ติดตามสถานะการณ์

FOOD: บริษัทอาหารแช่แข็งยุโรป Nomad Foods ได้ร่วมกับบริษัท BlueNalu จากสหรัฐอเมริกา ผลิตอาหารซีฟู้ดที่ไม่ได้มาจากทะเล แต่มาจากห้องแล็ปแทน ตีตลาดยุโรป
.
Nomad Foods ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Reuter ว่า พวกเขาต้องการจะทำให้อาหารซีฟู๊ดที่มาจากในฟ้องแล็ปกลายเป็นสินค้าที่แพร่หลายตอบสนองความต้องการของคนที่ต้องการจะกินอาหารเหล่านี้ แต่ในขณะเดียวก็สามารถรักษาความยั่งยืนในระยะยาวได้
.
พวกเขาจึงได้ร่วมกับบริษัท BlueNalu ที่จะตีตลาดในยุโรป ที่เป็นแหล่งส่งออกอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีประชากรที่กินอาหารทะเลจำนวนมาก มากกว่าปริมาณที่ผลิต 3 เท่า
.
ซึ่ง BlueNalu เป็นบริษัทในแคลิฟอร์เนียที่เดิมผลิตอาหารจากการเพาะเลี้ยงเซลล์กล้ามเนื้อ ไขมัน และเนื้อเยื่อของปลาอยู่แล้ว พวกเขาจะเลี้ยงดูเซลล์ในห้องแล็ปและคอยให้สารอาหาร หลังจากนั้นมันก็จะเพิ่มจำนวน พร้อมที่จะมอบให้ผู้บริโภคต่อไป โดยทั้งหมดนี้ไม่ผ่านการตัดต่อทางพันธุกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น
.
ผลิตภัณฑ์ของ BlueNalu มักจะผลิตภัณฑ์ปลาที่ปกติต้องนำเข้ามา เลี้ยงยากในฟาร์ม หรือมีจำนวนน้อยลงจากการประมงเกินขนาดที่ไม่ยั่งยืน หรืออยู่ในน้ำที่ปนเปื้อนสูง
.
อย่างที่เราเห็นในภาพ ฟิชฟิงเกอร์ที่ดูน่ากิ๊น น่ากินนี้ก็เป็นผลิตภัณฑ์ของ BlueNalu เช่นกัน หลังจากความร่วมมือนี้คาดว่าอีกไม่นานชาวยุโรปจะได้กินอาหารทางเลือกแบบนี้มากขึ้นแล้ว
.
แต่ในเอเชียเราก็ไม่น้อยหน้า BlueNalu ได้ประกาศว่าจะร่วมมือกับบริษัทในเอเชียด้วยเพื่อส่งต่อวัฒนธรรมเนื้อจากห้องแล็ปต่อไป โดยจะร่วมมือกับบริษัท Pulmuone ในเกาหลี บริษัท Sumitomo และ Mitsubishi ในญี่ปุ่น และในไทยกัย Thai Union อีกด้วย
.
ถือว่าคงเป็นอีกหนึ่งโอกาสดี ๆ ที่คนไทยจะลองอาหารทะเลแบบใหม่นี้ เพราะอาหารทะเลแบบเดิมบางทีอาจได้มาด้วยวิธีที่ยังไม่ยั่งยืนพอ ถ้าจะมีทางเลือกอื่นที่จะไม่สร้างมลพิษในน้ำ สร้างปัญหาต่อประชากรปลาก็น่าจะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่เราควรลองมากเลยทีเดียว
.
ที่มา
https://www.reuters.com/.../exclusive-lab-grown-fish...

 

#ไทยมีสองราย สดุดีผู้พิทักษ์โลก รายงานเผยปี 2020 นักเคลื่อนไหวสิ่งแวดล้อม ผู้ปกป้องธรรมชาติทั่วโลก ถูกฆ่า 227 คน! ทำลายสถิติจำนวนผู้เสียชีวิตในหนึ่งปี ส่วนใหญ่เป็นผู้เคลื่อนไหวปกป้องป่า เพิ่มความกังวลปัญหาสิ่งแวดล้อม วิกฤตสภาพภูมิอากาศ
.
หลายครั้งแค่เพียงการแสดงความคิดเห็นที่ต่างหรือเพียงแค่ออกมาปกป้องสิทธิของตนเองที่ขัดแย้งกับผู้มีอิทธิพลหรืออีกฝ่ายกลับเป็นเรื่องต้องห้าม รวมถึงมีผลต่อชีวิตและทรัพย์สิน การออกความคิดเห็นเรื่องสิ่งแวดล้อมก็เช่นกัน มีนักรณรงค์อยู่จำนวนไม่น้อยเลยที่ออกมาปกป้องบ้านเกิดของตนและสิ่งแวดล้อมแต่ก็ต้องถูกฆ่าตาย
.
Global Witness เป็นองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนที่ได้ทำการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากทั่วโลก เผยรายงานพบว่าในปี 2020 มีนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมผู้ปกป้องธรรมชาติ และสิทธิในที่ดินได้เสียชีวิตไป 227 คน จำนวนนี้เป็นสถิติใหม่ที่มากที่สุดตั้งแต่บันทึกมาเร่ิมในปี 2012 โดยเฉลี่ยแล้วมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 4 รายต่อสัปดาห์จากการทำหน้าที่ปกป้องสิ่งแวดล้อม
.
รายงานชี้ว่า การถูกฆ่าส่วนใหญ่เกิดขึ้นในลาตินอเมริกา โคโลมเบียเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ที่มีผู้เสียชีวิต 65 ราย ไม่ว่าจะทำหน้าที่ปกป้องพื้นที่กลุ่มชนพื้นเมืองหรือป่า อันดับสองคือเม็กซิโก โดยส่วนใหญ่ถูกจู่โจมโดยมีความเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า มีผู้เสียชีวิตไป 30 ราย ขณะฟิลิปปินส์มีผู้เสียชีวิตกว่า 29 ราย โดยเป็นผู้ที่พยายามคัดค้านและให้ยุติการทำเหมือง การทำไม้ และโครงการสร้างเขื่อน
.
จำนวนนักเคลื่อนไหวที่เสียชีวิตทุบสถิติเป็นเรื่องที่น่ากังวล เนื่องจากปัจจุบันนี้ปัญหาสิ่งแวดล้อมยิ่งทวีคูณ โลกกำลังร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว พื้นที่ธรรมชาติมีความสำคัญอย่างมากในการช่วยเหลือด้านสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง
.
โดย 70% ของผู้ที่ถูกฆ่าเสียชีวิตเป็นนักเคลื่อนไหวปกป้องป่า จากการตัดไม้ทำลายป่า และการพัฒนาที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บและดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ที่สำคัญ ส่วนอื่นๆเป็นผู้ที่ปกป้องแม่น้ำ มหาสมุทร และระบบนิเวศริมฝั่ง
.
Chris Madden จาก Global Witness เรียกร้องให้รัฐบาลจริงจังในการปกป้องนักเคลื่อนไหว และให้ความสำคัญกับผู้คน และธรรมชาติ มากกว่าผลประโยชน์ในด้านอื่น และเตือนว่าทั้งสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง และการเสียชีวิตจะยังคงมีต่อเนื่อง
.
รายงานดังกล่าวเผยชื่อชาวไทย 2 ราย

1. นางกรรณิการ์ วงศ์ศิริ หรือกำนันเตี้ย กำนันนักพัฒนา ตำบลผาตั้ง จังหวัดหนองคาย ถูกบุกยิงเสียชีวิตคาบ้าน คาดว่าจากการที่เป็นตัวแทนช่วยเหลือชาวบ้านเจรจาเพื่อขอเส้นทางสัญจรให้ชาวบ้านกับเจ้าของที่ดิน อ่าวข่าวเพิ่มเติม https://mgronline.com/local/detail/9630000011115
2. นายคาร ไชยประเสริฐ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา จ.ลพบุรี ถูกพรานป่ายิงเสียชีวิตขณะลาดตระเวน https://www.facebook.com/environman.th/posts/2675149492613481

ที่มา

https://edition.cnn.com/.../climate.../index.html

https://www.theguardian.com/.../murdered-climate...

https://www.bbc.com/news/science-environment-58508001

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

https://www.facebook.com/environman.th/posts/2909796205815474

 

CLIMATE CHANGE: World Bank เผย สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไปอาจทำให้เกิดการย้ายถิ่นฐานภายในประเทศของผู้คนกว่า 216 ล้านคน ภายในปี 2050 ถ้ายังไม่มีการดำเนินการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ทรัพยากรน้ำและอาหารที่มีน้อยลง
.
ข้อมูลเหล่านี้มาจากรายงาน Groundswell 2.0 ของ World Bank พวกเขาได้จำลองผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นใน 6 ภูมิภาค และสรุปออกมาได้ว่า ภายในปี 2030 จะมีการย้ายถิ่นฐานมากขึ้น และจะเข้มข้นขึ้นในปี 2050 โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ผู้คนยากจนที่สุดในโลก
.
ยกตัวอย่างในเช่น ในแอฟริกาใต้สะฮาราอย่างเดียวก็จะมีผู้คนย้ายถิ่นฐานภายในประเทศของตนแล้ว 86 ล้านคน ในแอฟริกาเหนือจะมี 19 ล้านคน ในเอเชียใต้จะมี 40 ล้านคน และในเอเชียตะวันออกและในแปซิฟิกมี 49 ล้านคน
.
ซึ่งจากการเคลื่อนย้ายนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ทั้งต้นทางและปลายทาง ทำให้เมืองบางเมืองมีประชากรหนาแน่นเกิน อาจเป็นอันตราย ขัดขวางการพัฒนาได้
.
ทว่า ตัวเลขข้างบนอาจมีมากกว่านี้ เนื่องจากรายงานดังกล่าวไม่ได้นำจำนวนประชากรของประเทศที่มีรายได้สูงมากรัฐในตะวันออกกลาง และเกาะเล็ก ๆ หรือจำนวนประชากรที่อพยพไปยังประเทศอื่นมาคิดด้วย และจากสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบันอาจทำให้คนย้ายไปที่อื่นมากขึ้นด้วย
.
ผู้เขียนรายงานกล่าวถึงผลงานของพวกเขาว่า การค้นพบนี้ควรถูกมองว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนสำหรับรัฐบาลท้องถิ่น รัฐบาลกลาง และชุมชนทั่วโลก เพื่อที่ทุกภาคส่วนจะเร่งดำเนินการเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก อุดช่องโหว่ในการพัฒนา และฟื้นฟูระบบนิเวศ นักวิจัยเผยว่า ถ้าทำเช่นนี้ได้จะสามารถลดจำนวนการอพยพดังกล่าวได้ 80% เหลือแค่ 44 ล้านคน
.
รายงาน
Groundswell Part 2 : Acting on Internal Climate Migration https://openknowledge.worldbank.org/handle/10986/36248
.
ที่มา
https://www.reuters.com/.../climate-change-could-trigger.../

 

LIFE: UNESCO เตรียมประกาศ ‘ดอยเชียงดาว’ จ.เชียงใหม่ เป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑลแห่งใหม่
.
สำนักเลขาธิการคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) กำหนดจัดการประชุมสภาประสานงานระหว่างชาติว่าด้วยโครงการด้านมนุษย์และชีวมณฑล (International Co-orinating Council on the Man and the Biosphere Programme: MAB-ICC) ครั้งที่ 33 ระหว่างวันที่ 13-17 กันยายน 2564 ณ เมืองอาบูจา สาธารณรัฐไนจีเรีย
.
ในการนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์พืช จะเข้าร่วมสังเกตการณ์การประชุมดังกล่าว ผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งจะมีการพิจารณารับรองการเสนอพื้นที่สงวนชีวมณฑล แห่งใหม่ จำนวน 22 แห่ง ในวันที่ 15 กันยายน 2564 โดยมีพื้นที่ดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหนึ่งในพื้นที่ ที่จะมีการพิจารณาบรรจุในบัญชีรายชื่อพื้นที่สงวนชีวมณฑลแห่งใหม่ ของปี ค.ศ. 2021
.
โดยยกความสำคัญของพื้นที่ ประกอบด้วย สังคมพืชกึ่งอัลไพน์ ที่เชื่อมโยงกับสังคมพืชในเทือกเขาหิมาลัย ทางตอนใต้ของจีน ภูมิประเทศเขาหินปูน ภูมิปัญญาเหมืองฝาย ตัวอย่างกลไกการจ่ายแทนคุณระบบนิเวศ ในพื้นที่บ้านปางมะโอ พื้นที่แกนกลางที่ได้รับการดูแลโดยเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว มาเป็นเวลากว่า 40 ปี และศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในพื้นที่ โดยมีการจัดการผลกระทบจากการท่องเที่ยวที่เข้มข้น โดยเฉพาะเส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดดอยหลวงเชียงดาว
.
พื้นที่ดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ มีความโดดเด่นด้านภูมิทัศน์ด้วยภูเขาหินปูนโดดเด่น มีดอยหลวงเชียงดาว ซึ่งเป็นยอดเขาสูงเป็นอันดับสาม ของประเทศไทย เป็นส่วนหนึ่งของลุ่มน้ำปิงตอนบน โดยมีทั้งระบบนิเวศดั้งเดิมที่ได้รับการปกปักษ์รักษามาอย่างยาวนาน และพื้นที่ที่ได้รับการฟื้นฟูให้คืนความสมบูรณ์ของระบบนิเวศป่าไม้ มาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 40 ปี เป็นแหล่งอาศัยที่ปลอดภัยของสัตว์ป่าสงวน ได้แก่ กวางผา และเลียงผา รวมถึงสัตว์ป่าคุ้มครองอีกหลายชนิด และมีความเป็นไปได้สูงที่จะค้นพบพืชและสัตว์ชนิดพันธุ์ใหม่ของโลกได้ และมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม อาทิ วัฒนธรรมของชาวไทยใหญ่ ม้ง มูเซอ ลีซอ ปกากะญอ และวัฒนธรรมล้านนา ซึ่งแต่ละกลุ่มสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ พื้นที่ดอยเชียงดาว มีความพร้อมที่เอื้อต่อการวิจัยในพื้นที่ เนื่องจากมีสถานีวิจัยในพื้นที่ โดยเฉพาะด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวมีประสบการณ์โดดเด่นในการจัดการพื้นที่คุ้มครองเพื่ออนุรักษ์สัตว์ป่า โดยเฉพาะความสำเร็จในการอนุรักษ์กวางผาในถิ่นที่อยู่ นอกจากนี้ ในพื้นที่ยังมีสถานีวิจัยต้นน้ำ และสถานีวิจัยเกษตรพื้นที่สูง
.
ในส่วนของการจัดการเชิงพื้นที่ พื้นที่ดอยเชียงดาว มีพื้นที่รวม 85,909.04 เฮกแตร์ (536,931 ไร่) ซึ่งเป็นการกำหนดเขตเพื่อการส่งเสริมให้เกิดการจัดการที่ยั่งยืน โดยไม่กระทบกับการบังคับใช้กฎหมายและการปกครองที่มีอยู่ พื้นที่แกนกลางและพื้นที่กันชนจัดการโดยใช้ พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มีคณะกรรมการที่ปรึกษาเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว ในส่วนของพื้นที่รอบนอก การบริหารจัดการจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของส่วนราชการภูมิภาคและท้องถิ่น ที่ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิต และการทำงานอย่างมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนที่จะเป็นประโยชน์และสอดคล้องกับการพัฒนาพื้นที่สงวนชีวมณฑลในอนาคต
.
การจัดตั้งพื้นที่สงวนชีวมณฑล คาดว่าจะเกิดประโยชน์ต่อชุมชนท้องถิ่น หลายด้าน อาทิ การถ่ายทอดความรู้ด้านธรรมชาติและวัฒนธรรม การส่งเสริมการพัฒนาการให้บริการที่เป็นมืออาชีพทั้งด้านการท่องเที่ยว และการศึกษาธรรมชาติ การเพิ่มช่องทางการตลาดของสินค้า ผลิตภัณฑ์และการบริการที่ผลิตในพื้นที่นำเสนอ ด้วยการควบคุมคุณภาพของสินค้าภายใต้การเป็นแหล่งสงวนชีวมณฑล การรักษาสภาพแวดล้อมที่ดี และความอุดมสมบูรณ์ไว้ให้ประชาชน เกิดการบูรณาการกิจกรรมของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ตอบสนองเป้าหมายร่วม ทำให้พื้นที่เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน การอนุรักษ์ระบบนิเวศ การพัฒนาสังคม เศรษฐกิจของชุมชน และการถ่ายทอดความรู้และวิทยาการต่าง ๆ ไปยังเครือข่ายพื้นที่สงวนชีวมณฑลอื่น ๆ ทั่วโลก และ เป็นความภาคภูมิใจในถิ่นฐานที่ได้รับความสำคัญในระดับสากล
.
ที่มา

http://news.dnp.go.th/news/6719

https://www.facebook.com/1608062546175314/posts/2929932187321670/?d=n

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

https://www.facebook.com/environman.th/posts/2799282126866883

 

ไทยพีบีเอส สำรวจเสาไฟที่ติดตั้งด้วยระบบพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ โซลาเซลล์ ที่บ้านเหนือ ต.ลำพะยา อ.เมืองยะลา ตามโครงการติดตั้งเสาไฟและโคมไฟส่องสว่างพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ เสาไฟโซลาร์เซลล์ ในความรับผิดชอบของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. พบว่า มีการติดตั้งในหมู่บ้าน 6 ต้น แต่ใช้งานไม่ได้เลยแม้แต่ต้นเดียว สภาพปัจจุบันสายไฟขาด เสาไฟบางต้นหลอดไฟก็สูญหาย ซึ่งสภาพเช่นนี้เกิดขึ้นกับเสาไฟโซลาเซลล์อีกมากกว่าร้อยละ 70 ในโครงการนี้ที่ได้ดำเนินการติดตั้งไปแล้วกว่า 14,000 จุด งบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท ที่ชำรุด บางส่วนถูกขโมย

โดยล่าสุด จากข้อมูลของ “ทีมข่าวอิศรา” ซึ่งอ้างอิง คำสัมภาษณ์ของนายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถึงความคืบหน้าคดี พบว่า คณะกรรมการไต่สวนมีมติชี้มูลความผิด นายพิทยา รัตนพันธ์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ศอ.บต. ผู้รับผิดชอบโครงการติดตั้งเสาไฟโซลาร์เซลล์ และภรรยา กรณีมีพยานหลักฐานการเรียกรับสินบนจากบริษัทผู้รับเหมาในโครงการแล้ว
#ThaiPBSศูนย์ข่าวภาคใต้

 

ตำรวจท่องเที่ยวกระบี่ เร่งค้นหาผู้จัดการโรงแรมดังเกาะพีพี หายตัวปริศนานาน 2 วัน แกะรอยกล้องวงจรปิด พบไปตามหน้าหาด อ่าวแหลมตง ก่อนติดต่อไม่ได้

อ่านต่อ https://news.thaipbs.or.th/content/307885 #ThaiPBS

 

#news1feed ชายคนหนึ่งก่อเหตุถีบเข้าที่หน้าอกผู้หญิงจนร่วงตกบันได้เลื่อนของสถานีรถไฟใต้ดินแห่งหนึ่งในเขตบรูคลิน รัฐนิวยอร์ก สหรัฐฯ หลังจากเธอขอให้ชายคนดังกล่าวเอ่ยปากขอโทษที่เดินเบียดแทรกเธอขึ้นบันไดเลื่อน

อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9640000091006
………………………………

 

#news1feed ในเดือนสิงหาคม ผู้ติดเชื้อโควิดในญี่ปุ่นที่รักษาตัวที่บ้านเสียชีวิตมากถึง 250 ราย เพิ่มขึ้นถึง 8 เท่าตัวจากเดือนก่อนหน้า และเป็นสถิติรายเดือนสูงสุด

อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9640000090998
………………………………

 

ความกร่างเป็นเหตุสังเกตได้ ชาวเน็ตแห่คอมเมนต์จี้ ภาควิชาพฤกษศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เกี่ยวกับการพิจารณาพฤติกรรมของแอดมินกลุ่มบุฟเฟต์ในเฟซบุ๊ก หลังขู่กินบุฟเฟ่ต์ฟรี พบเป็นถึง ดร.กำลังจะได้ทุนไปทำงานวิจัยที่ต่างประเทศ ชาวเน็ตร้อง ถอนทุนคืนชี้มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
•
คลิกอ่านรายละเอียด >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000091129
•
#MGROnline #แอดมินคนรักบุฟเฟ่ต์ #ถอนทุนไปต่างประเทศ #กร่างเป็นเหตุ
•
อีกช่องทางติดตาม MGROnline Live เพิ่มเติม
IG : https://in...

 

หญิงวัย 44 ชาวบ้านหนองโดน อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ แทบช็อกตื่นมาเจอสุนัขและไก่ที่เลี้ยงไว้ถูกคนใจร้ายอำมหิตลอบวางยาเบื่อนอนตายเกลื่อนวันเดียวกว่า 50 ตัว เชื่อฝีมือเจ้าของไร่มันใกล้เคียง เผยไม่แจ้งความเชื่อเวรกรรมมีจริงใครทำอะไรไว้ต้องได้รับผลกรรม
.
คลิกอ่านข่าว>> https://mgronline.com/local/detail/9640000091278
.
#MGROnline
.

 

อินเดีย : รัฐ คุชราฏ (Gujarat)
น้ำท่วมหนักติดต่อกันเป็นวันที่ 2
เสียชีวิต 3 คน 6,000 คนอพยพ
ฝนตกหนักปริมาณน้ำฝน 516 มิลลิเมตร / ภายใน 24 ชั่วโมง

 

1 ตุลาคมนี้ จังหวัดสมุทรสาครเตรียมฉีดบูสเตอร์เข็ม 3 ให้กับประชาชนทั่วไปที่ฉีดซิโนแวคไปแล้ว 2 เข็ม รวมทั้งผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งเคยได้รับวัคซีนไปเพียง 1 เข็ม และไม่เคยได้รับวัคซีนเลย จะฉีดกระตุ้นภูมิให้เช่นกัน ส่วนขั้นตอนการรับวัคซีนนั้น จะมีการประชาสัมพันธ์ให้ทราบล่วงหน้าอีกครั้ง

 

ทนายเผย ‘ซูจี’ กลับมาขึ้นศาลได้อีกครั้งหลังอาการดีขึ้น เหลือแค่เวียนหัวเล็กน้อย
.
รอยเตอร์ 14 ก.ย. - อองซานซูจีกลับมาขึ้นศาลในวันนี้ (14) หนึ่งวันหลังจากเธอไม่มาปรากฎตัวที่ศาลเพราะไม่สบาย และถึงแม้ว่าซูจีจะดูมีอาการดีขึ้นแต่ทนายความของเธอระบุว่าซูจียังมีอาการเวียนหัวอยู่เล็กน้อย
.
สุขภาพของซูจี ในวัย 76 ปี ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยซูจีนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีในหลายข้อหา นับตั้งแต่เธอถูกโค่นล้มจากอำนาจในการรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 ก.พ.
.
ซูจีไม่สามารถมาขึ้นศาลได้ตามกำหนดเมื่อวันจันทร์ (13) เนื่องจากมีอาการวิงเวียนศีรษะและง่วงซึม ซึ่งทีมฝ่ายกฎหมายของเธอกล่าวว่าเกิดจากอาการเมารถขณะเดินทางมาขึ้นศาลจากสถานที่ที่ไม่เปิดเผยซึ่งเธอถูกควบคุมตัวอยู่
.
“อาการของดอว์อองซานซูจีดูดีขึ้น แต่เธอกล่าวว่าเธอยังรู้สึกเวียนศีรษะอยู่บ้าง” ขิ่น หม่อง ซอ หัวหน้าทนายความของซูจี กล่าวผ่านทางข้อความ
.
ผู้ชนะรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพผู้นี้ถูกกล่าวหาหลายข้อหา ที่รวมถึงการละเมิดมาตรการเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ การครอบครองวิทยุสื่อสารอย่างผิดกฎหมาย การรับสินบนเป็นเงินสดและทองคำ การปลุกปั่นให้ประชาชนตื่นตระหนก และละเมิดกฎหมายความลับราชการ ซึ่งทนายความของเธอได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านั้น
.
คดีต่างๆ อยู่ระหว่างการดำเนินการของศาลในนครย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ และกรุงเนปีดอ ที่พันธมิตรบางคนของเธอเกรงว่าคดีเหล่านี้อาจผูกมัดเธอไว้กับกระบวนการทางกฎหมายไปอีกนานหลายปี
.
เศรษฐกิจและการเมืองของพม่ากลายเป็นอัมพาตหลังจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของอองซานซูจีถูกโค่นล้ม ที่ก่อให้เกิดการต่อต้านจากประชาชนทั่วประเทศ ทั้งการชุมนุมประท้วงและความรุนแรงตามพื้นที่ชนบทและในเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศ
.
ความพยายามทางการทูตที่จะแก้ไขวิกฤตมีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อย ขณะที่ผู้ภักดีของซูจีหลายคนถูกจับกุม บางส่วนหลบหนีซ่อนตัวหรือเข้าร่วมในรัฐบาลเงาที่ออกมาเรียกร้องให้ประชาชนก่อจลาจล.

 

ฟิลิปปินส์ปรับแนวทางการควบคุมการระบาดของโควิด
.
มะนิลา 14 ก.ย. – กรุงมะนิลา นครหลวงของฟิลิปปินส์ จะสิ้นสุดการใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างกว้างขวางในวันพฤหัสบดีนี้ ในขณะที่รัฐบาลริเริ่มการทดลองนำร่องการล็อกดาวน์เฉพาะพื้นที่ในท้องถิ่น ซึ่งเป็นความพยายามในการสร้างสมดุลระหว่างการเปิดเศรษฐกิจและควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 2019
.
เจ้าหน้าที่รัฐบาลฟิลิปปินส์กล่าวว่า การล็อกดาวน์เฉพาะพื้นที่ในท้องถิ่นจะประกอบไปด้วยการจัดลำดับการเตือนภัย 5 อันดับ กำหนดระดับธุรกิจที่ได้รับอนุญาตให้เปิดทำการ รวมถึงกิจกรรมเป้าหมายสำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้ว
.
หากแนวทางนี้ประสบความสำเร็จ ก็จะนำไปใช้ทั่วประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศหนึ่งในเอเชียที่ได้รับผลกระทบอย่างรนแรงจากการระบาดของโควิด-19 การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลฟิลิปปินส์ จะเป็นการปูทางสำหรับการเปิดโรงเรียนให้นักเรียนได้เข้าชั้นเรียนอีกครั้งและเปิดสถานบันเทิงในร่มต่างๆ ในพื้นที่ที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสต่ำและมีเตียงว่างในโรงพยาบาลมากเพียงพอ ตั้งแต่วันพฤหัสบดีนี้เป็นต้นไป
.
ระดับการเตือนภัยจะมีการเปลี่ยนแปลงในเขตเมโทร มะนิลา โดยจะอนุญาตให้รับประทานอาหารในร้านได้ร้อยละ 30 ของความจุของภัตตาคาร และสามารถรับประทานอาหารเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ได้ สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว การประกอบพิธีทางศาสนาก็สามารถดำเนินการได้ภายใต้ข้อจำกัดไม่เกินร้อยละ 30 ของความจุของสถานที่.

 

ญี่ปุ่นจะบริจาควัคซีนโควิดให้ประเทศในเอเชียรวมไทย
.
โตเกียว 14 ก.ย. – ญี่ปุ่นเผยวันนี้ว่า จะบริจาควัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ของแอสตราเซเนกาเพิ่มเติมอีก 1.3 ล้านโดสให้ประเทศเพื่อนบ้านในทวีปเอเชีย รวมถึงประเทศไทยด้วย
.
นายโตชิมิตสึ โมเตกิ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของญี่ปุ่นระบุว่า ญี่ปุ่นจะบริจาควัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของแอสตราเซเนกา 1.3 ล้านโดสให้ประเทศเพื่อนบ้านในทวีปเอเชีย ในจำนวนนี้ จะส่งให้ประเทศไทย 300,000 โดส ให้เวียดนาม 400,000 โดส และ 100,000 โดสให้บรูไน ส่วนไต้หวันจะได้รับวัคซีนเพิ่มอีก 500,000 โดส ทำให้ยอดวัคซีนที่ญี่ปุ่นบริจาคให้ไต้หวันรวมแล้วอยู่ที่ 3.9 ล้านโดส โดยจะจัดส่งวัคซีนดังกล่าวไปยังประเทศต่าง ๆ โดยเร็วที่สุด
.
ทั้งยังระบุว่า ญี่ปุ่นได้บริจาควัคซีนของแอสตราเซเนกาที่ผลิตในประเทศกว่า 23 ล้านโดสให้ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียใต้และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้ให้คำมั่นว่าจะบริจาคเงิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 33,000 ล้านบาท) และวัคซีนป้องกันโรคโควิด 30 ล้านโดสให้แก่โครงการโคแวกซ์ขององค์การอนามัยโลก
.
ขณะนี้ ญี่ปุ่นฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิดครบสองโดสให้แก่ประชาชนร้อยละ 50 จากประชากรทั้งหมด 126 ล้านคนนับถึงวันจันทร์ โดยใช้วัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นา ซึ่งเป็นวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA) เป็นวัคซีนหลัก ทำให้ต้องนำวัคซีนของแอสตราเซเนกาที่มีอยู่มาบริจาคให้ประเทศต่าง ๆ ทั้งนี้ ญี่ปุ่นมียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมกว่า 1.6 ล้านคน และผู้เสียชีวิตกว่า 16,000 คน.





สำนักข่าวอาเซียน

 

สุดอึ้ง! ตำรวจเวียดนามพบ 15 คนซุกท้ายรถบรรทุกห้องเย็นลอบหนีออกจากพื้นที่โควิดระบาด
.
เอเอฟพี. 14 ก.ย. - สื่อทางการของเวียดนามรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตรวจพบกลุ่มคนทั้งหมด 15 คน รวมทั้งเด็กชายอายุ 7 ขวบ อยู่ภายในรถบรรทุกห้องเย็น ที่พวกเขาพยายามหลบหนีออกจากพื้นที่ทางภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดของโควิด-19
.
เวียดนามกำลังต่อสู้กับการระบาดระลอกที่ 4 ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือน เม.ย. ที่ประชาชนหลายสิบล้านคนต้องอยู่ภายใต้คำสั่งอยู่กับบ้าน และห้ามการเดินทางภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่
.
เมื่อวันอาทิตย์ (12) ตำรวจใน จ.บิ่งทวน พบกลุ่มคนทั้งหมด 15 คน ภายในรถคันหนึ่งที่มีลักษณะน่าสงสัย เนื่องจากพยายามที่จะผ่านด่านตรวจโควิด-19 ในเส้นทางขึ้นเหนือ หนังสือพิมพ์ออนไลน์ฟ้าบลวตของนครโฮจิมินห์ระบุ
.
“ตำรวจรู้สึกประหลาดใจมากที่เห็นคน 15 คน อยู่ที่ด้านหลังรถบรรทุก บางคนเหงื่อออกและมีอาการหายใจลำบาก” รายงานระบุ และเสริมว่า ผู้โดยสารเหล่านั้นมีใบรับรองผลตรวจโควิด-19 เป็นลบ
.
ผู้โดยสารรายหนึ่งกล่าวว่า พวกเขาได้ขอให้คนขับรถปิดระบบทำความเย็นของรถบรรทุกเนื่องจากหนาวเย็นเกินไป
.
“เรารู้ว่ามีความเสี่ยงสูงและอันตรายมากที่อยู่ในรถบรรทุกแช่แข็งที่ถูกปิดเช่นนี้ แต่เราจะเสี่ยงยิ่งขึ้นหากเราติดเชื้อโควิด” รายงานอ้างคำกล่าวของชายคนหนึ่งที่เดินทางพร้อมกับลูกชายอายุ 7 ปี
.
รายงานยังระบุว่า กลุ่มคนเหล่านี้เดินทางมาได้หลายสิบกิโลเมตรในรถบรรทุกปิดสนิทจาก จ.ด่งนาย ที่อยู่ทางภาคใต้ ที่เป็นพื้นที่อุตสาหกรรมที่มีผู้ป่วยติดเชื้อมากกว่า 35,000 คน และมีผู้เสียชีวิต 320 คน
.
จ.ด่งนาย อยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ ตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค. และตั้งโรงพยาบาลชั่วคราวเพื่อรักษาผู้ป่วยติดเชื้อหลายหมื่นคน
.
ส่วนคนที่อยู่ในรถบรรทุกพยายามที่จะเดินทางไปให้ถึงบ้านของพวกเขาในภาคกลาง
.
เวียดนามระงับการคมนาคมขนส่งทั้งทางบกและทางอากาศที่เชื่อมกับภาคใต้ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการระบาดของโควิด-19 ครั้งรุนแรงที่สุดของประเทศจนถึงขณะนี้
.
เวียดนามมีผู้ป่วยติดเชื้อยืนยันสะสมมากกว่า 610,000 คน และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 11,400 คน.

 

นักเรียนชั้น ม.6 จาก Delia Memorial School (Hip Wo) เริ่มเรียนเต็มวันที่แรก

นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา 6 คนของ Delia Memorial School (Hip Wo) ย่าน Kwun Tong เป็นโรงเรียนแห่งแรกในฮ่องกงที่กลับมาเรียนแบบตัวต่อตัวแบบเต็มวัน เมื่อวานนี้

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลฮ่องกง ได้ออกมาประกาศว่าโรงเรียนที่มีอัตราการฉีดวัคซีน สำหรับครูและนักเรียน 70% ขึ้นไป สามารถกลับมาเรียนแบบตัวต่อตัวได้อย่างเต็มรูปแบบ

Lam Yim-ling ครูใหญ่ของโรงเรียน ได้เผยว่ารู้สึกดีใจที่ได้เห็นนักเรียนกลับไปใช้ชีวิตตามตารางเรียนตามปกติ “สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พวกเขาไม่ได้สนุกกับชีวิตในโรงเรียนเลยตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19” Lam กล่าว

เธอยังเสริมว่าหลังจากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ได้เริ่มกลับมาเรียนเต็มวันแล้ว โรงเรียนจะค่อยๆ อนุญาตให้นักเรียนจากระดับชั้นอื่นๆ เข้าเรียนเต็มวันได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม Lam เน้นย้ำว่าโรงเรียนยังคงต้องมาตรการในการให้นักเรียนรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเรียน โดยขณะนี้โรงเรียนมีที่นั่งสำหรับนักเรียนเพียง 130 ที่นั่งเท่านั้น

***ติดตามกระทู้ปักหมุดการแจกรางวัลผู้ฉีดวัคซีนในฮ่องกงได้ที่ https://www.facebook.com/119537452088669/posts/822391965136544/?d=n

***ข้อมูลการฉีดวัคซีนโควิดในฮ่องกง https://www.covidvaccine.gov.hk/en/

Source: https://www.thestandard.com.hk/.../Students-of-Kwun-Tong...?

#ข่าวฮ่องกง #khaohongkong

 

นอนหลับฝันดีครับ

ตำรวจคุมตัว นร.หญิงวัย 17 ปี ร.ร.ดังควงมีดปล้นร้านทองในห้างย่านรัตนาธิเบศร์ ก่อนเตรียมสำนวนส่งฟ้องศาลเยาวชน เผยสาเหตุลงมือ แม่ทวงเงินค่าประกันชีวิตพ่อ 50,000 บาท แต่เจ้าตัวนำไปเล่นแชร์ออมเงินออนไลน์ ก่อนถูกโกงจนหมด จึงตัดสิ้นใจลงมือ
.
คลิกอ่านข่าว>> https://mgronline.com/crime/detail/9640000090695
.
#MGROnline #นักเรียนจี้ร้านทอง

 

#Evergrande_อสังหายักษ์ใหญ่ของจีนวิกฤติหนัก
#นักลงทุนนับร้อยแห่ทวงเงินถึงสำนักงานใหญ่

บริษัทอสังหายักษ์ใหญ่ระดับประเทศของจีน เจอแรงกดดันหนักหนาสาหัสอีกครั้ง เมื่อบรรดานักลงทุนรายย่อย น้อยใหญ่นับร้อยๆคน นัดรวมตัวกันมาประท้วงถึงหน้าอาคารสำนักงานใหญ่ของบริษัท Evergrande ที่เมืองเสิ่นเจิ้น เพื่อทวงเงินที่พวกเขาได้ร่วมลงทุนไป เมื่อวันจันทร์ที่ 13 กันยายนผ่านมา

และสร้างแรงสะเทือนแรงถึงตลาดหุ้นของบริษัทในตลาดฮ่องกง ติดลบทันทีถึง 12% ภายในเวลาชั่วข้ามวัน และหากประเมินมูลค่าหุ้นในรอบ 6 เดือนของบริษัท ก็ตกไปแล้วถึง 80% ทีเดียว

Evergrande นอกจากจะเป็นบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ระดับประเทศของจีน ที่รับผิดชอบโครงการก่อสร้างมากกว่า 1,300 โปรเจค ใน 280 เมืองทั่วประเทศแล้ว ก็มีชื่อเสียงว่าเป็นบริษัทที่มีหนี้สินมากที่สุดในโลก ด้วยภาระหนี้สินที่บริษัทแบกอยู่ถึง 3 แสนล้านดอลลาร์ มากกว่า GDP ทั้งปีของบางประเทศเสียอีก

แต่สิ่งที่กดดันบริษัทอย่างหนักพอๆกับหนี้สินก้อนมหึมาก็คือยอดขายอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างไว้ กลับไม่สามารถปล่อยขายได้ไวดังที่ตั้งใจ

และเมื่อรายรับฝืด แต่รายจ่ายยังคงมหาศาล ซึ่งทุนส่วนใหญ่ก็มาจากการกู้ยืมที่มีดอกเบี้ยสูงเสียด้วย ย่อมทำให้สภาพคล่อง กระแสเงินสดหมุนเวียนในบริษัทมีปัญหา จึงส่งผลถึงตราสารหนี้ของบริษัทก็ถูกปรับระดับลดความน่าเชื่อถือลงจนน่าวิตก

เช่น Fitch ได้ปรับลดระดับความน่าเชื่อถือของบริษัทจาก B ลงมาเหลือแค่ CCC+ ส่วน S&P ก็ได้ลดระดับ Evergrande จาก B เหลือ B- เช่นกัน และบริษัทประเมินความน่าเชื่อถืออื่นๆ ได้แสดงความวิตกกังวลว่า บริษัทจีนบางแห่งที่มีหนี้สูงมากอย่าง Evergrande อาจส่งผลให้มูลค่าตราสารหนี้บางตัวของเอเชียถูกลดความน่าเชื่อถือลงไปด้วย จนมีความเสี่ยงสูงไม่ต่างจากตราสารหนี้ขยะ

นั่นจึงเป็นเหตุผลให้มีนักลงทุนจีนนับร้อย นัดกันไปประท้วงถึงอาคารสำนักงานใหญ่ เพื่อทวงเงินที่พวกเขาลงทุนไปกับ Evergrande คืน และพร้อมใจกันตะโกนให้ "คืนเงิน คืนเงิน" เสียงดังไปทั้งตึก

นักลงทุนรายหนึ่งเปิดใจว่า เขาเป็นห่วงว่าเงินที่ได้ลงทุนกับบริษัทอาจสูญ และหากบริษัทเกิดล้มขึ้นมาจริงๆ เอาทรัพย์สินที่มีตอนนี้ขายทอดตลาด ก็ไม่รู้จะพอจ่ายคืนนักลงทุนหรือเปล่า

แต่ทั้งนี้ทางฝั่งผู้บริหารก็กล่าวโทษว่า สื่อตีข่าวร้ายของบริษัทเกินจริงไปมากๆ ยอดขายของบริษัทยังดี ถึงจะช้าไปหน่อยก็เถอะ แต่ขอให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าบริษัทจะไม่ล้มแน่ๆ มีเงินจ่ายคืนทุกคนแน่นอน

ที่ผู้บริหาร Evergrande ยังคงมั่นใจ อาจเป็นเพราะเชื่อมั่นว่า ยังไงรัฐบาลจีนก็ต้องมาอุ้ม ไม่ปล่อยให้บริษัทยักษ์ใหญ่ระดัยประเทศล้มอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นภาคธุกิจอื่นๆอาจล้มครืนตามไปด้วยเป็นโดมิโน่ก็ได้

แต่ถ้าเกิดรัฐบาลจีนตัดใจไม่อุ้ม หรืออุ้มไม่ไหวเพราะหนี้สูงเกินไป ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดฟองสบู่ระเบิด (แค่แตกคงไม่พอ งานนี้ต้องระเบิดจริงๆ) ครั้งใหญ่ในจีน ที่อาจลามไปทั้งภูมิภาคก็เป็นได้

แหล่งข้อมูล

https://www.theguardian.com/world/2...e-admits-debt-crisis-as-protesters-besiege-hq

https://www.bbc.com/news/business-58540939

https://www.straitstimes.com/asia/e...ty-giant-evergrande-faces-tremendous-pressure

https://www.cnbc.com/2021/07/29/fit...ande-amid-concerns-over-asian-junk-bonds.html

 

15.09.21

ระบบการนับคะแนนเสียง - จำนวนที่นั่งในรัฐสภา แต่ละพรรค มีกี่ที่นั่ง

การแจกจ่ายที่นั่งใน รัฐสภา แยกตามสี

1.Høyre และ Arbeiderpartiet สองพรรคใหญ่แห่งนอร์เวย์ ทั้ง 2 พรรคได้รับคะแนนเสียงน้อยที่สุดในรอบ 15 ปี แม้ว่า AP จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ก็ตาม

2.พรรค Patient Focus ที่มากับเป้าหมายเพื่อผลักดันให้สร้างโรงพยาบาลใหม่ รวมถึงการบริการผู้ป่วยที่ดีกว่า กลายเป็นม้ามืดมาแรงแซงทางโค้ง จากการชนะคะแนนในเขต Finnmark แบบขาดลอย ได้ที่นั่งในรัฐสภาไป 1 ที่นั่งถ้วน

3.ส่วน 3 พรรค SV MDG Rødt สร้างปรากฏการณ์กวาดที่นั่งมากมายใน รัฐสภาแบบพลิกโผ - และแน่นอน หาก Arbeiderpartiet ต้องการตั้ง รัฐบาล นั้นก็จำเป็นต้องขอความร่วมมือจาก 3 พรรค อย่างเลี่ยงไม่ได้

*ก่อนหน้านี้ Jonas Gahr Støre เคยพูดในรายการ Debatten /NRK รอบสุดท้ายก่อนเลือกตั้งว่า ไม่ต้องการ MDG Rødt มาเป็นรัฐบาล เนื่องจากอุดมการณ์ทางการเมืองต่างกันเกินไป ซึ่งเป็นเรื่องน่าคิดว่าหลังจากนี้จะทำอย่างไรต่อไป 2 พรรค เขียว-แดง จะยอมใจอ่อนเข้าร่วมรัฐบาล หรือจะเป็นตัวของตัวเอง say NO พร้อมสะบัดหน้าฉันไม่แคร์?

ส่วน SV ก็ประกาศชัดเจนว่าไม่ขอร่วมเป็นรัฐบาลกับ SP เนื่องจาก อุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน เรียกได้ว่า 2 สิงห์ไม่อาจอยู่ถ้ำเดียวกันได้ แล้ว Støre จะทำอย่างไรให้ทุกคนยอมตั้ง รัฐบาล ร่วมกัน ถือเป็นงานหนัก-ปาดเหงื่องานแรกสำหรับ ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนต่อไปของประเทศ นอร์เวย์ เลยทีเดียว

4.ส่วนพรรคที่ได้คะแนนโหวตมากที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้คือ Arbeiderpartiet Senterpartiet และ SV

- พรรค AP เป็นพรรคที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุดถึง 26.4 % นั้นหมายความว่า Jonas Gahr Støre หัวหน้าพรรค AP กลายเป็นนายกรัฐมนตรี คนต่อไปของ ประเทศนอร์เวย์ แล้วอย่างแน่นอน จนกว่าจะครบวาระในอีก 4 ปี ข้างหน้า

แต่....

- นี่เป็นคะแนนที่ต่ำที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ของพรรค AP ในรอบเกือบ 100 ปีตั้งแต่ก่อตั้งพรรคมาเลยทีเดียว

5.ส่วน พรรค Senterpartiet กลับเติบโตและได้รับความนิยมแบบก้าวกระโดด ในปี 2017 พรรคฯ ได้รับคะแนนโหวต 3.3% แต่ในปีนี้ พรรคได้คะแนนโหวตทั้งหมด มากถึง 13.6% กลายเป็นอีกพรรคที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้

6.พรรค SV ตามหลังมาติดๆ แบบหายใจรดต้นคอ ได้ คะแนนเสียงไปทั้งหมด 7.5% พรรคได้รับคะแนนนิยมมากขึ้นจากการเลือกตั้งครั้งก่อนเช่นกัน แม้ว่าผลรวมของคะแนนหลังจากการนับจบแล้ว จะต่ำกว่า คะแนนจากแบบสำรวจที่ดีที่สุดที่พรรคเคยทำไว้ในช่วงการหาเสียงก็ตาม

7.อีกหนึ่งม้ามืด ที่ไม่หลุดจากโผมากนักแต่ก็สร้างความฮือฮาได้ นั่นคือ Venstre ที่ไล่ตาม 3 พรรคในข้อ 4 มาติดๆๆ แบบเส้นยาแดงผ่าแปดพ้น 4% มาแบบ อิหยังวะ! ได้คะแนนเสียงโหวตไปทั้งหมด 4.8% จึงได้ไปต่อใน ฐานะ รัฐบาลขวา - ฝ่ายค้าน

8.สำหรับ MDG จากการสำรวจความคิดเห็นก่อนการเลือกตั้ง MDG นั้นผลออกมาดีมากและมั่นใจว่าจะได้คะแนนเสียงเกินพอแน่นอน แต่หลังจากสิ้นสุดการนับคะแนน ก็จบลงด้วยคะแนนเสียง 3.8% ขาดคะแนนเสียงอีกเพียง 5,000 เสียง เท่านั้นที่จะพ้นระดับ 4% และได้ที่นั่งเพิ่มใน รัฐสภา ทำให้ตอนนี้ MDG มีที่นั่งใน รัฐสภา 3 ที่นั่งถ้วน

- กว่า 40% ของผู้ที่โหวตให้ MDG มาจาก 3 เมืองใหญ่ของนอร์เวย์ คือ ออสโล เบอร์เกน ทรอนด์เฮม

9.กลับมาที่ Rødt เป็นครั้งแรกที่พรรค ได้คะแนนเสียงโหวตท่วมท้น มากถึง 4.7% ทำให้ได้ที่นั่งเพิ่มในรัฐสภา เพิ่มขึ้นมากถึง 7 ที่นั่ง จากเดิมที่มีแค่หัวหน้าพรรค Bjørnar Moxnes เป็นผู้แทนของพรรคฯ เข้าไปนั่งอยู่ใน รัฐสภา เพียงคนเดียวมาตั้งแต่ปี 2017 (ไม่เหงาแล้วจ้า☺)

- และเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่ 1 ใน 3 ของ ผู้แทนฯ ที่ชนะการเลือกตั้ง ทั้ง 7 คนนั้นมาจากนอกเขต เมืองออสโล ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของ พรรคฯเลยก็ว่าได้

10.ถือว่าเป็นยุคมืดของ Høyre เลยก็ว่าได้ โดยได้รับคะแนนเสียงเพียง 20.5% เมื่อเทียบกับผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา คะแนนเสียงลดลงถึง 4.6%

11.ทางด้าน คู่รัก-คู่แค้น อย่าง FRP ก็ไม่น้อยหน้า ได้คะแนนเสียงไปทั้งสิ้น 11.7% ถือเป็น คะแนนเสียงที่ต่ำที่สุดในรอบ 28 ปี ของพรรคเช่นกัน

- หลังจากที่ประกาศผลเลือกตั้ง Sylvi Listhaug หัวหน้าพรรค FrP กล่าวปราศัย-ใจเจ็บจี๊ดโดนใจว่า

- #ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของพลเมืองนอร์เวย์ นำไปสู่การเปลี่ยนรัฐบาล - และนี่คือโทษของการที่ Venstre และ Krf เข้าเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ในช่วงระหว่างในปี 2013-2017 ที่แต่เดิมแล้ว พรรค Høyre และ Frp ทำได้ดีมาตลอด ตอนนี้ฉันหวังว่า "พวกHøyre" จะได้บทเรียน สิ่งที่ดีที่สุดคือ Høyre และ Frp จะต้องรวมตัวกัน และนั่นคือสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญในอนาคต เพื่อใน อีก 4 ปี เราจะกลับมาทวงที่ของเราคืนอย่างแน่นอน!

12.ส่วน KrF นั้น ต้องอกหักซ้ำสอง หลังจากคดีของหัวหน้าพรรค - "เขาอายุ 35 แต่เขายังอาศัยอยู่กับพ่อแม่" อันลือลั่น พรรค ได้คะแนนเสียงไปทั้งหมด 3.8 % พรรคฯ ขาดคะแนนเสียงอีกเพียง 6,000 เสียงเท่านั้นก็จะถึง 4% และได้คะแนนเสียงน้อยกว่าการเลือกตั้งครั้งก่อนอย่างมาก ทำให้ ที่นั่งเดิมใน รัฐสภา 8 ที่นั่งที่เคยมีอยู่ตอนนี้เหลือเพียง 3 ที่นั่งเท่านั้น

- จากเหตุการณ์นี้ ทำให้ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม knut arild hareide นักการเมืองคู่บุญของพรรค KrF ที่อยู่กันมาอย่างยาวนาน ไม่ขอไปต่อในฐานะนักการเมืองหลังจากพ้นตำแหน่ง

ตั้งแต่ เมื่อ 110 ปีก่อน ที่นักการเมืองหญิงคนแรกก้าวเข้ามาเป็นผู้แทนราษฏร ได้เข้าร่วมใน รัฐสภานอร์เวย์ อันทรงเกียรติ อย่างเท่าเทียมและเสมอภาคกับผู้ชายทุกประการ - 110 ปี ต่อมา - ตัวแทนของรัฐสภาแห่งชาตินอร์เวย์ มีสัดส่วนของ ผู้หญิง สูงเป็นประวัติการณ์ มากถึง 47%

กระบวนการทั้งหมดนี้ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนมาจาก ชาวนอร์เวย์ ทุกคนที่ลงคะแนนเสียงให้ผู้แทนราษฏร 169 คนจากทั่วประเทศ เข้ามารับใช้ประชาชนและพัฒนาชาติ จวบจนครบวาระในอีก 4 ปีข้างหน้า - จนกว่าเราจะพบกันใหม่!

.................

✨E-book 12 ข่าวที่มีผู้อ่านมากที่สุดประจำปี 2020
https://www.flipsnack.com/norwaynewsth/2020.html

อ่านรวมข่าว & มาตรการโคโรนา ของ ประเทศนอร์เวย์
http://norgetiltak.blogspot.com

อ่าน นอร์เวย์สไตล์วาไรตี้
https://www.blockdit.com/norwaystyle

อ่าน คำคมข่าวนอร์เวย์
https://www.facebook.com/norgeutrykk

#norway #รายงานข่าวประจำวัน #นอร์เวย์ #ข่าว #วัคซีน #โคโรนา #โควิด19 #Coronavirus #ไวรัส
.
แปลภาษาไทยโดย Facebook เรื่องแปล - ข่าวนอร์เวย์

ข่าวต้นฉบับ NRK / Tv2 :
https://www.tv2.no/a/14227168/
https://www.nrk.no/slik-stemte-vi-1.15645575