ต้นตระกูลคนคือ "ลิง" จริงหรือ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 พฤศจิกายน 2004.

  1. ปีศาจร้าย

    ปีศาจร้าย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    673
    ค่าพลัง:
    +1,240
    เราไม่เคยเห็นลิงกลายเป็นคน แต่เราเคยเห็นคนเกิดมามีลักษณะคล้ายลิงมีขนเต็มตัว ชอบปีนต้นไม้ ตามที่เป็นข่าว และทุกสรรพสิ่งกำเนิดในวิถีที่กำหนดให้เป็นเท่านั้น หรือ? แล้วเรารู้ได้ไงกันหละว่าอะไรมากำหนดและมีอำนาจเหนือชีวิตของคนเรา อำนาจลึกลับหรือสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาอย่างงั้นรึเป็นตัวกำหนด ถ้าอย่างงั้นคนเราก้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้เลยสิ เพราะต้องมัวเดินตามวิถีทางที่กำหนดจนไม่กล้าที่จะออกจากกรอบ เพื่อแสวงหาความถูกต้อง
     
  2. newbew

    newbew Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +84
    ลิงที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์มีอยู่ 4 ประเภท

    คือ 1 ลิงชิมแพนซี มีลักษณะคล้ายมนุษย์มากที่สุด
    2.กอริลล่า
    3.อุรังอุตัง
    4. ชะนี

    จำได้คร่าวๆ ว่าก่อนที่วิวัฒนาการของสัตว์เหล่านี้จะมาเป็นมนุษย์
    ลิงเหล่านี้ได้พัฒนาการมา เป็น Ape ลิงไม่มีหาง มนุษย์ในยุคนี้อาจเรียกสายพันธุ์นี้ว่า
    Homo sapien (มนุษย์ผู้ฉลาด)

    แล้วก็ ปัจจุบันนี้ มนุษย์ได้มี สายพันธุ์ที่ชื่อว่า โฮโมเซเปียน เซเปียน (มนุษย์ผู้ฉลาดยิ่ง)

    (b-smile)
     
  3. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,776
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    ต้น ตระ กูลคน คือ มนุษย์ต่างดาว ย้าย อพยพหนีภัย มา ปักหลักบนดาวนี้ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
     
  4. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,776
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    ----มีข้อมูลเพิ่มเติม สำหรับคนที่คิดว่าตัวเองเป็นลูกหลานของสัตว์ที่เรียกว่าลิง-----

    ข้อมูลที่ ชาร์ลส์ ดาร์วิน ไม่รู้...

    ณ บริเวณชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของทะเลสาบวิคตอเรีย บริเวณที่เรียกว่าช่องแคบโอลดูไว นักโบราณคดีได้พบข้อมูลที่ก่อให้เกิดความประหลาดใจแก่วงการอย่างมาก พวกเขาค้นพบมนุษย์ที่เรียกว่า Zinjanthopus ซึ่งยังจัดอยู่ในกลุ่มของ ออสตรัลโลพิทธิคัสอยู่ มนุษย์กลุ่มนี้รู้จักการใช้เขากวาง และกระดูกของสัตว์ใหญ่มาเป็นอาวุธ แต่พวกเขาไม่สามารถสร้างอาวุธหรือเครื่องมือชนิดอื่นๆด้วยตนเองได้ ศาสตราจารย์ มองทา เลนติ กล่าวว่า มีมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกัน ภายในระยะเวลาเดียวกัน พวกเขามีลักษณะที่ค่อนข้างเหมือนมนุษย์ในปัจจุบันมาก พวกเขารู้จักกการทำเครื่องมืออย่างหยาบๆจากก้อนดินและเศษหิน เช่นเครื่องขุด ในปี พ.ศ. 2507 มนุษย์กลุ่มนี้ได้รับการขนานนามว่า โฮโฒ อบิลิส และดูเหมือนว่า พวกเขาน่าจะเป็นมนุษย์ในกลุ่มออสตรัลโลพิทธิคัส ที่น่าแปลกก็คือ ไม่มีการพบมนุษย์กลุ่มนี้ในชั้นดินที่สูงขึ้นไปเลย ราวกับว่า จู่ๆพวกเขาก็สูญพันธุ์ไปอย่างไร้สาเหตุเสียอย่างนั้น

    โฮโม อะบิลิส เป็นสิ่งมีชีวิตที่เจริญที่สุดในกลุ่มนี้ นอกจากนี้ ในชั้นดินอื่นๆ ยังมีการพบมนุษย์ที่มีลักษณะคล้ายกับมนุษย์ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์บางคนมองว่า พวกเขามีลักษณะคล้ายพิธิคันโธปัส เลยตั้งชื่อกลุ่มนี้ว่า Homo Erectus และสุดท้ายพวกเขาก็สามารถพัฒนาตนเองมาเป็น โฮโม ซาเปี้ยน หรือมนุษย์ปัจจุบันอย่างเราท่านในที่สุด

    การค้นพบฟอสซิลดังกล่าว มีความสำคัญต่อวงการวิทยาศาสตร์มาก เพราะโฮโม อะบิลิส ทำให้วงการวิทยาศาสตร์สามารถมองเห็นจุดต่อ หรือ Link ที่ผิดพลาดในสายพันธุ์มนุษย์ที่พวกเขาคิดไว้แต่แรกเป็นอย่างดี หรืออย่างน้อยก็พบว่า พวกเขาเป็นสายพันธุ์ที่เหมือนกับลิง เหมือนออสตรัลโลพิทธิคัสที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์ และทั้งหลายทั้งปวงที่ผมกล่าวมา ต่างมีชีวิตอยู่ในยุคพลิโอเซเนครับ (Pliocene)

    ยิ่งไปกว่านั้น จากการตรวจสอบอายุดินแต่ละชั้นที่ช่องแคบโอลูไว นักโบราณคดีพบว่า ดินที่อายุมากที่สุดมีอายุประมาณห้าแสนปี ขณะที่น้อยที่สุด มีอายุเพียงสองพันปีเท่านั้น

    นักวิชาการฝรั่งเศสที่ท่าทางจะเป็นสาวกดาร์วินคนหนึ่งกล่าวว่า มันไม่จำเป็นจะต้องพิสูจน์อะไรเลย มนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิงอย่างแน่นอน เพราะสายพันธุ์ระหว่างมนุษย์และลิง มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ช่ายครับ หากมองตามทฤษฎีของดาร์วินแล้ว เราจะพบว่า มนุษย์สืบทอดมาจากบรรพบุรุษหลยชั่วคน ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงของมือที่มีลักษณะคล้ายลิงนั้น ก็ค่อยๆเปลี่ยนตามการใช้งานของมันตามกาลเวลา อุปมาเหมือยีราฟ วิวัฒนาการคอของมันให้ยาวขึ้น เพื่อจะได้กินใบไม้จากกิ่งไม้ที่อยู่สูงๆได้ แต่จริงๆแล้วมันไม่เป็นอย่างนั้นสิครับ เมื่อนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันพากันค้นพบว่า มือของมนุษย์มีอายุไม่ยาวนานเหมือนสัตว์บางชนิด หากแต่มีอายุและระยะเวลาวิวัฒน์ที่น้อยมาก น้อยจนเดาไม่ออกเอาเลยว่า มันวิวัฒนาการออกมาในรูปมือของเราได้อย่างไร...

    นอกจากนี้ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเองก็มีความแตกต่างกันออกไป ตัวอย่างเช่น เมื่อเปรียบเทียบมือของเรากับม้า เราจะพบว่าเท้าของม้าดูหยาบ และอยู่ในยุคแรก หรือขาดการวิวัฒนาการมากกว่ามือของคนเรา และผลจากการวิวัฒนาการนั่นแหละ จึงทำให้เท้าของมันมาอยู่ในรูปที่เราเห็นอยู่ในทุกวันนี้ สิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตคือ มือและขาของสัตว์ทุกชนิดรวมทั้งมนุษย์ ล้วนแต่มีวิวัฒนาการในขั้นสูงด้วยกันทั้งสิ้น ครั้นมาเปรียบเทียบดูลักษณะของฟัน นักวิทยาศาสตร์พบว่า ฟันของสัตว์เลื้อยคลานมีลักษณะพุ่งออกมาด้านนอก ฟันสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีลักษณะหุบเข้าด้านใน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวตามความจำเป็นของสัตว์แต่ละชนิด แต่มนุษย์เราซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทหนึ่ง กลับมีฟันที่มีลักษณะตรง ไม่บิดเข้าหรืองอออกเหมือนฟันของสัตว์ชนิดอื่นๆ

    วอลเตอร์ โดแมน นักมานุษยวิทยาคนสำคัญกล่าวว่า "ดาร์วิน ไม่รู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องราวบางส่วน หรือบางทีเขาอาจรู้ แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับมัน แต่การศึกษาของเขาก็ได้ช่วยให้วงการวิทยาศาสตร์ สามารถมองเห็นขั้นตอนการกำเนิดและวิวัฒนาการของมนุษย์ได้ชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ดาร์วินยังได้เลือกใช้คำว่า primitive, Specialized และ Original โดยไม่ได้ตระหนักถึงความแตกต่างที่ปรากฏอยู่ตรงนี้เลย ดังจะเห็นได้จากแขนขาของพวก Primate นั้น ดาร์วินได้ใช้คำว่า ชั้นต้นมาประกอบการอธิบาย แต่จากข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน เราทราบกันแล้วว่ามันจัดอยู่ในวิวัฒนาการขั้นสูงเลยทีเดียว เพราะมันมีการปรับตัวตามสภาพแวดล้อม และไม่มีทางเลยที่จะกลายมาเป็นมือที่เหมือนกับมือของมนุษย์เราในทุกวันนี้"

    "สิ่งหนึ่งที่มีวามสำคัญมาก และสังเกตได้ง่ายคือ เมื่อเปรียบเทียบโครงกระดูกของมนุษย์กับโครงกระดูกของสัตว์ชนิดอื่นๆจะพบว่า โครงประกอบของมนุษย์มีแร่ธาตุเป็นส่วนประกอบที่น้อยมาก แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ องค์ประกอบของแร่ธาตุดังกล่าว จะเป็นตัวบ่ง ที่บอกถึงความแก่ชรา ยิ่งมีมากก็ยิ่งบ่งบอกว่ามีอายุมาก เมื่อมนุษย์คลอดออกมาจากครรภ์ของมารดานั้นจะพบว่า อัตราการเจริญเติบโตจะช้า และช้าเอามากๆเมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์ชนิดอื่นๆ การที่อัตราการเจริญเติบโตช้าในช่วงแรก แสดงให้เห็นว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในร่างกายเป็นพิเศษ และหากมนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิงจริง มนุษย์ก็น่าจะมีลักษณะสมบูรณ์แบบมากกว่าลิงในทุกๆด้าน และเขาควรจะเรียนรู้ และเจริญเติบโตสามารถช่วยตัวเองได้ในเวลาไม่กี่เดือน (เหมือนลิง)"

    -----เอามาให้อ่านเล่นๆครับ จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่จริตก็แล้วกันนะครับ
     
  5. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,776
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    ทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาร์ล ดาร์วิน ( Charls Darwin) ขัดแย้งกับคำสอนศาสนาเทวนิยมที่ว่าพระเจ้าเป็นผู้ออกแบบในการสร้างโลกและสรรพสิ่ง ศาสนาเทวนิยมสอนว่าสิ่งต่างๆในโลกถูกสร้างมาอย่างมีระเบียบแบบแผน เช่นมะม่วงออกลูกเป็นมะม่วงตลอดกาล ความประณีตบรรจงของสรรพสิ่งไม่ได้เกิดจากธรรมชาติแต่เกิดจากพระเจ้า ดาร์วินเสนอทฤษฎีวิวัฒนาการเมื่อ พ.ศ.2402 ในหนังสือชื่อ The Origin of Species มีสาระสำคัญว่าสิ่งมีชีวิตมีวิวัฒนาการคือการเปลี่ยนแปลงไปช้าๆ ใช้เวลานับพันปีหรือบางทีนับล้านๆปี สิ่งมีชีวิตหลายล้านชนิดในปัจจุบัน มีวิวัฒนาการแตกออกเป็นหลายชนิดหลายพันธ์ตามหลักการคัดสรรตามธรรมชาติ (Natural Selection) พวกที่ปรับตัวได้หรือวิวัฒนาการเอาตัวรอดได้จึงจะอยู่รอด ทฤษฎีวิวัฒนาการมีผลกระทบทางลบต่อศาสนาเทวนิยมเพราะขัดแย้งกับคำสอนเรื่องพระเจ้าสร้างโลกและสรรพสิ่ง วิวัฒนาการนับล้านๆปีของแต่ละสายพันธ์ขัดกับการสร้างสัตว์ในเวลาแค่6 วันของพระเจ้า อีฟกับอาดัมต้องไม่ใช่มนุษย์แบบที่เห็นในสายพันธ์ปัจจุบัน มนุษย์สมัยนี้อยู่รอดเพราะการปรับตัวพัฒนาสายพันธ์เป้นล้านปีไม่ใช่การออกแบบของพระเจ้าแต่อย่างใด

    ทฤษฎีนี้ถูกคัดค้านโดยพวกคลั่งศาสนาเช่น ในสหรัฐอเมริกา ครูได้สอนทฤษฎีนี้ในโรงเรียนราว พ.ศ.2450 กลุ่มผู้เคร่งศาสนคริสต์ได้เสนอให้ 20 รัฐออก ก.มง ห้ามสอนทฤษฎีนี้ใน รร. ของรัฐ และหลายรัฐได้ออก กม. นี้ คดีที่โด่งดังคือ ครูชื่อ จอร์น สโคปป์ ถูกกล่าวหาว่าสอนทฤษฎีนี้ใน รร. ที่รัฐเทนเนสซี่ และตั้งแต่ พ.ศ.2503 โรงเรียนหลายแห่งเริ่มสอนทฤษฎีนี้เพราะเกรงสหรัฐจะล้าหลัง แต่ กม. ห้ามสอนก็ยังมีผลบังคับในหลายๆรัฐ จนเมื่อ พ.ศ.2511 ศาลสูงสหรัฐได้ตัดสินว่า กม.ห้ามสอนเป็นการขัดรัฐธรรมนูญสหรัฐ ถึงกระนั้นกลุ่มเคร่งศาสนาไม่ละความพยายามพวกเขาได้เสนอให้รัฐต่างๆออก กม. บังคับบรรจุวิชาพระเจ้าสร้างโลก Creation ว่าต้องสอนควบคู่กับวิชาทฤษฎีวิวัฒนาการ รัฐอาร์คันซอและรัฐหลุยเซียน่าได้ออก กม.บังคับเรียนวิชานี้ใน พ.ศ.2524 ศาลชั้นต้นได้ประกาศใน พ.ศ. 2525 ว่ากฎหมายนี้ของรัฐอารคันซอขัดรัฐธรรมนูญ และปี พ.ศ. 2530 ศาลสูงก็ประกาศทำนองเดียวกันในกรณี กม.ของหลุยเซียนา
     
  6. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,776
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    หลักฐานการเกิดสปีชีส์ใหม่ที่พบเมื่อเร็ว ๆ นี้เป็นการศึกษายุงก้นปล่อง (Anopheles sundaicus) พาหะนำ
    โรคมาเลเรีย ในบริเวณเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ครอบคลุม ประเทศไทย เวียดนาม และมาเลเซีย (ฝั่งเกาะบอร์เนียว) (ดูแผนภาพข้างล่าง) โดยเปรียบเทียบยีนไมโตคอนเดรีย (mtDNA) สองยีน คือ cytochrome oxidase I และ cytochrome b ด้วยเทคนิค polymerase chain reaction (PCR) ซึ่งมีการศึกษายีนทั้งสองในแมลงหลายชนิด

    ผลการศึกษาพบว่ายุงก้นปล่องในประเทศไทย และมาเลเซียมีความแตกต่างทางพันธุกรรมมากกว่า 2% จัดเป็น
    สิ่งมีชีิวิตสองชนิดใหม่ขึ้นมาได้ เหตุผลสนับสนุนการกำเนิดยุงก้นปล่องสองชนิดในกรณีนี้คือ ลักษณะทางภูมิประเทศ
    ที่ถูกแบ่งแยกด้วยทะเลจีนใต้ระหว่างสองประเทศ จัดเป็นการกำเนิดชนิดใหม่ (speciation) แบบ allopatric (คือ
    สิ่งมีชีิวิตสองชนิดที่เกิดขึ้นใหม่จากสองกลุ่มประชากรที่ถูกแบ่งแยกด้วยลักษณะทางภูมิประเทศ) จากข้อมูลพันธุ
    กรรมนี้ และ molecular clock กลุ่มนักวิจัยสามารถคำนวณระยะเวลาที่ยุงก้นปล่องทั้งสองมีรหัสพันธุกรรมแตกต่าง
    กันได้ (ข้อมูลการศึกษาจาก Brower ในปีพ.ศ. 2537 กำหนดระยะเวลาที่ทำให้เกิดความแตกต่างทางพันธุกรรม
    2.3% ไว้ที่ 1 ล้านปี) ผลการคำนวณพบว่ายุงก้นปล่องจากทั้งสองประเทศเริ่มมีพันธุกรรมแตกต่างกันเมื่อ 900,000
    ปีก่อน ซึ่งสอดคล้องกับหลักฐานการกำเนิดทะเลจีนใต้เมื่อประมาณ 800,000 ปีก่อน

    หลักฐานนี้แย้งความคิดเห็นที่ฝ่ายศาสนาแนะว่าสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งไม่มีทางวิวัฒนาการไปเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งได้
    เพราะจากการศึกษานี้เวลา 800,000 ถึง 900,000 ปี ก็ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ได้แล้ว ยิ่งมีเวลานานขึ้นความ
    แตกต่างทางพันธุกรรมก็จะมากขึ้นด้วย เพราะช่วงเวลาที่เราพูดถึงนั้นหลายร้อยล้านปี ครับ แน่นอนครับว่า
    ไม่มีใครเห็นแมววิวัฒน์เป็นสัตว์อื่นได้ เพราะข้อมูลต่าง ๆ ที่มนุษย์เราถ่ายทอดกันมาเป็นช่วงระยะเวลาแค่ไม่กี่พันปี
    หรือสั้นกว่านั้นมาก (ข้อมูลที่เชื่อถือได้) เป็นคนละหน่วยกับวิวัฒนาการ ซึ่งใช้เวลานานมาก ๆ ลองดูในกรณีของยุง
    ก้นปล่องนี้ครับ ดูลักษณะภายนอกอาจคล้ายกัน แต่ความจริงต่างชนิดกันแล้ว ที่กลุ่มศาสนาบอกว่าไม่มีทางเป็นไป
    ได้จึงเป็นความเชื่อตาม The Book of Genesis ที่ไม่มีหลักฐานใด ๆ ประกอบครับ ซึ่งตรงข้ามกับทางวิทยาศาสตร์
    ที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสิ่งมีชีวิตใหม่ถือกำเนิดขึ้นได้ ส่วนเรื่อง lost หรือ increase of information ผมคิดว่ากลุ่ม
    ศาสนาต้องให้คำจำกัดความที่ชัดเจนกว่านี้ครับ ไม่อย่างนั้นจะสื่อสารกับนักวิทยาศาสตร์ทางด้านชีวโมเลกุลได้ไม่ถูกต้อง

    การศึกษาที่ผมยกมานี้ ดร. วิสุทธิ์ ใบไม้ ของไทยเรา อยู่ในกลุ่มวิจัยด้วยครับ
     
  7. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,776
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    ในขณะนี้ห้องปฏิบัติการหลายแห่งกำลังศึกษายีนของมนุษย์ที่ทำให้เกิด "ลักษณะความเป็นมนุษย์" หรือ
    "Sapientine characters" ขึ้น โดยเปรียบเทียบจีโนมของมนุษย์กับจีโนมของลิงชิมแปนซี คาดกันว่า
    การกลายพันธุ์ของคู่เบสนิวคลีโอไทด์ 351,000 จุด ของบรรพบุรุษร่วมระหว่างมนุษย์กับลิง ทำให้เกิด
    "ลักษณะของมนุษย์ขึ้น" จากคู่เบสนิวคลีโอไทด์ของมนุษย์ทั้งหมด 3,120 ล้านคู่ ซึ่งคิดเป็น 0.01% ของ
    การกลายพันธุ์เท่านั้นครับ (จะเห็นว่าน้อยยิ่งกว่าตัวเลข 1-2% ที่ให้ไว้ตอนต้น เพราะพบว่าการกลายพันธุ์
    จำนวนมากเกิดในบริเวณที่ยีนไม่แสดงออกมา หรือไม่ express ที่บริเวณ intron)

    ข้อมูลในปัจจุบัน Klein & Takahata (2002) พบว่ามียีนสามตัวที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับ
    ลิงชิมแปนซี ในแง่การทำหน้าที่ของโปรตีนบางตัว ที่น่าสนใจคือยีนที่รับผิดชอบในการสร้างโปรตีนเคราติน
    (keratins) ตัวอย่างของมนุษย์ ไม่ทำงาน ทั้งที่ในลิงชิมแปนซีและกอริลล่า ยังทำงานอยู่
    (มีชื่อว่า KRTHAP1) หลักฐานนี้ใช้แย้งความเห็นของกลุ่ม creationist ได้ดีว่า "สิ่งมีชีวิตชั้นสูง เช่นมนุษย์"
    (ในทางชีวโมเลกุลเขาไม่แบ่งแยกเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงหรือชั้นต่ำ จากความคิดเห็นในกระทู้ที่แล้ว ที่ผมให้ไว้)
    ไม่จำเป็นต้องมียีนที่ดีกว่า "สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ อย่างลิง" เสมอไป คาดว่าการกลายพันธุ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 240,000
    ปีก่อนครับ
     
  8. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,776
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    การศึกษาเรื่อง mutation ที่เปลี่ยน phenotype ของมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม อื่น ๆ ทำให้เราทราบว่า
    ลักษณะที่ปรากฏให้เห็นภายนอก เป็นผลลัพธ์มาจากการทำงานร่วมกันอันสลับซับซ้อนของยีนหลายกลุ่ม
    การกลายพันธุ์อาจทำให้ลักษณะบางอย่างที่มีอยู่เดิม เปลี่ยนไป หรือหายไป ในทำนองเดียวกันอาจทำให้ลักษณะ
    เดิมที่ปรากฏเฉพาะในบรรพบุรุษร่วมกลับมามีใหม่ก็ได้ เราเรียกการกลายพันธุ์ชนิดนี้ว่า atavism ครับ
    (มาจากภาษาละติน atavus แปลว่าบรรพบุรุษ)

    ตัวอย่างการกลายพันธุ์ที่โครโมโซม X อาจทำให้คนเรามีขนกลับขึ้นเต็มตัวได้ จากข้อมูลทางการแพทย์ของผู้
    ป่วยประมาณ 50 ราย ที่มีบันทึกไว้ตั้งแต่ยุคกลาง (เป็นการกลายพันธุ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก ๆ ในอดีตเมื่อ
    มีกรณีนี้เกิดขึ้น ผู้ป่วยมักจะถูกจับขังและออกตระเวนโชว์ให้สาธารณชนดู เหมือนเป็นสัตว์ประหลาด) ทางการ
    แพทย์เรียกสภาวะนี้ว่า generalized congenital hypertrichosis. การกลายพันธุ์ลักษณะนี้ทำให้ pathway ที่
    รับผิดชอบการสร้างขนหนาปกคลุมร่างกายกลับมาทำงานอีกครั้งหนึ่ง

    ปัจจุบันมีความพยายามที่จะค้นหายีนในมนุษย์ที่ทำให้ค้นหายีนในมนุษย์ที่ทำให้คนเราพูด, อ่าน, เขียน, หรือ
    เดินสองขาได้ครับ...
     
  9. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,776
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    15 เซลล์มนุษย์จัดอยู่ในพวก eukaryote (มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส) ในขณะที่เซลล์แบคทีเรียอยู่ในพวก prokaryote
    (ไม่เยื่อหุ้มนิวเคลียส) มีความแตกต่างกันหลายอย่าง แต่ก็ยังมีความเกี่ยวเนื่องกันมากด้วยครับ อย่างในกรณี
    ออร์กาเนล mitochondria และ chloroplast ของ eukaryote ที่มีการตั้งสมมุติฐานว่าในอดีต eukaryote ซึ่งมีขนาด
    ใหญ่กว่า prokaryote หลายเท่า "กิน" prokaryote เป็นอาหาร แต่มี prokaryote บางตัวที่ไม่ถูกเซลล์ของ eukaryote ย่อยสลาย กลายเป็นว่ามาอาศัยอยู่ร่วมกันแบบ endosymbiosis โดย prokaryote ให้พลังงานต่อโฮสต์
    eukaryote โดย prokaryote ได้รับการ "คุ้มครอง" ในเซลล์ของ eukaryote และรับ raw materials ต่าง ๆ ที่ต้อง
    การ ดังภาพข้างล่าง

    ในกรณีของวิัวัฒนาการ "ความมหัศจรรย์ อยู่ที่เวลา" เวลาอันนานแสนนาน และสภาวะแวดล้อมที่บีบบังคับ (ยิ่งกว่า
    ในปัจจุบันมากมาย) ทำให้ DNA ของคนเกิดขึ้นมาได้ครับ รายละเอียดในเรื่องนี้มีมากมาย เราค่อย ๆ พิจารณาไป
    ทีละส่วนนะครับ
     
  10. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,776
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    ที่เข้าใจผิดกันคือ คิดว่าสิ่งมีชีวิตที่มีความสลับซับซ้อนมาก ๆ นั้นเกิดมาจาก "single chance" หรือโอกาส
    เพียงโอกาสเดียวทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตที่มีความสลับซับซ้อนมากได้ ความจริงแล้วกว่า สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว
    จะวิวัฒนาการไปเป็นมนุษย์ ได้ต้องใช้เวลานานมาก ๆ กว่า 3,000 ล้านปี กว่า A จะกลายเป็น B ได้ก็ต้อง
    มีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อยมากมาย จาก A --> c1 --> c2 --> c3 อาจถึง c10000 กว่า
    จะกลายเป็น B การเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อยนี้เองที่ทำให้เกิดวิวัฒนาการ การเปลี่ยนแปลงที่ไม่เหมาะ
    สมอาจทำให้สิ่งมีชีวิตนั้น ๆ ตายไป แต่ก็ยังมีพวกที่เหลือรอดอยู่ได้จากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบอื่น การ
    เปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต ก็จะเป็นฐานสำหรับการ
    เปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์ขั้นต่อ ๆ ไปอีก

    จากคุณ : Practical x 2 - [ 26 พ.ค. 47 11:16:17 ]






    ความคิดเห็นที่ 36

    ข้อ 8 ข้อความนี้ไม่ได้บอกถึงหลักฐานสำคัญที่ยืนยันทฤษฎีวิวัฒนาการในเรื่องของตำแหน่งที่ค้นพบฟอสซิลใน
    ชั้นหินครับ คนที่ไม่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการคิดว่าสัตว์ทั้งหลายถูกสร้างพร้อมกันในเวลาเดียวกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง
    ควรจะมีการขุดพบฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในชั้นหินเดียวกัน (ช่วงเวลาเดียวกัน) แต่จากหลักฐานที่พบ
    เขาพบซากของสิ่งมีชีวิตที่มีความสลับซับซ้อนกว่า ในชั้นหินที่มีอายุน้อยกว่าเสมอ ไม่ใช่ว่าขุดพบฟอสซิลของ
    สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในชั้นหินที่ยังไม่มีพวกปลาเกิดขึ้นเลย ลองพิจารณาดูครับ หลักฐานฟอสซิลกว่าล้านชิ้นที่พบ
    มี pattern ของลำดับวิวัฒนาการทั้งสิ้น ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นจริง แค่พบซากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชิ้นเดียวในชั้นหินที่
    ทฤษฎีวิวัฒนาการทำนายไว้ว่ายังไม่มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเกิดขึ้น ก็ล้มทฤษฎีได้แล้วครับ

    เรื่องของ transition forms หรือ missing links นั้น ไม่ใช่หากันง่าย ๆ เวลาผ่านมาตั้งนาน ขั้นตอนการเกิดเป็นฟอส
    ซิลก็ไม่ใช่เกิดขึ้นมาง่าย ๆ ต้องอยู่ในกรณีเฉพาะ และยังไม่ได้หากันทุกตารางนิ้วครับ เพราะตอนนี้มีบ้านเรือนคน
    ตั้งอยู่ บางที่ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ขุด ฯลฯ ตอนนี้เขาก็กำลังขุดค้นหากันอยู่ในบริเวณที่ขุดหาได้ ถึงบอกว่าขุดหากัน
    มาเป็นร้อยปี ลองดูจำนวนคนที่ขุดค้นหาซิครับ พื้นที่ตั้งเท่าไหร่ คนที่ขุดหามีอยู่ไม่มีคน เวลาร้อยปีไม่พอหรอกครับ

    จากคุณ : Practical x 2 - [ 26 พ.ค. 47 11:41:34 ]






    ความคิดเห็นที่ 37

    ข้อ 9 พยายามแย้งว่าไม่น่าจะมี missing links อยู่ เพราะไม่เชื่อว่าขั้นตอนวิวัฒนาการไปเป็นขั้น ๆ นั้นเกิดขึ้นจริง
    เพราะคิดว่าพวกที่ด้อยกว่าไม่น่าจะมีชีวิตอยู่ได้ จุดหมายของข้อนี้ (ยกตัวอย่าง) คือ พระเจ้าสร้างตามาให้ครบถ้วน
    สมบูรณ์ตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว ไม่มีวิวัฒนาการใด ๆ หรอก อีกนัยหนึ่ง คือบอกว่าสิ่งมีชีวิตที่มีตาเพียงครึ่งเดียวหรือ ปีกเพียงครึ่งเดียว ไม่สามารถอยู่รอดได้ ข้อความตรงนี้ก็ผิดอีก ลองเปรียบเทียบสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย
    กับสิ่งมีชีิวิตที่มี "light-sensitive spot" ดูสิครับ ถึงเห็นได้ไม่ชัด แต่พอจะรับรู้ได้ว่ามีเงาตะคุ่ม ๆ อยู่ โดยสัญชาติ
    ญาณ ก็จะพยายามหลบหนีเพราะอาจจะเป็นผู้ล่า (predator) ก็ได้ วัตถุประสงค์ที่มี "light-sensitive spot" ก็เพื่อ
    ความอยู่รอดนั่นเอง ตัวไหนที่ไม่มีอะไรเลยก็อยู่รอดไม่ได้ ถูกผู้ล่าจับกินหมด ส่วนขั้นตอนวิวัฒนาการเป็นดวงตา
    ที่มีความสลับซับซ้อน ก็เป็นไปตามกระบวนการวิัวัฒนาการย่อยที่ได้กล่าวไว้แล้วในข้อก่อน ๆ
    แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 47 11:54:05

    จากคุณ : Practical x 2 - [ 26 พ.ค. 47 11:52:36 ]

    .
    .
    .
    .
    .http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X2835095/X2835095.html
     
  11. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,776
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    บทส่งท้าย
    Klein & Takahata (2002)

    มนุษย์เรามักจะรู้สึกว่า ตัวเองมีความสำคัญกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เสมอ และบ่อยครั้งมักจะยอมรับไม่ได้ว่า โลกไม่ได้
    ถูกสร้างมาเพื่อมนุษย์ โลกเกิดขึ้นมาโดยที่ไม่มีมนุษย์และจะยังคงมีอยู่แม้มนุษยชาติสูญพันธุ์ไปสิ้นแล้ว ทุกคนที่
    เกิดมาต้องตายทุกคน เช่นเดียวกับมนุษยชาติที่ต้องสูญสิ้นไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง ในปัจจุบันคนบางกลุ่มจะรู้สึกสบาย
    ใจกว่าถ้าได้เชื่อว่า มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาพร้อม ๆ กับโลก และจะถูกทำลายไปด้วยพร้อม ๆ กันจากผู้สร้าง คนบาง
    กลุ่มเฝ้าฝันถึงการเดินทางออกไปนอกกาแลคซี่ ตั้งอาณานิคมบนดาวเคราะห์ดวงใหม่ อย่าง Star Wars, Star Trek,
    Wormholes และ จักรวาลคู่ขนาน.... ความจริงที่ไม่มีใครอยากรับรู้คือ วันหนึ่งระบบสุริยะที่โลกเราอยู่ จะสูญสิ้นไป
    ในวันนั้นก็จะถึงกาลปวสานของมนุษยชาติ (ถ้ามนุษย์ไม่สูญพันธุ์ไปนานก่อนหน้านั้นแล้ว)

    ขณะนี้เราอาศัยอยู่ในช่วงอบอุ่นระหว่างช่วงธารน้ำแข็ง ถ้าอาศัยหลักฐานจากอดีต ยุคธารน้ำแข็งในอนาคตจะเกิด
    ขึ้นอีกภายใน หนึ่งถึงหกหมื่นปีนับจากนี้ แม้ว่าผลกระทบจากก๊าซเรือนกระจกจะยื้อเวลาไปได้สักหน่อย แต่ก็ได้
    อีกไม่นาน หรืออาจไม่มีผลใด ๆ ด้วยซ้ำ เพราะแหล่งทรัพยากรน้ำมัน ถ่านหิน กำลังจะหมดไป ก๊าซเรือนกระจก
    ก็จะค่อย ๆ หายไปด้วย (หลังจากที่ได้ก่อความเสียหายต่อสภาวะแวดล้อมและมนุษย์อย่างมากมาย) บรรดาก๊าซ
    คาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกผลิตออกมามากมายจากการเผาผลาญเชื้อเพลิง จะถูกมหาสมุทรดูดซึมไปอย่างช้า ๆ
    จนกลับมาอยู่ในระดับปกติ ก่อนที่ยุคธารน้ำแข็งจะมาถึงเสียอีก ถ้ามนุษยชาติยังอยู่รอดถึงตอนนั้น ก็ต้องมีการ
    ปรับตัวขนานใหญ่ ทั้งในเรื่องถิ่นที่อยู่อาศัย ขนาดประชากร และหนทางการเอาชีวิตรอด

    ยุคธารน้ำแข็งนี้จะกินเวลาประมาณหนึ่งแสนปี ปรากฏการณ์เคลื่อนที่ของแผ่นทวีปที่ดำเนินมาตลอดระยะเวลา
    สามพันล้านปี ก็ยังจะำดำเนินต่อไป ทวีปบางทวีปอาจจมลงใต้มหาสมุทร บางทวีปเกิดขึ้นใหม่ ภูมิประเทศ และ
    ภูมิอากาศก็จะเปลี่ยนแปลงไป ดังที่เคยเป็นมาแล้วในอดีตก่อนที่อารยธรรมมนุษย์จะรุ่งเรือง จนกระทั่งพลังงาน
    จากแกนโลกหมดไป ซึ่งจะทำให้สนามแม่เหล็กโลกสลายตัวไปด้วย เมื่อนั้นชั้นบรรยากาศตอนบนของโลกที่
    ทำหน้าที่กันรังสีอันตรายต่าง ๆ จากอวกาศก็จะค่อย ๆ สลายไป เมื่อรังสีพวกนี้ทะลุผ่านมาถึงพื้นโลกได้ ดาว
    เคราะห์ดวงนี้ก็จะตายลงทั้งในทางธรณีวิทยาและทางชีววิทยา

    ถ้ามนุษยชาติยังรอดอยู่ได้ อีกสามพันล้านปีต่อมาดวงอาิทิตย์จะขยายขนาดกลายเป็น red giant เผาผลาญ
    ทำลายล้างทุกชีวิตที่ยังเหลือรอด รวมทั้งซากอารยธรรมต่าง ๆ บนโลกใบนี้จนสูญสิ้น และเปลี่ยนสภาพพื้น
    ผิวโลกให้กลับเป็นดังตอนกำเนิด ต่อมาอีกสามพันล้านปีเมื่อดวงอาิทิตย์กลายสภาพเป็น white dwarf และ
    ถ้าโลกยังไม่ถูกดวงอาิทิตย์ดูดกลืนเข้าไป โลกจะหลุดจากวงโคจรของระบบสุริยะ เนื่องจากดวงอาิทิตย์ใน
    สภาพนั้นไม่สามารถคุมดาวเคราะห์ให้อยู่ในวงโคจรได้ ท้ายที่สุดโลกใบนี้ก็จะล่องลอยไปในจักรวาลอย่าง
    ไร้จุดหมาย ไม่เหลือหลักฐานของสิ่งมีชีวิตอันชาญฉลาดที่ครั้งหนึ่ง ฝันใฝ่จะไปให้ถึงดวงดาวและตั้งคำถาม
    ถามพวกเดียวกันว่า เรามาจากไหน? พวกเราเป็นใคร? และ พวกเราจะเป็นอย่างไรต่อไป?.....
     

แชร์หน้านี้

Loading...