ติดตามสถานะการณ์

UPDATE: สธ. เฝ้าระวังโรคฝีดาษลิงเข้มข้น โดยเฉพาะสนามบินนานาชาติ ย้ำยังไม่พบผู้ป่วยยืนยันในไทย ส่วนอาเซียนพบรายแรกที่สิงคโปร์
.
วันนี้ (23 มิถุนายน) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เน้นย้ำมาตรการเฝ้าระวังคัดกรองผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงอย่างเข้มข้น ทั้งในสนามบินนานาชาติ โรงพยาบาล และคลินิกเฉพาะ โดยสถานการณ์โรคฝีดาษลิงในประเทศไทยขณะนี้ยังไม่พบผู้ป่วยยืนยัน แต่ได้รับรายงานจากด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศ และจากโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน พบผู้ป่วยสงสัยรวม 10 ราย ทั้งหมดเป็นชาวต่างชาติ และตรวจไม่พบเชื้อฝีดาษลิง ซึ่งในจำนวนนี้ 6 ราย ได้รับการยืนยันการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ผลพบเชื้อไวรัสเริม (Herpes Simplex Virus Type 1) และทั้ง 6 ราย มีประวัติเชื่อมโยงกับการซ้อมมวยในสนามฝึกซ้อมมวยที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาใช้บริการจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตและกระบี่ และอีก 4 ราย เป็นโรคติดเชื้อที่ผิวหนัง
.
ซึ่งหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ได้ประสานให้คำแนะนำสนามฝึกซ้อมมวยที่พบผู้ป่วยทุกแห่ง ให้ทำความสะอาดฆ่าเชื้ออุปกรณ์ฝึกซ้อมและสถานที่เป็นประจำ หากผู้ที่มาฝึกซ้อมมวยมีอาการป่วย โดยเฉพาะมีผื่น ตุ่มน้ำ หรือตุ่มหนอง ให้รีบไปพบแพทย์และแจ้งประวัติการเดินทางและร่วมกิจกรรมเสี่ยง รวมถึงเน้นย้ำให้บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขช่วยกันเฝ้าระวังการระบาดของโรคไวรัสเริม หรือ Herpes Simplex Virus ในพื้นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว
.
ด้าน นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการสอบสวนโรคเบื้องต้นสำหรับผู้ป่วยสงสัยรายล่าสุด ทางศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข กรมควบคุมโรค กรณีฝีดาษลิง ได้รับรายงานจากโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2565 พบผู้ป่วยสงสัย เพศชาย อายุ 21 ปี อาชีพนักมวย ชาวออสเตรเลีย มาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2565 มีประวัติได้ไปซ้อมมวยที่สนามฝึกซ้อมมวยแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี เริ่มมีไข้ ไอ เจ็บคอ และเริ่มมีผื่นแดง ตุ่มน้ำ ตุ่มหนอง บริเวณใบหน้า ลำคอ และแขน ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ยืนยันตรวจไม่พบเชื้อฝีดาษลิง
.
ทั้งนี้กำลังเร่งตรวจหาสาเหตุของโรค และกล่าวเน้นย้ำว่าโรคฝีดาษลิงติดต่อได้ยากกว่าโรคโควิด เพราะต้องมีการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยระยะแพร่เชื้อ ซึ่งเป็นระยะที่ปรากฏอาการแล้ว เช่น มีไข้ ตุ่มหนองตามผิวหนัง
.
สำหรับสถานการณ์โรคฝีดาษลิงทั่วโลก ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม - 22 มิถุนายน 2565 พบผู้ป่วยยืนยันแล้ว 3,157 ราย จากทั้งหมด 45 ประเทศ
.
สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบผู้ป่วยยืนยันโรคฝีดาษลิงรายแรกในประเทศสิงคโปร์ เป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวอังกฤษ อายุ 42 ปี มีประวัติเดินทางมาสิงคโปร์ระหว่างวันที่ 15-17 มิถุนายน และกลับมาอีกครั้งวันที่ 19 มิถุนายน เริ่มมีอาการปวดศีรษะวันที่ 14 มิถุนายน และมีไข้วันที่ 16 มิถุนายน อาการหายไปแล้วมีผื่นขึ้นวันที่ 19 มิถุนายน จึงเข้ารับการตรวจทาง Tele-Consultation ในคืนวันนั้น ถูกส่งตัวไปสถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติ (NICD) และตรวจพบเชื้อวันที่ 20 มิถุนายน โดยทำการค้นหาผู้สัมผัส (Contact Tracing) พบผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูง 13 ราย อยู่ระหว่างการกักตัว 21 วัน และผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงต่ำอีก 2 ราย อยู่ระหว่างติดตามอาการป่วยทุกวันเป็นเวลา 21 วัน ซึ่งนับเป็นผู้ป่วยติดเชื้อมาจากพื้นที่อื่น (Imported Case) ที่ทางหน่วยงานด้านสาธารณสุขสิงคโปร์ดำเนินการควบคุมโรคและประเมินความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติไปในสถานที่เดียวกับผู้ป่วยยืนยันด้วย
.
#TheStandardNews

 

UPDATE: ผลสำรวจพบ อาหารญี่ปุ่นกว่า 10,000 รายการจะ ‘ขึ้นราคา’ เฉลี่ย 13% ในปี 2022
.
ผลสำรวจโดยบริษัทวิจัยสินเชื่อได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าหนักใจว่า รายการอาหารในญี่ปุ่นกว่า 10,000 รายการจะมีราคาที่เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 13% ในปีนี้ อันเป็นผลมาจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น และการอ่อนค่าของเงินเยนอย่างรวดเร็ว
.
การสำรวจ Teikoku Databank Ltd. พบว่าผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ 105 รายขึ้นราคาผลิตภัณฑ์ 6,285 รายการภายในเดือนมิถุนายน โดยมีแผนปรับขึ้นราคาสำหรับผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม 4,504 รายการตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป
.
บริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ขายสินค้าในราคาที่สูงขึ้น เนื่องจากการระบาดของโรคโควิด และการรุกรานยูเครนของรัสเซียอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้นทุนทุกอย่างตั้งแต่ข้าวสาลีไปจนถึงน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้น
.
รัสเซียซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีรายใหญ่ที่สุดของโลก และยูเครน รวมกันคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของการส่งออกธัญพืชดังกล่าวระหว่างประเทศ ตามรายงานของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ โดยราคาเฉลี่ยที่กระทรวงเกษตรของญี่ปุ่นขายข้าวสาลีนำเข้าให้กับบริษัทในประเทศได้เพิ่มขึ้น 17.3% ตั้งแต่เดือนเมษายน
.
สิ่งที่ต้องจับตามองคือ การอ่อนค่าของเงินเยนทำให้เกิดความท้าทายเพิ่มเติมสำหรับบริษัทญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นการเพิ่มราคานำเข้าและทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
.
ในอดีตบริษัทต่างๆ ได้พยายามลดผลกระทบต่อผู้บริโภคให้น้อยที่สุดด้วย ‘การลักลอบขึ้นราคา’ หรือการปรับขนาดสินค้าให้ลดลงแต่ยังจำหน่ายในราคาเดิม แต่ในครั้งนี้ไม่ใช้กลยุทธ์ดังกล่าวได้อีกแล้ว เมื่อต้นทุนวัสดุได้เพิ่มขึ้นเกินกว่าที่บริษัทต่างๆ จะแบกรับไหว
.
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มอื่นๆ จะเห็นการขึ้นราคาที่ใหญ่ที่สุดโดยเฉลี่ย 15% อันเนื่องมาจากต้นทุนบรรจุภัณฑ์ ข้าวสาลี และขวดพลาสติกที่สูงขึ้นกว่า 80% ของผลิตภัณฑ์จะขึ้นราคาในเดือนกรกฎาคมหรือหลังจากนั้น ด้านราคาอาหารแปรรูปจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 14% ในขณะที่ขนมหวานจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 12%, เครื่องปรุงรส 11% และขนมปัง 9%
.
ผลวิจัยดังกล่าวยังชี้ด้วยว่ามีความเป็นไปได้สูงที่บริษัทต่างๆ จะไม่สามารถดูดซับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และอาจต้องขึ้นราคาอีกครั้งในปีนี้ ซึ่งนี่เป็นข่าวร้ายสำหรับทุกคนแน่นอน
.
#TheStandardWealth

 

UPDATE: หรือไฟจะมอดตามอายุ? ผลสำรวจพบว่าบริษัทในญี่ปุ่นเต็มไปด้วย ‘คนอายุมากที่ไม่ทำงานอะไรเลย’
.
เมื่อเริ่มงานใหม่ในวัยหนุ่มสาว ไม่ว่าใครก็ไฟลุก เพราะไม่มีใครอยากจะเป็นจุดอ่อนของบริษัทให้ใครเขานินทาว่าเอาได้ แต่ในทางกลับกัน เมื่อทำงานไปสักพัก หลายคนก็ค้นพบว่าไม่จำเป็นต้องไฟแรงขนาดนั้นก็ได้ แค่ทำงานให้ดีพอที่จะไม่ถูกไล่ออกก็เพียงพอแล้ว
.
บริษัทที่ปรึกษาแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นได้สำรวจพนักงานบริษัททั่วไปจำนวน 300 คน ที่เคยทำงานในบริษัทใหญ่ที่มีจำนวนพนักงานมากกว่า 300 คนขึ้นไปว่า พวกเขามีเพื่อนร่วมงานเป็น ‘คนอายุมากที่ไม่ทำงานอะไรเลย’ บ้างไหม โดยคนอายุมากในที่นี้คือคนที่อายุ 40 ปีขึ้นไป (และไม่ทำอะไรเลย)
.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
แม่ว่าอย่างนี้ต้องลาออก! Break My Soul เพลงใหม่จาก ‘บียอนเซ่’ ที่สะท้อนปรากฏการณ์ ‘การลาออกครั้งใหญ่’ ที่กำลังเกิดขึ้นในอเมริกา: https://thestandard.co/usa-great-resignation/
สหราชอาณาจักรนำร่องทดลองโครงการ ‘การทำงานเพียง 4 วันต่อสัปดาห์ โดยไม่มีการลดค่าจ้าง’ ครั้งใหญ่สุดของโลกแล้ว: https://thestandard.co/uk-trail-four-working-days-per-week/
หมดยุคเข้าทำงานออฟฟิศ? 64% ของพนักงานจะ ‘ลาออก’ หากต้องกลับเข้าไปทำงานเต็มเวลาอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘กลุ่มเด็กรุ่นใหม่’:
https://thestandard.co/64percent-of...tting-if-asked-to-return-to-office-full-time/
.
ซึ่งผลการสำรวจก็พบว่า 49.2% ของผู้ตอบแบบสอบถามตอบว่า ที่บริษัทของพวกเขามี ‘คนอายุมากที่ไม่ทำงานอะไรเลย’ และคำถามที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือ ถ้าพวกเขาไม่ทำงานอะไรเลย แล้วพวกเขาทำอะไรล่ะ
.
ซึ่งบริษัทสำรวจก็พบว่ามีกิจกรรมยอดนิยมของเหล่าคนอายุมากที่ไม่ทำงานอย่างแรกคือ การพักออกไปสูบบุหรี่และกินขนม ซึ่งเป็นกิจกรรมที่พบบ่อยที่สุด คิดเป็น 49.7% เลยทีเดียว
.
ส่วนกิจกรรมยอดนิยมรองลงมาคือ การนั่งเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ซึ่งคิดเป็น 47.7% หรือจะเป็นการเดินคุยกับคนอื่นไปทั่ว ซึ่งคิดเป็น 47.3% ปิดท้ายด้วยการนั่งเล่นอินเทอร์เน็ตไปเรื่อยเปื่อย คิดเป็น 35.3%
.
ซึ่งก็มีคำถามตามมาอีกว่า ทำไมคนอายุมากเหล่านี้ถึงเลือกที่จะเป็นคนที่ขี้เกียจ ไฟมันมอดตามอายุหรืออย่างไร และได้ความคิดเห็นจากผู้ตอบแบบสอบถาม 45% ให้ความคิดเห็นว่า คนอายุมากเหล่านี้คงไม่มีแพสชันในการทำงานอีกต่อไปแล้ว อีก 41% คิดว่าเป็นเรื่องของเงินเดือน ที่มักจะเพิ่มขึ้นตามความอาวุโสมากกว่าผลการทำงาน และ 26.3% ที่คิดว่าคงไม่มีใครเชื่อว่าคนอายุมากเหล่านี้จะทำงานสำคัญได้
.
เหตุผลอื่นก็มีอยู่บ้างประปราย บางคนคิดว่าบริษัทไม่กล้าพอที่จะทำอะไรกับคนพวกนี้เสียที และแนะนำให้บริษัทตรวจสอบพนักงานและประเมินพนักงานกันอย่างเข้มข้นมากขึ้น ไปจนถึงคิดเรื่องการเลิกจ้างดูบ้าง
.
ผู้ตอบแบบสอบถามล้วนอยากให้บริษัทลงดาบหรือทำอะไรบ้าง เพราะ 90% ล้วนมีความเห็นตรงกันว่า การเก็บคนอายุมากที่ไม่ทำงานอะไรเลยเอาไว้นั้นมีแต่จะส่งผลเสียกับบริษัท ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกำลังใจในการทำงานของคนหนุ่มสาวที่ลดลง การเพิ่มขึ้นของภาระหน้าที่ที่คนหนุ่มสาวต้องมารับแทน และคนอายุมากที่ไม่ทำอะไรเลยเหล่านี้ยังผลาญค่าแรงที่บริษัทต้องจ่ายอีกด้วย
.
#TheStandardWealth

 

UPDATE: จับตา! รัฐบาลขับเคลื่อน ‘กิจการอวกาศ’ ต่อเนื่อง เตรียมส่งดาวเทียมสำรวจโลกดวงแรกของไทยขึ้นสู่อวกาศต้นปี 2566
.
วันนี้ (23 มิถุนายน) รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ขับเคลื่อนการทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประเทศไทยและประชาชนทุกกลุ่มใช้ประโยชน์จากดิจิทัลได้อย่างสูงสุด โดยความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับการพัฒนาดาวเทียมเล็ก ‘THEOS-2’ ตามนโยบายของรัฐบาล ที่พัฒนาโดยวิศวกรดาวเทียมชาวไทยกว่า 20 คน จากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างดาวเทียมจากประเทศอังกฤษเป็นเวลากว่า 2 ปี ได้เดินทางถึงประเทศไทยแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างทดสอบระบบดาวเทียม ณ ศูนย์ประกอบและทดสอบดาวเทียม อุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ก่อนส่งขึ้นสู่อวกาศในต้นปี 2566
.
สำหรับดาวเทียมเล็ก ‘THEOS-2’ เป็นดาวเทียมสำรวจโลกดวงแรกของไทย มีน้ำหนัก 100 กิโลกรัม พร้อมด้วยระบบเซ็นเซอร์และกล้องถ่ายภาพ ประกอบด้วยกล้องถ่ายภาพโลก กล้องถ่ายภาพดาวเทียม อุปกรณ์วัดสนามแม่เหล็กโลก อุปกรณ์วัดการเคลื่อนไหว อุปกรณ์วัดความเข้มของแสงอาทิตย์ และอุปกรณ์ GPS สามารถบันทึกภาพที่มีรายละเอียดประมาณ 1 เมตรต่อพิกเซล เมื่อส่งขึ้นสู่อวกาศแล้วจะโคจรรอบโลกวันละ 13-14 รอบ และผ่านประเทศไทย 3-4 รอบต่อวัน ถือเป็นความก้าวหน้าด้านพัฒนากิจการอวกาศของไทย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ
.
นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) บริษัทอุตสาหกรรมการบิน จำกัด (TAI) สมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย (TSC) และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจว่าด้วยการสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาทดสอบชิ้นส่วนอากาศยาน เพื่อส่งเสริมและพัฒนาขีดความสามารถที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการบินและอวกาศของประเทศไทย โดยมีระยะเวลาดำเนินงาน 3 ปี ภายใต้กรอบความร่วมมือของพันธมิตรทั้ง 4 หน่วยงาน สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติในการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศเพื่อการพึ่งพาตนเอง ลดการนำเข้า และเพิ่มความสามารถการแข่งขันในตลาด โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ (S-Curve 7) และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (S-Curve 11)
.
รัชดากล่าวต่ออีกว่า รัฐบาลมุ่งมั่นผลักดันส่งเสริมการสร้างและการผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน บริภัณฑ์ภาคพื้น และอุปกรณ์สนับสนุนการซ่อมบำรุงอากาศยาน เพื่อสนับสนุนการซ่อมบำรุงอากาศยานพร้อมกับการสนับสนุนจากห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานในการทดสอบชิ้นงาน และให้การรับรองคุณภาพความปลอดภัยในการใช้งานตามมาตรฐาน AS9100D ทำให้ผู้ใช้งานมีความเชื่อมั่นในคุณภาพและความปลอดภัยในชิ้นส่วนอากาศยานที่ผลิตภายในประเทศ รวมทั้งกระตุ้นความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในการใช้ประเทศไทยเป็นฐานการประกอบธุรกิจด้านการบินและอวกาศ
.
#TheStandardNews

 

UPDATE: กองทัพเมียนมาย้ายห้องพิจารณาคดี ออง ซาน ซูจี ในชั้นศาลมายังห้องพิเศษในเรือนจำ
.
วานนี้ (22 มิถุนายน) กองทัพเมียนมามีคำสั่งย้ายห้องพิจารณาคดี ออง ซาน ซูจี ในชั้นศาลมายังห้องพิเศษในเรือนจำกรุงเนปิดอว์ เมืองหลวงของประเทศ โดยปราศจากคำอธิบายหรือการให้เหตุผล หลังอดีตผู้นำหญิงของเมียนมาถูกตั้งข้อกล่าวหาอย่างน้อย 20 ข้อกล่าวหา นับตั้งแต่เธอและรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งถูกยึดอำนาจและก่อรัฐประหารโดยกองทัพ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021
.
เบื้องต้น ออง ซาน ซูจี ยังคงให้การปฏิเสธในทุกข้อกล่าวหา ซึ่งหากเธอได้รับการตัดสินโทษว่ามีความผิดจริงในทุกข้อกล่าวหา อดีตที่ปรึกษาประเทศวัย 77 ปี อาจต้องใช้ชีวิตบั้นปลายที่เหลืออยู่ทั้งหมดภายในเรือนจำ อีกทั้งแหล่งข่าวยังอ้างว่า มีคำสั่งให้ย้ายเธอจากการกักบริเวณในที่พักมาเป็นควบคุมตัวในพื้นที่ของเรือนจำในกรุงเนปิดอว์แทน
.
แม้ว่าข่าวคราวสถานการณ์และความเคลื่อนไหวในเมียนมาภายหลังรัฐประหาร จะดูเหมือนห่างหายไปจากหน้าสื่อต่างประเทศหลายสำนัก เนื่องจากเหตุสงครามและความขัดแย้งในหลายพื้นที่ทั่วโลก แต่กระนั้น ออง ซาน ซูจี รวมถึงบรรดาสมาชิกรัฐบาลพลเรือน และประชาชนชาวเมียนมาผู้สนับสนุนประชาธิปไตยยังคงต่อสู้กับความโหดร้ายของระบบเผด็จการทหาร โดยหวังว่าพวกเขาจะกลับสู่เส้นทางของการพัฒนาให้ประชาธิปไตยในประเทศของเขาผลิบานอีกครั้ง
.
แฟ้มภาพ: Suhaimi Abdullah / Getty Images
.
#TheStandardNews

 

UPDATE: ปูตินตั้งเป้าเปลี่ยนตลาดการค้า เล็งเข้าหาจีนและอินเดียมากขึ้น
.
ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย กล่าวระหว่างเข้าร่วมการประชุม BRICS Business Forum ว่า ขณะนี้รัสเซียกำลังเปลี่ยนตลาดการซื้อขายสินค้าและส่งออกน้ำมันไปยัง 5 ประเทศกลุ่ม BRICS มากขึ้น โดยเฉพาะจีนกับอินเดีย ท่ามกลางมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจจากโลกตะวันตก หลังจากที่รัฐบาลรัสเซียส่งทหารบุกยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565
.
ทั้งนี้ ผู้นำรัสเซียระบุว่า ในการยกระดับความสัมพันธ์ทางการค้า รัสเซียกำลังเจรจาเปิดทางให้นำเข้ารถจากประเทศจีนจำนวนมากมาใช้ในรัสเซีย และอาจเปิดให้ซูเปอร์มาร์เก็ตอินเดียมาเริ่มธุรกิจในรัสเซียได้
.
ปูตินกล่าวชัดเจนว่า ถึงเวลาที่รัสเซียจะขยายบทบาทในกลุ่ม BRICS แล้ว และการส่งออกน้ำมันจากรัสเซียไปยังจีนและอินเดียก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่มูลค่าการค้าระหว่างรัสเซียและกลุ่ม BRICS เพิ่มขึ้น 38% และแตะระดับ 45,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงสามเดือนแรกของปีนี้
.
นอกจากนี้ รัสเซียยังเพิ่มการส่งออกน้ำมันไปยังจีนและอินเดีย โดยการนำเข้าน้ำมันดิบของจีนจากรัสเซียพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนพฤษภาคม ส่งผลให้ซาอุดีอาระเบียเป็นซัพพลายเออร์อันดับต้นๆ ของประเทศ โดยข้อมูลของหน่วยงานของศุลกากรจีนระบุว่า จีนเพิ่มการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย 55% ในเดือนพฤษภาคมเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
.
ขณะเดียวกัน ผู้นำรัสเซียยังได้กล่าวถึงการลดการพึ่งพาตะวันตกเรื่องระบบการเงิน โดยระบุว่ารัสเซียได้เปิดการเชื่อมต่อระบบธุรกรรมการเงินข้ามประเทศของรัสเซียกับประเทศกลุ่ม BRICS นอกจากนั้นยังมีการชำระเงินผ่านระบบ MIR ของรัสเซียเพิ่มมากขึ้น และกำลังพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะสร้างเงินสำรองระหว่างประเทศที่อ้างอิงตะกร้าของเงินสกุลในประเทศกลุ่ม BRICS
.
ผู้นำรัสเซียยังไม่วายทิ้งท้ายด้วยการส่งสารถึงบรรดาซีกโลกตะวันตก จากกรณีที่จงใจละเลยหลักการพื้นฐานของตลาดการค้าเสรีของเศรษฐกิจโลก
.
วันเดียวกันนี้ ทางสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ออกโรงเตือนยุโรปให้รับมือกรณีรัสเซียอาจตัดการส่งก๊าซทั้งหมดเพื่อเพิ่มแรงกดดันทางการเมือง ท่ามกลางการสู้รบในยูเครน
.
ฟาติห์ บิโรล ผู้อำนวยการบริหาร IEA กล่าวว่า เมื่อพิจารณาจากท่าทีของรัสเซียในเร็วๆ นี้ คงไม่อาจปฏิเสธว่ารัสเซียจะยังคงหาข้ออ้างเพื่อลดการจ่ายก๊าซไปยังยุโรป หรือบางทีอาจตัดการจ่ายก๊าซโดยสิ้นเชิง ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่ายุโรปจำเป็นต้องมีแผนฉุกเฉินรองรับสถานการณ์ดังกล่าว ก่อนแสดงความมั่นใจว่าการลดปริมาณซัพพลายก๊าซของรัสเซียเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่รัสเซียตั้งใจให้เกิดขึ้น ท่ามกลางฤดูหนาวที่กำลังใกล้เข้ามา
.
#TheStandardWealth

 

UPDATE: นายกฯ ศรีลังกายอมรับ ระบบเศรษฐกิจของประเทศล่มสลายโดยสมบูรณ์แล้ว
.
วานนี้ (22 มิถุนายน) รานิล วิกรมสิงเห นายกรัฐมนตรีศรีลังกา ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้เพียงเดือนเศษ ยอมรับว่าขณะนี้ศรีลังกากำลังเผชิญวิกฤตอย่างหนัก และระบบเศรษฐกิจของประเทศก็ล่มสลายโดยสมบูรณ์แล้ว นับเป็นวิกฤตที่รุนแรงที่สุดในรอบ 70 ปี หลังประกาศเอกราชจากสหราชอาณาจักรเมื่อปี 1948
.
ศรีลังกากำลังแบกรับภาระหนี้ที่หนักอึ้ง สูญเสียรายได้จากภาคการท่องเที่ยวและบริการ ยังไม่นับรวมผลกระทบอื่นๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดในช่วงเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา รวมถึงค่าครองชีพที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ไม่สามารถนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นอย่าง น้ำมันเชื้อเพลิง, นม, แก๊สหุงต้ม, ยารักษาโรค และกระดาษชำระได้
.
บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากสองพรรคการเมืองใหญ่บอยคอตไม่เข้าร่วมการประชุมสภา เพื่อประท้วงการทำงานของนายกรัฐมนตรีที่ควบตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง ที่ยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์และบรรเทาวิกฤตที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ได้ โดยรานิล วิกรมสิงเห ชี้แจงว่า ส่วนหนึ่งที่ประเทศเผชิญวิกฤตอยู่ในขณะนี้ เป็นเพราะความล้มเหลวในการบริหารจัดการของรัฐบาลชุดก่อนหน้าที่ไม่สามารถรักษาเงินสำรองต่างประเทศของศรีลังกาไว้ได้ อีกทั้งวิกฤตที่กำลังเผชิญมีความท้าทายอย่างมาก และแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะแก้ไขปัญหาทั้งหมดภายในระยะเวลาอันสั้น
.
นอกจากนี้ รานิล วิกรมสิงเห ยังเผยอีกว่า สาเหตุหนึ่งที่ศรีลังกาไม่สามารถนำเข้าเชื้อเพลิงได้ เนื่องจาก Ceylon Petroleum Corporation ที่ดูแลเรื่องน้ำมันเชื้อเพลิงของศรีลังกาค้างชำระหนี้กว่า 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ไม่มีประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศใดที่จะยอมจำหน่ายหรือจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับศรีลังกาในช่วงเวลานี้
.
โดยทางการศรีลังกาได้รับเงินช่วยเหลือจากธนาคารโลกราว 300-600 ล้านดอลลาร์ พร้อมขอพักชำระหนี้ต่างประเทศกว่า 7 พันล้านดอลลาร์ที่ครบกำหนดชำระภายในปีนี้ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการรอผลเจรจากับทางกองทุน IMF สำหรับการส่งมอบแพ็กเกจช่วยเหลือ และคาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้
.
#TheStandardNews

 

UPDATE: เกาหลีใต้ยืนยันพบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงรายแรกของประเทศ พร้อมยกระดับเฝ้าระวังและตรวจสอบผู้ติดเชื้อ
.
วานนี้ (22 มิถุนายน) สำนักงานควบคุมและป้องกันโรคของเกาหลีใต้ (Korea Disease Control and Prevention Agency: KDCA) ยืนยันการตรวจพบกรณีผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงรายแรกของประเทศ เป็นพลเรือนชาวเกาหลีใต้ที่เดินทางกลับจากเยอรมนีเมื่อช่วงบ่ายวันอังคาร (21 มิถุนายน) ที่ผ่านมา
.
ผู้ติดเชื้อรายนี้เริ่มแสดงอาการของโรคฝีดาษลิงระหว่างที่เดินทางเข้าเกาหลีใต้ ก่อนจะเข้ารับการตรวจและมีผลตรวจเชื้อเป็นบวก โดยนำตัวเข้ารับการรักษาที่ศูนย์การแพทย์อินชอนที่อยู่ไม่ไกลจากสนามบิน
.
ขณะที่ KDCA ได้ปรับเพิ่มระดับการเฝ้าระวังและรับมือการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงเป็นระดับ ‘เตือนภัย (Caution)’ ซึ่งเป็นระดับ 2 จากทั้งหมด 4 ระดับ พร้อมทั้งจะยกระดับการตรวจสอบโดยกำหนดพื้นที่ ซึ่งต้องจัดการเรื่องการกักกันอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในกลุ่มประชาชนที่เดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาดของโรคฝีดาษลิงบ่อยครั้ง
.
“KDCA ได้ผลักดันให้ใช้วัคซีนและการรักษา (โรคฝีฝีดาษ) ที่ปลอดภัย และให้การแนะนำเพิ่มเติมสำหรับสิ่งเหล่านี้ ในขณะที่ทางหน่วยงานกำลังขยายขีดความสามารถในการตรวจวินิจฉัยอย่างต่อเนื่อง” Peck Kyong-ran กรรมาธิการ KDCA กล่าว พร้อมเผยว่าผู้ที่เคยสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงที่ได้รับการยืนยันแล้ว และผู้ที่มีความเสี่ยงในระดับปานกลางหรือสูง จะได้รับการฉีดวัคซีนด้วยความยินยอมของตนเอง
.
อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ทางการเกาหลีใต้ยังไม่มีการทบทวนแนวทางการฉีดวัคซีนแบบวงแหวน หรือการฉีดวัคซีนรอบจุดเกิดโรคเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดสำหรับโรคฝีดาษลิง
.
ทั้งนี้ KDCA รายงานว่า พบกรณีผู้ต้องสงสัยติดเชื้อฝีดาษลิงจำนวนทั้งหมด 2 ราย โดยนอกจากชาวเกาหลีใต้ที่ยืนยันแล้ว ยังพบอีก 1 รายเป็นชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าเกาหลีใต้เมื่อวันจันทร์ (20 มิถุนายน) ที่ผ่านมา หลังจากที่แสดงอาการมีแผลพุพองที่ผิวหนังและเจ็บคอ แต่จากการตรวจเชื้อพบว่ามีผลเป็นลบ ซึ่งทางหน่วยงานเผยว่า ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยด้วยโรคอื่น โดยไม่ระบุรายละเอียด
.
ขณะที่ประธานาธิบดียุนซอกยอล ได้สั่งการให้หน่วยงานสาธารณสุขยกระดับมาตรการกักกันสำหรับผู้โดยสารขาเข้าจากต่างประเทศที่สนามบิน และเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ในการแจกจ่ายวัคซีนและยารักษาไปยังสถานพยาบาลต่างๆ พร้อมทั้งสั่งการให้เร่งดำเนินการให้คำแนะนำเรื่องวัคซีนและยาต้านฝีดาษลิง ซึ่งพัฒนามาเป็นรุ่นที่ 3 แล้ว
.
ทั้งนี้ เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เกาหลีใต้ได้กำหนดให้โรคฝีดาษเป็นโรคติดเชื้อระดับที่ 2 จากทั้งหมด 4 ระดับ โดยมีโรคติดเชื้อ 22 โรค รวมถึงโควิด อหิวาตกโรค และอีสุกอีใส รวมอยู่ในระดับเดียวกัน
.
#TheStandardNews #ฝีดาษลิง
https://m.facebook.com/story.php?st...=1683658098593742&m_entstream_source=timeline

 

UPDATE: ออสเตรเลียยกเลิกการพักซื้อขายไฟฟ้า หลังวิกฤตพลังงานในประเทศเริ่มคลี่คลาย
.
หน่วยงานกำกับดูแลตลาดพลังงานออสเตรเลีย ตัดสินใจกลับมาเปิดซื้อขายไฟฟ้าอีกครั้งในวันพฤหัสบดี (23 มิถุนายน) หลังจากที่ระงับการซื้อขายมา 1 สัปดาห์ ท่ามกลางภาวะขาดแคลนพลังงานรุนแรงเข้าขั้นวิกฤต
.
Australian Energy Market Operator (AEMO) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลตลาดพลังงานของออสเตรเลีย เปิดเผยในแถลงการณ์วานนี้ (22 มิถุนายน) ว่า ทางหน่วยงานพิจารณาแล้วเห็นว่าสถานการณ์ด้านพลังงานคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน จึงตัดสินใจที่จะกลับมาซื้อขายไฟฟ้าอีกครั้งตั้งแต่เวลา 04.00 น. ของวันพฤหัสบดี ตามเวลาซิดนีย์ (01.00 น. วันพฤหัสบดี ตามเวลาไทย)
.
“เราเห็นการผลิตไฟฟ้ากลับมาแล้วเกือบ 4,000 เมกะวัตต์ ตั้งแต่ช่วงเวลานี้ของเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และนั่นหมายความว่า ความเสี่ยงที่จะขาดแคลนพลังงานนั้นลดลงแล้ว” แดเนียล เวสเตอร์แมน ผู้บริหารสูงสุดของ AEMO กล่าวในการแถลงข่าวที่มีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ พร้อมทั้งเสริมด้วยว่า AEMO จะติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ก่อนตัดสินใจยกเลิกระงับการซื้อขายอย่างเป็นทางการ
.
ก่อนหน้านี้เมื่อวันพุธที่แล้ว (15 มิถุนายน) AEMO ตัดสินใจระงับการซื้อขายในตลาดสปอตเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หลังราคาพลังงานทะยานสูงขึ้น โดยระบุว่า หน่วยงานจะเฝ้าติดตามสถานการณ์ต่อไปเป็นรายวัน และจะแจ้งให้ทราบเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมในอนาคต
.
นอกจากนี้ AEMO รวมทั้ง คริส โบเวน รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของออสเตรเลีย ยังออกมาเรียกร้องให้ประชาชนในนิวเซาท์เวลส์ช่วยกันประหยัดพลังงาน ด้วยการปิดไฟเป็นเวลา 2 ชั่วโมง ช่วง 18.00-20.00 น. ของทุกวัน เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการขาดแคลนพลังงาน โดยรัฐนิวเซาท์เวลส์มีประชากรราว 8 ล้านคน และเป็นที่ตั้งของเมืองขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศอย่างซิดนีย์
.
ออสเตรเลียเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) รายใหญ่ที่สุดของโลก แต่กลับต้องเผชิญกับวิกฤตพลังงานตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หลังเกิดปัญหาซัพพลายถ่านหินหยุดชะงัก ส่งผลให้โรงไฟฟ้าหลายแห่งขาดเชื้อเพลิงสำหรับผลิต โดยปริมาณไฟฟ้า 3 ใน 4 ของออสเตรเลียได้มาจากการใช้เชื้อเพลิงถ่านหินเป็นหลัก
.
ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ออสเตรเลียเจอผลกระทบอย่างหนักจากการหยุดชะงักของการจัดหาถ่านหิน โดยมีรายงานไฟฟ้าดับที่โรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงหลายแห่ง ประกอบกับราคาพลังงานโลกที่พุ่งทะยานขึ้นหลังรัสเซียตัดสินใจเข้าบุกโจมตียูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
.
ในขณะเดียวกัน ความต้องการพลังงานในออสเตรเลียเพิ่มสูงขึ้นท่ามกลางอากาศหนาวเย็น และการที่ประเทศกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้งหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดคลี่คลายลง
.
#TheStandardNews

 

PHOTO JOURNAL: ‘THE TEAMMATE’
.
ทหารยูเครนนายหนึ่งประจำจุดอยู่ภายในโรงงานแห่งหนึ่งในเมืองเซเวโรโดเนตสก์ พร้อมสุนัขสังเกตการณ์ หลังกองทัพรัสเซียยังคงเดินหน้าประชิดพื้นที่ และโจมตีให้กองกำลังยูเครนล่าถอยอย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา - Oleksandr Ratushniak / Reuters
.
IG: www.instagram.com/thestandardth.ig
#TheStandardNews

 

Infographic: แผ่นดินไหวที่ร้ายแรงที่สุดในโลก

ย้อนรอยแผ่นดินไหวที่ขึ้นชื่อว่ารุนแรงที่สุดในโลก นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา อันดับหนึ่งได้แก่แผ่นดินไหวที่กรุงปอร์โตแปรงซ์ ประเทศเฮติ เมื่อปี 2000 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 300,000 ราย

ส่วนสถานการณ์ล่าสุด ของเหตุแผ่นดินไหวระดับ 6.1 แมกนิจูดในอัฟกานิสถาน มีผู้เสียชีวิตทะลุ 1,000 ราย และบาดเจ็บอีก 1,500 ราย โดยคาดว่าหลังจากนี้ยอดผู้เสียชีวิตจะพุ่งสูงขึ้นอีก ขณะที่ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักเป็นอุปสรรค์ต่อการช่วยเหลือผู้ประสบภัย
—————
เรื่อง: นัฐชา กิจโมกข์
กราฟิก: ผกาทิพย์ ส่งแสง

#TNNWorldNews #Infographic #แผ่นดินไหว #ภัยธรรมชาติ
#เจาะลึกรอบโลก #TNNOnline
————
อัพเดทข่าวไฮไลต์และบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจ มาเป็นเพื่อนใน Line กับ TNN World คลิก https://lin.ee/LdHJXZt

ติดตาม TNN World ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
Website : https://bit.ly/TNNWorldWebsite
Youtube : https://bit.ly/TNNWorldTodayYouTube
TikTok : https://bit.ly/TNNWorldTikTok

 

Russia-Iran: เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย เข้าพบหารือเหล่าผู้นำอิหร่าน เรื่องสถานการณ์ยูเครนและผลักดันฟื้นข้อตกลงนิวเคลียร์

วันนี้ (23 มิถุนายน) เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย เข้าพบหารือ ฮอสเซน อามีร์-อับดอลเลาะเฮียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิหร่าน ที่กรุงเตหะราน เกี่ยวกับสถานการณ์ในยูเครน และข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งกำลังพยายามฟื้นข้อตกลงนิวเคลียร์ฉบับปี 2015 กับมหาอำนาจโลก

แต่การเจรจาดังกล่าว ไม่มีความคืบหน้าและหยุดชะงักไปเมื่อเดือนมีนาคม เมื่อสหรัฐฯ ยังไม่ตอบรับความต้องการของอิหร่าน เพื่อให้ถอดกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน ออกจากบัญชีองค์กรก่อการร้ายของรัฐบาลสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้ (22 มิถุนายน) ลาฟรอฟ เข้าพบหารือกับประธานาธิบดีอิบราฮิม ไรซี ของอิหร่าน ระหว่างนี้ ได้แจ้งต่อผู้นำอิหร่านว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย กำลังหาทางปรับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเพื่อรับมือกับนโยบายที่เห็นแก่ตัว และก้าวร้าวรุกรานของกลุ่มประเทศตะวันตก
————
ภาพ: AFP

#TNNWorldNews #รัสเซีย #อิหร่าน
#เจาะลึกรอบโลก #TNNOnline
————
อัพเดทข่าวไฮไลต์และบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจ มาเป็นเพื่อนใน Line กับ TNN World คลิก https://lin.ee/LdHJXZt

ติดตาม TNN World ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
Website : https://bit.ly/TNNWorldWebsite
Youtube : https://bit.ly/TNNWorldTodayYouTube
TikTok : https://bit.ly/TNNWorldTikTok

 

China: จีนประสบความสำเร็จในการส่งดาวเทียมสำรวจในกลุ่ม ‘เหยาก่าน-35’ จำนวน 3 ดวง ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศในวันนี้ (23 มิถุนายน)

จีนประสบความสำเร็จในการส่งดาวเทียมสำรวจระยะไกลจำนวน 3 ดวง ทะยานขึ้นจากศูนย์ปล่อยดาวเทียมในเมืองซีชาง มณฑลเสฉวน ของจีน ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศในวันนี้ (23 มิถุนายน) นับเป็นดาวเทียมในกลุ่ม ‘เหยาก่าน-35’ กลุ่มที่ 2 ที่ถูกพาขึ้นไปยังชั้นบรรยากาศของโลกโดยจรวดขนส่ง ‘ลอง มาร์ช-2D’ หลังจากที่ดาวเทียมกลุ่มแรกถูกส่งขึ้นไปยังชั้นบรรยากาศเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนปีที่แล้ว ในขณะเดียวกัน ก็นับเป็นภารกิจครั้งที่ 424 ของจรวดขนส่งในตระกูล ‘ลอง มาร์ช’ อีกด้วย

ส่วนจุดประสงค์หลักของดาวเทียมที่ส่งขึ้นไปนั้น หลัก ๆ จะใช้ประโยชน์ในเรื่องการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ สำหรับทรัพยากรบนพื้นดิน และผลผลิตทางการเกษตร รวมถึงใช้สำหรับป้องกันภัยพิบัติและลดความเสียหายที่เกิดขึ้น
————
ภาพ: Xinhua

#TNNWorldNews #จีน #ดาวเทียม #เหยาก่าน35
#เจาะลึกรอบโลก #TNNOnline
————
อัพเดทข่าวไฮไลต์และบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจ มาเป็นเพื่อนใน Line กับ TNN World คลิก https://lin.ee/LdHJXZt

ติดตาม TNN World ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
Website : https://bit.ly/TNNWorldWebsite
Youtube : https://bit.ly/TNNWorldTodayYouTube
TikTok : TNNWorldTikTok

/

 

Quote: ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ระบุ เวลาได้พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่า มาตรการคว่ำบาตรเป็นบูมเมอแรงและเป็นดาบ 2 คม เตือนการคว่ำบาตรกำลังนำหายนะมาสู่คนทั้งโลก ในการกล่าวเปิดการประชุมเศรษฐกิจกลุ่มประเทศ ‘บริกส์’ (BRICS)

“เวลาได้พิสูจน์อีกครั้งแล้วว่า การคว่ำบาตรกลายเป็น บูมเมอแรง และดาบ 2 คม การทำให้การเมืองเป็นเครื่องมือ สร้างอาวุธต่อเศรษฐกิจโลก พร้อมตั้งใจกำหนดบทลงโทษ โดยใช้ประโยชน์จากสถานะการมีบทบาทสำคัญในการเงินโลก สุดท้ายมันจะจบลงด้วยการทำร้ายผลประโยชน์ของตนเองและผู้อื่น รวมถึงก่อให้เกิดความทุกข์แก่ผู้คนทั่วโลกด้วย” ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน กล่าวเปิดประชุมเวทีการประชุมเศรษฐกิจกลุ่มประเทศ ‘บริกส์’ ที่กรุงปักกิ่ง ผ่านทางวีดิโอลิงก์เมื่อวานนี้ (22 มิถุนายน) กล่าว

นอกจากนี้ ผู้นำจีน กล่าวเสริมว่า โลกควรจะร่วมมือกันและร่วมกันขยายความเปิดกว้างและการมีส่วนร่วมกันในเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ แต่อาจจะมีบ้างบางช่วงเวลา ที่เศรษฐกิจโลกาวัตน์อาจประสบกับกระแสต้าน ทำให้บางประเทศพยายามจะตัดขาดจากประเทศอื่น ๆ ตัดห่วงโซ่อุปทาน และสร้างพื้นที่เล็ก ๆ ของตัวเองที่ล้อมด้วยรั้วสูง

“เศรษฐกิจโลกาภิวัฒน์เป็นการตอบสนองเพื่อการพัฒนาผลิตภาพ และแสดงถึงแนวโน้มทางประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจหยุดยั้ง ใครก็ตามที่พยายามหมุนกลับวงล้อแห่งประวัติศาสตร์ และปิดกั้นทางของผู้อื่น จะถูกปิดกั้นทางของเขาเอง” สี กล่าว

กลุ่มประเทศบริกส์ ประกอบด้วยประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ 5 ประเทศคือ จีน รัสเซีย อินเดีย บราซิล และแอฟริกาใต้ รวมกันมีประชากร 40% ของประชากรโลก และมีสัดส่วนเศรษฐกิจรวมกัน 25% ของเศรษฐกิจโลก

อย่างไรก็ตาม ฮวน ยานจง ผู้อาวุโสด้านสาธารณสุขโลก ณ สภาวิเทศสัมพันธ์ กล่าวกับสำนักข่าว Al Jazeera ว่า กลุ่มความร่วมมือดังกล่าว เป็นการตอบโต้ทางการทูตอย่างหนึ่งของจีน ต่อการฟื้นตัวขององค์การนาโต และต้องการรักษาอิทธิพลของจีนในภูมิภาคอินโด-แปซิกฟิกไว้ต่อไป

“จีนรู้สึกว่าตนเองมีความโดดเดี่ยวมากขึ้นในตอนนี้ ขณะที่ ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และพันธมิตรยังคงดำเนินต่อไป อันเป็นผลมาจากการสนับสนุนอย่างมีนัยสำคัญ ต่อปฏิบัติการทางทหารของรัสเซีย” ฮวน กล่าว
————
ภาพ: Reuters
#TNNWorldNews #Quote #จีน #บริกส์
#เจาะลึกรอบโลก #TNNOnline
————
อัพเดทข่าวไฮไลต์และบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจ มาเป็นเพื่อนใน Line กับ TNN World คลิก https://lin.ee/LdHJXZt

ติดตาม TNN World ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
Website : https://bit.ly/TNNWorldWebsite
Youtube : https://bit.ly/TNNWorldTodayYouTube
TikTok : https://bit.ly/TNNWorldTikTok

 

Monkeypox: ผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั่วโลกเพิ่มเป็นกว่า 3,400 คนใน 58 ประเทศ อนามัยโลกประชุมฉุกเฉินวันนี้ เพื่อตัดสินใจว่า จะประกาศให้ฝีดาษลิงเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขโลกหรือไม่

องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ประชุมฉุกเฉินในวันนี้ (23 มิถุนายน) เพื่อตัดสินใจว่าจะประกาศให้ฝีดาษลิง เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขของโลกหรือไม่

ด้านเว็บไซต์ด้านสุขภาพที่มีชื่อว่า เครือข่ายสุขภาพโลก หรือ WHN รายงานวันนี้ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั่วโลก เพิ่มขึ้นเป็น 3,417 คนใน 58 ประเทศ ขณะนี้ฝีดาษลิงกำลังระบาดอย่างรวดเร็วไปในหลายทวีป และการระบาดจะไม่หยุดลง หากปราศจากการดำเนินมาตรการป้องกันร่วมกันทั่วโลก

พร้อมกันนี้ เว็บไซต์ WHN ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพนานาชาติ ได้ประกาศให้ฝีดาษลิงเป็นโรคระบาดระดับโลกเมื่อวานนี้ (22 มิถุนายน) ก่อนหน้าที่ WHO จะเปิดประชุมฉุกเฉิน

เว็บ WHN เตือนด้วยว่า แม้ว่าฝีดาษลิงจะมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่าฝีดาษในคนมาก แต่หากไม่หยุดการระบาดของฝีดาษลิงตั้งแต่ตอนนี้ อาจทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายล้านคนได้ และฝีดาษลิงยังอาจทำให้คนอีกจำนวนมาก อาจต้องกลายเป็นคนพิการทางสายตาและความพิการด้านอื่น ๆ ได้

เว็บไซต์ WHN ยังกระตุ้นเตือน WHO ก่อนหน้าการประชุมฉุกเฉินในวันนี้ว่า WHO จะต้องเร่งประกาศให้ฝีดาษลิงเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุข โดยเตือนให้นึกถึงบทเรียนเรื่องโควิด-19 ที่ WHO เคยประกาศล่าช้า

หลัง WHO ไม่ยอมประกาศในทันที ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมกราคมปี 2020 เป็นบทเรียนสำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่แสดงให้เห็นว่า การลงมือทำอย่างล่าช้าเกี่ยวกับโรคระบาดนั้น ส่งผลร้ายอย่างไรต่อโลก
————
ภาพ: Getty Images

#TNNWorldNews #ฝีดาษลิง #โรคระบาด
#เจาะลึกรอบโลก #TNNOnline
————
อัพเดทข่าวไฮไลต์และบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจ มาเป็นเพื่อนใน Line กับ TNN World คลิก https://lin.ee/LdHJXZt

ติดตาม TNN World ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
Website : https://bit.ly/TNNWorldWebsite
Youtube : https://bit.ly/TNNWorldTodayYouTube
TikTok : https://bit.ly/TNNWorldTikTok

 

Russia-Ukraine War: อิงกริดา ซีมอนิเต นายกรัฐมนตรีลิทัวเนีย แถลงว่า รัสเซียอ้างเกี่ยวกับการปิดเส้นทางรถไฟไปยังแคว้นคาลินินกราด ซึ่งเป็นดินแดนส่วนแยกในทะเลบอลติกของรัสเซีย ไม่เป็นความจริง ด้านประชาชนในคาลินินกราด ไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรครั้งนี้เท่าใดนัก

คาลินินกราดซึ่งอยู่ในทะเลบอลติก และใช้เส้นทางรถไฟเชื่อมต่อกับรัสเซีย ผ่านลิทัวเนีย ทั้งรถไฟโดยสารและรถไฟขนส่งสินค้า โดยลิทัวเนียห้ามการขนส่งเหล็กและโลหะอื่น ๆ ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติ หรืออียู ในวันเสาร์ที่ผ่านมา และรัสเซียขู่ตอบโต้ พร้อมทั้งประณามมาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวว่า ผิดกฎหมายและยอมรับไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนถึงสิ่งที่นิโคไล พาทรูเชฟ ประธานสภาความมั่นคงของรัสเซีย ออกมาขู่ว่า ประชาชนลิทัวเนียจะได้รับผลกระทบในเชิงลบที่เลวร้าย ว่าคือเรื่องใดและจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่

ซีมอนิเต นายกฯ ลิทัวเนีย อธิบายว่า ผู้โดยสารยังคงสามารถเดินทางจากรัสเซียข้ามดินแดนของลิทัวเนียไปยังคาลินินกราด ได้อย่างอิสระ และมีเพียง 1% ของรถไฟขนส่งสินค้าจากรัสเซียเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ โดยรัฐบาลลิทัวเนียปฏิบัติตามมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียที่กำหนดโดยอียู กรณีปฏิบัติการทางทหารในยูเครนของรัสเซีย

เจ้าหน้าที่ทูตระดับสูงคนหนึ่งในกรุงบรัสเซลส์ กล่าวว่า การแถลงของรัสเซียเกี่ยวกับการปิดเส้นทางรถไฟดังกล่าว เป็นการบิดเบือนข้อมูล และไม่เป็นความจริงอย่างสิ้นเชิง

ทั้งนี้ รัสเซียผนวกเอาดินแดนคาลินินกราดเป็นของตนเองหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1945 และมีประชากรประมาณ 1 ล้านคนอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้

ส่วนประชาชนในคาลินินกราด ที่ถูกประกบระหว่างโปแลนด์และลิทัวเนีย ซึ่งเป็นสมาชิกอียูและองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต ไม่ได้สะทกสะท้ายกับการห้ามขนส่งของลิทัวเนีย

มาตรการคว่ำบาตรของอียูที่มีต่อรัสเซีย รวมทั้งถ่านหิน เหล็ก วัสดุก่อสร้างและเทคโนโลยี และครอบคลุมรายการสินค้าที่คาลินินกราดนำเข้าประมาณ 50%

เจ้าหน้าที่กล่าวว่า ในร้านค้าปลีกของชำ สถานการณ์ยังปกติ ข้อมูลการซื้อขายไม่ได้เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลของหนึ่งสัปดาห์ หรือหนึ่งเดือนก่อนหน้า มาตรการคว่ำบาตรเหล่านี้ ไม่ได้มีผลต่อสินค้าประเภทอาหาร และสินค้าครัวเรือนจำเป็นที่ไม่ใช่อาหาร

อย่างไรก็ตาม ประชาชนบางคนกล่าวว่า พวกเขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับการห้ามขนส่งดังกล่าว
————
ภาพ: Reuters

#TNNWorldNews #ลิทัวเนีย #รัสเซีย #ยุโรป
#เจาะลึกรอบโลก #TNNOnline
————
อัพเดทข่าวไฮไลต์และบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจ มาเป็นเพื่อนใน Line กับ TNN World คลิก https://lin.ee/LdHJXZt

ติดตาม TNN World ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
Website : https://bit.ly/TNNWorldWebsite
Youtube : https://bit.ly/TNNWorldTodayYouTube
TikTok : https://bit.ly/TNNWorldTikTok

 

Editor's Pick: นายกฯ ศรีลังกา ยอมรับ 'เศรษฐกิจของประเทศพังทลายแล้ว'

หลังจากที่ศรีลังกาเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจหนักที่สุดในรอบ 70 ปี ในที่สุดนายกรัฐมนตรีศรีลังกาก็ยอมรับว่า เศรษฐกิจของประเทศพังทลายอย่างสิ้นเชิงแล้ว

◾◾◾
นายกฯศรีลังกายอมรับเศรษฐกิจล่มสลาย

ท่าทีล่าสุดของนายกรัฐมนตรีศรีลังกามีขึ้นหลังจากเศรษฐกิจของศรีลังกาต้องแบกรับหนี้สินหนักอึ้ง ประชาชนเผชิญปัญหาขาดแคลนอาหารและพลังงานมานานหลายเดือน ขณะที่ความหวังของศรีลังกาขณะนี้ฝากไว้กับความช่วยเหลือจาก IMF

นายกรัฐมนตรีรานิล วิกรมสิงเห ของศรีลังกา แถลงต่อสมาชิกรัฐสภาเมื่อวานนี้ (23 มิ.ย.) ว่า เศรษฐกิจพังทลายแล้ว หลังจากที่ต้องแบกรับภาระหนี้สินหนักอึ้ง และต้องเผชิญปัญหาขาดแคลนอาหาร, เชื้อเพลิงและไฟฟ้า นานหลายเดือน ซึ่งเป็นถ้อยแถลงที่ตอกย้ำให้เห็นสถานการณ์ยากลำบากของประเทศ ขณะพยายามขอความช่วยหลือจากสถาบันการเงินต่างชาติ

รานิล วิกรมสิงเห กล่าวกับรัฐสภาว่า ศรีลังกาเผชิญกับ “สถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างมาก มากกว่าการขาดแคลนอย่างเดียว” และเตือนว่า “มีความเป็นไปได้ที่ประเทศจะร่วงลงสู่ก้นเหว”

เขากล่าวว่า เศรษฐกิจของศรีลังกา ล่มสลายอย่างสิ้นเชิงแล้ว

◾◾◾
เผชิญปัญหารอบด้าน โควิดซ้ำเติมวิกฤต

การออกมายอมรับสภาพการณ์ในประเทศของนายกรัฐมนตรีศรีลังกาในครั้งนี้ ไม่ได้มีการระบุถึงความคืบหน้าใหม่ใด ๆ แต่น่าจะมีจุดประสงค์เพื่อการเน้นย้ำให้นักการเมืองฝ่ายค้านเห็นว่า เขาแบกรับหน้าที่อันยากลำบากที่ไม่สามารถแก้ได้ในเร็ววัน เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศเต็มไปด้วยภาระหนี้ รายได้จากการท่องเที่ยวที่หายไป และผลกระทบอื่น ๆ จากการระบาดของโควิด-19 รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น

ในสัปดาห์นี้ สมาชิกสภาจากพรรคฝ่ายค้านหลักสองพรรคไม่เข้าร่วมการประชุมสภาเพื่อประท้วงนายกรัฐมนตรี วิกรมสิงเห ที่ไม่สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ โดยนายกฯ ผู้นี้เข้ารับตำแหน่งได้เพียงหนึ่งเดือนควบคู่กับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง

วิกรมสิงเห กล่าวว่า ศรีลังกาไม่สามารถซื้อพลังงานนำเข้าได้ เนื่องจากบริษัทพลังงานของรัฐบาลซีลอน ปิโตรเลียม คอร์ปอเรชั่น (Ceylon Petroleum Corporation) เป็นหนี้ 700 ล้านดอลลาร์ ทำให้ไม่มีประเทศ หรือองค์กรใดต้องการขายน้ำมันให้ศรีลังกา

วิกรมสิงเห เข้ารับตำแหน่งหลังเกิดเหตุประท้วงรุนแรงต่อวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศ ทำให้นายกรัฐมนตรีคนก่อนต้องลงจากตำแหน่ง โดยวิกรมสิงเหกล่าวหารัฐบาลชุดก่อนว่า ดำเนินการล่าช้า ขณะที่ทุนสำรองระหว่างประเทศของศรีลังกาลดน้อยลง

◾◾◾
เจรจาแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจกับ IMF

วิกฤตทุนสำรองระหว่างประเทศของศรีลังกาส่งผลต่อการนำเข้าสินค้าของประเทศ ทำให้ศรีลังกาขาดอาหาร น้ำมัน ไฟฟ้า และปัจจัยสำคัญอื่น ๆ เช่น ยา ทำให้ประชาชนต้องต่อแถวยาวเพื่อรอรับสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ

ที่ผ่านมา ศรีลังกาได้รับวงเงินเครดิตจากอินเดียเป็นมูลค่า 4,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจของประเทศ แต่วิกรมสิงเหระบุว่า อินเดียคงไม่สามารถช่วยเหลือศรีลังกาได้ในระยะยาว

นอกจากนี้ ธนาคารโลกระบุว่า จะมอบความช่วยเหลือ 300-600 ล้านดอลลาร์ แก่ศรีลังกาเพื่อใช้ซื้อยาและสิ่งของจำเป็นอื่น ๆ ด้วย

ก่อนหน้านี้ ศรีลังกาประกาศว่าจะระงับการชำระหนี้ต่างชาติจำนวน 7,000 ล้านดอลลาร์ที่มีกำหนดชำระในปีนี้ ในระหว่างที่รอผลการเจรจากับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ เกี่ยวกับแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ศรีลังกาต้องชำระเงินคืนไอเอ็มเอฟ เฉลี่ยปีละ 5,000 ล้านดอลลาร์จนถึงปี ค.ศ. 2026

นายกฯ ศรีลังกา ระบุว่า ความช่วยเหลือจากไอเอ็มเอฟ เหมือนจะเป็นหนทางเดียวของประเทศ โดยเจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟได้เดินทางเยือนศรีลังกาเพื่อหารือถึงแผนฟื้นฟูแล้ว และคาดว่าจะสรุปข้อตกลงระดับเจ้าหน้าที่ได้ภายในสิ้นเดือนหน้า

—————
แปล-เรียบเรียง: สุภาพร เอ็ลเดรจ
ภาพ: Reuters

#TNNWorldNews #EditorsPick #ศรีลังกา #หนี้ #เศรษฐกิจ
#เจาะลึกรอบโลก #TNNOnline

ข้อมูลอ้างอิง:
การรวบรวมของทีมข่าว TNN World
————
อัพเดทข่าวไฮไลต์และบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจ มาเป็นเพื่อนใน Line กับ TNN World คลิก https://lin.ee/LdHJXZt

ติดตาม TNN World ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
Website : https://bit.ly/TNNWorldWebsite
Youtube : https://bit.ly/TNNWorldTodayYouTube
TikTok : https://bit.ly/TNNWorldTikTok

 

United Kingdom: ริชี สุนัค รัฐมนตรีคลังสหราชอาณาจักร แถลง ราคาอาหารที่เพิ่มสูงขึ้น ผลักดันให้ราคาผู้บริโภคอังกฤษ พุ่งไปอยู่ที่ 9.1% เมื่อเดือนที่แล้ว สูงสุดในรอบ 40 ปี ธนาคารกลางจะทำหน้าที่เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ “อย่างแข็งขัน”

สุนัค กล่าวในวันพุธ (22 มิถุนายน) ว่า รัฐบาลกำลังใช้เครื่องมือทั้งหมดที่มีอยู่ เพื่อต่อสู้กับราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น หลังราคาสินค้ายังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบ 40 ปี เนื่องจากต้นทุนอาหาร พลังงานและเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้น

สำนักงานสถิติแห่งชาติของสหราชอาณาจักร หรือ ONS แถลงว่า ภาวะเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นอัตราตามราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 9.1% ในช่วง 12 เดือนถึงเดือนพฤษภาคม จาก 9% ในเดือนเมษายน

ราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนมปัง ซีเรียล และเนื้อ ล่าสุดนี้ก็ผลักดันค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้แรงงานและสหภาพแรงงานเรียกร้องขอขึ้นค่าแรง เพื่อช่วยแบ่งเบาค่าครองชีพที่สูงขึ้น แต่รัฐบาลอังกฤษ เตือนนายจ้างไม่ให้ขึ้นเงินเดือนในระดับที่สูงมาก เนื่องจากกลัวว่า จะเกิด “กระแสเงินเฟ้อ” ซ้ำรอยทศวรรษที่ 1970 ซึ่งราคาสินค้าพุ่งสูงตาม เพราะค่าแรงขึ้น

ปัจจุบันนี้ ภาวะเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงสุดตั้งแต่เดือนมีนาคม 1982 ซึ่งอยู่ที่ 9.1% เช่นกัน และแบงก์ ออฟ อิงแลนด์ หรือธนาคารกลางอังกฤษ เตือนว่า เงินเฟ้ออาจพุ่งแตะ 11% ในปีนี้

ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนมากกว่า 4,000 คน โดยสำนักข่าว BBC พบว่า 82% ระบุว่า พวกเขาคิดว่า ควรจะขึ้นค่าแรงให้สอดคล้องกับราคาสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น

ครัวเรือนต้องรับภาระต้นทุนราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น 700 ปอนด์ต่อปีอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเดือนเมษายน และราคาเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นในเดือนมิถุนายน หมายความว่า ต้นทุนในการเติมน้ำมันให้กับรถยนต์ของครอบครัว เฉลี่ยมากกว่า 100 ปอนด์

แรงงานการรถไฟ ผละงานประท้วงในวันอังคาร ทำให้เกิดภาวะชะงักงันรุนแรง และยังมีแผนหยุดงานประท้วงเพิ่มอีกในวันพฤหัสบดีและวันเสาร์ จากความขัดแย้งเรื่องค่าแรง, งานและสภาพการทำงาน โดยสหภาพการรถไฟ การเดินเรือและการขนส่ง หรือ RMT เรียกร้องให้ขึ้นค่าแรง 7% ขณะที่นายจ้างเสนอให้ขึ้นสูงสุด 3%
————
ภาพ: Reuters

#TNNWorldNews #อังกฤษ #เงินเฟ้อ
#เจาะลึกรอบโลก #TNNOnline
————
อัพเดทข่าวไฮไลต์และบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจ มาเป็นเพื่อนใน Line กับ TNN World คลิก https://lin.ee/LdHJXZt

ติดตาม TNN World ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
Website : https://bit.ly/TNNWorldWebsite
Youtube : https://bit.ly/TNNWorldTodayYouTube
TikTok : https://bit.ly/TNNWorldTikTok

 

America: ผู้นำสหรัฐฯ เรียกร้องให้รัฐสภา ผ่านความเห็นชอบพักการเก็บภาษีน้ำมันเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อบรรเทาราคาน้ำมันแพงและเงินเฟ้อ ช่วยเหลือครอบครัวชาวอเมริกันชั่วคราวในช่วงฤดูร้อนนี้

เมื่อวันพุธ (22 มิถุนายน) ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ เสนอให้รัฐสภา พิจารณาอนุมัติการพักการเก็บภาษีรัฐบาลกลาง สำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซล เป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งผู้ติดตามสถานการณ์ทางการเมืองมองว่า น่าจะเป็นนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อพรรคเดโมแครตก่อนที่จะมีการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือนพฤศจิกายนนี้

พร้อมกันนั้น ไบเดน ยังร้องขอรัฐสภาของทุกรัฐทั่วประเทศ พิจารณาการพักการเรียกเก็บภาษีน้ำมันของตน หรือออกนโยบายช่วยเหลือที่คล้าย ๆ กันออกมา สำหรับประชาชนที่ถูกกดดันอย่างหนักจากปัญหาราคาน้ำมันแพงและเงินเฟ้อพุ่งสูงในเวลานี้ พร้อมแสดงความเห็นเชิงวิพากษ์อุตสาหกรรมพลังงานของประเทศว่า เห็นแก่กำไร แทนที่จะเร่งยกระดับการผลิตด้วย

ผู้นำสหรัฐฯ แสดงความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันได้ทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อจัดการกับปัญหาราคาน้ำมันแพงแล้ว โดยกล่าวว่า เขาได้ทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว จึงต้องการให้รัฐสภา รัฐต่าง ๆ และอุตสาหกรรมพลังงาน ทำหน้าที่ของตนด้วยเช่นกัน

ปัจจุบัน รัฐบาลกลางเก็บภาษี 18.4 เซนต์ต่อน้ำมันเบนซิน 1 แกลลอน และ 24.4 เซนต์ต่อน้ำมันดีเซล 1 แกลลอนอยู่ ซึ่งหากมีการดำเนินมาตรการพักเก็บภาษีจริงและมีการส่งผ่านความช่วยเหลือตามคำร้องขอของไบเดน ไปยังประชาชนได้ครบถ้วน ผู้ขับขี่รถทั้งหลายจะประหยัดค่าน้ำมันได้ราว 3.6% จากระดับราคาเฉลี่ยที่ 5 ดอลลาร์ต่อแกลลอนในเวลานี้

แต่จะต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ซึ่งสมาชิกรัฐสภาจากทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่ ต่างแสดงความลังเลในการพักการจัดเก็บภาษีดังกล่าว โดยสมาชิกพรรคเดโมแครตบางคน ซึ่งรวมทั้ง แนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎร กังวล และไม่ได้แสดงตัวสนับสนุนแผนงานดังกลาว โดยระบุเพียงว่า จะต้องขอดูแรงหนุนจากสมาชิกในรัฐสภาเสียก่อน

ในระหว่างการกล่าวปราศรัย ไบเดน ผูกโยงประเด็นน้ำมันแพงกับการที่รัสเซียปฏิบัติการทางทหารในยูเครน โดยระบุว่า การปกป้องเสรีภาพ การปกป้องประชาธิปไตย ไม่ได้เป็นสิ่งที่จะเกิดได้ง่าย ๆ โดยไม่มีต้นทุนสำหรับประชาชนชาวอเมริกันและสำหรับทุกคนในโลกเสรี

พร้อมชี้ว่า สมาชิกรัฐสภานั้นล้วนสนับสนุนการดำเนินมาตรการลงโทษรัสเซียและมาตรการช่วยเหลือยูเครน แม้ว่าจะมีความเสี่ยงเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดแคลนอาหารและพลังงานก็ตาม

บางรัฐ เช่น นิวยอร์กและคอนเนตทิคัต ได้ระงับภาษีน้ำมันของรัฐแล้ว ขณะที่บางรัฐได้เสนอแนวคิดที่แตกต่าง เช่น ส่วนลดผู้บริโภคและการบรรเทาทุกข์โดยตรง

อย่างไรก็ตาม ความพยายามของผู้นำสหรัฐฯ น่าจะเผชิญแรงต้านหนักในรัฐสภา เพราะมีสมาชิกสภาไม่น้อย ซึ่งรวมถึงส่วนที่สังกัดพรรคเดโมแครตเอง ที่ไม่เห็นด้วยการพักการเก็บภาษีน้ำมันเสียทีเดียว ขณะที่ นักเศรษฐศาสตร์หลายคนแสดงความเคลือบแคลงสงสัยต่อแนวคิดนี้ด้วย

ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ชี้ว่า การพักการเก็บภาษีน้ำมันของรัฐบาลกลางและของรัฐ รวมทั้งการที่บริษัทพลังงานทั้งหลายลงทุนเพิ่มในการยกระดับการผลิตและการกลั่น จะช่วยลดราคาน้ำมันในประเทศได้ถึง 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อแกลลอนเลยทีเดียว
————
ภาพ: Reuters

#TNNWorldNews #สหรัฐฯ #เงินเฟ้อ #น้ำมัน
#เจาะลึกรอบโลก #TNNOnline
————
อัพเดทข่าวไฮไลต์และบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจ มาเป็นเพื่อนใน Line กับ TNN World คลิก https://lin.ee/LdHJXZt

ติดตาม TNN World ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
Website : https://bit.ly/TNNWorldWebsite
Youtube : https://bit.ly/TNNWorldTodayYouTube
TikTok : https://bit.ly/TNNWorldTikTok

 

Estonia: เอสโตเนีย เชิญตัวทูตรัสเซียมาตักเตือนกรณีที่เฮลิคอปเตอร์ของรัสเซีย รุกล้ำเข้ามาในน่านฟ้าของเอสโตเนียโดยที่ไม่ขออนุญาต

สำนักข่าว Reuters รายงานว่า รัฐบาลเอสโตเนีย ได้เรียกตัวทูตรัสเซียประจำเอสโตเนียเข้าไปตักเตือนเป็นครั้งที่ 2 ในช่วงไม่ถึง 2 สัปดาห์ หลังจากที่ล่าสุด เอสโตเนียไม่พอใจที่เฮลิคอปเตอร์ของรัสเซียรุกล้ำน่านฟ้าทางตะวันออกเฉียงใต้ของเอสโตเนียโดยที่ไม่ได้ขออนุญาต เมื่อวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ร้ายแรงและไม่สามารถยอมรับได้

ก่อนหน้านี้ เอสโตเนีย เพิ่งจะเรียกทูตรัสเซียมาตักเตือน เมื่อวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา กรณีที่ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้ออกแถลงการณ์สรรเสริญ จักรพรรดิปีเตอร์ที่ 1 แห่งจักรวรรดิรัสเซีย ที่รวบรวมดินแดนที่ปัจจุบันคือ เอสโตเนีย ให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซียได้สำเร็จ

ทั้งนี้ เอสโตเนีย ลิทัวเนีย และลัตเวีย เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซียในอดีต และเคยได้รับเอกราชหลังจากที่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ในปี 1940 ทั้ง 3 ดินแดนก็ถูกผนวกเข้ากับสหภาพโซเวียตอีกครั้ง จนกระทั่งปี 1991 ทั้ง 3 ดินแดนถึงได้รับเอกราชต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
————
ภาพ: Freepik

#TNNWorldNews #เอสโตเนีย #รัสเซีย
#เจาะลึกรอบโลก #TNNOnline
————
อัพเดทข่าวไฮไลต์และบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจ มาเป็นเพื่อนใน Line กับ TNN World คลิก https://lin.ee/LdHJXZt

ติดตาม TNN World ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
Website : https://bit.ly/TNNWorldWebsite
Youtube :