ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ชาวรัสเซียจัดปาร์ตี้สังสรรค์แต่เหล้าดันหมด คว้า ‘แอลกอฮอล์ล้างมือ’ ซดดื่มเสียชีวิตไป 7 ราย ส่วนอีก 2 คนอาการยังสาหัส
    .
    เหตุสลดนี้เกิดขึ้นที่เขตทัตทินสกี (Tattinsky) ในภูมิภาคยูคูเทีย (Yukutia) ซึ่งเป็นสาธารณรัฐใหญ่ที่สุดในรัสเซีย โดยรายงานระบุว่าผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตทั้ง 9 คนได้จัดงานปาร์ตี้เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว (19 พ.ย.) และพอเหล้าหมดก็เลยคว้าแอลกอฮอลล์ล้างมือมาดื่มเข้าไปแทน
    .
    เหยื่อ 3 รายแรกซึ่งเป็นหญิงวัย 41 ปี, ชายวัย 27 ปี และชายวัย 59 ปี เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วนผู้บาดเจ็บอีก 6 คนถูกส่งตัวขึ้นเครื่องบินไปรักษาที่เมืองยาคุตสก์ (Yakustk) ก่อนที่อีก 3 คนจะเสียชีวิตลงในวันศุกร์ (20) ส่วนรายที่ 7 เสียชีวิตเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (21)
    .
    อัยการประจำรัฐยืนยันว่า ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทั้งหมด “มีอาการถูกพิษเนื่องจากดื่มแอลกอฮอล์ล้างมือเข้าไป”
    .
    สิ่งที่นักปาร์ตี้กลุ่มนี้ใช้ดื่มแทนเหล้าก็คือเมทานอล 69% ซึ่งมีวางจำหน่ายทั่วไปเพื่อให้ประชาชนใช้ล้างทำความสะอาดมือในช่วงที่โควิด-19 ระบาด
    .
    ตำรวจท้องถิ่นได้เริ่มสอบสวนการตายของบุคคลทั้ง 7 แล้ว ขณะที่หน่วยงานสาธารณสุขก็ออกมาย้ำเตือนประชาชนว่าน้ำยาฆ่าเชื้อชนิดนี้ไม่สามารถดื่มกินได้
    .
    ที่มา: Daily Mail
    .
    https://mgronline.com/around/detail/9630000120960

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    น้ำประปาในจีนจุดไฟได้

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ผู้พิพากษา จูเลีย ลินช์ แทบระงับความโกรธไม่อยู่ ขณะเธอกำลังตัดสินคดีข่มขืนเด็กโดยเจ้าของศูนย์รับเลี้ยงเด็กรายหนึ่ง เธอพยายามชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่เขาก่อนั้นเลวร้ายแค่ไหน

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    #รถติดหรือก็หนีขึ้นแท็กซี่เหินฟ้าเลยที่กรุงโซลปี2025

    ผู้คนในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ จะมีแท็กซี่เหินฟ้าให้ใช้หนีการจราจรแออัดบนภาคพื้นดินในปี 2025 โดยเป็นผลจากการที่รัฐบาลจับมือกับภาคเอกชนจัดเตรียมการที่เกี่ยวข้อง ทั้งการจัดสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งการเร่งทดสอบทดลองใช้โดรนในภารกิจประเภทต่างๆ ทั้งการจัดระบบบริหารงานช่องจราจรในเวิ้งฟ้า ฯลฯ

    ในการนี้ กระทรวงโครงสร้างพื้นฐานภาคพื้นดินและการขนส่ง (MOLIT) ซึ่งเป็นเจ้าภาพหลักบอกว่า แผนการนำแท็กซี่เหินฟ้ามาให้บริการแก่ประชาชน จะทยอยเปิดระบบบริการเป็น 3 ช่วง โดยจะเปิดเต็มรูปแบบราวปี 2035 ทั้งนี้ เรื่องที่ต้องรอบคอบเหนือสิ่งอื่นใดคือ ความปลอดภัยว่าจะไม่มีวัตถุร่วงจากฟ้าลงไปทำอันตรายต่อผู้คนและสรรพสิ่งที่ภาคพื้นดิน ไม่มีการปะทะระหว่างอากาศยานที่ใช้ช่องทางจราจรต่างๆ อีกทั้งไม่มีโดรนเกาหลีเหนือมาบินเนียนๆ เพื่อการจารกรรม

    ในเมื่อรายได้ก็ต้องสร้าง ธุรกิจก็อยากขยาย ความปลอดภัยก็จะเอา ความมั่นคงก็ต้องรักษา การพัฒนากฎหมายการใช้โดรนจึงมีความสำคัญและละเอียดอ่อนเป็นอย่างยิ่ง

    เกาหลีใต้จะเริ่มนำแท็กซี่เหินฟ้ามาให้บริการในปี 2025 เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรบนภาคพื้นดินอันสาหัสสากรรจ์ แต่กฎระเบียบมากมายที่เป็นดั่งพงหนามหนาแน่นจะต้องได้รับการแผ้วถางให้เรียบร้อยเสียก่อน รถเหินฟ้าส่วนบุคคลและโดรนขนส่งสิ่งของจึงจะได้รับอนุญาตให้ทะยานไปปฏิบัติงานในน่านฟ้าแห่งบรรดามหานครซึ่งดกดื่นด้วยตึกสูงระฟ้าทั้งปวง กระนั้นก็ตาม ที่ผ่านมา โดรนเพื่อการใช้งานประเภทโน่นบ้างนี่บ้าง ต่างไม่รอช้า ถูกนำมาทดสอบทดลองการปฏิบัติงานในสถานการณ์จริงกันอย่างคึกคักด้วยความเชื่อมั่นในพลังตลาดภายในประเทศตน ทั้งนี้ ถ้าจะว่าไป เกาหลีใต้มีความพร้อมสูงยิ่งที่จะเป็นชาติผู้นำในการรับเอาโดรนไปใช้สอยในชีวิตจริง

    ในด้านหนึ่ง เกาหลีใต้มีรากฐานทางอุตสาหกรรมอันแข็งแกร่งที่สั่งสมต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ โดยรัฐบาลได้นำนโยบายการเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมมาดำเนินการและประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง เช่น ในทศวรรษ 1960 มีการขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมเครือธุรกิจยักษ์ (แชโบล) ในอุตสาหกรรมก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมเหล็กขนาดใหญ่ อาทิ อู่ต่อเรือ และในทศวรรษ 1990 รัฐบาลประสบความสำเร็จกับนโยบายส่งเสริมแชโบลในอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ อุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ต และแชโบลด้านเทคโนโลยี

    และในอีกด้านหนึ่ง ผู้คนในเกาหลีใต้มีความตื่นตัวสูงมากในอันที่จะรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าไว้ในชีวิตประจำวัน

    เมื่อสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤศจิกายน เกาหลีใต้จัดงานสุดยอดไฮเทค คือ “สัปดาห์แห่งโดรน” อันเป็นกิจกรรมที่กระทรวงโครงสร้างพื้นฐานภาคพื้นดินและการขนส่ง (MOLIT) เป็นเจ้าภาพในอันที่จะโปรโมทโครงการอันหลากหลายของกระทรวง โดยเน้นถึงศักยภาพของระบบคมนาคมขนส่งทางอากาศที่สามารถไปได้ทั่วถึงในทุกส่วนของเวิ้งฟ้า

    ในวันพุธที่ 11 พฤศจิกายน มีการนำแท็กซี่เหินฟ้าต้นแบบ 6 ตัวมาบินโชว์ แท็กซี่เหินฟ้าดังกล่าวซึ่งพัฒนาขึ้นโดยบริษัทจีน คือ กวางโจว อีฮาง อินเทลลิเจนท์ เทคโนโลยี ถูกนำมาเหินฟ้าสาธิตเหนือเกาะยออิโด แหล่งท่องเที่ยวแสนงามและศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศในแม่น้ำฮันของกรุงโซล

    ศักยภาพด้านความปลอดภัยปรากฏให้เห็นได้ว่ายอดเยี่ยม เกาะยออิโดซึ่งเคยเป็นสถานที่แรกของเกาหลีใต้ที่มีสนามบินตั้งแต่ก่อนสงครามโลกหนแรก ถูกพัฒนาให้โดดเด่นด้านความงดงามของธรรมชาติด้วยสวนสาธารณะขนาดมหึมา โดยมีพลาซ่าผุดขึ้นที่ใจกลางเกาะ ทั้งนี้ เกาะยออิโดไม่แออัดไปด้วยตึกสูงระฟ้า แม้จะมีศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศตั้งอยู่บนเกาะ ในการสาธิตแท็กซี่เหินฟ้าครั้งนี้ ไม่ได้ใช้ผู้โดยสารจริง หากแต่บรรทุกกระสอบข้าวขึ้นไปแทน

    ในค่ำวันศุกร์ที่ 13 มีการปล่อยโดรน 315 ลำขึ้นไปเรียงตัวให้เกิดเป็นภาพเส้นกราฟฟิกทาบผืนฟ้าราตรีเหนือสนามกีฬาโอลิมปิกแจมซิลแห่งกรุงโซล การปล่อยฝูงบินของโดรนแบบนี้เป็นการโชว์ศักยภาพทางเทคโนโลยีที่บ่มเพาะขึ้นจากภายในประเทศ

    “เราจะเริ่มนำบริการขนส่งทางอากาศภายในเมืองแบบไร้คนขับ หรือ UAM มาให้บริการในเชิงพาณิชย์ประมาณปี 2025 ครับ” คิมซังโด ผู้อำนวยการด้านนโยบายการบินของกระทรวง MOLIT ให้สัมภาษณ์แก่เอเชียไทมส์เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา พร้อมเปิดเผยข้อมูลว่ารัฐบาล ในความร่วมมือกับภาคเอกชน อยู่ระหว่างเร่งดำเนินการสองภารกิจ คือการพัฒนาระบบบริหารช่องทางจราจรในอากาศ และการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานรองรับการให้บริการขนส่ง UAM

    <b>แท็กซี่บินได้ ช่องจราจรบนฟ้า และท่าอากาศยานแนวดิ่ง </b>

    ภารกิจการพัฒนา“ระบบบริหารช่องทางจราจร เค-โดรน” หรือ K-drone Traffic Management System ซึ่งได้รับงบสนับสนุนจากรัฐบาลจำนวน 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (25,000 ล้านวอน) ใช้แนวคิดพื้นฐานแบบระบบโซนนิ่ง 3 ชั้นซ้อนขึ้นไป เพื่อไม่ให้เครื่องบิน แท็กซี่เหินฟ้า และโดรน เกิดการกระทบกระทั่งกัน ดังนี้:
    <b><i>ชั้นล่างสุด</b></i> คือ จากเส้นขอบฟ้าขึ้นไป 150 เมตรจะเป็นมณฑลของโดรนขนาดเล็ก ทั้งแบบอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ที่บินเล่นเป็นงานอดิเรก และแบบ UAV ที่บินส่งของ
    <b><i>ชั้นสูงขึ้นไป</b></i> ในห้วงอากาศระดับ 300-600 เมตรจะสงวนไว้ให้แก่แท็กซี่บินได้
    <b><i>ชั้นสูงสุด</b></i> คือเวิ้งฟ้าตั้งแต่ 600 เมตรขึ้นไปจะให้บินได้เฉพาะเครื่องบินเท่านั้น

    ภารกิจการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานรองรับ UAV ซึ่งตามแผนดำเนินงานของรัฐบาลนั้น จะดำเนินการเป็น 3 เฟส เพื่อจะทยอยการเปิดใช้งานไปทีละเฟส โดยจะให้สอดคล้องกับพัฒนาการทางเทคโนโลยีขั้นสูงที่ได้ทำประมาณการล่วงหน้าไว้แล้ว

    <b><i>เฟสแรก</b></i> ซึ่งกำหนดให้แล้วเสร็จในปี 2025 จะเป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนช่องทางจราจรกลางอากาศที่จะให้แท็กซี่เหินฟ้าสามารถเหาะเหินไป-มาระหว่างสนามบินระหว่างประเทศอินชอนกับย่านใจกลางกรุงโซล รวมระยะทางทั้งสิ้น 48 กิโลเมตร โครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวได้แก่ ท่าอากาศยานแนวดิ่ง หรือ Vertiport ที่จะสร้างขึ้นมาเพื่อให้แท็กซี่เหินฟ้ามีลานจอดขึ้นลงไว้บริการผู้โดยสาร แถมด้วยร้านรวงเพื่อการพักผ่อนและบันเทิง

    ทั้งนี้ อาคาร Vertiport จะถูกสร้างทั้งที่สนามบินอินชอน และที่ย่านใจกลางกรุงโซลซึ่งย่านดังกล่าวจะเป็นจุดใดแน่นั้น ยังไม่มีการสรุป แค่กำหนดว่าจะเลือกใช้พื้นที่ติดแนวฝั่งแม่น้ำฮันเท่านั้น

    “Vertiport จะเป็นประมาณอาคาร 2-3 ชั้นครับ โดยเราจะติดตั้งระบบชาร์จไฟฟ้าไว้บนดาดฟ้า แล้วเราก็จะมีร้านรวง ภัตตาคาร อีกทั้งโน่นนี่อยู่ในชั้นล่างๆ” ผอ.คิมซังโด เจ้าภาพดูแลด้านนโยบายการบินกล่าวไว้อย่างนั้น พร้อมให้ข้อมูลด้วยว่าแท็กซี่บินได้ของเกาหลีใต้จะใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งระบบ แทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล

    <b><i>เฟสที่ 2</b></i> ซึ่งกำหนดให้แล้วเสร็จในปี 2030 เป็นช่วงที่จะเพิ่มจำนวน Vertiport โดยจะให้ผุดขึ้นตามบรรดาศูนย์การขนส่งภาคพื้นดิน ทั้งนี้ อาจเป็นการสร้างอาคารขึ้นในพื้นที่ของศูนย์ และอาจสร้างในบริเวณรอบศูนย์ “ช่วงถัดไปจะเป็นบริการแท็กซี่เหินฟ้าระหว่างสถานีขนส่งต่างๆ เช่น ระหว่างสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินแห่งหนึ่งกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินอีกแห่งหนึ่ง” ผอ.คิมซังโด กล่าว

    สำหรับ<b><i>เฟสที่ 3</b></i> ซึ่ง ผอ.คิมซังโดคาดว่าจะพร้อมเปิดบริการในปี 2035 จะเป็นบริการแท็กซี่เหินฟ้าเต็มรูปแบบ

    “เวอร์ชั่นสุดท้ายจะเป็นระบบเรียกแท็กซี่ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ” ผอ.คิดให้อรรถาธิบาย โดยบอกด้วยว่าอาจใช้ลานจอดเฮลิคอปเตอร์บนยอดตึกระฟ้าแทนการสร้างอาคาร Vertiport

    แท็กซี่เฮลิคอปเตอร์ถูกห้ามใช้ในกรุงโซลเนื่องจากมลพิษทางเสียง กระนั้นก็ตาม ปัญหาเรื่องเสียงอึกทึกสามารถบรรเทาได้ด้วยเทคโนโลยีโดรน ทั้งนี้ ในทางปฏิบัติ ตึกระฟ้ามากมายในกรุงโซลอวดโอ่กันแทบทั้งนั้นว่าตึกของตนมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ แต่นั่นก็เพื่อใช้ยามฉุกเฉิน มิใช่เพื่อให้บริการเชิงพาณิชย์ รองผู้อำนวยการฝ่ายการขนส่งด้วยโดรนแห่ง MOLIT นาม แจงยองกี บอกเอเชียไทมส์

    ด้าน ผอ.คิมซังโดได้กล่าวย้ำว่าโครงการแท็กซี่เหินฟ้ามีจุดมุ่งหมายเพื่อการลดความแออัดบนท้องถนนในกรุงโซล เมืองหลวงซึ่งสาหัสหนักหนากับปัญหารถติดร้ายแรงเพราะมีประชากรหนาแน่นถึง 10 ล้านชีวิต และอีก 25 ล้านคนไปกระจุกอยู่ในพื้นที่ส่วนขยายของกรุงโซล

    ขณะที่เป้าหมายว่าด้วยการลดปัญหาการจราจรแออัดบนภาคพื้นดินถูกกล่าวย้ำอยู่เสมอ กระทรวง MOLIT ก็ทำประมาณการเชิงการตลาดของธุรกิจบริการทางอากาศไว้แล้วว่ามูลค่าของธุรกิจนี้จะสูงถึง 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2040 โดยที่ว่านอกจากจะเกิดมูลค่าธุรกิจการเดินทางขนส่งโดยตรงแล้ว ยังมีมูลค่าธุรกิจเกี่ยวเนื่องอีกหลายสาขา อาทิ ธุรกิจการผลิตอากาศยาน ธุรกิจการซ่อมแซมและบำรุงรักษา ตลอดจนธุรกิจเกี่ยวกับระบบควบคุมการบินและธุรกิจประกันภัย

    <b>แท็กซี่เหินฟ้าจะแก้ปัญหาได้ตามเป้าหมายล่ะหรือ </b>

    กรุงโซลมีความภาคภูมิใจในพัฒนาการด้านระบบขนส่งมวลชนที่ทรงประสิทธิภาพสูงส่ง ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าใต้ดินอันทันสมัยซึ่งมีเส้นทางกระจายยุบยับออกไปอย่างกว้างไกล และไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายรถเมล์ที่มีช่องจราจรบนท้องถนนที่จัดไว้ให้วิ่งเป็นการเฉพาะ

    กระนั้นก็ตาม ยังไม่มีความแน่ชัดว่าบรรดาอากาศยานที่ขึ้นบินโชว์และจะมาเป็นแท็กซี่เหินฟ้านั้น จะสามารถทำให้วัตถุประสงค์ของโครงการบรรลุความสำเร็จได้ หากจำนวนของโดรนที่มาให้บริการนั้นไม่ถูกเพิ่มให้มหาศาลอย่างแท้จริง

    ในการนี้ ต้องไม่ลืมว่าแท็กซี่เหินฟ้าบินให้บริการแก่ผู้โดยสารเพียงเที่ยวละ 2-5 รายเท่านั้น ขณะเดียวกัน ตัวอากาศยานจะยังไม่เป็น UAV ที่ไร้คนขับได้จริง ดังนั้น จำนวนที่นั่งในแท็กซี่เหินฟ้าจึงต้องเสียไป 1 ที่นั่งให้แก่คนขับ ซึ่งหมายถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและรายได้ที่ลดลง

    ในบรรดาพาหนะเหินฟ้าประเภทต่างๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นมานั้น ผู้ผลิตอากาศยานที่เป็นเอกชนจะนิยมใช้เทคโนโลยีของโดรน มากกว่าเทคโนโลยีเฮลิคอปเตอร์หรือเทคโนโลยีเครื่องบิน ดังนั้น กฎระเบียบด้านความปลอดภัยของโดรนต้องเข้มงวดอย่างจัด เพราะโดรนจะให้บริการสารพัดประเภทในชีวิตประจำวันของลูกค้าและผู้โดยสาร

    ท่านรองฯ แจงยองกีแห่งฝ่ายการขนส่งด้วยโดรน บอกว่าปัจจัยความสำเร็จจะต้องประกอบด้วยสามส่วน คือเทคโนโลยีของโดรนจะต้องถูกยกระดับสูงขึ้น จะต้องมีการทดสอบและพิสูจน์ถึงคุณภาพและคุณสมบัติด้านความปลอดภัย และสาธารณะชนก็ต้องให้การตอบรับวิถีใหม่ของการเดินทางแบบนี้ด้วย ทั้งนี้ ท่านรองฯ คาดว่าการแปลงโฉมอากาศยานขึ้นใหม่นี้จะต้องไต่ระดับขึ้นไป 3 สเต็ป ได้แก่

    ช่วงแรกของแท็กซี่เหินฟ้าจะเป็นแบบที่มีคนขับเคลื่อนยาน ช่วงที่สองจะเป็นการขับเคลื่อนจากระยะไกล แล้วจึงจะถึงช่วงสุดท้ายคือ การบินในระบบอัตโนมัติสมบูรณ์แบบ

    กระนั้นก็ตาม ท่านรองฯ ยอมรับว่าเนื่องจากเป้าหมายของการนำโดรนมาใช้อยู่ที่การลดความแออัดของจราจรภาคพื้นดิน ดังนั้นแผนดำเนินงานในขณะนี้จึงมุ่งเฉพาะที่การออกแบบแท็กซี่โดรนเท่านั้น ยังไม่มีในเซ็กเมนต์ของรถส่วนบุคคลเหินฟ้า สิ่งนี้ย่อมส่งผลต่อศักยภาพที่จะทำให้ราคาของโดรนลดลงตามทฤษฎี Economy of Scale ที่ว่าการผลิตจำนวนมากจะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยถูกลง ในเวลาเดียวกัน ยังอาจส่งผลกระทบต่อศักยภาพเชิงพาณิชย์ในระบบการสร้างโดรนของบริษัทผู้ผลิตด้วย

    <b>โฆษณาเหินฟ้าและ UVify ขาใหญ่ของวงการ </b>

    โดรนขนานแท้ ซึ่งเป็น UAV ไร้คนขับอย่างแท้จริง สามารถให้บริการได้สารพัดประเภท ทั้งในหมวดของการขนส่ง ไปจนถึงเซ็กเมนต์การอำนวยความปลอดภัยสาธารณะ ไปจนถึงภาคธุรกิจบันเทิง ทั้งนี้ กิจกรรมเหนือเวิ้งฟ้าของสนามกีฬาโอลิมปิกแจมซิลแห่งกรุงโซลเมื่อวันศุกร์ที่ 13 คือบริการในภาคธุรกิจบันเทิงล้วนๆ

    ภายในห้วง 15 นาทีของสุดยอดแห่งการบินโชว์ ฝูงบินโดรนอันแข็งแกร่ง 315 ลำได้ทำการเกาะกลุ่มเรียงตัวกลางเวหาเพื่อฟอร์มตัวขึ้นเป็นภาพสเก็ตช์งดงามเปี่ยมด้วยคุณค่า ปรากฏทาบอยู่บนผืนฟ้า อาทิ ภาพสัญลักษณ์งานโอลิมปิกปี 1988 ภาพสัญลักษณ์งานเวิล์ดคัพปี 2002 ภาพของไวรัสโควิด-19 และภาพแผนที่คาบสมุทรเกาหลี

    ฝูงบินโดรนที่ถูกนำมาบินโชว์ชุดนี้เป็นของบริษัทผู้เชี่ยวชาญการโดรนโดยเฉพาะ คือ บริษัทยูวิไฟ (UVify) คุณฮยอน ลิม ซีอีโอของบริษัทให้สัมภาษณ์แก่เอเชียไทมส์ว่า บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2014 และที่ผ่านมาสร้างรายได้ต่อปีประมาณ 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขอบเขตธุรกิจของบริษัท UVify มิใช่แค่การจัดการแสดงแสงสีด้วยฝูงบินโดรนเท่านั้น หากยังเป็นผู้ผลิตและส่งออกโดรนไปยังประเทศต่างๆ 20 ประเทศ

    ส่วนสำหรับศักยภาพของ UVify ภายในประเทศก็นับว่าเลอเลิศ เนื่องจากบริษัทนี้เคยเป็นหนูตะเภาในกระบะทรายเพื่อการทดลองของภาครัฐ (Regulatory Sandbox ซึ่งจะมีการกำหนดกรอบระเบียบกฎหมายขึ้นเป็นการเฉพาะให้แก่บริษัทเกิดใหม่ด้านเทคโนโลยี ในอันที่จะเอื้อให้บริษัทสามารถทำการทดลองในชีวิตจริงภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมตามกรอบการทดลอง โดยจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของภาครัฐ) ดังนั้น UVify จึงมีโอกาสได้รับประสบการณ์สำคัญสองส่วน ได้แก่
    - ประสบการณ์การจัดทำโฆษณาบนท้องฟ้าด้วยอากาศยาน ผ่านการเขียนข้อความหรือรูปภาพทาบไว้บนผืนนภายามราตรี
    - ประสบการณ์การขออนุญาตที่จำเป็นต่างๆ จากภาครัฐ ซึ่งเป็นบริการสำคัญสำหรับลูกค้า

    ที่ผ่านมา กฎหมายที่เปิดทางให้ภาคเอกชนสามารถโฆษณาบนฟากฟ้าถูกผ่านออกมาเมื่อปี 2018 และทำให้เกาหลีใต้สามารถจัดโดรนโชว์อันยิ่งใหญ่ในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว พย็องชัง เกมส์ 2018

    “เรานำส่งสาส์นขึ้นไปประกาศให้เห็นทั่วกันกลางเวหาครับ ผู้ชมล้วนถูกตรึงไม่อาจถอนสายตาไปได้เลย พากันถ่ายภาพไปโพสต์บนอินสตราแกรม” ซีอีโอลิมเล่าความหลังอันยิ่งใหญ่ พร้อมกับย้ำว่า “มันได้ผลสุดยอด เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ และดึงดูดทุกลูกตาได้อย่างแท้จริง”

    โดรนโชว์ถูกนำไปใช้ในสารพัดมหกรรมทั้งงานเทศกาลของรัฐบาล ทั้งบรรดาคอนเสิร์ตเค-ป๊อป ทั้งแมทช์การแข่งขันเบสบอล “โดรนโชว์ก็เหมือนโชว์ยิงพลุเลยครับ คือจะได้ผลสูงสุดในช่วงค่ำคืน” ซีอีโอของ UVify กล่าวพร้อมคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์เลิศล้ำของ UVify จะเข้าไปแทนที่โชว์ยิงพลุซึ่งยิงได้หนเดียวจบ หมดแล้วหมดเลย ไม่สามารถเล่นซ้ำหรือนำมาวนให้ชมหลายๆ รอบได้ ยิ่งกว่านั้น โชว์ยิงพลุยังเป็นอะไรที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

    ผืนฟ้ายามราตรีจะเป็นแผงป้ายบิลบอร์ดยุคใหม่ให้แก่ธุรกิจ พร้อมนี้ คุณคิมบอกว่าบริษัทอยู่ระหว่างวางแผนจัดโชว์โอฬารพิเศษช่วงปลายปีให้แก่บริษัทลูกค้าบิ๊กเบิ้มรายหนึ่ง

    <b>เร่งพัฒนากฎหมายคือด่วนสุด ผ่อนปรนนักคือภัยต่อความมั่นคง เข้มงวดมาก-เศรษฐกิจไม่รุดหน้า </b>

    การแสดงโดรนอันมโหฬารตระการตาที่จัดโดยกระทรวง MOLIT และปฏิบัติการโดยบริษัท UVify เกิดขึ้นได้โดยได้รับอนุญาตพิเศษหลายรายการ ทั้งนี้ กรุงโซลสร้างข้อจำกัดอันเข้มงวดมากมายเกี่ยวกับโดรนขึ้นมาใช้ด้วยสาเหตุที่มากกว่าประเด็นความเสี่ยงที่เครื่องจักรเครื่องยนต์จะตกจากฟ้ามาทำอันตรายผู้คนและยานพาหนะบนแผ่นดิน ประเด็นก็คือกรุงโซลตั้งอยู่ห่างจากเกาหลีเหนือแค่ 50 กิโลเมตร

    “ในกรุงโซล โดรนทั้งหลายถูกจำกัดด้วยข้อห้ามมากมายสืบเนื่องจากเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ”ปักซังจุน นักวิจัยแห่งสถาบันเทคโนโลยีความปลอดภัยด้านการบินแห่งเกาหลีกล่าวแก่เอเชียไทมส์ ทั้งนี้ ที่ตั้งของกรุงโซลทุกตารางนิ้วอยู่ในโซนระบุตัวตนเพื่อป้องกันภัยทางอากาศแห่งเกาหลี (Korea Air Defense Identification Zone : KADIZ)

    ความมั่นคงปลอดภัยทางอากาศเป็นเรื่องจริงที่ยิ่งกว่านิยาย โดรนของเกาหลีเหนือเคยเจาะเข้าสู่เวิ้งฟ้าเหนือย่านใจกลางกรุงโซลมาแล้ว โดยโดรนเกาหลีเหนือตัวหนึ่งเคยเอ้อระเหยเข้าไปได้ถึงทำเนียบประธานาธิบดีแห่งเกาหลีใต้ หรือ The Blue House ก่อนจะโหม่งพสุธาและถูกตรวจพบโดยสำนักข่าวกรองแห่งชาติ

    ด้วยเหตุผลดังกล่าว ประกอบกับเหตุผลอื่นๆ ในด้านความปลอดภัยของมหานครที่แน่นขนัดไปด้วยตึกระฟ้าและแออัดด้วยผู้คน ดังนั้น รัฐบาลเกาหลีใต้จึงไปทำการทดสอบกฎระเบียบสำหรับโดรนและสิ่งที่เกี่ยวข้องในบริเวณพื้นที่ชนบทห่างไกล ท่านรองฯ แจงยองกีแห่งฝ่ายการขนส่งโดรนของ MOLIT ให้ข้อมูลดังกล่าวแก่เอเชียไทมส์ พร้อมบอกว่า ในเขตชนบท โดรนถูกใช้ในภารกิจอันหลากหลาย รวมถึงการเฝ้าระวังภัยสาธารณะ เช่น เขื่อน สัตว์ป่า ไฟป่า นอกจากนั้น ยังมีเรื่องของการฉีดพ่นยาฆ่าแมลง

    ขณะที่เกาหลีใต้คอยมองความเคลื่อนไหวของสหรัฐอเมริกาในฐานะเกณฑ์มาตรฐานการใช้โดรนสำหรับภารกิจการทหาร เกาหลีใต้จะมองไปที่จีนเพื่อดูการใช้โดรนในการบินของภาคเอกชน นักวิจัยปักซังจุนบอก ในเวลาเดียวกัน ท่านรองฯ แจงให้ข้อมูลว่าฝ่ายการขนส่งโดรนมีการประสานงานกับหน่วยงานแบบเดียวกันของทางสหภาพยุโรปซึ่งดำเนินการวิจัยและพัฒนากฎระเบียบใหม่ๆ

    “ขณะนี้ เราอยู่ระหว่างสร้างกฎหมายโดรน” มุนซ็อกจุน ผอ.ฝ่ายการบินขั้นสูงแห่ง MOLIT ให้ข้อมูลไว้กับเอเชียไทมส์ และบอกด้วยว่า “เราอยู่ในขั้นตอนการกำหนดรากฐานของกฎระเบียบครับ”

    ภารกิจสำคัญยิ่งประเภทหนึ่งที่ผู้คนรอคอยกันมากจากโดรนของเอกชนคือ โดรนขนส่งทางอากาศ อันเป็นบริการที่บุกเบิกโดยหลายๆ ธุรกิจยักษ์ อาทิ Amazon, DHL และบริการไปรษณีย์ของรัสเซีย ในขณะที่การทดสอบโดรนในภารกิจส่วนใหญ่ของเกาหลีใต้จะดำเนินการกันในถิ่นชนบทห่างไกล การทดลองแอปพลิเคชั่นของโดรนในด้านการขนส่งจะดำเนินการในพื้นที่เมือง

    ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา กระทรวง MOLIT ทำการทดสอบบริการขนส่งอาหารด้วยโดรนที่บินแบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบในนครเซจงซึ่งถูกสร้างขึ้นเป็นศูนย์การบริหารประเทศ โดยนครเซจงอยู่ห่างจากกรุงโซลไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 130 กิโลเมตร ในการทดสอบดังกล่าว โดรน 5 ลำทำการนำส่งผลิตภัณฑ์ไปยังผู้รับที่อยู่ในตึกระฟ้า โดยระยะทางขนส่งอยู่ในช่วง 2-3 กิโลเมตร

    ในปีหน้า การทดลองในสิ่งแวดล้อมของเมืองจะมีจำนวนเพิ่มขึ้น “จะเรียกว่าเป็นการสาธิตก็ได้ แต่เรามุ่งผลในเชิงพาณิชย์ครับ” ผอ.มุนซ็อกจุน แห่งฝ่ายการบินขั้นสูงกล่าวอย่างนั้น

    ผอ.มุนให้ประมาณการด้วยว่าการใช้โดรนในเชิงพาณิชย์เพื่อการนำส่งข้าวของ น่าจะเริ่มกันได้ในสามปีข้างหน้า คือในปี 2023

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    1 > มีความคืบหน้าที่น่าสนใจมากจากทีมรัฐบาลใหม่ของโจ ไบเดน โดย The New York Times รายงานว่าไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ได้กล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า เขาจะแต่งตั้งให้ จอห์น เคอร์รี เป็นทูตพิเศษด้านสภาพอากาศ ซึ่งเคอร์รีเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีวาการกระทรวงการต่างประเทศสมัยโอบามา

    2 > ไบเดนถึงกับตั้งตำแหน่งใหม่ขึ้นมาในระดับคณะรัฐมนตรี โดยเคอร์รีมีหน้าที่ที่จะต้องโน้มน้าวผู้นำระดับโลกให้กลับมาเชื่อมั่นในสหรัฐอเมริกาอีกครั้งหลังจากที่โลกต้องสั่นคลอนเพราะรัฐบาลทรัมป์ที่ต่อต้านหลักการวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับปัญหาโลกร้อนและยังถอนตัวจากความตกลงปารีสปี 2015 เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน

    3 > แต่ในยุคของไบเดนเขาให้ความสำคัญกับปัญหาโลกร้อนเป็นอันดับต้นๆ และวางนโยบายบ New Green Deal เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของประเทศที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมุ่งสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนแบบเต็มตัว เขาจะทำให้สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำในการแก้ปัญหาโลกร้อนอีกครั้ง

    4 > ผู้สื่อข่าวของ The New York Times และผู้เชี่ยวชาญแสดงความเห็นเกี่ยวกับการแต่งตั้งเคอร์รี่ว่าเขาเป็นคนที่มีประสบการณ์ทางการเมืองสูงและมีพลังสูงในการโน้มน้าว แต่เขาอาจจะต้องใช้พลังมหาศาลในการโน้มน้าวทั้งในต่างประเทศและในประเทศ เพราะในการเมืองสหรัฐอเมริกาเองมีความกังขาเรื่องปัญหาโลกร้อนพอสมควร

    5 > เคอร์รี่จะยิ่งเจองานหินถ้าหากพรรครีพับลิกันยังกุมเสียงข้างมากในวุฒิสภา แม้ว่าทรัมป์จะพ้นจากตำแนห่งแล้ว แต่สมาชิกร่วมพรรคของเขามีกลุ่มที่กังขาต่อปัญหาโลกร้อนและยังเป็นกลุ่มที่ใช้ข้ออ้างเรื่องการไม่อนุรักษ์ เพื่อที่จะกอบโกยจากธรรมชาติ จะเห็นได้จากการที่ทรัมป์ถอนสถานะเขตอนุรักษ์ต่างๆ

    6 > แต่ตัวช่วยของเคอร์รี่และไบเดนก็คือชาวอเมริกัน จากการสำรวจความเห็นเมื่อเดือน ม.ย. 2563 โดย Pew Research Center ชาวอเมริกันสองในสามคิดว่ารัฐบาลควรทำอะไรสักอย่างให้มากกว่านี้เพื่อแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ ซึ่งความกังวลของสาธารณชนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะในกลุ่มเดโมแครต ซึ่งเป็นผู้ที่เลือกไบเดนเข้ามานั่นเอง

    ข้อมูลจาก
    Lisa Friedman. (Nov. 23, 2020). "With John Kerry Pick, Biden Selects a ‘Climate Envoy’ With Stature". The New York Times.
    Alec Tyson and Brian Kenned. (June 23, 2020). "Two-Thirds of Americans Think Government Should Do More on Climate". Pew Research Center.
    ภาพ U.S. Department of State from United States

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    อาการนกเงือกถูกยิงบาดเจ็บสาหัสเริ่มดีขึ้น หลังส่งตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาลสัตว์เนินพลับหวาน จ.ชลบุรี พบอาการตากระตุกลดลง ไม่พบอาการชัก แต่ยังต้องดูแลอย่างใกล้ชิด
    .
    สัตวแพทย์ต้องป้อนอาหารนกเงือกที่ถูกพรานยิงตกที่เกาะช้าง จ.ตราด ทางสายยาง แบะยิงเลเซอร์ประสานแผลที่ถูกยิงแล้ว จนสามารถหายใจเองได้ แต่ยังขยับตัวไม่ได้ จึงเตรียมประสานผู้เชี่ยวชาญฝังเข็มช่วยกระตุ้นประสาท
    .
    สพ.ญ.ชญานิศ ประสานวงศ์ สัตวแพทย์ประจำสถานีเพาะเลี้ยงนกน้ำบางพระ จ.ชลบุรี รายงานว่า ทีมสัตวแพทย์ของโรงพยาบาลสัตว์เนินพลับหวาน จ.ชลบุรี ที่ติดตามรักษาอาการนกเงือก ไม่พบอาการชัก แต่อาการตากระตุก(Nygstagmus) ซึ่งเป็นอาการที่แสดงถึงความเสียหายของระบบประสาทยังคงมีอยู่
    .
    แต่ระดับความแรงและความถี่ลดลง ไม่สามารถทรงตัวได้ สามารถรับอาหารเหลวจากการสอดท่อยางป้อนได้ และยังคงให้สารน้ำ ยา และสารอาหารเข้าทางเส้นเลือดต่อไป
    .
    นอกจากนี้ได้เพิ่มการใช้เครื่องเลเซอร์เพื่อลดการอักเสบบริเวณบาดแผลที่ถูกยิงอีกด้วย อาการดังกล่าวยังต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ และยังคงต้องประเมินอาการวันต่อวัน
    .
    ทั้งนี้ได้ขอความอนุเคราะห์ฝากรักษาที่โรงพยาบาลสัตว์เนินพลับหวาน จนกว่าอาการจะดีขึ้น จากนั้นจะนำส่งเพื่อดูแลต่อที่โรงพยาบาลสัตว์ป่า สถานีเพาะเลี้ยงนกน้ำบางพระ

    ขอบคุณภาพจาก: สำนักข่าวไทย, Pr.กรมอุทยานฯ
    #นกเงือก #ยิงนกเงือก

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    24.11.20

    โจรที่ปลอมตัวเป็นผู้ซื้อบริการทางเพศ บุกเข้าไปในอพาร์ตเมนต์ของ หญิงขายบริการทางเพศ ปล้นและทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย

    1.หญิงขายบริการทางเพศ ทำงานและอาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนท์ใจกลางเมืองออสโล เช่นที่ Barcode ใก้ลกับ Oslo sentralstasjon และ ย่าน Aker Brygge พวกเธอได้รับการติดต่อจาก โจร ที่ปลอมตัวเป็นผู้ซื้อบริการ

    2.หลังจากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชายวัย 23 ปีที่อยู่เบื้องหลังการปล้นถูกตัดสินจำคุก 3 ปี ส่วนผู้สมรู้ร่วมคิดในการปล้นวัย 19 ปี ถูกตัดสินลงโทษให้บำเพ็ญประโยชน์

    3.ชายวัย 23 ปี สารภาพว่า เขามีหนี้สินและจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก ดังนั้นจึงหมดหนทางที่จะหาเงิน การปล้นทั้งหมดดำเนินไปในขั้นตอนเดียว โดยที่เขา ติดต่อ หญิงขายบริการฯ ผ่านโฆษณาเซ็กส์ออนไลน์ ชายคนนี้จะทำทีเป็นว่า ตกลงเวลาเพื่อมาใช้บริการ เมื่อเขาไปหาเหยื่อที่บ้าน พอสบโอกาศก็จะ เปิดประตูให้กับผู้สมรู้ร่วมคิด (วัย 19 ปี) บุกเข้ามาจากนั้นพวกเขาก็ร่วมกันปล้นเงิน-ทรัพย์สินอื่นๆจาก ผู้หญิง

    4.เหยื่อหลายคน ได้กล่าวในศาลว่า พวกเธอถูกข่มขู่ด้วย ปืน-มีด และกระบอง หลายคนยังให้การต่อศาลว่า มีการใช้ความรุนแรงทำร้ายร่างกายด้วยการทุบตี เหยื่อบางคนกล่าวว่า พวกเธอหวาดกลัวความปลอดภัยต่อชีวิตและ ทรัพย์สินของพวกเธอ เนื่องจาก ผู้กระทำผิดนั้นคุกคามและใช้ความรุนแรง

    5.ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ว่าปืนที่นำมาขู่เหยื่อนั้นไม่ใช่ของจริง แต่ ศาลแขวงเมืองออสโล ไม่เชื่อข้อแก้ต่างนี้ และพบว่า มีการทำร้ายเหยื่อจริง แม้ว่าปืนจะไม่ใช่ของจริงก็ตาม การข่มขู่ด้วยอาวุธปืนเล็งไปที่เหยื่อถือเป็นการคุกคามอย่างร้ายแรง

    นี่คือภาพรวมของ การปล้น / พยายามปล้น

    ▪09.03.19 : ชายอายุ 23 ปีและชายนิรนาม 2 คน บุกเข้าไปในอพาร์ตเมนต์ที่ Dronning Eufemias เหยื่อ ถูกโยนกระแทกกับกำแพงและถูกดึงผม การพยายามปล้นครั้งนี้ถูกหยุดลงโดยความช่วยเหลือของ ชายคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์เดียวกันกับผู้หญิงคนนี้
    ▪12.03.19 : เหตุเกิดที่ Huitsfelds gate เมืองออสโล ชายนิรนามอายุ 23 ปี และชายนิรนาม 2 คนข่มขู่ เหยื่อ และตีเธอด้วยกระบอง โจรได้ Iphone ของเธอไปเท่านั้น
    ▪15.04.19 : ชายอายุ 23 ปี และชายนิรนาม 2 คน ได้ปล้น หญิงขายบริการฯ ใน Fredensborgveien หญิงสาวถูกเตะ-ทุบตี โจรได้เงินไปประมาณ 33,700 Kr รวมไปถึง Macbook Pro ด้วย
    ▪16.04.19 : ชายอายุ 23 ปี และ อายุ 19 ปีและชายนิรนามคนที่ 3 ที่ บุกเข้ามาใน อพาร์ตเมนต์ของหญิงขายบริการฯ ที่พักอยู่ด้วยกัน 3 คน ใน Fjordalléen เมือง ออสโล โจรมีอาวุธปืนพก - กระบอง และ ค้อน ชายกลุ่มนี้เล็งปืนไปที่ ผู้หญิง ขณะที่พวกเขาค้นข้าวของใน อพาร์ทเมนต์ และ ได้เงินสดประมาณ 17,000 Kr โทรศัพท์มือถือ iPhone 6 เครื่อง/ กระเป๋า Michael Kors /กระเป๋ากีฬา Adidas 1 ใบ/กระเป๋าถือ Gucci และเข็มขัด Gucci 1 เส้น มูลค่า 10,000 Kr /นาฬิกาอีก 1 เรือนมูลค่า 10,000 Kr และ น้ำหอมราคา 600 Kr
    .
    6.เบื้องต้นนี้มีผู้ต้องหา 3 คน อีกคนหนึ่ง ถูกตั้งข้อหารับของโจร แต่คนที่ 3 ป่วยจึงไม่สามารถปรากฏตัวต่อศาล ทั้งสามมีพื้นหลังมาจากต่างประเทศชาย 2 คน ที่ถูกตัดสินแล้วว่ามีความผิดยังถูกตัดสินให้จ่ายเงินชดใช้ให้กับหญิงผู้เสียหายจำนวน 536,000 Kr

    7.ทางด้าน ทนายของผู้ต้องหาวัย 23 ปี นั้น คิดว่า เขาได้รับโทษรุนแรงเกินไป ในขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการพิจรณาว่าจะอุทธรณ์ต่อหรือไม่

    เพิ่มเติม : อ่านแล้วโกธร ขนาดน้ำหอมยังปล้นเอาไป ติดคุก 3 ปี นี่เหมาะสมแล้วค่ะ

    .
    อ่านรวมข่าว และ มาตรการโคโรน่าต่างๆของ ประเทศนอร์เวย์
    http://norgetiltak.blogspot.com/

    อ่าน นอร์เวย์สไตล์วาไรตี้
    https://www.blockdit.com/norwaystyle

    #นอร์เวย์ #ข่าวนอร์เวย์ #norway #รายงานข่าวประจำวัน
    .
    แปลภาษาไทยโดย Facebook เรื่องแปล - ข่าวนอร์เวย์
    https://www.facebook.com/whatisgoingoninnorway

    ผู้ทำข่าวต้นฉบับ :
    Kjetil Bortelid Mæland

    ข่าวต้นฉบับ Nettavisen :
    https://www.nettavisen.no/nyheter/flere-prostituerte-ranet-i-oslo/3424049098.html

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    PSX_20201124_193748.jpg

    (Nov 23) ภาพลวง GDP: อ่าน GDP อย่างไรไม่ให้หลงประเด็น : เพิ่งจะมีการประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ของไทยออกมาติดลบที่ 6.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน อยู่ในระดับที่ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ในตลาด (-8.8%) รวมถึง KKP Research เอง (-8.4%) คาดการณ์ไว้ค่อนข้างมาก โดยปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ติดลบ 12.2% เห็นตัวเลขที่ติดลบน้อยลงและดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้มาก หลายคนคงมีคำถามว่าแล้วมีความหมายอย่างไร แปลว่าเศรษฐกิจไทยกำลังดีหรือยังแย่กันแน่

    มิติหนึ่งที่พอจะเห็นภาพชัดคือเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น ในบางประเทศที่เศรษฐกิจในไตรมาส 3 กลับมาเป็นบวกเทียบกับปีก่อนแล้ว เช่น เวียดนามที่กลับมาโต 0.4% หรือสหรัฐอเมริกาที่แม้จะยังหดตัวที่ 2.9% แต่ก็มีทิศทางการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 เรียกได้ว่า GDP ในหลายประเทศแทบจะกลับมาอยู่ในระดับก่อนวิกฤตแล้วก็ได้ เศรษฐกิจไทยดูจะยังต้องเดินทางอีกยาวไกลกว่าจะถึงจุดนั้น เพราะสัดส่วนการพึ่งพานักท่องเที่ยวที่สูงมาก

    GDP ไตรมาส 3 บอกอะไรเราบ้าง
    สำหรับตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ที่เพิ่งออกมา มีข้อสังเกตที่น่าสนใจและสะท้อนทิศทางของเศรษฐกิจอยู่ 3 ข้อด้วยกัน

    1. การเติบโตของ GDP ที่ดีกว่าคาดเกิดจากการบริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นติดลบเหลือเพียง 0.6% จากตัวเลขไตรมาสก่อนที่ติดลบ 6.8% โดยหากดูเฉพาะการใช้จ่ายของคนไทยในประเทศ (ไม่รวมการใช้จ่ายของคนไทยในต่างประเทศ) การบริโภคจะขยายตัวถึง 3.8% ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้มาก หมายความว่าการบริโภคของคนไทยด้วยกันเองเพิ่มขึ้นค่อนข้างเยอะแล้วเมื่อเทียบกับปีก่อน คำอธิบายที่เป็นไปได้คือตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอาจสะท้อน Pent Up Demand หรือความต้องการซื้อที่อั้นสะสมมาจากช่วงปิดเมือง

    เมื่อดูตัวเลขการบริโภคของเฉพาะคนไทยในประเทศก็ค่อนข้างน่าแปลกใจที่เติบโตได้ดีท่ามกลางภาวะที่รายได้ถูกกระทบอย่างหนักในปัจจุบัน เมื่อดูในรายละเอียดการบริโภคที่เพิ่มขึ้นเกิดจากกลุ่มสินค้าไม่คงทนและบริการด้วย ซึ่งก็น่าจะหมายถึงการท่องเที่ยวในประเทศที่เพิ่มขึ้นจากการทดแทนการออกไปเที่ยวต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้สวนทางกับตัวเลขของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่ยังแสดงให้เห็นว่าการท่องเที่ยวของคนไทยด้วยกันเองในไตรมาส 3 ยังต่ำกว่าปีก่อนอยู่มาก คิดเป็นรายได้เพียง 44% ของการท่องเที่ยวปีก่อนเท่านั้น เราจึงยังไม่เห็นภาพชัดนักว่าการฟื้นตัวในภาวะที่รายได้หายไปเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

    2. การอุปโภคบริโภคภาครัฐ (+3.4%) และการลงทุนภาครัฐ (+18.5%) เพิ่มขึ้นอย่างมากในไตรมาส 3 ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ เป็นแรงส่งสำคัญต่อตัวเลข GDP และเป็นแรงส่งให้ภาคการก่อสร้างกลับมาขยายตัวได้ดี โดยขยายตัว 10.5% ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนที่ยังหดตัวกว่า 10.7% ยังเป็นตัวฉุด GDP ต่อเนื่อง

    3. ภาคธุรกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยวสูงยังคงหดตัวอย่างหนักจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังไม่สามารถกลับมาเที่ยวในไทยได้ ที่ถูกกระทบมากสุดคือภัตตาคารและโรงแรม (-39.5%) และการขนส่งและโกดัง (-23.6%) ในขณะที่กลุ่มธุรกิจที่พึ่งพาอุปสงค์ภายในประเทศเป็นสัดส่วนใหญ่คือภาคบริการบางประเภท เช่น สันทนาการ (+3.1%) และภาคการผลิต (หดตัว 5.8% เทียบกับหดตัว 14.2% ในไตรมาส 2) เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวชัดเจนขึ้น

    ถึงแม้ว่าตัวเลข GDP จะปรับตัวดีขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์กันไว้ในไตรมาส 3 และเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะผ่านจุดต่ำสุดในแง่ของ ‘ตัวเลข’ ไปแล้ว แต่หากมองย้อนกลับไป ตัวเลข GDP ที่ดีกว่า (หรือแย่กว่า) ตัวเลขที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ในหลายๆ ครั้งก็อาจไม่สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริงได้ดีนัก ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

    นักเศรษฐศาสตร์แทบไม่เคยคาดการณ์ GDP ถูก
    ตัวเลข GDP เป็นหนึ่งในตัวเลขเศรษฐกิจที่มีคนสนใจติดตามมากที่สุด เพราะเป็นตัวเลขที่สรุปภาพรวมทั้งหมดของเศรษฐกิจในประเทศนั้นๆ หรือคือรายได้รวมที่คนทั้งประเทศสร้างได้ ณ ช่วงเวลาหนึ่งๆ และเป็นตัวเลขที่นักเศรษฐศาสตร์ตามสถาบันวิจัยต่างแข่งขันกันเพื่อประมาณการตัวเลขนี้ให้ถูกต้องให้ได้ เพราะเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับทั้งภาคธุรกิจ นักลงทุน หรือแม้แต่การทำนโยบายเศรษฐกิจในภาครัฐก็ตั้งเป้าหมายไว้กับตัวเลข GDP เป็นหลัก แต่เชื่อหรือไม่ว่าทั้งนักเศรษฐศาสตร์ไทยและโลกแทบไม่เคยคาดการณ์ GDP ได้ถูกต้องเลย

    เมื่อเทียบการคาดการณ์ GDP ของ IMF กับตัวเลข GDP จริง IMF มีแนวโน้มประเมิน GDP สูงเกินไป และปรับประมาณการลงหลายครั้งเมื่อมีการประกาศตัวเลขจริง



    สำหรับกรณีของไทย การคาดการณ์ GDP ให้ตรงตามตัวเลขที่ประกาศโดยสภาพัฒน์ทำได้ยาก และแม้คาดการณ์ได้ถูกต้องก็อาจไม่ได้สะท้อนภาพเศรษฐกิจได้เต็มที่ ทำให้ในหลายครั้งการแข่งขันกันประมาณการตัวเลข GDP ออกมาให้ถูกต้องอาจมีประโยชน์ในแง่ของความหมายทางเศรษฐกิจจริงๆ น้อยกว่าต้นทุนด้านเวลาที่นักเศรษฐศาสตร์จากทุกสำนักทุ่มเทลงไปเพื่อประมาณการตัวเลขนี้ ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับนักลงทุนและคนทำธุรกิจ ตัวเลข GDP ก็อาจจะไม่ได้ให้ภาพเศรษฐกิจที่ครบถ้วนและตรงประเด็นมากอย่างที่คิด สาเหตุมีอยู่ด้วยกันหลายเรื่อง

    ประเด็นแรกคือ GDP ถูกวัดจากหลายวิธีและมีค่าความคลาดเคลื่อนทางสถิติสูง กระทบต่อการประเมินภาพเศรษฐกิจ ขออธิบายอย่างง่ายๆ เพื่อที่จะเข้าใจที่มาที่ไปของตัวเลข GDP โดยปกติแล้วการวัด GDP จะวัดจากสองวิธีคือ วัดจากฝั่งการบริโภค และวัดจากฝั่งการผลิต โดยตัวเลข GDP ที่ใช้ประกาศเป็นทางการจะเป็น GDP จากฝั่งการผลิต หรือก็คือมูลค่าสินค้าทั้งหมดที่ประเทศผลิตได้ หากสินค้าที่ผลิตมาแล้วขายไม่ได้ (ผลิตมากกว่าบริโภค) จะทำให้ GDP ในฝั่งการผลิตมากกว่าฝั่งการบริโภค และถูกนับไปเป็นสินค้าคงคลัง (Inventory) ซึ่งจะถูกนับเป็น GDP เช่นกัน

    ปัญหาที่เกิดขึ้นคือเมื่อนับ GDP ฝั่งการบริโภครวมกับสินค้าคงคลังแล้ว GDP ก็อาจยังไม่เท่ากับการผลิตได้อยู่ดี ส่วนต่างนั้นขอเรียกรวมๆ ว่าเป็นค่าความคลาดเคลื่อนทางสถิติซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ เกิดจากสองเหตุผลคือความคลาดเคลื่อนจากการวัดตัวเลข GDP ในสองวิธีที่วัดได้ไม่เท่ากัน และการคำนวณ GDP แบบ Chain Volume Measure (CVM) (ไม่ได้อธิบายรายละเอียดไว้ในที่นี้) ที่ทำให้แต่ละองค์ประกอบของ GDP ไม่สามารถบวกกันได้

    เปรียบเทียบการเติบโตของ GDP ฝั่งการผลิตที่สภาพัฒน์ประกาศ และ GDP จากการรวมองค์ประกอบจากฝั่งการใช้จ่าย
    พบว่าการเติบโตมีความแตกต่างกันมากตั้งแต่ -3.1% ไปจนถึง +1.2% นับตั้งแต่ปี 1993



    ที่น่ากังวลคือในกรณีของไทย ตัวเลข GDP ในแต่ละไตรมาสสามารถเกิดจากสิ่งที่เรียกว่าค่าความคลาดเคลื่อนทางสถิติ ซึ่งอธิบายที่มาที่ไปไม่ได้ในขนาดใหญ่มากตั้งแต่ -3.1% ไปจนถึง 1.2% ยกตัวอย่างเช่น ในไตรมาส 3/18 ที่ตัวเลข GDP ที่ประกาศเติบโตได้ 3.2% แต่ความจริงแล้วเกิดจากค่าคลาดเคลื่อนถึง 0.8% ซึ่งเมื่อหักเลขส่วนนี้ออกไป การเติบโตที่เกิดขึ้นจริงจะเหลือเพียง 2.4% เท่านั้น หมายความว่าเลข GDP ที่สูงขึ้นไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราอธิบายได้

    แม้ว่าค่าความคลาดเคลื่อนอาจเกิดขึ้นกับประเทศอื่นๆ เช่นกันในขนาดที่มากน้อยต่างกันไป แต่ในประเทศที่เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้ดี ค่าความคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อยจะไม่ส่งผลต่อการเติบโตของ GDP มากนัก แต่สำหรับเศรษฐกิจไทยที่โตต่ำเพียง 2-3% เท่านั้น ค่าความคลาดเคลื่อนเพียง 1% ก็คิดเป็นกว่า 1 ใน 3 ของการเติบโตทั้งหมดของ GDP ไทยแล้ว

    ประเด็นที่สอง เมื่อตัดส่วนของค่าความคลาดเคลื่อนออกไป การเติบโตของ GDP ไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเป็นผลมาจากสินค้าคงคลังที่เพิ่มขึ้นในสัดส่วนใหญ่มาก หากดูการเติบโตเฉลี่ย 3 ปีล่าสุด (2017-2019) ของไทยจะพบว่า GDP เติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 3.7% อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้ไม่ได้สะท้อนภาพเศรษฐกิจนัก เนื่องจากในระยะ 3 ปีมานี้ การเปลี่ยนแปลงของสินค้าคงคลังที่โดยปกติแล้วมีสัดส่วนเล็กและปรับตัวขึ้นลงอยู่ตลอดตามภาวะเศรษฐกิจจนแทบไม่ส่งผลต่อ GDP กลับกลายเป็นแรงส่งให้กับเศรษฐกิจไทยติดต่อกันยาวนานถึงกว่า 10 ไตรมาส ส่งผลให้ตัวเลข GDP เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1.5% หมายถึงเรามีการผลิตที่มากกว่าอุปสงค์อย่างต่อเนื่อง หากหักตัวเลขส่วนนี้ที่เกิดจากสินค้าคงคลัง การเติบโตเฉลี่ยของ GDP ไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจะเหลือเพียง 2.2% เท่านั้น (เปรียบเทียบกับกรณีของสหรัฐอเมริกาที่การเติบโตของ GDP เฉลี่ยจากสินค้าคงคลังอยู่ในระดับใกล้ 0)

    ขอใช้ตัวอย่างเดิมคือในไตรมาส 3/18 ที่สินค้าคงคลังเติบโตขึ้นเยอะมาก การเปลี่ยนแปลงของเฉพาะการใช้จ่ายจริงๆ ของคนจะเปลี่ยนเป็น ‘ติดลบ 3.7%’ จากตัวเลข GDP ที่เราเห็นตอนแรกสุดคือ 3.2% เปลี่ยนจากหน้ามือไปเป็นหลังมือ เรียกได้ว่าความแตกต่างของการประมาณการ GDP ในระดับทศนิยมที่เรามักสนใจกันแทบจะไม่มีความหมายเลย เพราะสามารถเกิดจากสิ่งที่อธิบายได้ยากอย่างค่าความคลาดเคลื่อนและสินค้าคงคลัง

    ประเด็นสุดท้าย ความไม่เท่าเทียมทางรายได้ที่สูงในไทยทำให้ท้ายที่สุดแล้วเลข GDP ไม่สะท้อนคุณภาพชีวิตจริงๆ ของคน เพราะการเติบโตของ GDP เป็นการเติบโตของรายได้รวมในประเทศ แต่ไม่ได้สะท้อนให้เห็นว่าคนแต่ละกลุ่มได้ประโยชน์เท่ากัน ซึ่งในกรณีของประเทศไทย เราเห็นชัดว่าการเติบโตของรายได้มักกระจุกตัวอยู่ที่กลุ่มคนที่มีรายได้สูง (จากข้อมูลสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) และกระจุกตัวอยู่ในบางภาคเศรษฐกิจเท่านั้น (เศรษฐกิจไทยมีรายได้ประมาณ 10% อยู่ในภาคเกษตร 30% อยู่ในภาคการผลิต และ 60% อยู่ในภาคบริการ) การใช้ตัวเลขเพียงตัวเดียวจึงไม่สามารถสะท้อนภาพเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของคนทุกกลุ่มได้

    แล้วเราควรอ่านตัวเลข GDP อย่างไร
    คำถามที่เกิดตามมาคือแล้วการติดตามตัวเลข GDP ยังมีประโยชน์อยู่หรือไม่ในการบอกทิศทางเศรษฐกิจ ก็ต้องบอกว่าคงยังมีประโยชน์อยู่ แต่จากปัญหาของ GDP ที่บอกมา มีข้อแนะนำอยู่ 3 อย่างหากต้องการใช้ตัวเลข GDP ให้เป็นประโยชน์มากขึ้น

    1. ไม่ดูเฉพาะตัวเลขการเติบโตของ GDP รวมแต่ดูการเติบโตในระดับองค์ประกอบของ GDP ในฝั่งการบริโภค แบ่งได้เป็น 4 กลุ่มหลักคือ

    1.1 หากต้องการเข้าใจเศรษฐกิจในประเทศ ควรจะดูภาวะการบริโภคและการลงทุน

    1.2 หากต้องการเข้าใจเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ควรดูตัวเลขการส่งออกซึ่งสะท้อนทิศทางของเศรษฐกิจโลก

    1.3 การนำเข้าซึ่งส่งผลลบต่อ GDP (การนำเข้าที่ลดลงหมายถึงรายได้ที่สร้างได้ถูกเก็บไว้ในประเทศมากขึ้น) ทำให้หลายครั้งเศรษฐกิจที่เติบโตอาจเกิดจากการนำเข้าที่ลดลงได้

    1.4 ตัวเลขการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐเป็นการสะท้อนแรงส่งจากนโยบายเศรษฐกิจ การพิจารณาแยกเป็นส่วนๆ ในลักษณะนี้จะทำให้เข้าใจภาพเศรษฐกิจมากกว่าการดูตัวเลข GDP รวมที่มีข้อมูลทั้งสินค้าคงคลังและความคลาดเคลื่อนปนกันอยู่

    2. ตัวเลขการเติบโตของ GDP สูงไม่ได้แปลว่าเศรษฐกิจดีเสมอไป แม้ว่าตัวเลขการเติบโตของ GDP เทียบกับปีก่อนจะเป็นสิ่งที่คนในตลาดการเงินติดตามกันมาก แต่หลายครั้งอาจไม่ได้หมายถึงภาวะเศรษฐกิจที่ดี เพราะตัวเลขนี้ขึ้นอยู่กับฐาน (GDP ปีก่อน) ที่นำมาใช้คำนวณ ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 และปิดเมืองในปี 2020 เศรษฐกิจมีการหดตัวลงไปรุนแรงมาก จะส่งผลให้การเติบโตของ GDP ในไตรมาส 2-4 ปีหน้าสูงขึ้นมากโดยปริยายจากตัวฐานที่ต่ำลงไปกว่าปกติในปีนี้ แต่แท้จริงแล้วเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ดังนั้นการอ่านตัวเลข GDP จึงควรดูระดับของ GDP ควบคู่ไปกับการดูเฉพาะอัตราการเติบโต

    3. ภาพการเติบโตของ GDP อาจไม่ได้สะท้อนภาวะเศรษฐกิจของทุกคนในประเทศ จะมีกลุ่มคนที่ได้ประโยชน์มากและกลุ่มคนที่เสียประโยชน์อยู่เสมอจากการเติบโตที่ไม่เท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะในมุมของระดับรายได้ พื้นที่ และกลุ่มธุรกิจ ยกตัวอย่างเช่น GDP ที่เริ่มฟื้นตัวในไทยไม่ได้สะท้อนภาพเศรษฐกิจของภาคการท่องเที่ยวที่ยังแย่อยู่อย่างมาก โดยเฉพาะจังหวัดที่พึ่งพานักท่องเที่ยวจากต่างประเทศสูง เช่น ภูเก็ต กระบี่

    ในมุมของการลงทุนและการทำธุรกิจ การอ่านผลแบบเฉพาะเจาะจงนี้เป็นประโยชน์มากกว่าการพิจารณาเฉพาะเลข GDP รวมอย่างเดียว เพราะแต่ละธุรกิจต่างพึ่งพากำลังซื้อหลักจากคนละแหล่งกัน เช่น การค้าปลีกและค้าส่งที่พึ่งพาการบริโภคในประเทศ โรงแรมและภัตตาคารที่พึ่งพานักท่องเที่ยว หรือการผลิตรถยนต์ที่พึ่งพาการส่งออก ซึ่งจะช่วยในการคาดการณ์และกำหนดทั้งการลงทุนและทิศทางธุรกิจทำได้ดียิ่งขึ้นด้วย

    จากข้อมูลหลายๆ อย่างก็สะท้อนภาพให้เห็นว่าการติดตามภาวะเศรษฐกิจผ่านการดูเฉพาะตัวเลข GDP และการคาดการณ์ GDP เป็นหลักอาจไม่ได้มีความสำคัญมากเท่ากับน้ำหนักที่นักลงทุนให้ไปกับตัว GDP หลายๆ ครั้งการดูตัวเลข GDP เป็นรายไตรมาสก็อาจจะเบนความสนใจเราไปจากทิศทางระยะยาวของเศรษฐกิจ เช่นเดียวกันกับกรณีของตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 3 นี้ที่แม้จะปรับตัวดีขึ้นบ้างแล้ว และดีกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ แต่เศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในทิศทางชะลอตัวและอยู่ในระดับต่ำกว่าศักยภาพอีกมาก ประกอบกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ายังมีอยู่สูง โดยเฉพาะความเสี่ยงที่ธุรกิจจะมีกระแสเงินสดไม่เพียงพอ การเลิกจ้างงานในระยะข้างหน้า รวมถึงการเลิกกิจการในธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ในช่วงสั้นๆ นี้เราคงต้องหวังพึ่งนโยบายภาครัฐเพื่อประคับประคองให้ธุรกิจและเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้

    *ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร

    โดย ลัทธกิตติ์ ลาภอุดมการ
    นักวิเคราะห์ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์ KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร

    Source: The Standard Wealth
    https://thestandard.co/how-to-read-gdp-clearly/
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ยิง #เลเซอร์ ใส่นักบิน เป็นอันตรายต่อสาธารณะชน ตามกฎหมายโทษสูงสุดประหารชีวิต

    โพสนี้ไม่ตลกและไม่มุกครับ

    ตามที่มีผู้ใช้ Twitter ประกาศระดมทุนเพื่อจัดซื้อ #เครื่องยิงเลเซอร์ โดยมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะนำไปใช้เพื่อส่องใส่อากาศยานหรือ #เฮลิคอปเตอร์ นั้น TAF ขอย้ำว่า "ไม่ควรกระทำโดยเด็ดขาด"

    (Link ต้นทางใน Twitter

    )

    ทั่วโลกมีรายงาน #อากาศยาน ถูกแสงเลเซอร์ยิงใส่จนอาจรบกวนการปฏิบัติการบินของนักบิน ซึ่งอาจส่งผลร้ายแรงทำให้อากาศยานประสบอุบัติเหตุตกได้ ซึ่งถ้าตกหมายความถึงอาจมีผู้เสียชีวิตทั้งที่อยู่บนอากาศยานและผู้ที่อาศัยอยู่ข้างล่าง ถือว่าส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยสาธารณะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำอย่างยิ่งไม่ว่าในกรณีใด ๆ

    --------------------------------------------

    การวิจารณ์ใด ๆ สามารถกระทำได้ แต่การยิงเลเซอร์ใส่อากาศยานนั้น อาจถือเป็นเจตนาเล็งเห็นผลที่จะก่ออันตรายต่ออากาศยาน ซึ่งอาจมีความผิดตามมาตรา 18 วงเล็บ 2 (ทําให้อากาศยานในระหว่างบริการเสียหายจนเป็นเหตุให้อากาศยานนั้นไม่สามารถทําการบินได้ หรือเป็นเหตุหรือน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อความปลอดภัยของอากาศยานในระหว่างการบิน) ของพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2558 อาจมีโทษจำคุกตั้งแต่ 15-20 ปี จำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต และปรับตั้งแต่ 6 แสนถึง 8 แสนบาท

    เราขอย้ำอีกครั้งว่าการก่ออันตรายใด ๆ ต่ออากาศยานนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำอย่างสิ้นเชิง นอกจากจะเป็นความผิดตามกฎหมายแล้ว อาจส่งผลต่อทรัพย์สินและอาจทำให้ผู้อื่นทั้งที่อยู่บนตัวอากาศยานและอยู่ข้างล่างเสียชีวิต นี่คือการละเมิดและการทำลายความปลอดภัยสาธารณะ จึงเป็นการกระทำที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่งครับ

    https://thaiarmedforce.com/2020/11/24/do-not-point-laser-to-the-aircraft/

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ฟิลิปปินส์ตั้งเป้าฉีดวัคซีนโควิด 60 ล้านคน
    .
    มะนิลา 24 พ.ย. – ทางการฟิลิปปินส์เผยว่า ชาวฟิลิปปินส์ราว 60 ล้านคนจะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ในปีหน้า ซึ่งคิดเป็นมูลค่ากว่า 73,000 ล้านเปโซ (46,000 ล้านบาท)
    .
    นายการ์ลิโต กัลเวซ จูเนียร์ ประธานคณะทำงานควบคุมและป้องกันการระบาดโรคโควิด-19 ของฟิลิปปินส์กล่าวว่า ทางการกำลังเจรจากับบริษัทเวชภัณฑ์ของจีนและชาติตะวันตก 4 แห่งที่รวมถึงบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ ของสหรัฐ บริษัทซิโนแวก ไบโอเทค ของจีน เพื่อรับสิทธิ์ซื้อวัคซีนในช่วงต้นปีหน้า
    .
    ขณะที่บริษัทแอสตราเซนเนกาของอังกฤษยืนยันว่า จะจำหน่ายวัคซีนกว่า 20 ล้านโดสให้ฟิลิปปินส์
    .
    นายกัลเวซ จูเนียร์ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า ทางการจะให้สิทธิ์ชาวฟิลิปปินส์ในชุมชนยากจนและเปราะบางที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 เข้ารับการฉีดวัคซีนก่อนเป็นอันดับแรก
    .
    อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต ของฟิลิปปินส์ระบุว่า เขาต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารมีสิทธิ์ได้รับการฉีดวัคซีนก่อน เนื่องจากคนกลุ่มนี้ต้องปฏิบัติงานที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา
    .
    ฟิลิปปินส์มียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมกว่า 420,000 คน สูงเป็นอันดับที่ 2 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจากอินโดนีเซีย และมีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 8,173 คน.

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ญี่ปุ่นยังไม่คิดปิด รร.แม้โควิดเพิ่มสถิติใหม่ไม่หยุด
    .
    โตเกียว 24 พ.ย.- รัฐบาลญี่ปุ่นยังไม่มีแผนปิดโรงเรียน แม้ว่ายอดผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 รายวันทั่วประเทศเดินหน้าทำสถิติใหม่ไม่หยุด
    .
    นายโคอิจิ ฮากิอุดะ รัฐมนตรีศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแถลงข่าววันนี้ว่า ณ เวลานี้รัฐบาลยังไม่พิจารณาคำขอให้ปิดโรงเรียนทุกแห่ง อย่างไรก็ดี ขอให้โรงเรียนระมัดระวังในระดับสูงสุด เนื่องจากยอดผู้ป่วยใหม่เกินวันละ 2,000 คน มา 5 วันติดกันแล้วจนถึงวันอาทิตย์
    .
    กระทรวงจะทบทวนแนวทางในเร็วๆ นี้ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าโรงเรียนได้ใช้มาตรการป้องกัน รวมทั้งมีระบบระบายอากาศในฤดูหนาวที่เพียงพอ เพราะผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ยอดผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นมากเพราะอากาศหนาวทำให้คนอยู่แต่ในบ้านที่ไม่มีการระบายอากาศดีพอ
    .
    ส่วนการสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะมีขึ้นในเดือนมกราคมตามกำหนด เขาได้ขอให้ตัวแทนมหาวิทยาลัยดำเนินมาตรการป้องกันไวรัสโคโรนาอย่างเข้มงวดแล้ว
    .
    เดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้ขอให้โรงเรียนประถม มัธยมต้นและมัธยมปลายทุกแห่งปิดชั่วคราวเมื่อยอดผู้ป่วยโรคโควิด-19 เพิ่มขึ้น เป็นประกาศกะทันหันที่ทำให้นักเรียน ผู้ปกครองและโรงเรียนสับสนเพราะไม่ทันตั้งตัว หลายโรงเรียนปิดจนกระทั่งรัฐบาลยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างสมบูรณ์ในปลายเดือนพฤษภาคม.

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เกาหลีใต้อนุมัติทดลองวัคซีน/ยาโควิดผลิตเอง
    .
    โซล 24 พ.ย.- กระทรวงความปลอดภัยอาหารและยาเกาหลีใต้อนุมัติให้ทดลองทางคลินิกวัคซีนและยารักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ที่บริษัทในประเทศสองแห่งกำลังพัฒนาอยู่
    .
    เว็บไซต์สำนักข่าวยอนฮับรายงานว่า กระทรวงอนุมัติเมื่อวานนี้ให้ดำเนินการทดลองระยะแรกวัคซีน NBP 2001 ของเอสเคไบโอไซเอินซ์ และก่อนหน้านี้เพิ่งอนุมัติให้ทดลองทางคลินิกระยะสองยา DW2008 ของดงฮวาฟาร์มเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19
    .
    เอสเคไบโอไซเอินซ์ เผยว่า จะทดลองวัคซีนกับผู้ใหญ่สุขภาพแข็งแรงเพื่อประเมินความปลอดภัยและประสิทธิภาพในสถานที่ทดลองสองแห่ง ขณะที่ดงฮวาฟาร์มเผยว่า จะทดลองยาที่สกัดจากพืชชนิดหนึ่งกับผู้ป่วยโรคโควิด-19 วัยผู้ใหญ่ที่มีอาการหนัก เพื่อประเมินความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
    .
    ผลการศึกษาเบื้องต้นกับสัตว์พบว่า ช่วยให้ปอดทำงานดีขึ้นมาก และมีประสิทธิภาพต่อต้านไวรัสสูงกว่ายารักษาโควิด-19 สองขนานที่ใช้อยู่ในปัจจุบันคือ เรมเดซิเวียร์ และโลปินาเวียร์ผสมริโทนาเวียร์
    .
    ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเกาหลีใต้แจ้งว่า ผู้ป่วยโรคโควิด-19 จำนวน 292 คนได้ลงทะเบียนเข้าร่วมการทดลองทางคลินิกที่รัฐบาลเป็นแกนนำเพื่อพัฒนาโมโนโคลนอลแอนติบอดีสำหรับรักษา
    .
    สำนักงานควบคุมและป้องกันโรคเกาหลี (KDCA) เสริมว่า กำลังมีการทดลองระยะสองและสามในโรงพยาบาล 17 แห่ง นอกจากนี้เคดีซีเอยังให้การสนับสนุนการพัฒนาวัคซีนสามขนาน สองขนานอยู่ระหว่างการทดลองระยะหนึ่งและสอง อีกขนานคาดว่าจะได้รับอนุมัติภายในปีนี้.

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    พาสปอร์ต #จีน รุ่นใหม่ที่ใช้เมื่อหลายปีก่อน แต่ละหน้ามีรูปสถานที่สำคัญในประเทศจีน รวมทั้งภาพสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของ #ไต้หวัน อย่างทะเลสาบสุริยันจันทรา และยังมีแผนที่ที่รวมเอาหมู่เกาะในพื้นที่พิพาททะเลจีนใต้ เมื่อเอาแว่นขยายมาส่องแล้วพบว่า แผนที่ยังรวม 2 แคว้นใกล้ทิเบตที่เป็นพื้นที่พิพาทกับอินเดียด้วย !

    ในช่วงแรกหลายประเทศปฏิเสธพาสปอร์ตจีนนี้ โดยอ้างว่าจีนใช้รูปสถานที่และแผนที่เพื่ออ้างสิทธิ์ในดินแดนว่าเป็นของตัวเอง อนึ่ง รูปและแผนที่ที่มีปัญหานี้มีเฉพาะในหนังสือเดินทางของประชาชนทั่วไปเท่านั้น เเต่หนังสือเดินทางของเจ้าหน้าที่ราชการมีเเค่ตราสัญลักษณ์ประเทศจีนเท่านั้น

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    น้ำมันดิบ ต่างจาก น้ำมันสำเร็จรูป อย่างไร?
    .
    .
    ถึงแม้โลกของเราจะเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทนอย่างอื่นมากขึ้น เช่น พลังงานไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม เป็นต้น แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสำหรับประเทศไทยเรายังคงต้องพึ่งพา “น้ำมัน” เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งในภาคขนส่งการคมนาคมโดยสาร และอุตสาหกรรมหลักของประเทศ
    .
    น้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล เป็นน้ำมันสำเร็จรูปที่เราคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน ผลิตมาจากการกลั่นลำดับส่วนของ “น้ำมันดิบ” ที่เป็นปิโตรเลียมที่เป็นของเหลวที่พบมาจากธรรมชาติ มีองค์ประกอบเป็นสารไฮโดรคาร์บอนหลายชนิด เมื่อเจาะขึ้นมาแล้วจะเห็นลักษณะทางกายภาพมีสีดำหรือน้ำตาล
    .
    กลุ่มประเทศตะวันออกกลางเป็นแหล่งน้ำมันดิบที่สำคัญที่สุดของโลก ที่เรารู้จักกันดี ก็มีประเทศซาอุดิอาราเบีย อิรัก อิหร่าน เป็นต้น กลุ่มประเทศแถบทะเลแคริบเบียน เช่น เวเนซูเอลลา โคลัมเบีย เม็กซิโก เป็นต้น และยังรวมถึงประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดาที่มีแหล่งน้ำมันดิบสำรองในปริมาณมาก ส่วนในประเทศไทยก็มีแหล่งน้ำมันดิบเช่นกัน แต่ปริมาณที่ผลิตได้ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน จึงทำให้ประเทศไทยจะต้องนำเข้า “น้ำมันดิบ” จากต่างประเทศ เพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำมันสำเร็จรูป
    .
    กระบวนการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปหรือที่เรียกว่าการกลั่นน้ำมันดิบ จะต้องใช้กระบวนการกลั่นลำดับส่วนเพื่อแยกสารประกอบไฮโดรคาร์บอนต่าง ๆ ออกมาให้ตรงกับประโยชน์การใช้งาน ส่วนบนสุดที่ออกมาจะมีจุดเดือดต่ำคือแก๊สธรรมชาติ และที่เราคุ้นเคยกันก็น้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล ตามลำดับ
    .
    ปัจจุบันประเทศไทยเราอิงราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นตามราคาประเทศสิงคโปร์ เนื่องจากเรานำเข้าน้ำมันดิบเพื่อนำมาแปรรูปเป็นส่วนใหญ่ การใช้ราคาตลาดสิงคโปร์จึงเป็นราคาที่สะท้อนการซื้อ-ขายตามกลไกของอุปสงค์-อุปทานของตลาดในช่วงเวลานั้น ๆ ของทุกประเทศในประเทศภูมิภาคนี้ จึงทำให้ได้ราคาที่เป็นไปตามกลไกตลาด
    .
    เมื่อมีปัจจัยที่มากระทบต่อกลไกของอุปสงค์-อุปทานของตลาด จะทำให้เกิดความผันผวนของระดับราคาน้ำมัน ปัจจัยหลักที่มีผลต่อราคาน้ำมันมี 5 ปัจจัย ดังนี้
    .
    1.การเติบโตของเศรษฐกิจโลก ในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัวจะมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันโดยรวมเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ระดับราคาของน้ำมันสูงขึ้น
    .
    2.ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาที่เกี่ยวข้องกับประเทศที่ส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่ของโลก เช่น ปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง จะส่งผลให้ปริมาณน้ำมันดิบที่ผลิตออกมาเปลี่ยนเปลี่ยนแปลง ทำให้ระดับราคามีการผันผวนสูง
    .
    3.ภัยพิบัติและสภาพอากาศ เมื่อเกิดภัยพิบัติการผลิตน้ำมันดิบจะหยุดชะงัก อาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบ และน้ำมันสำเร็จรูปได้ จึงทำให้ในบางช่วงที่มีภัยพิบัติมีส่วนต่างของราคา (Spread) ของน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปที่ผิดปกติ
    .
    4.ปัจจัยสงครามการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่ทำให้กระทบทั่วทุกประเทศทั่วโลกให้มีการขยายตัวของเศรษฐกิจลดลง จึงส่งผลให้ราคาน้ำมันมีแนวโน้มที่ลดลง เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันชะลอตัว
    .
    5.อัตราแลกเปลี่ยน เมื่อค่าเงินในประเทศเราแข็งจะส่งผลให้สามารถซื้อน้ำมันดิบได้ในราคาที่ถูกลง ในทางกลับกันถ้าค่าเงินในประเทศเราอ่อนจะส่งผลให้ต้องซื้อน้ำมันดิบในราคาที่แพงขึ้น
    .
    ถึงแม้ว่าการคาดการณ์ราคาน้ำมันในระยะยาวนั้น จะมีการคาดการณ์กันว่าราคามีแนวโน้มที่จะลดต่ำลง เนื่องจากมีโอกาสที่พลังงานชนิดอื่น เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานไฟฟ้า พลังงานลม และอื่น ๆ เป็นต้น ที่สามารถเข้ามาทดแทนได้สูง จึงส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันในอนาคตมีโอกาสลดลง แต่สำหรับมุมมองระยะสั้นของบริษัทน้ำมันส่วนใหญ่คาดว่าผลกระทบดังกล่าวไม่ได้มีนัยสำคัญแต่อย่างใด ยังเป็นไปตามกลไกของอุปสงค์-อุปทาน และยังทำการซื้อ-ขายกันไปได้อีกนาน เนื่องจากมีอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องหลายชนิดที่จะขาดอุตสาหกรรมน้ำมันไม่ได้ เช่น เครื่องบิน และพลาสติก เป็นต้น

    __________________
    .
    ✅ขอรับคำปรึกษาฟรี คลิ๊ก
    m.me/GOFXThailand
    WEBSITE https://www.gofx.com/

    #GOFX #Oil #FOREX #TRADE

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    จำแนกชนิดของน้ำมันดิบด้วยความหวาน
    .
    .
    ในโลกของเรามีแหล่งน้ำมันอยู่หลายประเภทและหลายเกรด แต่อย่างไรก็ตามมีน้ำมันดิบเพียงแค่ 3 แบบเท่านั้นที่กลายเป็น Oil Benchmarks ได้แก่ Brent, WTI และ Dubai Crude ซึ่งในบทความนี้เราจะมาพูดถึงความแตกต่างของเกรดน้ำมันแหล่านี้กัน
    .
    ⛽️ความแตกต่างที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนของมาตรฐานน้ำมันทั้ง 3 ชนิดนี้ คือ ค่าความหวาน หรือ Sweet นั่นเอง
    Dubai Crude เป็นน้ำมันที่มีความเปรี้ยวมากที่สุดโดยมีปริมาณซัลเฟอร์ประมาณ 2% และมีค่าความหนาแน่นจำเพาะ (API Gravity ประมาณ 31 ดีกรี) สูงที่สุด เราจึงนิยมเรียกน้ำมันประเภทนี้ว่า Heavy Sour Crude คือทั้งหนักทั้งเปรี้ยวนั่นเอง
    .
    ส่วนน้ำมันดิบ Brent และ WTI ถูกเรียกว่าเป็น Light Sweet Crude คือทั้งเบาและหวาน โดยน้ำมันดิบ Brent จะมีค่าความหนักที่ใกล้เคียงกับ WTI แต่มีความเปรี้ยวสูงกว่าเล็กน้อย โดยที่ Brent Crude มีค่า API อยู่ที่ประมาณ 39 ดีกรี และมีปริมาณซัลเฟอร์อยู่ที่ประมาณ 0.4% ส่วนน้ำมัน WTI Crude จะมีค่า API อยู่ที่ประมาณ 37-42 ดีกรี และมีปริมาณซัลเฟอร์อยู่ที่ประมาณ 0.24%
    .
    แล้วน้ำมันชนิดไหนคุณภาพดีที่สุด ถ้าเอาตามมาตรฐานความหวาน น้ำมันที่มีความหวานมากที่สุดหรือมีปริมาณซัลเฟอร์น้อยที่สุดก็คือน้ำมันดิบที่มีคุณภาพดีที่สุด จึงสามารถสรุปได้ว่าน้ำมัน WTI เป็นน้ำมันที่มีคุณภาพที่ดีที่สุด ตามมาด้วย Brent และ Dubai Crude ตามลำดับ จึงส่งผลให้ Dubai Crude มีราคาที่ต่ำที่สุดในตลาด (ประเทศไทยของเรานำเข้าน้ำมันดิบที่เป็น Dubai Crude)
    .
    แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจ ก็คือน้ำมันดิบ WTI กลับมีราคาที่ต่ำกว่าน้ำมันดิบ Brent ทั้งที่มีคุณภาพดีกว่า ผู้เชี่ยวชาญอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไว้ดังนี้
    “อุปทานของน้ำมัน WTI อยู่ในสภาวะ Over supply แต่อุปทานของน้ำมัน Brent อยู่ในสภาวะ Under Supply เนื่องจากสหรัฐอเมริกาและแคนาดาได้ผลิตจนเกินความต้องการใช้ในประเทศของตนเองและส่วนใหญ่ไม่ได้ส่งออกไปต่างประเทศ จึงเป็นปัจจัยที่กดดันให้ราคาน้ำมันต่ำลง”
    .
    ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นจึงทำให้ราคา WTI ต่ำกว่า Brent ทั้งที่ในอดีตราคาน้ำมัน WTI จะมีราคาที่สูงกว่า Brent แต่อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันทั้ง 2 ชนิดมักวิ่งไปทิศทางเดียวกัน เพราะถือว่าเป็นสินค้าที่พอทดแทนกันได้
    .
    ‍♀️สงสัยกันไหมว่า ทำไมน้ำมันที่หวานถึงเป็นน้ำมันคุณภาพดีล่ะ? ถ้ายังจำกันได้ความเปรี้ยวของน้ำมันเกิดจากปริมาณสารซัลเฟอร์ ซึ่งเป็นสารที่สร้างมลพิษให้กับโลกของเรา โดยเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดฝนกรด ที่ผ่านมามีความพยายามที่จะปรับมาตรฐานความหวานของน้ำมันให้มากขึ้นไปอีก เพื่อช่วยให้โลกของเราน่าอยู่ขึ้น ซึ่งเรื่องนี้อาจจะล่าช้าออกเล็กน้อยเนื่องจากมีสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19
    .
    สำหรับในบทความนี้ทุกคนคงจะได้รู้กันแล้วว่า เราจำแนกคุณภาพของน้ำมันตามความหวานได้อย่างไร ถ้าอยากติดตามบทความดี ๆ แบบนี้อีกสามารถกดติดตามเพจ Gofx Thailand ไว้ได้เลยครับ

    .
    __________________
    .
    ✅ขอรับคำปรึกษาฟรี คลิ๊ก
    m.me/GOFXThailand
    WEBSITE https://www.gofx.com/

    #GOFX #OIL #WTI #dubaicrude #Brent #น้ำมันดิบ

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ความต้องการใช้น้ำมันที่นักลงทุนจะต้องรู้ หากต้องการจะซื้อขายสัญญาน้ำมันล่วงหน้ามีดังนี้
    .
    ปริมาณการใช้รถยนต์
    ✈️ปริมาณเที่ยวบิน
    ปริมาณเรือขนส่งสินค้า
    ปริมาณการใช้ในครัวเรือน
    ปริมาณการใช้ในภาคอุตสาหกรรม
    .
    อย่างเช่นในปัจจุบันอุปสงค์น้ำมันลดลงเนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID - 19 ทำให้ปริมาณเที่ยวบินทั้งหมดลดลง อุปสงค์น้ำมันลดลงทั่วโลก ราคาน้ำมันจึงตกต่ำตามอุปสงค์ - อุปทาน โดยปริมาณการใช้ Global Jet Fuel ในปี 2020 นั้นลดลงถึง 70% จาก 7.5 millions barrels ต่อวัน เหลือแค่ 2.25 millions barrels ต่อวัน
    .
    ⛽️ตลาดน้ำมันนั้นปริมาณความต้องการเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากจะมีผลกระทบต่อราคาน้ำมันมากที่สุด หากปริมาณการใช้น้ำมันลดลงทั่วโลกก็จะกดดันให้ราคาถูกลงอย่างในปัจจุบัน
    .
    และหากนักลงทุนต้องการเทรดสัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบ จำเป็นต้องติดตามตัวเลข Global Crude Oil Production ซึ่งจะแสดงถึงปริมาณการผลิตน้ำมัน และสต็อกน้ำมันจากทั่วโลก เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ อย่างเช่นในปี 2020 กลุ่ม OPEC ลดการผลิตน้ำมันลงเพื่อพยุงราคาน้ำมันไม่ให้ลดต่ำลงไปมากกว่า $40/Barrel เพราะจะมีผลกระทบต่อการคลังของประเทศสมาชิก
    .
    การคงปริมาณการผลิตไม่ให้มากกว่าความต้องการนั้นสำคัญสำหรับตลาดน้ำมันดิบเช่นกัน เพื่อไม่ให้เป็นการกดดันราคา ซึ่งจะเป็นผลกระทบต่อผู้ผลิตเอง
    .
    ข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้ จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจปริมาณการผลิตและความต้องการพื้นฐานของตลาดน้ำมัน เพื่อ Make Decision หรือวางแผนการลงทุน ก่อนการซื้อขาย

    .
    __________________
    .
    ✅ขอรับคำปรึกษาฟรี คลิ๊ก
    m.me/GOFXThailand
    WEBSITE https://www.gofx.com/

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    การบริหารความเสี่ยงของบริษัทต่าง ๆ ต่อความผันผวนของราคาน้ำมัน
    .
    .
    บริษัทที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน จะต้องเผชิญกับความผันผวนที่รุนแรงของน้ำมัน ในปี 2020 ราคาน้ำมันฟิวเจอร์ได้ลดลงจนถึงติดลบเมื่อต้นปีและตีกลับมาราว ๆ 40 เหรียญ/บาร์เรล ในตอนปลายปี บริษัทที่บริหารความเสี่ยงด้านราคาน้ำมันได้ไม่ดีอาจจะเกิดการขาดทุนที่หนักจนถึงขั้นล้มละลายได้
    .
    บริษัทชั้นนำของโลกที่ประสบความสำเร็จ เช่น PTTGC ทำการบริหารความเสี่ยงโดยใช้มาตรฐานสากล COSO (The Committee of Sponsoring Organizations of the Treadway Commission) และ ISO 31000 ซึ่งเป็นระบบการจัดการความเสี่ยงขององค์กรที่มีประสิทธิภาพ
    .
    ราคาวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ที่มีการผันผวนสูง เป็นปัจจัยสำคัญที่ได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด ทั้งในด้านการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน และราคาของวัตถุดิบ ในทุก ๆ สัปดาห์บริษัทจะประชุมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และทำการบริหารความเสี่ยงผ่านเครื่องมือที่มีอยู่ในตลาด เช่น การใช้ตราสารอนุพันธ์ และ/หรือทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เป็นต้น เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ตลาดและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ภายใต้กรอบที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง (RMC)
    .
    การที่จะเป็นบริษัทที่จะทำธุรกิจน้ำมันชั้นแนวหน้า จะต้องออกแบบโครงสร้างสัดส่วนธุรกิจให้เหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นพื้นฐาน โดยจะต้องทำการลงทุนทางด้านการวิจัยและนวัตกรรม รวมถึงการแสวงหาการลงทุนใหม่ ๆ เช่น คลัสเตอร์ภาคอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-Curve) และคณะทำงานพัฒนาระเบียบเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เป็นต้น
    .
    บริษัทที่ประสบความสำเร็จจะต้องมองความเสี่ยงทางด้านวัตถุดิบในระยะยาว ตัวอย่างเช่น บริษัท PTTGC ได้ออกแบบและประมูลมูลค่าโครงการปรับปรุงกระบวนการผลิต โรงโอเอฟินล์ เพื่อให้สามารถรองรับวัตถุดิบได้หลายหลายขึ้น โดยลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย เพิ่มการใช้วัตถุดิบที่ผลิตได้เองที่มีอยู่ในบริษัทฯ เช่น แนฟทา และแอลพีจี หรือออกแบบเพื่อให้ใช้วัตถุดิบที่นำเข้าให้คุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ รวมถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า
    .
    การปรับสัดส่วนผลิตภัณฑ์ ที่เปลี่ยนจากการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นพื้นฐาน ไปสู่เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง ที่มีความเจาะจงกับลูกค้าจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนที่รุนแรงของราคาน้ำมันได้ โดยจะต้องต่อยอดธุรกิจให้ไปถึงอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นปลาย เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีความหลากหลายมากขึ้น สอดคล้องกับอุตสาหกรรมปลายทางของเป้าหมาย โดยต้องมุ่งเน้นความร่วมมือกับพันธมิตรที่เป็นเจ้าของสินค้า
    .
    โดยสรุป การบริหารความเสี่ยงของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมัน ในการบริหารระยะสั้น คือการบริหารทางด้านต้นทุนวัตถุดิบ โดยการใช้ตราสารอนุพันธ์ และ/หรือทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เป็นต้น เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ตลาดและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในระยะยาวบริษัทจะต้องเปลี่ยนจากการใช้เทคโนโลยีไปสู่การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่มีกลุ่มลูกค้าที่เฉพาะเจาะจงเพื่อช่วยลดผลกระทบจากราคาน้ำมัน เนื่องจากสินค้าที่เป็นที่ต้องการของลูกค้าจะสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทได้มากกว่า ส่งผลให้สามารถเพิ่มกำไร และ/หรือ สามารถช่วยลดผลการขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันที่รุนแรง

    .
    ถ้าอยากรู้จักตลาดน้ำมันให้มากขึ้น มาเจอกันในงาน
    V
    V
    Oil Trading Like A PRO กลั่นกำไรจากปลายนิ้ว
    .
    .
    ในวันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563
    เวลา 9.30 - 17.00 น.
    ณ Renaissance Bangkok Ratchaprasong Hotel ชั้น M
    .
    .
    สำรองที่นั่งก่อนใคร!! คลิก : https://bit.ly/35tDmZG
    เปิดบัญชีกับ GOFX คลิก : https://bit.ly/2G1LFC1
    .
    สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ LINE: @GOFX
    หรือ Inbox มาสอบถามได้ค่า
    .
    แล้วเจอกันน้า
    .
    #GOFX #GOFXBroker #EDUCATE
    #seminar #oiltrading #oil #gofxthailand #gota #gotathailand #habitrade #habitradeclub #invest #investment #investing #free #trader

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    "รู้ต้นทุน" ก่อน "เก็งกำไร" ในตลาดน้ำมัน
    .
    .
    ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจถึงความสำคัญของกาารวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เนื่องจากการลงทุนนั้นแตกต่างจากการพนันแค่เส้นบางๆเท่านั้น แล้วจะทำยังไงที่จะไม่ทำให้การลงทุนของเรานั้นกลายเป็นพนัน หลายท่านอาจจะเคยขายของ ท่านต้องรู้ว่าต้นทุนของสินค้าที่จะขายนั้นเท่าไหร่ และต้นทุนนั้นมีอะไรบ้าง เช่น ค่าขนส่ง ค่าสินค้า ค่าบรรจุภัณฑ์ ค่าโฆษณา ค่าเช่าที่ ฯลฯ ถึงจะนำมาคำนวนเป็นราคาขายสินค้าของท่าน แล้วจึงบวกกำไรที่ต้องการเข้าไป หากมีใครลงทุนขายของโดยที่ไม่ได้คำนวนต้นทุนข้างต้น การค้าขายก็คงจะมีแต่ขาดทุน
    .
    เช่นกันกับการลงทุนในตลาดหุ้น ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ก็จำเป็นต้องเข้าใจเรื่อง "ต้นทุน" ในสินค้าแต่ละประเภท ซึ่งความยากง่ายก็แตกต่างออกไป เพียงแต่ท่านต้องให้เวลาในการค้นคว้า และวิเคราะห์ กับต้นทุนของสินค้าที่ท่านจะลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง หรือ Downside Risk ในสินค้าที่ท่านจะซื้อขาย
    .
    อย่างเช่น การเทรดน้ำมันดิบ ซึ่งนักลงทุนจะต้องรู้ว่า ต้นทุนของน้ำมันดิบคือเท่าไหร่ ?
    .
    ในแต่ละประเทศต้นทุนการของน้ำมันดิบนั้นไม่เท่ากัน โดยเราจะมาดูกันว่า Global Cost นั้นเท่าไหร่และต่างกันมากน้อยแค่ไหน
    .
    จากภาพจะเห็นว่า ต้นทุน $0 - 35 USD นั้น มากถึง 50.84% นั่นหมายความว่า หากราคาของน้ำมันดิบอยู่ในโซนราคานี้ จะมีผู้ผลิตน้ำมันขาดทุนอยู่ประมาณ 49% ของตลาด โดยกลุ่มที่มีต้นทุนราคาต่ำนั้นส่วนมากจะขุดเจาะแบบ Onshore หรือบนชายฝั่ง ส่วนกลุ่มที่ต้นทุนสูงส่วนมากเป็นการขุดแบบ Deep - Water, Offshore, Sand Oil, Arctic, Shale หากรวมต้นทุนการขนส่งเพิ่มเข้าไป จะทำให้ต้นทุนทั้งหมดสูงขึ้นไปอีก โดยส่วนใหญ่กลุ่มที่ต้นทุนต่ำที่สุด คือ กลุ่ม OPEC รองลงมาคือ แอฟริกา และอเมริกากลาง
    .
    แต่เนื่องจากต้นทุนค่าใช้จ่ายในแต่ละประเทศนั้นต่างกัน โดยเฉพาะกลุ่มตะวันออกกลาง นั้นต้องพึ่งการส่งออกน้ำมันสูงมาก รายได้หลักจึงมาจากน้ำมัน หากราคาน้ำมันตกต่ำลงมากๆ ก็อาจจะทำให้การคลังเป็นปัญหาได้ อย่างกรณี United Arab Emirates นั้นเคยมีโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า Thiqa ซึ่งผู้ป่วยไม่ต้องจ่ายเงินรักษาพยาบาลเองหากไปบินรักษาในรพ.ที่อยู่ต่างประเทศทางประกันสุขภาพจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ 90% โดยโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์นั้นได้ประโยชน์จากโครงการนี้อย่างมาก รายได้ 19% มาจากทางผู้ป่วยตะวันออกกลาง แต่พอราคาน้ำมันดิบลดลงจาก $100/Barrel ลงมาสู่ $60 - 80/Barrel และ $35 - 40/Barrel ในปัจจุบันจึงทำให้ทาง UAE ต้องตัดงบโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าออกไป รวมถึงประเทศกาตาร์ โอมาน คูเวต ด้วยเช่นกัน ทำให้กระทบรายได้กับโรงพยาบาลบำรุงราษฏร์เป็นอย่างมาก
    .
    หรืออย่างกรณีการ Sanction ที่เกิดขึ้นกับเวเนซุเอล่า ที่จำเป็นต้องพึ่งการส่งออกน้ำมัน และมีฐานภาษีน้ำมันที่สูงกว่าประเทศอื่น โดยภาษีสุงถึง 37.9% แต่พอถูก Sanction ก็ทำให้การส่งออกน้ำมันลดลงจนเกิดการขาดดุลทางการคลังมหาศาล เนื่องจากรายได้ของรัฐถูกนำไป Subsidize ให้กับประชาชนเพื่อเป็นฐานเสียงให้กับผู้นำประเทศ จึงทำให้ประเทศต้องล่มสลายจนถึงทุกวันนี้
    .
    จะเห็นได้ว่าการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานนั้นมีความสำคัญเพื่อ Make Decision ก่อนจะลงทุน หากท่านลงทุนโดยไม่ได้รับข้อมูลอย่างที่กล่าวมาข้างต้น การลงทุนของท่านก็จะไม่ต่างจากการพนัน เพราะท่านจะไม่รู้เลยว่า อะไรคือปัจจัยสำคัญของราคาน้ำมันดิบ หรือสินค้าอื่นๆก็เช่นกัน เพราะฉะนั้นการลงทุนจึงไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด

    .
    ถ้าอยากรู้จักตลาดน้ำมันให้มากขึ้น มาเจอกันในงาน
    V
    V
    Oil Trading Like A PRO กลั่นกำไรจากปลายนิ้ว
    .
    .
    ในวันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563
    เวลา 9.30 - 17.00 น.
    ณ Renaissance Bangkok Ratchaprasong Hotel ชั้น M
    .
    .
    สำรองที่นั่งก่อนใคร!! คลิก : https://bit.ly/35tDmZG
    เปิดบัญชีกับ GOFX คลิก : https://bit.ly/2G1LFC1
    .
    สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ LINE: @GOFX
    หรือ Inbox มาสอบถามได้ค่า
    .
    แล้วเจอกันน้า
    .
    #OILTRADING #GOFX #GOFXBroker #SEMINAR #EDUCATE
    #seminar #oiltrading #oil #gofxthailand #gota #gotathailand #habitrade #habitradeclub #invest #investment #investing #free #trader

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    รู้จักตลาดราคาน้ำมันล่วงหน้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ NYMEX
    .
    โดยเป็นการประมูลราคาของสัญญาล่วงหน้า หรือ Futures และ Options โดยจะมีการส่งมอบจริง หมายความว่าหาก Long สัญญาล่วงหน้าเอาไว้ หากถึงกำหนดเดือนนั้นแล้วไม่มีการ Exercise หรือปิดสัญญา ผู้ที่ถือสัญญาจะต้องเตรียมเงินเพื่อซื้อน้ำมันตามมูลค่าของจำนวนสัญญาที่ถือครองไว้ โดย 1 สัญญามีมูลค่า 1,000 บาร์เรล น้ำมัน จะมีการขยับของราคาทุกๆ $0.01 นับเป็น 1 Tick และ มี Tick Value = $10 USD เพราะฉนั้น ทุกๆการขยับของราคาน้ำมัน $0.01 เราจะมี กำไร/ขาดทุน = $10 และต้องเช่าคลังน้ำมันเก็บน้ำมันที่ซื้อเอาไว้ด้วย
    .
    ส่วนตัวผู้เขียนเทรดน้ำมันเป็นหลักเช่นกัน โดยเป็นการเทรดสัญญา Futures Crude Light Sweet ในตลาด NYMEX ซึ่งต้องประมูลราคาแข่งกับ Fund, Proprietary Trader, Oil Companies, Investors, Market Makers จากต่างประเทศ โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเทรดเก็งกำไรรายวัน Day Trading หากต้องการที่จะถือครองสัญญาเอาไว้นานกว่านั้น จะเปลี่ยนไปซื้อ ETF น้ำมันแทนเพื่อลดความเสี่ยงและ Leverage ลง แต่หน้าที่หลักคือ หาจังหวะประมูลราคาซื้อและหาจังหวะขายเอากำไรระหว่างวันให้ได้
    .
    การเป็นเทรดเดอร์น้ำมันต้องทำการบ้าน Fundamental Analysis อยู่เสมอ ซึ่งต้องคอยติดตามปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้องทุกสัปดาห์ ทุกเดือน ทุกๆ 3 เดือน เพื่อตรวจสอบ Fact กับ Opinion ของตัวเราเอง ว่าจะมีผลกระทบต่อกลยุทธ์การลงทุนที่วางแผนเอาไว้หรือไม่ โดยส่วนใหญ่การวางกลยุทธ์การลงทุนจะวางแผนเอาไว้ระยะยาว 1 ปี ต้องเคลียร์ภาพ Fundamental ของน้ำมันให้ชัดเจนก่อน
    .
    ซึ่งปัจจัยที่ต้องติดตามหากต้องการเทรดน้ำมัน มีดังนี้
    .
    1. Cost of Production, Fiscal Break event Oil Price
    .
    2. Oil Demand, Road Transport, Aviation flight, Jet Fuel by Airport
    .
    3. Oil Stock, Production
    .
    4. Macroeconomics
    .
    5. Geopolitics, OPEC - Non OPEC
    .
    อย่างที่กล่าวเอาไว้ในตอนแรกว่า การเทรดน้ำมัน คือ การประมูลราคา ซึ่งจะแตกต่างจากการเทรด Forex เนื่องจากมีการประมูลราคาทั้งฝั่งซื้อและฝั่งขาย จึงทำให้ราคามีความผันผวนสูง โดยในตลาด NYMEX นั้นมี Volume การซื้อขายต่อวันมากถึง 150,000 - 300,000 สัญญาต่อวัน ซึ่งจำนวนการซื้อขายเหล่านี้มาจาก Speculator เป็นส่วนมาก นั่นหมายความว่า จะมีการแย่งกันประมูลราคาซื้อขายตลอดทั้งวัน 24 ช.ม. แต่ Volume ส่วนใหญ่จะเทรดเวลา U.S. Session แต่ถ้าหากมีการเคลื่อนไหวของราคาในตอนกลางวันของประเทศไทย จะเป็นการซื้อขายจากตลาด ICE Brent Crude Futures ซะส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นตลาดอันดับ 2 รองจาก NYMEX

    การประมูลสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันในตลาด NYMEX นั้นจะต้องเจอกับเทรดเดอร์อย่าง Quantitative Trader, Algorithmic Trader และ Pitt Trader ซึ่งเป็น High Frequency Trading System ต้องแข่งขันกับความเร็วอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่เทรดจะมีเวลาตัดสินใจสั้นมากแค่ 3 - 5 นาที นั่นจึงทำให้เทรดเดอร์ต้องวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าเสมอ เลือกกลยุทการเทรดที่เหมาะกับสภาวะจิต และเข้าใจ Sentiment ของตลาดเป็นอย่างดี สิ่งสำคัญคือ ต้องอดทนกับความผันผวนให้ได้ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เทรดเดอร์จะต้องเจอจนเป็นเรื่องปกติ
    .
    ถ้าอยากรู้จักตลาดน้ำมันให้มากขึ้น มาเจอกันในงาน
    V
    V
    Oil Trading Like A PRO กลั่นกำไรจากปลายนิ้ว
    .
    .

    ในวันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563
    เวลา 9.30 - 17.00 น.
    ณ Renaissance Bangkok Ratchaprasong Hotel ชั้น M
    .
    .
    สำรองที่นั่งก่อนใคร!! คลิก : https://bit.ly/35tDmZG
    เปิดบัญชีกับ GOFX คลิก : https://bit.ly/2G1LFC1
    .
    สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ LINE: @GOFX
    หรือ Inbox มาสอบถามได้ค่า
    .
    แล้วเจอกันน้า
    .
    #OILTRADING #GOFX #GOFXBroker #SEMINAR #EDUCATE
    #seminar #oiltrading #oil #gofxthailand #gota #gotathailand #habitrade #habitradeclub #invest #investment #investing #free #trader

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ⛽️ เติมน้ำมัน 1 ลิตร เราจ่ายอะไรไปบ้าง
    .
    .
    หลายคนตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับโครงสร้างราคาน้ำมันในประเทศไทยว่า “ทำไมถึงแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้าน” ทั้งที่ประเทศเพื่อนบ้านของเราส่วนใหญ่ เช่น พม่า ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย เป็นต้น ล้วนน่าจะมีต้นทุนที่ใกล้เคียงกันและใช้ราคากลางของประเทศสิงคโปร์เหมือน ๆ กัน
    ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าโครงสร้างราคาน้ำมันในแต่ละประเทศนั้นมีความแตกต่างกัน ราคาที่เราจ่ายเพื่อเติมน้ำมันสำเร็จรูปไม่ว่าจะเป็น เบนซิน ดีเซล หรือแก๊สโซฮอล์ ไม่ได้คิดมาจาก “เนื้อน้ำมัน” เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีภาษีอีกหลายตัว รวมถึงเงินที่เก็บเข้ากองทุนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วย รวมถึงนโยบายการสนับสนุนเชื้อเพลิงแต่ละประเภทของแต่ละประเภทก็มีความแตกต่างกัน
    .
    ตัวอย่างต่อไปนี้จะยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่าโครงสร้างน้ำมันของไทยเรามีอะไรบ้าง
    .
    ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95ที่ขายปลีกหน้าปั้มอยู่ที่ราคา 30.25 บาท/ลิตร
    .
    -คิดเป็นต้นทุน “เนื้อน้ำมัน” อ้างอิงมาจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์อยู่ที่ 19.48 บาท/ลิตร
    .
    -คิดเป็น “ภาษีสรรพสามิตร” ซึ่งเป็นภาษีที่แพงที่สุด 5.85 บาท/ลิตร (ประมาณ 20% เนื่องจากประเทศเราจัดว่าน้ำมันสำเร็จรูปเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย)
    .
    -ภาษีท้องถิ่น 0.58 บาท/ลิตร
    .
    -ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่เก็บจากราคาขายส่ง 1.84 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่มที่เก็บจากค่าการตลาดอีก 0.13 บาท รวมเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม = 1.84 + 0.13 = 1.97 บาท/ลิตร
    .
    -เงินเก็บเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 0.35 บาท/ลิตร (ปรับตามสถานการณ์ราคาน้ำมัน) เงินเก็บเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมอนุรักษ์พลังงาน 0.1 บาท/ลิตร
    .
    -ค่าการตลาด อยู่ที่ 1.9 บาท/ลิตร
    .
    เมื่อรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดเข้าด้วยกันจะทำให้ได้ราคาขายปลีกที่ 30.25 บาท/ลิตร ซึ่งเป็นราคาที่ผู้บริโภคอย่างเราจะต้องจ่าย เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงของเรา พบว่า ประเทศมาเลเซียมีราคาขายปลีกน้ำมันต่ำกว่าประเทศไทยประมาณ 30% เพราะเนื่องจากภาครัฐของประเทศมาเลเซียมีนโยบายอุดหนุนราคาน้ำมัน ประชาชนจึงไม่ต้องถูกจัดเก็บภาษีน้ำมันในอัตราที่สูงและไม่ต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนต่าง ๆ
    .
    .
    ⛽️ อยากเข้าใจเรื่อง เทคนิคการเทรดน้ำมัน แบบ “นำไปใช้ได้จริง” ...ต้องมางานนี้เลยค่ะ❤️
    .
    ในวันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563
    เวลา 9.30 - 17.00 น.
    ณ Renaissance Bangkok Ratchaprasong Hotel ชั้น M
    .
    สำรองที่นั่งก่อนใคร!! คลิก : https://bit.ly/35tDmZG
    เปิดบัญชีกับ GOFX คลิก : https://bit.ly/2G1LFC1
    .
    =============
    สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ LINE: @GOFX
    หรือ Inbox มาสอบถามได้ค่า
    =============
    แล้วเจอกันน้า
    .

    #GOFX #GOFXBroker #EDUCATE
    #seminar #oiltrading #oil #gofxthailand #gota #gotathailand #habitrade #habitradeclub #invest #investment #investing #free #trader

     

แชร์หน้านี้

Loading...