ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    John Traczyk
    19 ส.ค. 2019 ผนังสั้น ๆ ของพลังงานจักรวาล cosmic energy เพิ่งตีโลก
    August 19, 2019. Brief wall of cosmic energy just hit us.


    c_oc=AQnGjiVrJefK1SeuGg8yUHTbbns_UWR0C2S91MQkGONSsSmP3NjRgoatf2747heqwXs&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg

    c_oc=AQl2DbvgQu8LIecxTh7h7SIpYdAG3NiKdekNoF2KbQCQCeCCsr1toa2Zryd5gO9oBIY&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg

    _oc=AQmUWmzpdmv3ki0Twd-kDUa27syrncYhqrJm-P0ksmbnoAMw4AcG9oYhpslSucGbeok&_nc_ht=scontent.fbkk17-1.jpg

    _oc=AQn3o-_AYZZhi2OqGiUqcG-bw23cqbw_os86RlxgC46tMorTMGgYJVuB2sHlB_N4iFo&_nc_ht=scontent.fbkk17-1.jpg
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Desastres Naturales con Marcelo Moncayo Theurer


    เหลือเชื่อ
    กลางวันกลายเป็นกลางคืน. เที่ยงวันในเซาเปาโล บราซิล

    2019/08/19

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Conexão GeoClima

    มันเป็นความมืดที่น่าอัศจรรย์ในเมือง Juquitiba ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเมืองหลวงของเซาเปาโลช่วงบ่ายของวันจันทร์นี้ (19/08) ผ่าน Jornal ตอนนี้มันเป็นเรื่องจริงจัง

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Conexão GeoClima

    16 ชั่วโมงในวันจันทร์นี้ (19) ในเซาเปาโล ผลลัพธ์ของความหนาวเย็นและควันที่มาจากการเผาไหม้ที่เกิดขึ้นในอเมซอน
    แท็ก: #conexaogeoclima
    c_oc=AQlcEdo2-fM3WaKFnPwXz64dxeOdg5WolXmfRejv_eydR1xjLTuweSk5sWKFgLwzF4o&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    อุกกาบาตตกลูกไฟยักษ์สว่างเจิดจ้าท้องฟ้าอิตาลี
    วันที่ 19 สิงหาคม 2562 - 07:17 น.
    bkei8iiaba5feabb9558b.jpg

    ปรากฏการณ์จากท้องฟ้าที่น่าตื่นตาตื่นใจ บันทึกได้จากกล้องหน้ารถคันหนึ่งที่กำลังเดินทางอยู่บนถนนใกล้กับ ตอร์เร กรันเด เกาะซาร์ดิเนีย แหล่งท่องเที่ยวดังในเมติเตอร์เรเนียน ประเทศอิตาลี เมื่อคืนวันศุกร์ ( 16 ส.ค.)

    a8ea8ikdaaegcf9bgbdbf.jpg

    คลิปแสดงให้เห็น ลูกไฟหินอวกาศหลังระเบิดในชั้นบรรยากาศโลก ก่อนแสงวาบขยายตัวอย่างรวดเร็ว ส่องสว่างทั่วท้องฟ้ามืดมิดในเขตชนบท นอกจากนี้ ยังมีผู้เห็นปรากฏการณ์เดียวกันอีกมากมายตลอดชายฝั่ง

    9dTUwk1r3gRstcu5?format=jpg&name=small.jpg



    ศูนย์สังเกตการณ์ Puig Des Molins ในอิบิซา ประเทศเพื่อนบ้านสเปน ก็จับภาพอุกกาบาตได้ในอีกมุมหนึ่ง ขณะที่สำนักงานป้องกันภัยพลเรือนกาตาลัน แจ้งว่าได้รับโทรศัพท์แจ้งพบเห็นลูกไฟ 55 สาย

    f9jb86a978f5acfda8ed6.jpg


    อุกกาบาตมักไม่น่าวิตกสำหรับนาซาและหน่วยงานเฝ้าระวังทางท้องฟ้า เพราะสะเก็ดดาวขนาดใหญ่แรกเริ่มจะเผาไหม้จนเกือบหมดขณะเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก แต่ได้เพิ่มการศึกษาและป้องกันโลกจากดาวเคราะห์น้อย ที่อาจเป็นอันตราย


    http://www.komchadluek.net/news/for...Vwb1jtBG9QrTvwURyZ5pw7X1qEmPnIhDCJ0_K9OoCt2t4
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ชิลีต้องผลิตหิมะเทียม ปีนี้แทบไม่มี โลกร้อนละลายจนเกือบหมด !!
    1D3D6160B4F74679893D9831779D6677.jpg
    ในเวลานี้เป็นช่วงฤดูหนาวของซีกโลกใต้ เช่น ในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี และอาร์เจนตินา แต่เนื่องจากภาวะโลกร้อนที่รุนแรงอย่างหนักทำให้หิมะที่ชิลีน้อยลงเรื่อยๆ จนสนามเล่นสกีในชิลีต้องผลิตหิมะเทียมเพื่อให้บริการนักสกีทั้ๆ ที่อยู่ในช่วงฤดูหนาว

    เมื่อไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา เทือกเขาแอนดีสมีหิมะตกหนัก และมักจะถูกฝังอยู่ใต้หิมะหนาถึง 4 เมตร ทำให้ต้องปิดเส้นทางสัญจรจนเป็นเรื่องปกติ แต่ในปีนี้หิมะตกแค่ 3 ครั้งบนเทือกเขาแอนดีสของชิลีและหิมะยังมีความหนาไม่เกิน 30 เซนติเมตร

    ราอูล กอร์เดโร แห่งมหาวิทยาลัยซานติอาโกกล่าวว่า ไม่ใช่แค่ชิลีที่ได้รับผลกระทบ แต่เทือกเขาแอนดีสทั้งหมด ซึ่งทอดตัวผ่านหลายประเทศ และปกคลุมด้วยหิมะช่วงตอนกลางของเทือกเขา มีประมาณหิมะลดลงประมาณ 5-10% ทุกๆ 10 ปี และไม่ใช่แค่หิมะปกคลุมเท่านั้นที่ลดลง ความหนาของหิมะปกคลุมก็ลดลงเช่นกัน โดยลดลงถึง 10%

    อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น ทำหิมะละลายเร็วขึ้น แนวหิมะตามยอดเขายิ่งหดตัวลง โดยเห็นได้เด่นชัดยิ่งขึ้นในเขตภาคกลาง เนื่องจากมลพิษจากเมืองหลวงของชิลี ซึ่งเป็นหนึ่งในเขตเมืองที่มีการปนเปื้อนของมลภาวะมากที่สุดในภูมิภาค จากการศึกษาของกอร์เดโร พบว่า คาร์บอนดำจากเมืองหลวงของชิลีลอยไปตกลงที่เทือกเขาแอนดีส และทำให้หิมะละลายเร็วยิ่งขึ้น

    ปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้สนามเล่นสกีของชิลีมีหิมะไม่เพียงพอ และในช่วงฤดูหนาวนี้ไม่มีหิมะเลย ทำให้ต้องใช้อุปกรณ์ผลิตหิมะเทียมสาดเกล้ดหิมะให้เต็มพื้นที่เพื่อที่จะสามารถรองรับสันทนาการได้

    เฟร์นันโด มอนเตเนโกร ผู้อำนวยการบริษัท Andacor ซึ่งบริหารสถานีสกี El Colorado และ Parque Farellones บอกกับ AFP ว่า “ศูนย์สกีทั้งหมดในเขตภาคกลางไม่มีหิมะตามธรรมชาติเลย อย่างไรก็ตาม ด้วยการทำหิมะเทียม เราจึงสามารถเปิดให้บริการได้ ถ้าไม่มีหิมะเทียม เราคงจะไม่สามารถเปิดทำการได้”

    https://www.posttoday.com/world/598...wIBVV6XD6Vg41JevtWzVEY2XlB3Js6RBZ0hddPMfUK4l0

    https://www.facebook.com/848427585498903/posts/940036703004657/
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Forex Investor Trader Survivor

    ญี่ปุ่นยังไม่รอด ส่งออกทรุดฮวบ8เดือนติด
    c_oc=AQkHJSMkhXuGnaDjPRcIkjh7G_wn4yzF0U9spbo8t59FbOksMr76P15iP2mBVfTvopE&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg
    การส่งออกของญี่ปุ่นในเดือนกรกฎาคมปรับลดลง โดยเป็นการปรับลดติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของเอเชีย โดยในเวลานี้ประเทศที่ได้รับผลกระทบแล้วคือสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไทย รวมถึงฮ่องกง
    ข้อมูลกระทรวงการคลังพบว่า การส่งออกและการนำเข้าในเดือนกรกฎาคมลดลงเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว โดยการส่งออกลดลง 1.6% ในขณะที่การนำเข้าลดลง 1.2% ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุล 249,600 ล้านเยนหรือ 2,350 ล้านเหรียญสหรัฐ

    ตลาดโลกตกอยู่ความปั่นป่วนเนื่องจากสงครามการค้าของระหว่างทรัมป์กับจีน นอกจากนี้การชะลอตัวของจีนยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อประเทศต่างๆ ในเอเชีย รวมถึงญี่ปุ่น นอกจากนี้ ญี่ปุ่นเผชิญกับกับข้อพิพาททางการค้ากับเกาหลีใต้อีกด้วย
    เฉพาะการส่งออกของญี่ปุ่นไปยังประเทศจีนในเดือนกรกฎาคมลดลง 9.3% ในขณะที่การนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น 2.8% การส่งออกของญี่ปุ่นไปยังสหรัฐอเมริกาในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 8.4% ในขณะที่การนำเข้าจากสหรัฐเพิ่มขึ้น 3.5% ส่วนการส่งออกของญี่ปุ่นไปยังเกาหลีใต้ในเดือนกรกฎาคมลดลง 6.9% ในขณะที่การนำเข้าลดลง 8.6%

    Cr: Posttoday

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    มารา กล้วยตานี

    _oc=AQmnG4M7qJaAUEuJoqcygoUsIgtKYl2CZSOppBTaXXmOlYLjoyMKh7XG5nNE_cQvugI&_nc_ht=scontent.fbkk17-1.jpg
    คำวินิจฉัย(ฟัตวา)ของอินโดนีเซีย กับปาตานีไม่เหมือนกัน เพราะปาตานีถูกล่าอาณานิคมโดยกลันตัน
    วันประกาศเอกราชอินโดนีเซีย (Indonesia Independence Day) หรือวันชาติอินโดนีเซีย (17 สิงหาคม 1945/2488)
    สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ( Republic of Indonesia) ประกาศตนเป็นเอกราชจากการปกครองของประเทศเนเธอร์แลนด์ ในวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2488 และได้กำหนดให้ วันที่ 17 สิงหาคมของทุกปีเป็นวันชาติ
    คำฟัตวาหรือคำวินิจฉัยจากอูลามะอฺ(ผู้รู้ทางอิสลาม) เกี่ยวกับการต่อสู้กับนักล่าอาณานิคมผู้ยึดครอง (อินโดนีเซียภายใต้อธิปไตยฮอลันดา)
    1. มุสลิมทุกคน จะอายุมาก อายุน้อย แม้ว่าเขาจะเป็นคนจนก็ตาม เขาจะต้อง(วายิบ)ทำสงครามกับกาฟิรฮอลันดา ที่ขัดขวางการต่อสู้เพื่อเอกราชอินโดนีเซีย
    2. คนที่เสียชีวิตจากการต่อสู้เพื่อเอกราช เขาสมควรที่จะถูกเรียกว่าซูฮาดาอฺ(شُهَداء)/ซาฮีดหรือเสียชีวิตในหนทางของอัลลอฮ (ซบ.)
    แต่คำวินิจฉัย(ฟัตวา)ของอินโดนีเซียกับปาตานี(ภาคใต้ของไทย)ไม่เหมือนกัน เพราะปาตานีถูกล่าอาณานิคมโดยกลันตัน และประเทศไทยยึดจากกลันตันได้ จึงปกครองปาตานีโดยเสรีภาพ และมีความเป็นธรรม

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มลดดอกเบี้ยรอบใหม่ รับมือสงครามเย็นทางการค้า
    16 สิงหาคม 2019

    THAIPUBLICA_cover-web13082562.jpg

    รอบใหม่แห่งการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มแล้ว รับมือสงครามเย็นทางการค้า หลังความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยืดเยื้อ ทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว

    ในช่วง 10 ปีก่อนธนาคารทั่วโลกต่างพากันลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงวิกฤติการเงินโลกที่มีสาเหตุจากการล่มสลายของเลห์แมนบราเทอร์สถาบันการเงินชั้นนำในสหรัฐฯ ปลายปี 2008 พร้อมกับฉีกแนวการดำเนินนโยบายการเงินแบบเดิมด้วยการอัดฉีดเงินหรือที่รู้จักกันดีว่า quantitative easing หรือ มาตรการ QE เข้าระบบเศรษฐกิจจำนวนมากมหาศาล จนทำให้เศรษฐกิจโลกพลิกฟื้นกลับมาเป็นบวกได้อีกในปี 2010 จากที่ติดลบกว่า 1% ปี 2009 และในปีเดียวกันเศรษฐกิจประเทศหลักติดลบ 3.3% แต่ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาขยายตัว 2.3%

    ธนคารกลางสหรัฐฯ หรือ Federal Reserve เริ่มมาตรการ QE เดือนพฤศจิกายน 2008

    นับจากปี 2010 ที่เศรษฐกิจโลกกลับมาขยายตัว 5.4% เศรษฐกิจประเทศหลักขยายตัว 3.1% ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาขยายตัว 7.4% นั้น เศรษฐกิจโลกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่อัตราดอกเบี้ยโลกก็ยังคงอยู่ในระดับต่ำ เพราะโอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวยังมีอยู่ และบางประเทศก็ประสบกับเศรษฐกิจถดถอยเป็นช่วงๆ ใน 3-4 ปีก่อนได้เห็นธนาคารกลางส่วนใหญ่ปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากปี 2556 ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มลดการใช้มาตรการ QE กระนั้นมีธนาคารกลางบางประเทศปรับลดอกเบี้ยลง

    ปี 2558 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยลดดอกเบี้ยติดต่อกัน 2 ครั้งคือเดือนมีนาคมลดลง 0.25% มาที่ 1.75% และลด 0.25% เดือนเมษายนมาที่ 1.50% จากนั้นได้คงอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องจนมาถึงวันที่ 7 สิงหาคม 2562 ที่ได้ลดดอกเบี้ยลด 0.25%

    ปี 2558 ยังเป็นปีแรกที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นดอกเบี้ยมาที่ 0.25-0.50% ในเดือนธันวาคมหลังเศรษฐกิจฟื้นตัวและคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ 0.25% จากการลดดอกเบี้ยในวันที่ 17 ธันวาคม 2559 แต่ในช่วงแรกยังเป็นการขึ้นดอกเบี้ยแบบเป็นช่วง (target range)

    นับจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง โดยวันที่ 14 ธันวาคมปี 2559 ปรับขึ้นดอกเบี้ยมาที่ 0.50-0.75% วันที่ 14 มิถุนายน ปีเดียวกันปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกมาที่ 1.00-1.25% วันที่ 13 ธันวาคม 2560 ปรับดอกเบี้ยมาที่ 1.25-1.50% ส่วนในปี 2561 ปรับขึ้นดอกเบี้ยรวม 3 ครั้ง คือวันที่ 21 มีนาคม 2561 ขึ้นดอกเบี้ยมาที่ 1.50-1.75 % วันที่ 13 มิถุนายนปรับขึ้น 0.25% มาที่ 1.75-2.00 % เป็นครั้งแรกที่เลิกปรับขึ้นดอกเบี้ยแบบ target range และวันที่ 19 ธันวาคม ขึ้นดอกเบี้ยมาที่ 2.25-2.50%

    การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ประเทศกำลังพัฒนา และประเทศเศรษฐกิจหลัก เริ่มเห็นมากในปลายปี 2560 เช่น Monetary Authority ฮ่องกง, ธนาคารกลางเกาหลีใต้, ธนาคารกลางแคนาดา และธนาคารกลางอังกฤษที่ปรับขึ้นดอกเบี้ยมาที่ 0.50% ในวันที่ 2 พฤศจิกายน จนต่อเนื่องถึงปี 2561 ที่ได้เห็นธนาคารกลางอินโดนีเซีย ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ ธนาคารกลางตุรกี ธนาคารกลางอินเดีย เฉพาะเดือนกันยายนเดือนเดียวมีธนาคารกลางถึง 16 ประเทศที่ขึ้นดอกเบี้ย เช่นเดียวกับเดือนพฤศจิกายนที่มีการขึ้นดอกเบี้ยตลอดทั้งเดือน

    THAIPUBLICA_jobGP-13082562-620x620.jpg

    สงครามการค้าป่วนโลก
    ปี 2562 ซึ่งเป็น 11 ปีให้หลัง ธนาคารกลางพากันจับมือลดดอกเบี้ยอีกครั้งหนึ่งเป้าหมายก็ยังเหมือนเดิมคือ กระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ครั้งนี้สาเหตุของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจกลับไม่ใช่วิกฤติการเงินอีกแล้ว เพราะธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงิน ภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแล ได้เสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบการเงินไว้อย่างหนาแน่น แม้จะมีบางจุดบางประเทศที่ความเปราะบางบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก

    ปัญหาหลักที่สร้างความปั่นป่วนให้กับเศรษฐกิจโลกในขณะนี้คือ ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่เริ่มขึ้นในปี 2018 วันที่ 7 กุมภาพันธ์ สหรัฐฯ เก็บภาษีเป็นการทั่วไปในอัตรา 30% จากแผงโซลาร์นำเข้า (วงเงิน 8.5 พันล้านดอลลาร์) ยกเว้นจากแคนาดา และเก็บภาษีเครื่องซักผ้านำเข้า (วงเงิน 1.8 พันล้านดอลลาร์) ในอัตรา 20%

    ทั้งสองฝ่ายมีการตอบโต้กันไปมา จนวันที่ 23 มีนาคมสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมในอัตรา 15-25% ยกเว้นอาร์เจนตินา ออสเตรเลีย บราซิล และเกาหลีใต้ วันที่ 2 เมษายน จีนตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้า 128 รายการในอัตรา 15-25% วันที่ 3 เมษายนสหรัฐฯ เปิดเผยสินค้า 1,334 รายการที่อยู่ในข่ายเก็บภาษี 25% วันรุ่งขึ้นจีนประกาศเก็บภาษีสินค้า 106 รายการในอัตรา 25%

    วันที่ 16 เมษายนสหรัฐฯ กล่าวหาบริษัท ZTE จากจีนว่าฝ่าฝืนมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ และสั่งห้ามบริษัทสหรัฐฯ ทำธุรกิจกับ ZTE วันที่ 17 เมษายน จีนประกาศมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดเก็บภาษี 178.6% จากข้าวฟ่างนำเข้าจากสหรัฐฯ

    เดือนพฤษภาคม 2561 ทั้งสองประเทศตกลงที่จะเจรจาแก้ไขความขัดแย้งทางการ แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ทำให้ปลายเดือนสหรัฐฯ กลับมาใช้มาตรการภาษีอีกรอบ ขณะที่มีการเจรจาต่อเนื่อง แต่ในวันที่ 6 มิถุนายน สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนโดยตรงในวงเงิน 34 พันล้านดอลลาร์จาก 818 รายการในอัตรา 25% ซึ่งจีนตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้า 545 รายการ ในวงเงินที่เท่ากันและอัตราภาษีเท่ากัน

    แม้จะมีช่วงหยุดพักเพื่อการเจรจาการค้ากัน แต่ความตึงเครียดทางการค้าก็เริ่มรุนแรงมากขึ้น เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2562 สหรัฐฯ นำชื่อบริษัทหัวเว่ยจากจีนไว้ในบัญชีต้องห้าม หรือ entity list มีผลให้หัวเว่ยไม่สามารถซื้อสินค้าจากบริษัทสหรัฐฯ ได้เลยหากไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐฯ

    เดือนมิถุนายนที่ผ่านมาทั้งสองประเทศยังคงใช้มาตรการทางภาษีตอบโต้ระหว่างกัน และสหรัฐฯ ใส่ชื่อบริษัทจีนเพิ่มเติมใน entity list อีก 5 ราย แต่ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศ G-20 ที่ญี่ปุ่นปลายเดือนมิถุนายน สหรัฐฯ กับจีนหันมาเจรจาการค้ารอบใหม่ และสหรัฐฯ เริ่มผ่อนปรนให้หัวเว่ย

    แต่การเจรจาแก้ไขความขัดแย้งทางการค้าไม่มีความคืบหน้า จนวันที่ 1 สิงหาคม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มในวงเงิน 300 พันล้านดอลลาร์ ในอัตรา 10% ซึ่งมีผลวันที่ 1 กันยายนนี้ ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยการปล่อยค่าเงินหยวนให้อ่อนค่าลงต่ำกว่าระดับ 7 หยวนต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่มีนัยสำคัญทางจิตวิทยา รวมทั้งสั่งให้รัฐวิสาหกิจทุกแห่งระงับการซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ

    วันที่ 6 สิงหาคม สหรัฐฯ ประกาศให้จีนอยู่ในรายชื่อประเทศที่แทรกแซงค่าเงิน นับจากนั้นธนาคารกลางจีน หรือ People Bank of China ได้กำหนดอัตรากลางเงินหยวนที่ระดับต่ำกว่า 7 หยวนต่อดอลลาร์ต่อเนื่อง

    ในวันที่ 14 สิงหาคม 2562 สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ประกาศเลื่อนการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนออกไปจากวันที่ 1 กันยายนเป็น 15 ธันวาคมนี้ พร้อมตัดสินค้าบางประเภทออกจากบัญชีที่จะถูกเก็บภาษีออกไป แต่ธนาคารกลางจีนยังกำหนดอัตรากลางเงินหยวนไว้ที่ต่ำกว่า 7 หยวนต่อดอลลาร์

    THAIPUBLICA_jobGP-13082562_3-620x620.jpg

    ถ่วงเศรษฐกิจโลกโตต่ำ
    สงครามการค้าระหว่างประเทศใหญ่ทางเศรษฐกิจที่ยืดเยื้อนานกว่าปี มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกให้ชะลอตัวลงอย่างมาก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund — IMF) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกลงเป็นระยะ โดยในเดือนตุลาคม 2561 ไอเอ็มเอฟได้ลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกปี 2561 และ 2562 ลงมาที่ 3.7% จากที่คาดการณ์ไว้ในเดือนกรกฎาคมว่าจะเติบโต 3.9% ทั้งสองปี

    ต่อมาในรายงานเศรษฐกิจเดือนมกราคม 2562 ไอเอ็มเอฟคงการคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจโลกปี 2561 ไว้ที่ 3.7% แต่ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกปี 2562 ที่ 3.5% ส่วนปี 2563 จะขยายตัว 3.6% ลดลงจากเดือนตุลาคมที่ประมาณการณ์เดิม 0.1%

    เดือนเมษายนที่ผ่านมา ไอเอ็มเอฟได้ลดประมาณการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกปี 2562 ลงอีกเป็น 3.3% ต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2559

    สาเหตุหลักมาจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน รวมทั้งสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในประเทศใหญ่

    เมื่อเดือนกรกฎาคม รายงานไอเอ็มเอฟระบุว่าเศรษฐกิจโลกยังชะลอตัว โดยคาดว่าจะขยายตัว 3.2% ในปี 2562 แต่จะดีขึ้นเป็น 3.5% ในปี 2563 ซึ่งก็ยังต่ำกว่าประมาณการณ์เดิมที่มองไว้ในเดือนเมษายน

    การลดประมาณการณ์ครั้งนี้เป็นผลจากการที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 200 พันล้านดอลลาร์สูงขึ้นจาก 10% เป็น 25% ในเดือนพฤษภาคมและจากการตอบโต้ของจีน

    สำหรับประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้าคาดว่าจะขยายตัว 1.9% ในปีนี้และ 1.7% ในปี 2563 และได้ปรับเพิ่มประมาณการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ขึ้น 0.3% เป็น 2.6% แต่ปี 2563 จะชะลอตัวลงมาที่ 1.9%

    ไอเอ็มเอฟคาดว่า ยูโรโซนจะขยายตัว 1.3% ในปี 2562 และ 1.6% ในปี 2563 ส่วนญี่ปุ่นคาดว่าจะขยาย 0.9% ในปีนี้ แต่จะชะลอตัวลงในปีหน้าเติบโตเพียง 0.4%

    กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ประเทศกำลังพัฒนาคาดว่าจะขยายตัว 4.1% ในปีนี้และเติบโตขึ้นอีกในปีหน้าที่ 4.7% แต่ก็เป็นอัตราที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา

    สำหรับจีนผลกระทบทางลบจากการภาษีที่สูงขึ้นและความต้องการจากต่างประเทศที่อ่อนตัวลง ได้เพิ่มแรงกดดันให้กับเศรษฐกิจท่ามกลางการชะลอตัวเชิงโครงสร้างและการดำเนินการสร้างความเข้มแข็งทางนโยบายเพื่อจัดการกับภาระหนี้ที่สูง จึงคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 6.2% ในปีนี้และ 6.0% ในปี 2563 ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา 0.1%

    THAIPUBLICA_jobGP-13082562_2-620x620.jpg

    ดอกเบี้ยต่ำช่วยได้แค่ไหนนานเท่าไร
    อัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือที่ธนาคารกลางจะใช้ในการดำเนินนโยบายการเงิน เพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจและควบคุมเงินเฟ้อ โดยในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำเงินเฟ้อต่ำ ธนาคารกลางจะลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจและดอกเบี้ยที่ต่ำจะกระตุ้นการใช้จ่ายทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น แต่ในช่วงเศรษฐกิจขยายตัวร้อนแรงและอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นมาก ธนาคารกลางจะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจและจำกัดการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อ

    เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำให้หลายธนาคารกลางในหลายประเทศและในหลายภูมิภาคได้ลดดอกเบี้ยลงเพื่อรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเงิน

    การลดอัตราดอกเบี้ยใน 10 ปีก่อนธนาคารกลางสหรัฐฯ เป็นผู้นำ แต่การลดดอกเบี้ยครั้งนี้กลับปล่อยธนาคารกลางประเทศเล็ก นำหน้าไปหลายเดือน แต่กระนั้น การลดดอกเบี้ยของเฟดในวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติ 8-2 เสียงลดดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.25%มาที่ระดับ 2.00-2.25% จากเหตุผลที่ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการลดดอกเบี้ย

    ก็นับเป็นการตัดริบบิ้นเปิดรอบใหม่ของการลดดอกเบี้ย ของธนาคารกลางทั่วโลก เพราะธนาคารกลางสหภาพยุโรป (European Central Bank — ECB) ธนาคารกลางญี่ปุ่น (Bank of Japan — BOJ) ต่างเปิดทางลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไป

    เมื่อแยกธนาคารกลางออกเป็นกลุ่มตามลักษณะทางภูมิศาสตร์ และลักษณะทางเศรษฐกิจแล้ว พบว่ากลุ่ม BRIC ที่ประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน ซึ่งถูกจับกลุ่มร่วมกันจากลักษณะทางเศรษฐกิจที่ใกล้เคียงกันนั้น ธนาคารกลางจาก 3 ประเทศแรกได้ลดดอกเบี้ยลงไปแล้ว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอินเดียที่ลดลงแล้ว 3 ครั้ง ทำให้ดอกเบี้ยลงมาอยู่ที่ 5.75% ณ วันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา

    ขณะที่ธนาคารจีน โดยนายอี้ กัง ผู้ว่าการธนาคาร PBOC กล่าวว่า จีนจะไม่ลดดอกเบี้ยตามธนาคารกลางสหรัฐฯและอัตราดอกเบี้ยขณะนี้อยู่ในระดับที่เหมาะสม การพิจารณาลดดอกเบี้ยจะประเมินจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก การลดดอกเบี้ยจะทำเพื่อแก้ไขปัญหาความเสี่ยงที่จะเกิดเงินฝืด แต่ขณะนี้จีนมีเงินเฟ้อเล็กน้อย

    สำหรับกลุ่มอาเซียน ธนาคารกลางมาเลเซียเป็นรายแรกที่ลดดอกเบี้ยลง 0.25% มาที่ 3.0% เพื่อพยุงค่าเงินริงกิตที่อ่อนค่าในเดือนพฤษภาคม ตามมาด้วย ธนาคารฟิลิปปินส์ ธนาคารอินโดนีเซีย ที่ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และธนาคารกลางของไทยในวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ส่วนธนาคารกลางเวียดนามระบุในต้นเดือนกรกฎาคมว่าอาจจะพิจารณาลดดอกเบี้ยหลายรอบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

    ขณะที่ในเอเชียธนาคารกลางที่ลดดอกเบี้ยลง คือ เกาหลีใต้ที่ลดเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี ส่วนธนาคารกลางออสเตรเลียลดดอกเบี้ยลงถึง 2 ครั้งภายใน 1 เดือนและอาจจะลดลงอีกเป็น 0.75% หลังจากเงินเฟ้อเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นเพียง 0.6%

    ส่วนกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ มีหลายประเทศที่ลดดอกเบี้ยได้แก่ ชิลี ตุรกี ศรีลังกา คอสตาริกา แอฟริกาใต้ ยูเครน ปารากวัย รวันดา คีร์กีซสถาน คาซัคสถาน อาร์เซอร์ไบจัน จอร์เจีย อียิปต์

    จะเห็นได้ว่าการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางในเอเชียเพื่อพยุงเศรษฐกิจที่ชะลอตัวนานนั้น สาเหตุหลักมาจากจีนที่ได้รับผลจากสงครามการค้า การส่งออกชะลอตัว เพราะเอเชียส่วนใหญ่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตของจีนต้องพึ่งพาการส่งออกไปจีน แม้ระยะสั้นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนส่งผลดีต่อบางประเทศ เช่น เวียดนาม จากการโยกย้ายฐานการผลิต แต่ความต้องการจากทั่วโลกที่ยังอ่อนแอก็มีผลทางลบที่สูงกว่า

    ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ยืดเยื้อยาวนาน ทำให้นักวิเคราะห์มองว่าอาจจะกลายเป็น สงครามเย็น

    การลดดอกเบี้ยรอบใหม่ของธนาคารกลางในเอเชียครั้งนี้ เพื่อตอบสนองต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำทำให้ธนาคารกลางสามารถลดอัตราดอกเบี้ยลงโดยไม่ต้องกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อนัก แสดงให้เห็นว่าธนาคารกลางประเทศกำลังพัฒนาและเศรษฐกิจเกิดใหม่มีความระมัดระวังต่อการดำเนินนโยบายการเงิน และมีกระสุนเพียงพอที่จะบริหารจัดการเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและมีความเสี่ยง

    แต่การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกจะช่วยพยุงเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหน และจะใช้ดอกเบี้ยต่ำได้นานแค่ไหน เพราะปัจจุบันดอกเบี้ยก็อยู่ในระดับต่ำมากอยู่แล้ว อีกทั้งขึ้นชื่อว่าสงครามเย็นแล้ว ไม่สามารถคาดเดาการสิ้นสุดได้ ขณะที่ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ยังมีปัญหาสภาพคล่องที่ตึงตัวและเงินไหลออก โดยในเดือนมิถุนายนกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่มีเงินไหลออกสุทธิติดลบ 35.8 พันล้านดอลลาร์ อันเป็นผลจากสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น

    ในช่วงที่โลกประสบวิกฤติเศรษฐกิจ ธนาคารกลางสหภาพยุโรปได้ใช้อัตราดอกเบี้ย 0% ในปี 2557 และธนาคารกลางญี่ปุ่นที่ใช้ดอกเบี้ยติดลบ (negative rate) ในปี 2559 เพื่อไม่ให้เงินเยนแข็งค่าจนกระทบเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออก

    มีความเป็นไปได้แค่ไหนที่โลกจะเห็นการใช้ดอกเบี้ย 0% หรือดอกเบี้ยติดลบในวงกว้างมากขึ้นเพื่อพยุงเศรษฐกิจ นอกเหนือจากธนาคารกลางสหภาพยุโรป ธนาคารกลางญี่ปุ่น ธนาคารกลางเยอรมนี และธนาคารกลางฝรั่งเศสที่ใช้ดอกเบี้ยต่ำกว่า 0% อยู่

    การเริ่มลดดอกเบี้ยรอบใหม่ของธนาคารกลางทั่วโลกนี้ จะรับมือกับยุคสงครามเย็นทางการค้าได้หรือไม่ ยังไม่มีความแน่ชัด เพราะความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจยังไม่มีแนวโน้มยุติ แต่กลับเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น

    นอกจากนี้ เงินเฟ้อก็ไม่ใช่สาเหตุหลักของการดำเนินนโยบายการเงินอีกต่อไป เพราะเงินเฟ้อโลกยังอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นการดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตในยุคสงครามการค้าจึงเป็นความท้าทายหลักของการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลกที่ยังติดหล่มดอกเบี้ยต่ำ

    THAIPUBLICA_jobGP-13082562_4-365x620.jpg

    https://thaipublica.org/2019/08/glo...S-dN_-CYJi6wLCD4sJyHqJlaZKd52-2WstdvHawiwGTeA
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ถามผู้ว่า กทม. สัมปทานเผาขยะ 20 ปี ผลิตไฟฟ้าขาย 20,000 ล้านบาท อยู่ไหน?
    16 สิงหาคม 2019

    THAIPUBLICA_cover15082562-1-620x324.jpg

    ถามผู้ว่า กทม. สัมปทานเตาเผาขยะ 20 ปี ผลิตไฟฟ้าขาย 20,000 ล้าน อยู่ไหน?

    จากเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรในกรุงเทพมหานคร ทำให้มีปริมาณขยะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นปัญหาขยะล้นเมือง ในแต่ละปีมีปริมาณขยะที่จัดเก็บได้ไม่ต่ำกว่า 3.6 ล้านตัน เฉลี่ยวันละ 10,000 ตัน โดยขยะที่รวบรวมได้จาก 50 เขตในกรุงเทพมหานคร จะถูกส่งไปที่ศูนย์กำจัดมูลฝอย 3 ได้แก่ ศูนย์กำจัดมูลฝอยหนองแขม, อ่อนนุช และสายไหม เพื่อส่งต่อไปให้เอกชนนำขยะไปกำจัดต่อ โดยมูลฝอยประมาณ 83% ของปริมาณขยะทั้งหมดจะถูกนำไปฝังกลบที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม และอำเภอพนมทวน จังหวัดฉะเชิงเทรา ปัจจจุบันมีพื้นที่ฝังกลบลดน้อยลงทุกวัน ขณะที่อีก 12 % ถูกส่งเข้าไปที่โรงงานหมักและบ่มเพื่อผลิตปุ๋ยอินทรีย์ที่ศูนย์กำจัดมูลฝอยอ่อนนุช และที่เหลือ 5% ส่งเข้าโรงงานกำจัดมูลฝอยผลิตไฟฟ้าเพื่อสิ่งแวดล้อมขนาด 300-500 ตันต่อวัน ณ ศูนย์กำจัดมูลฝอยหนองแขม ซึ่งเริ่มเปิดดำเนินเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2559 เป็นโครงการนำร่อง

    ตลอดปีงบประมาณ 2559 โรงงานกำจัดขยะหนองแขมสามารถกำจัดขยะได้ 92,600 ตัน และผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 5-8 เมกะวัตต์ต่อวัน แต่ก็ยังไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวัน ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2561 กทม.จึงออกประกาศเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมประมูลงานว่าจ้างเหมากำจัดมูลฝอยด้วยระบบเตาเผาที่มีขนาดไม่น้อยกว่า 1,000 ตันต่อวัน ด้วยวิธีประกวดราคาทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) เพิ่มเติมอีก 2 แห่ง ณ ศูนย์กำจัดมูลฝอยหนองแขมและอ่อนนุช มูลค่าโครงการแห่งละ 6,570 ล้านบาท รวม 2 โครงการคิดเป็นมูลค่า 13,140 ล้านบาท กำหนดยื่นข้อเสนอและราคาในวันที่ 21 มกราคม 2562 ที่ผ่านมา มีผู้ประมูลมายื่นซองประกวดราคาทั้งสิ้น 13 ราย

    %B8%99-%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87-620x414.jpg
    พล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
    ที่มาภาพ: http://www.bangkok.go.th/
    แต่ยังไม่ทันได้ประกาศชื่อผู้ประมูลงานที่ได้คะแนนสูงสุด 3 อันดับแรก รองผู้ว่า กทม.ก็ยื่นใบลาออกต่อ พล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง ถึง 2 คน รายแรก คือ นายจักกพันธุ์ ผิวงาม ซึ่งได้รับมอบหมายดูแลโครงการกำจัดมูลฝอยโดยตรง โดยให้เหตุผลว่าต้องการพักผ่อน ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่ว กทม.ถึงสาเหตุการลาออกของนายจักกพันธุ์ครั้งนี้ ว่าอาจจะถูกกดดันให้ลงนามอนุมัติผลการประมูลโครงการกำจัดขยะทั้ง 2 แห่ง ทั้งๆ ที่เรื่องนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตามที่มีข้อร้องเรียนจากภาคเอกชนว่าการจัดงานประมูลโครงการนี้อาจจะมีการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประมูลบางรายหรือไม่ อย่างไร

    ภายหลังนายจักกพันธุ์ยื่นใบลาออกและมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม 2562 วันรุ่งขึ้นปรากฏว่านายทวีศักดิ์ เลิศประพันธ์ รองผู้ว่า กทม.ในลำดับถัดมา ยื่นใบลาออกเป็นรายที่ 2 โดยไม่ทราบเหตุผล จึงเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอีกถึงสาเหตุการลาออกของนายทวีศักดิ์ ว่าน่าจะมาจากการที่นายทวีศักดิ์ต้องมารับผิดชอบงานประมูลเตาเผาขยะแทนนายจักกพันธุ์ ทำให้ พล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่า กทม. ต้องออกมาชี้แจงต่อสื่อมวลชน ยืนยันสาเหตุการลาออกของรองผู้ว่า กทม.ทั้ง 2 รายว่า “ไม่ใช่เรื่องเตาเผาขยะ เพราะไม่ว่าใครมาเป็นรองผู้ว่า กทม.ก็ต้องเซ็นอยู่ดี ถ้าให้ผมเซ็นคนเดียวก็ไม่ต้องมีรองผู้ว่า กทม. เหมือนนายกรัฐมนตรีที่มีรองนายกรัฐมนตรีเพื่อช่วยผ่อนงาน”

    นอกจากนี้ พล.ต.อ. อัศวิน ยังยืนยันว่า “การประมูลงานเตาเผาขยะครั้งนี้ไม่มีล็อกสเปกหรือเอื้อประโยชน์ให้ผู้ประมูลรายใด ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาผลการประกวดราคา คาดว่าจะได้ตัวผู้ชนะการประมูลภายในเดือนสิงหาคมนี้”

    ทั้งหมดนี้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

    ขณะที่หน่วยตรวจสอบอย่าง ป.ป.ช., ป.ป.ท. และ สตง. รวมทั้งสื่อมวลชน มุ่งประเด็นการตรวจสอบไปที่เรื่องการกำหนดสเปกของงาน และกระบวนการในการจัดซื้อจัดจ้าง โดยมีแหล่งข่าวระดับสูงจาก กทม.เปิดเผยถึงข้อมูลของศูนย์วิจัยการเผากากของเสีย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ที่ กทม.ว่าจ้างให้มาทำการศึกษาโครงการกำจัดมูลฝอยด้วยเตาเผาขยะที่ศูนย์กำจัดมูลฝอยหนองแขมและอ่อนนุช พร้อมอธิบายรายละเอียดของโครงการเตาเผาขยะมูลค่า 13,410 ล้านบาทว่า จริงๆ แล้วโครงการเตาเผาขยะที่หนองแขมและอ่อนนุชไม่ได้มีแค่รายได้จาก กทม.เฉพาะค่ากำจัดขยะหรือที่เรียกว่า “tipping fee” ตันละ 900 บาทเท่านั้น ซึ่งคนทั่วอาจไม่ทราบ นอกจากค่ากำจัดขยะแล้วผู้รับสัมปทานโครงการนี้ยังมีรายได้จากการผลิตไฟฟ้าเพื่อขายให้กับการไฟฟ้าอีกยูนิตละ 3.66 บาท กล่าวโดยสรุปคือผู้รับสัมปทานโครงการนี้จะมีรายได้ 2 ส่วน คือ

    ส่วนแรก คือ รายได้จากการรับจ้าง กทม.กำจัดขยะ ตันละ 900 บาท ซึ่งตาม TOR กำหนดให้ผู้รับสัมปทานต้องกำจัดขยะวันละไม่ต่ำกว่า 1,000 ตัน หมายความว่า ผู้รับสัมปทานจะมีรายได้ค่า tipping fee จาก กทม.วันละ 900,000 บาท ปีละ 328.5 ล้านบาท ตลอดอายุสัมปทาน 20 ปี มีรายได้ 6,570 ล้านบาทต่อโครงการ รวม 2 โครงการ ผู้รับสัมปทานจะมีรายได้ค่า tipping fee จาก กทม.ประมาณ 13,410 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขใกล้เคียงกับราคากลางหรือกรอบวงเงินงบประมาณตามประกาศของ กทม.

    THAIPUBLICA_jobGP-14082562_2-620x436.jpg

    ส่วนที่ 2 เป็นรายได้จากการขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้ายูนิตละ 3.66 บาท ตามที่ กทม.ชี้แจงก่อนหน้านี้ โดยข้อมูลศูนย์วิจัยการเผากากของเสีย มจพ.ระบุว่า โครงการนี้สามารถนำความร้อนที่ได้เผาขยะไปผลิตไอน้ำ ที่เรียกว่า “ไอดง” (superheated steam) เพื่อนำไปหมุนกังหันไอน้ำและเครื่องกำเนิดพลังงานไฟฟ้าได้ และเมื่อเดินเครื่องเผาทำลายขยะที่ค่าความร้อนสูงสุดจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 24 เมกะวัตต์ และสามารถจำหน่ายกระแสไฟฟ้าได้สูงสุด 19 เมกะวัตต์ ดังนั้นวิธีการคำนวณตัวเลขประมาณการรายได้จากการขายไฟฟ้า ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการเผาขยะ จึงต้องแปลงหน่วยวัดกำลังไฟฟ้าให้เป็นหน่วยเดียวกันกับที่กราไฟฟ้ารับซื้อ คือ 1 เมกะวัตต์ มีค่าเท่ากับ 1,000 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง

    โรงงานกำจัดขยะที่ กทม.กำลังจะก่อสร้าง แต่ละแห่งจะมีประสิทธิภาพในการเผาทำลายขยะไม่ต่ำกว่า 50 ตันต่อชั่วโมง ตาม TOR กำหนดโรงงานกำจัดขยะต้องเผาทำลายขยะวันละไม่น้อยกว่า 1,000 ตัน ดังนั้น ใน 1 วันจะใช้เวลาเผาไม่น้อยกว่า 20 ชั่วโมง พลังงานไฟฟ้า 1 เมกะวัตต์ หมายความว่าใน 1 ชั่วโมง สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้า 1,000 กิโลวัตต์

    ข้อมูลจากศูนย์วิจัยการเผากากของเสีย มจพ.ระบุว่า ผลิตกระแสไฟฟ้าขายได้สูงสุด 19 เมกะวัตต์ ก็นำมาคูณกับเวลาในการเผาขยะ 20 ชั่วโมง คูณกับตัวเลขกำลังไฟฟ้า 1,000 เพื่อแปลงหน่วยเป็นกิโลวัตต์ จะได้ผลลัพธ์เป็นกระแสไฟฟ้าที่โรงงานกำจัดขยะแต่ละแห่งผลิตได้ 380,000 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง นำมาคูณกับอัตราการรับซื้อไฟฟ้าตามโครงการของกรุงเทพมหานครที่ 3.66 บาทต่อกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง คาดว่าโรงงานกำจัดขยะของกทม.น่าจะมีรายได้จากการขายไฟฟ้าวันละประมาณ 1,390,800 บาท ปีละ 507 ล้านบาท หากสัมปทานอายุ 20 ปี ผู้รับสัมปทานน่าจะมีรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้าประมาณ 10,152 ล้านบาทต่อโครงการ รวม 2 โครงการ มีมูลค่าประมาณ 20,305 ล้านบาท

    สรุป ตัวเลขประมาณการรายได้ของผู้รับสัมปทานเตาเผาขยะในช่วง 20 ปีข้างหน้า คาดว่าจะมีรายได้รวมทั้งสิ้น 16,722 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้ค่า tipping fee จาก กทม.ประมาณ 6,570 ล้านบาท รายได้จากการผลิตกระแสไฟฟ้าขายให้กับการไฟฟ้าอีก 10,152 ล้านบาท แต่ถ้ารวม 2 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 33,445 ล้านบาท แบ่งเป็นค่า tipping fee ประมาณ 13,410 ล้านบาท และรายได้จากการขายไฟฟ้า 20,305 ล้านบาท

    แหล่งข่าวรายเดิมกล่าวว่า ขยะถือเป็นทรัพย์สินของสาธารณะ การนำทรัพย์สินของสาธารณะไปให้เอกชนใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตกระแสไฟฟ้าขายมีขนาดของมูลค่าโครงการหลายหมื่นล้าน จึงมีประเด็นคำถามตามมาการดำเนินการดังกล่าวได้ปฏิบัติตามแนวทางและวิธีการที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ 2560, พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ 2556 และ พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน 2562หรือไม่ อย่างไร และมีประเด็นที่จะถามต่อไปว่าการให้สัมปทานแก่เอกชนมีหลายรูปแบบ เช่น สัญญาสัมปทานแบบแบ่งปันผลผลิต (production sharing contract) หรืออาจจะกำหนดไว้ในสัญญาสัมปทานให้นำรายได้จากการผลิตกระแสไฟฟ้าขายมาชดเชย (subsidies) กับค่ากำจัดขยะ เหตุใด กทม.ตัดสินใจเลือกรูปแบบสัญญาสัมปทาน BOT (build-operate-transfer) โดยมอบหมายให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการทั้งการก่อสร้างและบริหารจัดการขยะเป็นเวลา 20 ปี เป็นประเด็นที่อยากจะฝากไปถามผู้ว่า กทม.

    %B8%94%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%A2%E0%B8%B0.jpg

    https://thaipublica.org/2019/08/waste-incinerator-bangkok/
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Climate Change กระทบฝั่งตะวันตกสหรัฐฯ เกิดโมเดล Water Marketing เกษตรกรขายน้ำให้เมืองใหญ่ 19 สิงหาคม 2019

    colorado-waterway-620x413.jpg
    แม่น้ำโคโลราโดที่ไหลผ่านอุทยานแห่งชาติแกรนด์แคนยอน ในแอริโซนา
    น้ำในภาคตะวันตกของสหรัฐฯ กำลังจะหมดลง ทำให้เกษตรกรในพื้นที่แห้งแล้งเลียบแม่น้ำโคโลราโดทำข้อตกลงขายน้ำแลกรับเงินสดกับเมืองใหญ่

    การเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศหรือ Climate Change กำลังส่งผลกระทบรุนแรงต่อเกษตรกรในสหรัฐอเมริกา เพราะขณะที่เกษตรกรในแถบมิดเวสต์เจอปัญหาน้ำท่วมในลุ่มน้ำมิสซิสซิปปี เกษตรกรในฝั่งเซาท์เวสต์กลับประสบกับกับการขาดน้ำอย่างมากจนถึงขั้นส่งผลด้านลบต่อภาคเกษตรกรรม รวมทั้งความเป็นอยู่ของพลเมืองอเมริกา 40 ล้านคนตลอดจนมีผลต่อการผลิตอาหารป้อนทั้งประเทศ

    แม่น้ำโคโลราโดที่มีความยาว 1,450 ไมล์เป็นแหล่งน้ำสำคัญของ 7 รัฐ แต่ Climate Change และการใช้น้ำที่มากเกินไป ส่งผลให้ระดับน้ำลดลงอย่างฮวบฮาบ

    งานวิจัยของ American Geophysical Union Water Resources พบว่าในช่วงปี 2000-2014 กระแสน้ำลดลง 19% จากระดับเฉลี่ยของศตวรรษที่ 20 และภายในปี 2100 กระแสน้ำจะลดลงมากถึง 55%

    ภัยคุกคามต่อน้ำจืดเป็นปัญหาระดับโลก ในสัปดาห์ที่ผ่านมา World Resources Institute รายงานว่า การเข้าถึงน้ำของประชากรหลายร้อยล้านคนตกอยู่ในภาวะเสี่ยง อันเนื่องจากภาวะโลกร้อน

    Climate Change กำลังส่งผลต่อแม่น้ำโคโลราโด ทำให้ภาวะแห้งแล้งที่ปกติเกิดขึ้นตามวัฏจักรกลับกลายเป็นการลดลงของน้ำอย่างถาวร

    เฉพาะเมืองใหญ่ในฝั่งตะวันตกก็มากพอที่จะทำให้น้ำในแม่น้ำลดลง เกษตรกรที่ประสบภัยแล้งซึ่งมีสิทธิในแม่น้ำนี้เช่นกันกำลังทุ่มเงินจำนวนมากนับร้อยล้านดอลลาร์เพื่อชะลอผลกระทบและชะลอการลดลงของน้ำ

    สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนการจัดการในช่วงที่ผ่านมาซึ่งมีผลต่อทางน้ำที่ไหลผ่านแกรนด์แคนยอนที่จัดว่าเป็นสัญลักษณ์ของภาคตะวันตกของสหรัฐฯ หากระดับน้ำในแม่น้ำยังคงลดลงต่อเนื่อง ก็จำเป็นที่จะต้องมีมาตรการสำคัญออกมาเพื่อปกป้องน้ำที่เหลืออยู่

    นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ผู้ใช้น้ำรายใหญ่จากแม่น้ำโคโลราโดคือเกษตรกรที่ปรับสภาพพื้นที่นับล้านเอเคอร์ในแคลิฟอร์เนีย และแอริโซนาให้เป็นพื้นที่สีเขียว

    colorado-water-level-620x477.jpg

    สิทธิในการใช้น้ำประเมินน้ำสูงเกินไป
    ตลอดเวลาร่วม 100 ปี ปริมาณน้ำได้มีการควบคุมด้วยข้อตกลงระหว่างรัฐที่ตั้งอยู่ในลุ่มแม่น้ำ แต่น้ำถูกดึงไปใช้จากผู้บริหารรัฐ ผ่านกลไกที่ว่าใครมาก่อนมีสิทธิก่อน ซึ่งเป็นข้อตกลงที่เก่าแก่มีขึ้นหลังสงครามกลางเมืองอเมริกาไม่กี่สิบปี หรือราวปลายศตวรรษ 1800

    กลไกใครมาก่อนมีสิทธิก่อนนี้ ผู้อ้างสิทธิที่ใช้ประโยชน์จากการหันเหของกระแสน้ำในภาคเกษตร เหมืองแร่ ยังสามารถใช้น้ำต่อไปได้ในปริมาณเท่าเดิมที่เคยใช้มาก

    ต่อมาได้เกิดข้อตกลง 1922 Colorado River Compact เพื่อแก้ไขปัญหานี้ เพราะมีการจัดสรรน้ำในปริมาณ 7.5 ล้านเอเคอร์-ฟุต (เทียบเท่าน้ำในพื้นที่ทั้ง 1 เอเคอร์ที่มีน้ำลึก 1 ฟุตเต็มพื้นที่) หรือราว 1 ล้านล้านลิตร หรือราว 326,000 แกลลอน ให้กับพื้นที่ด้านบนของลุ่มแม่น้ำ คือ โคโลราโด ไวโอมิง ยูทาห์ และนิวเม็กซิโก กับพื้นที่ตอนล่างของลุ่มแม่น้ำ คือ เนวาดา แอริโซนา และแคลิฟอร์เนีย แต่เนื่องจากการที่แม่น้ำไหลจากเหนือลงใต้ จึงมีเงื่อนไขให้รัฐที่อยู่ทางตอนเหนือของลุ่มแม่น้ำดูแลให้รัฐทางตอนล่างมีน้ำใช้ด้วย

    แต่การลงนามของรัฐที่เกี่ยวข้องซึ่งได้ร่วมข้อตกลงปี 1920 เพื่อแก้ไขจัดสรรสิทธิในแม่น้ำนั้นประเมินสูงเกินไปว่าจะมีปริมาณน้ำที่เพียงพอ ความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากนั้นไม่นานนัก และใช้มากเกินกว่าน้ำจะไหลเข้าได้ทัน

    นับตั้งแต่ปี 1989 รัฐในลุ่มน้ำตอนล่างใช้น้ำมากเกินสิทธิภายใต้ข้อตกลง เพราะภาคเกษตรและเมืองใหญ่ขยาย จึงมีการนำน้ำจากทะเสาป Mead และทะเลสาบ Powell มาใช้ ขณะที่แม่น้ำเองก็หยุดไหลเข้าไปในอ่าวแคลิฟอร์เนียแต่กลับไหลไปทางทะเลทรายเม็กซิโก

    ในเดือนมีนาคมแหล่งกักเก็บน้ำในแม่น้ำลดลงต่ำกว่าครึ่ง ทำให้รัฐบาลกลางกำลังจะเข้ามาจัดการ แต่รัฐที่อยู่ในบริเวณนี้ได้ทำข้อตกลงชั่วคราวเพื่อลดการใช้น้ำลง ในปี 2026 สถานการณ์นี้จะรุนแรงมากขึ้น และต้องมีการทำข้อตกลงระยะยาว

    American Rivers ระบุว่า แม่น้ำโคโลราโดเป็นแหล่งน้ำดื่มของพลเมืองอเมริกา 1 ใน 10 คนจากหลายเมือง เช่น ลาสเวกัส ลอสเองเจลิส และฟีนิกซ์ และยังเป็นแหล่งน้ำหลัก 90% ของการปลูกผักในฤดูหนาว และเมื่อข้อตกลงหลักมีผล อาจจะทำให้การเพาะปลูกและการใช้น้ำทั้งภูมิภาคเปลี่ยนแปลงไป

    จอห์น เบิร์กเกรน นักวิเคราะห์นโยบายน้ำจาก Western Resource Advocates กล่าวว่า เมื่อการใช้น้ำมากเกินไปผสมกับภาวะ Climate Change ที่รุนแรงมากขึ้น จึงกลายเป็นปัญหา

    เมื่อระดับน้ำลดลงต่อเนื่องและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้ามาซ้ำเติม พื้นที่ในลุ่มน้ำตอนล่างจึงหนีไม่พ้นกลับมาใช้น้ำแบบอ้างสิทธิมาก่อนใช้ก่อนโดยปริยาย

    ประชากรในชายฝั่งตะวันตกที่เพิ่มขึ้นอย่างมากทำให้ความต้องการใช้น้ำตกมาอยู่ที่แม่น้ำโคโลราโด แต่การใช้น้ำของคนในเมืองต่างจากภาคเกษตรที่พึ่งทางน้ำเป็นหลัก คนในเมืองมีทางเลือกมากกว่า เช่น ที่ลาสเวกัส ได้มีการจ่ายให้เงินให้กับชาวเมืองเพื่อถางสนามหญ้าออก ส่วนที่ลอสแอนเจลิสมีแผนที่จะให้คนรีไซเคิลน้ำ 100% จากน้ำเสียภายในปี 2035

    อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ไม่เพียงพอที่จะบรรเทาการแห้งผากของแม่น้ำ เพราะ 70% ของน้ำใช้กับภาคเกษตร

    โรเบิร์ต เกลนนอน ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแอริโซนาและเป็นผู้เขียนหนังสือ Unquenchable: America’s Water Crisis and What To Do About It มองว่าต้องมีการปรับปรุงประสิทธิภาพของเกษตรกรในพื้นที่ทะเลทราย ในด้านการรดน้ำพืชผล รวมทั้งการมีโครงการการใช้ประโยชน์ร่วมกันเพื่อผันน้ำไปยังพื้นที่ในเมืองเพื่อเป็นหลักประกันว่าจะมีน้ำในช่วงภัยแล้งในอนาคต

    colorado-water-right-620x471.jpg

    เกิดโมเดล Water Marketing
    ด้วยเหตุนี้ ตลาดน้ำ (Water Marketing Program) ก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หน่วยงานด้านน้ำในพื้นที่จ่ายเงินจำนวนหลายร้อยล้านดอลลาร์ให้กับผู้มีสิทธิในน้ำอันดับต้นๆ หรือสนับสนุนการอนุรักษ์พื้นที่ชนบทเพื่อแลกกับน้ำ

    ศาสตราจารย์เกลนนอนกล่าวว่า เกษตรกรและหน่วยงานด้านน้ำในพื้นที่ตระหนักมานานแล้วว่า หากไม่ทำข้อตกลงกับเมืองใหญ่ รัฐบาลกลางจะเข้ามาจัดการอย่างแน่นอน ไม่มีรัฐบาลไหนปล่อยให้เมืองใหญ่ขาดน้ำเพียงเพราะการอ้างสิทธิในน้ำ

    “หากเกษตรกรไม่ใช้ข้อได้เปรียบที่มีทำข้อตกลงน้ำกับเมืองเพื่อแลกกับปริมาณที่น้อย ก็จะเจอกับการออกกฎหมายใหม่ที่ตัดสิทธิและเน้นการอนุรักษ์ โดยที่รัฐไม่ต้องใช้เงินแม้แต่น้อย” ศาตราจารย์เกลนนอนกล่าว

    ผลการศึกษาของ Bureau of Reclamation ปี 2012 พบว่า โมเดลตลาดน้ำนี้ประสบความสำเร็จ โดยพื้นที่ทำการเกษตรในภูมิภาคนี้ลดลง ขณะที่การผันน้ำไปให้ในเมืองใช้เพิ่มขึ้น

    ดีลตลาดน้ำที่ใหญ่ที่สุดมีขึ้นในปี 2003 ภายใต้ข้อตกลง Quantification Settlement Agreement ที่มีการส่งน้ำ 200,000 เอเคอร์-ฟุตหรือราว 100,000 ล้านลิตรทางตะวันตก ในอัตรา 474 ดอลลาร์ต่อเอเคอร์-ฟุต หรือราว 94 ล้านดอลลาร์ต่อปี

    แหล่งน้ำในดีลนี้มาจากพื้นที่ชลประทานอิมพีเรียล Imperial Irrigation District (IID) ในชนบทของทางตะวันออกเฉียงใต้ของแคลิฟอร์เนีย ส่งตรงไปที่หน่วยงานน้ำในแซนดีเอโกเคาน์ตี (San Diego County Water Authority) ซึ่ง IDD ยังทำข้อตกลงกับ Metropolitan Water District (MWD) ที่รับน้ำพื้นที่ลอสแอนเจลิส และออเรนจ์เคาน์ตี เพื่อจัดส่งน้ำ 105,000 เอเคอร์-ฟุต ในราคา 111 ดอลลาร์ต่อเอเคอร์-ฟุต

    นอกจากนี้ Palo Verde Irrigation District (PVID) ซึ่งมีพื้นที่ 131,000 เอเคอร์ เลียบฝั่งแม่น้ำโคโลราโดที่กั้นระหว่างแคลิฟอร์เนียลและแอริโซนา ได้ทำข้อตกลงระยะยาว 35 ปีกับ MWD ซึ่งจ่ายเงิน 6.2 ล้านดอลลาร์ในปีก่อนเพื่อสิทธิการใช้น้ำ

    ทั้งในภายใต้ข้อตกลง MWD สามารถขอให้ Palo Verde ปล่อยพื้นที่บางส่วนให้เป็นพื้นที่ว่างเปล่า 28% เพื่อเพิ่มน้ำได้อีก 115,000 เอเคอร์-ฟุต รองรับเมืองใหญ่ในทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย ที่มีประชากรราว 20 ล้านคน หากไม่รวมเงินที่ชำระล่วงหน้า MWD จ่ายเงินให้เกษตรกรใน Palo Verde ไปแล้วราว 164 ล้านดอลลาร์ระหว่างปี 2005-2018

    ผู้บริหาร MWD กล่าวว่า ดีลการซื้อน้ำผ่านระบบตลาดช่วยให้แคลิฟอร์เนียสามารถรับมือกับสถานการณ์ Climate Change ได้ แต่ก็ยังหาข้อตกลงอื่นที่ยืดหยุ่นเพื่อให้ในฤดูฝนสามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง และแลกเปลี่ยนกับหน่วยงานอื่น

    colorado-water-flow-620x494.jpg

    โดยเหตุที่มีเงินมาเกี่ยวข้องทำให้ท้องถิ่นขนาดเล็กที่มีแหล่งน้ำก็เริ่มเข้ามาในตลาดน้ำมากขึ้น เช่น Bard Water District ที่มีพื้นที่ 7,000 เอเคอร์ แต่ได้เริ่มโครงการที่สองแล้วที่มีข้อตกลงปล่อยให้มีพื้นที่ว่างเปล่า เพื่อแลกกับผลแทนตัวเงินจาก MWD

    ในโครงการแรกปี 2019-2017 นั้น Bard Water District ทำเงินได้ 950,000 ดอลลาร์ ให้กับเกษตรและให้กับหน่วยงานน้ำเองเพื่อนำไปปรับปรุงแหล่งน้ำ ทั้งนี้อายุของโครงการคือ 2 ปี

    แต่ Bard Water District ยอมรับว่าโครงการนี้มีต้นทุนเกิดขึ้น โดย รอน เดอร์มา ผู้บริหาร Bard Water District กล่าวว่า มีผลกระทบต่อประชาชนที่อาศัยในพื้นที่และภาคธุรกิจที่ไม่ได้เข้าร่วมอยู่ในข้อตกลงของโครงการ รวมทั้งเป็นการซ้ำเติมประชาชนที่เลี้ยงชีพด้วยการเกษตรให้ย่ำแย่ลงอีก และการปล่อยพื้นที่บางส่วนให้เป็นพื้นที่ว่างเปล่ามากเกินไปจะมีผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานเชิงพาณิชย์ที่รองรับชุมชนเกษตรกร

    แต่ บาร์ต ฟิชเชอร์ กรรมการของ PVID และเจ้าของพื้นที่เกษตร 11,000 เอเคอร์ที่ห่างแม่น้ำออกไปไม่กี่ไมล์กล่าวว่า โครงการตลาดน้ำมีประโยชน์ต่อชุมชน และจากข้อมูลของ MWD ระบุว่า บาร์ต ฟิชเชอร์ ได้รับเงินอย่างน้อย 30 ล้านดอลลาร์จากการที่ตกลงปล่อยให้ที่ดินว่างเปล่า (ไม่รวมเงินที่ชำระล่วงหน้า) และตระหนักดีว่า ข้อตกลงนี้อาจจะเกิดผลกระทบทางลบและเกิดเหตุไม่คาดฝันได้

    บาร์ต ฟิชเชอร์ กล่าวว่า การรักษาที่ดินให้ว่างเปล่าอาจจะต้องใช้แรงงาน และเงินที่ไหลเข้ามานั้นจะมีผลต่อเศรษฐกิจในพื้นที่

    นอกจากข้อตกลงแลกน้ำกับเงินที่มีกับ Palo Verde แล้ว MWD ยังซื้อที่ดินเพิ่มในพื้นที่ราว 22,000 เอเคอร์ ซึ่งมีสิทธิการใช้น้ำพ่วงมาด้วย จึงกลายเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ในพื้นที่ PVID และยื่นฟ้อง MWD โดยกล่าวหาว่า มีความพยายามแอบแฝงที่จะเปลี่ยนพื้นที่ในท้องถิ่นให้เป็นฟาร์มน้ำ (water farms) แต่ข้อกล่าวหานี้ตกไปเพราะเกษตรกรในพื้นที่เกรงว่าจะไม่ได้รับเงินอีก

    MWD ออกแถลงการณ์ว่า ข้อตกลงการซื้อน้ำเพื่อสนับสนุนพื้นเมืองในชนบท รวมทั้งจ่ายเงิน 6 ล้านดอลลาร์ให้กับชุมชนใน Palo Verde District ซึ่งมีศูนย์กลางที่เมือง Blythe ที่มีประชากร 20,000 คน เมือง Blythe ตั้งชื่อตาม Thomas Blythe ที่เป็นคนแรกที่ได้สิทธิใช้น้ำจากแม่น้ำโคโลราโดในปี 1877 การได้สิทธิของ Thomas Blythe ทำให้เมืองมีสิทธิ 450,000 เอเคอร์ต่อปีตราบเท่าที่ลุ่มน้ำตอนล่างยังคงได้รับสิทธิบนพื้นที่ 7.5 ล้านเอเคอร์ภายใต้ข้อตกลงปี 1922

    ข้อมูลจากหลายส่วนพบว่ารายได้เฉลี่ยครัวเรือนในเมือง Blythe ลดลงจาก 48,000 ดอลลาร์ในปี 2012 มาอยู่ที่ 40,000 ดอลลาร์ในปี 2017 ซึ่งโรเบิร์ต คอนเวย์ ผู้บริหารของ Jordan/Central Implement Co กล่าวว่า เมืองแย่ลงหลังจากที่โครงการขายน้ำเริ่มขึ้น

    ขณะที่ชุมชนท้องถิ่นกำลังสนใจกับสิทธิการใช้น้ำที่มี แม่น้ำโคโลราโดที่กำลังแห้งลดลงเป็นภัยคุกคามสำคัญ ที่ Pinal County ในรัฐแอริโซนา ซึ่งเป็นชุมชนเกษตรกรรมที่แทรกตัวระหว่างฟีนิกซ์และทักสัน ติดอันดับต่ำสุดของรายชื่อผู้มีสิทธินั้น เกษตรกรปล่อยให้ที่ดินรกร้างวางเปล่า ไม่ใช่เพื่อต้องการเงินแต่เป็นเพราะไม่มีน้ำเพียงพอที่จะทำการเกษตร

    พอล ออร์เม ผู้บริหารระบบชลประทานของ Pinal County กล่าวว่า การปันส่วนน้ำที่ลดลงอาจจะทำให้เกษตรกรต้องปล่อยให้ที่ดินว่างเปล่ามากถึง 40% ของพื้นที่ทำกิน

    Lake-Mead-620x414.jpg
    ทะเลสาบ Mead น้ำแห้งจนเรือลงไปจอดตรงก้นทะเลสาปได้
    เรื่องและภาพ จาก bloomberg

    https://thaipublica.org/2019/08/climate-change-hit-usa-farmer-trade-water-for-cash/
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    THE STANDARD

    ไอซ์แลนด์จัดพิธีอำลา Okjökull ธารน้ำแข็งแห่งแรกของประเทศที่ละลายลงจนหมด หลังจากเมื่อปี 2014 Okjökull ถูกประกาศให้ไม่ได้มีสถานะเป็นธารน้ำแข็งอีกต่อไป เนื่องจากขาดคุณสมบัติในเรื่องความหนาของชั้นน้ำแข็ง รวมถึงเรื่องการเคลื่อนที่
    .
    เรื่อง: ณรงค์กร มโนจันทร์เพ็ญ
    ตัดต่อ: วชิระ มากทรัพย์
    .
    #Okjökull #Iceland #News #TheStandardVDO #TheStandardCo
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Innotech Asset Management

    ธนาคารกลางเยอรมัน แจ้งเตือนว่าภาวะเศรษฐกิจ “ถดถอย” ได้ใกล้เข้ามาแล้ว
    c_oc=AQkMh3Fk4wxpu_ZyhmaKagjCSMasBJZzmjUU14hgLsDDMUmbS6kUBwW-KlgevxcWmEw&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg
    ธนาคารกลางเยอรมัน เตือนว่า GDP ไตรมาสนี้อาจติดลบอีกครั้ง หลังจาก GDP ไตรมาสล่าสุดติดลบ 0.1% ต่ำสุดในรอบ 6 ปี ส่งผลให้ GDP อาจหดตัวติดต่อกันสองไตรมาส หรือกล่าวได้ว่าเข้าสู่ภาวะ“เศรษฐกิจถดถอย” นั่นเอง

    (เศรษฐกิจถดถอย หรือ recession คือเหตุการณ์ที่จีดีพีติดลบหรือหดตัวลงติดต่อกันสองไตรมาสขึ้นไป)

    ซึ่งรัฐบาลเยอรมันกำลังศึกษาแนวทางที่จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของตนเองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของโลกอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะวิกฤตเศรษฐกิจตามมา โดยนาย Olaf Scholz รัฐมนตรีคลังของเยอรมัน เปิดเผยว่า กำลังเตรียมงบประมาณกว่า 50,000 ล้านยูโร หรือประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

    โดยในรายงานล่าสุดของธนาคารกลางเยอรมัน ระบุว่า การใช้จ่ายผู้บริโภคที่อ่อนแอ ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจที่ลดลง และความต้องการสินค้าจากต่างประเทศที่น้อยลง ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เศรษฐกิจเยอรมันไปสู่ภาวะถดถอย

    นอกจากนี้ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อเศรษฐกิจเยอรมันเช่นกัน เนื่องจากลูกค้าเริ่มชะลอคำสั่งซื้อเพื่อรอดูสถานการณ์ความไม่แน่นอนของสงครามการค้าดังกล่าว ขณะที่การส่งออกไปยังสหราชอาณาจักร หรืออังกฤษก็หดตัวอย่างมากจากปัญหา Brexit ที่เกิดขึ้น

    ทั้งนี้ ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจเยอรมัน เนื่องจากสร้างงานกว่า 820,000 ตำแหน่ง และมีสัดส่วนถึงราว 5% ของเศรษฐกิจ ก็เริ่มได้รับผลกระทบแล้ว โดยยอดผลิตรถยนต์ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้หดตัวลงถึง 12% จากปีก่อนหน้า

    ขอบคุณข้อมูลจาก Business Insider
    ขอบคุณรูปภาพจาก Pixabay

    Business Insider: Germany's central bank just warned a recession could be coming. Its government is prepared to spend $55 billion to fight it.
    https://www.businessinsider.com/germany-bundesbank-flag-recession-50-billion-euros-prepared-2019-8

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ความแตกต่างระหว่างจีนกวางตุ้ง-ไหหลำ-แต้จิ๋ว-แคะ-ฮกเกี้ยน

    qing-ming-shang-he-tu-696x321.jpg
    ภาพเขียนวิถีชีวิตชาวจีนในเทศกาล เช็งเม้ง
    เผยแพร่ วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.2562
    ในความเป็นคนไทย ก็ยังมีรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงว่าเป็น คนเหนือ คนใต้ คนอีสาน ฯลฯ ในกลุ่มคนอีสานก็ยังแยกย่อยว่าเป็นอีสานใต้ อีสานเหนือ เป็นผู้ไท ฯลฯ ที่มีอัตลักษณ์พิเศษของตนเอง นี้เป็นเรื่องปกติของคนทุกเชื้อชาติ คนจีนก็เช่นกัน สำหรับคนเชื้อสายจีนในเมืองไทย ก็แยกย่อยเป็นจีน 5 กลุ่มภาษา อันประกอบด้วย แต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน ไหหลำ กวางตุ้ง และแคะ หรือฮากกา หากดูจากรูปลักษณะภายนอกก็ดูคล้ายๆกัน

    แต่ถ้าพิจารณาจากนิสัยใจคอ การให้คุณค่าที่ต่าง ฯลฯ ก็จะเห็นความต่าง

    อาจารย์ถาวร สิกขโกศล เขียนเรื่องนี้ไว้อย่างละเอียดในหนังสือ “แต้จิ๋ว: จีนกลุ่มน้อยผู้ยิ่งใหญ่” (สำนักพิมพ์มติชน, กันยายน 2554) โดยเปรียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างจีนแต้จิ๋วกับจีนอีก 4 กลุ่มภาษา จากค่านิยมและวิธีคิดของแต่ละกลุ่ม ซึ่งบทคความนี้คัดย่อมาเพียงบางส่วนของหนังสือดังกล่าว เฉพาะในตอนที่ชื่อ“วัฒนธรรมทางจิตใจและนิสัยจีนแต้จิ๋ว”ดังนี้

    จีน 5 กลุ่มนี้มีอัตลักษณ์ต่างกันชัดเจนทั้งด้านภาษา อาชีพ นิสัยใจคอ ตลอดจนวัฒนธรรมด้านอื่น จะขอเปรียบเทียบให้เห็น โดยเน้นด้านนิสัยใจคอเป็นสําคัญ

    จีนกวางตุ้งมีลักษณะนิสัยที่สรุปเป็นอักษรจีน 4 ตัว ว่า “乐天务实” หมายถึง “เบิกบาน ปฏิบัตินิยม” คนกวางตุ้งเป็นนักปฏิบัตินิยมเช่นเดียวกับแต้จิ๋ว มุ่งเรื่องผลประโยชน์ หรือคุณโทษ ที่จะเกิดกับตนมาก แต่ต่างกันอย่างตรงข้ามที่มีความเบิกบานง่ายๆ ไม่ติดกรอบ ปรับตัวตามสถานการถเก่ง มีไหวพริบดี

    ส่วนจีนแต้จิ๋ว เจ้าระเบียบ ประณีต จนกล่าวได้ว่า “ติดกรอบไม่ใช่กวางตุ้ง มักง่ายไม่ใช่แต้จิ๋ว” เพราะนิสัยปฏิบัตินิยมทําให้กวางตุ้งกับแต้จิ๋ว มีจุดอ่อนร่วมกัน คือ ออกจะขาดหลักการ มองไกลไม่เก่ง แต่จีนกวางตุ้งไม่ติดกรอบเลยปรับตัวเร็วกว่าจีนแต้จิ๋ว จึงรับสิ่งแปลกใหม่โดยเฉพาะจากตะวันตกมาก เช่น ขนมไหว้พระจันทร์ของ กวางตุ้งซึ่งแพร่หลายมากที่สุดนั้น เปลือกหุ้มไส้ได้รับอิทธิพลจากผมเค้กของฝรั่งชัด จีนกวางตุ้งเก่งงานฝีมืองานช่างที่ต้องใช้เทคโนโลยีฝรั่งมากกว่าจีนอื่น เช่น ช่างก่อสร้าง ช่างซ่อมนาฬิกา ฯลฯ จีนกวางตุ้งโพ้นทะเลจึงมักเป็นช่างฝีมือกันมาก

    ส่วนจีนแคะนั้น แม้จะอยู่ใกล้ชิดกับจีนแต้จิ๋วมากที่สุด แต่นิสัยต่างกันมาก หนังสือชุด “นิสัยจีนมณฑลกวางตุ้ง (广东人精神从书)” สรุปนิสัยจีนแคะด้วยอักษรจีน 4 ตัว ว่า “厚德载物”หมายถึง “รองรับสรรพสิ่งด้วยคุณธรรม” คนแคะเน้นเรื่องหลักการและคุณธรรมมาก ทําให้มีนิสัยที่เห็นเด่นชัดคือ ขยัน ประหยัด มัธยัสถ์ กล้าหาญ เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ใฝ่ศึกษาทั้งบุ๋นและบู๊ วัฒนธรรมเรียบง่าย หนักแน่น สมถะ ตรงข้ามกับแต้จิ๋วซึ่งประณีต ละเอียดอ่อน

    แต้จิ๋วชอบค้าขาย แต่จีนแคะชอบทําราชการโดยยึดการทํานาเป็นรากฐาน วัฒนธรรมผู้หญิงต่างกันมาก ผู้หญิงแต้จิ๋วเน้นหน้าที่แม่ศรีเรือนทํางานบ้านเป็นหลัก ผู้หญิงแคะต้องทํานาควบคู่ไปกับงานบ้าน ให้เวลาแก่ผู้ชายเรียนหนังสือ ข้อเด่นที่เกินพอดีก็กลายเป็นข้อด้อยของจีนแคะ

    หนังสือ “พลังจีนแคะ (客家人的力量)” ของไต้หวันกล่าวว่า ความประหยัดที่เหนือกว่าจีนแต้จิ๋วกลายเป็นความขี้ตืด ความสมถะประกอบกับความขี้ติด กลายเป็นนิสัย “ไม่เอาใคร” กลัวเสียชื่อเรื่องคุณธรรมและหลักการมาก เมื่อจะโกงก็ต้องทําหลักการให้เป็นหลักโกง กลายเป็นโกงตามหลักการ หรือคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย ค้าขายกับจีนแคะในจีนต้องระวังเรื่องสัญญามาก ถ้าพลาดถูกฟันเละ เพราะถือว่าได้ทําตามข้อตกลงในสัญญา แต่จีนแต้จิ๋ว “หยวน” หรืออนุโลมลดหย่อนกันได้ทั้ง 2 ฝ่าย

    จีนกวางตุ้งง่ายๆ ไม่ค่อยตุกติก แต่โดยรวมแล้ว คนแคะมีนิสัยเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ตรงไปตรงมา ไม่มากพิธีหยุมหยิมเหมือนจีนแต้จิ๋ว คนแคะ “เห่อแขก (好客)” เหมือนจีนแต้จิ๋ว และจีนอื่นแทบทุกจีน ถ้าแขกคนไหนเข้าบ้านแล้วให้อิสระกระทั่งถึงห้องนอน ซึ่งคนแต้จิ๋วถือว่า “เสียมารยาท” มาก

    นิสัยส่งผลถึงอาชีพ จีนแคะชอบอาชีพราชการ ชํานาญทั้งบุ๋นและบู๊ จึงมีจีนแคะเป็นนักการเมือง นักการทหารและนัก ปฏิวัติมาก เช่น หงซิ่วฉวน หัวหน้าขบถไท่ผิง ซุนยัตเซ็น จูเต่อ และเยเจี้ยนอิง แม้เติ้งเสี่ยวผิงก็มีเชื้อสายจีนแคะ จีนแคะใน เมืองไทยส่วนมากทําไร่ ถ้าขาย และสนใจส่งลูกหลานเรียนหนังสือเพื่อทําราชการ

    จีนแคะคุ้นเคยกับจีนแต้จิ๋วและจีนกวางตุ้งมาก หนังสือ “การค้นคว้าใหม่เรืองจีนแคะ (客家新探)” ซึ่งคนเขียนเป็นจีนแคะ มณฑลกวางตุ้ง วิจารณ์นิสัยจีนแคะ กวางตุ้ง และแต้จิ๋วไว้ว่า จีนแคะให้ความสําคัญแก่ศีลธรรม (重义) จีนกวางตุ้งมุ่งเรื่องผลประโยชน์ (重利) จีนแต้จิ๋วนั้นให้ความสําคัญแก่ศีลธรรมและผลประโยชน์เท่าๆ กัน (义利井重) แต่ทัศนะทั่วๆ ไปเห็นว่าคนแต้จิ๋ว ให้ความสําคัญแก่ “น้ำใจ (重情)” มาก มีกรณีตัวอย่างว่า ถ้าเห็นจีนพวกเดียวกับตนตีกับคนอื่น จีนแต้จิ๋วจะช่วยพวกตนไว้ก่อน ไม่สนใจว่าใครผิดใครถูก จีนแคะจะเข้าไปห้าม ถามเรื่องราวและเหตุผล แต่จีนกวางตุ้งจะดูก่อนว่าตัวเองมีส่วนได้ส่วนเสียอะไรหรือไม่ เพราะนึกถึงความเป็นจริงมากกว่าน้ำใจ หรืออุดมการณ์ใดๆ

    ส่วนคนไหหลํามีนิสัยต่างจากจีนอื่นอย่างโดดเด่น เพราะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ ที่มาก คนน้อย แต่ห่างไกลความเจริญ เป็นแดน “ปลายฟ้าขอบมหาสมุทร (天涯海角)” ของจีน มีชนเผ่าหลีซึ่งมีภาษาร่วมตระกูลกับภาษาไทเป็นเพื่อนร่วมถิ่น ตั้งแต่ราชวงศ์ซึ่งเป็นต้นมาจึงรับอารยธรรมจีนเต็มที่ คนไหหลําคือ จีนฮกเกียนและแต้จิ๋วที่อพยพต่อเข้าเกาะไหหลํา ภาษาจึงอยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่นิสัยต่างกันมากเพราะอยู่ในสิ่งแวดล้อมต่างกัน

    หนังสือ “แผนที่นิสัยคนจีน (中国人个性品格 地图)” กล่าว คนไหหลําฉลาด ขี้เล่น เอาเรื่องเล่นมาเป็นงานได้ ยิ่งเล่นยิ่งได้งาน นิสัยโดยสรุปสุภาพ แช่มช้ากว่าจีนอื่น ตรงไปตรงมา ไม่ทะเยอทะยาน (สมถะ) รักเสรีสนุกสนาน แต่ใจกล้า เชื่อมั่นในตัวเอง ข้อเสียคือวิสัยทัศน์สั้นแคบ ชอบฉวยโอกาสเอาประโยชน์เฉพาะหน้า

    รศ. แสงอรุณ กนกพงศ์ชัย ให้ข้อมูลซึ่งได้มาจากผู้ใหญ่ใน สมาคมไหหลําแห่งประเทศไทยว่า คนไหหลํารักหน้าตา ชอบโก้ ตรงกับที่ผู้เขียนเคยเห็นมาแต่เด็กว่า คนไหหลําเมื่อออกสังคมจะแต่งตัวดี วางตัวภูมิฐาน ไม่แสดงความขี้ตืดให้คนเห็น “เห่อแขก (好客)” ใจกว้างแต่ก็ไม่ยอมเสียเปรียบใคร

    คนไหหลําให้ความสําคัญแก่การค้าขายและเรียนหนังสือพอๆ กัน มีคนไหหลําฝากชื่อไว้ในประวัติศาสตร์จีนหลายคน โด่งดังที่สุดได้แก่ ไหญุ่ย (พ.ศ. 2057-2130) ผู้ได้ฉายาว่าเปาบุ้นจิ้นหน้าขาว ชิวจวิ้น (พ.ศ. 1964-2038) นักวิชาการคนสําคัญ สิงโย่ว (พ.ศ. 1959-2021) นักการเมืองตงฉิน สามคนนี้ได้รับยกย่องว่าเป็น “สามยอดคน ไหหลํา” ที่มีชื่อเสียงในยุคปัจจุบันได้แก่ ซ่งชิงหลิง ภริยาของ ซุนยัตเซ็น จีนไหหลําในเมืองไทยชอบทําธุรกิจค้าไม้ โรงเลื่อย โรงแรม ข้าวมันไก่ไหหลํามีชื่อเสียงมากในไทย

    ส่วนจีนฮกเกี้ยน เป็นจีนที่คล้ายจีนแต้จิ๋วมากที่สุดทั้งภาษาและวัฒนธรรม ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะฮกเกี้ยนเป็นบรรพชนของจีนแต้จิ๋ว (朝汕人福建祖) คนจีนมณฑลฮกเกี้ยนแบ่งเป็นหลายกลุ่ม ตามถิ่นและภาษาพูด ฮกเกี้ยนตะวันตกเป็นจีนแคะ นอกนั้นเป็นภาษาหมิ่น (闽) หรือภาษาฮกเกี้ยน ซึ่งแยกเป็น หมิ่นเหนือมีเมือง เจี้ยนโอวเป็นศูนย์กลาง หมิ่นตะวันออกมีเมืองฝูโจวเป็นศูนย์กลาง หมิ่นกลางมีเมืองหย่งอันเป็นศูนย์กลาง หมิ่นหนัน ได้แก่ เมือง ฉวนโจว (จั่วจิว) จางโจว (เจียงจิว) เซี่ยเหมิน (เอ้หมึง) และยังมีถิ่นผู่เซียนอยู่ระหว่างฝูโจวกับฉวนโจว แต่ภาษาหมิ่นที่พูดต่างจากถิ่นอื่น ต้องแยกเป็นถิ่นหนึ่งต่างหาก จีนฮกเกี้ยนตามความเข้าใจ ของคนไทยคือพวกหมิ่นหนัน พวกฝูโจวคนไทยเรียกจีนฮกจิ๋ว ฝูโจว (ฮกจิ๋ว) เป็นเมืองหลวงของมณฑลฮกเกี้ยน รับความเจริญจากจงหยวนก่อนถิ่นอื่นจึงเป็นศูนย์กลางศิลปวิทยา แต่ด้านเศรษฐกิจด้อยกว่าฉวนโจว

    จีนแต้จิ๋วและไหหลำส่วนมากมาจากหมิ่นหนันและผู่เซียน จากบันทึกประจําตระกูลของจีนแต้จิ๋วส่วนมากมาจากฉวนโจว จางโจวของหมิ่นหนันและผู่เถียนในถิ่นผู่เซียน ภาษาแต้จิ๋วและไหหลำก็เป็นสาขาหนึ่งของภาษาหมิ่นหนัน

    นิสัยคนฮกเกี้ยนแต่ละถิ่นมีลักษณะเด่นแตกต่างกัน พวกหมิ่นเหนือยอมยากจนเพื่อรักษาคุณธรรม หมิ่นตะวันออกขยันต้องการความมั่นคง พวกผู่เซียนประหยัดอดทน พวกหมิ่นหนันโอบอ้อมอารีมีน้ำใจ

    เนื่องจากจีนแต้จิ๋วส่วนมากมาจากผู่เถียน ฉวนโจว และจางโจว จึงควรศึกษารายละเอียดในนิสัยคน 3 เมือง เพื่อเปรียบ

    หนังสือ “อภิปรายเรื่องวัฒธรรมมมณฑลฮกเกี้ยน (闽文化述论)” กล่าวว่า ถิ่นจางโจวอุดมสมบูรณ์ คนจางโจวจึงค่อนข้างสมถะอนุรักษ์นิยม ไม่ค่อยกล้าบุกเบิก “รอบคอบแต่ไม่แหลมคม (精而不明)” อยู่ในวัฒนธรรมเกษตรมากกว่าพานิชย์ ส่วนฉวนโจวเป็นศูนย์กลางเส้นทางสายไหมทางทะเล คนจึงมีวัฒนธรรมค้าขายกระตือรือร้น กล้าเสี่ยง กล้าสู้ ถือหลัก “ฟ้าลิขิตสาม ความพยายามเจ็ด (三分天注定,七分靠打拼)” ใฝ่ความก้าวหน้าทางการค้า ถือคติว่า “ไม่คิดเป็นเถ้าแก่ไม่ใช่ชายชาตรี (不想做老板 不是男子汉)” ด้านการศึกษาก็แข็งขัน สอบเข้ารับราชการได้มากมาตั้ง แต่ราชวงศ์ซ่ง มีจอหงวนมากกว่าแต้จิ๋ว (ซึ่งมีคนเดียวแต่ความ จริงสอบได้ 2 คน) จึงเห็นได้ว่านิสัยใฝ่ศึกษา ชอบค้าขาย กล้าสู้ เพื่อความก้าวหน้าของคนฉวนโจวคล้ายคนแต้จิ๋วมาก

    คนจังหวัดผู่เซียนคืออําเภอผู่เถียนและเซียนอิ๋ว ค้าขายเก่ง มีอยู่ทั่วประเทศจีนแต่ออกโพ้นทะเลน้อย ปกติคนผู่เซียนไม่ชอบ ยุ่งเรื่องของคนอื่น แต่ถ้าขัดแย้งกับคนต่างถิ่นแล้วจะช่วยพวกเดียวกันไว้ก่อนเหมือนจีนแต้จิ๋ว

    ผู่เถียนและฉวนโจวได้รับยกย่องว่าเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมขงจื้อและเม่งจื้อที่อยู่ชายทะเลเช่นเดียวกับแต้จิ๋ว

    เนื่องจากคนแต้จิ๋วส่วนมากมาจากฉวนโจวและผู่เถียน บางส่วนมาจากจางโจว นิสัยคนแต้จิ๋วจึงมีลักษณะคน ๓ เมืองนี้รวมกัน แต่ที่เด่นมากคือนิสัยชาวฉวนโจวที่ขยันกล้าฟันฝ่า ชอบค้าขายยึดหลัก “ฟ้าลิขิตสาม ความพยายามเจ็ด (三分天注定,七分靠打拼)” เหมือนกัน

    ถ้าเปรียบเทียบคนแต้จิ๋วกับคนหมิ่นหนัน (คือจีนฮกเกี้ยน ส่วนใหญ่ในอุษาคเนย์และไต้หวัน) แล้ว เรื่องการศึกษาคนหมิ่น หนันเด่นกว่า แต่ด้านศิลปะด้อยกว่าคนแต้จิ๋วอย่างเห็นได้ชัด หมิ่นหนันจิ๋วมีงิ้วกว่า 7 ชนิด แต่ไม่ติดอันดับ 1 ใน 10 งิ้วที่ยิ่ง ใหญ่ของจีนเหมือนงิ้วแต้จิ๋ว ในทางกลับกันมหาวิทยาลัยเซี่ยเหมิน (เอ้หมึง) นั้น เฉินเจียเกิงเศรษฐีฮกเกี้ยนในมาเลเซียสร้างตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2462 ปัจจุบันเป็น 1 ใน 20 มหาวิทยาลัยชั้นนํา (Top Twenty) ของจีน ขณะที่มหาวิทยาลัยซัวเถาเพิ่งเปิดสอนเมื่อ พ.ศ. 2534 มาตรฐานการศึกษาต่ำมาก เป็นมหาวิทยาลัยชั้นปลายแถว

    ส่วนด้านการค้าต่างก็มีข้อเด่น แต่จีนแต้จิ๋วมีชื่อเสียงและชื่อเสียมากกว่า

    หนังสือ “แผนที่นิสัยคนจีน (中国人个性品格地图)” กล่าว “ฮกเกี้ยนเป็นมณฑลที่คนสอบจอหงวนได้มาก” มีคนเด่นในประวัติศาสตร์มาก เช่น จูซี ปรมาจารย์ลัทธิขงจื้อใหม่ (Neo Confucianism) หลี่จื่อ (พ.ศ. 2070-2145) นักปรัชญาและนักวรรณคดีเอก เจิ้งเฉิงกง (พ.ศ. 2167-2205) ผู้ตีชิงไต้หวันคืนจากฮอลันดา หลินเจ้อสี้ว์ (พ.ศ. 2328-2393) วีรบุรุษผู้สั่งเผาฝิ่นของอังกฤษ นอกจากนี้ยังมีคนอื่นๆ อีกมาก ต้องยอมรับว่าคนฮกเกี้ยนโดดเด่นด้านการศึกษาวิชาการ และความกล้าหาญเป็นวีรบุรุษมากอีกด้วย

    หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงนิสัยโดยรวมของคนฮกเกี้ยนทั้งหมด โดยเอาคนฝูโจวและฉวนโจวเป็นตัวแทนสําคัญว่า ลักษณะนิสัย ที่เห็นได้เด่นชัดของคนฮกเกี้ยนคือเป็นนักปฏิบัตินิยม ไม่ชอบอ้างอิงทฤษฎีหรือดีแต่พูด คนฮกเกี้ยนจึงค่อนข้างพูดน้อย ไม่ค่อยแสดงตัว (Introvert) เมื่อคบหาใหม่ๆ รู้สึก “จืดชืด” แต่จริงใจ คบนานไปจะทําให้ซาบซึ้ง สํานวนจีนที่ว่า “การคบหาของวิญญูชน จืดดังน้ำ (君子之交淡如水)”

    แต่ก็มีความแตกต่างระหว่างเมือง คนฝูโจวและผู่เถียนออกจะจืดชืด ฉวนโจวโอบอ้อมอารีมีไมตรี ร้อนแรง (热情 ) กว่า แต่ที่เหมือนกันอีกก็คือคนฮกเกี้ยนนั้น อ่อนนอกแข็งใน ในความหยุ่นมีความแกร่งแฝงอยู่ แม้บุคลิกภายนอกจะสุภาพไม่โอ้อวดแสดงออก แต่ภายในเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง มีหลักการหรือจุดยืนของตนเอง ด้วยจิตใจที่ใสราวกระจกคือชัดเจน แน่วแน่ในเหตุผล เป็นคน “งามใน” แต่บุคลิกภายนอกสมถะจน บางครั้งดูซอมซ่อ

    ค่านิยมที่เด่นชัดของคนฮกเกี้ยนโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกหมิ่นหนันคือความมานะบากบั่น ถึงกับมีเพลงพื้น บ้านร้องติดปากทั้งเด็กผู้ใหญ่ ชื่อเพลง “พยายามต่อสู้จึงจะชนะ (爱拼才会嬴 )” บุคลิกจีนฮกเกี้ยนทั้งหมดจึงสรุปลงเป็นอักษรจีน 2 ตัว คือ “坚韧” ตรงกับคําว่า “แกร่งหยุ่น” ของไทยคือเข้มแข็ง อดทนเหมือนวัสดุที่แกร่งแต่มีความหยุ่นอยู่ในตัวไม่บินหักง่าย เข้ม แข็งมั่นคง สมถะ แม้จะประสบความสําเร็จร่ำรวย คนฮกเกี้ยน ก็ไม่ค่อยโอ้อวดทําตัวฟูฟ่า ข้อนี้ออกจะต่างกับจีนแต้จิ๋วและไหหลํา ฮกเกี้ยนทุกถิ่นมีลักษณะร่วมกันคือไม่ยอมเสียเปรียบคนอื่น จนกลายเป็นความเห็นแก่ได้ในบางคนที่มีนิสัยนี้มากเกินไป

    พิจารณาโดยองค์รวม คนฮกเกี้ยน แต้จิ๋ว และไหหลํา มี ลักษณะร่วมกันอยู่มาก เพราะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ “ฮกล่อ (福佬)” เหมือนกัน ทั้งยังมีลักษณะร่วมกับจีนกวางตุ้งที่นิสัย “ปฏิบัตินิยม (Pragmatic)” แต่ฮกเกี้ยนต่างจากแต้จิ๋ว ไหหลํา และกวางตุ้ง ซึ่งไม่ค่อยสนใจหลักการและเหตุผลจนวิสัยทัศน์สั้นแคบตรงที่มี เหตุผลและหลักการที่แน่วแน่อยู่ด้วย แต่โดยรวมแล้วจีนทั้ง 4 กลุ่มนี้ มีความเป็นนักปฏิบัตินิยมร่วมกัน ต่างจากจีนแคะซึ่งยึดอุดมการณ์มากกว่า นิสัยก็แกร่งกล้าคล้ายชาวจงหยวน ผิดแผกจากจีนใต้กลุ่มอื่นอย่างชัดเจน

    ในลักษณะร่วมที่มีความแตกต่างของจีนแต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน ไหหลํา และกวางตุ้ง ซึ่งต่างจากจีนแคะชัดเจนนั้น เราพอสรุปได้ว่า จีน 5 กลุ่มนี้ มีลักษณะนิสัยเด่นที่ต่างกัน คือ

    จีนแต้จิ๋วรักน้ำใจไมตรี (重情) จีนฮกเกียนรักเหตุผล (重理) จีนไหหลํารักหน้าตา (重脸) จีนกวางตุ้งรักผลประโยชน์ (重利) จีนแคะรักศีลธรรม (重义)

    เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 สิงหาคม 2562

    https://www.silpa-mag.com/culture/article_37462
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    ไฟป่าอันน่าเหลือเชื่อในควันจากอะเมซอน บราซิล ถึงเซาเปาโล # 19 ส.ค.









     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    น้ำท่วมอย่างรุนแรงในปันจาบ ประเทศอินเดีย #19 สค.









     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    ไฟป่าส่งผลกระทบต่ออเมริกาใต้
    บราซิล - โบลิเวีย - ปารากวัย บริโภคป่าไปแล้วหลายพันเฮคเตอร์ ควันไฟครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สามารถสังเกตได้จากดาวเทียม







    c_oc=AQk-ccIgSQaxvVS2MnnUIXUBwbSAFCd_wi6nr5on9JdS9amS0rN0UyqaYzE0YfcpEic&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg

    c_oc=AQnsmu0XakqcOofid6sP1jeSUFHw3w3LCfkDmxgPcH2x5-NElUviTa1oY-xKeA2BRZ8&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg

    _oc=AQkAN384NH5LRyZ-NjXMpj45fLtL25Df7Qq0cc7Z_MWY2mV6dLMKHPxcOM6YormJyHo&_nc_ht=scontent.fbkk17-1.jpg

    _oc=AQnGmW-v9tzItQHU4YH4caCNZEJU1BEpE5MmZJ-dQjnKxN-Jio-oToI0Em_V1u-v3G8&_nc_ht=scontent.fbkk17-1.jpg

    c_oc=AQl8sfDy2A60exxNIdAU1hk3hq-ceHott8TElo_vaWg5lHL4Xty8PAq6QKsy15hldNY&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg

    _oc=AQn1immKJUulugBm_h2wY3-kjkXELcmCBmpUEioKxmjnPE2rohVaLnsDp_QiHjySlfI&_nc_ht=scontent.fbkk17-1.jpg

    _oc=AQnAhja5HEV4lLjpRfhWhl4YYLvWWGyhdbhPookGGTfDsElPiKdimptuQAs-PdDBtgY&_nc_ht=scontent.fbkk17-1.jpg


    _oc=AQk0dPy2345_3z5g7K26Fs5-Y9RDaUBKO-OPDjq4DjGqdDP646TvCA5JSE9eGEGCsyI&_nc_ht=scontent.fbkk17-1.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...