ติดตามสถานะการณ์

KBank Private Banking (เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง) ร่วมกับ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จัดงานสัมมนาออนไลน์ “ทางรอดเศรษฐกิจไทย ในวิกฤตล็อกดาวน์ที่ไม่ล็อกดาวน์” จากความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโควิด 19 ในระลอกใหม่ และผลกระทบทางเศรษฐกิจไทย พร้อมจับตาความเป็นไปของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย นโยบายเยียวยาและฟื้นฟูจากภาครัฐ รวมไปถึงโอกาสการลงทุนเพื่อคว้าผลตอบแทนกับหุ้นผู้ชนะ ที่ขานรับ New Economy ในยุค New Normal

นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า จากการระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด 19 ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย รวมไปถึงภาคการส่งออกที่น่าจะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันจากการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น รวมไปถึงข่าวคราวการมาถึงของวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ว่าจะครอบคลุมประชากรไทยมากน้อยแค่ไหน การฉีดวัคซีนจะได้ผลดี และสามารถหยุดการแพร่ระบาดได้หรือไม่ และความหวังว่าจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ธนาคารฯ เข้าใจทุกๆ ความกังวลเป็นอย่างดี จึงร่วมกับศูนย์วิจัยกสิกรไทยเพื่อเปิดเผยข้อมูลสำคัญ เพื่อจะได้เตรียมตั้งรับในวิกฤตล็อกดาวน์ที่ไม่ล็อกดาวน์ในครั้งนี้

นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ความแตกต่างระหว่างการระบาดของโรคโควิด 19 ในรอบแรก และการระบาดระลอกใหม่ มีอยู่ 3 ประเด็น คือ

1. จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันสูงกว่า
2. การกระจายของผู้ติดเชื้อเป็นแบบวงกว้าง
3. ต้นตอของการระบาดเกิดจากภาคอุตสาหกรรม


นอกจากนี้ มาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดก็แตกต่างออกไปด้วย โดยเป็นการล็อกดาวน์ที่ไม่ล็อกดาวน์ นั่นหมายถึงการล็อกดาวน์บางส่วน เพื่อรักษาสมดุลระหว่างผลกระทบทางเศรษฐกิจและผลกระทบทางสาธารณสุข อย่างไรก็ตาม จำนวนของผู้ติดเชื้อรายวันยังเป็นสิ่งที่ต้องติดตามว่าจะลดลงหรือจบภายใน 60 วันหรือไม่ ซึ่งหากสถานการณ์การแพร่ระบาดรอบนี้จบได้เร็ว การเติบโตภายในประเทศในปีนี้ก็คงจะลดลงไม่มากนัก จากที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินไว้ที่ 2.6%

สำหรับมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ ความสนใจยังพุ่งไปที่มาตรการเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค ที่ส่งผลให้การค้าขายไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ ปัญหาที่เกิดในช่วงนี้คือรายได้ไม่เพียงพอ ในขณะที่มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างเราเที่ยวด้วยกัน ช็อปดีมีคืน และ คนละครึ่ง ยังดำเนินควบคู่ไปด้วย โดยภาครัฐยังมีเม็ดเงินกว่า 6 แสนล้านบาท ซึ่งเพียงพอสำหรับการเยียวยาและฟื้นฟูอย่างแน่นอน
“ธนาคารมองว่า มาตรการภาครัฐยังมีความจำเป็นเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจเช่นเดียวกับประเทศอื่นทั่วโลก แม้ว่าหนี้สาธารณะจะมีโอกาสชนเพดานที่ 60% ของ GDP ก็ไม่น่ากังวล เพราะสามารถขยับกรอบได้ แต่ก็ต้องมีแผนที่จะลดภาระหนี้ลงในระยะกลางถึงยาว”

ด้าน นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ตัวเลขหนี้ภาคเอกชน หรือ หนี้ครัวเรือน ณ ไตรมาส 3/2563 อยู่ที่ประมาณ 86.6% ของ GDP ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นกว่า 91% ณ สิ้นปีนี้ สำหรับตัวเลขหนี้ที่สูงขึ้นเกิดขึ้นในหลายประเทศ จากการที่ GDP หดตัว-โตต่ำ และหนี้ไม่ได้ลดลงเพราะมีมาตรการช่วยเหลือ เพียงแต่โจทย์เฉพาะหน้ายังเป็นการช่วยลูกหนี้ที่ประสบปัญหาสภาพคล่องจากปัญหาโควิด 19 อย่างไรก่อน ซึ่งทั้ง ธปท.และสถาบันการเงินกำลังพิจารณาอยู่ และสามารถต่ออายุมาตรการให้ความช่วยเหลือได้ เช่น การพักชำระหนี้ของลูกหนี้ที่เคยเข้าโครงการนี้มาแล้วได้ถึงกลางปีนี้ รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ สำหรับการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ธนาคารฯ มองว่ามีโอกาสที่จะลดจาก 0.5% เป็น 0.25% โดยเฉพาะหากสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง แต่มีความเป็นไปได้น้อยที่จะต้องลดดอกเบี้ยไปจนถึง 0% เพราะ ธปท. ยังมีอาวุธและกระสุนอื่นๆ นอกเหนือจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อนำไปสู่การลดภาระต้นทุนทางการเงินให้กับธุรกิจ ขณะที่ การฝากเงินที่ไม่ได้ดอกเบี้ย หรือต้องเสียเงินให้ธนาคารในการฝากเงินยังไม่เหมาะกับประเทศไทย

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท แม้ระยะนี้จนถึงอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า เงินบาทอาจมีแนวโน้มอ่อนค่าเล็กน้อยจากระดับปิดปลายปีที่ 29.95 บาทต่อดอลลาร์ฯ จากข่าวเรื่องผลการเลือกตั้งของสหรัฐฯ และมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจเตรียมออกมาเพิ่มเติม แต่เงินบาทก็ยังมีแนวโน้มแข็งค่าได้ในระยะที่เหลือของปี เมื่อตลาดกลับมาให้น้ำหนักกับปัจจัยพื้นฐานดอลลาร์ฯ อาทิ การขาดดุลงบประมาณและดุลการค้า รวมถึงการทำ QE ของเฟด ส่วนการเทียบวิกฤตรอบนี้กับรอบปี 2540 นั้น ในครั้งนี้สถาบันการเงินแข็งแรงกว่า มีสภาพคล่องเพียงพอ แต่ก็ไม่ละเลยความเสี่ยงด้านคุณภาพหนี้ ขณะที่ด้านภาคธุรกิจและครัวเรือนกลับมีความเปราะบางจากปัญหาหนี้สะสมและขีดความสามารถในการแข่งขัน อย่างไรก็ตาม ธนาคารฯ มองว่าในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส ซึ่งเกิดจากการเตรียมพร้อมล่วงหน้าและคว้าโอกาสเมื่อจังหวะมาถึง เช่น การพัฒนา Mobile banking, Online shopping รวมไปถึง Food delivery ซึ่งได้อานิสงส์จากช่วงล็อกดาวน์ เป็นต้น

“ด้านข่าวคราวเรื่องวัคซีนป้องกันโควิด 19 ที่รัฐบาลไทยได้จัดซื้อวัคซีนจากจีนและอังกฤษจำนวน 28 ล้านโดสไว้แล้ว ซึ่งครอบคลุมประชากร 14 ล้านคน โดยในล็อตแรกนี้จะเริ่มทยอยฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และกลุ่มเสี่ยงก่อน และวางแผนซื้อเพิ่มอีก 35 ล้านโดส ซึ่งหากวัคซีนได้ผลดี และมีการทยอยฉีดจนครบในสิ้นปีนี้ถึงต้นปีหน้า จะทำให้ประชากรไทยเกือบครึ่งหนึ่งจะได้รับวัคซีน ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของคนในประเทศสูงขึ้น ภาคธุรกิจจะทยอยฟื้นตัว โดยเฉพาะการท่องเที่ยว แต่การฟื้นตัวคงไม่กลับไปสู่ระดับก่อนเกิดโควิด 19 ในปีหน้า”

นอกจากนี้ พฤติกรรมของผู้บริโภคและการเว้นระยะทางสังคมยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็น Work from home การใช้เทคโนโลยีด้านการสื่อสารในการทำงาน เป็นต้น ส่วนการเดินทางระหว่างประเทศยังต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปี เป็นอย่างน้อยกว่าจะกลับมาฟื้นตัว

“สำหรับตลาดหุ้นไทยในปีที่ผ่านมา เกือบจะมีผลตอบแทนรั้งท้าย เนื่องจากกลุ่มบริษัทในตลาดส่วนใหญ่ เป็น Old economy ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มพลังงาน ธนาคาร และ ค้าปลีก ซึ่งโครงสร้างตลาดหุ้น สะท้อนโครงสร้างเศรษฐกิจของไทย อาจจะต้องใช้เวลาหลายปีในการปรับตัวให้ทันโลก ปัจจุบัน หลายบริษัทขนาดใหญ่ได้ปรับตัวเองให้เป็น Green มากขึ้น ตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้องมากขึ้น และการมาถึงของรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) ส่งผลให้ประเทศไทยต้องมีกลยุทธ์ในการดึงดูดนักลงทุนที่มีเทคโนโลยีใหม่ หากต้องการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ในยุคถัดไป” นางสาวณัฐพร กล่าวเสริม

“ธนาคารหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันจะค่อยๆ ลดลง วัคซีน 63 ล้านโดสสามารถทยอยฉีดได้ตามแผนที่รัฐคาดการณ์ไว้ได้อย่างรวดเร็ว เม็ดเงิน 6 แสนล้านที่รัฐบาลสามารถอุดหนุนผลกระทบที่เกิดจาการแพร่ระบาด บทเรียนของโควิด 19 ในครั้งแรก ทำให้รับมือได้ดีขึ้น ผลกระทบทางเศรษฐกิจน้อยลง ภาคธุรกิจไทยเองก็ต้องปรับตัว ปรับเศรษฐกิจ เพื่อรับ New Normal ด้วย New Economy สุดท้ายนี้ ธนาคารยังมุ่งมั่นในการเป็นตัวกลางในการนำองค์ความรู้ เพื่อเรียบรู้ และ ปรับตัว พร้อมทั้งยังสร้างผลตอบแทนจาก New Economy ได้จากการลงทุนในธุรกิจแห่งอนาคตในต่างประเทศได้ อาทิ E-Commerce Artificial Intelligence Golden age Heath Care เป็นต้น” นายจิรวัฒน์ กล่าวสรุป

#workpointTODAY
#สาระความรู้เพื่อวันนี้
ติดตาม workpointTODAY ทาง YouTube https://bit.ly/2YDfyiK

 

อากาศหนาวกระทบคนไร้บ้าน

คนไร้บ้านนอนท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเย็นในพื้นที่สาธารณะของกรุงเทพฯ ในคืนเช้ามืดวันที่ 13 ม.ค. 2564 บ้างอาศัยป้ายรถประจำทางเป็นที่พักพิง มีเพียงผ้าห่มบางๆ ไว้ห่มคลายหนาว บ้างต้องใช้ถุงพลาสติกคลุมเพื่อกันลม

จากการสำรวจของแผนงานพัฒนาองค์ความรู้คนไร้บ้านฯ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบมีคนไร้บ้านกว่า 2,700 คน กระจายอยู่ทั่วประเทศ

ขณะที่การคาดการณ์พยากรณ์อากาศประเทศไทยอุณหภูมิจะสูงขึ้นในช่วง 14 - 16 ม.ค. 64 ก่อนอุณหภูมิจะลดลงอีกครั้ง 4 - 6 องศาเซลเซียส ในช่วงวันที่ 17 - 18 ม.ค. 64

• ภาคเหนือ อากาศหนาว กับมีลมแรง อุณหภูมิต่ำสุด 10-15 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 18-27 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 4-11 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.

• ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศหนาวถึงหนาวจัด กับมีลมแรง อุณหภูมิต่ำสุด 7-12 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 20-23 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 2-10 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.

• ภาคกลาง อากาศหนาว กับมีลมแรง อุณหภูมิต่ำสุด 14-15 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 25-27 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.

• ภาคตะวันออก อากาศเย็นถึงหนาว กับมีลมแรง อุณหภูมิต่ำสุด 14-18 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 26-31 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

• ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้นมา: มีอากาศเย็น กับมีลมแรง ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป: มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 20 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-45 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-4 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 18-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 27-30 องศาเซลเซียส

• ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) เมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

ภาพ ปฏิภัทร จันทร์ทอง Thai News Pix
#workpointTODAY
#สาระความรู้เพื่อวันนี้
ติดตาม workpointTODAY ทาง YouTube https://bit.ly/2YDfyiK

 

น้องสาวคิม จองอุนแอบเรียก จนท.เกาหลีใต้ “พวกปัญญาอ่อน”
.
.
.
.
.
เอเอฟพี – คิม โย จอง น้องสาวของผู้นำเกาหลีเหนือที่ถือว่าเป็นผู้นำอันดับ 2 รองจากพี่ชาย เรียกเจ้าหน้าที่เกาหลีใต้ว่า “พวกปัญญาอ่อน” จากการที่เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้พยายามติดตามการเดินสวนสนามแสดงแสนยานุภาพกองทัพกลางกรุงเปียงยบางสุดสัปดาห์
.
เอเอฟพีรายงานวันนี้(13 ม.ค)ว่า แถลงการณ์ของสำนักข่าวทางการเกาหลีเหนือ KCNA รายงานถึงคำพูดของ คิม โย จอง (Kim Yo Jong)น้องสาวประธานาธิบดี คิม จอง อุน และที่ปรึกษาคนสำคัญของเขากล่าวออกมาว่า “พวกชาวใต้เป็นกลุ่มที่แปลกประหลาดยากที่จะเข้าใจ”
.
และเสริมต่อว่า “คนเหล่านี้ล้วนปัญญาอ่อนและอยู่ในอันดับสูงสุดของการมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม”
.
การออกมาแสดงความเห็นของเธอเกิดขึ้นในช่วงเวลาของการประชุมคองเกรสพรรคคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือได้สิ้นสุดลง ซึ่งประธานาธิบดี คิม จองอุน ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขาธิการใหญ่ของพรรค
.
โดยในที่ประชุมคิมสัญญาที่จะขับเคลื่อนโครงการนิวเคลียร์เกาหลีเหนือให้แข็งแกร่ง และยอมรับในความผิดพลาดที่ไม่สามารถจัดการด้านเศรษฐกิจให้ถึงเป้าหมาย
.
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่า คิม โย จอง ดูเหมือนจะถูกลดชั้นลงในการประชุมครั้งนี้เนื่องจากเธอไม่ปรากฎในรายชื่อของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งคณะกรรมการกลางพรรค หลังจากก่อนหน้าเธอทำหน้าที่ใน “ฐานะคณะกรรมการเสริม” (Alternate Member)
.
เอเอฟพีชี้ว่า แต่ทว่าการออกแถลงการณ์ในนามของเธอเอง แสดงให้เห็นว่าเธอยังคงทรงอิทธิพลอยู่ในแวดวงการทูตเกาหลีเหนือ ซึ่งอยู่เบื้องหลังการสั่งทำลายสำนักงานประสานงานเกาหลีใต้เมื่อปีที่ผ่านมา
.
ทั้งนี้ในวันจันทร์(11)กองทัพเกาหลีใต้แถลงว่า สามารถจับสัญญาณที่ชี้ได้ว่า มีการเดินสวนสนามของกองทัพเกาหลีเหนือเกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับสภาคองเกรสบริเวณจัตุรัสคิม อิลซุงผู้ก่อตั้งประเทศ กรุงเปียงยาง เมื่อเวลาเที่ยงคืน
.
กองทัพเกาหลีใต้กล่าวว่า ทางกองทัพได้มอนิเตอร์อย่างใกล้ชิดถึงความเคลื่อนไหวที่อาจจะเป็น การจัดงานจริง หรืออาจเป็นแค่ซ้อม
.
การออกมาเปิดเผยทำให้น้องสาวประธานาธิบดีเกาหลีเหนือได้กล่าวออกมาว่า “เหลวไหล” และ “เป็นการแสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่เป็นปรปักษ์” ของฝ่ายใต้
.
“พวกเราแค่จัดการเดินสวนสนามกองทัพภายในเมืองหลวง ไม่ได้จัดการซ้อมรบมีเป้าหมายไปที่หรือสั่งปล่อย(ขีปนาวุธ)อะไร” คิมผู้น้องกล่าว ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการจัดงานไปในตัว

 

นี่คือบทสัมภาษณ์อันโด่งดังของ อมา อตา ไอดู นักเขียนชาวกานาและอดีตรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และข้อเท็จจริงอันยากจะปฏิเสธระหว่างชาวแอฟริกาและชาวตะวันตก

 

จับตาระทึก!!คาดม็อบหนุนทรัมป์ติดอาวุธครึ่งหมื่นปิดล้อมรัฐสภาก่อนพิธีสาบานตน'ไบเดน'

บรรดาผู้สนับสนุนหัวรุนแรงของโดนัลด์ ทรัมป์ ติดอาวุธหลายพันคน มีแผนปิดล้อมรัฐสภาสหรัฐฯ ก่อนพิธีสาบานตนของว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากการเปิดเผยของสมาชิกสภาคองเกรสรายหนึ่งเข้ารับฟังรายงานสรุปเมื่อช่วงค่ำวันจันทร์(11ม.ค.) เกี่ยวกับภัยคุกคามใหม่ที่มีต่อสมาชิกรัฐสภาและตัวอาคารสภาคองเกรสเอง

https://mgronline.com/around/detail/9640000003208

 

หนักกว่าข่าวลือ!บราซิลแถลงยืนยัน'วัคซีนจีน'ที่ไทยสั่งซื้อด้วย มีประสิทธิภาพแค่50.4%

วัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่พัฒนาโดย "ซิโนวัค ไบโอเทค" บริษัทสัญชาติจีน มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการแค่ 50.4% ในการทดลองในบราซิล จากการแถลงยืนยันของคณะวิจัยในวันอังคาร(12ม.ค.) เพียงพอสำหรับได้รับอนุมัติจากคณะควบคุมกฎระเบียบแบบฉิวเฉียด ต่ำกว่าเคยประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าข่าวลือที่สื่อมวลชนรายงานหนึ่งวันก่อนหน้านี้

https://mgronline.com/around/detail/9640000003224

 

อิเหนากู้ ‘กล่องดำ’ ใบแรกศรีวิจายาแอร์ได้แล้ว สหรัฐฯ เตรียมส่งผู้เชี่ยวชาญร่วมตรวจสอบ
.
นักประดาน้ำอินโดนีเซียสามารถเก็บกู้กล่องบันทึกข้อมูลการบิน (flight data recorder – FDR) ของเครื่องบินศรีวิจายาแอร์ที่ประสบอุบัติเหตุตกทะเลชวามีผู้เสียชีวิต 62 รายได้แล้วเมื่อวานนี้ (12 ม.ค.) ขณะที่สหรัฐฯ เตรียมส่งผู้เชี่ยวชาญไปยังอินโดนีเซียเพื่อร่วมหาสาเหตุของโศกนาฏกรรมครั้งล่าสุด
.
ทีมประดาน้ำยังค้นพบอุปกรณ์ส่งสัญญาณวิทยุ (radio beacon) ซึ่งทำให้มีความหวังว่ากล่องบันทึกเสียงภายในห้องนักบิน (cockpit voice recorder – CVR) ซึ่งจะมีอุปกรณ์ตัวนี้ติดอยู่น่าจะถูกค้นพบในอีกไม่ช้า และอาจช่วยเผยความจริงว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินลำนี้สูญเสียการควบคุม
.
“เรามั่นใจอย่างยิ่งว่าจะสามารถเก็บกู้กล่องบันทึกเสียงในห้องนักบินได้เร็วๆ นี้ เพราะมีการพบอุปกรณ์ส่งสัญญาณวิทยุอยู่ในบริเวณดังกล่าว” ฮาดี จาห์จันโต ผู้บัญชาการกองทัพอากาศอิเหนา บอกกับสื่อมวลชน
.
เครื่องโบอิ้ง 737-500 ลำนี้ดิ่งร่วงลงสู่ทะเลชวาเมื่อวันเสาร์ (10) หลังออกเดินทางจากสนามบินในกรุงจาการ์ตาได้เพียง 4 นาทีก็หายไปจากหน้าจอเรดาร์
.
เหตุการณ์นี้ถือเป็นอุบัติเหตุการบินใหญ่ครั้งที่ 2 ของอินโดนีเซีย ตามหลังกรณีเครื่องบินโบอิ้ง 737 แม็กซ์ ของไลอ้อนแอร์ตกในทะเลชวาเมื่อปี 2018 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตไปถึง 189 ราย ทว่าเครื่องบินของศรีวิจายาแอร์เป็นรุ่นขนาดเล็กกว่า และมีอายุการใช้งานนานเกือบ 27 ปีแล้ว
.
จาห์จันโต ระบุว่า คณะกรรมการความปลอดภัยขนส่งแห่งชาติอินโดนีเซีย (KNKT) คาดว่าจะสามารถดาวน์โหลดข้อมูลจากกล่อง FDR ได้ภายใน 2-5 วัน
.
ก่อนที่กล่องดำใบแรกจะถูกพบ ทีมประดาน้ำยังสามารถเก็บกู้ชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์ได้อีกเป็นจำนวนมากในบริเวณจุดตกของเครื่องบิน รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว เช่น กระเป๋าสตางค์ซึ่งมีบัตรประจำตัวประชาชนอยู่
.
เครื่องบินลำนี้ออกเดินทางจากจาการ์ตาเพื่อจะมุ่งหน้าไปยังเมืองปนตีอานัก (Pontianak) ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 740 กิโลเมตรบนเกาะบอร์เนียว
.
ผลสอบสวนเบื้องต้นโดย KNKT พบว่า เครื่องยนต์ของศรีวิจายาแอร์ยังคงทำงานอยู่ขณะที่ตัวเครื่องดิ่งกระแทกผิวน้ำ โดยวิเคราะห์จากชิ้นส่วนที่เก็บกู้ได้จากทะเล
.
“ร่องรอยความเสียหายบริเวณใบพัดแสดงให้เห็นว่าเครื่องยนต์ยังทำงานอยู่ตอนที่ตกกระแทก สอดคล้องกับข้อสันนิษฐานที่ว่าระบบต่างๆ ของเครื่องบินยังคงทำงาน ขณะที่เครื่องดิ่งลงมาถึงระดับความสูง 250 ฟุต” ซูรยันโต จาห์โจโน ประธาน KNKT ระบุ
.
กระทรวงคมนาคมอินโดนีเซียแถลงวานนี้ (12) ว่า เครื่องศรีวิจายาแอร์ลำนี้เคยถูกจอดทิ้งไว้นานหลายเดือนช่วงโควิด-19 ระบาดใหม่ๆ แต่ได้ผ่านกระบวนการตรวจสอบความปลอดภัยเดินอากาศแล้วเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. ก่อนจะถูกนำกลับมาให้บริการอีกครั้ง
.
ล่าสุด มีรายงานว่าคณะกรรมการความปลอดภัยทางการคมนาคมแห่งชาติสหรัฐฯ (NTSB) เตรียมส่งผู้แทนและพนักงานสอบสวนอีก 3 นายไปยังกรุงจาการ์ตา เพื่อช่วยสืบหาสาเหตุการตกของเครื่องศรีวิจายาแอร์ โดยจะมีบุคลากรจากองค์การบริหารการบินแห่งชาติ (FAA) รวมถึงผู้แทนของ เจเนอรัล อิเล็กทริก และ โบอิ้ง เดินทางไปสมทบด้วย
.
ที่มา: รอยเตอร์

 

รองปธน. ‘ไมค์ เพนซ์’ ค้านใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญถอดถอน ‘ทรัมป์’ ยันไม่ใช่ทางออกที่ดี
.
รองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ แห่งสหรัฐฯ บอกกับ แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ วานนี้ (12 ม.ค.) ว่าตน “ไม่เห็นด้วย” กับการใช้อำนาจตามบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ 25 (25th Amendment) ปลดประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่ง หลังจากที่ม็อบเชียร์ผู้นำสหรัฐฯ บุกเข้าไปก่อจลาจลในอาคารรัฐสภาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
.
“ผมไม่คิดว่าวิธีนี้จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อชาติบ้านเมือง หรือสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญของเรา” เพนซ์ ระบุในจดหมายซึ่งเผยแพร่โดยสำนักงานของเขา ก่อนที่สภาผู้แทนฯ จะลงมติแบบไม่มีผลผูกพันให้ เพนซ์ ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญปลด ทรัมป์ ลงจากเก้าอี้ก่อนหมดวาระ
.
ล่าสุด มี ส.ส.รีพับลิกันอย่างน้อย 3 คนที่ประกาศตัวแล้วว่าจะโหวตสนับสนุนกระบวนการถอดถอน (impeachment) ผู้นำสหรัฐฯ เพื่อให้ ทรัมป์ ต้องรับผิดชอบกับการที่เขายุยงให้ผู้สนับสนุนเดินขบวนมาปิดล้อมรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. และยังเรียกร้องให้คนเหล่านั้น “ต่อสู้” ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ชุลมุนจนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 5 ราย
.
เพนซ์ บอกกับ เพโลซี ว่า รัฐบาลต้องการให้การถ่ายโอนอำนาจเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย และขอร้องให้เธอรวมถึงสมาชิกสภาคองเกรสคนอื่นๆ หลีกเลี่ยงการกระทำ “ที่จะสร้างความแตกแยก ละเติมเชื้อไฟให้กับสถานการณ์ในตอนนี้”
.
“ขอจงร่วมมือกับเราเพื่อลดอุณหภูมิความขัดแย้ง และทำให้คนในชาติกลับมาสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน ในขณะที่เราเตรียมความพร้อมสำหรับพิธีสาบานตนของว่าที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ซึ่งจะเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนถัดไป” เพนซ์ ระบุ
.
เพนซ์ และ ทรัมป์ ได้จับเข่าพูดคุยกันเป็นครั้งแรกที่ทำเนียบขาวในช่วงเย็นวันจันทร์ (11) หลังเกิดเหตุม็อบบุกสภา และหลังจากที่ผู้นำสหรัฐฯ ออกมาประณาม เพนซ์ ว่าไม่ช่วยขัดขวางกระบวนการรับรองชัยชนะของ ไบเดน ในสภาคองเกรส
.
ทรัมป์ ซึ่งไม่ยอมรับว่าตัวเองแพ้เลือกตั้งพยายามกดดัน เพนซ์ ให้แทรกแซงขั้นตอนดังกล่าว และถึงขั้นมีผู้สนับสนุน ทรัมป์ บางคนขู่จะ “ลอบสังหาร” เพนซ์ โทษฐานเป็น “ผู้ทรยศ”
.
จดหมายของ เพนซ์ ได้อ้างถึงแรงกดดันต่างๆ ที่เขาต้องเผชิญอยู่ในตอนนี้
.
“สัปดาห์ที่แล้ว ผมไม่ยอมทำตามแรงกดดันให้ใช้อำนาจเกินขอบเขตที่รัฐธรรมนูญกำหนดแทรกแซงผลเลือกตั้ง และวันนี้ผมก็จะไม่อ่อนข้อให้กับความพยายามของสภาผู้แทนราษฎรที่ต้องการเล่นเกมการเมือง ในช่วงเวลาที่ประเทศชาติอยู่ในสถานการณ์ร้ายแรง”
.
เพนซ์ ระบุด้วยว่า การใช้บทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ 25 เป็นเครื่องมือ “ลงโทษหรือยึดอำนาจ” จะเป็นการสร้างตัวอย่างที่ไม่ดี
.
การใช้บทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ 25 ปลดประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกจากตำแหน่งจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อรองประธานาธิบดีได้ประกาศใช้อำนาจดังกล่าว และได้รับเสียงสนับสนุนจากคณะรัฐมนตรีส่วนใหญ่
.
ที่มา: รอยเตอร์

 

เป็นที่คาดหมายว่าประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ อาจจะโดนสภาผู้แทนราษฎรลงมติถอดถอน (impeachment) อีกครั้งในวันพุธ (13 ม.ค.) ด้วยข้อครหาปลุกปั่นยุยงให้ม็อบบุกรัฐสภาเพื่อขวางการรับรองชัยชนะให้กับ โจ ไบเดน
.
ต่อไปนี้คือการสรุปอย่างคร่าวๆ ว่ากระบวนการถอดถอนผู้นำสหรัฐฯ ครั้งที่ 2 จะออกมาในรูปใด และมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่สภาคองเกรสจะปิดโอกาสของ ทรัมป์ ในการลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2024
.
- กระบวนการถอดถอนทำงานอย่างไร?
.
หลายคนยังเข้าใจคลาดเคลื่อนว่ากระบวนการถอดถอนหรือ “อิมพีชเมนต์” นั้นหมายถึงการปลดประธานาธิบดีออกจากตำแหน่ง แต่อันที่จริงแล้วคำๆ นี้หมายถึงขั้นตอนที่สภาผู้แทนราษฎรหรือ “สภาล่าง” ตั้งข้อกล่าวหาต่อประธานาธิบดีว่าได้กระทำการอันถือเป็น “ความผิดอาญาหรือความประพฤติมิชอบขั้นร้ายแรง”
.
ทั้งนี้ หาก ส.ส. ส่วนใหญ่จากทั้งหมด 435 คนโหวตรับรองข้อกล่าวหาซึ่งเรียกกันว่า “ญัตติถอดถอน” (articles of impeachment) เรื่องก็จะถูกส่งต่อไปยังวุฒิสภาหรือ “สภาสูง” เพื่อทำการไต่สวน และรัฐธรรมนูญอเมริกันกำหนดเอาไว้ว่าการถอดถอดประธานาธิบดีจะต้องใช้เสียงจากวุฒิสภาถึง 2 ใน 3
.
ส.ส.เดโมแครตกล่าวหา ทรัมป์ ว่าปลุกปั่นให้ผู้สนับสนุน “กระทำการอันไร้ขื่อแป” ที่อาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. แต่ ทรัมป์ ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ล่าสุดวานนี้ (12) ว่า สุนทรพจน์ที่ตนกล่าวกับผู้ชุมนุมก่อนเกิดเหตุบุกรัฐสภานั้น “เหมาะสมทุกประการ”
.
อ่านข่าวเต็ม>>>
https://mgronline.com/around/detail/9640000003334

 

สื่อนอกรายงาน “กาชาดไทย” ขาดเลือดหนักขั้นวิกฤตนับตั้งแต่ก่อตั้ง “โควิด-19 ระบาด” ทำคนกลัวบริจาค
.
.
.
รอยเตอร์/mgrออนไลน์ – สภากาชาดไทยวันพุธ(13 ม.ค)วอนขอประชาชนเข้ามาบริจาค หลังเกิดวิกฤตขาดเลือดหนักต่ำสุดเป็นประวัติการณ์กระทบโรงพยาบาลทั่วประเทศ หลังคนกลัวแห่ไม่ยอมไปบริจาคเพราะกลัวติดโควิด-19 สภาออกแถลงยืนยัน ไม่มีบุคลากรติดโควิด-19 ตามที่ลือ
.
รอยเตอร์รายงานวันนี้(13 ม.ค)ว่า ประเทศไทยกำลังต่อสู้กับการระบาดระลอกอยู่ในเวลานี้หลังเกิดการระบาดในกลุ่มแรงงานต่างชาติเมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลทำให้เคสเพิ่มมากกว่า 2 เท่ามาอยู่ที่ 10,991 คนและลามไปมากกว่ากครึ่งของจำนวนจังหวัดทั้งหมดในประเทศ
.
ที่ผ่านมารัฐบาลไทยออกมาเรียกร้องให้ประชาชนอยู่แต่ในที่พักจนกระทั่งสามารถควบคุมการระบาดไว้ได้ ซึ่งตามปกติแล้วมหาวิทยาลัยและบริษัทจะเป็นผู้จัดงานการบริจาคเลือดแต่ในเวลานี้ทำให้ต้องหยุดโครงการจัดงานบริจาคเลือดไว้ก่อน
.
“นี่เป็นวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา” ปิยนันท์ คุ้มครอง ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านจัดหาโลหิตและภาพลักษณ์องค์กร ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย กล่าวแสดงความเห็น
.
และให้ข้อมูลกับรอยเตอร์เพิ่มเติม “ตามปกติเราจะได้เลือดบริจาคราว 2,200 ยูนิตต่อวัน” เสริมว่าแต่ทว่าทางศูนย์ได้รับแค่ 394 ยูนิตในวันพุธ(13) เพราะผู้บริจาคกังวลถึงการติดโควิด-19
.
โดยเฉลี่ยพบว่าการบริจาคตกลงไปราว 700-900 ยูนิต
.
และหากว่าสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้ ทางโรงพยาบาลจำเป็นต้องเลื่อนกำหนดการผ่าตัดนอกเหนือจากเหตุฉุกเฉิน คุณปิยนันท์ชี้
.
โดยในแถลงการณ์ของศูนย์ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทยกล่าวว่า ทางศูนย์ไม่มีเลือดเพียงพอสำหรับโรงพยาบาล 340 แห่งทั่วประเทศ ทางศูนย์ได้เรียกร้องผ่านทางโซเชียลมีเดียขอให้ประชาชนออกมาบริจาคเลือด
.
“การบริจาคเลือดมีความจำเป็นเร่งด่วยสำหรับการผ่าตัดและผู้ป่วยเด็กในโรคทางเลือด เป็นต้นว่า โรคโลหิตจาง และโรคธาลัสซีเมีย”
.
อ้างอิงจากเว็บไซต์สภากาชาดไทยพบว่า วิกฤตการขาดเลือดครั้งนี้รุนแรงมากกว่าทุกครั้งนับตั้งแต่ก่อตั้งมาเมื่อปี 2512 เนื่องมาจากโรงพยาบาลใหญ่ๆทั่วประเทศประกาศขาดเลือดพร้อมๆกัน และทางสภากาชาดได้เตือนว่า หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อจะเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยถึงขั้นชีวิตได้
.
สภากาชาดยืนยันว่า ยังคงรักษามาตรการสร้างความมั่นใจให้เป็นสถานที่ปลอดภัยจาก COVID-19 มีการควบคุม ดูแล รักษาความสะอาด อุปกรณ์ สถานที่ และสุขอนามัยของ ผู้มาบริจาคโลหิต และบุคลากรที่ปฏิบัติงาน เพื่อให้มั่นใจว่าทุกหน่วยงานไม่มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ โดยผู้ที่ต้องการบริจาคสามารถเดินทางไปบริจาคตามศูนย์บริการต่างๆ เป็นต้นว่า โรงพยาบาลตำรวจ โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลประจำจังหวัดทั่วประเทศ และรวมไปถึงห้างสรรพสินค้าต่างๆ เป็นต้นว่า เดอะมอลล์ บางแค ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม และภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่งตามจังหวัดต่างๆเป็นต้นว่า ภาคฯจ.นครสวรรค์ ภาคฯ จ.นครศรีธรรมราช ภาคฯ จ.นครราชสีมา และภาคฯ จ.ชลบุรี เป็นต้น
.
นอกจากนี้ทางสภากาชาดยังออกมาชี้แจงในวันเดียวกันนี้(13)ว่า ไม่มีเจ้าหน้าที่สภากาชาดป่วยโรคโควิด-19 ตามข่าวลือ
.
โดยลงประกาศมีใจความว่า “ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่งทั่วประเทศ “ไม่มีบุคลากรติดเชื้อโควิด-19” ” และผู้บริจาค ผู้ใช้บริการมั่นใจในมาตรการป้องกัน ปลอดภัย หายห่วง”

 

‘MoMo’ อี-วอลเลตรายใหญ่เวียดนามระดมทุนกว่า $100 ล้าน ตั้งเป้าเป็น ‘ซูเปอร์แอป’
.
.
รอยเตอร์ - MoMo ผู้ให้บริการชำระเงินผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรืออี-วอลเลต (e-wallet) รายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม สามารถระดมทุนได้อย่างน้อย 100 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนระดับโลก 6 ราย ที่รวมทั้งบริษัทวอร์เบิร์ก พินคัส ในส่วนหนึ่งของแผนการที่จะเป็น ‘ซูเปอร์-แอป’ และขายหุ้นแก่สาธารณะในปี 2568 ตามการเปิดเผยของบริษัทและแหล่งข่าววันนี้ (13)
.
เทคโนโลยีทางการเงิน พื้นที่การลงทุนที่น่าสนใจในประเทศที่มีประชากรเกือบ 98 ล้านคน ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19 ด้วยธุรกิจค้าปลีกต่างปรับเข้าหาช่องทางออนไลน์มากขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคก็มองทางเลือกการชำระเงินที่ไร้การสัมผัสมากขึ้นเช่นกัน
.
“ไม่มีการเปิดเผยจำนวนเงินตามข้อตกลงเข้มงวดของเรากับนักลงทุน แต่ขนาดของข้อตกลงนี้ค่อนข้างใหญ่กว่าการระดมทุนครั้งก่อนของเราซึ่งอยู่ที่ 100 ล้านดอลลาร์เท่านั้น” ฝ่าม แถ่ง ดึ๊ก ซีอีโอของ MoMo กล่าวกับรอยเตอร์
.
“เราหวังว่าจะสามารถเสนอขายหุ้น IPO ได้ในช่วงปี 2564-2568 อาจเป็นปี 2568 สำหรับเรา การเสนอขายหุ้น IPO เป็นสิ่งจำเป็น” ดึ๊ก กล่าว
.
การระดมทุนครั้งล่าสุดจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของ MoMo ที่จะเป็นแอปพลิเคชันสมาร์ทโฟนออล-อิน-วัน ที่ครอบคลุมบริการหลากหลายประเภท ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จในประเทศต่างๆ และซูเปอร์-แอปที่โดดเด่นในตลาด เช่น Grab ของสิงคโปร์ และ Gojek ของอินโดนีเซีย เป็นต้น
.
.
อ่านต่อที่
https://mgronline.com/indochina/detail/9640000003414

 

บริษัทจากจีนคว้าสัมปทานสร้าง "ระเบียงกระจกชมวิวหุบเขา-สะพานก๊กเทค" ในพม่า เริ่มสิ้นเดือนนี้
.
.
MGR Online - หลังเงียบไปหลายเดือนจากโควิด-19 ระเบียงกระจกแห่งแรกของพม่า จุดชมวิวสะพานรถไฟข้ามหุบเขาก๊กเทค จะเริ่มก่อสร้างสิ้นเดือนนี้ โดยบริษัทเชอรี่ หมู่เจ้ จากจีนเป็นผู้ได้สัมปทานไป
.
แม้ว่าเสียงตอบรับที่ออกมาจะเป็นการเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม แต่โครงการระเบียงกระจก สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ใกล้กับสะพานรถไฟก๊กเทค ได้ฤกษ์ก่อสร้างอย่างแน่นอนแล้ว ทั้งนี้ เป็นการยืนยันจากเว็บไซต์หน่วยงานของรัฐบาลกลางพม่า
.
โครงการนี้เป็นระเบียงกระจกแห่งแรกในพม่า จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ 17 เอเคอร์ หรือประมาณ 43 ไร่ ริมหุบเขาก๊กเทค ในอำเภอหนองเขียว จังหวัดจ๊อกแม ภาคเหนือของรัฐชาน
.
ของบริษัทเชอรี่ หมู่เจ้ (Cherry Muse) บริษัทสัญชาติจีนจากเมืองหมู่เจ้ เมืองชายแดนรัฐชาน-จีน ได้เซ็น MOU เพื่อสร้างระเบียงกระจกแห่งนี้กับรัฐบาลรัฐชานแล้ว และมีการเผยแพร่ภาพร่างโครงการสู่สาธารณะประมาณเดือนกันยายนปีก่อน แต่เนื่องจากเป็นจังหวะที่โควิด-19 เพิ่งกลับมาระบาดระลอก 2 ในพม่า และอยู่ในช่วงเริ่มต้นหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมืองต่างๆ โครงการนี้จึงเงียบไป
.
แต่เมื่อต้นสัปดาห์ เว็บไซต์ของกระทรวงข้อมูลข่าวสาร และเพจทางการของกระทรวงการโรงแรมและท่องเที่ยว พม่า ต่างออกมายืนยันแล้วว่าการก่อสร้างระเบียงกระจกที่หุบเขาก๊กเทค จะเริ่มต้นภายในเดือนนี้
.
รัฐบาลรัฐชานตั้งใจให้ระเบียงกระจกแห่งนี้ เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเมืองหนองเขียว ที่สามารถมองลงไปเห็นทัศนียภาพของหุบเขา และสะพานรถไฟข้ามหุบเขาก๊กเทคได้อย่างชัดเจน
.
บริษัทเชอรี่ หมู่เจ้ ซึ่งมีความหมายว่าต้นซากุระแห่งเมืองหมู่เจ้ จะใช้เงินลงทุนประมาณ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อสร้างระเบียงกระจกแห่งนี้ คาดว่าต้องใช้เวลาสร้าง 2 ปี หลังสร้างเสร็จจะช่วยเกื้อหนุนเศรษฐกิจของจังหวัดจ๊อกแม เพราะนอกจากดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาที่นี่แล้ว ระเบียงกระจกแห่งนี้ ต้องจ้างงานคนท้องถิ่นประมาณ 300 คน
.
หุบเขาก๊กเทคเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างเมืองปินอูลวิน เมืองตากอากาศชื่อดังของภาคมัณฑะเลย์ กับจังหวัดจ๊อกแม รัฐชาน ด้านบนของหุบเขาก๊กเทค มีสะพานก๊กเทค เป็นสะพานรถไฟที่เชื่อมการคมนาคมระหว่าง 2 ฝั่ง
.
สะพานก๊กเทคเป็นสะพานรถไฟชื่อดังและเป็นที่รู้จักของผู้ที่ชื่นชอบเดินทางท่องเที่ยวในพม่า นอกจากนี้ ยังเป็นสะพานรถไฟที่เก่าแก่และยาวที่สุดของพม่า ยาวถึง 689 เมตร สูง 102 เมตร สูงเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน และอันดับ 2 ของโลก
.
สะพานรถไฟแห่งนี้มีอายุกว่า 120 ปี เริ่มต้นสร้างในปี 2442 แล้วเสร็จปี 2443 ในสมัยที่อังกฤษปกครองดินแดนแถบนี้ มีวิศวกรชาวอังกฤษเป็นผู้ออกแบบและควบคุมงาน และวิศวกรกับบริษัทจากสหรัฐอเมริกาเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง วัสดุเพื่อใช้สร้างสะพานแห่งนี้ ส่วนใหญ่นำเข้ามาจากสหรัฐอเมริกา
.
สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบเดินทางท่องเที่ยวโดยรถไฟในพม่า ต่างต้องบรรจุสะพานก๊กเทคไว้ในเป้าหมายการท่องเที่ยวของทุกคน โดยเส้นทางท่องเที่ยวเริ่มจากสถานีย่างกุ้ง มายังมัณฑะเลย์ ต่อมาถึงปินอูลวิน ซึ่งจากจุดนี้ต้องนั่งรถไฟข้ามสะพานก๊กเทคเพื่อชมทัศนียภาพด้านล่าง จากนั้นขบวนรถไฟจะวิ่งต่อ ผ่านเมืองจ๊อกแม มีปลายทางอยู่ที่เมืองล่าเสี้ยว เมืองหลวงของรัฐชานภาคเหนือ.
.
.
https://mgronline.com/indochina/detail/9640000003482

 

เวียดนาม : หิมะที่ ซาปา สวย ❄️ อุณหภูมิยังต่ำถึงติดลบ -2 องศา

ภาพถ่าย. : Nguyen Quynh Trang Chu

 

ตุรกี : อิซเมียร์ ฝนตกหนักน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลากในคืนที่ผ่านมา
**ประเทศที่น้ำท่วมตอนนี้
ซาอุ ฯ บราซิล เซอร์เบีย ตุรกี ไทยภาคใต้ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์

 

เกาหลีใต้ : ตอนนี้น้ำตกกลายเป็นน้ำแข็ง หุบเขาน้ำแข็งชองซง
หน้าผาของเขาจูวังสวยงามมาก
# หุบเขาน้ำแข็งตั้งอยู่ในเขตชองซง Cheongsong County ของจังหวัดกย็องซังเหนือ Gyeongsangbuk-do ขับรถจากโซลไปก็จะใช้เวลาประมาณ 4 ชม

Vo Ngoc Apdunrorseet Sangman

 

การดูแลสัตว์ในช่วงน้ำค้างแข็ง หิมะตกอุณหภูมิลดต่ำลง
❄️ช่วงหิมะตก และน้ำค้างแข็งมีสัตว์ตายในเวียดนาม 1,600 ตัวรายงานในวันที่ 13 มกราคมในพื้นที่ตอนกลาง และส่วนมากตอนเหนือ แบ่งเป็น ควาย 581 ตัว วัว 594 ตัวนอกนั้นเป็น แพะ ม้า หมู และแปลงเกษตร บ่อเลี้ยงปลาเสียหาย จากอากาศเย็นจัดตัวเลขเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามอุณหภูมิที่ลดลง

ภาพ: zing tienphong baomoi และสื่ออื่นๆ

 

นอนหลับฝันดีครับ

 

#ข่าวโควิด (13 ม.ค.) วันนี้ยอดผู้เสียชีวิตรายวันทำนิวไฮที่ 97 ราย ส่วนคนอาการหนักกำลังรักษา 900 รายแล้ว ด้านผู้ป่วยสะสมทะลุ 3 แสนรายไปที่เรียบร้อย

ข่าวสำคัญที่ update ไปแล้ว
(1) ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพิ่มใน 7 จังหวัดรวม 11 จังหวัด (14 ม.ค. - 7 ก.พ.) อ่าน

(2)#มาญี่ปุ่น → กฎเข้าประเทศญี่ปุ่นและมาตรการลงโทษ 13 มกราคม 2020 อ่าน


-------------✄
#โควิด
(2) ยอดผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มวันนี้—- มีการวิเคราะห์แล้วว่า ยอดการเพิ่มอย่างรวดเร็วน่าจะเกิดจากการกลับไปกินเลี้ยงกับครอบครัวและเพื่อนฝูงที่บ้านเกิด

⚠️นิวไฮ
ยอดเพิ่มวันนี้ +5,871 ราย รวมสะสม 298,168 ราย
เสียชีวิตเพิ่ม +97 ราย รวมสะสม 4,276 ราย
คนอาการหนัก 900 ราย⚠️ (+19 ราย)
หายแล้วสะสม 229,073 ราย (+3,677 ราย)

✝️ จ. ที่มีจำนวนผู้เสียชีวิต เกิน 5 ราย
โอซาก้า / โตเกียว / คานางาวะ จังหวัดละ 13 ราย
เฮียวโกะ 11 ราย
ชิบะ/ไอจิ 9 ราย
ไซตามะ 7 ราย

จังหวัดที่เกินร้อย
โตเกียว 1,433 ราย
คานางาวะ 767 ราย
โอซาก้า 536 ราย

ชิบะ 422 ราย
ไซตามะ 392 ราย
ไอจิ 319 ราย
ฟุกุโอกะ 252 ราย
เฮียวโกะ 285 ราย
เกียวโต 145 ราย
โทจิกิ 141 ราย
ฮอกไกโด 109 ราย
✼••┈┈┈┈••✼••┈┈┈┈••✼

#ข่าวสั้น

(3) โตเกียวเพิ่ม 1,433 ราย ยอดตรวจ 2,684 ราย อาการหนัก 141 ราย Positive Rate... 53% ........ ( ;∀

(4) ผู้ว่าฟุกุโอกะดูแอบงอนที่ถูกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ขอ....

(5) ลุงสุงะพูดชื่อจ. ฟุกุโอกะ เป็น จ. ชิซุโอกะ ตอนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โดนคนแซะเพียบเลย

คนเราผิดพลาดกันได้นะคะ...( ;∀

✼••┈┈┈┈••✼••┈┈┈┈••✼

NHK　https://www3.nhk.or.jp/news/special/

#กิ๊ฟจังนั่งเล่า #ข่าวญี่ปุ่น

 

#update #มาญี่ปุ่น → กฎเข้าประเทศญี่ปุ่นและมาตรการลงโทษ update 13 มกราคม 2020

✒️ระงับ residence track ใหม่ บังคับใช้ 14 มกราคม- สิ้นสุดสถานการณ์ฉุกเฉิน (ณ ตอนนี้ 7 กุมภา)

⚠️วีซ่ารีเอนทรี่กลับเข้ามาได้ตามปรกติ มีผล PCR / กักตัว 14 วันเหมือนกัน ถ้าฝ่าฝืนโทษเหมือนกัน

- ถ้าสาธารณสุขขอดูแล้วต้องมีข้อมูลนะคะ (คนลงแอพไม่ได้ทำยังไงนี่ต้องลองถามดู อาจจะใช้วิธีบันทึกเอา)

※ในภาพเป็นแบบย่อเพื่อให้เข้าใจง่าย ตัดคำสวยงามออกนะคะ เวลาในภาพเป็นเวลาญี่ปุ่น

✒️หาเอกสารอยู่นานมากปรากฎว่าไปหลบอยู่ด้านล่าง ไม่ได้อยู่ใน link ขอบคุณชาวหลังไมค์ที่ทำให้นึกได้ว่า รัฐบาลอาจจะยังไม่ได้แก้ link ในหน้าหลัก กราบบบบ นี่รัฐเพิ่งอัพมาบนหน้าหลักตอนเที่ยงคืน

✒️ประจานอยู่ในนโยบายจริง ๆ นะคะ (￣▽￣

✒️งานยังไม่เสร็จ จำนวนโควิดรอก่อนนะคะ คงดึก ๆ เลย

เอกสารประกอบจากกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น
https://corona.go.jp/news/pdf/mizugiwataisaku_20210113_02.pdf
https://corona.go.jp/news/pdf/mizugiwataisaku_20210113_01.pdf

#กิ๊ฟจังนั่งเล่า #ข่าวญี่ปุ่น #มาญี่ปุ่น

 

แสงออโรราที่น่าทึ่ง

ถ่ายโดย Tom A. Molden เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2021 Flakstaøy, Lofoten, นอร์เวย์




รูปภาพเพิ่มเติมของ 2 วันล่าสุดในแกลเลอรี
https://spaceweathergallery.com/aurora_gallery.html