ติดตามสถานะการณ์

หยุดเดินเครื่องโรงงานเกาหลีในจีนมีคนติดโควิด-19
.
ปักกิ่ง 29 พ.ย.- โรงงานแห่งหนึ่งของเกาหลีใต้จีนหยุดเดินเครื่องในวันนี้ หลังจากคนงานคนหนึ่งติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 แบบไม่แสดงอาการ
.
สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานว่า คนงานชาวเกาหลีใต้รายนี้ทำงานในโรงงานของเอสเคไฮนิกซ์อิงก์ ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ใหญ่อันดับสองของโลกที่เทศบาลนครฉงชิ่ง ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์
.
และเพิ่งเดินทางกลับเกาหลีใต้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เขารับการตรวจหาเชื้อที่ท่าอากาศยานอินชอนในกรุงโซลของเกาหลีใต้ ผลตรวจยืนยันเมื่อวันเสาร์ว่าเป็นบวก
.
คนงานในโรงงานทุกคนราว 2,700 คน พนักงานและแขกที่พักโรงแรมเดียวกับเขาถูกแยกกักโรคและตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อ
.
โฆษกบริษัทเผยว่า บริษัทให้ความร่วมมือกับทางการท้องถิ่นเรื่องการควบคุมการระบาด ขณะเดียวกันพยายามฟื้นการผลิตกลับมาให้ได้โดยเร็วที่สุด ซินหัวรายงานด้วยว่า ทางการฉงชิ่งตรวจหาเชื้อไปแล้ว 3,283 คน พบว่า 2,674 คนมีผลเป็นลบ และได้เก็บตัวอย่างสภาพแวดล้อมเกือบ 500 ตัวอย่าง ผลตรวจทั้งหมดเป็นลบเช่นกัน
.
ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกันคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีนแถลงว่า เมื่อวานนี้พบผู้ป่วยโรคโควิด-19 รายใหม่ 11 คน เพิ่มขึ้นจากวันก่อนที่พบ 6 คน ผู้ป่วยใหม่ทั้งหมดเดินทางมาจากต่างประเทศ และพบผู้ป่วยไม่แสดงอาการ 10 คน เพิ่มขึ้นจากวันก่อนที่พบ 4 คน ยอดผู้ป่วยสะสมในจีนแผ่นดินใหญ่เพิ่มเป็น 86,512 คน เสียชีวิตคงเดิมที่ 4,634 คน.

 

มาเลเซียจะจัดการเลือกตั้งทั่วไปหลังหมดโควิดแล้ว
.
กัวลาลัมเปอร์ 29 พ.ย. – นายกรัฐมนตรีมูห์ยิดดิน ยัสซิน ของมาเลเซีย กล่าววันนี้ว่า มาเลเซียจะจัดการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หมดไปแล้ว
.
นายมูห์ยิดดิน กล่าวปราศรัยในการประชุมประจำปีของพรรคเบอร์ซาตู แบบออนไลน์วันนี้ว่า เมื่อการระบาดของเชื้อไวรัสสิ้นสุดลง มาเลเซียจะมีการเลือกตั้งทั่วไป โดยจะคืนอำนาจให้ประชาชนและให้ประชาชนเป็นผู้เลือกรัฐบาลที่พวกเขาต้องการ
.
นายมูห์ยิดดิน กล่าวเรื่องนี้หลังจากที่เมื่อวานนี้ รัฐสภาลงมติให้ความเห็นชอบงบประมาณประจำปีที่มากเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าก่อนหน้านี้พรรคฝ่ายค้านและพันธมิตรของเขาจะพยายามคว่ำร่างกฎหมายงบประมาณประจำปี 2021 ที่อาจจะนำไปสู่ภาวะวิกฤติทางการเมืองได้
.
รัฐบาลที่มีอายุ 8 เดือนของนายมูห์ยิดดิน มีเสียงข้างมากในรัฐสภาฉิวเฉียดเพียงสองเก้าอี้เท่านั้น แต่ยังสามารถผ่านพ้นการช่วงชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากนายอันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำพรรคฝ่ายค้าน และกระแสต่อต้านเขาที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในพรรคมลายูสามัคคีแห่งชาติ หรือ อัมโน ซึ่งเป็นแกนหลักพันธมิตรพรรคร่วมรัฐบาลมาเลเซีย
.
นายมูห์ยิดดิน กล่าวว่า เขาได้พบกับนายอาหมัด ซาฮิดด ฮามิดี ประธานพรรคอัมโน เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา และตกลงที่จะสานสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งกันเอง เมื่อการเลือกตั้งทั่วไปมาถึง.

 

กัมพูชาเจอผู้ป่วยโควิดในประเทศ 6 ราย สั่งปิดห้างดังกลางพนมเปญชั่วคราว
.
ซินหัว 29 พ.ย.- กัมพูชารายงานพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ในชุมชนครั้งแรกทั้งหมด 6 คน ทำให้ทางการต้องสั่งปิดห้างสรรพสินค้า Aeon Mall 1 ในกรุงพนมเปญเป็นการชั่วคราว ตามคำแถลงของโฆษกกระทรวงสาธารณสุขวันนี้ (29)
.
หญิงชาวเขมรอายุ 56 ปี และสามีอายุ 56 ปี รวมสมาชิกครอบครัวอีก 4 คน ที่อาศัยอยู่ในกรุงพนมเปญและจ.เสียมราฐ มีผลตรวจเชื้อไวรัสเป็นบวกเมื่อวันเสาร์ (28) ตามการระบุของโฆษกกระทรวงสาธารณสุข และทั้งหมดถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมิตรภาพเขมร-โซเวียตในกรุงพนมเปญแล้ว
.
ผู้ป่วยหญิงที่ยังไม่ทราบที่มาของการติดเชื้อ มีอาการป่วยเป็นไข้หวัด 3 วันก่อนเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัส โดยเธอได้แพร่เชื้อไวรัสโดยไม่รู้ตัวไปยังสามีของเธอ ที่มีตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กระทรวงมหาดไทย และสมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ
.
คำแถลงของโฆษกกระทรวงสาธารณสุขระบุผู้ป่วยหญิงได้เดินทางไปยังห้างสรรพสินค้า Aeon Mall 1 ในช่วงสัปดาห์ก่อน
.
“รัฐบาลได้ตัดสินใจที่จะปิดห้างสรรพสินค้า Aeon Mall 1 เป็นเวลา 2-3 วัน เพื่อติดตามตัวผู้ที่มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับผู้ป่วยติดเชื้อหญิงรายนี้ กระทรวงสาธารณสุขขอเรียกร้องให้ประชาชนทุกคนที่ได้ติดต่อสัมผัสกับผู้ป่วยรายนี้ กักตัวอยู่ที่บ้านหรือที่ศูนย์กักตัวที่กำหนดไว้เป็นเวลา 14 วัน” โฆษกกระทรวง กล่าว
.
นายกรัฐมนตรีฮุนเซนยังมีข้อความเสียงถึงประชาชนในคืนวันเสาร์ (29) โดยกล่าวเรียกร้องให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนก แต่ให้เพิ่มใส่ใจมากขึ้นกับการป้องกันตนเองจากเชื้อไวรัส ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ รักษาระยะห่างระหว่างกัน และหลีกเลี่ยงการรวมกลุ่ม
.
“เคสนี้ถือได้ว่าเป็นเคสการแพร่เชื้อในชุมชนเป็นครั้งแรก กรุณาอย่าออกจากบ้านหากไม่จำเป็น” นายกฯ ฮุนเซน กล่าว
.
อย่างไรก็ตาม ผู้นำเขมรระบุว่าเขาจะไม่สั่งปิดโรงเรียนอีก
.
ในวันนี้ (29) กระทรวงสาธารณสุขยังยืนยันผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 นำเข้าจากต่างประเทศรายใหม่อีก 1 ราย เป็นหญิงชาวเขมร-อเมริกัน ที่เดินทางมาถึงกัมพูชาจากสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ (27) ผ่านเที่ยวบินเชื่อมต่อในเกาหลีใต้
.
หญิงอายุ 31 ปี ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่ศูนย์สุขภาพ Chak Angre ในกรุงพนมเปญ ขณะที่ผู้โดยสารในเที่ยวบินเดียวกันอีก 56 คน ต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วันตามศูนย์กักตัวต่างๆ ในเมืองหลวง
.
ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขกัมพูชาระบุว่า ปัจจุบันประเทศมีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 สะสมทั้งหมด 315 คน โดยไม่มีผู้เสียชีวิต และเป็นผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 301 คน.

 

ชาติพันธุ์ 10 กลุ่มจัดประชุมออนไลน์ เดินหน้าสันติภาพกับรัฐบาลใหม่พม่า
.
เมียนมาร์ 29 พ.ย. - ตัวแทนกองกำลังชาติพันธุ์ 10 กลุ่มในพม่าที่เซ็น NCA ไปแล้ว จัดประชุมออนไลน์ครั้งแรก หลังเลือกตั้ง พร้อมส่งหนังสือแสดงความยินดีกับ NLD ระบุพร้อมร่วมมือเดินหน้าสันติภาพกับรัฐบาลใหม่
.
วันที่ 25-26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา คณะทำงานกระบวนการสันติภาพ (Peace Process Steering Team : PPST) ซึ่งประกอบด้วยผู้นำ หรือตัวแทนกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ที่ได้เซ็นสัญญาหยุดยิงทั่วประเทศ (NCA) กับรัฐบาลพม่าแล้ว 10 กลุ่ม ได้จัดการประชุมขึ้นเป็นครั้งแรก หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมใหญ่ “ปางโหลงศตวรรษที่ 21” ครั้งที่ 4 ซึ่งจัดที่กรุงเนปิดอ เมื่อเดือนสิงหาคม และหลังผ่านพ้นการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน
.
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 การประชุม PPST ครั้งนี้จึงจัดทางออนไลน์ผ่านทางแอปพลิเคชัน Zoom มีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 50 คน ประกอบด้วยกรรมการ PPST 10 คน และทีมงานของกรรมการแต่ละคน
.
ผู้ร่วมประชุมต่างอยู่กันคนละสถานที่ ส่วนหนึ่งอยู่ในฐานบัญชาการในรัฐชาติพันธุ์ของตน ส่วนหนึ่งส่งสัญญาณมาจากกรุงย่างกุ้ง และส่วนหนึ่งนั่งประชุมอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่
.
การประชุมซึ่งใช้เวลา 2 วัน เป็นการรายงานผลการปฏิบัติงานด้านสันติภาพ ที่ตัวแทนแต่ละกลุ่มได้ทำหลังเสร็จการประชุมปางโหลงศตวรรษที่ 21 ที่กรุงเนปิดอ ระหว่างวันที่ 19-21 สิงหาคมที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังได้มีการพูดคุยกันถึงผลการเลือกตั้งทั่วไปของพม่า เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน และแนวทางเดินหน้ากระบวนการสันติภาพ ซึ่ง PPST ต้องทำงานร่วมกับรัฐบาลใหม่
.
ที่ประชุมได้ทำหนังสือแสดงความยินดีส่งไปถึงพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของอองซาน ซูจี ที่ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น จนสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้อีกวาระหนึ่ง
.
เนื้อหาในหนังสือระบุว่า PPST พร้อมร่วมทำงานกับรัฐบาลใหม่ และเชื่อว่ากระบวนการสันติภาพในอีก 5 ปีข้างหน้า จะเดินหน้าไปได้ดีกว่าที่ผ่านมา
.
กระบวนการสันติภาพในรัฐบาลของอองซาน ซูจี ที่กำลังจะหมดวาระลง ส่วนใหญ่กระทำผ่าน 2 องค์กรด้วยกัน
.
องค์กรแรก ได้แก่ ศูนย์การปรองดองแห่งชาติและสันติภาพ(National Reconciliation and Peace Centre : NRPC) ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐบาล มีอองซาน ซูจี เป็นประธาน คณะทำงานประกอบด้วยรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่จากกระทรวงที่เกี่ยวข้อง และกองทัพพม่า
.
อีกองค์กรหนึ่ง คือ PPST ที่เป็นตัวแทนกองกำลังชาติพันธุ์ 10 กลุ่มที่เซ็น NCA กับรัฐบาลไปแล้ว ประกอบด้วย
.
- สภากอบกู้รัฐฉาน (RCSS/SSA)
- สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU)
- องค์กรปลดปล่อยชาติปะโอ (PNLO)
- กองกำลังกะเหรี่ยงประชาธิปไตย (DKBA)
- แนวร่วมแห่งชาติชิน (CNF)
- แนวร่วมประชาธิปไตยของมวลนักศึกษาพม่า (ABSDF)
- พรรคปลดปล่อยอาระกัน (ALP)
- สภาแห่งชาติกะเหรี่ยงสันติภาพ (KNU/KNLA-PC)
- พรรครัฐมอญใหม่ (NMSP)
- สหภาพประชาธิปไตยลาหู่ (LDU)
.
ส่วนกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ที่ยังไม่ได้เซ็น NCA กับรัฐบาล มี 7 กลุ่มที่รวมตัวกันในนาม Myanmar Peace Commission and Federal Political Negotiation Consultative Committee หรือ FPNCC เพื่อใช้เป็นองค์กรกลางในการเจรจากับรัฐบาล โดยไม่มีการแยกเจรจาเป็นรายกลุ่ม
.
สมาชิก FPNCC ได้แก่
- กองทัพสหรัฐว้า (UWSA)
- กองทัพคะฉิ่น (KIA)
- กองทัพเมืองลา (NDAA)
- กองทัพโกก้าง (MNDAA)
- พรรคก้าวหน้ารัฐฉาน (SSPP/SSA)
- กองทัพตะอั้ง (TNLA)
- กองทัพอาระกัน (AA)
.
ใน FPNCC ยังมีกลุ่มย่อยซึ่งเป็นการรวมกันของกองทัพคะฉิ่น กองทัพโกก้าง กองทัพตะอั้ง และกองทัพอาระกัน ใช้ชื่อว่า “พันธมิตรภาคเหนือ” และดำเนินการสู้รบกับกองทัพพม่ามาตั้งแต่เมื่อปลายปี 2559
.
ทุกวันนี้ พื้นที่สู้รบของพันธมิตรภาคเหนือกับกองทัพพม่ามี 2 จุดใหญ่ๆ จุดแรก เป็นการรบของกองทัพพม่ากับกองทัพอาระกัน ในพื้นที่รอยต่อตั้งแต่ภาคเหนือของรัฐยะไข่ขึ้นไปถึงภาคใต้ของรัฐชิน ส่วนอีกจุดหนึ่ง เป็นการรบที่กระจายอยู่ในหลายพื้นที่ในภาคเหนือของรัฐฉาน ระหว่างกองทัพพม่า กับกองทัพตะอั้ง กองทัพคะฉิ่น และกองทัพโกก้าง
.
ในการประชุมปางโหลงศตวรรษที่ 21 ครั้งที่ 4 ที่เนปิดอเมื่อเดือนสิงหาคม FPNCC ปฏิเสธที่จะส่งตัวแทนเข้าประชุม โดยให้เหตุผลว่าเป็นการประชุมที่ไม่ชอบธรรม เพราะรัฐบาลไม่ได้เชิญตัวแทนจากกองทัพอาระกันเข้าร่วมด้วย
.
เมื่อเดือนกรกฎาคม รัฐบาลพม่าได้ใส่ชื่อกองทัพอาระกันให้อยู่ในบัญชีกลุ่มก่อการร้าย ไม่ใช่กองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์
.
อย่างไรก็ตาม หลังผ่านการเลือกตั้งทั่วไปได้ไม่ถึงสัปดาห์ สมาชิกพันธมิตรภาคเหนือได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้รัฐบาลใหม่ที่กำลังจะเข้ามาถอนชื่อกองทัพอาระกันออกจากบัญชีรายชื่อกลุ่มก่อการร้าย.

 

ส่วนสูงคือเซนติเมตร ไม่ใช่ชาติกำเนิด

นโปเลียนเป็นชาวเกาะคอร์ซิกามาแต่กำเนิด เขาเกิดในครอบครัวชาวอิตาลีธรรมดาๆ ที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย แม้ไม่มีการกล่าวอ้างว่าชาติกำเนิดของตนสูงศักดิ์แต่อย่างใด แต่ก็ยังสามารถนำพาตนเองเป็นจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ได้

ส่วนเรื่องส่วนสูงของเขา อาจเป็นสิ่งที่เราอาจเข้าใจผิดมาตลอดจนกลายเป็นเรื่องล้อเลียนอย่างหนึ่งในตัวของนโปเลียน

เรามักจะพูดกันว่านโปเลียน โบนาปาร์ต ผู้มีอารมณ์ก้าวร้าวดุดัน เป็นต้นแบบของความเชื่อต่อกันมาว่าผู้ชายตัวเตี้ยมักจะชดเชยการขาดความสูงผ่านพฤติกรรมครอบงำและความก้าวร้าว

แต่นโปเลียนเตี้ยจริงหรือ?

ความเป็นจริงแล้วนโปเลียนอาจจะมีความสูงเฉลี่ยตามมาตรฐานผู้ชาย เพราะนิ้วฝรั่งเศส (pouce) ในเวลานั้นคือ 2.7 เซนติเมตร ส่วนนิ้วอิมพีเรียลจะสั้นกว่าที่ 2.54 เซนติเมตร

แพทย์ประจำตัวชาวฝรั่งเศสของนโปเลียน Francesco Antommarchi กล่าวว่าความสูงของนโปเลียนนั้นสูงกว่า "5 pieds 2 pouces" (5’2 ")

และถ้าเราใช้การวัดของฝรั่งเศสซึ่งจะได้เท่ากับประมาณ 169 เซนติเมตร นั่นทำให้อยู่เขาในกรอบล่างของความสูงเฉลี่ยของผู้ชายในช่วงเวลานั้น

แม้ว่าเขาอาจจะโดนล้อเลียนมาตลอดว่าตัวเตี้ย แต่นั่นก็ไม่ได้บั่นทอนชื่อเสียงในสิ่งที่เขาเป็นรัฐบุรุษผู้มีชื่อเสียงในฐานะผู้บัญชาการทหารปืนใหญ่ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส และตั้งตนเองเป็นจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศส ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1804 จนถึง ค.ศ. 1814 และในปี ค.ศ. 1815 แต่อย่างใด

 

นางแคร์รี หลั่ม ผู้ว่าการ #ฮ่องกง ยอมรับว่า เธอต้องเก็บเงินสดจำนวนมากไว้ภายในบ้าน เนื่องมาจากไม่สามารถใช้บัญชีธนาคาร หลังจากสหรัฐคว่ำบาตรเธอและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของฮ่องกง 14 คน โดยอ้างว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้ #ประท้วงฮ่องกง

นางแคร์รี หลั่มเปิดเผยว่า เธอใช้เงินสดเท่านั้นทุกวันนับตั้งแต่ถูกคว่ำบาตร เธอเป็นผู้ว่าการเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ซึ่งใช้บริการธนาคารไม่ได้ พร้อมระบุว่า “ดิฉันมีกองเงินสดอยู่ที่บ้าน รัฐบาลจ่ายเงินเดือนเป็นเงินสดให้กับดิฉัน”
.
ผู้ว่าการฮ่องกงมีเงินเดือนราวเดือนละ 400,000 เหรียญฮ่องกง หรือราว 1 ล้าน 5 แสนบาท เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้บริหารของโลกที่ได้รับค่าตอบแทนมากที่สุด
.
นางแคร์รี หลั่มกล่าวว่า ถือเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้รับคำสั่งคว่ำบาตรอย่างไม่ชอบธรรมจากรัฐบาลสหรัฐ และไม่ต้องการให้ใครหวาดกลัวจากการต้องทำหน้าที่
.
ก่อนหน้านี้ แคร์รี หลั่มเคยออกมาเปิดเผยว่า มีความยุ่งยากในการใช้บัตรเครดิตเนื่องมาจากการโดนสหรัฐคว่ำบาตร

ธนาคารในฮ่องกงทั้งที่เป็นของชาติตะวันตกและของจีนต่างหลีกเลี่ยงที่จะทำธุรกรรมกับผู้ที่ถูกสหรัฐคว่ำบาตร เนื่องจากระบบการเงินระหว่างประเทศต้องพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก โดยเฉพาะระบบโอนเงินที่เรียกว่า SWIFT ครองสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 80 ของการโอนเงินระหว่างประเทศ ธนาคารต่าง ๆ จึงหลีกเลี่ยงที่จะข้องแวะกับผู้ที่ถูกสหรัฐคว่ำบาตร เพราะไม่ต้องการให้ธุรกิจระหว่างประเทศของตนได้รับผลกระทบ
.
นอกจากไม่สามารถใช้บริการธนาคารได้แล้ว มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐยังรวมถึงการงดออกวีซ่าเข้าสหรัฐ และอายัดทรัพย์สินที่อยู่ในสหรัฐ ซึ่งส่วนนี้บรรดาผู้บริหารฮ่องกงบอกว่าไม่ได้รับผลกระทบมากนัก.

 

จีนยังพบ 'เชื้อโควิด' บนแพคเกจอาหารแช่แข็งที่นำเข้าจากต่างประเทศ ล่าสุดพบที่เมืองอู่ฮั่น
.
ตอนนี้แม้ประเทศจีนจะไม่ได้มียอดผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่จำนวนมากมายต่อวันเหมือนช่วงแรกที่มีการระบาดหนักในช่วงต้นปี 2563 แต่ก็ยังมีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งเดินทางจากนอกจีนและติดเชื้อภายในจีนเอง อยู่ตลอด ทำให้ทางการจีนยังเข้มงวดสำหรับการควบคุมและเฝ้าระวังการแพร่ระบาด
.
โดยช่วงสามสี่เดือนที่ผ่านมา จีนตรวจพบเชื้อโควิดบนแพคเกจอาหารแช่แข็ง โดยเฉพาะที่นำเข้าจากต่างประเทศ อย่างเคสตลาดค้าส่งซินฟาตี้ กรุงปักกิ่ง ทำให้จีนมีการตรวจอาหารแช่แข็งนำเข้าเข้มงวดเช่นกัน
.
ล่าสุดทางสาธารณสุขเมืองอู่ฮั่น รายงานเมื่อวันเสาร์ 28 พฤศจิกายน 2563 ระบุ "พบเชื้อโควิดบนบรรจุภัณฑ์อาหารนำเข้าจากต่างประเทศ 3 ตัวอย่าง" ประกอบไปด้วย เนื้อวัวจากบราซิล 2 ตัวอย่าง และอีกชิ้น เป็นเนื้อปลาบาซา จากเวียดนาม
.
ทั้งนี้ทางการจีนระบุว่า อาหารแช่แข็งที่ตรวจพบเชื้อโควิดดังกล่าว ถูกนำมาตรวจเมื่อมีการนำเข้ามาถึงจีน ยังไม่ได้ถูกนำส่งสู่ตลาดแต่อย่างใด
.
อ้ายจงอ้างอิงจาก

http://wjw.wuhan.gov.cn/.../202011/t20201128_1520642.shtml (ประกาศบนเว็บไซต์สาธารณสุขเมืองอู่ฮั่น)

https://www.chinadaily.com.cn/.../WS5fc24f18a31024ad0ba98...

#อ้ายจง #เล่าเรื่องเมืองจีน #ชีวิตในจีน

 

Exclusive เยาวชนญี่ปุ่นคิด “ปลดแอก” ไหม ?
เผยแพร่: 30 พ.ย. 2563 08:10 โดย: ผู้จัดการออนไลน์


หลายประเทศกำลังเผชิญกระแสคนรุ่นใหม่ที่เรียกร้องการเปลี่ยนแปลง เป็นการเผชิญหน้าของคน 2 รุ่น ญี่ปุ่นซึ่งเป็นสังคมอนุรักษ์นิยมก็กำลังถูกดิสรับชั่นจากการเปลี่ยนแปลงของประชากรเช่นกัน ศ.ดร.ปิยะ พงศาพิทักษ์สันติ ศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยาคนไทยหนึ่งเดียวในญี่ปุ่น เล่าถึงเยาวชนญี่ปุ่นที่กำลังเปลี่ยนไป

ผู้สื่อข่าว MGR Online ประจำญี่ปุ่น นัดสัมภาษณ์พิเศษ ศ.ดร.ปิยะ พงศาพิทักษ์สันติ หรือ “อาจารย์ทอม” คนไทยที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดทางวิชาการในญี่ปุ่น เป็นศาสตราจารย์หนุ่มในวัยเพียง 44 ปี ผู้ซึ่งบอกว่า ตำแหน่งศาสตราจารย์ในญี่ปุ่นแสดงถึงความเชี่ยวชาญทางวิชาการมากกว่าเป็นเสมือนยศศักดิ์ รวมทั้งสังคมญี่ปุ่นที่กำลังเผชิญกับคนรุ่นใหม่ที่ไม่ขวนขวาย

ศ.ดร.ปิยะบอกว่า “สังคมญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับความกลมกลืน ถึงขนาดที่มีคำกล่าวว่าถ้ามีตะปูตัวหนึ่งที่โผล่ขึ้นมา จงตอกมันลงไป ! ญี่ปุ่นจึงไม่ปรากฏภาพความขัดแย้งมากเหมือนในประเทศอื่น เยาวชนไม่ออกมาเรียกร้องบนท้องถนน แต่โครงสร้างสังคมก็บีบให้คนรุ่นใหม่ของญี่ปุ่นต้องเปลี่ยนแปลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

คนรุ่นใหม่ของญี่ปุ่นเป็นยุคที่เรียกว่า ยุโทริ ゆとりหรือ ผ่อนปรน เพราะทุกวันนี้ญี่ปุ่นมีชนชั้นกลางจำนวนมาก คนรุ่นใหม่จึงไม่ต้องขวนขวายเท่ากับพ่อแม่ยุคก่อร่างสร้างชาติ พวกเขารับข่าวสารจากอินเทอร์เน็ต เชื่ออินฟลูเอนเซอร์ ละทิ้งสิ่งของและค่านิยมหลายอย่างที่คนรุ่นเก่าเคยยึดถือ



ผลสำรวจพบว่า เยาวชนญี่ปุ่นวัย 20-30 ปี ห่างเหิน จากรถยนต์และหนังสือพิมพ์ มากที่สุด

ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุและเด็กเกิดน้อย ทำให้มีคน 2 ช่วงวัยที่แตกต่างกันอย่างมาก เยาวชนญี่ปุ่นห่างเหิน ( 離れ บานาเร) จากสิ่งต่าง ๆ ในยุคก่อน มีผลการสำรวจพบว่า คนรุ่นใหม่ของญี่ปุ่นในวัย 20-30 ปี ห่างเหินจากรถยนต์ หนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์ มากที่สุด สิ่งเหล่านี้เคยเป็นสิ่งสำคัญในคนรุ่นก่อน หรือนี่อาจจะเรียกว่า “ปลดแอก” ? เพียงแต่ไม่ใช่เรื่องการเมือง

โฆษณาทางอินเทอร์เน็ตในญี่ปุ่นเริ่มแซงหนังสือพิมพ์เมื่อ 10 ปีก่อน และในปีที่แล้วงบโฆษณาทางออนไลน์ได้แซงหน้าโทรทัศน์ไปแล้ว โลกออนไลน์คือโลกของคนรุ่นใหม่ ส่วนโทรทัศน์และและหนังสือพิมพ์คือสื่อของผู้สูงวัย เมื่อรับสื่อต่างกัน วิถีชีวิตต่างกัน สิ่งที่เชื่อและยึดถือก็ย่อมต่างกันด้วย

ในเรื่องการศึกษา ญี่ปุ่นมีผู้ที่เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยสูงถึงราวร้อยละ 60 การเรียนมหาวิทยาลัยยังคงเป็นขั้นตอนหนึ่งของชีวิต เชื่อกันว่าถ้าไม่จบมหาวิทยาลัยก็อาจจะไม่ได้งานที่ดี แต่ศ.ดร.ปิยะบอกว่า แนวโน้มใหม่คือนักศึกษายุค “รักสบาย” จำนวนมากเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยระดับกลางและวิชาที่ไม่ยากเย็น ไม่ได้มุ่งแข่งขันเพื่อเป็นที่หนึ่งเหมือนในอดีต

สังคมญี่ปุ่นมีการกระจายรายได้ที่ค่อนข้างเท่าเทียม ความแตกต่างทางชนชั้นน้อย ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่ต้องดิ้นรน แต่เมื่อถึงวัยทำงานพวกเขาก็พบว่าต้องแบกรับค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการของคนรุ่นก่อนอย่างหนัก คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยมองว่านี่คือภาระของพวกเขา

โครงสร้างประชากรในทุกวันนี้ทำให้ญี่ปุ่นมีคน 2 รุ่นที่มีโลก 2 ใบ ยิ่งเมื่อญี่ปุ่นต้องเปิดรับผู้คนจากต่างชาติมากขึ้น ต้องเผชิญกับความแตกต่างจากทั้งในบ้านตัวเองและวัฒนธรรมภายนอก เยาวชนญี่ปุ่นก็กำลัง “ปลดแอก” อย่างค่อยเป็นค่อยไป

มหาวิทยาลัยฝ่ากระแสดิสรับชั่น

มหาวิทยาลัยทั่วโลกกำลังเผชิญความท้าทายจากเทคโนโลยีที่ทำให้ความรู้ไม่ได้อยู่แค่ในชั้นเรียนจนคนรุ่นใหม่ในหลายประเทศไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องเรียนในระบบการศึกษา ศ.ดร.ปิยะบอกว่า ญี่ปุ่นยังไม่ไปถึงขั้นนั้น แต่มหาวิทยาลัยก็เผชิญกับความยากลำบากเช่นกัน รัฐบาลญี่ปุ่นได้รับมือกระแสดิสรับชั่นด้วยการไม่สนับสนุนให้เปิดมหาวิทยาลัยเพิ่มเติม
รวมทั้งการให้มหาวิทยาลัยเปลี่ยนทิศทางไปยังสาขาวิทยาศาสตร์ เพื่อตอบสนองเป้าหมายในการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้มหาวิทยาลัยเองก็ต้องหาทางรอดทางธุรกิจด้วยการเปิดหลักสูตรสำหรับผู้สูงอายุ คนทำงาน รวมทั้งนักศึกษาต่างชาติ

ศ.ดร.ปิยะยังได้รับเชิญไปสอนที่ประเทศไทยหลายครั้ง เขาเปรียบเทียบว่าความแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือ นักศึกษาไทยไม่ตรงเวลา ไม่ส่งงานตามกำหนด แต่นักศึกษาไทยจะให้ความเคารพอาจารย์มากกว่านักศึกษาญี่ปุ่น ที่จะมองอาจารย์เป็นเหมือนรุ่นพี่
ส่วนการเรียนการสอนในไทยและญี่ปุ่นจะไม่แตกต่างกันมาก คือ มีทั้งการบรรยายและอภิปรายกลุ่ม แต่นักศึกษาจะมีความเกรงใจมาก มีความคิดเชิงวิพากษ์น้อยกว่านักศึกษาชาติตะวันตกที่กล้าตั้งคำถามและโต้แย้ง

ศาสตราจารย์คือผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่ฐานันดร

การได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ในประเทศไทยจะต้องผ่านกระบวนการของมหาวิทยาลัย ไปสู่กระทรวงเพื่อเห็นชอบ แล้วนำเข้าคณะรัฐมนตรี เพื่อผ่านการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์ แต่ศ.ดร.ปิยะบอกว่า ตำแหน่งศาสตราจารย์ในญี่ปุ่นไม่ได้มีกระบวนการโปรดเกล้าฯ เหมือนไทย เป็นการพิจารณาของแต่ละมหาวิทยาลัยให้กับผู้ที่มีผลงานตามวิชาการ มีระยะเวลาการสอน รวมทั้งมีงานเพื่อสังคมตามเกณฑ์ที่กำหนด

“ศาสตราจารย์ในญี่ปุ่นเป็นตำแหน่งทางวิชาการจริง ๆ ไม่ได้ใช้เพื่อแสดงสถานะทางสังคม สอดคล้องกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่ไม่นิยมยกตนข่มท่าน”

จากลูกแม่โดม สู่เส้นทางอาจารย์แดนอาทิตย์อุทัย

หลังจบชั้นปริญญาตรีเกียรตินิยมเหรียญทองด้านโฆษณา คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน ม.ธรรมศาสตร์ ปิยะได้เข้าทำงานที่บริษัทโฆษณาชื่อดังอยู่ 3 ปี ก่อนที่จะได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาลญี่ปุ่นมาศึกษาต่อ ณ แดนอาทิตย์อุทัย

แต่การมาเรียนต่อที่ญี่ปุ่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเขาไม่มีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นมาก่อนเลย และเงื่อนไขของทุนคือ ใช้เวลาเรียนภาษาญี่ปุ่นไม่เกิน 2 ปี และต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ หากทำไม่ได้ก็ต้องกลับประเทศไทย

ปิยะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเริ่มต้นที่ญี่ปุ่น ในช่วงแรกเขาสื่อสารภาษาญี่ปุ่นไม่ได้เลย เผชิญความยากลำบากทั้งการใช้ชีวิตและการเรียน เขาบอกว่าทุกค่ำคืนเขาจะคัดอักษรคันจิจนนิ้วมือมีรอยกดทับของดินสออยู่ถึงทุกวันนี้ จนในที่สุดก็สามารถเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโท-เอก ด้านสังคมวิทยาจากมหาวิทยาโอซากาและมหาวิทยาลัยเกียวโต ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำของญี่ปุ่น

ในปีสุดท้ายก่อนจบการศึกษาปริญญาเอก ดร.ปิยะก็ได้งานเป็นอาจารย์ด้านสื่อและข้อมูลที่มหาวิทยาลัยจังหวัดนางาซากิ และปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์คณะสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยเกียวโตซังเกียว ระยะเวลาที่ใช้ชีวิตในญี่ปุ่นนานกว่า 20 ปี.

โปรดติดตามตอนที่ 2 ศ.ดร.ปิยะ พงศาพิทักษ์สันติ เล่าถึงญี่ปุ่นในวันที่ไม่สามารถเติบโตไปกว่านี้ และความสัมพันธ์ในวันที่ญี่ปุ่น “หมางเมิน” ไทย

https://mgronline.com/japan/detail/...0YyjzHzP-6HRj67-41owHNNT4yA78tvJ_mUJeCpYzV2K0

 

คณะผู้จัดการแข่งขันโอลิมปิกโตเกียว 2020 ประเมินว่า มาตรการต่างๆ ที่จะใช้เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตลอดการแข่งขันในปีหน้าอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มประมาณ 100,000 ล้านเยน หรือ 29,000 ล้านบาท ตามรายงานของสำนักข่าวเกียวโด

ผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ได้สอบถามไปยังคณะผู้จัดงานเกี่ยวกับตัวเลขที่เกียวโดรายงานวันนี้ (30 พ.ย.) ซึ่งก็ได้รับการชี้แจงจากโฆษกว่า จะมีการแถลงข้อมูลเบื้องต้นภายหลังการประชุมระหว่างคณะผู้จัดการแข่งขันโตเกียวเกมส์ 2020, ฝ่ายบริหารกรุงโตเกียว และรัฐบาลญี่ปุ่นในวันพุธ (2)
.
สื่อญี่ปุ่นรายงานว่า การเลื่อนโอลิมปิกเป็นช่วงปีหน้าอาจจะทำให้เจ้าภาพโตเกียวต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มถึง 200,000 ล้านเยน (58,000 ล้านบาท) ซึ่งทั้ง 3 หน่วยงานกำลังหารือว่าจะแชร์ภาระค่าใช้จ่ายกันอย่างไร
.
ต้นทุนในการเตรียมป้องกันโควิด-19 นั้นจะครอบคลุมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข เช่น ศูนย์ตรวจคัดกรอง รวมถึงการจัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการป้องกันไวรัส เป็นต้น และยังมีค่าใช้จ่ายในด้านอื่นๆ อีก เช่น มาตรการรักษาความปลอดภัยสนามแข่งขัน, ค่าเช่าอุปกรณ์, ค่าธรรมเนียมการจัดเก็บสิ่งของ รวมไปถึงค่าแรงเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ
.
เดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว หรือก่อนที่การแข่งขันจะถูกเลื่อนเนื่องจากภาวะโรคระบาดโควิด-19 คณะผู้จัดงานเคยประเมินค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกไว้ที่ราวๆ 1.35 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 393,800 ล้านบาท
.
ทั้งนี้ คาดว่าคณะผู้จัดการแข่งขันจะมีการแถลงงบประมาณที่ปรับแก้แล้วอย่างเป็นทางการก่อนสิ้นปีนี้
.
ที่มา: รอยเตอร์, Japan Times
https://mgronline.com/around/detail/9630000122891

 

รัฐบาลอังกฤษประกาศวันนี้ (30 พ.ย.) ว่าบริษัทโทรคมนาคมทุกแห่งจะต้องหยุดติดตั้งอุปกรณ์โครงข่าย 5G ของ “หัวเว่ย เทคโนโลยีส์” ตั้งแต่เดือน ก.ย. ปี 2021 เป็นต้นไป ซึ่งย้ำให้เห็นถึงแผนอันเป็นรูปธรรมที่จะกีดกันยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมจีนออกจากระบบสื่อสารความเร็วสูงของเมืองผู้ดี
.
ก่อนหน้านี้ อังกฤษได้มีคำสั่งถอดอุปกรณ์หัวเว่ยทั้งหมดออกจากโครงข่าย 5G ภายในสิ้นปี 2027 เพื่อตอบสนองข้อกังวลของชาติพันธมิตร โดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งตราหน้าหัวเว่ยว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง
.
จีนได้กล่าวตำหนิการตัดสินใจของอังกฤษ ขณะที่หัวเว่ยก็ออกมาแสดงความผิดหวังเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังรัฐบาลลอนดอนออกกฎหมายใหม่ที่กำหนดระวางโทษปรับถึง 100,000 ปอนด์ (ราว 4 ล้านบาท) สำหรับบริษัทที่ละเมิดคำสั่งแบนหัวเว่ย
.
ประกาศจากรัฐบาลอังกฤษมีขึ้นก่อนที่รัฐสภาจะเปิดอภิปรายร่างกฎหมายโทรคมนาคมใหม่ และกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนสำหรับการเลิกใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ย
.
“ผมจะวางแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนสำหรับการถอดผู้จำหน่ายที่มีความเสี่ยงสูงออกจากเครือข่าย 5G ของเรา” โอลิเวอร์ ดาวเดน รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลของอังกฤษ ระบุในถ้อยแถลง “เราจะมีการจำแนกแยกแยะและสั่งแบนอุปกรณ์สื่อสารที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ”
.
รัฐบาลอังกฤษยังเปิดตัวยุทธศาสตร์เพิ่มความหลากหลายในระบบห่วงโซ่อุปทาน 5G ซึ่งจะใช้เม็ดเงินลงทุนเบื้องต้น 250 ล้านปอนด์ และจะมีการประสานกับ NEC ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีของญี่ปุ่นเพื่อตั้งสถาบันวิจัยใหม่ๆ ขึ้นมา
.
เมื่อเดือน ก.ค. รัฐบาลอังกฤษได้สั่งแบนการจัดซื้ออุปกรณ์ 5G ของหัวเว่ยเพิ่มเติมหลังสิ้นปีนี้ โดยอ้างมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเทคโนโลยีและอุปทานชิป ขณะที่หัวเว่ยวิจารณ์ว่าคำสั่งเช่นนี้เกี่ยวเนื่องกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ มากกว่าความมั่นคง
.
ที่มา: รอยเตอร์

https://mgronline.com/around/detail/9630000122832

 

ทวิตเตอร์ระงับบัญชีโรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน อ้างละเมิดกฎคุมโพสต์บิดเบือนระบบ-สแปม

ทวิตเตอร์ระงับบัญชีโรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน (@jitarsa_school) ซึ่งมีผู้ติดตามมากกว่า 48,000 คน โดยระบุเหตุผลว่ามีการละเมิดข้อบังคับเกี่ยวกับสแปมและการบิดเบือนระบบ ด้าน “เพนกวิน” รีบอวยทวิตเตอร์ทำถูกต้อง
.
ผู้แทนทวิตเตอร์ยืนยันกับสำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อวันอาทิตย์ (29 พ.ย.) ว่า “บัญชีดังกล่าวถูกระงับเนื่องจากมีการละเมิดกฎเกี่ยวกับสแปมและการบิดเบือนระบบ” พร้อมยืนยันว่ามาตรการนี้เป็นไปตามนโยบายของบริษัท
.
ก่อนหน้านี้ ทวิตเตอร์เคยระงับบัญชีของกลุ่มเยาวชนปลดแอก (@FreeYOUTHth) และบัญชีของ ‘ฟอร์ด ทัตเทพ’ เลขาธิการกลุ่มเยาวชนปลดแอก ด้วยเหตุผลเดียวกัน ก่อนที่จะปลดล็อกบัญชีให้ในภายหลัง
.
ฝ่ายผู้ชุมนุมประท้วงและกลุ่มปกป้องสถาบันต่างยอมรับตรงกันว่า สื่อโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางสำคัญในการขับเคลื่อนมวลชน ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ท้าทายที่สุดในรอบหลายสิบปีทั้งต่อสถาบันและรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
.
รอยเตอร์รายงานว่า ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาแฮชแท็กปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์เริ่มกลายเป็นเทรนด์ฮิตบนทวิตเตอร์ ซึ่งเป็นช่องทางสื่อสารหลักของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลมาตั้งแต่ก่อนการชุมนุมประท้วงจะเริ่มขึ้นในเดือน ก.ค.
.
จากการวิเคราะห์ของรอยเตอร์พบว่า กว่า 80% ของบัญชีผู้ใช้ที่ติดตาม @jitarsa_school ถูกสร้างขึ้นหลังต้นเดือน ก.ย. และจากการวิเคราะห์ตัวอย่างบัญชีผู้ติดตามจำนวน 4,600 บัญชีพบว่า กิจกรรมทั้งหมดที่ทำคือการโปรโมตแฮชแท็กปกป้องสถาบัน ซึ่งบ่งบอกว่าไม่ใช่กิจกรรมของผู้ใช้ทวิตเตอร์โดยทั่วไป
.
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้ากลุ่มไทยภักดี ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเรื่องการปิดบัญชีโรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน โดยระบุว่ายังไม่ทราบเรื่อง
.
นพ.วรงค์ยืนยันกับรอยเตอร์ว่า การที่มีข้อความปกป้องสถาบันบนทวิตเตอร์มากขึ้นเนื่องจากบรรดาผู้ที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เล็งเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องออกมาตอบโต้สารของผู้ประท้วง จึงมีการชักชวนกันมาเปิดบัญชี
.
“แฮชแท็กปกป้องสถาบันฯ เป็นความรู้สึกที่มาจากใจของประชาชนจริงๆ” นพ.วรงค์กล่าว
.
ในทางกลับกัน มวลชนผู้รักสถาบันฯ ก็กล่าวหาฝ่ายผู้ประท้วงว่าจงใจปั่นเทรนด์ทวิตเตอร์เพื่อปลุกระดม
.
พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แกนนำม็อบเยาวชนปลดแอก ยืนยันว่า เทรนด์การประท้วงบนทวิตเตอร์เป็นของจริงแน่นอน พร้อมชื่นชมทวิตเตอร์ที่ระงับบัญชีโรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน
.
“พวกเราไม่ได้ถูกจ้างมาปั่นแฮชแท็กเหมือนพวกทหาร และไม่ได้ใช้เงินภาษีประชาชนด้วย” เขากล่าว
.
เมื่อต้นเดือน ต.ค. ทวิตเตอร์ได้ทำการปิดบัญชีผู้ใช้จำนวน 926 บัญชีที่พบว่ามีความเชื่อมโยงกับกองทัพไทย โดยให้เหตุผลว่าบัญชีเหล่านี้ถูกใช้กระพือเนื้อหาสนับสนุนรัฐบาลและโจมตีกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้าม ซึ่งเข้าข่ายละเมิดข้อบังคับว่าด้วยการบิดเบือนระบบ ขณะที่กองทัพออกมายืนยันว่าบัญชีดังกล่าวไม่ใช่ของทหาร
.
ที่มา : รอยเตอร์
https://mgronline.com/around/detail/9630000122802

 

แพทย์ประจำตัวของ โจ ไบเดน ยืนยันวานนี้ (29 พ.ย.) ว่าว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีอาการ ‘กระดูกร้าว’ ที่เท้า หลังลื่นล้มขณะเล่นกับสุนัข และอาจจะต้องสวมรองเท้าบูตป้องกันการบาดเจ็บไปอีกหลายสัปดาห์

สำนักงานของ ไบเดน ระบุว่า เหตุไม่คาดฝันดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ (28) และ ไบเดน วัย 78 ปี ได้เดินทางไปให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูกตรวจเอ็กซเรย์และทำซีทีสแกนเมื่อวานนี้
.
ตอนแรกคณะแพทย์สันนิษฐานว่า ไบเดน เพียงแค่ข้อเท้าพลิก แต่ก็ให้เข้าเครื่องสแกนเพื่อตรวจว่ามีการบาดเจ็บอื่นๆ หรือด้วยไม่
.
“ผลตรวจซีทีสแกนยืนยันว่าท่านกระดูกร้าวเล็กน้อย” เควิน โอคอนเนอร์ แพทย์ส่วนตัวของไบเดน ระบุในถ้อยแถลง “ท่านคงจะต้องสวมรองเท้าเฝือก (walking boot) ไปอีกหลายสัปดาห์”
.
หลังจากที่เอาชนะประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ในศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 พ.ย. ที่ผ่านมา ไบเดนกำลังจะกลายเป็นบุคคลอายุมากที่สุดที่เข้าดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ในวันที่ 20 ม.ค. ปีหน้า และคาดว่าสุขภาพของผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่คงจะเป็นที่จับตามองทั้งจากฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายตรงข้าม
.
ทรัมป์ ซึ่งปฏิเสธที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ และพยายามยื่นฟ้องศาลเพื่อคัดค้านผลการเลือกตั้ง ได้ทวีตข้อความอวยพร ไบเดน ให้ “หายป่วยเร็วๆ”
.
ที่มา: รอยเตอร์
.
https://mgronline.com/around/detail/9630000122777

 

ออสซี่เรียกร้องจีนขอโทษ โพสต์ภาพถ่ายปลอมกล่าวหาทหารฆาตกรรมเด็กในอัฟกัน



สกอตต์ มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ระบุว่าในวันจันทร์(30พ.ย.) กำลังขอคำขอโทษจากปักกิ่ง หลังปรากฏภาพบนทวิตเตอร์กล่าวอ้างผิดๆ ว่าทหารออสเตรลียกำลังถือมีดปาดคอเด็กชายอัฟกานิสถาน
https://mgronline.com/around/detail/9630000122796

 

ภาพน่าสะพรึง!ภูเขาไฟอันตรายของอินโดฯปะทุรุนแรง อพยพผู้คนหนีหลายพัน(ชมคลิป)
เหตุปะทุรุนแรงของหนึ่งในภูเขาไฟอันตรายที่สุดของอินโดนีเซีย ก่อความตื่นตระหนกและต้องอพยพผู้คนเกือบ 2,800 ราย ขณะที่เจ้าหน้าที่ออกคำเตือนพื้นที่ใกล้เคียงอาจได้รับผลกระทบจาก "กลุ่มควันร้อน ลาวาถล่มและแก๊สพิษ"

วิดีโอที่เผยแพร่โดยสำนักข่าว Ruptly ของรัสเซียทูเดย์ บันทึกภาพได้ขณะที่เถ้าถ่านและกลุ่มควันมหึมา ยาวกว่า 4 กิโลเมตร ลอยพวยพุ่งออกจากภูเขาไฟเลโวโตโล บนเกาะเลมบาตา ของอินโดนีเซีย โดยเกาะแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากกรุงจาการ์ตา ไปทางตะวันออกราว 2,600 กิโลเมตร




ภาพที่พบเห็นยังก่อความตื่นกังวลแก่พวกชาวบ้านท้องถิ่น โดยประชาชนจากหมู่บ้านใกล้เคียงเลือกหลบหนีออกจากพื้นที่บริเวณตีนภูเขาไฟ จากการเปิดเผยของสำนักงานบริหารจัดการภัยพิบัติของอินโดนีเซีย

"พวกชาวบ้านแตกตื่นกันหมด พวกเขายัคงหาทางอพยพ และต้องการเงินเร่งด่วนเลย" ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าว

https://mgronline.com/around/detail/9630000122751

 

ลึกลับยิ่งกว่า!“เสาโลหะ”ปริศนาที่พบกลางทะเลทรายสหรัฐฯ จู่ๆก็หายไป



หลังจากเสาโลหะลึกลับที่พบในทะเลทรายห่างไกลทางตะวันตกของสหรัฐฯ จุดชนวนความสงสัยของประชาชนทั่วประเทศ ล่าสุดมันยิ่งกลายเป็นปริศนามากขึ้นไปอีก เพราะมีคำยืนยันว่าจู่ๆมันหายไปจากจุดที่พบ
https://mgronline.com/around/detail/9630000122739

 

อ้าว!ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ทีวีหนแรก บอกไม่มีวันยอมรับความพ่ายแพ้ศึกเลือกตั้ง



ในการให้สัมภาษณ์กับรายการโทรทัศน์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปรายชัยศึกเลือกตั้ง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯในวันอาทิตย์(29พ.ย.) บ่งชี้ว่าเขาจะไม่มีวันยอมรับความพ่ายแพ้ต่อ ไจ โบเดน หรือยอมละทิ้งทฤษฎีสมคบคิดของพวกเขาเกี่ยวกับการโกงเลือกตั้งอย่างมโหฬาร
https://mgronline.com/around/detail/9630000122734

 

เป็นเรื่อง!อิหร่านกร้าวตอบโต้เหตุลอบฆ่านักวิทย์นิวเคลียร์คนสำคัญ สื่อยุถล่มเมืองอิสราเอลแก้แค้น



เตหะรานจะตอบโต้อย่างแน่วแน่และไตร่ตรองไว้ก่อน ต่อเหตุนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ชั้นนำของประเทศถูกลอบสังหาร ตามคำประกาศของที่ปรึกษาผู้นำสูงสุดอิหร่าน ในขณะที่หนังสือพิมพ์สายแข็งกร้าวฉบับหนึ่ง ชี้แนะว่าการแก้แค้นของเตหะรานควรรวมไปถึงการโจมตีเมืองไฮฟาของอิสราเอล
https://mgronline.com/around/detail/9630000122733

 

#คอลัมน์นอกหน้าต่าง: ฆาตกรรมนักวิทยาศาสตร์อิหร่าน คือแผนของ‘ทรัมป์-อิสราเอล’ที่จะบ่อนทำลายทางเลือกด้านการทูตของ‘โจ ไบเดน’
การก่อเหตุฆาตกรรมสะเทือนขวัญกลางเมือง ด้วยการลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ระดับท็อปของอิหร่าน ซึ่งเตหะรานประณามว่าเป็นฝีมือของอิสราเอลนั้น มีความเสี่ยงที่จะเพิ่มความตึงเครียดในตลอดทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกกลาง ทว่ามันจะสร้างความยุ่งยากซับซ้อนถึงระดับสาหัส ให้แก่แผนการของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน ซึ่งต้องการรื้อฟื้นการเจรจากับสาธารณรัฐอิสลามแห่งนี้ อย่างที่คณะบริหารโดนัลด์ ทรัมป์ วาดหวังเอาไว้หรือไม่ ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป
อิหร่านกล่าวหาศัตรูคู่อาฆาตอย่างอิสราเอล ว่ากำลังหาทางสร้างความสับสนอลหม่านขึ้นมา ด้วยการสังหาร มอห์เซน ฟาครีซาเดห์ วัย 59 ปีนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์คนสำคัญของตน รวมทั้งกล่าวหาพาดพิงแบบไม่ต้องตีความกันมากว่า รัฐยิวกระทำการคราวนี้โดยได้รับไฟเขียวจากสหรัฐฯ
วอชิงตันเองไม่ได้แสดงความคิดเห็นอย่างเป็นทางการใดๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติการครั้งนี้ ซึ่งกลุ่มมือปืนได้ถล่มใส่รถยนต์ของฟาครีซาเดห์ ขณะอยู่บนถนนสายหนึ่งนอกกรุงเตหะราน ทั้งนี้ตามปากคำของกระทรวงกลาโหมอิหร่าน
แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รีทวิตความเห็นของคนอื่นๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ โดยที่มีอย่างน้อยชิ้นหนึ่งซึ่งระบุว่า นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้ “เป็นที่ต้องการมาหลายปีแล้วของมอสซาด” ซึ่งก็คือสำนักงานข่าวกรองของอิสราเอล
เมื่อปี 2018 ทรัมป์เป็นผู้นำพาสหรัฐฯถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ซึ่งนานาชาติทำเอาไว้กับอิหร่าน แล้วแทนที่ด้วยการเปิดฉากการรณรงค์ “สร้างความกดดันระดับสูงสุด” ซึ่งเขาดูเหมือนมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะกระทำต่อไปอีกจนกระทั่งเขาก้าวลงจากตำแหน่งในเดือนมกราคมปีหน้า
ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯซึ่งเห็นกันว่าอยากจะลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยต่อๆ ไปกับเขาเหมือนกัน และเล็งแลฐานคะแนนเสียงคนผิวขาวขวาจัดโปรยิวของทรัมป์เอาไว้ ออกมาประกาศเมื่อวันศุกร์ (27 พ.ย.) ว่าจะใช้มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจรอบใหม่ต่อบริษัทของจีนและรัสเซียบางราย โดยกล่าวหาว่ากิจการเหล่านี้ให้ความสนับสนุนโครงการขีปนาวุธของอิเหร่าน
“คณะบริหารชุดนี้ ...ยังจะอยู่ที่นี่ไปจนถึงวันที่ 20 มกราคม” และจะ “เดินหน้านโยบายต่างๆ ของตนต่อไป” เจ้าหน้าที่สหรัฐฯผู้หนึ่งซึ่งกำลังเดินทางร่วมขบวนไปกับพอมเพโอ กล่าวระหว่างแวะหยุดพักที่อาบูดาบี เมื่อวันอทิตย์ (29)
#พฤติการณ์แบบอาชญากร
แต่สำหรับนักวิเคราะห์ชาวอเมริกันบางคนแล้ว การสังหารฟาครีซาเดห์ เป็นการกระทำที่มีอันตรายซึ่งจะบั่นทอนขัดขวางความมุ่งมั่นตั้งใจที่ประกาศออกมาแล้วของไบเดน ในการเสนอ “เส้นทางที่น่าเชื่อถือสำหรับการหวนกลับสู่วิถีทางการทูต” ให้แก่อิหร่าน เพื่อเป็นก้าวเดินซึ่งจะทำให้สหรัฐฯในสมัยการปกครองของเขาสามารถกลับเข้าร่วมในข้อตกลงนิวเคลียร์นานาชาติกับเตหะรานได้อีกครั้งหนึ่ง
จอห์น เบรนแนน อดีตผู้อำนวยการซีไอเอ ทวิตในวันศุกร์ (27) ว่า การสังหารนักวิทยาศาสตร์อิหร่านคือ “พฤติการณ์แบบอาชญากรและสะเพร่าเลินเล่ออย่างแรง” พร้อมกล่าวต่อไปว่า มัน “เสี่ยงที่จะถูกตอบโต้แบบร้ายแรงถึงชีวิต และเกิดความขัดแย้งระดับภูมิภาครอบใหม่ขึ้นมา”
เบรนแนน ซึ่งเป็นผู้นำของหน่วยข่าวกรองชั้นแนวหน้าของสหรัฐฯแห่งนี้ในช่วงปี 2013-2017 เมื่อตอนที่ บารัค โอบามา เป็นประธานาธิบดี และ ไบเดน เป็นรองประธานาธิบดี ยังกระตุ้นเรียกร้องทางการอิหร่านให้ “รอคอยจนกว่าคณะผู้นำอเมริกันที่มีความรับผิดชอบจะหวนคืนสู่เวทีโลก และต้านทานเสียงเรียกร้องให้ตอบโต้เล่นงานพวกที่เข้าใจกันว่าเป็นตัวการก่อเหตุครั้งนี้”
และขณะที่สหรัฐฯกำลังเคลื่อนหมู่เรือบรรทุกเครื่องบินโจมตี นำโดยเรือ ยูเอสเอส นิมิตซ์ กลับเข้าไปยังอ่าวเปอร์เซีย โดยยืนกรานว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารที่เกิดขึ้นนั้น ทางเยอรมนีก็ได้ออกมาเตือนเมื่อวันเสาร์ (28) คัดค้าน “การบานปลายขยายตัว” ครั้งใหม่ใดๆ ก็ตามที
“เราเรียกร้องทุกๆ ฝ่ายให้หลีกเลี่ยงการกระทำใดๆ ซึ่งอาจนำไปสู่การบานปลายขยายตัวของสถานการณ์ครั้งใหม่” ซึ่ง “เราไม่เห็นว่ามีความจำเป็นใดๆ เลยในขณะนี้” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศเยอรมันบอก
“ไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่รัฐบาลชุดใหม่จะเข้ารับตำแหน่งในสหรัฐฯ การสนทนากับอิหร่านที่มีอยู่แล้วในเวลานี้จะต้องประคับประคองไว้ต่อไป เพื่อให้มีการแก้ไขความขัดแย้งเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านโดยผ่านการเจรจากัน”
#การกระทำที่สร้างความโกรธเกรี้ยว
ทัศนะเช่นนี้ได้รับความเห็นพ้องจาก เบน ฟรีดแมน ผู้ชำนาญการด้านกลาโหมอยู่ที่มหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน
เขาบอกว่า การสังหารครั้งนี้เป็น “พฤติการณ์เพื่อบ่อนทำลายการดำเนินการทางการทูตของสหรัฐฯและผลประโยชน์ของสหรัฐฯ” และ “น่าจะช่วยเหลือพวกแนวทางแข็งกร้าวชาวอิหร่าน ผู้ต้องการให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์”
สำหรับ เบน โรดส์ อดีตที่ปรึกษาคนหนึ่งของโอบามา เขากล่าวว่า “นี่เป็นการกระทำที่มุ่งทำให้เกิดความโกรธเกรี้ยว โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อบ่อนทำลายวิถีทางการทูตระหว่างคณะบริหารสหรัฐฯที่กำลังจะเข้ามา กับทางอิหร่าน”
เขากล่าวต่อไปว่า “มันถึงเวลาแล้วที่การบานปลายขยายตัวอย่างไม่รู้สิ้นสุดนี้จะต้องยุติลง”
อย่างไรก็ตาม บางคนบางฝ่ายยังไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น เป็นต้นว่า มาร์ก ดูโบวิตซ์ ผู้อำนวยการของมูลนิธิเพื่อการปกป้องระบอบประชาธิปไตย (เอฟดีดี) ซึ่งชี้ว่า “เวลายังมีอีกร่วมๆ 2 เดือนก่อนที่ โจ ไบเดน จะเข้ารับตำแหน่ง”
“ยังมีเวลาเหลือเฟือสำหรับสหรัฐฯและอิสราเอลที่จะสร้างความเสียหายอย่างหนักหน่วงให้แก่ระบอบปกครองในอิหร่าน ...” ดูโบวิตซ์ บอก
ทั้งนี้มูลนิธิเอฟดีดีของเขาเป็นหน่วยงานคลังสมองในกรุงวอชิงตัน ซึ่งถูกหลายฝ่ายมองว่าเป็นพวกสายเหยี่ยว และพวกอนุรักษนิยมใหม่ (นีโอคอนเซอร์เวทีฟ) ตลอดจนเป็นนักล็อบบี้ในสหรัฐฯเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของอิสราเอล
#ทรัมป์อยากถล่มโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน
ก่อนหน้านี้ เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีรายงานข่าวระบุว่า ทรัมป์ได้ปรึกษาหารือกับพวกผู้ช่วยคนสนิทของเขา เกี่ยวกับทางเลือกในการเข้าโจมตีโรงงานนิวเคลียร์แห่งหลักของอิหร่านที่เมืองนาตันซ์
นิวยอร์กไทมส์ดูเหมือนเป็นผู้รายงานข่าวนี้ก่อนใคร จากนั้นก็มีสื่ออื่นๆ ออกมายืนยัน เป็นต้นว่า สำนักข่าวรอยเตอร์อ้างแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่สหรัฐฯระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เอ่ยเรื่องนี้จริงๆ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 พ.ย. ขณะประชุมร่วมกับพวกที่ปรึกษาด้านความมั่นคง เป็นต้นว่า รองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์, คริสโตเฟอร์ มิลเลอร์ รักษาการรัฐมนตรีกลาโหม, และ พล.อ.มาร์ก มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมสหรัฐฯ
แหล่งข่าวของรอยเตอร์รายนี้ ยืนยันข้อมูลของนิวยอร์กไทมส์ซึ่งรายงานว่า พวกที่ปรึกษาของทรัมป์พยายามโน้มน้าวทรัมป์ ไม่ให้โจมตีอิหร่าน เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งลุกลามเป็นวงกว้าง
ยังไม่ทราบชัดเจนว่า ใช่หรือไม่ที่การฆาตกรรมนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ของอิหร่าน คือการที่คณะบริหารทรัมป์ตัดสินใจลดระดับการเล่นงานอิหร่านลงมา เพื่อไม่ให้เรื่องบานปลายมากเกินไปนัก

 

สหรัฐฯส่ง ‘เรือบรรทุกเครื่องบิน’ กลับเข้าอ่าวเปอร์เซีย อ้างไม่ได้มี ‘ภัยคุกคาม’ใดๆ แม้เป็นช่วงเดียวกับเกิดเหตุฆ่าโหดนักวิทย์อิหร่าน
หมู่เรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐฯได้เดินทางกลับมายังภูมิภาคอ่าวเปอร์เซียอีกครั้งหนึ่ง แต่โฆษกของกองทัพเรืออเมริกันแถลงในวันเสาร์ (28 พ.ย.) ว่า ความเคลื่อนไหวเช่นนั้ไม่ได้มีชนวนจาก “ภัยคุกคาม” ใดๆ ทั้งนั้น ถึงแม้เพิ่งเกิดเหตุการณ์สังหารโหดนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ระดับท็อปของอิหร่าน โดยเตหะรานกล่าวหาว่าเป็นฝีมือของอิสราเอล รวมทั้งน่าจะได้ไฟเขียวจากสหรัฐฯ
ภูมิภาคแถบนี้กำลังเกิดความตึงเครียดสูงลิ่วเป็นพิเศษ ภายหลังเหตุลอบสังหาร มอห์เซน ฟาครีซาเดห์ เมื่อวันศุกร์ (27) ซึ่งยังไม่มีผู้ใดออกมาอ้างความรับผิดชอบ
แต่ นาวาโท (หญิง) รีเบกกา เรบาริช โฆษกของกองเรือที่ 5 สหรัฐฯ บอกกับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า การหวนกลับมาในวันพุธ (25) ของหมู่เรือบรรทุกเครื่องบินที่นำโดยเรือ ยูเอสเอส นิมิตซ์ นี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ “ภัยคุกคามพิเศษเจาะจง” ใดๆ
“ไม่ได้มีภัยคุกคามพิเศษใดๆ ซึ่งเป็นตัวจุดชนวนให้หมู่เรือเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตี นิมิตซ์ กลับมา” เธอกล่าวในคำแถลง
“การกลับมาของนิมิตซ์ มีศูนย์กลางอยู่ที่การธำรงรักษาความสามารถของเซนต์คอม (CENTCOM ย่อมาจาก US Central Command กองบัญชาการทหารด้านกลางของสหรัฐฯ ซึ่งดูแลรับผิดชอบยุทธบริเวณทั้งตะวันออกกลางไปจนถึงอัฟกานิสถาน) ในการประพฤติปฏิบัติตามที่จัดวางเอาไว้ และเตรียมพร้อมเข้าช่วยเหลือรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของภูมิภาค” โฆษกผู้นี้กล่าว
เพนตากอน (กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ) เคยแถลงก่อนหน้านี้ว่า หมู่เรือโจมตีนี้จะทำหน้าที่ให้ความสนับสนุนและการคุ้มกันทางอากาศ ขณะที่มีการถอนทหารอเมริกันหลายพันคนจากอิรักและอัฟกานิสถานภายในกลางเดือนมกราคม ตามคำสั่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ทั้งนี้ ตามคำสั่งดังกล่าว ทหารอเมริกันราว 2,000 คนจะถอนออกจากอัฟกานิสถาน และ 500 คนจากอิรัก ทำให้ในแต่ละประเทศยังเหลือทหารสหรัฐฯอยู่ประมาณ 2,500 คน
หมู่เรือโจมตีที่นำโดยเรือบรรทุกเครื่องบิน นิมิตซ์ นี้ เมื่อเร็วๆ นี้ ได้ไปเข้าร่วมกับเรือรบของออสเตรเลีย, อินเดีย, และญี่ปุ่น ในการฝึกซ้อมตามที่กำหนดเอาไว้ในแถบทะเลอาหรับ
บัญชีทวิตเตอร์ของกองเรือที่ 5 สหรัฐฯ ได้เผยแพร่ภาพหลายๆ ภาพ ซึ่งฝูงบินที่ประจำบนเรือนิมิตซ์ กำลังออกบินในบริเวณดังกล่าวเมื่อวันเสาร์
หมู่เรือบรรทุกเครื่องบินโจมตีของสหรัฐฯนั้น ธรรมดาแล้วนอกจากเรือบรรทุกเครื่องบินที่เป็นผู้นำของหมู่เรือแล้ว ยังจะประกอบด้วยเรือลาดตระเวน 1 ลำ, เรือพิฆาต 1 ลำ, และฝูงเครื่องบินรบประจำเรือบรรทุกเครื่องบิน
ขณะที่เรือบรรทุกเครื่องบินชั้นนิมิตซ์ มีความยาวกว่า 300 เมตร มีลูกเรือมากกว่า 6,000 คน และบรรทุกเครื่องบินปีกตรึง หรือเครื่องบินปีกหมุน (เฮลิคอปเตอร์) ได้ 90 ลำ

 

Nov 30 , 2020 แบงก์ชาติเชื่อมั่นใช้กลไก อสม.ในการสกัดโควิด – มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ จะช่วยหนุนเศรษฐกิจไทยหลังโควิดได้
.
นายนครินทร์ อมเรศ ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. นำเสนอบทความ หัวข้อ"เศรษฐกิจไทยหลังโควิด-19 : เดินหน้าอย่างเข้มแข็ง" ระบุว่า เป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่งถึงพัฒนาการของสถานการณ์โควิด-19 หลังข่าวดีที่มวลมนุษยชาติเฝ้ารอมาถึงเมื่อหลายบริษัทยารายใหญ่ของโลกรายงานความคืบหน้าในการทดลองวัคซีนซึ่งมีผลสัมฤทธิ์เป็นที่น่าพอใจมาก
.
ความสำเร็จดังกล่าวผนวกกับข่าวชัยชนะของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ ได้ส่งผลให้ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 30,000 จุด รายงานล่าสุดของ McKinsey ที่ออกแทบจะพร้อม ๆ กับผลการทดลองวัคซีน ได้ระบุว่าผลสัมฤทธิ์ของวัคซีนจะทำให้ความน่าจะเป็นที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศสหรัฐฯ จะยุติลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 เพิ่มสูงขึ้น บนข้อสมมติฐานว่ามีการกระจายวัคซีนให้ประชาชนได้รับอย่างทั่วถึงเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เพียงพอ แต่ไม่ได้หมายความว่าการแพร่ระบาดจะยุติเร็วขึ้นแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตถึงกระบวนการแจกจ่ายวัคซีนที่อาจต้องจัดเก็บภายใต้อุณหภูมิต่ำเป็นพิเศษว่าจะดำเนินการได้สะดวกเพียงใดอีกด้วย
.
ปัจจัยแวดล้อมนี้เป็นแรงสนับสนุนสำคัญต่อการฟื้นตัวในภาคเศรษฐกิจจริง โดยตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดในไตรมาส 3 ของไทยหดตัวลดลงจากปีก่อนเหลือ -6.4% จากที่หดตัวถึง -12.1% ในไตรมาส 2 ซึ่งหากเทียบเป็นการเติบโตแบบปรับฤดูกาลจากไตรมาสก่อนจะเพิ่มถึง 6.5% โดยที่มาสำคัญในการฟื้นตัวมาจากการใช้จ่ายภาครัฐและการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่ ตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการค้าสินค้าและบริการระหว่างประเทศยังติดลบอยู่อีกมาก
.
ดังนั้น ตราบใดที่สถานการณ์การดำเนินชีวิตในประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา และยุโรป ยังไม่กลับมาเป็นปกติแล้ว การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจก็จะยังค่อยเป็นค่อยไป คำถามสำคัญในขณะนี้คือเราจะปรับตัวอย่างไรในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ โดยขอเสนอคำตอบที่จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าได้อย่างเข้มแข็ง
.
ประการแรก ความเข้มแข็งของกลไกสาธารณสุขในระดับท้องถิ่นผ่านความแข็งแกร่งของกองทัพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) กว่าล้านคนทั่วประเทศ เป็นกุญแจดอกสำคัญที่ไขสู่ความสำเร็จของการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศ โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้สร้างความเชื่อมั่นว่า อสม.ซึ่งมีพื้นฐานการดำเนินการมาหลายทศวรรษ จะช่วยสร้างแบรนด์ให้กับไทยในการเป็นศูนย์กลางความปลอดภัยทางการแพทย์และพร้อมจะดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจทั่วโลกเข้าสู่ไทยหลังการแพร่ระบาดยุติลง ซึ่งจะเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้อย่างมั่นคง
.
ประการที่สอง การสอดรับระหว่างการดำเนินการของภาครัฐและเอกชนเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ นโยบายการคลังและนโยบายการเงินเริ่มดำเนินการอย่างตรงจุดเพื่อฟื้นฟูควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ โครงการคนละครึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจฐานรากเพิ่มขึ้นแต่จะช่วยให้พ่อค้าแม่ค้าปลีกรายย่อยสามารถปรับตัวเข้าใช้เทคโนโลยีทางการเงินซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและสร้างตลาดเพิ่มขึ้น ขณะที่ มาตรการปรับโครงสร้างหนี้รายบัญชีที่ธนาคารพาณิชย์สามารถทำงานร่วมแก้ปัญหากับลูกหนี้กว่า 94% ในการออกแบบแก้ไขหนี้ให้เหมาะสมกับความจำเป็นเป็นรายตัว โดยไม่ต้องพักการชำระหนี้ทั้งกระดาน อันอาจเป็นผลเสียต่อวินัยทางการเงินในระยาวได้
.
#กระตุ้นเศรษฐกิจ #อสม #เศรษฐกิจ #Misterban