ต้นวงศ์"พระป่า-ธรรมยุต"สมัยรัชกาลที่ ๓

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย คือ~ว่างเปล่า!, 17 เมษายน 2011.

  1. คือ~ว่างเปล่า!

    คือ~ว่างเปล่า! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,647
    ค่าพลัง:
    +473
    ต้นวงศ์ "พระป่า-ธรรมยุต" สมัยรัชกาลที่ ๓ : จิตรกรรมฝาผนังภายในหอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหาร



    ธัชชัย ยอดพิชัย







    <STYLE> P { margin: 0px; } </STYLE>ศิลปวัฒนธรรมฉบับเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๔ ในบทความ "หอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหาร : อาคารเล็กๆ แต่มีจิตรกรรม ′ประวัติคณะธรรมยุต′สมัยรัชกาลที่ ๓" ผมได้นำเสนอว่าภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในหอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นจิตรกรรมฝาผนังที่มีความสำคัญยิ่งในคุณค่าด้านประวัติศาสตร์ ที่มีการบันทึกเขียนเป็นภาพประวัติศาสตร์ "ประวัติคณะธรรมยุต"สมัยรัชกาลที่ ๓ โดยเขียนบนผนังตอนล่างระหว่างช่องประตูและหน้าต่างภายในหอพระไตรปิฎก และส่วนคุณค่าด้านศิลปกรรมงานช่างจิตรกรรมฝาผนังภายในหอพระไตรปิฎกยังจัดได้ว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดจิตรกรรมสกุลช่างขรัวอินโข่งชิ้นเยี่ยมของวัดบวรนิเวศวิหารที่ยังมิเคยมีการนำเสนอเผยแพร่ แสดงถึงความล้ำสมัยในเนื้อหา แนวคิด และรูปแบบ แม้จะอยู่ในอาคารเล็กๆ แต่คุณค่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถ ถือได้ว่าเป็นศิลปกรรมงานช่างชิ้นเอกของวัดบวรนิเวศวิหาร ที่ควรได้มีการนำเสนอเผยแพร่


    ต้นวงศ์ "พระป่า-ธรรมยุต"สมัยรัชกาลที่ ๓ : จิตรกรรมฝาผนังภายในหอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นบทความต่อเนื่องที่ผมได้แรงดลใจจากการได้ติดตามข่าวการละสังขารของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หรือพระธรรมวิสุทธิมงคล แห่งวัดป่าบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔ สื่อหลายแขนงนำเสนอประวัติของหลวงตามหาบัว ขณะยังมีชีวิตอยู่ที่นอกจากหลวงตามหาบัวเป็นพระนักปฏิบัติแล้ว ยังมีปฏิบัติการช่วยชาติด้วยการรับบิณฑบาตเงินดอลลาร์ เงินสกุลต่างๆ และทองคำเพื่อช่วยให้ประเทศชาติพ้นจากภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจที่มีมหาทานบริจาคหลั่งไหลมาไม่ขาดสายด้วยแรงศรัทธาในหลวงตา


    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นพระนักปฏิบัติที่มุ่งศึกษาธรรมโดยการกระทำและอยู่ตามป่าตามเขาที่สงบ สงัด สะดวกต่อการปฏิบัติ จึงเรียกว่า "พระธุดงคกรรมฐาน"Žหรือ " พระป่า" โดยหลวงตามหาบัวเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


    ขอให้ข้อมูลในเบื้องต้นนี้ก่อนว่าเมื่อกล่าวถึงพระภิกษุในพระพุทธศาสนานั้นจะแบ่งออกได้เป็น ๒ ฝ่าย คือ "ฝ่ายคันถธุระ"และ "ฝ่ายวิปัสสนาธุระ"


    พระภิกษุ "ฝ่ายคันถธุระ"จะศึกษาพระปริยัติธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อให้เกิดความรอบรู้ในหลักธรรม เพื่อนำไปประพฤติปฏิบัติ และสั่งสอนผู้อื่นต่อไป ส่วนใหญ่พระภิกษุฝ่ายคันถธุระมักจะอยู่ที่วัดในเมืองหรือหมู่บ้าน เพื่อความสะดวกในการแสวงหาความรู้เพื่อตนเองจากแหล่งความรู้ต่างๆ และได้ใช้ความรู้นั้นๆ สั่งสอนผู้อื่นได้ง่าย ได้บ่อยครั้งและได้เป็นจำนวนมาก จึงเรียกพระภิกษุฝ่ายนี้อีกอย่างหนึ่งว่าเป็น "ฝ่ายคามวาสี" หรือ "พระบ้าน"


    ส่วนพระภิกษุ "ฝ่ายวิปัสสนาธุระ"นำเอาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไปประพฤติปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จริงจังโดยเน้นที่การฝึกจิตในด้านสมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญา การปฏิบัติเพื่อให้บรรลุผลดังกล่าวจำเป็นต้องหาที่สงบสงัด ห่างไกลต่อการรบกวนจากภายนอกในรูปแบบต่างๆ ดังนั้นพระภิกษุฝ่ายนี้จึงออกไปสู่ป่าเขา แสวงหาสถานที่เพื่อที่จะบำเพ็ญสมาธิภาวนาอย่างได้ผล จึงเรียกพระภิกษุฝ่ายนี้ว่า "ฝ่ายอรัญวาสี"หรือ "พระป่า"หรือ "พระธุดงค์"


    "พระป่า"ในไทย ถ้าในรอบกว่าศตวรรษที่ผ่านมา แบ่งเป็นสายใหญ่ๆ ได้ ๒ สาย คือ


    สายแรก เป็นพระป่าฝ่ายธรรมยุต หรือเรียกว่าสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


    ส่วนสายที่ ๒ เป็นพระป่าฝ่ายมหานิกาย ที่เป็นหลักใหญ่ คือ สายหลวงพ่อชา สุภทฺโท วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี และหลวงพ่อสนอง กตปุญฺโญ วัดสังฆทาน จังหวัดนนทบุรี


    สำหรับพระภิกษุที่ได้รับการยกย่องนับถือว่า เป็นพระบูรพาจารย์ใหญ่แห่งกองทัพธรรม "พระธุดงคกรรมฐาน"หรือ "พระป่า"ในประเทศไทย คือหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ผู้ได้บำเพ็ญความเพียรในขั้นเอกอุ สั่งสมบารมีธรรมแก่พระภิกษุสามเณร จนมีศิษย์เป็นพระธุดงคกรรมฐาน ผู้ทรงคุณธรรม สัมมาปฏิบัติ ออกจาริกธุดงค์ เผยแผ่ธรรม เป็นอันมาก พระป่าสายหลวงปู่มั่น มีชาวบ้านศรัทธามากเริ่มทยอยเพิ่มจำนวนมากขึ้น ขยายงานการเผยแผ่ในภาคอีสาน โดยเฉพาะทางจังหวัดอุดรธานี หนองคาย นครพนม สกลนคร อุบลราชธานี นครราชสีมา ขอนแก่น และตามภูมิภาคต่างๆ ที่กองทัพธรรมสายหลวงปู่มั่นได้แผ่ไปถึง พระป่าทุกรูปจะต้องรักษาศีลอย่างบริสุทธิ์ ในกระบวนไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา


    ต้นวงศ์ "พระป่า-ธรรมยุต"สมัยแรกเป็นอย่างไร (ก่อนหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) เป็นคำถามที่ผุดเข้ามาในความคิดของผม แล้วภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในหอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหาร จะมีภาพต้นวงศ์ "พระป่า-ธรรมยุต"หรือเปล่า? เพราะพบว่าช่างเขียนได้เขียนภาพพระธุดงค์ปรากฏมีในหลายภาพ และผมก็พบว่ามี


    เบื้องต้นนี้ขอเสนอข้อมูลพอสังเขปที่กล่าวถึง "พระป่า-ธรรมยุต"(ในภาคอีสาน) ข้อมูลแรกมาจาก "ต้นตระกูลกรรมฐาน"แสดงโดยพระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา เนื่องในวันบูรพาจารย์ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ (ข้อมูลจาก http://www24.brinkster.com)
    

    "บูรพาจารย์ หมายถึง อาจารย์ผู้เกิดก่อนเรา ท่านเกิดก่อนเรา ท่านบวชก่อนเรา ท่านสอนเรามาก่อน จึงได้ชื่อว่า พระบูรพาจารย์


    อันดับของพระบูรพาจารย์ในภาคอีสาน อันดับแรก ท่านอริยกวี (อ่อน) (พระอริยกวี (อ่อน) เป็นพระอุปัชฌาย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) ได้ไปอุปสมบทในสำนักของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ซึ่งสมัยนั้นพระองค์ยังทรงอุปสมบทอยู่ ยังไม่ทรงลาผนวชออกมาครองเมือง แล้วท่านผู้นั้นก็ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมเรียนรู้พระธรรมวินัย แล้วก็นำธรรมวินัยซึ่งถอดแบบจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ไปประดิษฐานคณะพระกรรมฐานธรรมยุตสงฆ์ที่วัดสีทอง จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อสิ้นบุญบารมีของท่านอริยกวี (อ่อน) ก็ตกทอดมาถึงท่านพันธุละ ซึ่งเป็นสหธรรมิกของท่าน


    ถัดจากนั้น ก็มาถึงยุคของพระเดชพระคุณ เจ้าพระคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) เจ้าพระคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ท่านบริหารกิจการพระศาสนาทั้งฝ่ายปริยัติและทั้งฝ่ายปฏิบัติ ภาษากฎหมายเขาว่า คันถธุระ และ วิปัสสนาธุระ คันถธุระ มีหน้าที่จัดการบริหาร ปกครองคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นผู้ตราเป็นกฎหมายสงฆ์ขึ้นมาเรียกว่าพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ และก็จัดการศึกษาพระปริยัติธรรม คือ สอนนักธรรม สอนบาลี สอนทั้งการปฏิบัติธุดงคกรรมฐาน สอนจนกระทั่งสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เป็นนักปฏิบัติที่ยอดเยี่ยม ขนาดขึ้นนั่งบนธรรมาสน์ พอขยับตัว ขาหัก ยังนั่งเทศน์เฉย เอาซิ


    ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์นี้แหละ ท่านมีลูกศิษย์สององค์ องค์หนึ่งคือ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺสมหาเถร) ตอนนี้มาแยกสายกัน สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺสมหาเถร) เป็นผู้ทำธุระในฝ่ายคันถธุระแล้วลูกศิษย์อีกองค์หนึ่งคือ พระเดชพระคุณ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล นี้ ทำหน้าที่เฉพาะฝ่ายปฏิบัติฝ่ายเดียว


    พระธุดงค์ในภาคอีสานที่ออกเดินธุดงค์ไปตามหัวเมืองน้อยเมืองใหญ่ ตามป่าตามชนบทเป็นองค์แรกเท่าที่รู้มา คือ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล หลังจากที่ท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้วประมาณ ๖ พรรษา ก็มาได้ลูกศิษย์องค์สำคัญ คือ พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต นี่เป็นกำลังสำคัญ


    ถ้าจะเปรียบเทียบผู้สอนหนังสือ หลวงปู่เสาร์สอนได้เฉพาะแต่ระดับประถมและมัธยม แต่หลวงปู่มั่นสอนถึงระดับมหาวิทยาลัยจนถึงปริญญาเอก ทีแรกหลวงปู่มั่นมาเรียนกรรมฐานกับหลวงปู่เสาร์แต่บุญบารมีของหลวงปู่มั่นนั้น บุญวาสนาของท่านมีปฏิภาณรวดเร็ว การปฏิบัติธรรมก้าวหน้าได้ดี แล้วลงผลสุดท้าย ขั้นสมถะ พระอาจารย์เสาร์สอนพระอาจารย์มั่น ขั้นวิปัสสนาพระอาจารย์มั่นย้อนกลับมาสอนพระอาจารย์เสาร์ อาจารย์กลับเป็นลูกศิษย์ ลูกศิษย์กลับเป็นอาจารย์ แต่ท่านก็ยังมีความเคารพต่อกันอย่างสุดซึ้ง ซึ่งหาความเคารพของพระภิกษุสามเณรปัจจุบันนี้มีต่อครูบาอาจารย์นั้น จะเปรียบเทียบอย่างท่านไม่ได้เลย แม้ว่าท่านจะเก่งกว่าอาจารย์ในทางภูมิจิต ภูมิธรรม ท่านก็ไม่เคยลบหลู่ดูหมิ่นอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่าน เคารพปรนนิบัติอยู่จนกระทั่งมรณภาพตายจากกันไป อันนี้คือจุดเริ่มของพระธุดงคกรรมฐานในสายภาคอีสาน


    อยู่มาภายหลัง พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ไปเรียนหนังสืออยู่ที่วัดสุทัศน์ จังหวัดอุบลราชธานี พอดีในพรรษานั้น พระอาจารย์มั่นไปจำพรรษาที่วัดบูรพาฯ ซึ่งอยู่ในเมืองเดียวกัน ไม่ทราบว่าเป็น พ.ศ. เท่าใด ทีนี้พระอาจารย์ดูลย์ กับ พระอาจารย์สิงห์ เวลาว่างจากเรียนพระปริยัติธรรม ว่างจากการสอนหนังสือ (เมื่อก่อนนี้ โรงเรียนชั้นประถมนี้อยู่ในวัด) พอตกค่ำก็ไปเฝ้าพระอาจารย์มั่น ไปเรียนกรรมฐาน ไปฟังเทศน์ฟังธรรมพระอาจารย์มั่น ในทางปฏิบัติสมาธิ สมถภาวนา แล้วมาปฏิบัติตาม เกิดผลจิตสงบเป็นสมาธิ มีสภาวะรู้ ตื่น เบิกบาน มีปีติ มีความสุข ทั้งสององค์ท่านก็เลยตัดสินใจเลิกเรียนปริยัติธรรมติดตามพระอาจารย์มั่นไปเป็นลูกศิษย์ เดินธุดงค์ไปทั่วภาคอีสาน"


    ข้อมูลอีกส่วนที่ขอคัดมานำเสนอมีความสำคัญต่อการอธิบาย ต้นวงศ์ "พระป่า-ธรรมยุต"สมัยแรกอยู่มาก คือสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงครองสมณเพศเป็น "วชิรญาณภิกขุ"ในสมัยรัชกาลที่ ๓ หนังสือ "ประวัติคณะธรรมยุต"จัดพิมพ์เนื่องในวาระงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในโอกาสที่วันพระบรมราชสมภพครบ ๒๐๐ ปี วันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ โดย คณะกรรมการบริหารคณะธรรมยุต ได้ค้นคว้ากล่าวถึงการที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงฟื้นฟูการศึกษาฝ่ายวิปัสสนาธุระไว้ว่า


    "ทรงฟื้นฟูการศึกษาฝ่ายวิปัสสนาธุระ


    การคณะสงฆ์ไทยแต่โบราณมา จัดการปกครองออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายคามวาสี มีหน้าที่เอาธุระศึกษาเล่าเรียนพระคัมภีร์ เรียกว่า ฝ่ายคันถธุระ มีพระสังฆราชา หรือพระสังฆราชเป็นประมุขปกครองดูแล และมีพระสังฆนายกรองลงมาเป็นผู้ช่วย ฝ่ายอรัญวาสี มีหน้าที่เอาธุระศึกษาอบรมทางสมณะและวิปัสสนา เรียกว่า ฝ่ายวิปัสสนาธุระ มีพระสังฆราชา หรือพระสังฆราช เป็นประมุขปกครองดูแล และมีพระสังฆนายกรองลงมาเป็นผู้ช่วยเช่นเดียวกัน แต่ละฝ่ายต่างปกครองดูแลคณะของตนโดยไม่ขึ้นแก่กัน


    แบบแผนการคณะสงฆ์ของไทยได้ดำเนินมาในลักษณะนี้จนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย จึงได้มีการเปลี่ยนแปลง คือมีพระสังฆราชา หรือพระสังฆราช ซึ่งต่อมาเรียกว่าสมเด็จพระสังฆราช แต่พระองค์เดียว เป็นประมุขของสังฆมณฑล แต่ให้มีพระสังฆนายกฝ่ายคามวาสี และพระสังฆนายกฝ่ายอรัญวาสี ซึ่งต่อมาเรียกว่า ฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย เป็นผู้ช่วยสมเด็จพระสังฆราช ปกครองดูแลในฝ่ายนั้นๆ แบบแผนการคณะสงฆ์ลักษณะนี้ได้ดำเนินสืบมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้มีการเปลี่ยนแปลง


    ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ เป็นต้นมา ได้เปลี่ยนแปลงการคณะสงฆ์จากเดิมที่จัดเป็นฝ่ายคามวาสีและฝ่ายอรัญวาสี เป็นฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ โดยให้แต่ละฝ่ายปกครองดูแลทั้งพระสงฆ์สามเณรคามวาสีและอรัญวาสี ดังปรากฏในสร้อยนามสมเด็จพระราชาคณะ เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายเหนือ และเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายใต้ว่า มหาอุดรคณฤสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี และ มหาทักษิณคณฤสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี ทั้งนี้เพราะพระสงฆ์สามเณรฝ่ายอรัญวาสีมีน้อยลงจนไม่พอที่จะจัดการปกครองเป็นฝ่ายหนึ่งต่างหากเช่นแต่ก่อน แต่ยังคงให้มีเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายอรัญวาสีไว้โดยไม่มีวัดในปกครอง เพราะมีหน้าที่ต้องตามเสด็จสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน


    มาถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อมีการตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ขึ้นแล้ว ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายอรัญวาสีก็เป็นอันยกเลิกไป เพราะไม่มีวัดฝ่ายอรัญวาสีขึ้นอยู่ในปกครอง

    จากลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ของไทยแต่โบราณมาจะเห็นได้ว่า วิปัสสนาธุระ ถือว่าเป็นหน้าที่ที่พระสงฆ์สามเณรจะต้องศึกษาอบรมกันอย่างจริงจัง สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินก็ทรงอุปถัมภ์บำรุงอย่างเต็มที่ ถึงกับทรงตั้งสังฆราชาและพระสังฆนายกปกครองดูแลกันเองอย่างเป็นเอกเทศ แต่การศึกษาอบรมฝ่ายวิปัสสนาธุระค่อยจืดจางลงตามลำดับ พระสงฆ์สามเณรฝ่ายอรัญวาสีก็ลดน้อยลงตามกาล วัดฝ่ายอรัญวาสีก็ลดน้อยลงจนไม่พอที่จะจัดการปกครองเป็นฝ่ายหนึ่งหรือคณะหนึ่งต่างหากจากฝ่ายคามวาสี ที่สุดฝ่ายอรัญวาสีหรือคณะอรัญวาสีก็เป็นอันยกเลิกไป พระสงฆ์สามเณรฝ่ายอรัญวาสีที่ยังคงพอมีอยู่จึงรวมอยู่ในปกครองของฝ่ายคามวาสีสืบมาจนปัจจุบัน เป็นอันว่าธุระหรือหน้าที่ประการหนึ่งของพระสงฆ์สามเณร คือวิปัสสนาธุระได้ถูกลืมเลือนไปหรือได้รับการเอาใจใส่น้อยลงตามลำดับจนเกือบจะไม่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป


    ในตอนปลายรัชกาลที่ ๒ ได้มีความพยายามที่จะฟื้นฟูการศึกษาฝ่ายวิปัสสนาธุระให้เข้มแข็งขึ้นครั้งหนึ่ง โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรงพระกรุณาโปรดให้อาราธนาพระเถราจารย์ฝ่ายวิปัสสนาธุระทั้งในกรุงและหัวเมืองเข้ามาตั้งเป็นพระอาจารย์บอกกรรมฐาน แล้วส่งไปประจำอยู่ตามวัดต่างๆ ทั้งในกรุงและหัวเมือง เพื่อสั่งสอนพระกรรมฐานแก่พระสงฆ์สามเณรและอุบาสกอุบาสิกา แต่พระอาจารย์กรรมฐานที่ทรงพระกรุณาโปรดให้อาราธนาทั้งจากในกรุงและจากปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือครั้งนั้นก็มีเพียง ๗๖ รูป ฉะนั้น การฟื้นฟูการศึกษาฝ่ายวิปัสสนาธุระเมื่อครั้งนั้น จึงคงเป็นไปไม่ได้ทั่วถึงและเมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๒ แล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้มีการดำเนินการอย่างใดต่อไปอีก


    จากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า การศึกษาของภิกษุสามเณรฝ่ายคันถธุระ เจริญก้าวหน้าไปเป็นอันมาก เพราะได้รับการส่งเสริมและเอาใจใส่ดูแลด้วยดีตลอดมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนการศึกษาฝ่ายวิปัสสนาธุระกลับซบเซาลงไปตามลำดับ เพราะขาดการส่งเสริมและเอาใจใส่อย่างจริงจัง


    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยเมื่อเสด็จประทับ ณ วัดสมอรายนั้น นอกจากจะทรงกวดขันให้ภิกษุสามเณรที่ถวายตัวเป็นศิษย์ศึกษาเล่าเรียนฝ่ายคันถธุระหรือพระปริยัติธรรมอย่างจริงจังแล้ว ยังทรงแนะนำให้ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ทั้งทางสมถะและทางวิปัสสนา ให้ภิกษุสามเณรที่เป็นศิษย์หลวงทั้งหลายได้ศึกษาและปฏิบัติ ได้ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือทางพระพุทธศาสนาแสดงแนวทางการศึกษาอบรมทั้งทางสมถะและวิปัสสนาไว้หลายเรื่อง เช่น วิปัสสนาวิธี วิปัสสนากรรมฐาน อารักขกรรมฐานสี่ พรหมจริยกถา เป็นต้น แม้พระองค์เองก็ทรงนำในทางปฏิบัติดังเป็นที่ทราบกันว่า เมื่อถึงหน้าแล้งจะทรงนำพระศิษย์หลวงออกจาริกไปตามป่าเขาในหัวเมืองต่างๆ ในมณฑลนครชัยศรี มณฑลราชบุรี มณฑลอยุธยา มณฑลนครสวรรค์ ตลอดไปจนถึงมณฑลพิษณุโลก เพื่อบูชาปูชนียสถานสำคัญและแสวงหาที่วิเวกเจริญสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน เป็นประจำแทบทุกปี เป็นการวางแบบอย่างให้ภิกษุสามเณรในคณะธรรมยุตถือเป็นแนวทางการศึกษาและปฏิบัติพระศาสนาสืบมา ด้วยเหตุนี้ จึงปรากฏว่า พระสงฆ์ธรรมยุตในชั้นต้นมักเป็นผู้เอาธุระทั้งสองอย่างเป็นส่วนใหญ่ กล่าวคือ


    ในฤดูฝน อยู่จำพรรษาตามอาราม ศึกษาเล่าเรียนพระคัมภีร์ เป็นการเอาธุระฝ่ายคันถธุระ


    เมื่อถึงฤดูแล้ง มักจาริกไปตามป่าเขาเพื่อแสวงหาที่วิเวกเจริญสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน เป็นการเอาธุระฝ่ายวิปัสสนาธุระ (ตัวเน้นโดยผู้เขียน)


    พระเถรานุเถระธรรมยุตในยุคแรกจึงมักเป็นที่ปรากฏต่อสายตาสาธุชนว่าเป็นพระกรรมฐาน แม้พระเถระผู้ใหญ่จำนวนมากก็ปรากฏชื่อเสียงเกียรติคุณในทางวิปัสสนาธุระ เช่น


    พระอมราภิรักขิต (เกิด อมโร ป.๙) วัดบรมนิวาส


    สมเด็จพระวันรัตน์ (ทับ พุทฺธสิริ ป.๙) วัดโสมนัสวิหาร


    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ศรี อโนมสิริ ป.๙) วัดปทุมคงคา


    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เขียว จนฺทสิริ ป.๘) วัดราชาธิวาส


    พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท ป.๔) วัดบรมนิวาส


    พระครูสิริปัญญามุนี (อ่อน เทวนิโภ) เจ้าคณะธรรมยุตจังหวัดปราจีนบุรี


    พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เป็นต้น


    เพราะเหตุนี้ จึงได้ถือเป็นประเพณีนิยมในคณะธรรมยุตว่า พระเถรานุเถระเป็นผู้ปกครองหมู่คณะ ควรเป็นผู้เอาใจใส่ในวิปัสสนาธุระ คือปฏิบัติกรรมฐานด้วย แม้จะสำนักอยู่ในอารามที่เป็นคามวาสี ทั้งนี้เพื่อจักได้เป็นแบบอย่างแก่ภิกษุสามเณรในปกครองสืบไป


    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อยังทรงผนวชอยู่ จึงได้ชื่อว่าทรงเป็นผู้ฟื้นฟูการปฏิบัติกรรมฐานให้เป็นที่นิยมในหมู่ภิกษุสามเณรขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และยังผลให้เป็นที่นิยมแพร่หลายตลอดไปถึงพุทธศาสนิกชนทั่วไปในเวลาต่อมาด้วย"(ตัวเน้นโดยผู้เขียน)


    หนังสือ "ประวัติคณะธรรมยุต"ทำให้เห็นภาพ ต้นวงศ์ "พระป่า-ธรรมยุต" สมัยรัชกาลที่ ๓ ที่เกิดจากการที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้ฟื้นฟูฝ่ายวิปัสสนาธุระ ดังปรากฏว่า พระสงฆ์ธรรมยุตในชั้นต้นมักเป็นผู้เอาธุระทั้ง ๒ อย่างเป็นส่วนใหญ่ คือเป็นทั้ง "พระบ้าน"และ "พระป่า"อนึ่งก็คือภาพสะท้อนสภาพความเป็นธรรมชาติที่ยังมีอยู่มากในอดีตที่ป่ากับชุมชนยังมิได้แยกอย่างชัดเจนดังเช่นสังคมยุคสมัยปัจจุบันที่ชุมชนสังคมเมืองขยายรุกไปยังป่า


    กลับมาพิจารณาภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในหอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหาร ที่ช่างเขียนได้เขียนภาพพระธุดงค์ปรากฏมีในหลายภาพ ผมพิจารณาอย่างละเอียดอีกรอบ ซึ่งในการดูช่วงแรกมิได้ตั้งข้อสังเกตในภาพแต่เมื่อมีประเด็นเรื่อง "พระป่า-ธรรมยุต"Žจากข่าวการละสังขารของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน และพิจารณาข้อมูลประวัติคณะธรรมยุตจากที่กล่าวมา ผมพบว่ายังมีภาพบนผนังหนึ่งที่เขียน "ประวัติคณะธรรมยุต" สมัยรัชกาลที่ ๓ ได้อย่างชัดเจนอีก ๑ ภาพ เป็นจินตนาการของผมบนพื้นฐานของข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของประวัติคณะธรรมยุต ที่ผมขอเรียกภาพนี้ว่า ภาพต้นวงศ์ "พระป่า-ธรรมยุต" ที่ในภาพคือภาพวาดที่ช่างเขียนให้หมายแทนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวครั้งยังทรงผนวช พระองค์ทรงฟื้นฟูการศึกษาฝ่ายวิปัสสนาธุระ ในทางปฏิบัติทรงนำพระศิษย์หลวงออกจาริกไปตามป่าเขาในหัวเมืองต่างๆ เพื่อบูชาปูชนียสถานสำคัญและแสวงหาที่วิเวกเจริญสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน เป็นประจำแทบทุกปี ซึ่งเป็นการวางแบบอย่างให้ภิกษุสามเณรในคณะธรรมยุตถือเป็นแนวทางการศึกษาและปฏิบัติพระศาสนาสืบมา (ดูภาพประกอบ)


    ภาพต้นวงศ์ "พระป่า-ธรรมยุต"สมัยรัชกาลที่ ๓ ที่ตีความอธิบายภาพนำเสนอใหม่นี้ นับเป็นภาพที่ ๓ จากภาพจิตรกรรมฝาผนัง "ประวัติคณะธรรมยุต" สมัยรัชกาลที่ ๓ ภายในหอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหาร ที่ผมได้ตีความว่าช่างเขียนบันทึกไว้เพื่อให้หมายแทนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวครั้งยังทรงผนวช เป็นภาพประวัติศาสตร์ล้ำสมัยทั้งในด้านเนื้อหา แนวคิด และรูปแบบ ที่บันทึกเป็นภาพเขียน แต่ก็ยังมีภาพเขียนอีกหลายภาพภายในหอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหาร ที่ควรจะได้มีการศึกษาค้นคว้าเพื่อเผยแพร่จัดพิมพ์เป็นหนังสือเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นจอมปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาพระองค์หนึ่งให้เป็นที่ปรากฏสืบไป

    13026688101302668873l.jpg
    ภาพที่๑

    13026688101302668911l.jpg
    ภาพที่๒

    13026688101302668936l.jpg
    ภาพที่๓

    13026688101302668964l.jpg
    ภาพที่๔

    13026688101302668989l.jpg
    ภาพที่๕

    13026688101302669005l.jpg
    ภาพที่๖


    คำบรรยายใต้ภาพ


    หอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหาร อาคารเล็กๆ ที่ภายในมีจิตรกรรมภาพประวัติศาสตร์ ประวัติคณะธรรมยุต สมัยรัชกาลที่ ๓ ศิลปกรรมงานช่างชิ้นเอกของวัดบวรนิเวศวิหาร


    ภาพเขียน ประวัติคณะธรรมยุต สมัยรัชกาลที่ ๓ ในจิตรกรรมฝาผนังภายในหอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหาร ที่ผมนำเสนอไปแล้วนั้นมี ๒ ภาพ ที่ผมตีความภาพว่าเป็นภาพที่ช่างเขียนให้หมายแทนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวครั้งยังทรงพระผนวช ภาพแรกนี้อยู่บนผนังระหว่างช่องหน้าต่างกับประตูด้านทิศเหนือ ที่ส่วนสำคัญของภาพคือ ภาพที่มุมซ้ายล่างเขียนเป็นภาพอาคารที่ต่อเนื่องไปยังศาลาท่าน้ำ มีพระสงฆ์กำลังนั่งเก้าอี้สนทนากับฝรั่ง ในประวัติศาสตร์สมัยรัชกาลที่ ๓ ที่มีการบันทึกเป็นเอกสารไม่ว่าจะเป็นเอกสารของไทยหรือเอกสารของชาวต่างชาติ ล้วนบันทึกว่ามีพระสงฆ์เพียงองค์เดียวที่สนใจในการศึกษาเรียนรู้ภาษาต่างประเทศและวิทยาการอันทันสมัยของชาวต่างชาติต่างภาษา คือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อยังทรงครองสมณเพศ และภาพนี้น่าจะเป็นภาพวาดให้หมายแทนพระประวัติครั้งยังประทับอยู่วัดสมอราย หรือวัดราชาธิวาส


    ภาพที่ ๒ ที่ผมตีความว่าช่างเขียนให้หมายแทนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวครั้งยังทรงพระผนวช คือภาพบนผนังระหว่างช่องหน้าต่างด้านทิศตะวันออก ที่สำคัญมากแสดงความเป็น ประวัติคณะธรรมยุต สมัยรัชกาลที่ ๓ ที่ชัดเจน คือภาพแพโบสถ์น้ำที่หน้าวัดสมอราย หรือวัดราชาธิวาส มุมบนด้านซ้ายช่างเขียนเป็นภาพแพโบสถ์ในแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนด้านขวาช่างเขียนเป็นภาพภายในสำนักวัดสมอราย ที่ท่าน้ำของวัดมีภาพพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ถือร่มกำลังจะลงเรือไปยังแพโบสถ์ ช่างเขียนให้หมายแทนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อยังทรงครองสมณเพศ อาจจะยังประทับอยู่ที่วัดสมอราย หรือเสด็จมาครองวัดบวรนิเวศวิหารแล้วก็เป็นได้ แต่เสด็จมาร่วมพิธีทำทัฬหีกรรม หรืออุปสมบทซ้ำ ที่แพโบสถ์อันจอดอยู่ที่แม่น้ำตรงฝั่งวัดสมอรายออกไป (ภาพบนผนังนี้ในปัจจุบันทางวัดบวรนิเวศวิหารได้บูรณปฏิสังขรณ์แล้วภายใต้โครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดบวรนิเวศวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์)


    ภาพต้นวงศ์ พระป่า-ธรรมยุต สมัยรัชกาลที่ ๓ ภาพบนผนังระหว่างช่องหน้าต่างกับประตูด้านทิศเหนือภายในหอพระไตรปิฎก ที่เขียน ประวัติคณะธรรมยุต ได้อย่างชัดเจนอีก ๑ ภาพ คือภาพวาดที่ช่างเขียนให้หมายแทนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวครั้งยังทรงพระผนวช พระองค์ทรงฟื้นฟูการศึกษาฝ่ายวิปัสสนาธุระ ในทางปฏิบัติทรงนำพระศิษย์หลวงออกจาริกไปตามป่าเขาในหัวเมืองต่างๆ เพื่อบูชาปูชนียสถานสำคัญและแสวงหาที่วิเวกเจริญสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน เป็นประจำแทบทุกปี ซึ่งเป็นการวางแบบอย่างให้ภิกษุสามเณรในคณะธรรมยุตถือเป็นแนวทางการศึกษาและปฏิบัติพระศาสนาสืบมา


    ภาพพระศิษย์หลวงของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้นวงศ์ พระป่า-ธรรมยุต สมัยรัชกาลที่ ๓ ในถ้ำผาพงไพร ในจิตรกรรมฝาผนังภายในหอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหาร


    ภาพ พระป่า-ธรรมยุต สมัยรัชกาลที่ ๓ กำลังเดินธุดงค์ ในภาพจะเห็นวิธีการและรูปแบบการเขียนภาพที่ล้ำสมัย มีมิติลึกตื้น เหมือนจริง ทิวทัศน์งามตามแบบ ฝรั่ง แต่มีบรรยากาศแบบไทย มีกลุ่มพระสงฆ์ออกธุดงค์ ดูฝีมือจัดให้อยู่ในงานช่างจิตรกรรมสกุลช่างขรัวอินโข่งได้เลย


    ---------
    ที่มาข้อมูล :::
    ต้นวงศ์ "พระป่า-ธรรมยุต" สมัยรัชกาลที่ ๓ : จิตรกรรมฝาผนังภายในหอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหา=
     
  2. minidog

    minidog Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    266
    ค่าพลัง:
    +91
  3. ampmobile

    ampmobile เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +113
    ได้ความรู้เพิ่มขึ้น ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ
    ผมมีข้อมูลเกี่ยวกับประวัติ พระสาย ธรรมยุติ สายอิสาน อุบลราขธานี แต่ไม่มีเวลาที่จะพิมพ์สืบค้นลงข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตก็ไม่ค่อยเห็นมีใครลงอยากเห็นลงเหมือนกันจากหนังสือ ที่ระลึก 150 ปี วัดศรีอุบลรัตนาราม (ศรีทอง) ที่หลวงปู่มั่นอุปสมบท
    พระเถรานุเถระธรรมยุติในยุคแรกผู้ใหญ่จำนวนมากก็ปรากฏชื่อเสียงเกียรติคุณในทางวิปัสนาธุระจำนวนมากเช่น
    พระอมราภิรักขิต (อมโร เกิด ป.ธ.9) วัดบรมนิวาส
    สมเด็จพระวันรัต (พุทธสิริ ทับ ป.ธ.9) วัดโสมนัสวิหาร
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อโนมสิริ ศรี ป.ธ.9) วัดปทุมคงคา
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (จันทสิริ เขียว ป.ธ.8) วัดราชาธิวาส
    พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจันโท จันทร์ ป.ธ.4) วัดบรมนิวาส
    พระครูศิริปัญญามุณี (เทวนิโภ อ่อน) เจ้าคณะธรรมยุตจังหวัดปราจีนบุรี
    พระหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นต้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...