ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    โรงงานในฝรั่งเศสผลิตหน้ากากอนามัยย่อยสลายได้

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    อดีตผู้บริหารนิสสันชาวอเมริกันขึ้นศาลโตเกียวตามลำพัง ไร้เงา “คาลอส กอส์น”
    .
    .
    .
    รอยเตอร์/เอเจนซีส์ – อดีตผู้บริหารนิสสันชาวอเมริกัน เกร็ก เคลลี (Greg Kelly) ปฎิเสธข้อกล่าวหาช่วย คาลอส กอส์น ซุกรายได้ในการขึ้นศาลไต่สวนที่กรุงโตเกียววันอังคาร(15 ก.ย)เป็นระยะเวลาเกือบ 2 ปีที่อัยการญี่ปุ่นจับกุมตัวคนทั้งคู่

    .
    รอยเตอร์รายงานวันนี้(15 ก.ย)ว่า อดีตผู้บริหารบริษัทนิสสันชาวอเมริกัน เกร็ก เคลลี (Greg Kelly)ที่อยู่ในระหว่างอยู่ในการกันหลังจากเขาถูกปล่อยตัวจากเรือนจำในปี 2018 เดินขึ้นศาลแขวงโตเกียวในชั้นไต่สวนวันแรกซึ่งตรวกับวันอังคาร(15)โดยที่ไม่มีอดีตผู้บริหารนิสสันชาวฝรั่งเศส คาลอส กอส์น ปรากฎตัวร่วม
    .
    เกร็ก เคลลี อ้างอิงการรายงานจากเดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษ กล่าวต่อหน้าคณะผู้พิพากษาว่า “หลักฐานได้แสดงว่าผมไม่ได้ละเมิดกฎหมาย”
    .
    ทั้งนี้เคลลีถูกว่าจ้างจากบริษัทนิสสันให้เป็นผู้บริหารในสหรัฐฯเมื่อปี 1988 เขาออกมาปกป้องกอส์นโดยกล่าวว่า “คาร์ลอส กอส์นไม่เคยได้รับการจ่ายใดๆและเขาไม่ได้ถูกสัญญาใดๆ”
    .
    และเคลลีได้กล่าวต่อศาลว่า “ผมขอปฎิเสธต่อข้อหาทั้งหมด ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสบคบคิดความผิดทางอาญา”
    .
    รอยเตอร์รายงานว่า เคลลีสวมหน้ากากและสวมหูฟังเพื่อฟังล่ามแปลภาษาอังกฤษภายในศาลที่เกิดขึ้นตามกระบวนการที่ใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่
    .
    เขากล่าวต่อว่า “คุณกอส์นเป็นผู้บริหาสูงสุดที่หายาก” รอยเตอร์รายงานว่าเกร็ก เคลลีถูกดำเนินดคีข้อหาช่วยกอส์นแอบซ่อนเงินสัญญาแพ็กเก็จเกษียณอายุของกอส์นจำนวน 9.3 พันล้านเยน(88 ล้านดอลลาร์)ในช่วงเวลา 8 ปีผ่านการจ่ายที่ล่าช้า
    .
    ซึ่งตัวแทนบริษัทนิสสันที่ขึ้นศาลชั้นไต่สวนได้กล่าวกับคณะผู้พิพากษาศาลแขวงญี่ปุ่นอ้างอิงจากสื่ออังกฤษว่า ทางบริษัทไม่โต้แย้งต่อข้อหา และพร้อมที่จะจ่ายค่าปรับจำนวน 2.4 พันล้านเยน
    .
    รอยเตอร์ชี้ว่า ระยะเวลาชั้นการไต่สวนอาจต้องยาวานานถึง 1 ปี และหากว่าเคลลีที่มีอายุครบ 64 ปีในวันอังคาร(15)ถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง เขาอาจต้องได้รับโทษจำคุกสูงสุด 10 ปีในเรือนจำพร้อมกับค่าปรับ 10 ล้านเยน (94,330 ดอลลาร์)
    .
    กระบวนการไต่สวนจะประกอบไปด้วยหลักฐานและการให้การจากผู้บริหารที่มีชื่อเสียงของบริษัท รวมถึงอดีตผู้บริหารสูงสุดนิสสัน ฮิโรโต ไซกาวา(Hiroto Saikawa)ที่อาจจะช่วยแสดงให้เห็นถึงระบบการทำงานภายในบริษัทนิสสันค่ายรถชื่อดังของญี่ปุ่น
    .
    ด้านดี(Dee) ภรรยาของเคลลีได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวที่ด้านนอกของศาลยืนยันความบริสุทธิของสามีว่าเขาไม่ได้กระทำความผิดใดๆพร้อมชี้ว่า เธอภาคภูมิใจในตัวเขา และสามีเป็นคนที่มีเกียร์ติ ซึ่งในระหว่างการได้รับประกันตัวเคลลีอาศัยอยู่ในอพาทเมนต์ที่กรุงโตเกียว เดอะการเดียนรายงาน

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    "นาวาลนี" ถ่ายภาพแรกจากเตียงโรงพยาบาลพร้อมครอบครัว ลั่นหลังหายดีจะกลับ “รัสเซีย” ไม่ลี้ภัยในเยอรมัน
    .
    .
    .
    เอเจนซีส์ – ล่าสุดวันนี้(15 ก.ย)คู่ปรับผู้นำรัสเซีย อเล็กซี นาวาลนได้โพสต์ภาพแรกจากเตียงโรงพยาบาลกรุงเบอร์ลิน เป็นภาพตัวเองพร้อมกับภรรยาและลูก พร้อมกล่าวคิดถึงทุกคน ยืนยันหลังจากหายดีจะเดินทางกลับไปรัสเซียไม่คิดขอลี้ภัยต่อในเยอรมัน
    .
    บีบีซี สื่ออังกฤษ รายงานวันนั้(15 ก.ย)ว่า ล่าสุดจากภาพถ่ายบนอินสตราแกรมที่ถูกโพสต์โดย อเล็กซี นาวาลนี เป็นภาพที่เขานั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วยในอ้อมกอดของภรรยาและมีบุตรยืนเคียงข้างในสภาพที่แจ่มใส
    .
    ก่อนหน้าที่จะมีการโพสต์ภาพพบว่าโฆษกส่วนตัวนาวาลนีออกมายืนยันว่า นาวาลนีที่ถูกสารพิษทำลายประสาทโนวิช็อกเพื่อลอบสังหารและเขาเกิดล้มหมดสติบนเที่ยวบินจากไซบีเรียเมื่อวันที่ 20 ส.ค จนถึงขั้นโคม่า มีความตั้งใจที่จะเดินทางกลับไปรัสเซียหลังจากหายดีแล้ว
    .
    โดยบนอินสตราแกรมที่ถูกโพสต์ล่าสุด นาวาลนีกล่าวว่า “สวัสดี นี่คือนาวาลนี ผมคิดถึงพวกคุณทุกคน ผมยังคงทำอะไรไม่ได้มากนัก แต่เมื่อวานนี้ผมสามารถหายใจได้ด้วยตัวเองได้ตลอดทั้งวันแล้ว”
    .
    และเสริมต่อว่า “ผมทำได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องมีเครื่องช่วย ไม่มีแม้กระทั่งวาล์วบนคอ ผมรู้สึกดีมาก ถือเป็นกระบวนการที่มีความก้าวหน้าซึ่งเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงของหลายฝ่าย”
    .
    สื่ออังกฤษชี้ว่า มีจำนวนตำรวจบางตาปรากฎอยู่ด้านนอกของโรงพยาบาลชาริเตในกรุงเบอร์ลิน เยอรมัน ที่คู่ปรับประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน กำลังพักรักษาตัว โดยที่ประตูทางเข้าโรงพยาบาลปรากฎมีเจ้าหน้าที่ติดอาวุธ 2 นายยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก และมีรถตู้ตำรวจเยอรมัน 1 คันจอดอยู่ที่ด้านข้างมาหลายวันแล้ว
    .
    อย่างไรก็ตามมีรายงานที่ไม่ได้รับการยืนยันจากสื่อเยอรมันระบุว่า มีตำรวจติดอาวุธอยู่ด้านในโรงพยาบาล และมีตำรวจคุ้มกันที่ข้างเตียงนาวาลนี
    .
    อ้างอิงจากสำนักข่างอินเตอร์แฟกซ์ โฆษกปูติน ดมิตรี เพรสคอฟ ปฎิเสธการพบกันระหว่างนาวาลนีและปูตินหลังจากที่เขาหายดีแล้ว โดยเพรสคอฟกล่าวว่า “ทางเราไม่เห็นถึงความจำเป็นของการพบกันเช่นนั้น ดังนั้นผมจึงเชื่อว่าจะไม่มีการประชุมเกิดขึ้น”
    .
    สปุตนิค นิวส์ สื่อรัสเซียรายงานเพิ่มเติมว่า พบว่านาวาลนีตอบปฎิเสธที่จะให้ความร่วมมือกับฝ่ายรัสเซียการสอบสวนการลอบวางยาพิษโนวิช็อกเพื่อสังหารตัวเขา โดยอ้างอิงจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สของสหรัฐฯที่ได้ข้อมูลจากแหล่งข่าวระบุว่า ดูเหมือนในเวลานี้นาวาลนีมีสติสัมปัชญะดีระหว่างที่เขาได้ให้ปากคำกับอัยการเยอรมันเมื่อไม่นานมานี้ และดูเหมือนเขาส่งสัญญาณว่าเขามีอาการลังเลที่จะให้ความร่วมมือในการสอบสวนกับรัสเซีย
    .
    แหล่งข่าวนิวยอร์กไทม์สยังอ้างว่า นาวาลนีปฎิเสธที่จะร่วมมือกับรัสเซียในการสอบสวนร่วม โดยในรายงานกล่าวยืนยันว่านาวาลนีไม่มีแผนขออยู่ลี้ภัยในเยอรมัน เขาต้องการเดินทางกลับบ้านที่รัสเซียและต้องการเดินหน้าภารกิจของตัวเอง
    .
    ทั้งนี้ในการเลือกตั้งระดับภูมิภาคของรัสเซียในวันอาทิตย์(13) พบว่าคนของนาวาลนีสามารถโค่นพรรคยูไนเต็ดรัสเซียได้สำเร็จในไซบีเรียที่เขาได้เดินทางไปเยี่ยมก่อนที่จะถูกวางยาพิษ
    .
    ไฟแนนเซียลไทม์สรายงานเมื่อวานนี้(14)ว่า ในการเลือกตั้งระดับผู้ว่าการรัฐ 18 แห่งพบว่า พรรคยูไนเต็ดรัสเซียของปูตินกวาดไปได้ทั้งหมด และผู้สมัครที่มีเครมลินให้การสนับสนุนชนะเลือกตั้ง 13 ตำแหน่งโดยมีเสียงชนะมากกว่า 70%
    .
    อย่างไรก็ตามที่เขตไซบีเรีย เมืองโนโวซีบีสค์( Novosibirsk) ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศรัสเซีย ผลการเลือกตั้งเบื้องต้นพบว่า พรรคยูไนเต็ดรัสเซียกวาดไปได้ 22 ที่นั่งในทั้งหมด 50 ที่นั่งของสภาท้องถิ่น ต่ำจาก 33 ที่นั่ง และพบว่าคนใกล้ชิดนาวาลนี 2 คนชนะการเลือกตั้ง
    .
    และที่เมืองแทมโบฟ( Tambov) ห่างลงไปทางใต้ของกรุงมอสโกราว 450 กิโลเมตรพบว่าพรรคฝ่ายค้านชนะเสียงข้างมากในสภาท้องถิ่น
    .
    โฆษกนาวาลนีออกมาแสดงความเห็นถึงชัยชนะโดยชี้ว่า นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่านาวาลนีได้รับการสนับสนุนในรัสเซีย แต่ไฟแนนเชียลไทมส์ชี้ว่า พรรคยูไนเต็ดรัสเซียยังคงสามารถครองเสียงได้เกือบทั้งหมดในรัฐสภาส่วนกลางและเกือบจะทั้งหมดในสภาท้องถิ่น ดังนั้นชัยชนะของฝ่ายค้านที่ปรากฎนั้นไม่ถือเป็นเรื่องผิดปกติ

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    จีนผวา!ระงับนำเข้าสัตว์ปีกจากรง.สหรัฐฯอีกแห่ง พบโควิด-19ระบาดในหมู่คนงาน

    จีนระงับนำเข้าผลิตภัณฑ์จากโรงงานแปรรูปสัตว์ปีกของบริษัท "โอเคฟู้ดส์" ในฟอร์ท สมิธ รัฐอาร์คันซอ สืบเนื่องจากพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่(โควิด-19) ในหมู่คนงาน จากการเปิดเผยของสภาส่งออกสัตว์ปีกและไข่แห่งสหรัฐฯในวันอังคาร(15ก.ย.)

    https://mgronline.com/around/detail/9630000094658

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    #จีนล็อกดาวน์เมืองชายแดนติดพม่าผวาโรคระบาดโควิด19

    จีนล็อกดาวน์เมืองชายแดนที่ติดกับพม่า รวมทั้งสั่งจัดการปราบการลักลอบข้ามแดนเข้มงวดเพื่อสกัดโควิด-19 ระบาดข้ามฝั่ง ขณะเดียวกันก็แย้มข่าวดีอาจแจกจ่ายวัคซีนให้ประชาชนอย่างเร็วที่สุดในเดือนพฤศจิกายน นอกจากนั้นปักกิ่งยังเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดในวันอังคาร (15 ก.ย.) ที่บ่งชี้ว่า การฟื้นตัวเริ่มมั่นคงมากขึ้น แม้ยังต้องระวังปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น ความขัดแย้งกับอเมริกาหรือแนวโน้มไวรัสโคโรนาระบาดรอบใหม่ในช่วงฤดูหนาวก็ตาม
    https://mgronline.com/around/detail/9630000094618

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    #รัฐบาลทรัมป์ตั้งท่าหนุนดีลออราเคิลกับติ๊กต็อกแม้ทั้งคู่ตกลงเป็นหุ้นส่วนกันไม่ใช่ซื้อขายกิจการ

    ขุนคลังสหรัฐฯ ยืนยันในวันจันทร์ (14 ก.ย.) ได้รับข้อเสนอการจับมือเป็นพันธมิตรระหว่าง “ออราเคิล” กับ “ติ๊กต็อก” แล้ว และจะเริ่มพิจารณาในสัปดาห์นี้ ท่ามกลางความสงสัยของผู้สังเกตการณ์จำนวนมากว่า ดีลนี้ช่วยคลี่คลายความกังวลเรื่องความมั่นคงของอเมริกาอย่างไร

    https://mgronline.com/around/detail/9630000094617

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    สถานการณ์โควิดในพม่ายังวิกฤติ พรรคฝ่ายค้านร้องรัฐบาลเลื่อนเลือกตั้ง
    .
    .
    พรรคฝ่ายค้านในพม่ากำลังเรียกร้องให้ทางการเลื่อนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเดือนพ.ย. ออกไปก่อน เนื่องจากประเทศกำลังพยายามที่ควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
    .
    ผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นสองเท่าทุกสัปดาห์จากตอนแรกที่มีฐานผู้ติดเชื้อค่อนข้างต่ำ และเวลานี้โรงพยาบาลในนครย่างกุ้งต่างเต็มไปด้วยผู้ป่วย
    .
    ยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ เกิดขึ้นในขณะที่พม่ากำลังเตรียมจัดการเลือกตั้งระดับชาติในวันที่ 8 พ.ย. โดยคาดการณ์ว่าพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของอองซานซูจี จะคว้าชัยได้อีกหน แต่เสียงเรียกร้องให้เลื่อนการเลือกตั้งเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยสื่อท้องถิ่นกล่าวว่ามีพรรคการเมืองอย่างน้อย 3 พรรค ต้องการให้เลื่อนการเลือกตั้ง
    .
    อ่านต่อที่ https://mgronline.com/indochina/detail/9630000094582

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    แผ่นดินไหว ขนาด 5.3
    ภูมิภาค เนปาล
    วันที่ 2020-09-15 เวลา 23:34:03.5 UTC
    สถานที่ 27.85 N ; 85.93 E
    ความลึก 10 km
    Macroseismic
    IntensityV Effects: สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

    Screenshot_25630916_165657.jpg 902882.global.thumb.jpg 902882.regional.thumb.jpg

    Magnitude 5.3
    Region NEPAL
    Date time 2020-09-15 23:34:03.5 UTC
    Location 27.85 N ; 85.93 E
    Depth 10 km
    Macroseismic
    IntensityV Effects: Strong Shaking

    Distances
    62 km ENE of Kathmandu, Nepal / pop: 1,442,000 / local time: 05:19:03.5 2020-09-16

    13 km S of Kothari, Nepal / pop: 1,600 / local time: 05:19:03.5 2020-09-16

    https://m.emsc.eu/earthquake/earthquake.php?evid=902882
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ควันไฟป่าแคลิฟอร์เนียลามถึง "ดีซี" มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจแตะเกือบ 150 พันล้านดอลลาร์
    .
    .
    .
    เอเจนซีส์ – หมอกควันไฟป่าฝั่งตะวันตกสหรัฐฯกำลังมุ่งหน้าข้ามประเทศไปยังฝั่งตะวันออก คาดหมอกควันไฟป่าจะเข้าปกคลุมท้องฟ้าที่กรุงวอชิงตัน ดีซีในระดับหนึ่ง ความเสียหายทางเศรษฐกิจอาจถึง 150 พันล้านดอลลาร์
    .
    หนังสือพิมพ์ยูเอสเอทูเดย์รายงานวันนี้(15 ก.ย)ว่า นักอุตุนิยมวิทยาประจำสถานีโทรทัศน์รายงานอากาศที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง AccuWeather ของสหรัฐฯ แมท เบนซ์( Matt Benz) กล่าวแสดงความเห็นว่า “เป็นที่น่าทึ่งที่หมอกควันไฟป่าเดินทางร่วมหลายพันไมล์และในที่สุดจะเดินทางไปจนถึงฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯได้สำเร็จ”
    .
    และเสริมต่อว่า “มันดูเหมือนกับเป็นก้อนเมฆแต่จริงๆแล้วมันเป็นหมอกควัน และเราต้องอยู่กับมันจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ”
    .
    ทั้งนี้สำนักงานบริการสภาพอากาศสหรัฐฯ( National Weather Service) ให้กับกรุงวอชิงตัน ดีซี ในวันอังคาร(15) เรียกว่ามีฝูงหมอกไม่มากเกิดขึ้นตลอดทั้งวัน พร้อมชี้ว่า อย่างไรก็ตามหมอกควันไฟป่าจะยังคงปกคลุมน่านฟ้าต่อไปในระดับหนึ่ง
    .
    เบนซ์กล่าวอีกว่า แนวความเย็นระดับอ่อนถูกคาดว่าจะกวาดเข้าพื้นที่ส่วนใหญ่ในเขตชายฝั่งตะวันออกอีกไม่กี่วันนั้นคงไม่สามารถเปลี่ยนสภาพอากาศได้
    .
    ทั้งนี้พบว่ามีหมอกควันแน่นหนาในอากาศที่น่านฟ้าเขตตะวันออกจนกระทั่งประชาชนไม่สามารถสูดอากาศหายใจได้ ซึ่งในเวลานี้ไฟป่าตะวันตกสหรัฐฯทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 36 คน โดยเหยื่อล่าสุดเป็นวัยรุ่นชายวัยแค่ 13 ปีที่พยายามช่วยย่าของตัวเองให้หนีจากไฟป่า และเมื่อวานนี้(14) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เดินทางมาที่รัฐแคลิฟอร์เนียเพื่อสำรวจสภาพความเสียหายจากไฟป่าร่วมกับผู้ว่าการรัฐ แกวิน นิวซอม โดยทางผู้ว่าการรัฐได้เปรียบเทียบความร้ายแรงของหมอกควันพิษที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้าในรัฐเวลานี้เท่ากับอันตรายจากการสูบบุหรี่ถึง 20 ซอง
    .
    CNN สื่อสหรัฐฯ รายงานว่า ทรัมป์ได้ออกมาโต้เจ้าหน้าที่ซึ่งรายงานสรุปปัญหาไฟป่าตะวันตกครั้งใหญ่ว่า ไม่ได้มีตัวการมาจากปัญหาภาวะโลกร้อน พร้อมกับเสียงหัวเราะหลังจากเจ้าหน้าที่ขอให้ประธานาธิบดีฟังเสียงวิทยาศาสตร์
    .
    ยูเอสเอทูเดย์รายงานว่า ผลจากไฟป่าตะวันตกทำให้คาดว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจน่าจะสูงระหว่าง 130 – 150 พันล้านดอลลาร์

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เช้านี้จาก emsc ก็มีแต่แผ่นดินไหว ขนาด 5.3

    เนปาลเจอ "อาฟเตอร์ช็อกปี 2015" แรง 6.0 ริกเตอร์เช้านี้ ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต เกิดไม่กี่วันหลังดินถล่มคร่าชีวิต 12
    .
    .
    .
    เอเจนซีส์/รอยเตอร์ - ศูนย์แผ่นดินไหวแห่งชาติเนปาล NSC รายงานว่า เกิดแผ่นดินไหวที่มีความแรง 6.0 แมกกกกกนิจูดใกล้กับกรุงกาฐมาณฑุเช้าวันพุธ(16 ก.ย) ล่าสุดยังไม่มีรายงานบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เกิดขึ้นหลังวันอาทิตย์(13 ก.ย)เนปาลมีผู้เสียชีวิต 12 ราย และสูญหายอีก 21 รายจากดินถล่มเนื่องมาจากฝนตกหนัก
    .
    ฮินดูสถานสื่ออินเดียรายงานวันนี้(16 ก.ย)ว่า แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นมีความแรง 6.0 แมกกนิจูด ในระดับความลึก 10 กิโลเมตร เกิดขึ้นในเวลา 05.19 น. ตามเวลาท้องถิ่น
    .
    โดยศูนย์กลางของแผ่นดินไหวเกิดห่างจากเมืองหลวงของเนปาลไปทางตะวันออกราว 48 กิโลเมตร เกิดที่ รัมซี(Ramche) ในเขตสินธุปาลโชค (Sindhupalchok) จังหวัดบักมาติประเทศ
    .
    โดยไม่กี่นาทีหลังเกิดเหตุพบว่า ศูนย์แผ่นดินไหวแห่งชาติเนปาล NSC ( National Seismological Centre) ได้รายงานผ่านทางทวิตเตอร์
    .
    แรงแผ่นดินไหวสามารถรู้สึกได้ในพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาคตะวันออกของเนปาล หัวหน้าศูนย์แผ่นดินไหวแห่งชาติเนปาล NSC ลก บีเจย์ อดิการี( Lok Bijay Adhikari) ยืนยันเหตุเกิดแผ่นดินไหวทางโทรศัพท์ พร้อมกับแสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเป็นอาฟเตอร์ช็อกของแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเนปาลปี 2015
    .
    ด้าน ราจาน อดิการี(Rajan Adhikari) ผู้กำกับการประจำสถานีตำรวจเขตสินธุปาลโชค ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “นับตั้งแต่สามารถรับรู้แรงสั่นสะเทือน ทางเรายังไม่ได้รับรายงานความเสียหายหรือการสูญเสียชีวิตมนุษย์เกิดขึ้น เราได้ติดต่อโรงพยาบาลต่างๆภายในเขตเพื่อดูว่ามีเรื่องร้ายเกิดขึ้นหรือมีผู้ต้องการได้รับความช่วยเหลือหรือไม่ แต่มาจนถึงวันนี้ทางเรายังไม่ได้รับรายงานดังกล่าวที่ว่านี้”
    .
    แผ่นดินไหวที่เป็นผลมาจากอาฟเตอร์ช็อกปี 2015 เกิดขึ้นไม่กี่วันหลังจากที่เนปาลต้องพบกับความสูญเสียในเหตุดินถล่มวันอาทิตย์(13)เนื่องมาจากฝนตกหนัก
    .
    รอยเตอร์รายงานในวันอาทิตย์(13)ว่า มีผู้เสียชีวิต 10 คนและสูญหายอีก 21 คนหลังจากเกิดดินถล่มขึ้นที่ บาราห์บิซ (Barahbise) ห่างออกไปทางตะวันออกของกรุงกาฐมาณฑุราว 100 กิโลเมตรใกล้พรมแดนติดทิเบตของจีน
    .
    ส่วนเหยื่ออีก 2 รายเสียชีวิตที่บักลุง (Baglung) ทางตะวันตกเฉียงเหนือ

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    บาทยังอ่อนค่าเมื่อเทียบกับคู่ค้าหลายประเทศ

    ความกังวลการแพร่ระบาดของ Covid-19 ที่ปรับดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ส่งผลให้ค่าเงินภูมิภาคส่วนใหญ่ทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้น

    ด้านเงินบาทยังคงอ่อนค่าเทียบสกุลคู่ค้า แม้สถานการณ์ Covid-19 ในไทยจะดีกว่าในหลายประเทศ แต่ยังคงมีปัจจัยในประเทศที่กดดันต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนทางการเมือง การชุมนุมในประเทศ ที่สนับสนุนให้เงินบาทอ่อนค่าเทียบสกุลภูมิภาค

    ซึ่งหากไปดูตั้งแต่ต้นปี
    เงินบาทอ่อนค่าลงกว่าสกุลเงินประเทศคู่ค้าเกือบทุกประเทศ ยกเว้นเพียงอินโดนีเซีย โดยเงินบาทของไทยอ่อนค่ามากสุดเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าอย่าง ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และจีน กว่า 7-8%

    #ถ้าเบื่อดูแต่ดอลลาร์ #มาเทียบกับคู่ค้าดีกว่า #อ่อนไปกว่าหลายประเทศ #รมวคลังออกไปเมื่อไรคนใหม่จะมา #3นิ้วมาพาบาทอ่อน

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    FB_IMG_1600251178649.jpg

    (Sep 16) ทำความรู้จักกับ CBDC และความคืบหน้าในประเทศไทย: ในโลกการเงินดิจิทัล คริปโตเคอร์เรนซี (cryptocurrency) หรือที่รู้จักในชื่อว่าสกุลเงินดิจิทัล ได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายว่าจะเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมูลค่าที่จะมาทดแทนการใช้เงินสดหรือแม้แต่เงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-money) ที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันได้หรือไม่ และด้วยศักยภาพของเทคโนโลยีการประมวลผลแบบกระจายศูนย์ที่อยู่เบื้องหลังอย่างบล็อกเชน (blockchain) ที่มีความปลอดภัยและสามารถสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ใช้งาน ขณะที่เทคโนโลยีดังกล่าวช่วยลดบทบาทตัวกลางอย่างสถาบันการเงิน ที่มีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ ธนาคารกลางทั่วโลกจึงหันมาศึกษาความเป็นไปได้ในการนำบล็อกเชนมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพของระบบการชำระเงิน และการออกใช้ Central Bank Digital Currency (CBDC) หรือสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง เพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมูลค่าที่จะเป็นตัวแทนของเงินได้จริง ๆ

    CBDC ต่างกับคริปโตเคอร์เรนซีอย่างไร

    CBDC ถือเป็น "สกุลเงิน" ในรูปแบบดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง ซึ่งมีคุณสมบัติในการเป็นสื่อกลางเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการ สามารถรักษามูลค่า และเป็นหน่วยวัดทางบัญชีได้ ซึ่งต่างจากคริปโตเคอร์เรนซีอย่าง Bitcoin Ether หรือ Ripple ที่ออกโดยภาคเอกชน และมีมูลค่าผันผวนจากการใช้เพื่อเก็งกำไร จึงไม่เหมาะสำหรับการนำมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ

    CBDC สามารถแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ สำหรับการทำธุรกรรมระหว่างสถาบันการเงิน (wholesale CBDC) และสำหรับธุรกรรมรายย่อยของภาคธุรกิจและประชาชน (retail CBDC)

    การตื่นตัวเรื่อง CBDC ของธนาคารกลางทั่วโลก

    นอกจากประเทศจีนที่ประกาศใช้เงินดิจิทัลหยวนสำหรับประชาชนอย่างเป็นทางการไปแล้วเมื่อช่วงต้นปี 2563 ยังมีหลายประเทศที่กำลังเดินหน้าศึกษาและทดลองเรื่องนี้ อาทิ การทดสอบการใช้ e-krona ของประเทศสวีเดน การออกแนวทางการศึกษาและออกแบบอย่างธนาคารกลางอังกฤษและแคนาดา โดยในส่วนของประเทศไทยนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ 8 แห่งได้ริเริ่ม "โครงการอินทนนท์" ตั้งแต่ปี 2560 เพื่อศึกษาประสิทธิภาพและความเป็นไปได้ของการใช้ CBDC ในภาคสถาบันการเงิน รวมถึงมีการทดลองการโอนเงินข้ามประเทศร่วมกับธนาคารกลางฮ่องกง ซึ่งผลการทดสอบและองค์ความรู้ในการทำโครงการฯ เป็นประโยชน์อย่างมากต่อการพัฒนาเงินสกุลดิจิทัลของไทยในอนาคตที่ต้องให้ความสำคัญต่อเสถียรภาพการเงินและการสร้างนวัตกรรมที่สนับสนุนภาคธุรกิจเอกชน

    โครงการอินทนนท์กับการต่อยอดสู่ภาคธุรกิจเอกชน

    หลายคนคงจำได้ถึงการเปิดตัว Libra ของเฟซบุ๊กเมื่อกลางปี 2562 ที่ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกตื่นตัวยิ่งขึ้นและเริ่มให้ความสนใจกับการพัฒนา CBDC สำหรับรายย่อยมากขึ้น โดย ธปท. อยู่ระหว่างศึกษา ออกแบบ และพัฒนาระบบต้นแบบ CBDC ร่วมกับภาคธุรกิจเอกชน ซึ่งเป็นโครงการต่อยอดการพัฒนาจากโครงการอินทนนท์ เพื่อศึกษารูปแบบ ผลกระทบ และข้อจำกัดในการนำ CBDC ไปใช้ในภาคเอกชน โดยเริ่มจากการเชื่อมต่อระบบการบริหารการจัดซื้อและการชำระเงินระหว่างบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) กับคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทาน โดยมีบริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นผู้พัฒนาระบบดังกล่าวร่วมทดสอบ อย่างไรก็ดี การนำระบบต้นแบบมาปรับใช้จริงในวงกว้างนั้น จำเป็นต้องใช้เวลาศึกษาและพิจารณาผลกระทบในมิติอื่น ๆ อย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นข้อกฎหมายเสถียรภาพของระบบ ความปลอดภัยในการใช้งาน และความพร้อมด้านเทคโนโลยีของผู้ใช้ เป็นต้น

    ประชาชนกับ CBDC ในอนาคต

    การพัฒนาเงินดิจิทัลสำหรับประชาชนถือว่าเป็นเรื่องใหญ่และต้องพิจารณาให้รอบด้าน ซึ่งยากที่จะสามารถตอบได้ว่าเมื่อใดเราจะมี CBDC ใช้ เพราะความพร้อมอาจไม่ขึ้นอยู่กับ ธปท. เพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องไปทั้งองคาพยพ ในด้านความพร้อมของภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชน รวมถึงมาตรการความปลอดภัยต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนมั่นใจในเสถียรภาพระบบการเงิน ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการทำหน้าที่ของธนาคารกลาง

    Source: วารสารพระสยาม Magazine
    https://www.bot.or.th/Thai/BOTMagazine/Pages/256304_TheKnowledge_CBDC.aspx

    เพิ่มเติม
    - งานสัมมนาของ สถาบันวิจัยป๋วย เรื่อง BOT Policy Forum “Central Bank Digital Currency and Policy Implications”
    https://www.pier.or.th/?research_wo...bank-digital-currency-and-policy-implications
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    PSX_20200916_171436.jpg

    (Sep 16) เมื่อการจัดอันดับประเทศน่าทำธุรกิจถูกท้าทาย : อาทิตย์ที่แล้ว นิตยสาร เดอะ อิโคโนมิส(The Economist) ฉบับวันที่ 5 – 11 ก.ย. จัดหนักงานวิจัยจัดอันดับประเทศที่น่าทำธุรกิจ หรือดัชนีความสะดวกในการทำธุรกิจ(Ease of Doing Businese Index) ของธนาคารโลกจากที่มีข่าวว่าการประกาศการจัดอันดับล่าสุดอาจมีการเลื่อน พร้อมให้ข้อสังเกตุหลายอย่างเกี่ยวกับ “ความน่าเชื่อถือ” ของข้อมูลที่นำมาใช้ในการจัดอันดับ รวมถึงปัญหาธรรมาภิบาลของเจ้าหน้าที่ที่จัดทำดัชนีดังกล่าว เป็นเรื่องที่ผู้ที่สนใจควรรู้ไว้

    เรื่องนี้ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรคงมีเฉพาะคนส่วนน้อยที่เกี่ยวข้องที่จะทราบ ดังนั้นเป็นหน้าที่ของธนาคารโลกที่ต้องมาให้ความกระจ่างเรื่องนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่องค์กรระหว่างประเทศส่วนใหญ่ประสบ คือการพยายามทำหน้าที่สร้างผลงานที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ

    ขณะเดียวกันก็ต้องบริหารความรู้สึกของประเทศสมาชิกที่ผลการจัดอันดับอาจออกมาไม่ดี เพราะผลที่ออกมาสื่อถึงความสามารถในการทำหน้าที่ของรัฐบาลเจ้าของประเทศโดยตรง ซึ่งในกรณีของดัชนีความสะดวกในการทำธุรกิจ เป็นดัชนีที่นักลงทุนให้ความสำคัญและสะท้อนชัดเจนถึงความสามารถของรัฐบาลในการบริหารจัดการเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ

    ปรัชญาของดัชนีความสะดวกในการทำธุรกิจ คือ ธุรกิจจะเติบโตง่ายขึ้น ถ้ากฎเกณฑ์การกำกับดูแล(Regulations) ไม่เป็นข้อจำกัด ทำให้นักธุรกิจมีเสรีภาพในการทำธุรกิจ ซึ่งหมายถึงเกณฑ์การกำกับดูแลที่เหมาะสมและเอื้อต่อการทำธุรกิจ ภายใต้แนวคิดนี้ ดัชนีความสะดวกในการทำธุรกิจจึงมุ่งไปที่ประสิทธิภาพของกระบวนการกำกับดูแลธุรกิจใน 12 ประเด็น ตั้งแต่การเริ่มต้นจัดตั้งบริษัท เลือกสถานที่ทำการ การเข้าถึงสินเชื่อ ปัญหาในการทำธุรกิจประจำวันที่เกี่ยวกับระเบียบของภาครัฐ และความปลอดภัยในการทำธุรกิจ ประเมินกระบวนการดังกล่าว โดยใช้ตัววัด 12 ตัว ทำใน 190 ประเทศ สรุปเป็นคะแนน และจัดอันดับความสะดวกในการทำธุรกิจตามคะแนนที่แต่ละประเทศได้จากดีสุดถึงแย่สุด

    การเปรียบเทียบและจัดอันดับดังกล่าวทำให้รัฐบาลบางประเทศจะหมกหมุ่นมากกับผลการจัดอันดับ เพราะสื่อให้เห็นถึงข้อจำกัดที่ประเทศมีในการทำธุรกิจ มีบางประเทศใช้องค์ประกอบ 12 ตัวของดัชนีเป็นพิมพ์เขียวในการปฏิรูปกระบวนการทำธุรกิจของประเทศเพื่อให้ได้คะแนนดีขึ้น จนนำไปสู่การลดกฎเกณฑ์ควบคุมธุรกิจที่เกินพอดี ซึ่งเป็นสิ่งที่นักธุรกิจชอบ คือ ถูกควบคุมน้อยและจะทำอะไรก็ง่าย แต่การผ่อนปรนก็สร้างต้นทุนให้กับสังคมเมื่อธุรกิจขาดการควบคุมอย่างเพียงพอ

    ข้อสงวนสำคัญที่นิตยสาร เดอะ อิโคโนมิส พูดถึงในกรณีดัชนีความสะดวกในการทำธุรกิจคือ

    หนึ่ง เกณฑ์และข้อมูลดิบที่นำมาใช้ในการให้คะแนนอาจถูกท้าทายโดยประเทศที่คะแนนการประเมินออกมาไม่ดี ทำให้ผลการประเมินที่ออกมาในที่สุด อาจมีคำถามตามมามากมายเมื่อตัวเลขและเกณฑ์มีการทบทวนตามการร้องขอของประเทศที่ถูกประเมิน โดยบทความให้ตัวอย่างประเทศที่เรื่องทำนองนี้อาจเกิดขึ้น สะท้อนการบริหารความรู้สึกของประเทศสมาชิกที่ได้พูดถึง ในเรื่องนี้น่ายินดีว่า ธนาคารโลกไม่ได้นิ่งนอนใจและกำลังมีการสอบทาน (audit) ระบบการประเมินทั้งหมดอยู่

    สอง คือ ปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนหรือธรรมาภิบาลของเจ้าหน้าที่ในการทำหน้าที่ ทั้งประเมินและให้คำแนะนำประเทศที่ถูกประเมินไปพร้อมกัน แนะนำวิธีการที่ประเทศที่ถูกประเมินสามารถปรับปรุงกฎเกณฑ์หรือกระบวนการที่ปฏิบัติอยู่เพื่อให้ได้คะแนนดีขึ้น ซึ่งเป็นความขัดแย้งทางผลประโยชน์อย่างชัดเจน กล่าวคือ งานด้านการประเมิน และงานด้านการให้คำแนะนำ ควรแยกจากกัน คือ ควรทำโดยบุคคลสองกลุ่มอย่างอิสระ มีกำแพงปิดกั้นชัดเจนเพื่อไม่ให้ความขัดแย้งทางผลประโยชน์เกิดขึ้น ปัญหาลักษณะนี้เกิดขึ้นบ่อยในธุรกิจจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ที่บริษัทจะทำงานด้านวิจัย ให้คำแนะนำ และประเมินไปพร้อมกัน อันนี้เป็นอีกประเด็นที่สามารถแก้ไขได้

    สาม ผลการศึกษาในปี 2015 ชี้ว่า ไม่มีความสัมพันธ์ทางสถิติระหว่างอันดับดัชนีความสะดวกในการทำธุรกิจที่ประเทศได้ กับ สิ่งที่นักธุรกิจในประเทศพูดถึงเมื่อถูกถามเรื่องการทำธุรกิจ กล่าวคือ อันดับที่ดัชนีการจัดอันดับแสดง หมายถึงความสะดวกในการทำธุรกิจบนกระดาษหรือตามข้อมูลที่ระบุไว้ในระเบียบของทางการ เช่น จำนวนวันที่ใช้ในการเปิดบริษัท ซึ่งข้อมูลตามระเบียบอาจบอกว่าน้อยกว่า 24 ชม. ขณะที่ในโลกธุรกิจจริง จำนวนวันที่ใช้จริงและค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอาจต่างจากที่ระบุไว้ในระเบียบ เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถจับต้องได้ด้วยดัชนี ความแตกต่างนี้ชี้ให้เห็นถึง โลกบนกระดาษของระบบราชการกับโลกในภาคธุรกิจที่เกิดขึ้นจริง

    ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่นักการเมืองให้ความสำคัญกับอันดับของประเทศในดัชนีความสะดวกในการทำธุรกิจมาก และทุกครั้งที่ผลการประเมินออกมาดีก็จะมีการแถลงข่าวใหญ่โต ล่าสุดในรายงาน Doing Business 2020 ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 21 ในดัชนีความสะดวกในการทำธุรกิจ ประเมินจาก 190 ประเทศทั่วโลก เฉพาะในเอเชีย ประเทศที่อยู่อันดับสูงกว่าไทยได้แก่ นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ ฮ่องกง เกาหลีใต้ มาเลเซีย และออสเตสเลีย เห็นตัวเลขแล้วน่าภูมิใจ

    แต่นักธุรกิจที่ทำธุรกิจอยู่ในประเทศไทยจริง ทั้งนักธุรกิจไทยและต่างประเทศ คงมีหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับอันดับดังกล่าว เพราะถ้าเราดูดัชนีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจในประเทศไทย ผลที่ออกมาจะต่างกันมาก เช่น การสำรวจปัญหาที่นักธุรกิจพบในการทำธุรกิจในประเทศไทย หรือ Most problematic factors for doing business จัดทำโดยสภาเศรษฐกิจโลก(World Economic Forum) ชี้ว่าปัญหาความไร้เสถียรภาพของรัฐบาล ความไม่มีประสิทธิภาพของระบบราชการ ความไม่เสถียรของนโยบาย การขาดสมรรถนะด้านนวัตกรรม และการทุจริตคอร์รัปชัน เป็นห้าปัญหาหลักที่ภาคธุรกิจประสบในการทำธุรกิจในบ้านเรา เป็นข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้และไปไม่ได้เลยกับอันดับที่สูงของไทยในดัชนีความสะดวกในการทำธุรกิจ

    อีกตัวอย่าง คือ ดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นของประเทศไทยที่ล่าสุดแย่ลงอีกในปี 2019 คือ คะแนนที่ประเทศไทยได้เรื่องภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นลดลงเหลือ 36 คะแนนในปี 2019 จาก 37 คะแนนปีก่อนหน้าจากคะแนนเต็มร้อย ขณะที่อันดับของประเทศไทยเพิ่มเป็น 101 จาก 96 ในปี 2018 คือ ยิ่งสูงยิ่งไม่ดี นี่คือความรู้สึกของนักธุรกิจเกี่ยวกับการทำธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งไปไม่ได้เช่นกันกับอันดับความสะดวกในการทำธุรกิจที่ประเมินออกมา

    ทั้งหมดนี้ ชี้ว่า ไม่ควรมองอะไรง่ายเกินไป เพราะทุกเรื่องมีสองด้านเสมอ การจัดอันดับที่ดีขึ้นของประเทศอาจเป็น “วินวิน” สำหรับองค์กรที่จัดทำดัชนีกับนักการเมืองที่เป็นรัฐบาล แต่อาจไม่ใช่สถานการณ์ที่แท้จริงของประเทศ

    คอลัมน์เศรษฐศาสตร์บัณฑิต โดย ดร.บัณฑิต นิจถาวร

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    https://www.bangkokbiznews.com/news...edium=internal_referral&utm_campaign=economic
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    FB_IMG_1600251356999.jpg

    (Sep 15) พลิกวิกฤติยานยนต์ไทยด้วยการยกระดับทักษะแรงงาน: อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยถือเป็นผู้ผลิตอันดับต้นๆ ของโลก นับเป็นอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 คิดเป็น 14% ของการผลิตภาคอุตสาหกรรมไทย

    แต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมนี้อย่างมาก บทความนี้จะฉายภาพผลกระทบต่อการผลิตและส่งออกยานยนต์ การจ้างงานและรูปแบบการทำงาน รวมถึงความจำเป็นในการปรับตัวเพื่ออยู่รอดจากวิกฤติครั้งนี้

    ยอดการผลิตรถยนต์หดตัวมาก กลุ่มผู้ผลิต SME กระทบหนัก

    ในช่วงปี 2558-2562 ยอดการผลิตรถยนต์ของไทยทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 1.90-2.17 ล้านคัน หรือเฉลี่ยเดือนละ 160,000-180,000 คัน สูงสุดในปี 2561 โดยเป็นการส่งออกครึ่งหนึ่งของยอดการผลิตทั้งหมด และเริ่มชะลอลงในปี 2562 จากความต้องการรถยนต์ของคนไทยลดลง การชะลอตัวของเศรษฐกิจและผลจากสงครามการค้า จากข้อมูลของสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พบว่ายอดการผลิตรถยนต์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 หดตัวประมาณ 40% เทียบกับปี 2562 เหลือประมาณเดือนละ 100,000 คัน ขณะที่การส่งออกหดตัว 33% หดตัวทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถเพื่อการพาณิชย์

    จากการสัมมนาระดมความคิดเห็นเรื่อง “ตลาดแรงงานไทยหลังยุคโควิด-19 : ผลกระทบ แนวโน้มและทางออก” พบว่ากลุ่ม SME ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์กลุ่ม tier2 และ tier3 ถือเป็นกลุ่มผู้ผลิตที่เปราะบางและได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง กลุ่มนี้มีผลิตภาพแรงงานต่ำ มีทุนสำรองน้อย รวมทั้งมีความเสี่ยงต่อการถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยี โดยมียอดคำสั่งซื้อและยอดการผลิตลดลงต่อเนื่อง ในเดือน ก.พ.ลดลง 18% มี.ค.ลดลง 25-30% และ เม.ย.ลดลง 50%

    การจ้างงานและรูปแบบการทำงานได้รับผลกระทบ

    ผลสำรวจและสัมภาษณ์แรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ จัดทำโดยกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ร่วมกับศูนย์ประสานงานเพื่อการวิจัยแรงงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU-ColLaR) ช่วงเดือน ธ.ค.62-พ.ค.63 พบว่ากลุ่มแรกคือ แรงงานกลุ่มผู้ที่จบ ม.3-ม.6 ทำงานในสายงานการผลิตได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะในตำแหน่งงานประกอบ ตรวจสอบคุณภาพ และงานเทคนิค เนื่องจากมีช่องว่างทักษะด้านคอมพิวเตอร์และภาษาอังกฤษ หากบริษัทมีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ แรงงานกลุ่มนี้จะไปต่อไม่ได้

    กลุ่ม 2 คือ แรงงานกลุ่มอายุ 45 ปีขึ้นไป มีการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ทำงานในสายงานผลิต และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 55,000 บาท หากไม่สามารถต่อยอดพัฒนาทักษะให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีได้ อาจได้รับเงินก้อนประมาณ 2-3 ล้านบาท จากการถูกเลิกจ้างหรือเกษียณก่อนกำหนด เป็นทุนไปประกอบอาชีพด้านอื่นต่อไป

    และกลุ่ม 3 คือ แรงงานกลุ่มอายุ 45 ปีขึ้นไป มีการศึกษาปริญญาตรีและสูงกว่า และทำงานในสายงานวิศวกรรม จะไม่ถูกกระทบมากนัก หากถูกเลิกจ้างก็มีแนวโน้มจะหางานใหม่ได้

    ที่มา : ข้อมูลการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้แทนภาคเอกชน ผู้แทนภาครัฐ และผู้แทนด้านแรงงาน จัดทำโดยกองบริหารข้อมูลตลาดแรงงาน กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ร่วมกับนักวิจัยของศูนย์ประสานงานเพื่อการวิจัยแรงงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU-ColLaR) สัมภาษณ์ในช่วงเดือน ธ.ค.62-พ.ค.63

    นอกจากนี้ ภาวะตลาดที่ซบเซาทำให้ภาคการผลิตยานยนต์ไม่ต้องการรับบัณฑิตจบใหม่ แรงงานที่ไม่มีทักษะและประสบการณ์จึงเข้าสู่อุตสาหกรรมได้ค่อนข้างยาก และแนวโน้มการจ้างงานหลังวิกฤติโควิด-19 จะเปลี่ยนไป อุตสาหกรรมยานยนต์จะมีการลดจำนวนแรงงานเพราะมีการนำระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์เข้ามาทดแทนมากขึ้น ทำให้ต้องเตรียมคนให้พร้อมเพื่อรองรับการทำงานยุคดิจิทัล

    บทเรียนและความท้าทาย

    วิกฤติครั้งนี้สร้างบทเรียนและความท้าทายต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

    ประการแรก การกระจายความเสี่ยงการจัดหาชิ้นส่วนรถยนต์ในห่วงโซ่อุปทานมาตรการล็อกดาวน์ในจีนส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานการผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนทั่วโลก แม้ไทยจะไม่ได้พึ่งพิงชิ้นส่วนจากจีนมากนักแต่ก็มีบางชิ้นส่วนสำคัญที่ต้องนำเข้าจากจีน ผู้ผลิตจึงต้องหันไปพึ่งชิ้นส่วนจากญี่ปุ่นแทน เป็นบทเรียนว่าการพึ่งพิงฐานการผลิตเดียวอาจมีความเสี่ยง

    ประการที่สอง การลดระดับระบบการผลิตแบบ Just In Time[1] วิกฤติครั้งนี้ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงักพร้อมกัน ส่งผลให้วัตถุดิบไม่พอในการผลิต แม้ไทยจะได้เปรียบกว่าฐานการผลิตอื่นในภูมิภาคเนื่องจากมีคลัสเตอร์ผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศ[2] แต่ยังต้องนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ที่มีความซับซ้อน ทำให้ต้องมีการบริหารสต็อกมากขึ้น

    ประการที่สาม แนวโน้มการลงทุนจากต่างชาติถ่ายโอนไปยังประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น เป็นผลจากตลาดภายในประเทศเริ่มอิ่มตัว ยอดขายในประเทศลดลง

    และประการที่สี่ ความเร็วของการเข้าสู่เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและแนวคิด CASE (Connected, Autonomous, Shared, Electric) โดยเฉพาะประเทศแถบยุโรป ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีการผลิตที่เน้นเลือกใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ผู้ประกอบการและแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจำเป็นต้องปรับโครงสร้างเพื่อเผชิญกับความท้าทายดังกล่าวในระยะข้างหน้า

    บทเรียนสำหรับผู้ประกอบการคือ ต้องลดต้นทุน เพิ่มผลิตภาพและคุณภาพสินค้า ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องรวมทั้งภาคบริการและภาคสังคมด้วย

    ขณะที่แรงงานก็ต้องปรับตัว โดยกลุ่มที่ยังทำงานในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ต้องเร่งยกระดับทักษะด้านเทคโนโลยีในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตยานยนต์สมัยใหม่ รวมถึงทักษะด้านคอมพิวเตอร์และภาษาต่างประเทศ สำหรับกลุ่มที่ต้องออกจากอุตสาหกรรมยานยนต์ ภาครัฐควรมีมาตรการเชิงรุกที่เน้นการพัฒนาและฝึกอบรม เพื่อรองรับให้แรงงานมีงานทำหรือเปลี่ยนอาชีพ หากทุกฝ่ายร่วมมือช่วยเหลือกัน ก็เชื่อว่า “การให้” จะทำให้ทุกฝ่ายรอดจากวิกฤตินี้ไปด้วยกันได้

    คอลัมน์แจงสี่เบี้ย โดย ดร.เสาวณี จันทะพงษ์
    ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย และนักวิจัยเครือข่าย CU-ColLar ดร.ชฎาธาร โอษธีศ วิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักวิจัยเครือข่าย CU-ColLaR

    [บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย]

    [1] Just In Time คือการที่ชิ้นส่วนที่จำเป็นเข้ามาถึงกระบวนการผลิตในจำนวนและเวลาที่ต้องการ เป็นการลดต้นทุนการสต็อกสินค้า

    [2] คลัสเตอร์ คือการรวมกลุ่มของธุรกิจและสถาบันที่เกี่ยวข้องที่ดำเนินกิจกรรมอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน โดยมีความร่วมมือ เกื้อหนุน เชื่อมโยงซึ่งกันและกันอย่างครบวงจร

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    https://www.bangkokbiznews.com/blog...dium=internal_referral&utm_campaign=columnist
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    PSX_20200916_171744.jpg

    (Sep 15) IEA หั่นคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันปีนี้จากพิษโควิด-19 : สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ปรับลดตัวเลขคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในปีนี้ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งได้กระทบอุตสาหกรรมการบินทั่วโลก

    ทั้งนี้ IEA คาดการณ์อุปสงค์น้ำมันที่ระดับ 91.7 ล้านบาร์เรล/วันในปีนี้ โดยลดลง 8.4 ล้านบาร์เรล/วันเมื่อเทียบกับอุปสงค์ในปีที่แล้ว ขณะที่ตัวเลขคาดการณ์ในเดือนส.ค.ระบุว่าจะลดลง 8.1 ล้านบาร์เรล/วัน

    อย่างไรก็ดี IEA คาดว่าอุปสงค์น้ำมันในปีหน้าจะเพิ่มขึ้น 5.5 ล้านบาร์เรล/วัน สู่ระดับเฉลี่ย 97.1 ล้านบาร์เรล/วัน

    ทางด้านกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในปีนี้และปีหน้า ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของอินเดีย และประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย

    ทั้งนี้ โอเปกคาดการณ์ว่าอุปสงค์น้ำมันในปีนี้จะอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 90.2 ล้านบาร์เรล/วัน โดยลดลง 400,000 บาร์เรล/วันจากตัวเลขคาดการณ์ในเดือนส.ค.

    นอกจากนี้ ตัวเลขคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันดังกล่าว ลดลง 9.5 ล้านบาร์เรล/วัน เมื่อเทียบกับอุปสงค์ในปีที่แล้ว

    ขณะเดียวกัน โอเปกเตือนว่า อุปสงค์น้ำมันจะยังคงอยู่ในระดับต่ำในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ขณะที่ยังคงมีความเสี่ยงในช่วงขาลง เมื่อพิจารณาจากตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ
    https://www.ryt9.com/s/iq30/3159099

    เพิ่มเติม
    - IEA cuts 2020 oil demand forecast, sees 'treacherous' path ahead with rising coronavirus cases https://cnb.cx/32y5vh4
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    PSX_20200916_171921.jpg

    (Sep 15) ส่งออกหด ท่องเที่ยวหาย ทำไมเงินบาทแข็งค่า: นัยดุลการชำระเงินต่อทิศทางค่าเงินบาท - ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ธนาคารทีเอ็มบี วิเคราะห์ “ส่งออกหด ท่องเที่ยวหาย ทำไมเงินบาทแข็งค่า: นัยดุลการชำระเงินต่อทิศทางค่าเงินบาท” โดยมองว่านับแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ลุกลามไปทั่วโลกตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2563 ส่งผลให้การค้าและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศของไทยได้เข้าสู่ภาวะซบเซาอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเกิดความผันผวนของเม็ดเงินลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินบาทเกิดความผันผวนมากเช่นเดียวกัน โดยการที่เงินบาทกลับมาแข็งค่าอีกครั้งหลังเดือนมีนาคม ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจสร้างแรงกดดันต่อแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในภาคธุรกิจที่พึ่งพารายได้จากต่างประเทศเป็นหลัก

    การแข็งค่าของเงินบาทในครั้งนี้ เป็นผลมาจากปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไปภายใต้ช่วงการระบาดของโควิด-19 วันนี้เราจึงอยากชวนผู้อ่านทุกท่านมาทำความเข้าใจ ถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าเงินบาททั้งในช่วงก่อนและหลังยุคโควิด-19 เช่น การเปลี่ยนแปลงของดุลการชำระเงินของไทย และทิศทางค่าเงินดอลลาร์ สรอ. ไทย เพื่อที่จะได้เข้าใจแนวโน้มค่าเงินบาทที่อาจเปลี่ยนแปลงไปภายหลังการระบาดของเชื้อโควิด-19

    ส่องความสัมพันธ์ค่าเงินบาทและดุลการชำระเงินของไทยช่วงก่อนวิกฤติโควิด
    การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาท โดยทั่วไปแล้วเราจะศึกษาผ่านดุลการชำระเงิน ซึ่งประกอบไปด้วย 3 ส่วนใหญ่ คือ ดุลการค้า ดุลบริการฯ และดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้าย ซึ่งในแต่ละช่วงเวลา ดุลบัญชีเหล่านี้จะมีบทบาทที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์ โดยนับแต่ปี 2558 เป็นต้นมา ดุลการชำระเงินของไทยได้ทยอยเกินดุลเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (ภาพที่ 1) โดยดุลการค้าของไทยเพิ่มสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤติการเงินโลก

    ส่วนดุลบริการได้เปลี่ยนจากขาดดุลเป็นเกินดุลสุทธิต่อเนื่อง หลังจากไทยกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีน แต่ดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิได้เปลี่ยนเป็นขาดดุลสุทธิจนถึงปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเกิดจากต่างชาติลดการลงทุนในหลักทรัพย์ของไทย และการลงทุนโดยตรงของธุรกิจไทยเพื่อขยายตลาดหรือฐานการผลิตไปยังต่างประเทศได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทิศทางของค่าเงินบาทหลังปี 2557 จนถึงปัจจุบันมีความสัมพันธ์กับดุลการชำระเงินน้อยลง เมื่อเทียบกับในช่วงก่อนปี 2554

    ปัจจัยกดดันการแข็งค่าของเงินบาทภายหลังวิกฤติโควิด

    อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาค่าเงินบาทตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิดไปทั่วโลกนับแต่ต้นปี 2563 ที่นำไปสู่การทยอยล็อกดาวน์ในหลายประเทศทั่วโลกในช่วงถัดมานั้น พบว่า เงินบาทได้กลับมาแข็งค่าอีกครั้งในช่วงสิ้นไตรมาสที่ 2/2563 หลังอ่อนค่าลงไปมากในไตรมาสแรก ซึ่งเป็นช่วงที่ไทยและหลายประเทศทั่วโลกกำลังอยู่ในช่วงล็อกดาวน์ กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ทั้งในและระหว่างประเทศ คือ การส่งออกและการท่องเที่ยว ได้หยุดชะงักลง จึงดูเหมือนว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่เงินบาทจะมีทิศทางแข็งค่าในช่วงนี้ แต่เมื่อวิเคราะห์ดุลการชำระเงินและปัจจัยอื่นๆ ก็พบว่าการแข็งค่าของเงินบาทอธิบายได้จาก 4 ปัจจัยหลัก คือ

    1) การปิดความเสี่ยงโดยการขายสุทธิตราสารหนี้ในต่างประเทศของนักลงทุนไทย และการถอนเงินฝากในต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ แล้วนำเงินกลับเข้ามาพักในประเทศ เนื่องจากความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดในต่างประเทศที่ไม่แน่นอน (ภาพที่ 2)

    2) ลูกหนี้ทางการค้าของไทยในต่างประเทศได้ทยอยจ่ายคืนเครดิตทางการค้าให้ไทยบางส่วน สอดคล้องกับทิศทางการส่งออกทั่วโลกที่ลดลง ซึ่งสองปัจจัยข้างต้นส่งผลให้ดุลเงินทุนเคลื่อนย้ายของไทยกลับมาเกินดุลสุทธิหลังจากที่มีทิศทางขาดดุลต่อเนื่องมากว่า 19 ไตรมาส

    3) การนำเข้าสินค้าประเภทวัตถุดิบฯ และสินค้าทุนที่ลดลงมาก เนื่องจากการส่งออกสินค้าที่ลดลงพร้อมๆ กับกิจกรรมในภาคการผลิตและการลงทุนส่วนใหญ่ที่จำเป็นต้องหยุดกิจการชั่วคราวเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ส่งผลให้ดุลการค้าของไทยเกิดดุลเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2/2563 (ภาพที่ 3) และยังมีอีกปัจจัยภายนอก คือ

    4) เงินดอลลาร์ สรอ. ที่อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วในช่วงไตรมาสที่ 2 เนื่องจากผลของมาตรการ Quantitative Easing (QE) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ได้ดำเนินการในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

    ทั้งนี้ มาตรการ QE ในครั้งนี้ถือเป็นการเข้าซื้อสินทรัพย์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งต่อขนาดของงบดุล (Balance Sheet) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 3 ล้านล้านบาท และปริมาณเงินในระบบรวม (M3) ที่เพิ่มขึ้นด้วยอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดในรอบ 40 ปี ส่งผลให้มูลค่าของดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเงินบาทและสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคเห็นได้จากดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY) ที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สกุลเงินบาท และสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย ต่างมีการปรับตัวแข็งค่าเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนด้วยเช่นกัน (ภาพที่ 4)

    แนวโน้มดุลการชำระเงินของไทยและนัยต่อค่าเงินบาท
    สำหรับการประเมินค่าเงินบาทในครึ่งหลังของปี 2563 หากพิจารณาจากดุลการชำระเงินของประเทศ (ดุลการค้า ดุลบริการ และดุลเงินทุนเคลื่อนย้าย) โดยมองว่าแรงกดดันการแข็งค่าของเงินบาทจะลดลงเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก จากปัจจัยดังนี้

    1. การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจะเป็นแรงกดดันที่ลดลง ต่อการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่เหลือของปี โดยนับแต่เดือนมิถุนายน 2563 การส่งออกสินค้าของหลายประเทศรวมทั้งไทยได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ประกอบกับสัญญาณกิจกรรมเศรษฐกิจภายในประเทศไทยที่เริ่มปรับดีขึ้นช้าๆ ส่งผลให้การนำเข้าโดยรวมจะทยอยเพิ่มขึ้นด้วย จึงประเมินว่าดุลการค้าในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 จะมีทิศทางเกินดุลลดลงเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก

    ในทางตรงข้าม แม้ไทยและหลายประเทศทั่วโลกได้ทยอยผ่อนผันให้มีการเดินทางระหว่างประเทศเฉพาะบางกลุ่มได้ แต่ความไม่มั่นใจในสถานการณ์และอุปสรรคจากกฎระเบียบเพื่อควบคุมการแพร่กระจายเชื้อโรค จะยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการตัดสินใจออกเดินทางของนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปีนี้ จึงประเมินว่ารายได้ดุลบริการสุทธิของไทยจะทยอยปรับดีขึ้นชัดเจนในช่วงกลางปี 2564 เป็นต้นไป หลังการพัฒนาวัคซีนมีความคืบหน้าและสามารถเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวให้กลับคืนมาได้ ดังนั้น มองว่าดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยน่าจะปรับดีขึ้นได้อย่างชัดเจนในกลางปี 2564 เป็นต้นไป หลังภาคท่องเที่ยวสามารถกลับมาเป็นแรงขับเคลื่อนหลักควบคู่ไปกับภาคส่งออกสินค้าได้

    2. ดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 จะทยอยกลับมาขาดดุลตามปกติ หลังได้รับผลกระทบจากความผันผวนของเงินทุนนับแต่ช่วงต้นปี 2563 โดย

    1) การไหลเข้าของเงินฝากจะทยอยลดลงในไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป เช่นเดียวกับในช่วงวิกฤติการเงินในอดีตที่แสดงให้เห็นว่า การไหลเข้าของเงินฝากปริมาณมากในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนักและเป็นลักษณะชั่วคราวเท่านั้น ดังเช่นยอดเงินฝากที่ไหลเข้าประเทศไทยในปริมาณมากในไตรมาสที่ 1 ปี 2551 ก็ได้ปรับตัวลงมาเป็นปกติในไตรมาสถัดมา
    2) ด้านการลงทุนโดยตรง นักลงทุนไทยจะทยอยกลับออกไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ตามเศรษฐกิจโลกที่มีทิศทางดีขึ้นต่อเนื่องหลังผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

    3) สำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้นน่าจะส่งผลให้นักลงทุนไทยกลับออกไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติบางส่วนน่าจะทยอยกลับเข้ามาลงทุนในหลักทรัพย์ไทยมากขึ้นเช่นกัน ส่วนหนึ่งจากความต้องการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นในยุคดอกเบี้ยต่ำ

    โดยสรุป ดุลบัญชีเดินสะพัดที่ยังต้องใช้เวลาอีกระยะกว่าจะปรับดีขึ้นชัดเจนในปีหน้า และเงินทุนเคลื่อนย้ายที่จะทยอยไหลกลับออกไปลงทุนยังต่างประเทศมากขึ้นนับแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 นี้ ส่งผลให้ดุลการชำระเงินของไทยจะทยอยเกินดุลลดลงในครึ่งหลังของปี จึงช่วยลดแรงกดดันต่อการแข็งค่าของเงินบาทลงได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยอื่นๆ จากต่างประเทศ เช่น ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่อาจรุนแรงขึ้น ฯลฯ ซึ่งอาจเป็นแรงกดดันต่อเงินบาทให้กลับมาแข็งค่าขึ้นได้ นอกเหนือไปจากปัจจัยด้านดุลบัญชีชำระเงินของไทย

    โดย อริสา จันทรบุญทา และกันตภณ อมรรัตน์

    Source: ThaiPublica
    https://thaipublica.org/2020/09/tmb...ink-travel-lost-why-is-the-baht-appreciating/
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ⚠️ [BREAKING] ⚠️ WTO ตัดสินว่าสหรัฐละเมิดกฎหมายทางการค้าระหว่างประเทศด้วยการทำ #สงครามการค้า ที่ขึ้นภาษีศุลกากรต่อสินค้าส่งออกของจีนมูลค่ากว่า 5.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐนับตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา

    เมื่อเวลา 21.30 น. บ้านเรา - ทางองค์การการค้าโลกหรือ World Trade Organization (WTO) ได้ออกมาประกาศว่าประเทศสหรัฐทำผิดกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ ในการขึ้นภาษีสินค้าจากจีนตามใจชอบและเป็นการตั้งใจกีดกันการค้าเสรี

    มาติดตามกันต่อไปว่าทาง #สหรัฐจะโดนบทลงโทษอย่างไรต่อไปหรือไม่ ?

    จำสงครามภาษีที่ทางสหรัฐขึ้นภาษีสินค้าใส่จีนเพื่อกันไม่ให้สินค้าราคาถูกของจีนไหลเข้ามาในประเทศสหรัฐได้ไหมครับ ?

    และทางจีนก็ได้ขึ้นภาษีตอบโต้สหรัฐกลับไปกลับมา จนเกิดกลายเป็นสงครามการค้าที่ยืดเยื้อและกดดันเศรษฐกิจโลกมากว่า 2 ปีแล้ว

    โดยจุดประสงค์ที่ #องค์การการค้าโลก ได้ถูกจัดตั้งขึ้นมานั้น ก็เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการค้าระหว่างประเทศให้การค้าโลกมีความเสรียิ่งขึ้น บนพื้นฐานของการแข่งขันที่เท่าเทียมกัน ทำให้คืนนี้คณะผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าของ WTO ได้ออกมาแถลงว่าการกระทำของทางสหรัฐจึงเป็นการล่วงละเมิดกฎหมายของทาง WTO

    WTO เปิดให้สหรัฐสามารถแสดงหลักฐานในการปฏิเสธข้อกล่าวหาได้ภายใน 60 วัน

    ในเบื้องต้นทางสหรัฐได้กล่าวกับทาง WTO ว่ามันเป็นทางออกเดียวที่จะกดดัน ทำให้จีนหยุดขโมยทรัพย์สินทางปัญญาจากสหรัฐได้ผ่านการเจรจาการค้า ทำให้ทางสหรัฐจึงมีความจำเป็นที่จะต้องขึ้นภาษี

    ทางด้าน #กระทรวงพาณิชย์ของจีน ได้ออกมากล่าวทันทีว่า หวังว่าทางสหรัฐจะปฏิบัติตามกฎของ WTO อย่างเคร่งครัดเต็มที่และพยายามให้ระบบการซื้อขายของโลกเป็นไปตามกลไกเสรี

    ต้องติดตามกันต่อไปว่าทาง WTO จะสามารถมีบทลงโทษกับสหรัฐได้จริงหรือไม่ ? หรือทางสมาชิกกลุ่ม WTO จะให้ความเห็นกับเรื่องนี้อย่างไร ?

    ✅ ท่านใดไม่อยากพลาดข่าวสารในตลาดการลงทุนไปกับทางเพจเรา

    แนะนำให้กดตั้งค่า “#รายการโปรด” หรือ "#Favourites" ที่เมนูมุมขวาบนของเพจใน Facebook ตรงปุ่ม [...] และกด #เปิดกระดิ่ง ไว้ได้เลยครับ จะได้ไม่พลาดทุกข่าวสารสำคัญ

    ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเพจของเรานะครับ ฝากกด Like และ Share ให้แอดด้วยหากข้อมูลนี้มีประโยชน์ ขอบคุณมากๆครับ

    #ทันโลกกับTraderKP

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โพสต์ข้อความผ่านเฟชบุ๊ก"TOP Varawut - ท็อป วราวุธ ศิลปอาชา" พร้อมภาพขยะที่นักท่องเที่ยวทิ้งไว้ในอุทยานกำลังถูกบรรจุกล่องไปรษณีย์ พร้อมส่งคืนถึงบ้าน นอกจากนี้ยังมีบันทึกหลักฐานความผิด และใบแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

    โดยนายวราวุธระบุรายละเอียดดังนี้

    “มาเที่ยวอุทยาน มีธรรมชาติให้ชม มีเต็นท์ให้เช่า เราอำนวยความสะดวก ให้ท่านมาแต่ตัว แต่เวลากลับ โปรดอย่ากลับแต่ตัว ขยะที่สร้างไว้ โปรดนำกลับไปทิ้งให้เรียบร้อยด้วย เพราะขยะที่ท่านทิ้งไว้ อาจคร่าชีวิตสัตว์ป่าที่ลงมาหากิน สำหรับกรณีนี้ ผมจะเก็บขยะทุกชิ้นของท่าน ใส่กล่องอย่างดี ส่งไปรษณีย์คืนถึงบ้าน ให้เป็นที่ระลึกครับ

    ขยะที่นักท่องเที่ยวทิ้งไว้ในอุทยาน ขณะนี้บรรจุลงกล่อง พร้อมส่งคืนถึงบ้านเจ้าของขยะเรียบร้อยครับ และเจ้าหน้าที่อุทยานได้เข้าร้องทุกข์แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ขอย้ำอีกครั้งนะครับ การทิ้งขยะไว้ในเขตอุทยาน เป็นการกระทำผิด พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 ดังนี้

    1. มาตรา 19(2) ฐานทำด้วยประการใดๆ ให้เสื่อมสภาพซึ่งทรัพยากรธรรมชาติ หรือกระทำการอื่นใดอันส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชีวภาพ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    2. มาตรา 20 ฐานบุคคลซึ่งเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติ ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้สั่งให้ปฏิบัติตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด ประกอบระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 ข้อ 5 เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่เห็นว่าผู้ใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นอันตรายแก่ผู้อื่นหรือตนเอง หรือจะเป็นการรบกวนหรือเดือดร้อนรำคาญแก่คนหรือสัตว์ หรือจะทำให้เสียหายแก่สภาพธรรมชาติหรือสิ่งอื่นใด ผู้ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท

    มาช่วยกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทำให้เป็น New Normal ท่องเที่ยวอย่างมีจิตสำนึก ช่วยกันรักษาความสะอาด รักษาสิ่งแวดล้อมกันนะครับ เพราะต่อจากนี้ เราจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด”

    #roundtablethailand
    Roundtablethailand.com

    ที่มา

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    จากประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ลดหย่อนการออกเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตน กรณีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ที่ประกาศในเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนแก่นายจ้าง และผู้ประกันตนซึ่งได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติร้ายแรงกรณีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นโรคติดต่ออันตรายตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558

    ประกอบกับมีการขยายระยะเวลาใช้บังคับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ เพื่อควบคุมและป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 มิให้นําไปสู่การระบาดระลอกใหม่ อันส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในท้องที่ประเทศไทย กระทรวงแรงงาน เห็นควรลดหย่อนการออกเงินสมทบ นายจ้างและผู้ประกันตน โดยมีรายละเอียดดังนี้

    1. นายจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ได้รับการลดหย่อนการออกเงินสมทบ เข้ากองทุนประกันสังคมประจํางวดเดือนกันยายน พ.ศ.2563 ถึงงวดเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 โดยให้ส่งเงินสมทบในอัตราฝ่ายละ 2% ของค่าจ้างของผู้ประกันตน

    โดยปกติผู้ประกันตนและนายจ้างจะต้องสมทบเงินประกันสังคมฝ่ายละ 5% สูงสุดไม่เกิน 750 บาท แต่เมื่อมีการประกาศให้ลดการจ่ายเงินสมทบเหลือเดือนละ 2% เป็นเวลา 3 เดือน (ก.ย.-พ.ย.63) เท่ากับว่าจะต้องจ่ายเงินสมทบสูงสุดเดือนละ 300 บาท (ในกรณีที่เงินเดือนมากกว่าหรือเท่ากับ 15,000 บาท) หรือลดหลั่นกันไปตามฐานเงินเดือนของผู้ประกันตน

    2. ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ได้รับการลดหย่อนการออกเงินสมทบเข้ากองทุน โดยให้ส่งเงินสมทบในอัตราเดือนละ 96 บาท จากเดิม 432 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่งวดค่าจ้างเดือน ก.ย. – พ.ย. 63

    ในกรณีมีการส่งเงินเกินกว่าจํานวนเงินที่กําหนดไว้ตามประกาศนี้ ให้นายจ้างหรือผู้ประกันตนตามข้อ 1 หรือข้อ 2 แล้วแต่กรณี ยื่นคําร้องขอรับเงินในส่วนที่เกินคืนได้ ณ สํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ สํานักงานประกันสังคมจังหวัด หรือสํานักงานประกันสังคมจังหวัดสาขา

    สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานประกันสังคม สำนักงานใหญ่เลขที่ 88/28 หมู่ 4 ถนนติวานนท์ ตำบลตลาดขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000 E-mail info@sso1506.com หรือโทร 1506

    #roundtablethailand
    Roundtablethailand.com

    ที่มา เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    16 กันยายน 2563 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา ว่ากระทรวงสาธารณสุขของเมียนมาออกรายงาน เมื่อช่วงเช้าตามเวลาท้องถิ่นของวันพุธ ว่ามีผู้ติดโรคโควิด-19 เพิ่มขึ้นอีก 134 คน ทำให้สถิติผู้ป่วยสะสมในเมียนมามีอย่างน้อย 3,636 คน แซงไทยขึ้นสู่อันดับ 5 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีผู้ป่วยสะสมมากที่สุด รองจากฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และมาเลเซีย

    ขณะที่สถิติสะสมของผู้ที่หายป่วยมีอย่างน้อย 872 คน เพิ่มขึ้น 42 คน ส่วนสถิติสะสมของผู้เสียชีวิตอยู่ที่อย่างน้อย 39 คน เพิ่มขึ้น 4 คน โดยผู้เสียชีวิตทุกคนเป็นชาวเมียนมาและมีโรคประจำตัว

    ทั้งนี้ เมียนมายืนยันผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตคนแรกเมื่อช่วงปลายเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา แต่สถานการณ์ทวีความรุนแรงและแพร่ระบาดเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่พบผู้ติดเชื้อจากภายในประเทศ ที่รัฐยะไข่ เมื่อวันที่ 16 ส.ค. ที่ผ่านมา โดยสถิติผู้ป่วยสะสมผ่านหลัก 2,000 คน เมื่อวันที่ 10 ก.ย. เพียงสัปดาห์เดียวหลังผู้ป่วยพุ่งเป็นมากกว่า 1,000 คน เมื่อวันที่ 3 ก.ย. ที่ผ่านมา

    ด้านเมืองเมียวดี ซึ่งเป็นเมืองเอกของรัฐกะเหรี่ยง เป็นเมืองใหญ่แห่งล่าสุดของเมียนมาที่ประกาศเคอร์ฟิวอย่างไม่มีกำหนด มีผลตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย. ที่ผ่านมา ส่วนรัฐยะไข่อยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค. ตามด้วยเกือบทุกเขตของเมืองย่างกุ้ง ตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย. ส่วนกรุงเนปิดอว์ซึ่งเป็นเมืองหลวงยกระดับมาตรการกักตัว และจำกัดการเดินทางเข้าออก

    https://www.thestar.com.my/aseanplu...s-covid-19-cases-rise-to-3636-four-new-deaths

    #RoundtableThailand
    roundtablethailand.com

     

แชร์หน้านี้

Loading...