot (link: https://www.tnamcot.com/view/j0_9oh2)
    #Watchers

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Watchers
    3 ชม. ·
    #Earthquake
    วันที่ 12 ก.พ. 2562
    เวลา 08:32 น. ตามเวลาประเทศไทย
    แผ่นดินไหวขนาด Bay of Bengal (#อ่าวเบงกอล)
    พิกัด(14.41°N,85.71°E)
    ขนาด 4.9 ลึก 10 กม. (emsc: ลึก40กม.)
    SHYORlqJAKJk2Gr3WMh6WteMLiGxSFkrIZ_VXZXf4eFFtkGID211cSqUO9ZYDLL3MlsldtPw&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg

    onJz7s_oDlEl_qskm_xBsUjxuOf90-LCZe3gnlsTrQmCDUpXk5ppUeeSFd-MS6_a9E8ZxpJg&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg

    USGS:https://earthquake.usgs.gov/earthqu...7xgFWV_9op8T3GR3rrUeTmfJLRAdG0ppxnPCya8PXh_aA

    1XKT50poOY0ztCiOLbASO59BF00XSZqJJylHXrZmSk4Z9zRd_UPKMMVrVF3l7wMQbcQIvPFA&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg

    EMSC:
    https://m.emsc.eu/earthquake/earthq...aGD7vBn1bhhVPCMJkBI-KQM9RiA7wGQGyLHqdaAY-bFvM
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Watchers

    #ข่าวภัยพิบัติ
    12/02/19
    #Hailstorm พายุลูกเห็บตกอย่างหนัก รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย
    เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2019 ลูกเห็บขนาดใหญ่ตกลงมาเพียง 60 วินาที จากการพัดผ่านของพายุฝนฟ้าคะนอง ทำบ้านเรือนพังเสียหายทันที 15 หลัง มีผู้บาดเจ็บ 10-12 ราย ภายหลังถูกนำส่งโรงพยาบาล..
    โดยรวมวันนั้นมีผู้บาดเจ็บ 40 ราย บ้านพัง 150 หลัง ไร้บ้านอาศัย เกือบ1000 คน

    พายุฝนตกกระหน่ำ ถึงจะไม่เยอะแต่ก็ทำลายสถิติฝนสะสมในหนึ่งวัน (30 มม.)มากกว่าฝนสะสมทั้งเดือนกุมภาพันธ์ (15 มม.)

    กรมอุตุนิยมวิทยาท้องถิ่นกล่าวว่า ลูกเห็บรุนแรงเช่นนี้ไม่ตกมาเป็น 10 ปี แล้ว..
    ที่มา: https://www.hindustantimes.com/noid...30mOidRaJF6aPozQtKuzx732IXeL5WKaFDDnCRMILQ2E0
    #Watchers
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Watchers



    จาก เรื่อง #หมึกเกยตื้นชิลี
    เมื่อ 10/02/19
    ทางการสั่งห้ามแตะหรือเอาซากไปประกอบอาหาร แต่เมื่อสั่งห้ามแล้ว ประชาชนไม่ฟังอยู่ดี ดูคลิป
    เครดิต : Masharos News, Atacama Noticias #Watchers
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Watchers
    l6U3v1HoPk9r-nWigl_WB44V5tX_i0T_5pMZWVdV20VJsIkk-590fp4Hf5G-MrkQQ5XysPqg&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg

    zdv2jb_43MFcPzx0wuzCPspr1g836QUTdqpXiGdg-_nFWou0XyrxdrY9-TW-GW_S8wcCAPNQ&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg



    #ข่าวภัยพิบัติ
    11/02/19
    // เป็นไปได้!!พายุทอร์นาโดเล็ก ๆ ในเนเปิลส์ อิตาลี //
    L2Ek5Fx7GYvveFi1pE2yxHyeNkgJHed5r6DNVNPQ-jpVR-SGAlzHp5sgqfEdmEd6L-r3DJsg&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg
    ด้วยอุณหภูมิที่ลดลงอย่างฉับพลันฝนและลมแรงในวันนี้ในเนเปิลส์
    มีรายงานความเสียหายและการบาดเจ็บ
    (link: https://www.vocedinapoli.it/2019/02/11/pioggia-e-tempesta-a-napoli-cadono-alberi-e-tettoie-danni-e-feriti-anche-in-provincia/?fbclid=IwAR2bS5e8RY94Th7incGkIjwvtAFKB2m_wHdNm7ZfLg4vi4oCgjwnSUjGaEI/)
    #Watchers
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Watchers



    #สังเกตพฤติกรรมสัตว์ #อุดมสมบูรณ์
    11/02/19
    ลูกเต่ามะเฟืองคึกคัก ฟักออกจากไข่แล้ว นับเป็นการกลับมาวางไข่ของเต่ามะเฟืองบนชายหาดของไทยครั้งแรกในรอบ 5 ปี เจ้าหน้าที่ดูแลนำปล่อยสู่ทะเลอย่างปลอดภัย
    ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
    เครดิต ►(link: https://www.tnamcot.com/view/yqCIxlt)
    #Thailand #Watchers
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Watchers
    6KKSW5H4DEt7qKomFTehA87gUN15AdpaXcM6g_MkLFfKvxqXJcxXHE8AT4IrTejY16520Ljw&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg

    #ข่าวภัยพิบัติ #ClimateChange
    // คลื่นสูงซัดตามแนวชายฝั่ง #ฮาวาย ทำน้ำท่วม ซ้ำยังหิมะตกทำลายสถิติ //
    4VBGAR0mJFOK-MHwncV2N9_b5NwTOfyrFKgn4QRg4wMsGuIFGECRiqRuY5xDjE-_x9a-dX_w&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg
    11 ก.พ. 2019
    ฮาวาย - คลื่นสูงซัดกระหน่ำเข้ามาอย่างรุนแรงบริเวณชายฝั่งทางเหนือของหมู่เกาะฮาวาย ทำให้ไฟดับ ต้นไม้โค่น น้ำท่วมท้องถนนตามแนวชายฝั่ง ยังทำให้หิมะตก
    E1LjyRaWgfY_zwxGyZjCiW0DJrMmy-ocd9ipFc3mPLlghox4z82gPNJ7H2YgT5FGDfGOsf2w&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg
    เจ้าหน้าที่กล่าวว่ามีหิมะตกหนาปกคลุมยอดเกาะเมาวีสูง 1,890 เมตรซึ่งนับเป็นหิมะตกบนพื้นที่ในระดับต่ำที่สุดเท่าที่เคยบันทึกมาในรัฐฮาวาย สำนักงานพยากรณ์อากาศแห่งชาติรายงานว่า บางพื้นที่มีลมกระโชกแรงเกือบ 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และประกาศเตือนภัยน้ำท่วมพื้นที่ตามแนวชายฝั่ง รวมทั้งเตือนคลื่นสูงบริเวณชายฝั่งทางเหนือและตะวันตก โฮโนลูลู สตาร์-แอดเวอร์ไทเซอร์รายงานว่า ต้นไม้โค่นบนเกาะหลายแห่ง รวมทั้งไฟดับและหลังคาพังเสียหาย นกเงือกหลุดออกจากสวนสัตว์โฮโนลูลูภายหลังพายุพัดทำลายกรงที่อยู่อาศัยเสียหาย
    มีรายงานชายได้รับบาดเจ็บจากเสาไฟฟ้าล้มทับรถยนต์ และมีผู้บาดเจ็บเล็กน้อยอื่นๆ
    more: (link: http://hwnelec.co/LOB530nEpW8)
    ภาพต้นไม้ kiawe เก่าแก่ อายุ100ปีถูกลมพัดล้ม
    http://www.hawaiinewsnow.com/2019/0...v6w6qt5qEGOoo3oh9z7-SvFZe69-QoCue4hhwAGozm8ZE
    cr:Mcot ,CNN #Watchers
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Watchers
    afvZIe0dUrcKqEG-8iod2o3TFoEuj6v8q3KbHELzEfJ0mkkpi8y2lak0ncKAICDEngbjlbGw&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg
    #Earthquake #Andaman
    11/02/19
    เวลา 18:59 น. ตามเวลาประเทศไทย
    แผ่นดินไหว หมู่เกาะอันดามัน
    ประเทศอินเดีย
    พิกัด (14.24,96.61)
    ขนาด 4.4
    ความลึก 10 กม.

    ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของ ย่างกุ้ง ประเทศพม่า ประมาณ 255 กม.
    [TMD] (link: http://dlvr.it/Qyf1g5)
    #Watchers

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Watchers
    xUEiE7tEBBh05hF44S0vGp5abaP8Yn28yZfi0hIYcZUbywYLReFl8X1VgOXrW5uxFFPU1VWg&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg
    #สภาพอากาศโลก
    11/02/19
    เปิดภาพดาวเทียมของ แคลิฟอร์เนีย #California แสดงความแตกต่างของ กลุ่มหิมะ #snow_pack ระหว่าง วันที่5กุมภาพันธ์ #ปี2019 และวันที่ 5 กุมภาพันธ์ #ปี2018
    8Big9kF1xD_O16PRddVbncXvXq3UONSd-1dOlMpziyyvrJce80lak7pOuXcJbyiF-66hsKRg&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg

    ApSa7j1mEnz6ORW6lJcmal2akx0v-FEtQLJMquQ_Pu_wzhecuV36iXnn4Jvyt4yBvuHupJrQ&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg

    Wyvv2jmsL2bIH5n9mDWrONcsBqMKMf2XEhvrDrGwVi3m-zJ14z8sPonSkpFcRQSca4Aoiwiw&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg

    qN2qBwzAlA40j9yPzNdyWhBzWR6Sil8Fu8VckbN4qtRC9OdiIWM85_hnF5lu9axQaOrW7j9Q&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg
    เครดิตภาพ/ Photo: NASA / Zoom Earth
    ภาพบรรยากาศ : Heavenly Mountain Resort วันที่5 กุมภาพันธ์ 2019 หิมะสูง36นิ้ว
    #Watchers
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ‘น่าน’ หมอกควันไฟป่ารุนแรง ค่าฝุ่นพิษพุ่ง เตือน ปชช. หลีกเลี่ยงกิจกรรมในที่โล่ง 12 กุมภาพันธ์ 2019

    1549937497_90161_11.jpg

    จ.น่าน ปกคลุมไปด้วยหมอกควันไฟ จนเห็นได้ชัดเจน ทำค่าฝุ่นละออง PM2.5 เกินมาตรฐาน เริ่มส่งผลกระทบต่อประชาชนที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ตามท้องถนน รวมทั้งผู้ที่มาออกกำลังกายกลางแจ้ง มีอาการแสบตา น้ำมูกไหล คันตามตัว

    วันที่ 12 ก.พ. 62 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานีตรวจวัดอากาศ สำนักงานเทศบาลเมืองน่าน ตรวจวัดค่าฝุ่นขนาดเล็ก PM10 ได้ 89 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และค่าฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ตรวจพบ 63 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน ทั้งนี้มาจากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดไฟป่าขึ้นในหลายพื้นที่ ซึ่งคาดว่าชาวบ้านลักลอบจุดไฟหาของป่า

    1549937516_86890_44.jpg

    ซึ่งล่าสุดเกิดไฟป่าในพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาตินันทบุรี ป่าสงวนแห่งชาติป่าน้ำยาว-น้ำสวด บ้านสบขุ่น ต.ป่าคา อ.ท่าวังผา ไฟป่าได้ลุกไหม้เป็นบริเวณกว้างเสียหาย 20 ไร่ และที่ป่าสงวนแห่งชาติ ห้วยทรายแดง ดอยจำห้าง ต.สถาน อ.นาน้อย ไฟป่าลุกไหม้เสียหายไปกว่า 12 ไร่ ชุดปฏิบัติการดับไฟป่า เจ้าหน้าที่สถานีควบคุมไฟป่า และเครือข่ายดับไฟป่าต้องเร่งระดมกำลังนำเครื่องมืออุปกรณ์ดับไฟเข้าควบคุมสถานการณ์

    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันนี้ 1 ม.ค. ถึง 11 ก.พ. 62 ระบบตรวจสอบ GISTDA (จีสด้า) พบจุดความร้อน 164 จุด กระจายอยู่ใน 12 อำเภอ และส่วนใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 61 จุด พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ 87 จุด พื้นที่การเกษตร 4 จุด และพื้นที่ สปก. 12 จุด

    ด้านสำนักจัดการคุณภาพอากาศ แจ้งเตือนประชาชน โดยเฉพาะเด็กเล็ก ผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมในพื้นที่โล่ง หากออกจากบ้านควรสวมหน้ากากหรือใช้ผ้าปิดจมูก เพื่อหลีกเลี่ยงการสูดดมควันพิษ

    1549937504_20178_22.jpg

    1549937510_97718_33.jpg


    https://workpointnews.com/2019/02/1...psBrjzYVyGOeefHjz79yIFVXFA1sWsge4xk5MSXjHPBzQ
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Sayan Rujiramora
    n8xEDvCg1J_5rm1dRh3Kb8cAjmIJYOnWEDjjviDcwH7283Kpzsf5eb3jbGfksda0NysrXDmw&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg

    jdkp-OYqT2nC_X-5vNeWBiIgKcclQCpYpphmBzJ5AsdsSFCqcAKa4-yWr4iHK88J6pHLEVXA&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg
    Silver Doctors
    Egon von Greyerz: TWO RESETS Likely That Lead To A Physical Gold Price At Unthinkable Heights
    Feb 10, 2019

    ผู้เขียนยืนยันว่า การรีเซ็ทจะเกิดขึ้นสองครั้ง ครั้งแรกเป็น fake reset ที่ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย ...ครั้งที่สองนั่นแหละ มันจะมีผลต่อทองคำ

    by Egon von Greyerz of Gold Switzerland

    “THE VALUE OF THE DOLLAR HAS NO GUARANTEE WHATSOEVER”

    สำหรับประเทศที่มีการบริหารงบประมาณขาดดุล และยังขาดดุลการค้าอีกด้วย เป็นเวลามากกว่าครึ่งศตวรรษ ...ตามมาด้วยหนี้รวมๆกันนับได้ร้อยล้านล้านดอลล่าร์ ...สกุลเงินของประเทศนั้นย่อมไม่มีหลักประกันมูลค่าเลย..

    เวลาปัจจุบันนี้คือจุดเริ่มของจุดจบของระบบการเงินในโลกทุนนิยม หรือถ้าเป็นอย่างที่หนังสือพิมพ์ People's Daily ของจีนประกาศเอาไว้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1971 ระบบการเงินมันเริ่มพังตั้งแต่วันนั้นแล้ว

    รัฐบาลจีนเห็นมาตั้งแต่ 48 ปีก่อนแล้ว ตอนที่นิกสันตัดสินใจยุติการแบ้คค่าดอลล่าร์ด้วยทองคำ ..จีนรู้ดีว่านั่นคือจุดจบของดอลล่าร์และระบบการเงินของโลกตะวันตก แต่ไม่มีใครเชื่อคำทำนายนี้เลย จนเริ่มเห็นเค้าแล้ววันนี้

    THE CHINESE PREDICTED THE DOLLAR FALL

    เมื่อปี 1970 มูลค่าเงิน $1 เท่ากับ 4.30 ฟรังก์สวิส วันนี้มีค่าเหลือไม่ถึง 1 ฟรังก์ ต่อ $1 ..นั่นเป็นการร่วงถึง 77% ของเงินรีเสิร์ฟของโลกในช่วงไม่ถึง 50 ปี ..ตามชาร์ทที่หนึ่ง

    เป้าต่อไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็คงจะเหลือระหว่าง 0.4-0.0 ฟรังก์สวิสต่อ $1 นั่นหมายถึงอาจร่วงไปอีก 60%-100% ที่จะทำให้ดอลล่าร์หมดค่าไปเลย นี่เป็นการคอนเฟิร์มคำพูดของวอลแตร์ที่ว่า "ในที่สุดแล้ว เงินเฟียตจะเหลือมูลค่าแท้จริงคือศูนย์"...เราเคยรู้ว่านั่นหมายถึงการเปรียบเทียบกับทองคำ แต่แปลกที่เปรียบกับเงินฟรังก์สวิสก็ได้ เพราะระบบแบ้งกิ้งของสวิสก็มีปัญหาพอๆกัน ซึ่งในที่สุดเงินเฟียตของสวิสก็จะมีค่าเป็นศูนย์เหมือนกัน ..แต่ดอลล่าร์น่าจะเข้าเส้นชัยได้ก่อน

    CHINA PREDICTED IN 1971 “THE DECLINE OF THE CAPITALIST SYSTEM”

    The People’s Daily เป็นหนังสือพิมพ์ที่มีอิทธิพลของจีนฉบับหนึ่ง เป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนมาได้ 71 ปีแล้ว ....ได้ประกาศเมื่อปี 1971 ตอนที่นิกสันปิดประตูทองคำ "มาตรการที่ไม่น่ากระทำนี้สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของวิกฤติเศรษฐกิจของสหรัฐ และความผุกร่อนถดถอยของระบบทุนนิยมทั้งระบบ"

    และยังกล่าวต่ออีกว่า "มาตรการนี้ชี้ให้เห็นถึงการพังทลายของระบบการเงินทุนนิยมที่มียูเอสดอลล่าร์เป็นเสาหลัก....นโยบายเศรษฐกิจใหม่ของนิกสันก็ไม่อาจทำให้สหรัฐหลุดพ้นจากวิกฤติการเงินไปได้หรอก" บทความทำนายว่ามาตรการนี้มีแต่จะทำความเลวร้ายมากขึ้น

    นิกสันประกาศในปี 1971: "บัดนี้ถึงเวลาของนโยบายเศรษฐกิจใหม่ของสหรัฐแล้ว เป้าหมายคือ ปัญหาว่างงาน เงินเฟ้อ และความสุ่มเสี่ยงในต่างประเทศ นี่คือวิธีที่เราจะต่อสู้กับเป้าหมายเหล่านั้น"

    NIXON’S FATAL DECISION

    ฝ่ายจีนเข้าใจดีมาตั้งแต่ปี 1971 แล้วว่าการตัดสินใจของนิกสันจะนำผลเสียหายร้ายแรง..ตรงข้ามกับคำประกาศของนิกสัน ..ทุกวันนี้เราถึงได้เห็นเงินเฟ้อสูงขึ้นมาตลอด ราคาทรัพย์สินแพงขึ้น ค่าเงินตกต่ำลง หนี้เพิ่มขึ้น ...ทุกอย่างที่นิกสันบอกว่าจะต่อสู้อยู่ครบเลย...

    ในสุนทรพจน์ นิกสันพูดว่า "เราจะต้องปกป้องสถานภาพของเงินดอลล่าร์ให้คงเป็นเสาหลักที่มีเสถียรภาพของโลก ข้าพเจ้าตั้งใจจะไม่ให้ดอลล่าร์ต้องตกไปอยู่ในมือของนักเก็งกำไรต่างประเทศให้ได้"

    เขาไม่เข้าใจเลยว่าการตัดสินใจของเขาจะมีผลออกมาตรงกันข้าม ..ถ้าไม่มีทองคำแบ้คค่าแล้ว ดอลล่าร์จะไม่ตกไปอยู่ในมือของนักเก็งกำไรต่างชาติหรอก แต่จะตกไปอยู่ในมือของรัฐบาลและ Federal Reserve ที่ร้ายกาจกว่ามาก และนั่นเป็นเหตุให้ตั้งแต่ปี 1971 ดอลล่าร์สูญค่าไปถึง 97% เทียบกับ real money คือทองคำ ..57% เมื่อเทียบกับ Deutsche Mark/Euro ..และ 77% เทียบกับฟรังก์สวิส ....ชาร์ทที่สอง...

    CHINESE WISDOM VS WESTERN MADNESS

    ฝ่ายจีนที่ชาญฉลาดทำนายเรื่องทั้งหมดนี้ไว้แล้วตั้งแต่ 48 ปีที่แล้ว แทบไม่มีใครในโลกตะวันตกเดาได้เลยว่าการตัดสินใจของนิกสันจะเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบเศรษฐกิจและการเงินของสหรัฐและโลกตะวันตก จากการสร้างฟองสบู่ตัวแม่ระดับ mother of all bubbles

    บทความเมื่อปี 1971 ของ People's Daily ยังชี้ให้เห็นผลจากสิ่งที่สหรัฐทำลงไปที่มีต่อโลกทั้งโลก: "นโยบายนี้ตั้งใจจะเอาเปรียบคนอเมริกันระดับแรงงาน..และผลักดันผลเสียของวิกฤติการเงินที่จะเกิดในสหรัฐและเงินเฟ้อ ให้ประเทศต่างๆรับเคราะห์แทนไป"

    แล้วมันก็เกิดขึ้นอย่างนั้นจริงๆ ความเสียหายจากนโยบายการเงินของสหรัฐแพร่กระจายเหมือนเชื้อโรคไปยังทุกประเทศของโลก ..เกิดเงินเฟ้อทุกหย่อมหญ้า ..ค่าเงินตกต่ำ ..หนี้สินมหาศาลไปทั่ว

    บทความยังกล่าวต่ออีก "สหรัฐบีบบังคับให้ทุกประเทศต้องยอมรับใช้เงินดอลล่าร์ในการชำระหนี้โดยใช้อำนาจทางการเมือง เพื่อเป็นการรักษาอภิสิทธิ์ของตนเอาไว้"

    ในขณะเดียวกันมูลค่าแท้จริงของดอลล่าร์ก็ถูกกร่อนไปเรื่อยๆจากมูลค่าของทองคำ (จึงจำเป็นต้องกดราคาทองเอาไว้) ...กระทั่งต้องรักษาสถานภาพด้วยการรุกรานและสงคราม"

    IS THE US GOLD GONE?

    ถ้าจะไม่ให้แลกเป็นทองคำเสียเลย .."ก็จะทำให้ศรัทธาต่อดอลล่าร์เสียหายหนัก เพราะนี่จะเท่ากับการที่รัฐบาลสหรัฐไปเปิดตัวต่อชาวโลก พร้อมกับดอลล่าร์ที่ไม่มีอะไรการันตีเอาเสียเลย"

    จีนมีความสามารถที่จะวิเคราะห์โลกรอบๆตัว ..และจากการรู้จุดอ่อนของสหรัฐและนโยบายของตะวันตก ทำให้พวกเขาสร้างขนาดเศรษฐกิจของตนให้ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกได้ หรือถ้าจะวัดจากอำนาจซื้อ Purchasing Power Parity (PPP) ก็ถือเป็นอันดับหนึ่งได้เลย ..เมื่อปี 1971 จีนมีขนาดของ GDP ที่ $100,000 ล้าน ..แต่ตอนนี้ GDP ของจีนเท่ากับ $12 ล้านล้าน ..หรือถ้าบนฐาน PPP เท่ากับ $23 ล้านล้าน

    แต่การเติบโตรวดเร็วนี้ ก็แฝงความเสี่ยงไว้ด้วย ทุกวันนี้จีนเองก็เปราะบางอยู่กับหนี้ที่เพิ่มจาก $2 ล้านล้านเมื่อปี 2000 มาเป็น $40 ล้านล้าน ..ซึ่งตราบใดที่ยังไม่มีการพังทลายของหนี้จนทำให้เกิดการจราจล ก็ยังจะเป็นนัมเบอร์วันทางเศรษฐกิจของโลกไปได้อีกหลายปี ...แต่ในช่วงหลายปีจากนี้ จะเป็นช่วงวุ่นวายของทั้งจีนและสหรัฐตลอดถึงทั้งโลก จากปัญหาเศรษฐกิจที่จะพังลงเมื่อไหร่ไม่รู้

    MARKETS

    เราจะได้เห็นค่าเงินดอลล่าร์ต่ำลงไปอีก ตลาดหุ้นและพันธบัตรพังลงและราคาทองคำที่สูงขึ้น ..แต่ทั้งหมดไม่ใช่จะเกิดพร้อมๆกัน พันธบัตรอาจจะหยุดช่วง uptrend หรืออาจจะพุ่งขึ้นได้อีกสักครั้งก่อน

    ในระยะสั้นดอลล่าร์ก็อาจดูอ่อนเล็กน้อย แต่ไม่ช้าก็จะกลับมาเข้าช่วงของ longterm downtrend อย่างรุนแรง ...เวลานี้จึงเป็นเวลาที่จะต้องออกจากดอลล่าร์กันได้แล้ว ก่อนที่มันจะร่วงอย่างเร็วจนสหรัฐต้องใช้การควบคุมปริวรรตเงิน

    ตลาดหุ้นสหรัฐเองก็กำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจ ..ที่น่าจะเกิดขึ้นคือ downtrend แบบที่เคยเกิดตอนฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว แต่ครั้งนี้จะเป็น big drop ...แต่ที่พอเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น..ก็คือเสียงเฮครั้งสุดท้ายจาก new high อีกครั้งก่อนที่จะพัง ...ตลาดอื่นๆก็จะตามมาเป็น pattern เดียวกัน

    ทองคำก็กำลังจะไปสู่ new high .....เส้นทางของทองคำจะมีสองทางที่ต่างกัน ..แบบที่หนึ่งที่ผู้เชี่ยวชาญต่างๆกำลังลุ้น คือการรีเซ็ทที่เริ่มโดย IMF และ World Bank ที่จะใช้ทองคำแบ้คค่าเงิน SDR ..นั่นจะทำให้การเทรดทองคำต้องหยุดลงในชั่วระยะหนึ่ง ที่อาจเริ่มตอนสุดสัปดาห์ ...เมื่อตลาดเปิดอีกครั้ง ราคาทองคำจะมีการ revalue สูงขึ้นในระดับที่ถ้าคิดเป็นดอลล่าร์ อาจจะถึง $5,000 หรือ $10,000 หรือกว่านั้น

    อีกทางหนึ่งคือตลาดจะเป็นตัวกำหนด ดีมานด์จะสร้างแรงกดดันอย่างเร็วจนราคาพุ่งขึ้นทำ new high ไปหลายครั้งตลอดนับหลายปี นี่จะเป็นการรีเซ็ทที่ไม่มีการจัดการ (disorderly reset)

    ผู้เขียนไม่มีศรัทธาในการรีเซ็ทแบบแรกซึ่งมัน fake และไม่ได้แก้ปัญหาอะไรของโลกเลย ..เราน่าจะได้เห็นการรีเซ็ทแบบหลังมากกว่า ที่ตลาดทองคำกระดาษจะไปเป็นศูนย์ และราคาในตลาดทองคำ physical จะสูงจนคาดไม่ถึง

    แต่ไม่ว่าจะเกิดในกรณีไหน โอกาสสุดท้ายที่จะเก็บทองในราคาต่ำคือตอนนี้แล้ว

    GOLD IS WEALTH PRESERVATION – NOT INVESTMENT OR SPECULATION

    แต่ต้องไม่ลืมว่า ทองคำควรจะเก็บเพื่อการรักษามูลค่าความมั่งคั่ง ไม่ใช่การทำกำไรระยะสั้น จึงต้องเก็บเป็น physical และอยู่นอกเหนือระบบการเงินทั่วไป เช่นในต่างประเทศ .....เมื่อครั้งที่ Roosevelt ออกคำสั่ง ยึดทองคำจากประชาชนเมื่อปี 1933 ..สหรัฐไม่สามารถยึดทองคำที่อยู่นอกประเทศได้

    ราคาทองคำตอนนี้ราคาถูกเท่ากับ เมื่อปี 1970 หรือปี 2000 ..คงจะไม่มีโอกาสได้เห็นราคาแบบนี้อีกแล้ว

    Egon von Greyerz
    Founder and Managing Partner
    Matterhorn Asset Management
    Zurich, Switzerland
    Phone: +41 44 213 62 45

    *************

    Egon von Greyerz: TWO RESETS Likely That Lead To A Physical Gold Price At Unthinkable Heights
    Feb 10, 2019

    Egon says the first reset will be fake and not solve anything, which is why Egon says we’ll likely see a second reset. Here’s what it means for gold…

    by Egon von Greyerz of Gold Switzerland

    “THE VALUE OF THE DOLLAR HAS NO GUARANTEE WHATSOEVER”

    The statement above is of course totally accurate for a country running budget and trade deficits for over half a century with a total debt, including unfunded liabilities, in the hundreds of trillions of dollars.

    It could have been said today, but it actually dates back to August 1971 when the People’s Daily in China declared the beginning of the end for the monetary system of the capitalist world.

    This prescient statement certainly has Cassandra characteristics. Cassandra was the princess of Troy who was given the gift to make prophecies that were true but no one believed. The Chinese government saw already 48 years ago that Nixon’s decision to end the gold backing of the dollar would be the end of the dollar and the Western monetary system. No one believed their prophecy at the time. But they are being proven right.

    THE CHINESE PREDICTED THE DOLLAR FALL

    Starting my working life in a Swiss Bank in Geneva two years before Nixon’s fatal decision, I have experience of that fall of the dollar that the Chinese predicted. In 1970, there were 4.30 Swiss francs to the dollar. Today you get just under one Franc for one US$. That is a catastrophic collapse of 77% of the world’s reserve currency in almost 50 years. If we look at the graph of the dollar against the Swiss franc below, we can see that this currency pair has been in a long consolidation at the bottom since 1987.

    The next leg down in the dollar is not far away and the target over the next few years could be anywhere between 0.40 and 0.00 Swiss francs. This means a further fall of 60% to 100% could take place, making the dollar worthless. This confirms Voltaire’s statement that “all currencies eventually reach their intrinsic value of ZERO”. We know that this move to zero is virtually guaranteed measured against gold. But more surprising is that it could also happen against the Swiss currency. The Swiss banking system and the Swiss National Bank also have serious problems, so eventually the franc is likely to reach almost zero against gold too. But the dollar will win that race.

    CHINA PREDICTED IN 1971 “THE DECLINE OF THE CAPITALIST SYSTEM”

    The People’s Daily is the most influential and authoritative newspaper in China. It has been the official voice of the central government of the People’s Republic of China for the last 71 years.

    The paper declared in 1971 when Nixon closed the gold window: “These unpopular measures reflect the seriousness of the US economic crisis and the decay and decline of the entire capitalist system.”

    The paper further stated that the measures “mark the collapse of capitalist monetary system with the US dollar as its prop” and that “Nixon’s new economic policy cannot extricate the US from financial and economic crisis.” The article predicted instead that the measures would intensify the crisis.

    Nixon declared in 1971: “The time has now come for a new economic policy in the United States. Its targets are unemployment, inflation, and international speculation. And this is how we are going to attack those targets……. The time has come for decisive action – action that will break the vicious circle of spiralling prices and costs.”

    NIXON’S FATAL DECISION

    The Chinese understood already in 1971 that Nixon’s decision would have disastrous consequences, contrary to what Nixon declared. So here we are today with galloping inflation (including asset prices), collapsing currencies and exploding debts. All the things that Nixon said he would prevent.

    Nixon stated further in his speech: “We must protect the position of the American dollar as a pillar of monetary stability around the world……..I am determined that the American dollar must never again be a hostage in the hands of international speculators.”

    Little did he understand that his decision would have the opposite effect. Without gold backing, the dollar was not in the hands of speculators but instead in the hands of the US government and the Federal Reserve. And that is why the dollar has, since 1971, lost 97% against real money, which is gold, 57% against the DMark/Euro and 77% against the Swiss Franc.

    CHINESE WISDOM VS WESTERN MADNESS

    The wise Chinese predicted all this 48 years ago. Virtually no one in the West had a clue that Nixon’s catastrophic decision would be the beginning of the end for the US and Western economy and currencies and before that create the mother of all bubbles.

    The 1971 article in the People’s Daily also saw the consequences of the US actions for the rest of the world: “The policy is meant to fleece the American working people and to shift the worsening of the US financial and monetary as economic crisis onto other countries.”

    This is of course what has happened. The disastrous US monetary policies has spread like the pest to most countries in the world with exploding debts, falling currencies and massive inflation.

    “The United States has forced other countries into accepting the primacy of the dollar and used power politics to maintain its privileged position”, said the People’s Daily in 1971.

    In the meantime, the dollar’s real value has been undermined by the erosion of US gold reserves “brought on by the US imperialist policy of aggression and war.”

    IS THE US GOLD GONE?

    To suspend the convertibility “will eventually bring unprecedented destructive blows to the faith in the dollar, because this is tantamount to an open admission by the US government to the whole world that the value of the dollar has no guarantee whatsoever.”

    There we have it, China’s ability to analyse the world around them, and the weakness of the US and Western policies, has enabled them to create the second biggest economy in the world or on a Purchasing Power Parity (PPP), the number one economy. China’s GDP was $100 billion in 1971 and is today over $12 trillion or on a PPP basis $23 trillion.

    But this rapid growth has not happened without major risk. China is today in a precarious position with total debt having grown from $2 trillion to $40 trillion since 2000. As long as China can avoid a disorderly debt collapse and a revolution, it is likely to be the number one economy in the world on any measure in coming years. But the next few years will be tumultuous for both China, the US and the rest of the world as the world economy suffers from the coming economic downturn or collapse.

    MARKETS

    My views on long term market developments in the next few years have not altered for a very long time.

    We will see a much lower dollar, collapsing stock and bond markets and much higher gold and silver prices. It won’t all happen at once. Bonds could easily pause their long term uptrend for a while before moving up strongly again.

    Short term, the dollar looks weak and will soon resume its strong long term downtrend. So time to get out of dollars before it falls dramatically and the US implements exchange controls.

    US stocks are now at a decision point. By far the most likely is that the downtrend which started in the autumn of 2018 will soon resume in earnest with a big drop next. The much less likely alternative is a final hurrah to new highs before the collapse. Other stock markets will follow the same pattern.

    Gold and the other precious metals are on the way to new highs. There are two different paths for gold. One, which is favoured by some market experts, is a reset orchestrated by the IMF and the World Bank leading to a gold backed SDR. That would involve gold trading ceasing for a limited time, starting one weekend. When the market opens again, gold will be revalued to a much higher level which in US dollar terms could be $5,000, $10,000 or higher.

    The other alternative is that market demand and pressures make gold rise very fast to new highs, and way beyond that, in the next few years. This would be a disorderly reset.

    Since I would have no faith in the first official reset which will be fake and not solve any of the world’s problems, we are likely to see the second reset in any case. At that point the gold paper market will go to zero and the physical gold market to unthinkable heights.

    In either case, the last chance of getting hold of gold at low prices, or at all, is now. Gold is unlikely to wait for a bigger number of investors to get in at these prices. So now is the time to get on the Gold Wagon before it is too late.

    GOLD IS WEALTH PRESERVATION – NOT INVESTMENT OR SPECULATION

    But remember that gold is acquired for wealth preservation purposes and not for quick gains. Thus it must be held in physical form and stored in safe jurisdictions, outside the financial system. Personally I think confiscation is less likely this time with high taxation of the assets of the wealthy much more likely. But if any country would confiscate gold, the US has done it recently and could do it again. When Roosevelt confiscated gold for US citizens in 1933, gold held by Americans outside of the US was not confiscated.

    As I have shown recently, gold is now as cheap as in 1970 or 2000. So today is a unique opportunity to acquire gold at a price that is unlikely to ever be seen again.

    Egon von Greyerz
    Founder and Managing Partner
    Matterhorn Asset Management
    Zurich, Switzerland
    Phone: +41 44 213 62 45

    Matterhorn Asset Management’s global client base strategically stores an important part of their wealth in Switzerland in physical gold and silver outside the banking system. Matterhorn Asset Management is pleased to deliver a unique and exceptional service to our highly esteemed wealth preservation clientele in over 60 countries.
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Sayan Rujiramora

    sTlnVESxhVWNzjXGKaT7-7pUlcJCwZHqwRCslpjffm53MiHKZYPsjeXE5rX00hd1UogtWHmA&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg
    The Strategic Culture Foundation
    Does Washington Rule The World?
    Philip Giraldi Feb 7, 2019

    วอชิงตันเป็นผู้ปกครองของโลกนี้หรือ

    นโยบายต่างประเทศของ ปธน.ทรัมพ์ ในช่วงสองปีมานี้อยู่บนสมมติฐานที่ว่า การตัดสินใจใดๆของสหรัฐจะมีผลกับทั้งโลก ที่จริงถ้าไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาของสงคราม ไม่มีประเทศไหนสามารถสั่งให้ประเทศอื่นๆต้องยุติการค้าระหว่างกันได้เลย ..นอกจากนี้ สหรัฐยังสามารถเลือกที่จะสั่งลงโทษประเทศอื่นโทษฐานก่ออาชญากรรมที่ไม่ได้เกิดขึ้นในสหรัฐ..และไม่เกี่ยวกับคนอเมริกันเลย ...นอกจากนี้ ยังมีการสำทับว่าทุกประเทศต้องปฏิบัติตนตามสิ่งที่วอชิงตันต้องการทุกประการ

    สหรัฐอเมริกามองตนเองว่าเป็นผู้พิพากษา ลูกขุนและเพชรฆาตในการเป็นผู้ดูแลสังคมโลก ..นี่เป็นแนวทางปฏิบัติมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อเหล่า ปธน.ทั้งหลายเรียกตนเองว่าเป็น "ผู้นำโลกเสรี" ..ในการนี้ มันทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐสามารถออกกฏหมาย ที่โยงทางอ้อมไปถึงรัฐบาลต่างชาติได้ เช่นกฏหมาย Anti-Terrorism Act of 1987 (ATA) ที่แปรญัตติแล้วรวมเอา Justice Against Sponsors of Terrorism Act of 2016 (JASTA) บังคับใช้กับคนอเมริกัน แต่ก็โยงไปถึงต่างชาติที่ให้การสนับสนุนการก่อการร้าย รวมถึงการพิจารณาลงโทษ รัฐบาล ..องค์การ ..บริษัทธุรกิจต่างชาติที่เพียงแค่สงสัยว่าให้การสนับสนุนการก่อการร้าย ..สามารถฟ้องร้องบุคคลหรือยึดทรัพย์สินได้เลย มีอายุความสิบปี

    การฟ้องร้องสามารถโยงถึงบุคคลที่สามเช่นธนาคารหรือบริษัทข้ามชาติ ถ้ามีการสนับสนุนที่เป็น "รูปธรรม" ต่อการก่อการร้าย รวมทั้งการช่วยเหลือหรือยุยง แก่ใครก็ตามที่สหรัฐถือเป็นผู้ก่อการร้ายหรือแค่ต้องสงสัย

    มันมีอยู่สองกรณีของคดีภายใต้กฏหมาย ATA และ JASTA ต่ออิหร่านและซีเรีย

    เกี่ยวกับอิหร่าน เมื่อเดือนมิถุนายน 2017 คณะลูกขุนพิจารณาแค่วันเดียวตัดสินว่ามูลนิธิของอิหร่านสองแห่งมีความผิดฐานละเมิดการแซงค์ชั่นของสหรัฐ ..ศาลจึงให้อำนาจรัฐบาลสหรัฐยึดทรัพย์คือตึกสูงใน Midtown Manhattan ที่นับว่าเป็นการยึดทรัพย์เกี่ยวกับกรณีการก่อร้ายที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐเลย ผู้พิพากษาตัดสินใจกระจายเงินที่ได้จากการขายทรัพย์สินชิ้นนี้ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1 พันล้านดอลล่าร์ ให้แก่ครอบครัวของเหยื่อการก่อการร้าย ที่รวมไปถึงกรณี 9/11 ด้วย ถึงแม้จะพิสูจน์ไม่ได้ว่าอิหร่านเกี่ยวข้องกับการโจมตีครั้งนั้น

    การกล่าวโทษอิหร่านในกรณีนี้นับว่าแปลกประหลาดมากเพราะมันชัดเจนอยู่แล้วว่าอิหร่านไม่มีอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ 9/11 เลย แต่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐมีการประกาศชัดว่าอิหร่านเป็นสปอนเซอร์เหตุการณ์ดังกล่าว ..นี่ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐของสหรัฐ มีอำนาจมากจนสามารถตัดสินใจทางการเมือง ที่จะตัดสินว่าใครดีใครเลว

    อีกคดีหนึ่งเกิดขึ้นเร็วๆนี้เอง เป็นเรื่องเกี่ยวกับซีเรีย สัปดาห์ที่ผ่านมา federal court ของนครวอชิงตัน ตัดสินว่าซีเรียมีส่วนต้องรับผิดชอบในการสังหารนักข่าวชาวอเมริกันซึ่งกำลังจะเปิดเผยการระดมยิงฝ่ายกบฏที่ถูกปิดล้อมที่ Homs ในปี 2012

    ศาลสั่งให้ชดเชยเงินให้แก่ครอบครัวของนักข่าว Marie Colvin จำนวน $302.5 ล้าน

    ความยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นอยู่ในซีเรียทำให้ยากต่อการจินตนาการที่ผู้พิพากษาในวอชิงตันจะสามารถพิจารณาได้ง่ายๆ ..Colvin เองก็อยู่ในเขตสงคราม และก็ยังเป็นผู้รวบรวมหลักฐานอาชญากรสงครามของซีเรีย ..ทำให้คดีเต็มไปด้วยเอกสารจากฝ่ายเดียว ที่อาจเป็นเรื่องที่สร้างขึ้นเองได้ ..ผู้พิพากษา Amy Berman Jackson เองก็มีการตั้งธงแนวคิดของตนเกี่ยวกับซีเรียอยู่ก่อนแล้วด้วย

    ยังมีอีกเรื่องที่เป็นกิจการภายในของรัสเซียตั้งแต่สมัยบอริส เยลท์ซินและผู้รับช่วงอำนาจคือวลาดิเมียร์ ปูติน เกี่ยวกับการทรมานและสังหาร Segei Magnitsky จนเกิดเป็นกฏหมาย Magnitsky Act of 2012 ..แล้วพัฒนาเป็น Global Magnitsky Human Rights Accountability Act of 2017 เพื่อใช้เป็นข้ออ้างการแซงค์ชั่นประเทศต่างๆ ว่าเป็นผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชน

    การใช้กฏหมายของสหรัฐทั้ง Magnitsky Act และ ATA Act ทำให้กระทรวงต่างประเทศสหรัฐอ้างเพื่อแซงค์ชั่นระงับการโอนเงินทุกกรณีของดอลล่าร์ผ่านระบบการเงินที่ประเทศนั้นๆต้องพึ่งพา เช่นทำให้เวเนฯไม่สามารถส่งออกน้ำมันได้เพราะไม่อาจอยู่ในระบบดอลล่าร์ได้อีกนับจาก 28 เมษายนนี้ ...อิหร่านก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ถูกแซงค์ชั่นและจะลามไปถึงคู่ค้าผู้ซื้อน้ำมันของอิหร่านอีกด้วยหลังวันที่ 5 พฤษภาคมนี้

    การค้าน้ำมันทั่วโลกอยู่ในรูปเงินดอลล่าร์ สหรัฐจึงมีอาวุธในมือที่จะใช้แทรกแซงต่างประเทศโดยไม่ต้องส่งกองกำลังนาวิกฯเข้าไปรุกรานเลย ..แต่ทั่วโลกก็อาจไหวทันและคาดเดาถึงอนาคต (read the tea leaves) และพากันทิ้งเงินดอลล่าร์พร้อมๆกัน ..ถ้าเป็นอย่างนั้นฝ่ายอเมริกันเองนั่นแหละจะมีปัญหากับปริมาณเงินดอลล่าร์หมุนเวียนทั้งหมด

    สหรัฐควรจะเคารพในเอกราชของประเทศอื่นในโลก ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยกับนโยบายภายในประเทศนั้น ....แต่เหมือนกับมันจะยังเลวไม่พอ กฏหมายใหม่ๆของสหรัฐที่จะใช้แทรกแซงยังจะทยอยออกมาอีกในอนาคต

    คองเกรสเพิ่งผ่านกฏหมายที่ ปธน.ทรัมพ์เซ็นแล้วคือ Elie Wiesel Genocide and Atrocities Prevention Act ...เพื่ออ้างว่าจะใช้ปกป้องการสังหารหมู่ประชาชน เรื่องนี้กลายเป็น agenda ในการรักษาความมั่นคงของสหรัฐไปแล้ว ...จะมีการตั้งกองกำลัง Mass Atrocity Task Force โดยกระทรวงต่างประเทศที่จะใช้ป้องกันการสังหารหมู่ที่จะเกิดในประเทศต่างๆ

    แต่ไม่น่าแปลกใจที่เรื่องนี้ไม่รวมเอาการสังหารหมู่ชาวปาเลสไตน์ที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ จากการกระทำของรัฐอิสเรลเลย....

    ************

    Does Washington Rule The World?
    Tyler Durden. Feb 9, 2019

    Authored by Philip Giraldi via The Strategic Culture Foundation,

    One of the most disturbing aspects of the past two years of Donald Trump foreign policy has been the assumption that decisions made by the United States are binding on the rest of the world. Apart from time of war, no other nation has ever sought to prevent other nations from trading with each other. And the United States has also uniquely sought to penalize other countries for alleged crimes that did not occur in the US and that did not involve American citizens, while also insisting that all nations must comply with whatever penalties are meted out by Washington.

    The United States now sees itself as judge, jury and executioner in policing the international community, a conceit that began post World War 2 when American presidents began referring to themselves as “leader of the free world.” This pretense received legislative backing with passage of the Anti-Terrorism Act of 1987 (ATA) as amended in 1992 plus subsequent related legislation, to include the Justice Against Sponsors of Terrorism Act of 2016 (JASTA). The body of legislation can be used by US citizens or residents to obtain civil judgments against alleged terrorists anywhere in the world and can be employed to punish governments, international organizations and even corporations that are perceived to be supportive of terrorists, even indirectly or unknowingly. Plaintiffs are able to sue for injuries to their “person, property, or business” and have ten years to bring a claim.

    Sometimes the connections and level of proof required by a US court to take action are tenuous, and that is being polite. Suits currently can claim secondary liability for third parties, including banks and large corporations, under “material support” of terrorism statutes. This includes “aiding and abetting” liability as well as providing “services” to any group that the United States considers to be terrorist, even if the terrorist label is dubious and/or if that support is inadvertent.

    There have been two recent lawsuits seeking civil damages under ATA and JASTA involved Iran and Syria.

    Regarding Iran, in June 2017 a jury deliberated for one day before delivering a guilty verdict against two Iranian foundations for violation of US sanctions, allowing a federal court to authorize the US government seizure of a skyscraper in Midtown Manhattan. It was the largest terrorism-related civil forfeiture in United States history. The presiding judge decided to distribute proceeds from the building’s sale, which could amount to as much as $1 billion, to the families of victims of terrorism, including the September 11th attacks. The court ruled that Iran had some culpability for the 9/11 attacks as a state sponsor of terrorism, though it could not determine that Iran was directly involved in the attacks.

    The ruling against Iran has to be considered somewhat bizarre as it is clear that Iran had nothing to do with 9/11 but was considered guilty anyway because the State Department in Washington has declared it to be a state sponsor of terror. Being able to determine guilt based on an interpretation of a foreign government’s behavior puts incredible power in the hands of unelected bureaucrats who are making political decisions regarding who is “good” and who is “bad.”

    A second, more recent, court case has involved Syria. Last week a federal court in the District of Columbia ruled that Syria was liable for the targeting and killing of an American journalist who was covering the shelling of a rebel held area of Homs in 2012.

    The court awarded $302.5 million to the family of the journalist, Marie Colvin. In her ruling, Judge Amy Berman Jackson cited “Syria’s longstanding policy of violence” seeking “to intimidate journalists” and “suppress dissent.” As it is normally not possible even in American courts to sue a foreign government, a so-called human rights group funded by the US and other governments called the Center for Justice and Accountability made its case relying on the designation of Damascus as a state sponsor of terrorism. The judge believed that the evidence presented was “credible and convincing.”

    The complexities of what is going on in Syria are such that it is difficult to imagine that a Washington based judge could possibly render judgment in any credible fashion. Colvin was in a war zone and the plaintiffs, whose agenda was to compile a dossier of war crimes against Syria, made their case using documents that they provided, which certainly presented a partisan viewpoint and might themselves have been fabricated. Based on her own comments, Judge Amy Berman Jackson certainly came into the game with her own particular view on Syria and what the conflict there was all about.

    Another American gift to international jurisprudence has been the Magnitsky Act of 2012, a product of the feel-good enthusiasm of the Barack Obama Administration. It was based on a narrative regarding what went on in Russia under the clueless Boris Yeltsin and his nationalist successor Vladimir Putin that was peddled by one Bill Browder, who many believe to have been a major player in the looting of the former Soviet Union. It was claimed by Browder and his accomplices in the media that the Russian government had been complicit in the arrest, torture and killing of one Sergei Magnitsky, an accountant turned whistleblower working for Browder. Almost every aspect of the story has been challenged, but it was completely bought into by the Congress and White House and led to sanctions on the Russians who were allegedly involved despite Moscow’s complaints that the US had no legal right to interfere in its internal affairs relating to a Russian citizen.

    Worse still, the Magnitsky Act has been broadened and is now the Global Magnitsky Human Rights Accountability Act of 2017. It is being used to sanction and otherwise punish alleged “human rights abusers” in other countries. It was most recently used in the Jamal Khashoggi case, in which the US sanctioned the alleged killers of the Saudi dissident journalist even though no one had actually been convicted of any crime.

    Independent of Magnitsky and the various ATA acts is the ability of the US Treasury Department and its Office of Foreign Assets Control (OFAC) to sanction a country’s ability to move money through the US controlled dollar financial system. That is what is taking place currently regarding payments for Venezuela’s oil exports, which have been sanctioned and will not be able to use the dollar denominated system after April 28th. A similar US imposed sanctioning is currently in effect against Iran, with all potential purchasers of Iranian oil themselves being subject to secondary sanctions if they continue to make purchases after May 5th.

    Most of the world oil business is transacted in dollars, so the Treasury Department has an effective weapon in hand to interfere in foreign countries without having to send in the Marines, but there is, of course, a danger that the rest of the world will eventually read the tea leaves and abandon the use of petrodollars altogether. If that occurs it will make it more difficult for the American government to continue to print dollars without regard for deficits as there will be little demand for the extra US currency in circulation.

    The principle that Washington should respect the sovereignty of other states even when it disagrees with their internal policies has effectively been abandoned. And, as if things were not bad enough, some new legislation virtually guarantees that in the near future the United States will be doing still more to interfere in and destabilize much of the world. Congress has passed and President Trump has signed the Elie Wiesel Genocide and Atrocities Prevention Act, which seeks to improve Washington’s response to mass killings. The prevention of genocide and mass murder is now a part of American national security agenda. There will be a Mass Atrocity Task Force and State Department officers will receive training to sensitize them to impending genocide, though presumably the new program will not apply to the Palestinians as the law’s namesake never was troubled by their suppression and killing by the state of Israel.


     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ลำปางวิกฤต!ค่าฝุ่นขึ้นสีแดงทุกสถานี
    ลำปางวิกฤต หมอกควันไฟลอยปกคลุมพื้นที่ในระดับต่ำ ค่าฝุ่น PM ระดับสีแดงทุกสถานี
    12 กุมภาพันธ์ 2019 - 13:19

    84.jpg
    สภาพถนนหลายสายในเขตพื้นที่ จ.ลำปาง ได้เกิดหมอกควันไฟลอยปกคลุมพื้นที่ในระดับต่ำ จนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า อันเนื่องจากความเย็นที่กดทับให้หมอกควันไฟที่เป็นฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศจากการเผาไหม้ ให้ลอยต่ำเหนือพื้นดิน ผู้ที่ขับขี่รถในพื้นที่ จ.ลำปาง จึงสามารถมองเห็นได้ชัดเขน โดยเฉพาะบนถนนสายลำปาง-เด่นชัย ซึ่งเป็นถนนผ่านพื้นที่ อ.แม่ทะ เชื่อมต่อ อ.แม่เมาะ และเข้าสู่แนวเทือกเขาดอยพระบาท เขต อ.เมือง จ.ลำปาง ก็เห็นหมอกควันไฟปกคลุมดอยพระบาทหนาแน่น จนไม่สามสารถมองเห็นยอดเขาได้อย่างชัดเจนแล้ว โดยเมื่อใช้โดรนบินขึ้น เพื่อมองจากภาพมุมสูงไปทางหมู่บ้านที่อยู่ใกล้แนวเทือกเขาดอยพระบาท ก็พบเห็นหมอกควันไฟคลุมพื้นที่หมู่บ้านเช่นกัน โดยวันนี้ (12ก.พ.62) ค่าฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือค่า PM 2.5 ของ จ.ลำปาง ได้พุ่งสูงมาก คุณภาพอากาศอยู่ในระดับสีแดงทุกสถานีและมีผลกระทบต่อสุขภาพ




    1549949669933-1024x768.jpg




    https://www.innnews.co.th/regional-...lljItYLL8NefRcC8V2PSFCFn8u7kfQCXtfqyBEn2Ky0HQ
     

แชร์หน้านี้

Loading...