ติดตามสถานะการณ์

หลายคนเข้าใจว่าดวงอาทิตย์ไม่หมุนรอบตัวเอง
#เรื่องที่มักเข้าใจผิด
.
-จริงๆแล้วดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเองแน่นอน
-แต่มันไม่ได้หมุนเหมือนลูกข่างหรือลูกฟุตบอลที่หมุนไปพร้อมกันทั้งลูก
-เนื่องจากดวงอาทิตย์เป็นก๊าซร้อนทั้งลูกตั้งแต่ผิวนอกไปจนถึงแกนกลาง แต่ละส่วนจึงหมุนเร็วไม่เท่ากัน
-บริเวณเส้นศูนย์สูตรของดวงอาทิตย์จะหมุนเร็วกว่าบริเวณขั้ว ซึ่งบริเวณเส้นศูนย์สูตรจะหมุนครบรอบราว 25 วัน
-ที่ตำแหน่งเหนือเส้นศูนย์สูตรขึ้นมา 45 องศาจะหมุนครบรอบภายในเวลา 28 วัน
-ส่วนบริเวณขั้วจะหมุนครบรอบภายใน 35วัน
-การหมุนของดวงอาทิตย์นั้นเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ทางสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์รวมทั้งการปรากฏของจุดบนดวงอาทิตย์(sun spot)อย่างมาก

 

#ปฏิบัติการเชือด2คนสนิท_สี่จิ้นผิง
#จากหัวหน้าหน่วยลับสู่คลื่นใต้น้ำในพรรคคอมมิวนิสต์จีน

จากกระแสลือสนั่นในโลกออนไลน์ เกี่ยวกับการรัฐประหารเงียบในจีน ที่มีเป้าหมายเพื่อโค่นล้ม สี่ จิ้นผิง ผู้นำสูงสุดของจีน ก่อนการประชุมใหญ่ของสภาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งชาติจีน ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 16 ตุลาคมที่จะมีการลงมติรับรอง สี่ จิ้นผิง เป็นผู้นำจีนต่อในสมัยหน้า แม้ตอนนี้จะยังไม่มีการยืนยันข่าวลือใดๆทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ค่อนข้างชัดเจนในระบบการเมืองหลังม่านไม้ไผ่อันแน่นหนาของจีนก็คือ "คลื่นใต้น้ำ" ในพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้น มีอยู่จริง

ในขณะที่สำนักข่าวต่างประเทศกำลังจับตามองสถานการณ์อันคลุมเครือในจีน และเฝ้ารอการปรากฏตัวออกสื่อของสี่ จิ้นผิง ว่ายังปกติดีหรือไม่ ก็มีนักวิเคราะหจำนวนไม่น้อยเชื่อมโยงข่าวลือนี้ กับ 2 คดีใหญ่ที่ศาลสูงจีนเพิ่งตัดสินไปเมื่อ 2 วันก่อนจะเกิดข่าวลือรัฐประหารในจีนนี้

คดีนั้น ก็คือการตัดสินโทษประหารชีวิต 2 นักการเมืองที่เคยดำรงตำแหน่งสูงระดับรัฐมนตรีที่เคยได้ชื่อว่าเป็นดาวรุ่งของพรรคคอมมิวนิสต์ มีแววพอที่จะขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุดของจีนก็เป็นไปได้ด้วย

2 นักการเมืองปีกหักคนนั้นคือ ฝู เจิ้งหัว และ ซุน ลี่จุน

ซุน ลี่จุน เป็นอดีตรองรัฐมนตรีด้านความมั่นคงสาธารณะ และเป็นสมาชิกระดับสูงในพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่เคยสร้างผลงานไว้มากมาย อีกทั้งยังเคยนำทีมควบคุมโรคลงพื้นที่เมืองอู่ฮั่นตอนที่เกิดการระบาด Covid-19 ใหม่ๆด้วย

แต่ไปๆ มาๆ เมื่อเดือนเมษายน 2020 ซุน ลี่จุน ถูกทางการจีนจับกุมตัวด้วยข้อหา คอร์รัปชั่น รับสินบนกว่า 646 ล้านหยวน (ประมาณ 3.4 พันล้านบาท) ตลอดระยะเวลาที่เขาเล่นการเมืองตั้งแต่ 2001-2020 อีกทั้งยังถูกกล่าวหาว่า ใช้อำนาจทางการเมืองเข้าไปชักใยในตลาดหุ้นจีน เพื่อหาผลประโยชน์นับร้อยล้านหยวน และครอบครองปืนอย่างผิดกฏหมายอีก 2 กระบอก

แต่ข้อหาที่ดูจะหนักสุดจริงๆ คือ มีหลักฐานว่า ซุน ลี่จุน สมคบคิดกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลทางการเมืองในการซ่องสุมอำนาจเพื่อเป็นใหญ่ในพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งกลุ่มการเมืองนี้มีชื่อว่า "แก๊งค์เซี่ยงไฮ้"

แก๊งค์เซี่ยงไฮ้ ก่อตั้งโดยอดีตผู้นำจีน เจียง เจ๋อหมิน ถือเป็นกลุ่มก้อนการเมืองมุ้งใหญ่ในพรรคคอมมิวนิสต์จีน แม้ว่าตัว เจียง เจ๋อหมิน จะไม่ได้เป็นผู้นำของจีนมาหลายสมัยแล้ว แต่กลุ่มแก๊งค์เซี่ยงไฮ้ ยังมีอิทธิพลอย่างมากในการกำหนดตัวเลือกผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน และตอนนี้ก็เป็นปฏิปักษ์กับ สี่ จิ้นผิง ผู้นำจีนคนปัจจุบันซะด้วย

เมื่อเจอหลักฐานที่ตัดคะแนนจิตพิสัยติดลบเข้าไป คดีของ ซุน ลี่จุน ก็ถูกตัดสินอย่างไร้ปรานีด้วยโทษจำคุกตลอดชีวิต และหมดสิทธิ์ในการอุทธรณ์

ซึ่งก่อนหน้านี้เพียงวันเดียว ในศาลเดียวกัน ก็ได้พิจารณาโทษ คดีนักการเมืองอีกคนซึ่งเป็นเพื่อนกับ ซุน ลี่จุน เสียด้วย นั่นก็คือ ฝู เจิ้งหัว อดีตรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม พ่วงตำแหน่งรองผู้บังคับบัญชาตำรวจแห่งชาติ ที่สี่ จิ้นผิง เป็นคนแต่งตั้งด้วยตัวเอง

คดีของ ฝู เจิ้งหัว นั้น ดังยิ่งกว่าคดีของ ซุน ลี่จุน เสียอีก เพราะ ฝู เจิ้งหัว เคยได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในการเมืองมือขวาคนสนิทที่สุดคนหนึ่งของลุงสี่ และมีโอกาสขึ้นมาแทนที่ลุงก็ย่อมได้ ถ้าลุงสี่ ยอมสละตำแหน่งไปอยู่บ้านเลี้ยงหลาน

และลุงสี่ แกเคยไว้ใจฝู เจิ้งหัว ขนาดแต่งตั้งให้คุมหน่วยพิเศษ 610 ที่เป็นเหมือนหน่วยตำรวจลับเกสตาโปแห่งประเทศจีน ซึ่งตอนแรกตั้งไว้คอยจับตาขบวนการลัทธิใต้ดินฝ่าหลุนกง มาก่อน แต่หลังจากที่ สี่ จิ้นผิง เข้ามาก็ปรับเปลี่ยนมาสอดส่องบุคคลที่เป็นปรปักษ์ ไม่จงรักภักดีกับพรรคคอมมิวนิสต์

และหน่วย 610 ก็ทำให้ทั้ง ฝู เจิ้งหัว และ ซุน ลี่จุน เป็นเพื่อนร่วมงานที่สนิทกันมาก และได้สร้างผลงานชิ้นโบว์แดงให้กับสี่ จิ้นผิง คือการกวาดล้างนักการเมืองคอร์รัปชั่นครั้งใหญ่ ที่ทรงอิทธิพลของจีนหลายคน หนึ่งในนั้นคือ โจ หย่งคัง อดีตรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ และหัวหน้าแก๊งปิโตรเลียม ที่รับสินบนพลังงานจนรวยล้นฟ้า ในปี 2014 และการกวาดล้าง 709 กลุ่มนักเคลื่อนไหวที่ต่อต้านรัฐบาลจีนในปี 2015

แต่สุดท้าย ฝู เจิ้งหัว มาถูกจับกุมเสียเองด้วยข้อหารับสินบน 117 ล้านหยวน และใช้อำนาจมิชอบ แม้ว่า ฝู เจิ้งหัว จะให้การว่าคนที่รับสินบนคือน้องชายเขา แต่ศาลไม่รับฟัง ตัดสินให้ฝู เจิ้งหัว จำคุกตลอดชีวิต และตัดสิทธิ์ในการอุทธรณ์เช่นเดียวกัน

หลายคนเชื่อว่า ฝู เจิ้งหัว และ ซุน ลี่จุน เริ่มสะสมบารมีทางการเมืองภายในพรรคคอมมิวนิสต์ เพื่อรอจังหวะที่เหมาะสม หรือการที่ไปใกล้ชิดกับแก๊งค์เซี่ยงไฮ้ ที่ทำให้ลุงสี่ หมดความไว้ใจ จนนำไปสู่แผนการดับอนาคตของ 2 ลูกน้องคนสนิทในวันนี้

แต่ 2 คดีใหญ่นี้จะเกี่ยวข้องกับข่าวลือรัฐประหารในจีนมากน้อยแค่ไหน ไม่อาจรู้ได้ แต่ที่แน่ๆคือ กลุ่มแก๊งค์การเมือง คลื่นใต้น้ำ และ ศัตรู เจ้ากรรม นายเวรที่จ้องโค่นลุงสี่ จิ้นผิง มีอยู่จริง แถมเยอะซะด้วย ยิ่งลุงสี่ ได้แก้รัฐธรรมนูญ สามารถดำรงตำแหน่งผู้นำได้อย่างไม่จำกัดสมัย อำนาจของผู้นำสูงสุดของจีนยิ่งหอมหวาน แม้ว่าเสี่ยง แต่ก็อาจมีคนอยากขอลอง ก็เป็นได้

****************
ติดตามบทความของ "หรรสาระ" เพิ่มเติมได้ที่
Facebook - หรรสาระ By Jeans Aroonrat
Tiktok - @HunsaraByJeans
และ Blockdit - หรรสาระ By Jeans Aroonrat
แพลทฟอร์มคุณภาพ ไม่ปิดกั้นการมองเห็นเนื้อหา
****************

แหล่งข้อมูล

https://edition.cnn.com/.../former-chinese.../index.html

https://edition.cnn.com/.../china-fu-zhenghua.../index.html

https://en.m.wikipedia.org/wiki/Fu_Zhenghua

https://en.m.wikipedia.org/wiki/Sun_Lijun

https://en.m.wikipedia.org/wiki/Shanghai_clique

https://www.bbc.com/news/world-asia-china-26349305

https://www.visiontimes.com/.../chinas-purged-justice...

 

Philippines: เกิดฝนตกลงมาอย่างหนักในหลายหมู่บ้านทางตอนเหนือของฟิลิปปินส์ ขณะที่ซูเปอร์ไต้ฝุ่น ‘โนรู’ ใกล้เข้ามาแล้ว

กรมอุตุนิยมวิทยาฟิลิปปินส์ รายงานว่า พายุไต้ฝุ่นโนรู ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ในระหว่างเคลื่อนตัวเข้าใกล้ฟิลิปปินส์ ทำให้ประชาชนหลายพันคนต้องละทิ้งบ้านเรือนในแถบชุมชนชายฝั่งของเกาะลูซอน ซึ่งเป็นเกาะหลักและยกเลิกเที่ยวบินหลายสิบเที่ยว โดยไต้ฝุ่นโนรู ความเร็วลมใกล้จุดศูนย์กลางอยู่ที่ 195 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และลมกระโชกแรง ความเร็ว 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าไต้ฝุ่นโนรูจะขึ้นฝั่งฟิลิปปินส์ในคืนวันนี้ อาทิตย์ หรือเช้าตรู่วันจันทร์

ก่อนพายุมาถึง ทางการฟิลิปปินส์สั่งระงับบริการเรือเฟอรี พร้อมยกเลิกเที่ยวบินในประเทศ และระหว่างประเทศ ทั้งขาเข้าและขาออกจากกรุงมะนิลา 30 เที่ยว พายุน่าจะเข้าถล่มโดยตรงต่อเกาะเล็ก ๆ อย่างโพลิลโล ที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของเกาะลูซอน ซึ่งนายกเทศมนตรีเกาะโพลิลโล บอกว่า คลื่นสูงที่เกิดจากอิทธิพลของไต้ฝุ่นระดับ 3 ได้กระหน่ำท่าเรือหลักของเกาะอย่างหนัก และทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ราบต่ำ

พายุโนรู จะทำให้เกิดฝนตกหนักทั่วกรุงมะนิลา และจังหวัดใกล้เคียง ในระหว่างเคลื่อนตัวไปทางตะวันตก เหนือจังหวัดต่างๆ ที่เป็นแหล่งผลิตข้าว
————
ภาพ: Reuters

#TNNWorldNews #ฟิลิปปินส์ #โนรู #พายุไต้ฝุ่น
#เจาะลึกรอบโลก #TNNOnline
————
อัพเดทข่าวไฮไลต์และบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจ มาเป็นเพื่อนใน Line กับ TNN World คลิก https://lin.ee/LdHJXZt

ติดตาม TNN World ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
Website : https://bit.ly/TNNWorldWebsite
Youtube : https://bit.ly/TNNWorldTodayYouTube
TikTok : https://bit.ly/TNNWorldTikTok

 

Philippines: ซูเปอร์ไต้ฝุ่น “โนรู” พัดขึ้นฝั่งฟิลิปปินส์ ทำให้เกิดฝนตกหนัก ลมพัดกระโชกแรง แต่ยังไม่มีรายงานความเสียหาย

ซูเปอร์ไต้ฝุ่น “โนรู” พัดขึ้นฝั่งของฟิลิปปินส์แล้วตั้งแต่ช่วงวันอาทิตย์ (25 กันยายน) ด้วยแรงลม 195 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้เกิดฝนตกหนักและลมพัดกระโชกแรงบนเกาะลูซอนที่มีประชาชนอยู่หนาแน่น และเป็นที่ตั้งของกรุงมะนิลาที่มีประชากร 13 ล้านคน แต่ยังไม่มีรายงานความเสียหาย

ซูเปอร์ไต้ฝุ่น “โนรู” เป็นพายุที่มีความรุนแรงที่สุดพัดเข้าฟิลิปปินส์ในปีนี้ ชาวฟิลิปปินส์เรียกว่า การ์ดิง พัดขึ้นฝั่งในเขตเทศบาลเมืองเบอร์โดส บนเกาะโปลิลโล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดเกซอน อยู่ห่างกรุงมะนิลาไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 100 กิโลเมตร เมื่อเวลา 17.30 น. วันอาทิตย์ (25 กันยายน) ตามวันเวลาท้องถิ่น ซึ่งเร็วกว่าเวลาในไทย 1 ชั่วโมง

ก่อนหน้านี้ ทางการฟิลิปปินส์ได้เตรียมพร้อมอพยพประชาชนในหลายพื้นที่เสี่ยงในกรุงมะนิลาและพื้นที่อื่น ๆ ไว้แล้ว พร้อมยกเลิกเที่ยวบินและการโดยสารทางเรือ ปิดโรงเรียนและหน่วยงานรัฐที่ไม่จำเป็น เพื่อป้องกันได้รับผลกระทบและอันตรายจากไต้ฝุ่น “โนรู” ซึ่งคาดว่าจะอ่อนกำลังเป็นไต้ฝุ่นระดับธรรมดา เมื่อพัดผ่านทั่วเกาะลูซอน จากนั้นจะพัดมุ่งหน้าเข้าทะเลจีนใต้ในวันจันทร์นี้ และมุ่งหน้าเข้าเวียดนามต่อไป
————
ภาพ: Reuters

#TNNWorldNews #ฟิลิปปินส์ #โนรู #ซูเปอร์ไต้ฝุ่น
#เจาะลึกรอบโลก #TNNOnline
————
อัพเดทข่าวไฮไลต์และบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจ มาเป็นเพื่อนใน Line กับ TNN World คลิก https://lin.ee/LdHJXZt

ติดตาม TNN World ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
Website : https://bit.ly/TNNWorldWebsite
Youtube : https://bit.ly/TNNWorldTodayYouTube
TikTok : https://bit.ly/TNNWorldTikTok

 

America-Europe: ชุมชนชาวอิหร่านในหลายประเทศของยุโรปและอเมริกาเหนือ ชุมนุมตามเมืองต่าง ๆ ประณามอิหร่านที่ปราบปรามการประท้วงเหตุสตรีคนหนึ่งเสียชีวิตขณะถูกตำรวจศีลธรรมควบคุมตัวเพราะสวมใส่ฮิญาบไม่ถูกต้อง

ผู้ชุมนุมรวมตัวกันที่จัตุรัส ‘ปลาซดูชัตเลต์’ ในกรุงปารีสของฝรั่งเศส ตะโกนถ้อยคำเป็นภาษาเปอร์เซียของชาวอิหร่านและภาษาฝรั่งเศสต่อต้าน ‘อยาตอลลาห์ อาลี คาเมนีอี’ ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน และขอให้ประธานาธิบดีเอมานูแอล มาครงของฝรั่งเศสยุติการเจรจากับอิหร่านเรื่องฟื้นข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 ผู้ชุมนุมยังได้ร้องเพลงเบลลาเชา (Bella Ciao) ซึ่งเป็นเพลงพื้นบ้านของอิตาลีที่กลายเป็นเพลงสัญลักษณ์ที่ใช้ทั่วโลกเรื่องเสรีภาพและการต่อต้าน โดยร้องเป็นภาษาเปอร์เซีย รวมทั้งตะโกนคำขวัญที่ผู้ชุมนุมในอิหร่านใช้ โดยมีทั้งภาษาเปอร์เซียและภาษาเคิร์ด

ส่วนที่กรุงเบอร์ลินของเยอรมนี และจัตุรัสใจกลางกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ รวมถึงด้านหน้าอาคารทำเนียบขาวของสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน สมาชิกชุมชนชาวอิหร่านหลายร้อยคนออกมารวมตัวประท้วง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้หญิงวัย 22 ปี และผู้ประท้วงชาวอิหร่านอีกจำนวนมากที่ต้องเสียชีวิตเพราะถูกตำรวจยิงใส่ หลายคนบอกว่าเคยผ่านประสบการณ์ถูกรัฐบาลอิหร่านกดขี่และทำร้ายมาแล้ว เหตุการณ์แบบนี้ไม่สมควรเกิดขึ้นอีกไม่ว่าที่ไหนบนโลก ผู้ชุมนุมสตรีหลายคนยังพากันตัดผมเพื่อแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับหญิงชาวอิหร่านที่เสียชีวิตด้วย

‘มาห์ซา อามินี’ สตรีชาวอิหร่านวัย 22 ปีที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 กันยายน ขณะถูกตำรวจศีลธรรมอิหร่านควบคุมตัวเพราะไม่สวมฮิญาบคลุมผมเป็นชาวเคิร์ด ทางการอิหร่านแจ้งว่า มีผู้เสียชีวิต 35 คนจากการประท้วงในประเทศ แต่นักเคลื่อนไหวแย้งว่า มีผู้เสียชีวิตเกิน 50 คนแล้ว ขณะที่สัญญาณอินเตอร์เน็ตทั่วประเทศยังประสบปัญหาติดขัด เพราะทางการตัดการเชื่อมต่อสื่อสาร เพื่อหวังป้องกันไม่ให้ผู้คนส่งข่าวเพื่อรวมตัวกันชุมนุมประท้วง
————
ภาพ: Reuters

#TNNWorldNews #อเมริกา #ยุโรป #อิหร่าน
#เจาะลึกรอบโลก #TNNOnline
————
อัพเดทข่าวไฮไลต์และบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจ มาเป็นเพื่อนใน Line กับ TNN World คลิก https://lin.ee/LdHJXZt

ติดตาม TNN World ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
Website : https://bit.ly/TNNWorldWebsite
Youtube : https://bit.ly/TNNWorldTodayYouTube
TikTok : https://bit.ly/TNNWorldTikTok

 

America: ประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ ผู้นำสหรัฐฯ จะไม่เดินทางมาร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ กลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปค ที่กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 18-19 พฤศจิกายนนี้ แต่จะส่งรองประธานาธิบดี ‘กมลา แฮร์ริส’ มาประชุมแทน

แหล่งข่าวในกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ได้มีการแจ้งไปยังสถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงวอชิงตัน ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ กลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปค ที่กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 18-19 พฤศจิกายนนี้ เนื่องจากติดภารกิจครอบครัว อย่างไรก็ตาม รองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส จะนำคณะเข้าร่วมประชุมแทน ในฐานะผู้แทนของประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวยอมรับว่า ไบเดนเตรียมนำคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูง เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผูนำกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ หรือ G20 ที่เกาะบาหลีของอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 15-16 พฤศจิกายนนี้ ก่อนหน้าการประชุมที่กรุงเทพฯ เพียง 2 วัน

ขณะที่เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ New York Times รายงานอ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า เหตุผลที่ไบเดนไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมเอเปคที่ไทยเป็นเจ้าภาพ เนื่องจาก น.ส.นาโอมิ ไบเดน หลานสาวคนโต เตรียมแต่งงานในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ โดยพิธีจะจัดขึ้นที่สนามหญ้าด้านใต้ของทำเนียบขาว และครอบครัวไบเดนยืนยันรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง

ทั้งนี้ ข้อมูลจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติของสหรัฐฯ ระบุว่า หากงานแต่งงานของหลานสาวไบเดนเกิดขึ้นภายในทำเนียบขาวตามรายงานข่าว จะถือเป็นพิธีมงคลครั้งที่ 19 ซึ่งเกิดขึ้นที่นี่ ต่อจากงานแต่งงานหัวหน้าช่างภาพของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา เมื่อปี 2013
————
ภาพ: Reuters

#TNNWorldNews #อเมริกา #ไบเดน #แฮร์ริส
#เจาะลึกรอบโลก #TNNOnline
————
อัพเดทข่าวไฮไลต์และบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจ มาเป็นเพื่อนใน Line กับ TNN World คลิก https://lin.ee/LdHJXZt

ติดตาม TNN World ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
Website : https://bit.ly/TNNWorldWebsite
Youtube : https://bit.ly/TNNWorldTodayYouTube
TikTok : https://bit.ly/TNNWorldTikTok

 

Russia: บรรดาชาวกรุงมอสโกเดินทางไปยังศูนย์เกณฑ์ทหาร เพื่อสมัครรับใช้ชาติสู้รบกับทหารยูเครน หลังประธานาธิบดีปูติน สั่งระดมพลครั้งใหญ่

ชาวรัสเซียที่อยู่ในกำลังพลสำรองและผู้ที่เคยผ่านการเป็นทหารมาแล้ว ได้เดินทางไปยังศูนย์เกณฑ์ทหาร หลังประธานาธิบดี ‘วลาดิเมียร์ ปูติน’ สั่งระดมพลบางส่วน เพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพของรัสเซีย ซึ่งขณะนี้ กระบวนการเกณฑ์ทหารเกิดขึ้นแล้วทั่วรัสเซีย และมีคลิปวิดีโอรถรับส่งผู้มาเกณฑ์ทหารโพสต์ลงสื่อสังคมออนไลน์

นอกจากนั้น ยังเกิดข่าวลือและข้อมูลเท็จแพร่สะพัดทางโลกออนไลน์ ทำให้รัฐบาลรัสเซียต้องออกแถลงการณ์เกือบทุกชั่วโมง ทางการระบุว่า ไม่มีการบังคับประชาชนให้มาสมัครเป็นทหาร และที่ผ่านมากองทัพระดมพลเฉพาะผู้ที่อยู่ในกำลังพลสำรอง และผู้ที่มีประสบการณ์ทางการทหาร อีกทั้งมีการเปิดสายด่วนเพื่อตอบคำถาม ผู้ที่สนใจสมัครเข้าเป็นทหาร และครอบครัวของพวกเขา

ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีปูตินลงนามในพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการลงโทษสถานหนักต่อทหารอาสาที่ยอมจำนนให้แก่กองกำลังฝ่ายศัตรู และหนีทัพหรือปฏิเสธการสู้รบ ซึ่งระวางโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี คำประกาศของปูตินครั้งนี้ มีขึ้นเพียงไม่กี่วัน หลังผู้นำรัสเซียสั่งระดมพลกำลังสำรอง 300,000 นาย เพื่อสู้รบในยูเครน

อย่างไรก็ตาม รัสเซียยังได้สับเปลี่ยนตำแหน่งสำคัญในฝ่ายพลาธิการกองทัพ หลังถูกกองทัพยูเครนโจมตีอย่างหนักในสงคราม 7 เดือนที่ยูเครนโดยกระทรวงกลาโหมรัสเซียแถลงว่า พลโทมิคาอิล มิซินต์เซฟ วัย 60 ปี จะมาทำหน้าที่แทนพลเอกดมิทรี บุลกาคอฟ วัย 67 ปี ที่ถูกปลดจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยกลาโหม หลังเกิดปัญหาในการจัดเสบียงสนับสนุนกองทัพรัสเซียในยูเครน
————
ภาพ: Reuters

#TNNWorldNews #รัสเซีย #ทหาร #ปูติน
#เจาะลึกรอบโลก #TNNOnline
————
อัพเดทข่าวไฮไลต์และบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจ มาเป็นเพื่อนใน Line กับ TNN World คลิก https://lin.ee/LdHJXZt

ติดตาม TNN World ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
Website : https://bit.ly/TNNWorldWebsite
Youtube : https://bit.ly/TNNWorldTodayYouTube
TikTok : https://bit.ly/TNNWorldTikTok

 

Sep 26, 2022 ด่วน! เงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐ ดำดิ่งแตะ 37.78 บาท ต่ำสุดในรอบ 16 ปีรอบใหม่
.
ตลาดซื้อขายสกุลเงินต่างประเทศในประเทศไทย กรุงเทพ วันนี้ 26 กันยายน 2565 เมื่อเวลา 10.45 น. ตามเวลาไทย รายงานว่า ค่าเงินบาทเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงหนักมาเคลื่อนไหวที่ระดับ 37.77 ถึง 37.78 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำสถิติอ่อนค่าต่ำสุดครั้งใหม่ในรอบ 16 ปี สาเหตุจากนักลงทุนมั่นใจและเข้าซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐอย่างต่อเนื่อง หลังจากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นสูงถึง 0.75% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และมีแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาจะปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นแรงต่อเนื่องในการประชุมเดือนพฤศจิกายน
.
ขณะนี้ วันนี้ 26 กันยายน 2565 เมื่อเวลา 10.45 น. เงินบาทเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐทำสถิติร่วงอ่อนค่า ดังนี้ ในรอบ 1 สัปดาห์ อ่อนค่า 2.22% ในรอบ 1 เดือน อ่อนค่า 4.79% ในรอบ 3 เดือนร่วงมากถึง 6.45% ในรอบ 6 เดือน อ่อนค่าหนักถึง 12.71% ในรอบ 12 เดือน ดำดิ่งมากถึง 13.13% และนับตั้งแต่ต้นปีนี้ ร่วงมากถึง 13.30%
.
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่าเงินบาททำสถิติอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 16 ปีครั้งใหม่ หลังเฟดยังคงส่งสัญญาณเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ย ต่อเนื่องจากการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. ที่ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% พร้อมปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อและมุมมองต่อระดับดอกเบี้ยนโยบายใน dot plots นอกจากนี้เงินบาทยังเผชิญแรงขาเพิ่มเติมจากความกังวลต่อทิศทางเศรษฐกิจโลก ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ยังมีแรงหนุนอย่างแข็งแกร่งจากการปรับขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ตามแนวโน้มการคุมเข้มนโยบายการเงินของเฟด
.
ดังนั้น ในสัปดาห์ระหว่างวันที่ 26-30 กันยายน 2565 KBank คาดกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 37.00-37.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมกนง. โดยเฉพาะเรื่องดอกเบี้ยและมุมมองต่อสถานการณ์เงินบาท ตัวเลขส่งออกเดือนสิงหาคมของไทย กระแสเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ค่าเงินในภูมิภาค

#บาท #เงินบาท #ดอลลาร์สหรัฐ #ดอลลาร์ #ธนาคารกลาง #แบงก์ชาติ #เศรษฐกิจ #ดอกเบี้ย #BTimes

 

Sep 26, 2022 เปิดร่วงตามตลาดต่างประเทศ! ดัชนี SET Index เปิดปรับลง 1,621 จุด ลดลง 10.63 จุด มูลค่าการซื้อขาย 7,629 ล้านบาท
.
ดัชนี SET Index เปิดทำการเมื่อเวลา 10.00 น. ดัชนีปรับตัวลดลง 10.63 จุด แตะ 1,621.08 จุด มูลค่าการซื้อขาย 7,629 ล้านบาท
.
โบรกฯมอง แนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะกระโดดลงเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก และตลาดหุ้นภูมิภาคที่ปรับตัวลงมากกว่า 2% มาจาก Sell off ที่นักลงทุนกังวลเศรษฐกิจถดถอยจากที่มีการเร่งขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐ เพื่อสกัดเงินเฟ้อ และความปั่นป่วนของค่าเงินทั่วโลก รวมถึงเงินบาทด้วย ซึ่งเช้านี้เงินบาทอ่อนค่า 37.7 บาท/ดอลลาร์ ใกล้แตะ 38.00 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ไม่ค่อยดี. แต่คาดว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะเคลื่อนไหวดีกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค หลังจากมีการยุบศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.)ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นการเปิดประเทศมากขึ้นก็เรียกความเชื่อมั่นได้มาก


#หุ้นเปิดตลาด #หุ้น #หุ้นไทย #SET #SETIndex #ลงทุน #BTimes

 

Sep 26, 2022 ด่วน! เงินปอนด์สเตอริงเทียบดอลลาร์สหรัฐ ถูกเทขายรุนแรงดิ่งเป็นประวัติศาสตร์
.
ตลาดซื้อขายสกุลเงินต่างประเทศในเอเชีย กรุงโตเกียว ญี่ปุ่น วันนี้ 26 กันยายน 2565 เมื่อเวลา 9.15 น. ตามเวลาไทย รายงานว่า ค่าเงินปอนด์สเตองริงเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงหนักมาเคลื่อนไหวที่ระดับ 1.0382 ต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำสถิติอ่อนค่าต่ำสุดเป็นประวัติศาสตร์
.
สาเหตุจากนายกรัฐมนตรีหญิงอังกฤษประกาศนโยบายกแก้ปัญหาเศรษฐกิจอังกฤษด้วยการตัดลดภาษี ได้แก่ ยกเลิกแผนการปรับขึ้นภาษีเอกชน 25% โดยให้คงไว้ที่ระดับ 19% เหมือนเดิม ตัดลดภาษีสำหรับภาคธุรกิจที่ลงทุนในบางประเภท เป็นต้น คาดว่ามูลค่าการตัดลดภาษีจะมีสูงถึง 45,000 ล้านปอนด์สเตอริง หรือเสียรายได้จากภาษีถึง 1.85 ล้านล้านบาทในช่วงปี 2026-2027
.
อ่านเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/3xRIFQF
.
ติดตาม BTimes ได้ทุกช่องทาง ดังนี้
เฟซบุ๊ก: https://m.facebook.com/btimesch3/
ยูทูป: https://m.youtube.com/c/MisterBan
ทวิตเตอร์: https://mobile.twitter.com/btimes_ch3
เว็บไซต์: https://btimes.biz
พ็อดคาสท์: https://btimes.podbean.com/
.v
#เงินปอนด์ #ปอนด์สเตอริง #ภาษี #อังกฤษ #สหราชอณาจักร #เศรษฐกิจ #ข่าวด่วน #ดอลลาร์สหรัฐ #ดอลลาร์ #BTimes

 

ep 26, 2022 ยังไปไหว! แกร็บยังไม่ปลดพนักงานมากเหมือนคู่แข่ง ขาดทุนกว่า 21,000 ล้าน โวมีเงินสดกว่า 280,000 ล้านบาท
.
แกร็บ ธุรกิจบริการร่วมเดินทางและส่งอาหารเครื่องดื่มที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่ายังไม่เห็นการปลดพนักงานแกร็บจำนวนมากเมื่อเทียบกับคู่แข่งหลายรายที่ปลดพนักงานเป็นจำนวนมากทัเฃในช่วงที่ผ่านมา และในขณะนี้ ในเวลาเดียวกัน แกร็บใช้นโยบายคัดเลือกการจ้างงานในสายงานธุรกิจบริการการเงิน
.
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ หรือซีโอโอ นายอเล็กซ์ ฮันเกท กล่าวว่า เมื่อช่วงต้นปีนี้รู้สึกเป็นกังวลกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทำให้แกร็บต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นอย่างมากในการจ้างงาน จึงทำให้แกร็บยังไม่ได้ใช้นโยบายยุติการจ้างงานใหม่ หรือการปลดพนักงานเป็นจำนวนมาก แกร็บกำลังจ้างงานพนักงานในสายงานวิทยาศาสตร์ข้อมูล เทคโนโลยีสร้างโครงข่าย และสายงานเฉพาะด้านอื่นๆ
.
ด้านผลประกอบของแกร็บ พบว่า ในไตรมาสที่ 2 มีผลการดำเนินงานขาดทุนที่ 572 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 21,164 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากช่วงเดียวกันในปี 2564 ที่มีผลขาดทุนที่ 801 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 29,637 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม แกร็บตัดสินใจยกเลิกรายงานมุมมองปริมาณสินค้าจัดส่งโดยรวมในปีนี้ สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าอย่างมาก และความต้องการซื้อสินค้าออนไลน์ลดต่ำลงต่อเนื่องหลังจากเศรษฐกิจเปิดและประชาชนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ
.
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะปลดพนักงานจำนวนมาก แต่แกร็บปิดศูนย์บริการกระจายสินค้าทั่วไปที่ตอบสนองความต้องการตลอดเวลาของผู้บริโภค และชะลอการเปิดบริการคลาวด์ คิทเช่น โดยรวมศูนย์บริการการจัดส่งเพื่อควบคุมต้นทุนดำเนินการ
.
นอกจากนี้ แกร็บปรับโครงสร้างสายงานธุรกิจบริการการเงินออนไลน์ ซึ่งทำให้ผู้บริหารระดับอาวุโสในสานงานดังกล่าวลาออก เพื่อไปเน้นบริการที่ให้ผลกำไรสูงกว่า ปัจจุบันแกร็บเน้นไปที่บริการให้เช่าสินค้า และประกันบนแพลทฟอร์มแกร็บให้กับบรรดาร้านค้าและคนขับรถร่วมเดินทาง ซึ่งพาร์ทเนอร์เหล่านี้จะจ่ายคืนเมื่อมีรายได้จากแพลทฟอร์มแกร็บ การทำธุรกิจผสมผสานในขณะนี้ให้ผลกำไรที่ดี
.
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ หรือซีโอโอ นายอเล็กซ์ ฮันเกท กล่าวว่า แกร็บอาจจะโชคดีที่มีในด้านการเป็นบริษัทมหาชนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทำให้มีวินัยการเงินในห้วงเวลาที่ถูกต้อง ซึ่งในปัจจุบันแกร็บมีสภาพคล่องเงินสดที่ 7,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 284,900 ล้านบาท
.
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นแกร็บตกต่ำมากถึง -60% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ ทำให้มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 10,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 392,200 ล้านบาท
.
แกร็บขยายธุรกิจในช่วง 10 ปีผ่านมา ด้วยการซื้อกิจการร่วมเดินทางของอูเบอร์ในภูมิภาคอาเซียนเมื่อปี 2018 หลังเปิดบริการมาได้เพียง 5 ปี เมื่อถึงเดือนธันวาคม ได้นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ในดัชนีหุ้นนาสแดคหลังจากใช้วิธีเข้าตลาดหุ้นที่เรียกว่าเอาแพค หรือ SPAC ด้วยการควบกิจการมูลค่า 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.48 ล้านล้านบาทกับบริษัทแอลทิมิเตอร์ แต่หลังจากนั้นราคาหุ้นดำดิ่งมากถึง 20%
.
ทั้งนี้ แกร็บเปิดบริการครอบคลุม 480 เมืองใน 8 ประเทศ มีพาร์ทเนอร์ขับรถให้บริการร่วมเดินทางที่จดทะเบียนรวมกันกว่า 5 ล้านราย และมีพาร์ทเนอร์ร้านค้ารวมกันกว่า 2 ล้านรายบรแพลทฟอร์มแกร็บ มีพนักงานรวมทั้งสิ้น 8,800 คนนับถึงเมื่อสิ้นปี 2021 ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาแกร็บขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วจากบริการจัดส่งอาหารและเครื่องดื่มเมื่อกว่า 2 ปีผ่านมา แต่ในขณะเดียวกัน สานงานธุรกิจบริการร่วมเดินทางได้รับผลกระทบอย่างมากจากมาตรการควบคุมและป้องกันโรคระบาด
.
อ่านเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/3f84Qvh
.
ติดตาม BTimes ได้ทุกช่องทาง ดังนี้
เฟซบุ๊ก: https://m.facebook.com/btimesch3/
ยูทูป: https://m.youtube.com/c/MisterBan
ทวิตเตอร์: https://mobile.twitter.com/btimes_ch3
เว็บไซต์: https://btimes.biz
พ็อดคาสท์: https://btimes.podbean.com/
.
#แกร็บ #Grab #อาเซียน #ส่งอาหาร #ร่วมเดินทาง #ขาดทุน #ราคาหุ้น #เงินเฟ้อ #ดอลลาร์ #ลดต้นทุน #BTimes

 

รัฐบาลฟิลิปปินส์ประกาศปิดโรงเรียน หน่วยงานราชการ รวมถึงปิดตลาดหลักทรัพย์ในวันนี้ (26 ก.ย.) พร้อมกับเร่งช่วยเหลือผู้อพยพหลายหมื่นคน หลัง “ไต้ฝุ่นโนรู” ซัดถล่มกรุงมะนิลา และหลายจังหวัดทางภาคเหนือจนทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ล่าสุด พบผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 5 ราย
.
สำนักอุตุนิยมวิทยาฟิลิปปินส์รายงานว่า ไต้ฝุ่นโนรูซึ่งมีความแรงเทียบเท่าเฮอร์ริเคนระดับ 3 พัดขึ้นฝั่งเกาะลูซอนด้วยความเร็วลม 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ ก่อนจะอ่อนกำลังลงขณะที่เคลื่อนตัวผ่านเกาะ และกำลังมุ่งหน้าออกสู่ทะเลจีนไปยังประเทศเวียดนาม
.
แดเนียล เฟอร์นันโด ผู้ว่าการจังหวัดบูลาคัน (Bulachan) ให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุ DZMM ว่า มีเจ้าหน้าที่กู้ภัยเสียชีวิตไป 5 ราย ขณะที่ประชาชนต้องเดินลุยน้ำท่วมถึงระดับเอว และบางคนต้องขึ้นไปอาศัยอยู่บนหลังคาบ้าน
.
ประธานาธิบดี เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ มีคำสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งนำสิ่งของบรรเทาทุกข์และอุปกรณ์สำหรับทำความสะอาดส่งขึ้นเครื่องบินไปยังชุมชนที่ได้รับผลกระทบ พร้อมทั้งกำชับว่าภารกิจจะยุติลงได้ก็ต่อเมื่อผู้อพยพราว 74,000 คน สามารถกลับไปยังบ้านเรือนของตนเอง
.
มาร์กอส ซึ่งจะขึ้นเครื่องบินสำรวจความเสียหายจากพายุไต้ฝุ่นในช่วงบ่ายวันนี้ (26) ยังสั่งให้เจ้าหน้าที่เร่งนำเครื่องกำเนิดไฟฟ้าฉุกเฉินไปยังจังหวัดเอาโรรา (Aurora) และนูเวบาเอซีฮา (Nueva Ecija) ทางตอนเหนือ ซึ่งชาวบ้านกำลังเดือดร้อนจากปัญหาไฟฟ้าดับ
.
เกาะลูซอนซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจเกิน 2 ใน 3 ของประเทศ และเป็นบ้านของประชากรเกินครึ่งจากทั้งหมด 110 ล้านคน ได้เริ่มทำความสะอาดฟื้นฟูเมือง หลังจากที่ระดับน้ำท่วมในเขตกรุงมะนิลาเริ่มลดลงบ้างแล้ว
.
หมู่เกาะฟิลิปปินส์เผชิญกับพายุหมุนเขตร้อนเฉลี่ยปีละ 20 ลูก โดยเมื่อปี 2013 ซูเปอร์ไต้ฝุ่น “ไห่เยี่ยน” ซึ่งเป็นไต้ฝุ่นที่มีกำลังแรงสุดในประวัติศาสตร์ขณะที่พัดขึ้นฝั่ง ได้คร่าชีวิตชาวฟิลิปปินส์ไปถึง 6,300 คน
.
ที่มา : รอยเตอร์

 

ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน เมื่อวันอาทิตย์(25ก.ย.) เชื่อว่า วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ไม่ได้แสร้งขู่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ และเรียกร้องพันธมิตรของยูเครน ให้เดินหน้าถาโถมแรงกดดันใส่ ปูติน เพื่อยับยั้งเขา

"บางทีเมื่อวานนี้ มันเป็นการขู่ แต่มันอาจกลายเป็นจริง" เซเลนสกีกล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์กับรายการ "Face the Nation" ทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส "เขาต้องการสร้างความตื่นกลัวแก่ทั่วโลก นี่คือก้าวย่างแรกๆของการแบล็คเมล์ทางนิวเคลียร์ของเขา ผมไม่คิดว่าเขาแค่กำลังขู่ ผมคิดว่าทั้งโลกต้องขัดขวางและยับยั้งภัยคุกคามนี้ เราจำเป็นต้องเดินหน้ากดดันเขาและไม่ยอมให้เขาเดินหน้าไปมากกว่านี้"

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ปูติน ขู่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ ระหว่างแถลงคำสั่งระดมทหารกองหนุนบางส่วน กระตุ้นให้พวกผู้ชายชาวรัสเซียที่อายุถึงเกณฑ์พากันหลบหนีออกนอกประเทศ หนีการสู้รบในยูเครน ทั้งนี้ความเคลื่อนไหวเรียกระดมทหารกองหนุนของปูติน มีขึ้นไม่นาน ก่อนที่ประชาชนในแคว้นต่างๆของยูเครนที่อยู่ภายใต้การยึดครองของรัสเซีย เริ่มลงประชามติ ผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย กระบวนการที่เรียกเสียงประณามจากโลกตะวันตก

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์(23ก.ย.) เรียกประชามติว่า "น่าละอาย" และเป็นข้ออ้างจอมปลอมสำหรับผนวกดินแดนของยูเครน ส่วน เซเลนสกี เตือนว่าการผนวกดินแดนใหม่ จะทำให้การเดินหน้าเจรจาทางการทูตกับ ปูติน เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

"เขารู้ดี ผมพูดเรื่องนี้อย่างเปิดเผยต่อสาธารณะ" เซเลนสกีกล่าวถึงปูติน "มันคิดว่ามันเป็นสัญญาณที่อันตรายมาจากประธานาธิบดีปูติน มันบอกกับเราว่าปูตินจะยังไม่จบสงครามนี้ นั่นคือสิ่งที่มันกำลังเกิดขึ้น"

ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่แล้ว เซเลนสกี เพิ่งแสดงความคิดเห็น ไม่เชื่อว่ารัสเซียจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ แม้ ปูติน เคยประกาศจะใช้ทุกวิถีทางปกป้องดินแดนของตนเองก็ตาม

"ผมไม่เชื่อว่าเขาจะใช้อาวุธเหล่านี้" เซเลนสกีใหสัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ของสำนักข่าวบิลด์แห่งเยอรมนี อ้างถึงอาวุธนิวเคลียร์ "ผมไม่เชื่อว่าโลกจะยอมให้เขาใช้อาวุธเหล่านี้"

ผู้นำยูเครนเตือนตะวันตกด้วยว่าอย่าได้ยอมทำตามคำขู่ของปูติน "พรุ่งนี้ ปูตินอาจพูดว่า แบบเดียวกับยูเครน เราต้องการบางส่วนของโปแลนด์ ไม่เช่นนั้นเราจะใช้อาวุธปรมาณู เราไม่สามารถประนีประนอมสิ่งเหล่านี้ได้" เขากล่าว

ผู้นำยูเครนเรียกร้องพันธมิตรสหรัฐฯและยุโรป เดินหน้ากำหนดมาตรการคว่ำบาตรเล่นงานปูติน พร้อมทั้งเร่งเร้าให้รัฐบาลของไบเดน ขึ้นบัญชีดำรัสเซีย ในฐานะประเทศสนับสนุนก่อการร้าย

"ผมตระหนักว่ามันเป็นเรื่องซับซ้อน ความนัยที่ซ่อนเร้นอยู่จะทำให้การเจรจาทางการทูตเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้" เซเลนสกีกล่าว "อย่างไรก็ตาม พวกเขาคือก่อการร้าย เราไม่อาจปล่อยให้พวกเขาทำมันโดยปราศจากความกลัว พวกเขาจะไม่ยอมจำนน เราจำเป็นต้องเดินหน้ากดดันต่อไป"

กระนั้นก็ตามก่อนหน้านี้เมื่อช่วงกลางเดือน ทางทำเนียบขาวเคยออกมาระบุว่าประธานาธิบดีไบเดน จะไม่กำหนดให้รัสเซียเป็นรัฐก่อการร้าย สืบเนื่องจากมันอาจก่อผลกระทบที่ไม่ตั้งใจกับทั้งยูเครนและทั่วโลก

เซเลนสกี ยอมรับว่าช่วงหลายเดือนของฤดูหนาวที่กำลังมาถึง จะเป็นความท้าทายใหญ่หลวงของยูเครน และคาดหมายว่ารัสเซียจะเล็งเป้าเล่นงานเครือข่ายไฟฟ้าของประเทศ

"แต่เราจะไม่กลัวสิ่งนั้น เราจะสู้ เราจะไม่ยอมจำนน มันเป็นเรื่องสำคัญที่พวกเขาจะไม่สามารถบีบบังคับประเทศอื่นได้ สหรัฐฯและยุโรปกำลังประสบความทุกข์ ตอนนี้เราก็ประสบความทุกข์ยากเช่นกัน แต่เราจะสู้และอุทิศชีวิตของเรา เพื่ออนาคตของประชาธิปไตยและโลกเสรี"

เซเลนสกี ยังคาดการณ์ด้วยว่าตนเองก็ตกเป็นเป้าหมายเล่นงานของปูตินเช่นกัน ไม่ใช่เพราะว่าเขาตีโต้กลับรัสเซียและปฏิบัติการรุกรานของรัสเซีย แต่ยังตกเป็าหมายในฐานะผู้นำของประเทศ "เขากำลังทำทุกอย่างเพื่อบ่อนทำลายประเทศของเรา เพื่อมั่นใจว่าเราจะอ่อนแอลง และเพื่อสิ่งนั้น แน่นอน เขาต้องการให้พวกเราแตกแยก แน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผมเป็นหนึ่งในเป้าหมาย"

(ที่มา:ซีบีเอสนิวส์)

 

บริษัท โบอิ้ง (Boeing) ค่ายอากาศยานยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ยอมจ่ายค่าปรับเป็นเงิน 200 ล้านดอลลาร์เพื่อยุติคดีแพ่งที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ (U.S. Securities and Exchange Commission : SEC) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ฐานทำให้นักลงทุนเข้าใจผิดเกี่ยวกับความปลอดภัยของเครื่องบินโบอิ้ง 737 MAX ซึ่งเคยประสบอุบัติเหตุตก 2 ครั้งซ้อนจนถูกระงับใช้งานทั่วโลกนาน 20 เดือน
.
SEC แถลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ทางโบอิ้ง “ทราบดี” ว่าอุบัติเหตุครั้งแรกเกิดจากระบบควบคุมการบินมีปัญหา ทว่ายังออกมาพูดให้สาธารณชนเชื่อมั่นว่าเครื่องบินลำดังกล่าว “ปลอดภัยพอๆ กับเครื่องบินทุกรุ่นที่ใช้งานกันอยู่”
.
เดนนิส มุยเลนเบิร์ก อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารโบอิ้ง ยินยอมที่จะจ่ายค่าปรับ 1 ล้านดอลลาร์เพื่อจบข้อครหานี้เช่นกัน
.
แกรี เกนสเลอร์ (Gary Gensler) ประธาน SEC ระบุว่า “ในช่วงเวลาวิกฤตที่เกิดโศกนาฏกรรมอันน่าเศร้า เป็นสิ่งสำคัญมากที่บริษัทและผู้บริหารจะต้องออกมาให้ข้อมูลที่ชัดเจนและโปร่งใสต่อนักลงทุน” ทว่า โบอิ้ง และ มุยเลนเบิร์ก “กลับใช้คำพูดที่ทำให้นักลงทุนเข้าใจผิดเกี่ยวกับการตกของเครื่องบินโบอิ้ง 2 ลำในปี 2018 และ 2019”
.
การชำระค่าปรับครั้งนี้ถือเป็นความเสียหายล่าสุดที่ โบอิ้ง ได้รับจากกรณีเครื่องบินไลอ้อนแอร์อินโดนีเซียประสบอุบัติเหตุตกทะเลเมื่อเดือน ต.ค. ปี 2018 และตามมาด้วยโศกนาฏกรรมสายการบิน เอธิโอเปียน แอร์ไลน์ เมื่อเดือน มี.ค. ปี 2019 ซึ่งคร่าชีวิตลูกเรือและผู้โดยสารไปทั้งสิ้น 346 คน
.
ผลการสอบสวนพบว่าทั้ง 2 กรณีเกิดจากความบกพร่องของระบบควบคุมการบิน MCAS (Maneuvering Characteristics Augmentation System) ในเครื่อง 737 MAX
.
โบอิ้ง ซึ่งไม่ได้ “ยอมรับ” หรือ “ปฏิเสธ” ผลการตรวจสอบของ SEC ยืนยันว่าทางบริษัท “ได้แก้ไขปรับปรุงถึงระดับฐานราก” เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับโบอิ้ง 737 MAX และข้อตกลงยุติคดีครั้งนี้ก็ถือเป็นความพยายามส่วนหนึ่งที่จะจบปัญหาด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุทั้ง 2 ครั้ง
.
ปีที่แล้ว โบอิ้งได้บรรลุข้อตกลงจ่ายเงินชดเชยให้แก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินโบอิ้ง 737 MAX ของสายการเอธิโอเปียนแอร์ไลน์สตกเมื่อต้นปี 2019 และยอมแสดงความรับผิดต่อโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น
.
สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐฯ (FAA) กำหนดให้นักบิน 737 MAX ทุกคนต้องเข้ารับการฝึกใช้ระบบควบคุม MCAS ใหม่ รวมถึงให้โบอิ้งต้องเพิ่มมาตรการความปลอดภัยและปรับปรุงซอฟต์แวร์เพิ่มเติม ก่อนจะไฟเขียวให้เครื่องบินรุ่นนี้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง
.
สำหรับโบอิ้ง 737 MAX เป็นเครื่องบินพิสัยกลางรุ่นใหม่ที่พัฒนาปรับปรุงมาจากรุ่น 737 เดิมที่ขึ้นบินเป็นครั้งแรกในปี 1967 ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นได้บั่นทอนชื่อเสียงของโบอิ้งไปไม่น้อย และทำให้บริษัทสูญเสียรายได้ไปไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์
.
ที่มา: รอยเตอร์
.
#โบอิ้ง #737MAX

 

เสียงส่วนใหญ่ของชาวเดโมแครตและพวกอิสระที่เอนเอียงไปทางเดโมแครต ต้องการให้ทางพรรคหาคนแทนประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในฐานะตัวแทนพรรคลงชิงเก้าอี้ทำเนียบขาวปี 2024 ท่ามกลางความผิดหวังต่อผลงานของผู้นำรายนี้ จากผลสำรวจความคิดเห็นของวอชิงตันโพสต์-เอบีซีนิวส์ ที่เผยแพร่เมื่อช่วงสุดสัปดาห์

ผลสำรวจความคิดเห็นที่เผยแพร่ในวันอาทิตย์(25ก.ย.) พบว่ามีเพียง 35% ของคนกลุ่มนี้ ที่อยากเห็น ไบเดน เป็นตัวแทนพรรค และมีถึง 56% ที่บอกว่าพรรคเดโมแครตควรเลือกคนอื่นแทน ส่วนในบรรดาชาวรีพับลิกันและพวกอิสระที่เอนเอียงไปทางรีพับลิกัน มี 47% ที่สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในศึกเลือกตั้งปี 2024 และมี 46% ที่บอกว่าอยากเห็นคนอื่นลงสู้ศึกแทน

ในการเผชิญหน้ากับตัวต่อตัว ผลสำรวจพบว่า ไบเดน และ ทรัมป์ มีคะแนนนิยมคู่คี่สูสี โดย ไบเดน มีคะแนนนิยมนำหน้า ทรัมป์ 2% ที่ 48% ต่อ 46% แต่สำหรับผู้มีสิทธ์ออกเสียง ตัวเลขออกมาในทางกลับกัน โดยเป็นทาง ทรัมป์ เป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่ 2%

ความต้องการของชาวเดโมแครต ที่อยากเห็นผู้สมัครคนอื่นแทน ไบเดน ในฐานะผู้ท้าชิงเก้าอี้ทำเนียบขาวปี 2024 เคยปรากฏชัดมาแล้วก่อนหน้านี้ ในผลสำรวจเดือนกรกฏาคม ที่จัดทำโดยนิวยอร์กไทม์สและวิทยาลัยเซียนา

ในผลโพลดังกล่าว พบว่าเกือบ 2 ใน 3 หรือ 64% ของชาวเดโมแครตที่ตอบแบบสอบถาม บอกว่าพวกเขาอยากเห็นผู้สมัครคนอื่น ในนั้นราว 1 ใน 3 อ้างเหตุผลเกี่ยวกับความสูงวัยของไบเดน ทั้งนี้ในวัย 79 ปี ไบเดน คือประธานาธิบดีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ

ไบเดน ให้สัมภาษณ์กับรายการ “60 Minutes” เมื่อช่วงกลางเดือนว่า เขาจะตัดสินใจลงมัครรับเลือกตั้งอีกรอบหรือไม่ หลังเสร็จสิ้นเลือกตั้งกลางเทอมเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินชะตาว่าพรรคของเขาจะยังคงรักษาเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฏรและวุฒิสภาได้หรือไม่

ผลสำรวจความคิดเห็นของวอชิงตันโพสต์-เอบีซีนิวส์ พบว่าคะแนนนิยมโดยรวมของไบเดน อยู่ที่ 39% ส่วนที่ไม่พึงพอใจอยู่ที่ 53% ทั้งนี้ในด้านการบริการจัดการเศรษฐกิจ มีประชาชนที่พึงพอใจการทำงานของเขาเพียงแค่ 36% ส่วนที่ไม่พอใจมีถึง 57%

โพลนี้จัดทำระหว่างวันที่ 18 ถึง 21 กันยายน เป็นการสุ่มสอบถามตัวอย่างประชากรวัยผู้ใหญ่สหรัฐฯทั่วประเทศ 1,006 คน ในนั้น 908 คนเป็นผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง และมีค่าความคลาดเคลื่อนบวกลบ 3.5%

(ที่มา:บลูมเบิร์ก)

 

สหรัฐฯเตือนถึง "ผลลัพธ์หายนะ" หากมอสโกใช้อาวุธนิวเคลียร์ในยูเครน หลังรัฐมนตรีต่างประเทศพญาหมีขาวประกาศกร้าวว่าแคว้นต่างๆที่กำลังจัดประชามติจะได้รับการคุ้มครองเต็มรูปแบบ หากผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย

การลงประชามติใน 4 แคว้นทางภาคตะวันออกของยูเครน ซึ่งมีเป้าหมายผนวกพื้นที่ที่มอสโกใช้กำลังยึดครองมาได้นับตั้งแต่เปิดฉากรุกรานในเดือนกุมภาพันธ์ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนรัสเซีย ถูกจัดขึ้นเป็นวันที่ 3 ในวันอาทิตย์(25ก.ย.) และคาดหมายว่ารัฐสภารัสเซียจะเคลื่อนไหวผนวกรวมดินแดนเหล่านี้อย่างเป็นทางการภายในเวลาไม่กี่วัน

ด้วยการผนวกรวม 4 แคว้น ประกอบด้วยลูฮันสก์ โดเนตสก์ เคอร์ซอนและซาปอริซเซีย เข้าเป็นส่วนหนึ่งในดินแดน ทางมอสโกสามารถตีความได้ว่าการโจมตีเพื่อทวงคืนดินแดนเหล่านี้ เสมือนเป็นการโจมตีผืนแผ่นดินของรัสเซีย คำเตือนที่ส่งถึงเคียฟและพันธมิตรตะวันตกของพวกเขา

ความเคลื่อนไหวของรัสเซียในความพยายามผนวกรวมทั้ง 4 แคว้น เพิ่มความเสี่ยงเกิดการเผชิญหน้าทางทหารโดยตรงระหว่างรัสเซียกับพันธมิตรทหารนาโต้ หลังจากที่ผ่านมา ตะวันตกทำหน้าที่เพียงจัดหาอาวุธป้อนแก่กองกำลังเคียฟ

เจค ซุลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุในวันอาทิตย์(25ก.ย.) ว่าอเมริกาจะตอบโต้อย่างเด็ดขาด ต่อกรณีที่รัสเซียใช้อาวุธนิวเคลียร์กับยูเครนและเน้นย้ำกับมอสโกถึง "ผลลัพธ์หายนะ" ที่พวกเขาอาจต้องเผชิญ

"ถ้ารัสเซียข้ามเส้นนี้ มันจะมีผลลัพธ์หายนะสำหรับรัสเซีย สหรัฐฯจะตอบโต้อย่างเด็ดขาด" ซุลลิแวน กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์กับรายการ "มีท เดอะ เพรส" ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี

คำเตือนล่าสุดของสหรัฐฯ มีขึ้นหลังจากประธานาธิบดีวาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย เมื่อวันพุธ(21ก.ย.) ขู่เป็นนัยๆเกี่ยวกับการใช้อาวุธนิวเคลียร์ โดยบอกว่ารัสเซียจะใช้ทุกอาวุธที่มีปกป้องดินแดนของตนเอง

เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย พูดตรงกว่านั้นระหว่างแถลงข่าวในวันเสาร์(24ก.ย.) หลังเสร็จสิ้นการขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในนิวยอร์ก

เมื่อถูกถามว่า รัสเซียมีเหตุผลในการใช้อาวุธนิวเคลียร์ปกป้องดินแดนผนวกหรือไม่ ลาฟรอฟตอบว่า ดินแดนของรัสเซีย ซึ่งรวมถึงดินแดนที่จะถูกบรรจุในรัฐธรรมนูญของรัสเซียในอนาคต ถือว่าอยู่ภายใต้การปกป้องอย่างสมบูรณ์จากรัสเซีย

ในถ้อยแถลง ลาฟรอฟ พยายามอ้างความชอบธรรมของสงครามอายุ 7 เดือนของรัสเซียในยูเครน เน้นย้ำกล่าวอ้างว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในเคียฟ ได้รับการแต่งตั้งไม่ชอบด้วยกฎหมายและเต็มไปด้วยพวกนีโอนาซี

ยูเครนและพันธมิตรปฏิเสธการลงประชามติครั้งนี้ว่าเป็นสิ่งที่น่าอดสู ซึ่งออกแบบมาเพื่ออ้างความชอบธรรมในการขยายสงครามให้ลุกลามบานปลายและระดมทหารกองหนุน หลังจากมอสโกประสบความพ่ายแพ้ในหลายต่อหลายสมรภูมิเมื่อเร็วๆนี้

สำนักข่าวหลายแห่งของรัสเซีย รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวไม่ประสงค์เอ่ยนาม ระบุว่าทั้ง 2 สภาของรัสเซีย อาจเปิดอภิปรายในญัตติผนวกดินแดนใหม่อย่างเร็วที่สุดในวันพฤหัสบดี(29ก.ย.) ในขณะที่ อาร์ไอเอ โนวอสติ ระบุว่าอาจขึ้นกล่าวปราศรัยกับรัฐสภา ในการประชุมร่วมระหว่างสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาวาระพิเศษ ในวันศุกร์(30ก.ย.)

รัสเซียบอกว่าการจัดทำประชามติ เป็นการเปิดทางให้ประชาชนในแคว้นต่างๆเหล่านี้แสดงความคิดเห็นของตนเอง ทั้งนี้ดินแดนที่อยู่ภายใต้การยึดครองของกองกำลังรัสเซียในทั้ง 4 แคว้น คิดเป็นสัดส่วนราวๆ 15% ของดินแดนยูเครน หรือขนาดพอๆกับประเทศโปรตุเกส เพิ่มเติมจาก ไครเมีย ซึ่งรัสเซียผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนไปก่อนหน้าแล้วในปี 2014 ซึ่งมีขนาดเกือบเท่าๆกับประเทศเบลเยียม

อย่างไรก็ตามกองกำลังยูเครนยังคงควบคุมดินแดนบางส่วนในทั้ง 4 แคว้น ในนั้นรวมถึงราวๆ 40% ของโดเนตสก์และเมืองเอกของแคว้นซาปอริซเซีย เวลานี้ยังคงมีการสู้รบกันอย่างดุเดือดตามแนวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางเหนือของโดเนตสก์และในเคอร์ซอน

ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ประกาศกร้าวในวันอาทิตย์(25ก.ย.) ว่าประเทศของเขาจะทวงคืนทุกดินแดนที่รัสเซียยึดไป "เราจะปลดปล่อยทั่วทั้งประเทศของเราอย่างแน่นอน จากเคอร์ซอนไปจนถึงลูฮันสก์ จากไครเมียไปจนถึงโดเนตสก์" เขากล่าว

(ที่มา:รอยเตอร์)

 

ตำรวจรัสเซียในวันอาทิตย์(25ก.ย.) กระทบกระทั่งกับประชาชนที่ต่อต้านคำสั่งระดมทหารกองหนุน ในสาธารณรัฐดาเกสถาน ทางภาคใต้ของประเทศ ตอกย้ำให้เห็นถึงระดับความไม่พอใจต่อความเคลื่อนไหวของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ที่ตัดสินใจส่งผู้ชายอีกหลายแสนคนเข้าไปสู้รบในยูเครน

การเรียกระดมทหารกองหนุนครั้งแรกของรัสเซียนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกแถลงออกมาโดย ปูติน เมื่อวันพุธ(21ก.ย.) โหมกระพือการประท้วงตามเมืองต่างๆหลายสิบแห่งทั่วประเทศ และดูเหมือนว่ารู้สึกขุ่นเคืองอย่างรุนแรงจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะกับบรรดาภูมิภาคต่างๆที่มีประชากรพื้นเมืองเป็นชนกลุ่มน้อย อย่างเช่นสาธาณรัฐดาเกสถาน ภูมิภาคที่มีคนส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ตั้งอยู่ตามแนวชายฝั่งทะเลแคสเปียน ในแถบเทือกเขาคอเคซัส

วิดีโอหลายสิบคลิปที่โพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์ เป็นภาพเหตุการณ์เผชิญหน้าระหว่างผู้ชุมนุมกับตำรวจในเมืองมาฮัชกาลา เมืองเอกของสาธารณรัฐดาเกสถาน ในวันอาทิตย์(25ก.ย.) ในขณะที่บรรดาผู้ประท้วงพากันตะโกน "ไม่เอาสงคราม"

ในวิดีโอหนึ่ง พบเห็นกลุ่มผู้ประท้วงที่เป็นผู้หญิงไล่ตามเจ้าหน้าที่ตำรวจรายหนึ่ง ส่วนอีกหลายคลิปเป็นภาพของการกระทบกระทั่งกัน ในนั้นเป็นภาพตำรวจนั่งทับผู้ประท้วง ระหว่างพยายามเข้าควบคุมตัว

รอยเตอร์ไม่ยืนยันว่าคลิปดังกล่าวเป็นของจริงหรือไม่และยังไม่สามารถติดต่อตำรวจในดาเกสถานเพื่อขอความคิดเห็นได้ ในขณะที่วิดีโอนี้ถูกแชร์อย่างกว้างขวางบนสื่อสังคมออนไลน์และสำนักข่าวอิสระทั้งหลาย

กลุ่มสังเกตการณ์อิสระ OVD-Info ระบุรู้สึกกังวลต่อคลิปวิดีโอเกี่ยวกับการควบคุมตัวด้วยวิธีการหนักหน่วงอย่างมาก ที่ปรากฏขึ้นในเมืองมาฮัชกาลา

ก่อนหน้านี้ในวันอาทิตย์(25ก.ย.) ตำรวจยิงปืนขึ้นสู่ท้องฟ้า หลังพวกผู้ประท้วงหลายสิบคนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในดาเกสถาน ปิดกั้นถนสายหลัก เพื่อประท้วงเจ้าหน้าที่ หลังมีรายงานว่าได้เรียกระดมผู้ชายมากกว่า 100 คนจากหมู่บ้านแห่งนี้ ซึ่งมีประชากร 8,000 คน ไปเป็นทหารกองหนุน

สาธารณรัฐดาเกสถานต้องสังเวยชีวิตผู้คนไปแล้วจำนวนมากในสงครามที่ยืดเยื้อมานานกว่า 7 เดือนระหว่างรัสเซียกับยูเครน โดยจากข้อมูลของบีบีซี ระบุว่ามีทหารจากดาเกสถาน เสียชีวิตในความขัดแย้งแล้วอย่างน้อย 301 นาย มากกว่าภูมิภาคไหนๆของรัสเซียและมีจำนวนเสียชีวิตมากกว่าทหารจากมอสโกกว่า 10 เท่า ทั้งที่มอสโกมีจำนวนประชากรมากกว่าดาเกสถานราวๆ 5 เท่า

กระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุเมื่อวันพุธ(21ก.ย.) มีทหารรัสเซียเสียชีวิตแล้วเกือบ 6,000 นาย นับตั้งแต่เปิดปฏิบัติการทางทหารในยูเครน เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์

การชุมนุมโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นสิ่งผิดกฎหมายภายใต้กฎหมายต่อต้านการประท้วงของรัสเซีย และเป็นสิ่งที่พบเห็นน้อยมากนอกเมืองใหญ่ๆ

จากข้อมูลของ OVD-Info พบว่าจนถึงตอนนี้มีประชาชนถูกควบคุมตัวไปแล้วมากกว่า 2,000 คน ตามที่ชุมนุมประท้วงต่อต้านการระดมต่างๆนานาในรัสเซีย นับตั้งแต่ ปูติน แถลงเรียกระดมทหารกองหนุนบางส่วน ที่อาจจะสูงถึง 300,000 คน ในช่วงเวลาที่ยูเครนทวงคืนดินแดนได้มากขึ้นเรื่อยๆ จากปฏิบัติการโจมตีตอบโต้กลับอันน่าตื่นตะลึง

ในความพยายามสยบความขุ่นเคืองของประชาชน เซอร์เกย์ เมลิคอฟ ผู้ว่าการสาธารณรัฐดาเกสถาน โพสต์ลงบนเพจเทเลแกรมส่วนตัวในวันอาทิตย์(25ก.ย.) ว่า "มีความผิดพลาดเกิดขึ้น ในการดำเนินการระดมทหารกองหนุนในภูมิภาค"

มีรายงานต่างๆนานาจากทั่วรัสเซีย ว่ามีคนที่ไม่เคยเป็นทหารหรือเป็นผู้ปกครองของเด็กอายุน้อย ได้รับหมายเรียกด้วย แม้ได้รับคำการันตีจาก เซอร์เก ซอยกู รัฐมนตรีกลาโหม ว่าคนกลุ่มนี้จะได้รับการยกเว้น

(ที่มา:รอยเตอร์)

 

อัลเบิร์ต บูร์ลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร(CEO) มีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวก เป็นครั้งที่ 2 ภายในเวลา 6 สัปดาห์ แม้ฉีดวัคซีนไปแล้ว 4 เข็ม ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเคยอ้างว่าวัคซีนของบริษัท มีประสิทธิภาพ 100% ในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตามรายงานของอาร์ทีนิวส์

บูร์ลา เปิดเผยผลการตรวจเชื้อของเขา ผ่านการโพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ในวันเสาร์(24ก.ย.) เน้นย้ำว่าเขา "รู้สึกสบายดีและไม่มีอาการใดๆ" ทั้งนี้ซีอีโอไฟเซอร์รายนี้ผ่านการฉีดวัคซีน mRNA ของบริษัทตนเองมาแล้ว 4 เข็ม (เข็มปกติ 2 เข็มและเข็มกระตุ้น 2 เข็ม) และเคยบอกว่าเขายังไม่ได้ฉีดเข็มกระตุ้นวัคซีนชนิดป้องกันไวรัสสองสายพันธุ์ (Bivalent vaccine) ตอนที่เขาติดโควิด-19 รอบแรกในเดือนสิงหาคม

"แม้เรามีความคืบหน้าอย่างมาก แต่ไวรัสยังคงอยู่กับเรา" เขากล่าว

วัคซีนเข็มกระตุ้นล่าสุด ออกแบบมารับมืออย่างเจาะจงกับตัวกลายพันธุ์โอมิครอนของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่และสายพันธุ์ย่อยต่างๆของมัน แต่ดูเหมือนไม่ได้รับความนิยมนัก จากข้อมูลที่เผยแพร่โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ(ซีดีซี) พบว่ามีประชาชนผู้มีสิทธิ์ในสหรัฐฯ เพียง 1.5% ที่เข้ารับวัคซีนเข็มดังกล่าว ในช่วง 3 สัปดาห์หลังจากได้รับอนุมัติจากองค์การอาหารและยา(เอฟดีเอ)

เอฟดีเอ อนุมัติวัคซีนเข็มกระตุ้นชนิดป้องกันไวรัสสองสายพันธุ์ แม้ในข้อเท็จจริงคือมันไม่เคยผ่านการทดลองในมนุษย์ โดยมีแค่การทดสอบในหนูเท่านั้น

บูร์ลา รักษาอาการติดเชื้อโควิด-19 หนแรก ด้วยแพ็กซ์โลวิด ยาเม็ดต่อต้านไวรัสที่ผลิตโดยไฟเซอร์ เช่นเดียวกับ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และ แอนโทนี เฟาซี ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของทำเนียบขาว ที่ต่างกลายเป็นเคสหายาก “rebound infections” ติดเชื้อโควิด-19 ซ้ำอีกรอบ แม้กินยาต้านไวรัสแพ็กซ์โลวิดจนหายแล้ว

เมื่อปีที่แล้ว บูร์ลา อ้างผลการศึกษาหนึ่งในแอฟริกาใต้ เผยให้เห็นว่าวัคซีนของไฟเซอร์ มีประสิทธิภาพ 100% ในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19

(ที่มา:อาร์ทีนิวส์)