ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,974
    ค่าพลัง:
    +97,149
    สภาพอากาศและข่าวทั่วไป

    โมซัมบิกหวั่นยอดดับพุ่งเกิน 1,000 คน หลังพายุไซโคลนอิดายพัดถล่มหนัก


    รายงานเอเอฟพีเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2562 กล่าวว่า พายุไซโคลนอิดายเข้าถล่มมาลาวี, โมซัมบิก และซิมบับเวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วพร้อมกับกระแสลมรุนแรง ฝนตกหนัก และน้ำท่วมฉับพลัน ทำลายถนนหนทางและบ้านเรือนประชาชน เมืองเบย์ราในภาคกลางของโมซัมบิกเป็นเมืองที่พายุไซโคลนลูกนี้เข้าถล่มโดยตรงเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม


    ประธานาธิบดี ฟิลิป นยูซี แห่งโมซัมบิก แถลงต่อประชาชนเมื่อวันจันทร์ว่า ขณะนี้จำนวนผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 84 คน แต่หลังจากได้สำรวจทางอากาศเหนือพื้นที่ประสบภัยเมื่อเช้า ก็ทำให้เข้าใจสถานการณ์ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,000 คน “นี่คือภัยพิบัติด้านมนุษยธรรมอย่างแท้จริง” เขากล่าว “ผู้คนมากกว่า 100,000 คนตกอยู่ในอันตราย”


    ภาพถ่ายทางอากาศโดยมิชชันเอวิเอชันเฟลโลว์ชิพ องค์กรเอกชนไม่แสวงผลกำไร เผยให้เห็นว่า กลุ่มคนหลายกลุ่มติดอยู่บนหลังคาโดยรอบตัวมีระดับน้ำท่วมสูงถึงหน้าต่าง ประธานาธิบดีนยูซีกล่าวด้วยว่า หลายคนหนีขึ้นไปหลบบนต้นไม้รอคอยความช่วยเหลือ


    สหพันธ์กาชาดสากลและเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ (ไอเอฟอาร์ซี) แถลงว่า ระดับความเสียหายในเมืองเบย์รานั้นมโหฬารและน่ากลัวยิ่ง 90% ของเมืองที่มีประชากรราว 530,000 คนแห่งนี้และพื้นที่โดยรอบ ได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย

    “เกือบทุกสิ่งอย่างถูกทำลาย


     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,974
    ค่าพลัง:
    +97,149
    จ่ายเงินค่าป่วยการ อสม. 1 ล้านคนเร็วขึ้น จาก 22 มี.ค. เป็น 20 มี.ค. เป็นเงิน ‘1,814 ล้านบาท’

    กรมบัญชีกลางจ่ายเงินค่าป่วยการ อสม.กว่า 1 ล้านคน เร็วขึ้น จาก 22 มี.ค. เป็น 20 มี.ค. โดยปรับเพิ่มเป็นเดือนละ 1,000 บาทต่อคน จ่ายย้อนหลังตั้งแต่ ธ.ค.61 รวมเป็นเงินกว่า 1,814 ล้านบาท

    #อสม. #ค่าป่วยการ
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,974
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Catástrofes Globales

    องค์การนาซ่าตรวจพบการระเบิดของอุกกาบาตเหนือทะเลแบริ่งด้วยพลังของระเบิดปรมาณู 11 เท่า


    มันเกิดขึ้นเมื่อเดือนธันวาคมในปีที่ผ่านมาในทะเลแบริ่ง แต่นาซ่าได้ประกาศทันที


    การระเบิดถูกตรวจพบโดยดาวเทียมกองทัพสหรัฐ และรับรองว่าการระเบิดนั้นเป็นครั้งที่สองที่ตรวจพบที่รุนแรงที่สุดในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา

    IMG_0772.JPG IMG_0773.JPG IMG_0774.JPG IMG_0775.JPG

    La NASA detectó la explosión de un meteorito sobre el mar de Bering con la fuerza de 11 bombas atómicas.


    Ocurrió el pasado mes de Diciembre en el mar de Bering, pero la NASA lo ha dado a conocer ahora.


    El estallido fue detectado por los satélites militares de EEUU y aseguran que la explosión fue la segunda más fuerte detectada en los últimos 30 años.


     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,974
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Catástrofes Globales




    ผู้อาศัยที่หวาดกลัวที่อาศัยอยู่ใกล้กับภูเขาไฟแสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาของการระเบิดหลังจากเสียงคำรามอันยิ่งใหญ่ #Popocatepetl #Puebla


    เครดิต felizkrennews & webcamsdemexico
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,974
    ค่าพลัง:
    +97,149
    JUST IN: กลุ่มก่อการร้าย Fulani มุสลิมฆ่าคริสเตียนอีก 9 คนใน Middle Belt ของไนจีเรีย - เพิ่มจำนวนผู้เสียชีวิตจาก 120 คนที่สังหารหมู่ชาวคริสต์ในไนจีเรียตอนกลาง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์


     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,974
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ป๊าดโท๊ะ‼️ พายุฤดูร้อนพัดถล่มเมื่อคืนที่ผ่านมา บ้านเรือนชาวบ้านจังหวัดพะเยาได้รับความเสียหาย ⛈
    .
    อย่าลืม!!
    ติดดาว ⭐ ตั้ง See First หรือ เห็นโพสต์ก่อน ในเพจของเรา จะได้ไม่พลาดข่าวสารในเชียงใหม่ เเละภาคเหนือ
    .
    อ่านข่าวอื่นๆได้ที่ www.chiangmainews.co.th

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,974
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เศรษฐกิจจีนไม่ดี รัฐบาลถ้าจะปราบสินค้าปลอมควรจะลงโทษโดยการจำคุกคนขาย แต่เลือกปรับเงินแทนคงต้องการหารายได้ไปทดแทนรายได้เดิมที่ลดลงไป จากเศรษฐกิจที่ตกต่ำ รัฐบาลจีนมีรายจ่ายสูง

    จีนลั่นปราบสินค้าปลอม ปรับหนักจนกว่าจะเจ๊ง

    by

    จีน ลั่น ใช้มาตรการหนักปราบผู้ผลิตสินค้าเลียนแบบ สินค้าปลอม โดยสั่งปรับหนักขึ้นจนกว่าจะล้มละลายไป เผยปีที่ผ่านมา คดีฟ้องร้องละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาพุ่ง 288,000 คดี ขยายตัวถึง 42 %

    รายงานข่าวต่างประเทศเปิดเผยว่า ทางการจีนได้ประกาศว่า จะให้กลุ่มละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ทำสินค้าเลียนแบบ-ของปลอม จ่าย "ราคา" หนักขึ้น ให้กับการละเมิดเหล่านี้ ผู้คุมกฎในตลาด ประกาศในวันจันทร์ที่ผ่านมา(11 มี.ค.)

    “เราจะให้กลุ่มผู้ผลิต และผู้ขายสินค้าปลอม ต้องจ่ายราคาอานจนกว่าจะล้มละลายไป” จาง เหมา หัวหน้าคณะกรรมาธิการกำกับดูแลกฎระเบียบในตลาดสินค้า กล่าวในที่ประชุมข่าว ระหว่างการประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน (เอ็นพีซี)

    กลุ่มละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ค้าของปลอม จะถูกเปิดโปงต่อสาธารณะ “และไม่มีที่จะหลบซ่อนตัวภายใต้แสงตะวัน” จาง กล่าว

    ขณะเดียวกันจีนจะผลักดันการรักษาวินัยในตัวเองของกลุ่มบริษัท และรักษาระบบเครดิตสังคม โดยมีเป้าหมายลดจำนวนสินค้าปลอม และบรรเทาความวิตกกังวลของประชาชน

    ในการแถลงรายงานประจำปีของศาลประชาชนสูงสุดแห่งจีนต่อที่ประชุมสภาผู้แทนประชาชนจีน หรือสภานิติบัญญัติ (เอ็นพีซี) ในสัปดาห์นี้ ระบุว่าในช่วงปีที่แล้ว (2018) คดีฟ้องร้องละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ที่สามารถสรุปได้ มีจำนวนมากถึง 288,000 คดี คิดเป็นอัตราเพิ่ม 42 เปอร์เซ็นต์ปีต่อปี

    เจ้าหน้าที่เผยสาเหตุที่จำนวนคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ทวีจำนวนมากขึ้น เพราะศาลสูงสุดให้ความสำคัญกับการคุ้มครองทรัพย์ทางปัญญา ขณะที่ประชาชนก็ตื่นตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น

    ศาลสูงสุดได้จัดตั้งหน่วยงานใหม่ เป็นศาลระดับชาติ ในปักกิ่งเมื่อเดือนม.ค. เพื่อรับเรื่องฟ้องร้องคดีละเมิดลิขสิทธิ์โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังจัดตั้งศาลพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญา 19 แห่งทั่วประเทศในปีที่แล้ว

    https://www.thaiquote.org/content/217884
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2019
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,974
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เจาะเวลาหาอดีต


    หญิงสาวผู้ถือคบเพลิงของโคลัมเบีย พิกเจอร์ส เธอคนนั้นเป็นใคร


    เห็นหน้ามาตั้งนานแล้ว แต่ไม่ได้รู้จักกันเสียที ตอบให้ฟังกันตรงนี้ว่าเธอคือคนที่ยืนหยัดคู่ค่ายหนังชื่อดังมานานกว่า 70 ปีแล้ว และเรื่องราวความเป็นมาก็ค่อนข้างจะซับซ้อน แต่ที่บอกได้ชัดเลยก็คือเธอไม่ใช่นักกีฬาโอลิมปิกแน่ๆ


    โลโก้หญิงสาวถือคบเพลิงของค่ายหนังโคลัมเบีย พิกเจอร์ส ปรากฏโฉมครั้งแรกในปี 1924 และแม้ในช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา จะมีบรรดานางแบบหลายต่อหลายคนที่ออกมาอ้างว่าเธอเป็นต้นแบบให้กับสัญลักษณ์ที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานนี้ แต่ทางค่ายโคลัมเบียพิคเจอร์ส (ปัจจุบันเป็นบริษัทย่อยของค่ายโซนี่พิกเจอร์สเอนเตอร์เทนเมนต์) กลับไม่สามารถระบุได้ว่าใครคือนางแบบที่แท้จริง เนื่องจากไม่เคยมีการบันทึก หรือมีเอกสารที่จะใช้ระบุได้


    ข้อมูลเกี่ยวกับนางแบบสัญลักษณ์อันโดดเด่นปรากฏขึ้นครั้งแรกในปี 1962 โดยในหนังสืออัตชีวประวัติของนักแสดงสาวเบตต์ เดวิส ระบุไว้ว่า ภาพใบหน้าของ “ลิตเติ้ล คลอเดีย เดล” นักแสดงสาวยุคทศวรรษ 1930 ถึง ช่วงต้นทศวรรษ 1940 ได้ถูกนำไปใช้เป็นต้นแบบให้กับโลโก้ของทางค่ายโคลัมเบียเป็นเวลานานหลายปี


    ในปี 1987 นิตยสารพิเพิลรายงานว่า “อมีเลีย บาชเลอร์” นางแบบและตัวประกอบของโคลัมเบียคือนางแบบของโลโก้ปี 1933 นอกจากนี้ยังมีชื่อ “เจน บาร์โธโลมิว” ตัวประกอบอีกคนที่ร่วมงานกับทางค่ายในทศวรรษ 1930 ซึ่งปรากฏอยู่ในบทความของหนังสือพิมพ์เดอะชิคาโกซันไทม์สในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2001


    สืบไปสืบมา ก็มีความเป็นไปได้ว่าหญิงสาวทั้ง 3 คน ล้วนแต่เคยเป็นแบบให้สัญลักษณ์หญิงสาวถือคบเพลิงกันทั้งนั้น แต่อาจเป็นแบบในโลโก้คนละรุ่น เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดขอบสัญลักษณ์รูปผู้หญิงถือคบเพลิงมาแล้วหลายต่อหลายครั้งด้วยกัน


    การเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ครั้งสำคัญของเทพีค่ายโคลัมเบียเกิดขึ้นในปี 1993 เมื่อโซนี่พิกเจอร์สซึ่งเข้าซื้อกิจการของโคลัมเบียเมื่อปี 1989 ได้มอบหมายให้ไมเคิล เจ.เดแอส ออกแบบเทพีองค์นี้ใหม่อีกครั้ง เขาออกแบบให้เทพีย้อนกลับไปสู่เวอร์ชันคลาสสิก โดยใช้ “เจนนี โจเซฟ” แม่บ้านจากมลรัฐลุยเซียนาเป็นนางแบบ


    ผลที่ออกมาก็คือ หญิงสาวผู้ถือคบเพลิงคนใหม่ที่ตัวสูงขึ้น ผอมลง ผิวขาวขึ้น และผมหยิกมากขึ้น ส่วนคบเพลิงเองก็สีทึมลง อย่างไรก็ตามเดแอสเลือกที่จะใช้ใบหน้าที่สร้างขึ้นจากคอมพิวเตอร์แทนหน้าของโจเซฟ


    https://amp.mgronline.com/around/9480000030488.html


     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,974
    ค่าพลัง:
    +97,149
    การประชุม ครม.วันนี้ (19 มี.ค.) เป็นการประชุมครั้งสุดท้าย ก่อนการเลือกตั้ง ในวันที่ 24 มี.ค. โดยที่ประชุมเห็นชอบอนุมัติงบกลางวงเงิน 3.79 หมื่นล้านบาท เติมเงินกองทุนประชารัฐฯ พร้อมเห็นชอบยกเว้นค่าผ่านทางมอเตอร์เวย์ช่วงสงกรานต์

    วันนี้ (19 มี.ค.2562) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมกิจกรรมกับหน่วยงานภาครัฐ ขณะที่สื่อมวลชนได้สอบถามนายกฯ ว่ารู้สึกอย่างไรกับการประชุม ครม.ครั้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง นายกฯ ตอบเพียงสั้นๆ ว่า "เป็นคนละเรื่องกัน" อีกทั้งยังไม่ให้ความเห็นใดๆ เกี่ยวกับการเลือกตั้งในวันที่ 24 มี.ค.นี้

    สำหรับวาระการพิจารณาในวันนี้ (19 มี.ค.) กระทรวงคมนาคมเสนอให้ที่ประชุมยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษ หมายเลข 7 และหมายเลข 9 ตั้งแต่วันที่ 10 - 18 เม.ย.2562, กระทรวงการคลัง เสนอร่างกฎกระทรวงการอนุญาตนำสุราเข้ามาในราชอาณาจักร, กระทรวงพาณิชย์ เสนอการต่ออายุบันทึกความตกลงว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลฟิลิปปินส์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขออนุมัติดำเนินโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังนาปี 2561/2562

    ทั้งนี้ การประชุม ครม.ใช้เวลา 3 ชั่วโมง โดยเริ่มขึ้นในเวลา 15.00 น. หลังเสร็จสิ้นการประชุม นายกฯ ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน พร้อมระบุทิ้งท้ายว่าช่วงนี้อากาศร้อน ขอให้ใจเย็นๆ ก่อนการเลือกตั้ง



    ล่าสุดเมื่อเวลา 18.00 น. พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุม ครม. ว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังนาปี 2561/2562 ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน 2,932 ล้านบาท สนับสนุนปัจจัยการผลิตไร่ละ 600 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 15 ไร่

    ที่ประชุม ครม.ยังอนุมัติยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และ หมายเลข 9 ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 10 เม.ย.2562 ถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 18 เม.ย.2562 พร้อมผ่อนผันให้แรงงานสัญชาติจากกัมพูชา ลาวและเมียนมา กลับประเทศในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 5-30 เม.ย.นี้

    นอกจากนี้ยังมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงพาณิชย์ พ.ศ. ... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ

    ขณะที่นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.ได้อนุมัติงบกลางปี 2561 จำนวน 37,900 ล้านบาท ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวงเงินเดิมที่ ครม.อนุมัติไปก่อนหน้านี้ เพื่อเติมเงินในกองทุนประชารัฐเพื่อสวัสดิการ เศรษฐกิจและสังคม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ นอกจากนี้ยังมีมติเห็นชอบปรับปรุงหลักเกณฑ์สินเชื่อรายย่อย หรือ พิโก้ไฟแนนซ์พลัส

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,974
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_0781.JPG
    (Mar 19) อินเดีย'ผงาดมารดาประชานิยม : ในเดือนหน้านี้ "อินเดีย" จะเปิดฉากการเลือกตั้งโลกสภา หรือสภาผู้แทนราษฎรของอินเดีย ซึ่งจะดำเนินไปเป็นเวลา 6 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย.-19 พ.ค.นี้ และนับเป็นการเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่สุดในโลก จากจำนวน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งถึง 900 ล้านคน



    สำหรับนายกรัฐมนตรี นเรนทร โมที ของอินเดียแล้ว การเลือกตั้งคราวนี้เปรียบเสมือนบททดสอบมติมหาชน ที่จะชี้ชะตาอนาคตทางการเมืองของโมที หลังโมทีประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ในการพาพรรคภารติยะ ชนตะ (บีเจพี) โค่นพรรคอินเดียน เนชั่นแนล คองเกรส หรือพรรคคองเกรส ที่เป็นพรรครัฐบาลมาอย่างยาวนานกว่า 10 ปี โดยพรรคบีเจพีกวาดที่นั่งไปได้ 282 ที่นั่ง จาก 545 ที่นั่ง ครองเสียงข้างมากเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1984



    อย่างไรก็ดี ศึกเลือกตั้งปี 2019 นี้ก็ไม่หมูเหมือนครั้งที่ผ่านมา แม้ว่าโมทีจะมีจุดแข็งเรื่องภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง และฉลาดใช้สื่อโซเชียล ขณะที่ตัว ราหุล คานธี ผู้นำพรรคคองเกรสยังอ่อนประสบการณ์การเมือง จนยังยากกวาดคะแนนเสียงไปได้อย่างถล่มทลาย แต่พรรคการเมืองท้องถิ่นที่เข้มแข็งขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ได้เข้ามาแย่งชิงสัดส่วนคะแนนของพรรคบีเจพีไป และปัจจัยสำคัญที่จะสะเทือนคะแนนเสียงบีเจพีมากที่สุด คือ ประเด็น "เศรษฐกิจ" ซึ่งเสียโมเมนตัมการเติบโตไปในยุครัฐบาลโมที โดยเกษตรกรซึ่งเป็นกลุ่มฐานเสียงสำคัญของพรรคบีเจพีต่างมีรายได้จากภาคการเกษตรลดลงเนื่องจากผลผลิตสินค้าเกษตรล้นตลาด จนส่งผลให้ชาวนาจำนวนมากหนี้ท่วม มีอัตราการฆ่าตัวตายหนีหนี้พุ่งสูง การส่งออก ลดลง ตลาดแรงงานย่ำแย่ และอัตราว่างงานอินเดียพุ่งแตะ 7.2% เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา



    ส่วนนโยบายบางอย่างของโมทีเองก็ทำให้ประชาชนและภาคธุรกิจไม่พอใจ โดยเฉพาะการยกเลิกใช้แบงก์ใหญ่เมื่อปี 2016 และมาตรการภาษีสินค้าและบริการ (จีเอสที) ที่บังคับใช้เมื่อปี 2017


    จากสถานการณ์ดังกล่าวนั้น แม้หลายฝ่ายคาดว่าโมทีจะยังคงเป็นผู้มีชัยในการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่การคว้าเสียงข้างมาก 272 ที่นั่ง จาก 543 ที่นั่ง คงเป็นเรื่องยากไม่น้อย



    "นโยบายประชานิยม" จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญของโมทีและพรรค บีเจพีในการครองใจมหาประชาชนอินเดีย โดยศึกเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นทำให้พรรคบีเจพีเร่งอัดนโยบายเอาใจชาวอินเดียไม่ขาดสาย จนเรียกได้ว่าเป็นตัวแม่แห่งประชานิยมในการเลือกตั้งครั้งนี้



    จุดเริ่มเค้าลางแห่งนโยบายประชานิยมปรากฏขึ้นจาก "การหั่นภาษีจีเอสที" เพื่อหวังเอาใจกลุ่มผู้บริโภคและธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งอัตราภาษีดังกล่าวแตกต่างกัน 4 อัตรา แบ่งเป็น 5% 12% 18% และ 28% แล้วแต่ชนิดสินค้าที่มีมากกว่า 1,200 รายการ และบริการอีก 500 รายการ



    เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมานั้น รัฐบาลอินเดียหั่นภาษีจีเอสทีไปแล้ว 2 ครั้ง แบ่งเป็นในเดือน ก.ค.ที่หั่นภาษีครอบคลุมสินค้ากว่า 80 รายการ และอีกครั้งในเดือน ธ.ค.ที่หันภาษีสินค้าอีกกว่า 20 รายการ พร้อมทั้งยกเลิกการเก็บภาษีอัตราสูงสุดกับสินค้ากว่า 190 รายการ



    ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อวันที่ 10 ม.ค. รัฐบาลอินเดียยังประกาศปรับหลักเกณฑ์ภาษีจีเอสที เพื่อยกเว้นภาษีให้กลุ่มธุรกิจขนาดเล็กกว่า 2 ล้านราย ทั่วประเทศ โดยเอกชนรายได้ไม่เกิน 2 ล้านรูปี/ปี (ราว 9 แสนบาท) จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษี จากเดิมที่ต้องมีรายได้ 4 ล้านรูปี/ปี (ราว 1.8 ล้านบาท)



    ตัวเสริมทัพนโยบายประชานิยม ต่อมาของรัฐบาล คือ "โมทีแคร์" ซึ่งเปิดตัวไปแล้วอย่างหวือหวาเมื่อเดือน ก.ย. 2018 ที่ผ่านมา ในฐานะ "ระบบประกันสุขภาพขนาดใหญ่ ที่สุดในโลก" โดยระบบดังกล่าวจะครอบคลุมชาวอินเดียที่ยากจนถึง 100 ล้านครัวเรือน หรือประมาณ 500 ล้านคนคิดเป็น 40% ของประชากรทั้งหมด 1,250 ล้านคน โดยตั้งวงเงินการรักษาให้ครอบครัวละ 5 แสนรูปี/ปี (ราว 2.23 แสนบาท)



    นอกจากนี้ โมทียังประกาศ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ว่ารัฐบาลจะเพิ่มงบรายจ่ายด้านสาธารณสุขให้ไปอยู่ที่ 2.5% ของจีดีพีภายในปี 2025 จากสัดส่วนปัจจุบันอยู่ที่ 1.15% ด้วยเช่นกัน เพื่อหวังเร่งขยายบริการสาธารณสุขต่างๆ



    แน่นอนว่า "เกษตรกร" ซึ่งเป็น กลุ่มฐานเสียงสำคัญและคิดเป็นสัดส่วนราว 69% ของประชากรอินเดีย ย่อมอยู่ในแผนการของโมที และเป็นเป้าหมายหลักของนโยบายประชานิยมเต็มเหนี่ยว ที่สะท้อนออกมาจากแผนงบประมาณประจำปี 2019-2020 ซึ่งตั้งงบขาดดุลเพิ่มเป็น 3.4% ของจีดีพี วงเงิน 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.12 แสนล้านบาท)



    ภายใต้มาตรการ "พยุงรายได้เกษตรกรรายย่อย" ในงบประมาณประจำปีนี้ รัฐบาลจะจัดสรรเงิน 7.5 แสนล้านรูปี (ราว 3.27 แสนล้านบาท) สำหรับเกษตรกรที่มีที่ดินไม่ถึง 2 เฮกตาร์ ให้ครัวเรือนละ 6,000 รูปี/ปี (ราว 2,600 บาท) โดยจะเริ่มจ่ายเงินงวดแรกภายในวันที่ 31 มี.ค.นี้ ซึ่ง คาดว่าจะมีเกษตรกรประมาณ 120 ล้านครัวเรือน ที่ได้รับเงินดังกล่าว



    ไม่เพียงเท่านั้น เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติจนผลผลิตเสียหาย ยังสามารถขอเงินกู้แบบปลอดดอกเบี้ยได้จากแบงก์รัฐ ซึ่งวงเงินกู้ดังกล่าวคาดว่าจะอยู่ที่ 1.2 แสนล้านรูปี/ปี (ราว 5.4 หมื่นล้านบาท) นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีออปชั่นพิเศษให้เกษตรกรรายได้น้อยด้วย โดยชาวนารายได้ 2,000-4,000 รูปี/ที่ดินทุกๆ 1 เฮกตาร์ (ราว 900-1,800 บาท) จะสามารถขอกู้เงินปลอดดอกเบี้ยได้ ซึ่งวงเงินกู้ส่วนนี้คาดว่าจะอยู่ที่มากกว่า 1 ล้านล้านรูปี (ราว 4.6 แสนล้านบาท)



    "ชนชั้นกลาง" อีกประมาณ 30 ล้านคน เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่รัฐบาลอินเดียหันมาเอาใจในช่วงโค้งสุดท้าย ด้วยการขยายฐานเพดานที่ต้อง เสียภาษีเพิ่มเป็น 2 เท่า โดยขยาย ช่วงรายได้ขั้นต่ำที่ต้องเสียภาษีจาก 2.5 แสนรูปี/ปี (ราว 1 แสนบาท) ไปเป็น 5 แสนรูปี/ปี (ราว 2.18 แสนบาท) ส่วนผู้มีรายได้มากกว่า 6.5 แสนรูปี/ปี(ราว 2.83 แสนบาท) จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีหากเข้าไปซื้อกองทุนของรัฐ



    นโยบายเอาใจประชาชนยังขยายครอบไปถึงกลุ่ม "แรงงาน" ด้วยเช่นกัน โดยสำหรับแรงงานนอกระบบที่ขณะนี้มีจำนวนประมาณ 100 ล้านคนนั้น รัฐบาลได้ออกโครงการจ่ายเงินบำนาญรายเดือนให้แรงงานนอกระบบ ซึ่งได้เงินเดือนไม่เกิน 1.5 หมื่นรูปี (ราว 6,500 บาท) โดยโครงการดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกองทุนประกันสังคมที่แรงงานต้องสมทบเงินเข้าไปในกองทุน 100 รูปี/เดือน (ราว 43 บาท) เมื่อ อายุเกิน 60 ปีไปแล้ว ก็จะได้เงิน 3,000 รูปี/เดือน (ราว 1,300 บาท)



    สำหรับแรงงานในชนบท รัฐบาลโมทีประกาศจะจัดสรรงบ 6 แสนล้านรูปี (ราว 2.61 แสนล้านบาท) สำหรับโครงการสร้างงานให้แก่ประชาชนในชนบท และจะใช้งบอีก 1.9 แสนล้านรูปี (ราว 8.2 หมื่นล้านบาท) สำหรับสร้างโครงสร้างพื้นฐานในเขตชนบทการมุ่งสู่นโยบายประชานิยมเต็มสูบดังกล่าวของรัฐบาลโมที ต้องแลกมากับการปะทะกับแบงก์ชาติอินเดีย โดย อุรจิต ปาเทล อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางอินเดีย (อาร์บีไอ) คนก่อนหน้านี้ ไขก๊อกลาออกจากตำแหน่งไปแบบสายฟ้าแลบ ก่อนการประชุมนโยบายการเงินของอาร์บีไอเพียง 3 วันเท่านั้นเมื่อเดือน ธ.ค. ซึ่งมีรายงานว่าปาเทลไม่เห็นด้วยกับความต้องการของรัฐบาล ที่จะให้แบงก์ชาติอ่อนข้อให้ในประเด็นหลัก 3 อย่าง คือ การยอมให้รัฐบาลดึงเงินสำรองส่วนเกินของแบงก์ชาติมาได้มากขึ้น การผ่อนกฎการกู้ยืม และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง



    แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่า คือการขาดดุลการคลังของรัฐบาล จะกลับมาสูงขึ้นอีกครั้งและ ต่อเนื่องจนหลุดเป้า 3.3% ของ จีดีพี ทั้งที่รัฐบาลสามารถลดการ ขาดดุลการคลังลงมาได้ตลอดหลายปีก่อนหน้านี้ เนื่องจากรัฐเสียรายได้ จากการหั่นภาษีจีเอสทีไป ซึ่งคาดว่า จะอยู่ที่ราว 9 แสนล้านรูปี (ราว 4.1 แสนล้านบาท) ในปีงบ ประมาณปัจจุบัน และยังต้องแบกรายจ่าย เพิ่มขึ้นจากนโยบายประชานิยม ทั้งหลายในเวลาต่อไป



    คงต้องรอดูต่อไปว่าการพาอินเดียไปสู่สถานะมารดาแห่งประชานิยม จะคุ้มค่าหรือไม่ในอนาคต


    โดย นรินรัตน์ พรหมพิทักษ์


    Source: Posttoday
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,974
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_0782.JPG
    (Mar 19) โกงสอบมหา'ลัยดัง เขย่า'อเมริกัน ดรีม' : นับเป็นข่าวอื้อฉาวครั้งเลวร้ายมากที่สุดในประวัติศาสตร์แวดวงการศึกษาของสหรัฐ เมื่อทางการสหรัฐได้เปิดโปง "ขบวนการทุจริตการสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ" เมื่อช่วงสัปดาห์ ที่ผ่านมา ซึ่งได้ก่อให้เกิดแรงการ สั่นคลอนครั้งรุนแรงต่อความเชื่อที่อยู่คู่ชาวอเมริกันมายาวนานอย่าง "อเมริกัน ดรีม" (American Dream)



    แอนดรูว์ เลลลิ่ง อัยการรัฐแมสซาชูเซตส์ เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาในขบวนการโกงสอบครั้งนี้ 50 คน เกือบทั้งหมด ล้วนเป็นคนดังที่มีชื่อเสียงในหลายวงการตั้งแต่ซีอีโอบริษัทไปจนถึงนักแสดง ชั้นนำในฮอลลีวู้ดที่ได้ว่าจ้างให้สถาบันเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยและโค้ชกีฬาสร้างกลโกงขึ้นมา เพื่อดันให้ลูกหลานของตัวเองเข้ามหาวิทยาลัยดังในสหรัฐได้ จนทำให้ขบวนการโกงนี้มีเงินสะพัดมากถึง 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 793 ล้านบาท) นับตั้งแต่เริ่มขบวนการในปี 2011



    การเปิดโปงขบวนการอื้อฉาวในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า แนวคิดในแบบอเมริกัน ดรีม ที่เชื่อว่าคนอเมริกันทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต หากทุ่มเทแรงกายแรงใจในการทำอะไรสักอย่าง นั้นอาจเป็นเพียงสโลแกนขายฝัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว "เงิน" คือสิ่งที่สามารถตัดสินอนาคตของคนได้



    ทุกวันนี้การสอบเข้ามหาวิทยาลัยในสหรัฐนั้นแทบจะไม่ต่างกับ "สนามทดสอบความได้เปรียบทางสังคม"ท่ามกลางอัตราการแข่งขันที่สูงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเอเอฟพีระบุว่า สำหรับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มีนักศึกษาเพียง 4.6% จากจำนวนทั้งหมดที่ยื่นผลสอบราว 4 หมื่นคน ที่สามารถเข้าเรียนที่นี่ได้ ขณะที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย มีอัตรานักศึกษาที่สามารถเข้าเรียนได้อยู่ที่ 4.3% และ 5.5% ตามลำดับ



    คนรวยได้เปรียบทุกขั้นตอน



    ทว่าแม้อัตราการแข่งขันจะสูงมากเพียงใด แต่สิ่งนี้กลับไม่เป็นปัญหาสำหรับนักเรียนในสหรัฐที่มีพ่อแม่ฐานะดี ซีเอ็นเอ็นระบุว่า ตั้งแต่ก่อนที่จะลงสนามสอบนักเรียนชาวอเมริกันกลุ่มนี้สามารถเข้าถึงห้องเรียนโปรแกรมพิเศษราคาแพง ติวเตอร์หัวกะทิ หรือคอร์สเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังได้ตั้งแต่เนิ่นๆ



    จากข้อมูลของสมาคมผู้ให้คำ ปรึกษาด้านการศึกษาอิสระ ชี้ให้เห็นว่า ผู้ปกครองในสหรัฐต้องจ่ายเงินต่อสัปดาห์โดยเฉลี่ยที่ 200 ดอลลาร์ (ราว 6,350 บาท) ไปจนถึงหลายพันดอลลาร์ สำหรับการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งนับว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงสำหรับผู้ปกครองที่ไม่ได้มีฐานะดี



    "สิ่งเหล่านี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ในระดับอนุบาลแล้ว ซึ่งการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงนั้นจะนำไปสู่อาชีพที่ทรงเกียรติและชีวิตที่มีความสุข แต่สำหรับเด็กที่พ่อแม่ไม่ได้ร่ำรวยแล้วนั้น การสอบเข้ามหาวิทยาลัยนับเป็นสิ่งที่เครียดมาก" แองเจลา เปเรซ นักศึกษามหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ กล่าว



    ยิ่งไปกว่านั้น ซีเอ็นเอ็นและเอเอฟพีระบุว่า เด็กที่ร่ำรวยในสหรัฐยังมีสิทธิพิเศษถึงขั้นไม่ต้องไปลงสนามสอบแข่งขัน แต่สามารถเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำได้ด้วยการที่ผู้ปกครองบริจาคเงินก้อนใหญ่ให้กับมหาวิทยาลัย เช่น ในกรณีของ จาเร็ด คุซเนอร์ ลูกเขยของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ที่สามารถเข้ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ ในปี 1998 หลังจากที่พ่อของเขาบริจาคเงินให้มหาวิทยาลัย 2.5 ล้านดอลลาร์ (ราว 79 ล้านบาท)



    ขณะที่แม้แต่ในวันที่ต้องลงสนามสอบแข่งขัน ผู้ปกครองที่มีฐานะในสหรัฐบางรายยังสร้างสะพานวิเศษที่ทำให้ ลูกหลานของตัวเองเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำได้ด้วยการ "โกง"ในกรณีที่มีการเปิดโปงครั้งล่าสุดนี้ รูปแบบที่ผู้ปกครองและสถาบันเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยใช้โกงมีอยู่ 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือ การติดสินบนเจ้าหน้าที่ของสถาบันเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อให้ไปเข้าสอบ SAT และ ACT แทนลูกของตัวเอง หรือไปแก้ไขคำตอบในข้อสอบให้ถูกต้อง และอีกรูปแบบ คือ การติดสินบนโค้ชกีฬาให้สร้างประวัติปลอม เพื่อให้ได้รับสิทธิพิเศษเข้ามหาวิทยาลัยได้จากความสามารถทางกีฬา โดยมีค่าใช้จ่ายในการทุจริตต่อครั้งอยู่ที่ 2 แสน-6.5 ล้านดอลลาร์ (ราว 6.3-205 ล้านบาท)



    "เห็นได้ชัดเจนว่าการที่คนรวย ถูกกล่าวหาว่ายอมทำผิดกฎหมาย เพื่อเอาลูกเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยดังนั้นอื้อฉาวเพียงใด แต่สิ่งที่เลวร้ายมากกว่านั้นคือ การโกงในลักษณะนี้ได้เกิดขึ้นในทุกฤดูกาลแห่งการสมัครเรียนเข้ามหาวิทยาลัย และทุกอย่างในแวดวงการศึกษาก็สนับสนุนให้สิ่งนี้เกิดขึ้น" เรนเนสฟอร์ด สตวฟเฟอร์ นักข่าวจากนิวยอร์กไทมส์ กล่าว


    ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์


    Source: Posttoday


    https://www.posttoday.com/world/583611
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,974
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_0783.JPG
    (Mar 19) ไม่สนมะกัน! ‘เยอรมนี’ ประมูล ‘5จี’ ไม่ปิดกั้น ‘หัวเว่ย’: ประเทศเยอรมนีเริ่มเปิดประมูลโครงการโครงข่ายการสื่อสารความเร็วสูง ‘5จี’ แล้วเมื่อวันที่ 19 มีนาคม โดยไม่สนใจแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกา ที่เคยเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่าจะลดการติดต่อด้านข่าวกรองลงหากเยอรมนี ใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ยในโครงข่าย 5จี ในประเทศ


    นายโจเชน โอมันน์ ประธานสำนักงานโครงข่ายสื่อสารแห่งรัฐ (บีเอ็นเอ) ของประเทศเยอรมนี ระบุว่า ไม่ว่าผู้ร่วประมูลจะมาจากสวีเดนหรือจีน บริษัทเหล่านั้นต้องผ่านมาตรฐาน และผ่านการตรวจสอบด้านความปลอดภัย


    สำหรับการประมูลในการก่อสร้างโครงข่าย 5จี ของประเทศเยอรมนีนั้น บริษัทเข้าร่วมประมูลจะต้องเข้าพัฒนาโครงข่าย 5จี ให้เข้าถึงครัวเรือนชาวเยอรมนีคิดเป็นสัดส่วนถึง 98 เปอร์เซ็นต์ ครอบคลุมเส้นทางหลวงและทางรถไฟทั้งหมด


    Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์


    - https://www.dw.com/en/huawei-and-germany-5g-relationship-status-is-complicated/a-47964044
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,974
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_0784.JPG
    (Mar 19) “ฮ่องกง-สิงคโปร์-ปารีส” ครองแชมป์ร่วมเมืองค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก: สำนักข่าวต่างประเทศรายงานผลการจัดอันดับค่าครองชีพของอิโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต (อีไอยู) ประจำปี 2019 โดยในปีนี้เมืองที่รั้งแชมป์ค่าครองชีพแพงที่สุดในโลกสำหรับชาวต่างชาติ ได้แก่ สิงคโปร์ ฮ่องกง และปารีส ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีของการสำรวจดังกล่าวที่มี 3 เมืองใหญ่ครองแชมป์ค่าครองชีพที่แพงที่สุดในโลกร่วมกัน


    ดิอีโคโนมิสต์ได้ทำการสำรวจ 133 เมืองใหม่ ในด้านของราคาสินค้าและบริการมากกว่า 400 รายการ จาก 160 ผลิตภัณฑ์ รวมถึงอาหาร เครื่องดื่ม เสื้อผ้า ของใช้ในครัวเรือน และของใช้ส่วนตัว รวมถึงโรงเรียนเอกชน ความช่วยเหลือในประเทศ และค่าใช้จ่ายด้านสันทนาการ


    สำหรับ 10 อันดับเมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลกมีดังนีอันดับ 1 สิงคโปร์ , ฮ่องกง และปารีอันดับ 4 ซูริก (สวิตเซอร์แลนด์)


    อันดับ 1 สิงคโปร์ , ฮ่องกง และปารีสอันดับ 5 เจนีวา (สวิตเซอร์แลนด์) และโอซาก้า (ญี่ปุ่น) อันดับ 7 กรุงโซล (เกาหลีใต้), โคเปนเฮเกน (เดนมาร์ก) และนิวยอร์ก (สหรัฐ) และอันดับ 10 เทลอาวีฟ (อิสราเอล) และลอสแองเจลิส (สหรัฐ)


    ส่วนเมืองที่มีค่าครองชีพถูกที่สุดในโลกคือ กรุงการากัส ประเทศเวเนซุเอลา


    สำหรับเมื่อปีที่ผ่านมา “สิงคโปร์” ครองแชมป์ค่าครองชีพแพงที่สุดในโลกอันดับ 1 เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน ส่วนฮ่องกง อยู่ในอันดับที่ 4 และปารีส อยู่อันดับที่ 2


    Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์


    https://www.straitstimes.com/singap...aris-are-the-most-expensive-cities-to-live-in
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,974
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_0785.JPG
    (Mar 19) โบอิ้งสะท้านสหรัฐ ย้ำจุดบอดใหญ่การ : เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั่วโลกต่างกลับมาตื่นตัวเรื่องความปลอดภัยทางการบิน หลังเกิดกรณีเครื่องบินรุ่นโบอิ้ง 737 แม็กซ์ 8 ของสายการบินเอธิโอเปียนแอร์ไลน์สตกหลังขึ้นบินได้เพียง 6 นาที เป็นเหตุให้เสียชีวิตยกลำ 157 ราย



    อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นห่างจากครั้งก่อนหน้านี้เพียง 6 เดือน เมื่อเครื่องบินรุ่น 737 แม็กซ์ 8 ของ สายการบินไลอ้อนแอร์ของอินโดนีเซีย ตกหลังขึ้นบิน 13 นาที เมื่อเดือน ต.ค.ปีที่ผ่านมา จนทำให้มีผู้เสียชีวิต ยกลำ 189 ราย เหตุการณ์ล่าสุดส่งผลให้สายการบินทั่วโลกจากกว่า 40 ชาติต่างระงับการใช้เครื่องบินรุ่น 737 แม็กซ์ 8 และแม็กซ์ 9 อีกรุ่นที่คล้ายกัน ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย อุบัติเหตุใหญ่ทั้งสองครั้งไม่เพียงส่งผลกระทบแค่ต่อบริษัทโบอิ้งเท่านั้น แต่ยังปลุกความกังขาเกี่ยวกับจุดบอดมาตรฐานความปลอดภัยทางการบินของสหรัฐ



    โบอิ้งนั้นไม่ได้เป็นเพียงเอกชนด้านการบิน แต่ยังกลายเป็นหนึ่งในความเป็น "อเมริกัน" ไปแล้ว เพราะมีบทบาทสำคัญในการทำให้สหรัฐผงาดขึ้นเป็น 1 ใน 2 ผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดของโลกในอุตสาหกรรมการบินเคียงคู่ไปกับยุโรป ซึ่งมีแอร์บัสเป็นบริษัทการบินยักษ์ใหญ่ของภูมิภาค ความเป็นอเมริกันอันเข้มข้นของโบอิ้งยังสะท้อนออกมาจากรายได้ของโบอิ้งที่มาจากแผ่นดินสหรัฐมากที่สุด อยู่ที่ 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.39 ล้านล้านบาท) เมื่อปีงบการเงิน 2018 จึงคงกล่าวได้ว่าโบอิ้งเป็นยักษ์เอกชนที่มีความสำคัญอย่างมากต่อสหรัฐ



    ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจว่าวิกฤตล่าสุด ทำให้ทั่วโลกหันสปอตไลต์ไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างโบอิ้งและสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐ (เอฟเอเอ) ซึ่งเป็นหน่วยงานเซตมาตรฐานการบินระดับนานาชาติ โดยก่อนหน้านี้เอฟเอเอประกาศว่าไม่พบ ปัญหาที่ระบบของโบอิ้ง ขณะที่หลายชาติเริ่มประกาศระงับการใช้งานเครื่องบินรุ่น 737 แม็กซ์ไปแล้ว แต่ไม่กี่วันต่อมาเอฟเอเอก็ยอมประกาศระงับการใช้เครื่องบินรุ่นดังกล่าว



    ไม่เพียงเท่านั้นความกังขาต่อ เอฟเอเอยังเพิ่มขึ้นเมื่อทางการเอธิโอเปีย เปิดเผยว่า ผลการวิเคราะห์กล่องดำในขั้นต้นพบว่าอุบัติเหตุของเอธิโอเปียนแอร์ไลน์สและไลอ้อนแอร์มีความคล้ายคลึงกัน โดยเครื่องบินที่เกิดอุบัติเหตุทั้งสองครั้งเป็นรุ่นแม็กซ์ 8 และตกหลังจากนักบินรายงานปัญหาเรื่องการควบคุมเครื่องไม่กี่นาทีหลังขึ้นบินเหมือนกัน



    ล่าสุดนั้น วอลสตรีท เจอร์นัล รายงานอ้างแหล่งข่าวว่า กระทรวงคมนาคมสหรัฐกำลังสอบสวนกระบวนการรับรองความปลอดภัยเครื่องบินรุ่นโบอิ้ง 737 แม็กซ์ของ เอฟเอเอ โดยมุ่งการสอบสวนไปที่ซอฟต์แวร์ระบบควบคุมการบิน MCAS (Maneuvering Characteristics Augmentation System) และรายงานระบุว่า มีการออกหมายเรียกผู้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเครื่องบินรุ่น 737 แม็กซ์ อย่างน้อย 1 ราย



    แม้ทางเอฟเอเอเปิดเผยว่า กระบวนการรับรองความปลอดภัย ดังกล่าว "ดำเนินการเป็นอย่างดีและเป็นไปตามมาตรฐานของเอฟเอเอ" แต่ความลักลั่นของเอฟเอเอ ทำให้หลายฝ่ายมองว่าเอฟเอเอไม่ได้มีอำนาจมากพอในการจัดการกับกรณีของโบอิ้ง



    ล่าสุดนั้น บลูมเบิร์กรายงานอ้างแหล่งข่าวว่า โบอิ้งมีอิทธิพลต่อการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยของเครื่องบินมาตั้งแต่เมื่อ 7 ปีที่แล้ว โดยรายงานระบุว่า เอฟเอเอให้อำนาจมากขึ้นกับยักษ์ผลิตเครื่องบิน ในการอนุมัติใช้เครื่องบินใหม่ ซึ่งรวมถึงการอนุญาตให้โบอิ้งเลือกบุคลากรของบริษัทจำนวนมากเข้าไปร่วมตรวจสอบการทดสอบความปลอดภัย



    นอกจากนี้ บลูมเบิร์กยังรายงานว่า ซอฟต์แวร์ควบคุมการบิน ซึ่งต้องสงสัยว่าส่งผลให้เครื่องบิน 737 แม็กซ์ตกนั้น ได้รับการรับรองโดยพนักงานของโบอิ้งจำนวนอย่างน้อย 1 ราย



    ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ลงนามให้เปลี่ยนแปลงกฎหมายเมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา อนุญาตให้ผู้ผลิตเครื่องบินสามารถยื่นเรื่องไปยังเอฟเอเอเพื่อขจัดข้อจำกัดในกระบวนการรับรองอุปกรณ์ที่ใช้ในเครื่องบิน โดยมีผลกับ "อุปกรณ์ที่มีความเสี่ยงระดับกลางและระดับต่ำ" หมายความว่าบริษัทผู้ผลิตมีอิสระมากขึ้นเกี่ยวกับมาตรฐานอุปกรณ์นั่นเอง



    ด้านนิวยอร์กไทมส์ รายงานว่า ความลักลั่นของเอฟเอเอกรณีโบอิ้งนั้นมาจากสายสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างโบอิ้งกับรัฐบาลสหรัฐ โดยโบอิ้งเป็นบริษัทคู่สัญญารายใหญ่ของรัฐบาล สะท้อนออกมาจากการที่คว้าสัญญาจากรัฐบาลไปได้มูลค่ากว่า 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 7.28 แสนล้านบาท) เมื่อปีงบ 2017 ซึ่งนิวยอร์กไทมส์ระบุว่า ตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าเอกชน รายอื่นๆ รวมถึงล็อกฮีด มาร์ติน คู่แข่งหลักในการชิงสัญญาด้านความมั่นคง



    รายงานระบุว่า การสร้างสายสัมพันธ์แนบแน่นกับรัฐบาลสหรัฐ ยังมาจากช่องโหว่ในการให้เงินสนับสนุนพรรคการเมือง ที่เป็นไปได้ว่าอาจก่อผลประโยชน์ทับซ้อนกับรัฐบาลสหรัฐ



    ในปี 1940 สหรัฐออกกฎหมายห้ามบุคคลหรือบริษัทบริจาคเงินในแคมเปญหาเสียงของรัฐบาลโดยตรง หากกำลังเจรจาหรือเป็นบริษัทคู่สัญญาของรัฐบาลกลาง เพื่อป้องกันบริษัทติดสินบนรัฐบาลหรือมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของรัฐบาล



    อย่างไรก็ดี ภายใต้กฎหมายช่วงทศวรรษ 1970 บริษัท สหภาพแรงงาน กลุ่มวิชาชีพหรือกลุ่มธุรกิจ และกลุ่มอิสระสามารถตั้งคณะกรรมการกิจการการเมือง (Political Action Committee : PAC) ขึ้นมาได้ เพื่อระดมทุนและใช้จ่ายเงินได้โดยไม่จำกัดจำนวน สำหรับสนับสนุนหรือโต้แย้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้งรายใดก็ตาม ซึ่ง นักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่าเป็น ช่องทางในการแผ่ขยายอิทธิพลต่อรัฐบาล



    นิวยอร์กไทมส์ระบุว่า คณะกรรมการกิจการการเมืองของโบอิ้ง และกลุ่มอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง บริจาคเงินกว่า 8.4 ล้านดอลลาร์ (ราว 260 ล้านบาท) สำหรับแคมเปญหาเสียงตั้งแต่ปี 2016



    ขณะเดียวกันปัญหาในการรับรองความปลอดภัยการบินอีกส่วนยังมาจากการที่เอฟเอเอไม่ได้รับงบและมีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอสำหรับกระบวนการตรวจสอบ โดยไฟแนนเชียลไทมส์ รายงานว่า รัฐบาลทรัมป์พยายามหั่นงบของเอฟเอเอมาแล้วหลายครั้ง ล่าสุดสะท้อนออกมาจากการเปิดเผยงบประมาณกลางเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า ที่จะตัดงบเอฟเอเออีก 400 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.2 หมื่นล้านบาท) จากงบทั้งหมด 1.75 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 5.5 แสนล้านบาท)



    กรณีล่าสุดของโบอิ้งครั้งนี้ จึงถือเป็นการตอกย้ำจุดบอดใหญ่ ของอุตสาหกรรมการบินสหรัฐ ซึ่งสะเทือนภาพลักษณ์ประเทศ ผู้กำหนดมาตรฐานการบิน ครั้งใหญ่ที่สุดครั้ง หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยไปด้วย


    โดย นรินรัตน์ พรหมพิทักษ์


    Source: Posttoday


    เพิ่มเติม

    - Boeing’s C.E.O. Speaks: ‘Our Hearts Are Heavy’ : https://www.nytimes.com/2019/03/18/business/boeing-737-max-ceo.html
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,974
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_0786.JPG
    (Mar 19) การส่งออกญี่ปุ่นลดลงสามเดือนติดกัน : การส่งออกของญี่ปุ่นลดลงเป็นเดือนที่สามติดต่อกันในเดือนกุมภาพันธ์ เป็นสัญญาณชี้ว่ามีความตึงเครียดมากขึ้นต่อเศรษฐกิจที่พึ่งพาการค้า และอาจบีบให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อลดผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้าและการชะลอตัวลงของดีมานด์จากภายนอก ในท้ายที่สุด



    ญี่ปุ่นกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับชาติอื่น ๆ ซึ่งกิจกรรมของโรงงานและความเชื่อมั่นของธุรกิจลดลง ในขณะที่มีความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจทั่วโลกมากขึ้น



    ข้อมูลจากกระทรวงการคลังญี่ปุ่นเมื่อวันจันทร์ชี้ว่า การส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์ลดลง 1.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และยังลดลงมากกว่า 0.9% ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ที่รอยเตอร์สำรวจมาคาดการณ์ไว้ และเทียบกับเดือนมกราคมซึ่งก็ลดลงอย่างรุนแรง 8.4%



    ข้อมูลนี้ออกมาหลังจากที่การส่งออกในเดือนมกราคมก็ลดลงอย่างรุนแรง 8.4% จึงทำให้เป็นเดือนที่สามติดต่อกันแล้วที่การส่งออกลดลง โดยเป็นเพราะว่าการส่งออกรถยนต์ เหล็กกล้า และอุปกรณ์ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ลดลง



    ทาเกชิ มินามิ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของโนรินชูกิน รีเสิร์ช อินสติติว กล่าวว่า การส่งออกไปยังประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ และยุโรป ยังมั่นคงอยู่ แต่การส่งออกไปยังจีนและเอเชีย ซบเซาอย่างชัดเจน การส่งออกจะยังคงมีแนวโน้มลดลงในขณะนี้ ซึ่งอาจควบคุมการใช้จ่ายเงินทุนและค่าแรง เศรษฐกิจภายในประเทศจะเจอกับสถานการณ์ที่มีความรุนแรงก่อนที่ญี่ปุ่นจะขึ้นภาษีการขายในเดือนตุลาคม



    ข้อมูลการค้านี้ออกมาหลังจากที่ดัชนีอื่น ๆ ก็ซบเซาเช่นกัน เช่น อัตราผลผลิตของโรงงานและการใช้จ่ายเงินทุน จึงได้เพิ่มความกังวลว่าการเติบโตของญี่ปุ่นหลังสงครามโลกอาจจะยุติลงแล้ว และนักวิเคราะห์บางคนกล่าวว่า ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าญี่ปุ่นอาจจะเกิดภาวะถดถอยได้



    ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางญี่ปุ่นได้ลดประมาณการเกี่ยวกับการส่งออกและอัตราผลผลิต แต่ในขณะเดียวกันก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงนโยบาย อย่างไรก็ดี การส่งออกที่ลดลงตอนนี้ อาจกดดันให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นต้องผ่อนคลายนโยบายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่เงินเฟ้อยังคงต่ำกว่าเป้าหมาย 2% และมีแรงกดดันต่อธุรกิจและผู้บริโภคเพิ่มขึ้นต่อไป



    ในการแถลงข่าวหลังการประชุมนโยบายเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ฮารุฮิโกะ คูโรดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น ได้ยอมรับว่ามีความท้าทายหลายอย่างต่อเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้ระบุว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมใด ๆ หรือไม่



    อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่นอาจจะต้องเปลี่ยนแปลงนโยบาย เนื่องจากดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจหลายตัวซบเซาลง



    เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นหลายคนได้คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะฟื้นตัวจากความซบเซาในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยสันนิษฐานว่าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนสามารถทำให้ดีมานด์ในจีนฟื้นตัวได้ สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ได้จำกัดการค้าโลกแล้ว แต่ข้อมูลการค้าเมื่อวันจันทร์ชี้ว่า การส่งออกของญี่ปุ่นไปยังจีนซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่สุดของญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 5.5% ในเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากการส่งออกรถยนต์และอุปกรณ์ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ฟื้นตัวจากเดือนมกราคม ซึ่งลดลง 17.4%



    อย่างไรก็ดี การค้าโดยรวมกับจีนยังลดลงแม้ว่าหลังจากที่ได้เฉลี่ยผลกระทบของวันหยุดตรุษจีนแล้ว โดยญี่ปุ่นส่งออกไปยังจีนลดลง 6.3% ในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ มูลค่าการค้าทั้งหมดซึ่งปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วเพิ่มขึ้น 6.7% ในเดือนกุมภาพันธ์เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งที่สุดในรอบสองปี โดยปริมาณการส่งออกในเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ลดลง 0.6% หลังจากที่ลดลง 9.0% ในเดือนมกราคม การส่งออกมายังเอเชียซึ่งมีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของการส่งออกทั้งหมด ลดลง 1.8% โดยลดลงเป็นเดือนที่สี่ติดต่อกัน



    ส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2% แต่การนำเข้าจากสหรัฐฯ ก็เพิ่มขึ้น 4.9% ซึ่งส่งผลให้ญี่ปุ่นได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ ลดลง 0.9% เมื่อเทียบปีต่อปี โดยมีมูลค่า 624,900 ล้านเยน ในเดือนกุมภาพันธ์ อย่างไรก็ดี ญี่ปุ่นยังคงได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ มาก ซึ่งทำให้ผู้กำหนดนโยบายของญี่ปุ่นและผู้ส่งออกรถยนต์กังวลว่ารัฐบาลวอชิงตันอาจจะเก็บภาษีนำเข้าจากญี่ปุ่น



    การนำเข้ารถยนต์ญี่ปุ่นมีสัดส่วนประมาณสองในสามของการได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ 69,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้รัฐบาลโตเกียวและปักกิ่งตกเป็นเป้าในการโจมตีจากทรัมป์



    ในเดือนกุมภาพันธ์ ญี่ปุ่นส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเพียง 0.5% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยมีจำนวน 152,198 คัน และมีมูลค่าในการส่งออกลดลง 6.8%


    Source: ข่าวหุ้น

    - Japan's exports slump again on weak external demand, putting central bank on notice : https://www.japantimes.co.jp/news/2...and-putting-central-bank-notice/#.XJDLbCIzaUk
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,974
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_0787.JPG
    (Mar 19) ดอยช์แบงก์-คอมเมิร์ซแบงก์'เจรจาควบรวมจริง หากตกลงกันได้จะขึ้นเป็นธนาคารอันดับสามในยุโรป : ดอยช์แบงก์และคอมเมิร์ซแบงก์ ยืนยันแล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่ากำลังเจรจาเกี่ยวกับการควบรวมกิจการ สหภาพแรงงานหวั่นตกงานร่วม 30,000 คน ขณะที่นักวิเคราะห์สงสัยถึงข้อดีของการควบรวม บอร์ดทั้งสองธนาคารกำหนดประชุม 21 มีนาคมนี้ หากรวมสำเร็จจะขึ้นเป็นธนาคารอันดับสามของยุโรป รองจากเอชเอสบีซีและบีเอ็นพี ปาริบาส สองธนาคารใหญ่สุดของเยอรมนีได้ออกแถลงการณ์สั้น ๆ หลังการประชุมคณะกรรมการบริหารของแต่ละฝ่ายเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ว่าจะเร่งดำเนินการเกี่ยวกับควบรวมกิจการ แต่ก็เตือนว่าข้อตกลงนี้ยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก



    แถลงการณ์ของดอยช์แบงก์ระบุว่า คณะกรรมการบริหารของดอยช์แบงก์ ได้ตัดสินใจที่จะพิจารณาทางเลือกกลยุทธ์ต่าง ๆ เนื่องจากมีโอกาสมากขึ้น โดยคริสเตียน ซออิ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของดอยช์แบงก์ กล่าวกับพนักงานว่า ดอยช์แบงก์มีเป้าหมายที่จะยังคงเป็นธนาคารระดับโลกที่มีธุรกิจแข็งแกร่งในตลาดทุนและมีเครือข่ายทั่วโลก แต่ก็มีหลาย ๆ ปัจจัยที่อาจจะยับยั้งการควบรวมได้



    โฆษกดอยช์แบงก์คาดการณ์ว่า การเจรจาอาจใช้เวลาสักระยะ ขณะที่คอมเมิร์ซแบงก์กล่าวว่า ผลการเจรจายังเปิดกว้างอยู่ อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าการเปิดเผยอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการเจรจาจะเพิ่มโอกาสที่ได้สรุปข้อตกลง ข่าวนี้ได้ออกมาครั้งแรกเมื่อปี 2559 ก่อนที่ทั้งสองธนาคารเลือกที่จะปรับโครงสร้างแทน รัฐบาลเยอรมนีได้ผลักดันให้รวมกิจการกัน เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของดอยช์แบงก์ ซึ่งทำกำไรอย่างยั่งยืนได้อย่างลำบากนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินปี 2551



    รัฐบาลเยอรมนีซึ่งได้เข้าไปถือหุ้นคอมเมิร์ซแบงก์มากกว่า 15% หลังจากที่ได้เข้าไปช่วยเหลือทางการเงิน ต้องการให้มีธนาคารแห่งชาติเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจที่มีการส่งออกเป็นตัวนำ นอกจากนี้ รัฐบาลเบอร์ลินยังต้องการให้คอมเมิร์ซแบงก์อยู่ในมือของคนเยอรมัน เนื่องจากเป็นธนาคารซึ่งเน้นการปล่อยกู้ให้กับบริษัทขนาดกลาง ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจ



    ธนาคารที่ควบรวมกันแล้วน่าจะใหญ่เป็นอันดับสามในยุโรปโดยเป็นรองจากเอชเอสบีซีและบีเอ็นพี ปาริบาส โดยมีสินทรัพย์เช่นเงินกู้และการลงทุนประมาณ 1.8 ล้านล้านยูโร และมีมูลค่าตลาดประมาณ 25,000 ล้านยูโร



    อย่างไรก็ดี มีความสงสัยเกี่ยวกับการควบรวมนี้ เยอร์ฮาร์ด ชิค นักเคลื่อนไหวด้านการเงิน ซึ่งเป็นอดีตสมาชิกรัฐสภาเยอรมนี กล่าวว่า เขาไม่เห็นว่าจะทำให้ได้ธนาคารแห่งชาติ แต่จะได้ธนาคารซอมบี้ที่ง่อนแง่นจนอาจทำให้กลายเป็นหลุมฝังศพหลายพันล้านยูโรสำหรับรัฐบาลเยอรมนี



    ในขณะที่ธนาคารทั้งสองแห่งไม่ได้พูดถึงการควบรวมอย่างเปิดเผยจนกระทั่งวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โอลาฟ ชอล์ซ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ยืนยันเมื่อวันจันทร์ว่า กำลังมีการเจรจา ส่วนกระทรวงการคลังเยอรมนีได้ยอมรับการประกาศควบรวมเมื่อวันอาทิตย์ และกล่าวว่ายังคงติดต่อกับทุกฝ่ายอยู่เป็นประจำ



    อย่างไรก็ดี มีสัญญาณว่าจะมีการคัดค้านทางการเมือง โดย ส.ส.จากพรรคคริสเตียน โซเชียล ยูเนียน (ซีเอสยู) ซึ่งเป็นพรรคน้องในแคว้นบาวาเรียของพรรคคริสเตียน เดโมเครติค ยูเนียน (ซีดียู) ของนายกรัฐมนตรีแองเจลา แมร์เคิล ได้เรียกร้องให้รัฐบาลขายหุ้นคอมเมิร์ซแบงก์ ซึ่งถือหุ้นอยู่ 15% ก่อนที่จะทำข้อตกลง



    คณะกรรมการบริหารของทั้งสองธนาคารมีกำหนดการที่จะประชุมในวันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคมนี้ แหล่งข่าวที่รับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์คาดว่าจะมีการหารือเกี่ยวกับสถานภาพของการเจรจาควบรวม ธนาคารที่รวมกันแล้วจะใหญ่เป็นอันดับห้าในตลาดธนาคารรายย่อย ขณะนี้ทั้งสองธนาคารมีพนักงานทั่วโลก 140,000 คน โดยดอยช์แบงก์ มี 91,700 คน ขณะที่คอมเมิร์ซแบงก์ มี 49,000 คน สหภาพแรงงานเวอร์ดี ของเยอรมนี ได้ออกมาคัดค้านการควบรวมอีกครั้ง โดยกล่าวว่า พนักงานเกือบสามหมื่นคนมีความเสี่ยงที่จะตกงาน และการควบรวมไม่ได้เพิ่มมูลค่า



    ดอยช์แบงก์ได้รอดพ้นจากวิกฤติการเงินแต่ในภายหลังได้ลดความแข็งแกร่งลงมาก เจ้าหน้าที่เยอรมนีกลัวว่าภาวะถดถอยหรือการเสียค่าปรับจำนวนมากอาจยับยั้งการฟื้นตัวของดอยช์แบงก์ได้



    นอกเหนือจากดอยช์แบงก์แล้ว คอมเมิร์ซแบงก์ เป็นธนาคารใหญ่รายเดียวที่ยังคงจดทะเบียนในตลาดเยอรมนี หลังจากที่มีการควบรวมหลาย ๆ ชุด ธนาคารได้หาทางฟื้นตัวอย่างยากลำบาก เจ้าหน้าที่เยอรมนี กล่าวว่า เป็นธนาคารที่เปราะบางต่อการฮุบกิจการจากต่างชาติ หากมีธนาคารระหว่างประเทศเข้ามาแข่งก็จะเพิ่มการแข่งขันให้กับดอยช์แบงก์



    นักวิเคราะห์มีปฏิกิริยาด้วยความสงสัยต่อข้อตกลงนี้ โดยกล่าวว่ามีประโยชน์ต่อดอยช์แบงก์อย่างจำกัด โดยเพิ่มลูกค้าในธุรกิจธนาคารรายย่อยและธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอย่างจำกัด และไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่าเยอรมนีไม่ได้มีธนาคารเรือธงที่สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ และยังคงเป็นธนาคารที่มีปัญหามาก ยกตัวอย่างเช่น คอมเมิร์ซแบงก์ มีตราสารหนี้ประมาณ 30,800 ล้านยูโร ซึ่งเป็นพันธบัตรอิตาลีถึง 27,700 ล้านยูโร การควบรวมอาจทำให้เกิดการขาดทุนได้


    Source: ข่าวหุ้น

    ความคืบหน้าล่าสุด

    - Deutsche Bank loaned more than $2 billion to Trump over two decades: NYT - https://www.cnbc.com/2019/03/19/deu...ion-to-donald-trump-over-two-decades-nyt.html
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,974
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_0788.JPG
    (Mar 19) ประธาน EU เตือนสถานการณ์ Brexit ไม่แน่นอน ไม่อาจคาดการณ์ผลการประชุมสัปดาห์นี้: นายจอร์จ ซิแอมบา รัฐมนตรีฝ่ายกิจการยุโรปของโรมาเนีย ซึ่งเป็นประธานสหภาพยุโรป (EU) ในปีนี้ กล่าวว่า หลายสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในการประชุมสุดยอด EU ในสัปดาห์นี้


    นายซิแอมบากล่าวว่า "เรื่องใหญ่ที่สุดในขณะนี้คือสถานการณ์กำลังมืดมนลงเรื่อยๆ โดยเราจำเป็นที่จะต้องได้รับความชัดเจนจากอังกฤษ"

    มีการคาดการณ์กันว่า นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะเรียกร้องให้ EU ขยายกำหนดเส้นตายในการแยกตัวของอังกฤษออกจาก EU จากเดิมที่มีกำหนดในวันที่ 29 มี.ค.


    รัฐสภาอังกฤษลงคะแนนเสียงท่วมท้นเมื่อวันที่ 14 มี.ค. เรียกร้องให้ EU ขยายกำหนดเวลาการแยกตัวของอังกฤษออกไป 3 เดือน หรือจนถึงวันที่ 30 มิ.ย. จากเดิมมีกำหนดในวันที่ 29 มี.ค. แต่ข้อเรียกร้องนี้จะต้องได้รับฉันทามติจากสมาชิกทั้ง 27 ชาติของ EU ในการประชุมวันที่ 21-22 มี.ค.


    Source -อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ


    https://www.cnbc.com/2019/03/19/eur...ted-and-frustrated-with-uk-brexit-action.html
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,974
    ค่าพลัง:
    +97,149
    แพร่ก็โดน‼️ พายุฤดูร้อนถล่มจ.แพร่ กลางดึก ต.แม่ยางร้อง อ.ร้องกวางโดนหนัก บ้านเรือนเสียหายกว่า 200 หลังคาเรือน ⛈

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,974
    ค่าพลัง:
    +97,149
    IMG_0789.JPG

    ไม่มีการเข้ารับอิสลามที่นิวซีแลนด์ !!!

    ตามที่มีการกล่าวอ้างกันในสังคมโซเชี่ยลว่ามีการเข้ารับอิสลามกันที่นิวซีแลนด์เป็นจำนวน 350 คนนั้น เป็นเรื่องหลอกลวง ไม่เป็นความจริง และไม่มีมูลความจริงเลยสักนิด!!!

    โดยแอดมินขอวิจารณ์รูปที่มีการแชร์กันอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์กันขณะนี้ โดยอ้างอิงจากต้นทางตามลิ้งค์ที่แนบมา



    รูปแรกคนถือกรุอ่านมีมาตั้งแต่ปี 2017

    ดูได้จากอันนี้



    รูปที่สองคนใส่แว่น

    รูปนี้มีตั้งแต่ปี 2016

    เช็คกันได้ที่

    https://www.google.com/search?tbs=s...z4YK--064SR4vsPaogJKrI-5apNlOY0WJ4ZJnX35lNziw

    ส่วนรูปสุดท้ายไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย

    ข้อมูลเก่าสุดเพียงวันที่ 4 มกราต้นปี แต่เหตุการณ์เกิดเดือนมีนาคม

    https://www.google.com/search?tbs=s...z4YK--064SR4vsPaogJKrI-5apNlOY0WJ4ZJnX35lNziw

    ส่วนอีกรูปหนึ่งที่เอาไปอ้างๆกัน และเว็บไซต์ตัวการที่เผยแพร่ข่าวปลอมๆนี้เป็นเจ้าแรก ไม่ใช่สำนักข่าวเลย ไม่สามารถสืบแหล่งที่มาเจ้าของได้ โดยอ้างอิงที่มาจากโพสนี้



    แอดมินได้ลองเช็คเลข IP ดูว่ามาจากประเทศที่เกิดเหตุการณ์หรือไม่ แต่ก็พบว่าที่อยู่ผู้ให้บริการนั้นอยู่อเมริกา คนละทวีปเจ้าถิ่นเลย แล้วมารู้ดีได้ยังไงว่ามันคนเข้ารับอิสลามกะนที่นิวซีแลนด์ทั้งๆที่คนในประเทศยังไม่รู้

    https://checkip.thaiware.com/?ip=+172.217.21.65

    ส่วนรูปที่ปรากฎในเว็บนั้นก็หลอกลวง โกหก

    รูปมีตั้งแต่ปี 2017 แต่นี่ปี 2019 แล้ว

    http://aboutislam.net/muslim-issues/australia/rugby-hijab-captures-attention-new-zealand/

    สรุปคือ

    ข่าวทั้งหมดนั้นหลอกลวงทั้งสิ้น ถ้าเป็นข่าวจริง ข่าวมันควรมาจากประเทศเกิดเหตุโดยตรงก่อน ไม่ใช่อินเดีย ปากีฯ เพราะผู้ที่เล่นข่าวนี้ส่วนมากมาจากฝั่งนี้แทบทั้งสิ้น คนที่เล่นข่าวนี้เป็นพวกเเถวนี้ล้วนๆ และเว็บที่เล่นข่าวนี้เป็นมุสลิมที่ไม่น่าเชื่อถือสักเว็บไซต์เดียว เชื่อไม่ได้สักอย่างเลยครับ

    แอดมินปล่อยผ่านเรื่องโกหกจอมปลอมเหล่านี้ไม่ได้เลยครับ เพราะอัลลอฮ์ได้สั่งใช้ไว้ว่า :

    { كُنتُمْ خَيْرَ أُمَّةٍ أُخْرِجَتْ لِلنَّاسِ تَأْمُرُونَ بِالْمَعْرُوفِ وَتَنْهَوْنَ عَنِ الْمُنكَرِ }

    “พวกเจ้านั้นเป็นประชาชาติ อันประเสริฐสุดที่ถูกให้กำเนิดขึ้นมาเพื่อมนุษยชาติ ด้วยการที่พวกเจ้าสั่งเสียในความดี หักห้ามยับยั้งจากความชั่ว”

    ท่านควรเป็นมุสลิมที่มีสติปัญญาและไตร่ตรอง ไม่ใช่ผู้ที่โง่เขลาที่แชร์ทุกเรื่องโดยไม่มีการยั้งคิด ไม่อย่างนั้นอัลลอฮ์จะให้สมองเราแตกต่างจากสัตว์ไปเพื่ออะไร

    มีคำกล่าวหนึ่งซึ่งเป็นคำกล่าวที่แอดมินชอบมากๆ มันเป็นคำกล่าวที่บ่งบอกถึงตัวตนมุสลิมในปัจจุบันเป็นอย่างดี

    إذا نزل مؤمن وكافر إلى البحر فلا ينجو إلا من تعلم السباحة ..فالله لا يحابى الجهلاء .. فالمسلم الجاهل سيغرق والكافر المتعلم سينجو .

    “เมื่อผู้ศรัทธาเเละผู้ปฏิเสธไปยังทะเลจะไม่มีใครรอด ยกเว้น คนที่ว่ายน้ำเป็นเท่านั้น

    มุสลิมที่โง่เขลาจะจมน้ำตาย ส่วนผู้ปฏิเสธที่เรียนว่ายน้ำมาจะปลอดภัย”

    ฉนั้นท่านจะเป็นผู้ที่มีความคิดไตร่ตรอง หรือผู้ที่โง่เขลาก็อยู่ที่ท่านเลือกครับ

    والله أعلم بالصواب.

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,974
    ค่าพลัง:
    +97,149
    dlf05180362p1-728x485.jpg
    สัญญาณเตือน 9 โรคอันตรายในช่องท้อง ปวดแบบไหนควรระวัง วันที่ 19 March 2019 - 20:13 น.
    อวัยวะภายในช่องท้อง ไม่ว่าจะเป็นกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก ตับ ถุงน้ำดี ท่อน้ำดี ตับอ่อน ล้วนเป็นอวัยวะภายในที่สำคัญ เริ่มตั้งแต่ที่เรารับประทานเข้าไป รวมทั้งย่อยและขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย เมื่อใดก็ตามที่อวัยวะเหล่านี้ทำงานผิดปกติ
    ย่อมส่งสัญญาณเตือนอันตรายออกมา ที่สังเกตได้ง่ายคือ อาการปวดท้อง ซึ่งเราไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะแม้อาการปวดเพียงเล็กน้อยก็อาจมีภาวะผิดปกติอย่างร้ายแรงที่เราคาดไม่ถึงก็เป็นได้

    นพ.คมเดช ธนวชิระสิน ศัลยแพทย์ด้านการผ่าตัดผ่านกล้องและส่องกล้อง รพ.กรุงเทพ กล่าวว่า โรคในช่องท้องแต่ละโรคมีอาการแสดงถึงความผิดปกติ เช่น การปวดท้องที่คล้ายคลึงกันจนหลาย ๆ ครั้งอาจได้รับการวินิจฉัยผิดพลาดหรือผู้ป่วยนิ่งนอนใจคิดว่าเป็นเพียงโรคกระเพาะ จนได้รับการวินิจฉัยล่าช้าและส่งผลอันตรายได้

    จริง ๆ แล้วอาการปวดท้องในแต่ละโรคนั้นไม่เหมือนกัน ต้องอาศัยการสังเกตและความชำนาญของแพทย์เฉพาะทางในการวินิจฉัย รวมทั้งการตรวจสุขภาพด้วยการเจาะเลือดเพียงอย่างเดียวก็อาจไม่พบความผิดปกติ การเข้ารับการตรวจภายในช่องท้องด้วยการอัลตราซาวนด์จึงนับเป็นทางเลือกที่ดี เพื่อการวินิจฉัยให้การรักษาเป็นไปอย่างทันท่วงที

    นพ.คมเดชให้ข้อมูลอีกว่า โรคในช่องท้องที่พบได้บ่อย ได้แก่ 1.นิ่วในถุงน้ำดี สัญญาณเตือนเบื้องต้น คือ ท้องอืด แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย แต่จะไม่ปวดแสบเหมือนโรคกระเพาะ ผ่านไปสักพักคนไข้จะรู้สึกดีขึ้นเองจนบางครั้งอาจเข้าใจผิดว่ากินแค่ยาลดกรดขับลมก็หาย แต่หากในกรณีที่ปล่อยทิ้งไว้ถึงขั้นถุงน้ำดีอักเสบอาการอาจรุนแรงขึ้นได้ เช่น คนไข้จะมีอาการปวดจุก ๆ ขยับตัวไม่ได้ หายใจเข้าก็เจ็บ เพราะเวลาหายใจเข้ากระบังลมจะดันลงต่ำจนไปดันถุงน้ำดีที่อักเสบอยู่ ปวดชายโครงขวาหรือร้าวไปหลัง และอาจเกิดเป็นหนองและติดเชื้อในกระแสเลือดได้ หรือถ้านิ่วหลุดและหล่นลงมาอุดตันบริเวณท่อน้ำดี คนไข้จะมีอาการไข้หนาวสั่น ตัวเหลือง ตาเหลือง เกิดการอักเสบติดเชื้อของทางเดินท่อน้ำดี ต้องได้รับการผ่าตัดเร่งด่วนและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น และหากมีนิ่วค้างอยู่เป็นเวลานาน อาจกระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็งท่อน้ำดีได้

    2.ไส้เลื่อนหน้าท้อง ขาหนีบ คือการที่ผนังกล้ามเนื้ออ่อนแอลง หรือความดันในช่องท้องมากขึ้น ทำให้เกิดการหย่อนหรือฉีกขาด ส่งผลให้อวัยวะในช่องท้องเคลื่อน อาการของไส้เลื่อนคือคนไข้จะปวดท้องแบบจุก ๆ รู้สึกแน่น ๆ บริเวณใกล้ ๆ ก้อน หากสังเกตว่ามีส่วนใดบริเวณหน้าท้องหรือขาหนีบนูนขึ้นมาเป็นก้อนผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ หากเป็นอาการจากไส้เลื่อนไม่สามารถหายได้เอง ถ้าปล่อยทิ้งไว้มีโอกาสที่จะรุนแรงหรือมีความยุ่งยากในการผ่าตัดมากขึ้น เช่น ลำไส้เน่า หรืออุดตันเพราะลำไส้ไม่สามารถกลับเข้าไปได้ โดยคนไข้จะมีอาการปวดที่ก้อนมาก อาเจียน ปวดท้องแบบบีบ ๆ ถ่ายไม่ออก

    3.ไส้ติ่งอักเสบ เกิดจากเศษอาหารอุดตันไส้ติ่ง อาการในช่วงแรกจะคล้ายคลึงกับโรคกระเพาะ ต้องอาศัยการซักประวัติตรวจอย่างละเอียด โดยคนไข้จะมีอาการเบื้องต้น คือ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ร่วมกับอาการปวดท้องบริเวณลิ้นปี่หรือกลางท้อง ต่อมาผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการปวดบริเวณท้องน้อยด้านขวามากขึ้นหรือร้าวไปด้านหลังก็ได้ ขึ้นกับตำแหน่งการวางตัวของไส้ติ่ง หากอาการปวดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คนไข้มักขยับตัวไม่ค่อยได้ จะรู้สึกเจ็บมาก เริ่มมีไข้ ซึ่งอาการปวดไส้ติ่งไม่สามารถหายเองได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจจะทำให้ไส้ติ่งแตก เป็นอันตรายได้ ทั้งนี้ ควรสังเกตตนเองหากมีอาการปวดท้องด้านขวาสักพักแล้วไม่หาย และยังมีอาการเจ็บเพิ่มขึ้นควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว

    4.แผลในกระเพาะอาหาร/ลำไส้อักเสบ คนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบมักมีอาการปวดท้องทั้งก่อนและหลังรับประทานอาหาร แต่จะค่อย ๆ หายไปเมื่อรับประทานอาหารเข้าไปสักพัก ไม่สบายท้องส่วนบน เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ รู้สึกเหมือนมีลมในท้องมาก คลื่นไส้ อาเจียน ส่วนโรคลำไส้อักเสบ อาการเบื้องต้นคือ อาการแสบท้อง คนไข้จะมีอาการแสบท้องก่อนรับประทานอาหาร แต่เมื่อได้ทานเข้าไปแล้วจะมีอาการดีขึ้น การวินิจฉัยโรคทำได้โดยการส่องกล้องเพื่อตรวจหาความผิดปกติที่เกิดภายในลำไส้

    5.กรดไหลย้อน อาการเบื้องต้นของโรค เช่น เรอเปรี้ยว ปวดแสบปวดร้อนในช่องท้องส่วนบนไปถึงบริเวณกลางอก บางคนอาจมีอาการไอ สะอึก เจ็บคอบ่อย ๆ ก็มีสาเหตุมาจากโรคกรดไหลย้อนได้เช่นกัน

    6.ตับอ่อนอักเสบ จะมีอาการปวดท้องและคลื่นไส้อาเจียนมาก โดยเฉพาะคนที่ดื่มเหล้าหนัก ๆ จะมีอาการปวดท้องจนต้องงอตัวเพื่อให้ความปวดทุเลาลง ซึ่งมักพบบ่อยในเพศชาย สามารถตรวจวินิจฉัยด้วยอาการอัลตราซาวนด์

    7.ตับอักเสบ อาการที่พบโดยส่วนใหญ่ คือ มีไข้และปวดท้องด้านบนขวา ตัวเหลืองขึ้น การวินิจฉัยโดยการเจาะเลือดช่วยให้พบค่าการทำงานของตับผิดปกติได้

    8.กระเปาะลำไส้ใหญ่โป่งพองอักเสบ ผู้ป่วยมักมีประวัติท้องผูกเรื้อรัง อาการที่พบมักเป็นการปวดท้องบริเวณด้านล่างขวา หรือด้านล่างซ้าย นอกจากนี้ เมื่อปล่อยทิ้งไว้อาจมีการแตก หรือการอุดตัน หรือถ่ายเป็นเลือดได้ การรักษาเริ่มตั้งแต่การให้ยาไปจนถึงการผ่าตัด

    9.โรคทางนรีเวช อาการสังเกตคือ การปวดบริเวณท้องน้อยด้านล่าง ตรงกลางหรืออาจจะซ้ายและขวา อาจเป็นการส่งสัญญาณเตือนของโรคที่เกี่ยวกับมดลูก หรือปีกมดลูก หรือการสังเกตความผิดปกติของประจำเดือน เช่น ประจำเดือนมามากหรือน้อยผิดปกติ มากระปริดกระปรอย คุณผู้หญิงควรเข้ารับการตรวจภายในหรืออัลตราซาวนด์เพื่อวินิจฉัยความผิดปกติที่เกิดขึ้น

    https://www.prachachat.net/spinoff/health/news-304174
     

แชร์หน้านี้

Loading...