ถอดรหัสลับพระสูตร คิริมานนทสูตร พระยาธรรมมิกราช

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย moondark999, 7 พฤษภาคม 2012.

  1. moondark999

    moondark999 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2010
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +41
    เพราะแขนพิการมาครบขวบปี จึงเร่งรีบเขียนหนังสือ
    ถ่ายทอดจินตนาการกับแนวคิดที่เป็นตัวของตัวเอง
    เพื่อสืบเสาะค้นหา..ปริศนาแห่งชีวิต

    ด้วยเพราะหนังสือเล่มนี้เป็นเล่มแรกของชีวิต ที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อน
    แต่ด้วยความหวัง สักวันตนจะมีรายได้เลี้ยงชีพตนเองได้ พึ่งพาตนเองได้
    จึงไม่คิดท้อถอย

    หากได้รับคำแนะนำ ชีแนะ หรือคำตำนิติเตียนประการใดจากท่านผู้อ่าน
    จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งครับ

    .........................................................................

    สารบัญ

    คำนำจากผู้เขียน

    เกริ่นเรื่อง
    - ดวงจิตวิญญาณ
    - จุดศูนย์กลางเกลียวสุริยะ และ จุดศูนย์กลางเกลียวขวัญ

    ก้อนหินรอยพระพุทธบาทพลวง

    กำเนิดโลก

    - มิติโครงสร้างโลก มิติที่หนึ่ง...มิติตัวพลังงาน

    - มิติโครงสร้างโลก มิติที่สอง...มิติโลกไข่แดงกับมิติโลกไข่ขาว

    - มิติโครงสร้างโลก มิติที่สาม...มิติเส้นทางไหลเวียนพลังงาน

    - มิติโครงสร้างโลก มิติที่สี่...มิติแห่งวัฎจักรสงสาร

    - มิติโครงสร้างโลก มิติที่ห้า...จุดเชื่อมต่อและรอยเชื่อมต่อมิติ

    บทส่งท้าย

    พระสูตร คิริมานนทสูตร

    ..................................................................................


    คำนำจากผู้เขียน

    ตลอดชีวิตของท่านผู้อ่าน ท่านผู้อ่านเคยเกิดความรู้สึก “ค้นหา” หรือ “แสวงหา” รึไม่ เวลาที่ท่านผู้อ่านเพ่งมองดูใบหน้าตนเองในกระจกเงานานๆ ท่านเคยเกิดความรู้สึกเหมือนกับว่า ตนเองกำลังพยายามที่จะเพ่งมองให้เห็นอะไรบางสิ่งบางอย่างที่หลบซ่อนหรือซุกซ่อนอยู่ภายในใบหน้าของๆตัวท่านเองบ้างรึไม่

    ความรู้สึกค้นหาแสวงหามันเกิดขึ้นกับชีวิตของเราได้อย่างไร ทำไมเราจึงต้องเกิดสัญชาติญาณของการค้นหาและแสวงหาในสิ่งที่แม้แต่ตัวเราเองก็ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ ว่าเรากำลังค้นหาอะไร เรากำลังแสวงหาอะไร และเราจะค้นหาแสวงหาไปทำไม เพราะอะไร และเพื่ออะไร

    ตลอดชีวิตของท่านผู้อ่าน ท่านเคยเกิดความรู้สึกเช่นนี้บ้างรึไม่ หากท่านผู้อ่านเคยเกิดความรู้สึกเช่นนี้ ผมมีมุมมองแนวความคิดที่มีเหตุมีผลอยากให้ท่านผู้อ่านพิจารณา ทำไมเราจึงเกิดความรู้สึกเช่นนั้นขึ้นในความเป็นสิ่งมีชีวิตของๆเรา

    ประมาณปี พ.ศ. 2547 ผมได้สัมผัสกับพระสูตรคิริมานนทสูตรเป็นครั้งแรก สะดุดฉุดคิดฉุดสงสัยกับปริศนาธรรมต่างๆมากมายที่พระพุทธเจ้าแสดงมาในพระสูตร โดยเฉพาะโครงสร้างองค์ประกอบระบบทำงานของโลกที่พระพุทธเจ้าแสดงมาในพระสูตร มันแตกต่างจากโครงสร้างโลกในตำราเรียนที่แพร่หลายอยู่ทั่วทั้งโลกชัดเจน

    ใครผิดใครถูก ใครชัวร์ ใครมั่วนิ่ม กันแน่

    โครงสร้างโลกในตำราเรียน เกิดจากสมมติฐานความน่าจะเป็นตามหลักการของทางวิทยาศาสตร์
    แต่..เออ..แล้วโครงสร้างโลกที่พระพุทธเจ้าแสดงมาล่ะ เกิดจากอะไร?

    ตั้งแต่นั้นมาผมก็ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง เพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่างเกี่ยวกับสัญชาติญาณของผม ที่ผมรู้สึกเหมือนกับว่าภายในพระสูตรมีปริศนาอะไรบางอย่างซุกซ่อนอยู่ จนนำมาสู่หนังสือถอดรหัสพระสูตรของผม

    ผมจึงขอกราบเรียนท่านผู้อ่าน เนื่องจากผมด้อยการศึกษา เรียนจบแค่ ม.6 มีผลการเรียนที่แย่มากๆถึงแย่ที่สุด ตกๆซ่อมๆเป็นประจำและสม่ำเสมอแทบทุกวิชาโดยเฉพาะคณิต อังกฤษ ฟิสิกส์ เคมี วิทยาศาสตร์ ผมไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย

    ตลอดชีวิตเติบใหญ่ขึ้นมาก็มีอาชีพค้าขายและรับจ้างขายแรงงานทั่วไป จนกระทั้งมามีอาชีพเป็นช่างตัดผมพร้อมๆกับได้พบกับพระสูตร จึงได้มีโอกาสศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง หนังสือเล่มนี้จึงเป็นหนังสือเล่มแรกในชีวิตของผม กับแปดปีกว่าที่ผมพยายามเขียนให้ได้และต้องให้ได้ การถ่ายทอดของผมอาจมีเหตุผลและศัพท์ใหม่ ที่ท่านอาจไม่เคยพบเห็นมาก่อน

    จึงขอกราบเรียนท่านผู้อ่าน โปรดใช้ดุลพินิจวิจารณญาณของท่านพิจารณาด้วย จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง

    พระจันทรมืด999

    .......................................................................................


    เกริ่นเรื่อง...ดวงจิตวิญญาณ...

    ข้อมูลที่..หนึ่ง
    เป็นข้อมูลของทางด้านวิทยาศาสตร์จากสารคดีดิสคัฟเวอรีทางทีวี พบว่า ตัวอสุจิของเพศชายนับแสนนับล้านตัวนั้น ตัวอสุจิแต่ละตัวจะมีแหล่งกำเนิดพลังงานชนิดหนึ่งมีแสงสว่างในตัวเอง ซุกซ่อนหรือซ้อนมิติอยู่ภายในตัวอสุจิแต่ละตัว ตัวอสุจิแต่ละตัวจึงเกิดการเรืองแสงออกมาจากมิติภายในตัวอสุจิ ซึ่งการค้นพบครั้งนี้นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังไม่สามารถให้คำตอบหรือหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้ว่า แหล่งกำเนิดพลังงานมีแสงสว่างในตัวเองซุกซ่อนอยู่ในตัวอสุจินั้นคืออะไร ได้แต่ตั้ง สมมติฐานความน่าจะเป็นไว้ว่า น่าจะเป็นแหล่งพลังงานชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติดั่งเช่น ประจุไฟฟ้าหรือชนวน ที่เป็นตัวทำหน้าที่เสมือนตัวนำพาตัวอสุจิให้พุ่งตรงไปที่ไข่ แล้วเจาะทะลุทะลวงเข้าไปทำปฏิสนธิภายในไข่ฟองเล็กๆ

    ซึ่งข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับการค้นพบแหล่งกำเนิดพลังงานมีแสงสว่างในตัวเอง ซุกซ่อนหรือซ้อนมิติภายในตัวอสุจิของเพศชายที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบภายในตัวอสุจินั้น ก็มีเพียงแค่นี้และเท่านี้ เท่านั้น

    ข้อมูลที่..สอง
    เป็นข้อมูลจากทางด้านวิทยาศาสตร์ของนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น กับการค้นพบด้วยอุปกรณ์เทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นข่าวตามสื่อเมื่อประมาณกลางปีพ.ศ.2552 ไม่นานมานี้พบว่า รูปร่างกายสังขารของมนุษย์คนเรามีแสงสว่างเรืองแสงออก มาจากมิติภายในของร่างกายสังขาร สร้างความฉงนสงสัยอย่างมากกับการค้นพบ และกับความเป็นสิ่งมีชีวิตของๆตนเอง

    การค้นพบครั้งใหม่ล่าสุดนี้ ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถให้คำตอบหรือยังไม่รู้ว่า รูปร่างกายของมนุษย์คนเราเรืองแสงได้อย่างไร และอะไรคือ..ต้นเหตุ..ทำให้ร่างกายของมนุษย์คนเรามีแหล่งกำเนิดแสงสว่าง จนเกิดการเรืองแสงออกมาจากมิติภายในร่างกายสังขาร

    และก่อนที่การค้นพบครั้งใหม่ล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นนี้จะเกิดขึ้น นักวิทยาศาสตร์ในอดีตก็ได้ค้นพบแล้วว่าร่างกายของสัตว์มีคลื่นความร้อนแผ่รัศมีออกมาจากร่างกายของสัตว์และมนุษย์เราๆท่านๆ รวมทั้งการค้นพบคลื่นแสงชนิดหนึ่งที่แผ่รัศมีออกมาจากร่างกายของมนุษย์ โดยมีอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์เป็นตัวกำหนดแฉกสีต่างๆของคลื่นแสงที่แผ่รัศมีออกมา แล้วนักวิทยาศาสตร์ก็เรียกคลื่นแสงชนิดนี้ว่า..แสงออร่า

    แต่ปัจจุบันทั้งข้อมูลการค้นพบคลื่นความร้อน คลื่นแสงออร่า และแสงสว่างที่แผ่ออกมาจากมิติร่างกายของมนุษย์ ทั้งวิทยาศาสตร์ ศาสนา และมนุษย์คนเราที่มีมากมายมหาศาล ก็ยังไม่มีใครสามารถให้คำตอบและอธิบายได้ว่า คลื่นความร้อน คลื่นแสงออร่า และแสงสว่างที่แผ่รัศมีออกมาจากร่างกายสังขารของเรานั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร และมีอะไรเป็นเหตุ

    เพราะไม่ว่าจะเป็นทั้งชีวิตความเป็นหรือหลังความตายเพียงเศษเสี้ยวของวินาที นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่า อะไรคือต้นเหตุ หรือแหล่งกำเนิดพลังงานของคลื่นความร้อน คลื่นแสงออร่า และแสงสว่างนั้นได้

    การค้นพบล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้นักวิทยาศาสตร์เกิดความเชื่อมั่นว่าองค์ประกอบของความเป็นสิ่งมีชีวิตของๆเรานั้น จะต้องมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานมีแสงสว่างในตัวเองเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของความเป็นสิ่งมีชีวิตของเราแน่นอน ร่างกายสังขารของเราจึงเรืองแสงออกมาจากมิติภายใน การค้นพบครั้งนี้จึงเพิ่มความสงสัยใคร่อยากรู้อยากเข้าใจกับปริศนาความเป็นสิ่งมีชีวิตของตนเอง ให้กับนักวิทยาศาสตร์มากยิ่งขึ้น

    แต่..ถ้านักวิทยาศาสตร์ยังมัวเอาแต่ยึดมั่นถือมั่นกับทิฐิ กับหลักการของทางวิทยาศาสตร์แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์ก็จะไม่มีทางที่จะได้ค้นพบกับความเป็นจริง และเข้าใจกับปริศนาต่างๆของความเป็นสิ่งมีชีวิตของๆตนเอง เหตุเพราะข้อมูลที่หลากหลายมากมายมหาศาล ทั้งกลมกลืนและขัดแย้งกันและกันบนโลกใบนี้ ล้วนมีจุดกำเนิดมาจากโลกที่เราๆท่านๆกำลังอาศัยอยู่นี้ เพียงแค่ใบเดียวเท่านั้น

    ดั่งเช่นปัจจุบันกับการค้นพบของวิทยาศาสตร์ที่ทำให้เชื่อได้ว่า องค์ประกอบของร่างกายสังขารที่เป็นเหตุทำให้เราเกิดความเป็นสิ่งมีชีวิต มีความรู้สึก และมีความนึกคิดขึ้นมานี้นั้น มันจะต้องมีองค์ประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งของเราที่เป็นแหล่งกำเนิดพลังงาน แล้วแหล่งกำเนิดพลังงานนั้นจะต้องมีแสงสว่างภายในตัวเอง..ชัวร์..ชัดเจนแน่นอน รูปร่างกายสังขารของเราจึงแผ่รัศมีคลื่นความร้อน คลื่นแสงออร่า และเรืองแสงออกมา

    เพราะ..ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะค้นพบข้อมูลต่างๆเหล่านี้ โลกมีข้อมูลของสิ่งเหล่านี้มาก่อน เนิ่นนานแล้ว

    ข้อมูลที่..สาม
    เป็นข้อมูลความเชื่อด้วยสัญชาติญาณของมนุษย์ ตั้งแต่อดีตกาลที่ยาวนานแสนนานจวดจนกระทั้งมาถึงปัจจุบัน กับข้อมูลการพบเห็น ดวงไฟดวงเล็กๆ ที่สามารถล่องลอยไปๆมาๆได้ หรือวนๆเวียนๆสิงสถิตอยู่กับสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งได้ แล้วทั้งมนุษย์ตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบันต่างก็ล้วนมีข้อมูลของความเชื่อที่เหมือนๆกันทั่วทั้งโลกว่า ดวงไฟดวงเล็กๆที่พบเห็นนั้นก็คือ..ดวงจิตวิญญาณ..ของคนที่ตายไปแล้ว

    หากพิจารณาข้อมูลที่สามจากทั่วโลกให้ดีๆเราก็จะพบว่า ข้อมูลที่สามจะมีข้อมูลที่เหมือนๆกันคล้ายๆกันทั่วทั้งโลก อย่างเช่น หนังภาพยนตร์แนวผีวิญญาณหลายเรื่องทั้งสองฝั่งฟากทั้งตะวันตกและตะวันออกของโลก ที่พยายามจะสื่อสารให้คนดูได้เข้าใจว่า ดวงจิตวิญญาณของคนตายไปแล้วนั้น จะมีลักษณะเป็นดั่งเช่น ดวงไฟดวงเล็กๆ ที่สามารถล่องลอยไปมาได้

    หรือข้อมูลของ..ชัดเตอร์กดติดวิญญาณ..ที่มนุษย์มีความเชื่อว่า ภาพดวงไฟดวงเล็กๆมีแสงสว่างแผ่รัศมีออกมาเป็นวงแหวนที่ติดเข้ามาในภาพถ่ายนั้นก็คือ..ดวงจิตวิญญาณ..ของคนที่ตายไปแล้ว

    ข้อมูลที่..สี่
    เป็นข้อมูลจากทางด้านนักวิปัสสนากรรมฐาน ที่หลากหลายและมากมายมหาศาลตามแผงหนังสือทั่วๆไป แต่เมื่อเอาข้อมูลต่างๆที่หลากหลายและมากมายมาวิเคราะห์พิจารณาค้นหารูปแบบของข้อมูล เราก็จะพบรูปแบบของข้อมูลหนึ่งที่เหมือนๆกันคล้ายๆกันอยู่ข้อมูลหนึ่งก็คือ เมื่อเราพากเพียรนั่งสมาธิจนถึงจุดๆหนึ่งก็จะเกิดการโยกย้ายหรือเคลื่อนย้ายสิ่งๆหนึ่ง สิ่งที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกรับรู้ จากร่างกายสังขารที่กำลังนั่งวิปัสสนาหลังคดหลังแข็งไปตั้งอยู่ยังดวงตาที่มีแสงสว่างจ้าห่อหุ้มล้อมรอบ มองไปทิศทางใดก็เห็นแต่แสงสว่างจ้ากับความรู้สึกที่มีตัวตนแต่ไม่มีตัวตน หรือมองไม่เห็นตัวตน ไม่ว่าจะมองบนมองล่าง มองซ้ายมองขวา เห็นแต่แสงสว่างจ้าที่สวยงามเย็นสบายตาล้อมรอบ กับความรู้สึกที่มีตัวตนแต่ไม่เห็นตัวตนที่เบา โปร่ง โล่ง เย็นสบาย

    แล้วต่อมาก็เกิดภาพเหตุการณ์ที่เสมือนจริง เหมือนกับภาพเหตุการณ์จริงๆของโลกปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินแผ่นน้ำ แผ่นฟ้าอากาศ ต้นไม้ใบหญ้า สิ่งที่เป็นธรรมชาติและสิ่งปลูกสร้างต่างๆล้วนมีความละเอียดคมชัดของภาพที่เหมือนจริงดั่งเช่นภาพเหตุการณ์ความฝันขณะที่เรานอนหลับ แล้วนักวิปัสสนาก็เรียกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านั้นว่า..ภาพนิมิต

    แต่ปัจจุบัน..เกจิอาจารย์และนักวิปัสสนากรรมฐานต่างๆก็ยังไม่สามารถให้คำตอบและอธิบายได้ว่า แสงสว่างจ้าที่ห่อหุ้มล้อมรอบดวงตาและภาพนิมิตที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากอะไรและอยู่ที่ไหน แล้วอะไรในความเป็นสิ่งมีชีวิตของเราที่เป็นตัวเคลื่อนย้ายโยกย้ายจากร่างกายที่กำลังนั่งวิปัสสนาไปตั้งอยู่ที่ดวงตาที่มีแสงสว่างห่อหุ้มล้อมรอบ

    ข้อมูลที่..ห้า
    เป็นข้อมูลของมนุษย์ที่หลากหลายและมากมายในปัจจุบัน มีหลายท่านต่างยืนยันว่า ตนเองสามารถจับความรู้สึกของพลังงานเล็กๆประมาณเมล็ดถั่วเมล็ดงาบริเวณหน้าผากหรือกึ่งกลางระหว่างคิ้วของตนเองได้ หลายท่านสามารถกำหนดเคลื่อนย้ายพลังงานเล็กๆไปๆมาๆบริเวณใบหน้าและบนศีรษะของตนเองได้ และมีบางท่านกล้าที่จะฟันธงว่า ถ้าเราไม่ไปกำหนดเคลื่อนย้ายมัน มันจะตั้งถาวรของมันอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างคิ้วของเรานี่เอง

    ข้อมูลความเชื่อของมนุษย์บางท่านเชื่อว่า มันคือ..ดวงจิตวิญญาณ..ของๆเรานี่เอง
    บางท่านก็เชื่อว่ามันคือ พลังงานหรือแหล่งกำเนิดพลังงานความเป็นสิ่งมีชีวิตของๆเราเอง
    บางท่านก็เชื่อว่ามันคือ ตัวสร้างภาพความนึกคิด ภาพจินตนาการต่างๆ ที่ตนเองเฝ้ามองเหม่อมองภายในจิตใจหรือภายในพลังงานเล็กๆตรงกึ่งกลางระหว่างคิ้วของตนเอง

    แต่ในที่สุด ปัจจุบันก็ยังไม่มีมนุษย์คนใดรู้ว่า พลังงานเล็กๆ สิ่งที่ทำให้ตนเองสามารถจับความรู้สึกตึงๆตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างคิ้วของตนเองได้นั้นคืออะไร ได้แต่ตั้งสมมติฐานความน่าจะเป็นไปต่างๆนาๆเท่านั้น

    ข้อมูลที่..หก
    เป็นข้อมูลของมนุษย์ที่หลากหลายและมากมายในปัจจุบันอีกเช่นกัน เนื่องจากผมมีอาชีพเป็นช่างตัดผม มีลูกค้าที่หลากหลายมากมาย จึงมักอาศัยข้อมูลความคิดเห็นต่างๆของลูกค้า เพื่อนำมาประมวลวิเคราะห์ข้อสงสัยต่างๆของผม

    อย่างเช่น ความสงสัยที่ค้างคาใจ ทำไมเวลาที่ผมเข้าไปในที่แคบๆหรือห้องแคบๆ เช่น ห้องน้ำหรือในลิฟ ผมมักจะสังเกตเหลือบมองเห็นดวงไฟดวงเล็กๆเล็กมากๆเข้ามาในรัศมีของสายตาเป็นบางครั้งบางคราวที่บ่อยมาก จึงเก็บความสงสัยว่าดวงไฟดวงเล็กๆนั้นมันคืออะไร และมันเกี่ยวพันธ์กับความเป็นสิ่งมีชีวิตของเราอย่างไร แล้วทำไมมักจะจำเพาะเจาะจงเหลือบเข้ามาในรัศมีของสายตา เวลาที่เราเข้าไปในที่แคบๆ

    เมื่อผมมีโอกาส ผมมักจะไตร่ถามเพื่อนๆผู้คนทั่วไปและลูกค้าที่หลากหลาย ว่าพวกเขาเหล่านั้นมีประสบการณ์เหมือนดั่งที่ผมอธิบายมามั้ย ข้อมูลส่วนใหญ่ มักตอบว่า..เห็น..เช่นกัน

    เมื่อผมได้ข้อมูลจนมั่นใจว่า ผมไม่ได้บังเอิญเหลือบมองเห็นแต่เพียงผู้เดียวแล้ว ผมจึงตั้งสมมติฐานความสงสัยของผมต่อว่า ดวงไฟดวงเล็กๆเล็กมากๆที่เหลือบเข้ามาในรัศมีของสายตา ขณะที่เราเข้าไปในห้องแคบๆนั้น จะเป็นดวงไฟดวงเดียวกันกับดวงไฟดวงเล็กๆที่เราเหลือบมองเห็น ขณะที่ศีรษะของถูกกระแทกอย่างแรง รึไม่

    มีข้อมูลของมนุษย์ข้อมูลหนึ่ง เป็นข้อมูลที่น่าสงสัย ทำไมเวลาที่ศีรษะของมนุษย์คนเราถูกกระแทกแรงๆ ภายในเศษเสี้ยวของวินาทีนั้น เราจะมองไม่เห็นอะไร แต่เราจะมองเห็นดวงไฟดวงเล็กๆระยิบระยับกระจัดกระจายหลายดวง
    จนนำมาสู่ภาพวาดการ์ตูนล้อเลียนคนที่ศีรษะถูกกระแทก จะเป็นภาพดวงไฟดวงเล็กๆระยิบระยับล้อมรอบศีรษะ กับคำพูดของคนที่ศีรษะถูกกระแทกว่า..เห็นดาว เห็นเดือน

    ปัจจุบัน ก็ยังไม่มีมนุษย์คนใดทราบว่า ดวงไฟดวงเล็กๆเล็กมากๆที่เหลือบเข้ามาในสายตานั้น คืออะไร

    ข้อมูลที่..เจ็ด
    เป็นข้อมูลจากทางด้านนักบุญล้างป่าช้า กับการค้นพบหรือพบเห็นกะโหลกศีรษะของมนุษย์บางคน มีรูเล็กๆเล็กประมาณพอที่จะเอาเส้นผมแหย่เข้าไปในรูเล็กๆนั้นได้ ตรงกึ่งกลางระหว่างคิ้วของกะโหลกศีรษะ กับความเชื่อว่า มนุษย์ผู้นั้นบรรลุหรือสำเร็จอะไรบางสิ่งบางอย่าง จึงเป็นเหตุให้เกิดรูเล็กๆนั้นขึ้นตรงกึ่งกลางระหว่างคิ้วของเขา

    เมื่อพิจารณาข้อมูลที่หกจากทั่วโลก เราก็จะพบข้อมูลความเชื่อของมนุษย์ เกี่ยวกับรูเล็กๆตรงกึ่งกลางระหว่างคิ้วของกะโหลกศีรษะมนุษย์ จะมีข้อมูลความเชื่อที่เหมือนๆกันคล้ายๆกันทั่วทั้งโลกว่า มนุษย์ที่มีรูเล็กๆตรงกึ่งกลางระหว่างคิ้วนั้น จะมีความแตกต่างจากมนุษย์ทั่วๆไปบนโลก

    ข้อมูลที่..แปด
    เป็นข้อมูลจากพระธรรมเทศนาบทหนึ่งของพระพุทธเจ้าในพระสูตรคิริมานนทสูตร ข้อมูลของมหาบุรุษของโลกคนหนึ่ง ที่ถือว่าเป็นจ้าวแห่งข้อมูลที่เราจะมองข้ามไม่ได้ แล้วเราจะมาอวดรู้อวดเข้าใจโดยปราศจากเหตุและผลอธิบายเพื่อเป็นข้อมูลความรู้ความเข้าใจให้กับ..ห่วงโซ่วิวัฒนาการ..รุ่นใหม่ไม่ได้เลย อีกเช่นกัน

    พระสูตร คิริมานนทสูตร
    ดูก่อนอานนท์ เมื่ออยากรู้จักนรก และสวรรค์ และพระนิพพาน ก็ควรให้รู้เสียในเวลาก่อนที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่ออยากพ้นทุกข์ในนรกก็รีบออกให้พ้นเสียตั้งแต่ยังไม่ตาย เมื่ออยากได้สุขในมนุษย์ หรือในสวรรค์ หรือในนิพพาน ก็รีบขวนขวายหาความสุขเหล่านั้นไว้แต่เมื่อยังไม่ตาย จะถือว่าตายแล้ว จึงจะพ้นทุกข์ในนรก ตายแล้วจึงจะไปสวรรค์ไปพระนิพพาน ดั่งนี้ เป็นอันใช้ไม่ได้ เสียประโยชน์เปล่า อย่าเข้าใจว่าเมื่อมีชีวิตอยู่สุขอย่างหนึ่ง เมื่อตายไปแล้วมีสุขอีกอย่างหนึ่ง เช่นนี้เป็นความที่เข้าใจผิดโดยแท้ เพราะจิตมีดวงเดียว เมื่อมีชีวิตอยู่ก็จิตดวงนี้ เมื่อตายไปแล้วก็จิตดวงนี้ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ได้รับทุกข์ฉันใด แม้เมื่อตายไปแล้วก็ได้รับทุกข์ฉันนั้น เมื่อยังมีชีวิตอยู่มีความสุขฉันใด เมื่อตายไปแล้วก็ได้รับความสุขฉันนั้น ไม่ต้องสงสัย เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่รู้ไม่เห็นซึ่งความทุกข์และความสุข มีสภาวะปานดั่งนี้ เมื่อตายไปแล้วยิ่งจะซ้ำร้าย จะมีทางรู้ ทางเห็น ด้วยอาการอย่างไร

    ดูก่อนอานนท์ สัตว์ที่ตกอยู่ในนรกมากมายนับมิได้ แน่นอัดยัดเหยียดกันอยู่ในนรกดั่งข้าวสารหรือเมล็ดถั่วเมล็ดงาในกระสอบ แต่ก็ไม่เห็นกันได้ ด้วยเขาไม่รู้ไม่เห็นซึ่งนรก ไม่รู้สุข ทุกข์ บาปบุญคุณโทษ ไม่รู้ว่าจิตของตนเป็นทุกข์เป็นสุข มีแต่มัวเมาอยู่ด้วยตัณหากามราคะกิเลสต่างๆ จึงชื่อว่าตกอยู่ในนรก ยัดเหยียดกันดั่งข้าวสารหรือเมล็ดถั่วเมล็ดงาในกระสอบ ร้องเรียกหากันก็ไม่เห็นกัน คือไม่เห็นทุกข์ไม่เห็นสุขแห่งกันและกัน เท่านั้นเอง

    ปุจฉา พระพุทธเจ้า ชัวร์ หรือ..มั่วนิ่ม

    ลองวิเคราะห์และพิจารณาข้อมูลของพระพุทธเจ้าให้ดีๆ ข้อมูลของพระพุทธเจ้าระบุชัดเจนว่า องค์ประกอบของความเป็นสิ่งมีชีวิตของเรามันมีวัตถุพลังงานที่เรียกว่า..ดวง..เป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของความเป็นสิ่งมีชีวิตของๆเราอยู่ด้วย

    และพระพุทธเจ้าก็ยังระบุชัดเจนอีกด้วยว่า วัตถุเล็กๆดั่งเมล็ดถั่วเมล็ดงานั้นมีการ..มองเห็น..และมี..ภาพเหตุการณ์.. ที่บ่งบอกสภาวะความสุขและความทุกข์อยู่ภายในวัตถุเล็กๆนั้น แต่ตัววัตถุเล็กๆดั่งเมล็ดถั่วเมล็ดงานั้นกลับไม่รู้ตัวกับภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นภายในตัวตนของตนเอง และไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังจมอยู่กับความสุขหรือความทุกข์กับภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นภายในวัตถุเล็กๆนั้น มีแต่มัวเมาลุ่มหลงไปกับภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ภายในตัวตนของๆตนเอง เท่านั้น

    ไม่มี..ตาหรือดวงตา..การมองเห็นก็จะไม่เกิดขึ้น
    ไม่มี..แสงสว่าง..ทุกๆสรรพสิ่งก็ต้องมืดมิดมืดสนิท การมองเห็นภาพต่างๆก็จะไม่เกิดขึ้น..เช่นกัน

    พระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าแสดงมาระบุชัดเจนว่า ดวงจิตหรือวัตถุเล็กๆดั่งเมล็ดถั่วเมล็ดงานั้นมีการมองเห็นและมีภาพเหตุการณ์ต่างๆที่บ่งบอกสภาวะแห่งความสุขและความทุกข์ของวัตถุเล็กๆนั้น

    นั้นย่อมหมายความว่า ดวงจิตหรือวัตถุเล็กๆดั่งเมล็ดถั่วเมล็ดงาที่พระพุทธเจ้าแสดงมานั้น จะต้องมีองค์ประกอบหลักประกอบด้วย..ดวงตาและแสงสว่าง..ชัวร์แน่นอน นอกเสียจาก พระพุทธเจ้า..มุสา

    บทสรุป ข้อมูล
    เป็นไปได้หรือไม่ ข้อมูลต่างๆเหล่านี้ มีสิ่งที่เป็นต้นเหตุก่อให้เกิดข้อมูลต่างๆเหล่านี้ คือ..สิ่งเดียวกัน

    ข้อมูลต่างๆที่ยกมานี้ พอที่จะเป็นเหตุผลทำให้ท่านเกิดความเชื่อได้ไหมว่า องค์ประกอบของความเป็นสิ่งมีชีวิตของๆเรานั้น มันมีแหล่งกำเนิดพลังงานมีแสงสว่างในตัวเองเป็นองค์ประกอบหลักส่วนหนึ่งของความเป็นสิ่งมีชีวิตของๆเรา ชัวร์ๆชัดๆหมดสิทธิ์สงสัย ได้หรือไม่

    จากจุดเริ่มต้นของชีวิต ข้อมูลจากทางด้านวิทยาศาสตร์ทำให้เราเห็นชัดเจนว่า องค์ประกอบของความเป็นสิ่งมีชีวิตของๆเรานั้น มันมีสิ่งที่เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานมีแสงสว่างในตัวเองเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของชีวิตเราชัดเจน
    แต่หลังปฏิสนธิแหล่งกำเนิดพลังงานที่มีแสงสว่างในตัวเองนั้น..มันหายไปไหน

    ตลอดชีวิตทั้งชีวิตตั้งแต่เริ่มต้นปฏิสนธิเกิดขึ้นมาจวดจนกระทั้งตาย เรากลับไม่มีข้อมูลของการค้นพบหรือพบเห็นแหล่งกำเนิดพลังงานมีแสงสว่างในตัวเองเล็กๆนั้นอีกเลยภายในร่างกายสังขารของๆเรา ขณะที่เรากำลังมีชีวิตอยู่

    ไม่ว่าจะผ่าตัดคนเป็นจนทั่วร่างกาย หรือผ่าศพคนตายจนเละแหลกละเอียด เราก็ไม่มีข้อมูลของการค้นพบหรือพบเห็นแหล่งกำเนิดพลังงานมีแสงสว่างในตัวเองที่ซุกซ่อนอยู่ภายในตัวอสุจินั้นอีกเลย..เป็นเพราะอะไร

    แต่ทำไม? เรากลับมีข้อมูลการพบเห็น..หลังชีวิตความตาย
    เรามีข้อมูลของการพบเห็นแหล่งกำเนิดพลังงานมีแสงสว่างในตัวเอง ดวงไฟดวงเล็กๆทั่วทั้งโลก
    เรามีข้อมูลของการพบเห็นช่วงก่อนการเกิดปฏิสนธิ กับ ชีวิตหลังความตายของรูปร่างกายสังขาร
    แล้วทำไม? เราจึงไม่มีข้อมูลการพบเห็นขณะที่เรากำลังมีชีวิตอยู่เลย..มันเป็นไปได้ไง

    แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะ เราจึงจะรู้ เราจึงจะเห็น เราจึงจะเข้าใจกับแหล่งกำเนิดพลังงานดวงไฟดวงเล็กๆดั่งเมล็ดถั่วเมล็ดงานั้น ในขณะที่เรากำลังมีชีวิตอยู่ หรือก่อนที่รูปร่างกายสังขารของเราจะ..ตาย

    ท่านผู้อ่าน...
    ท่านรู้จักและเข้าใจกับความเป็นสิ่งมีชีวิต..มีตัวตน..ของๆตัวท่านเองมากน้อยแค่ไหน ดีพอแล้วรึยัง
    หนึ่งชีวิต มีโอกาสแค่เพียงครั้ง อะไร? คือ สิ่งแรกที่เราควรรู้ และ ต้องรู้แจ้งชัดให้ได้

    .......................................................................................


    เกริ่นเรื่อง...จุดศูนย์กลางเกลียวสุริยะ และ จุดศูนย์กลางเกลียวขวัญ

    ปัจจุบันต่างทราบกันดีว่า รูปร่างหน้าตาของสุริยะจักรวาลที่เรากำลังอาศัยอยู่นี้ มีลักษณะหมุนวนเป็นเกลียวสว่านหรือเกลียวก้นหอย แล้วก็มีดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลาง เราจึงเรียกสุริยะจักรวาลของเราอีกคำว่า แกแลตซี่ก้นหอย

    แต่ข้อมูลของสุริยะจักรวาลหรือแกแลตซี่ก้นหอยที่เราทราบ มันยังมีสิ่งที่ทำให้ฉุดคิดสงสัยค้างคาใจก็คือ แล้วจุดศูนย์กลางของเกลียวสว่าน หรือจุดศูนย์กลางของเกลียวก้นหอยนั้นล่ะ มันคืออะไร และ อยู่ที่ไหน
    หรืออะไร? คือต้นเหตุทำให้สุริยะจักรวาลที่เราเห็นอยู่นี้ มีรูปร่างหน้าตาหมุนวนรอบตัวเองเป็นเกลียวก้นหอย

    ปัจจุบันอัจฉริยะทั้งสองด้านทั้งวิทยาศาสตร์และศาสนาต่างๆก็ยังไม่มีใครรู้ ยังไม่มีใครสามารถให้คำตอบอธิบายได้ว่า จุดศูนย์กลางของเกลียวสุริยะจักรวาล หรือจุดศูนย์กลางของเกลียวก้นหอยนั้น มันคืออะไร และอยู่ที่ไหน
    อธิบายไม่ได้ แม้กระทั้ง..จุดศูนย์กลางเกลียวขวัญ..จุดศูนย์กลางของเกลียวเส้นผมบนศีรษะของๆตนเอง

    คราวนี้ผมอยากให้ท่านผู้อ่านลองพิจารณาข้อมูลเหตุผลของผมดูสิว่า ผมจะสามารถพาท่านผู้อ่านได้พบเห็นและพบเจอ..จุดศูนย์กลางเกลียวสุริยะจักรวาล..และ..จุดศูนย์กลางเกลียวขวัญ..บนศีรษะของเราๆท่านๆได้หรือไม่

    ภาพเกลียวสุริยะสังเกตให้ดีๆเราจะเห็นชัดเจนว่า รูปร่างหน้าตาของตัวพลังงานที่กำลังขับเคลื่อนสุริยะจักรวาลอยู่นี้ เป็นตัวพลังงานที่ก่อให้เกิดรูปแบบ..ลายเส้น..ของตัวพลังงานอยู่ 2 รูปแบบ ก็คือ
    1. ลายเส้น หมุนวนเป็นเกลียวสว่านหรือเกลียวก้นหอย เป็นลายเส้นที่เราสามารถมองเห็นด้วยตา
    2. ลายเส้น วงแหวนซ้อนกันเป็นชั้นๆแผ่รัศมีกว้างไกลออกไป เป็นลายเส้นที่เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตา
    เหตุนี้ เราจึงเรียกสุริยะจักรวาลของเราว่า แกแลตซี่ก้นหอย ก็คือเรียกตาม..ลายเส้น..ที่เห็นนั้นเอง

    1. ลายเส้นหมุนวนเป็นเกลียวก้นหอยของสุริยะ เราสามารถมองเห็นด้วยตา แต่เกลียวที่เราเห็นเราก็ยังไม่รู้ว่าเกลียวสุริยะที่เราเห็นนั้น มันเป็นเกลียวที่กำลังหมุนเข้าหรือกำลังหมุนออก มันเป็นแรงดึงดูดหรือแรงดัน
    เหตุเพราะ เราเห็นภาพเกลียวสุริยะเป็นภาพนิ่ง นั้นเอง

    ฉะนั้น ความต่างของเวลากับสายตาของเรามองเห็น กับโครงสร้างของตัวพลังงานขับเคลื่อนสุริยะ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่เราต้องใช้ดุจพินิจพิจารณา เราจึงจะรู้ว่าเกลียวสุริยะมันกำลังหมุนไปทิศทางไหน และจุดศูนย์กลางของเกลียวมันคืออะไร อยู่ที่ไหน เพราะเราเห็นเกลียวสุริยะชัดๆไม่ใช่รึ มันจะไม่มีจุดศูนย์กลางของเกลียวได้ไง

    เกลียวน้ำ เกลียวลมพายุ เรายังเห็นจุดศูนย์กลางของเกลียว แต่เกลียวสุริยะจักรวาลทำไมเราจึงมองไม่เห็นจุดศูนย์ กลางของเกลียว เป็นเพราะอะไรทั้งๆที่ความเป็นจริง..มันมี แน่นอน

    2. ลายเส้นวงแหวนแผ่รัศมีเป็นชั้นๆกว้างไกลออกไป ด้วยเพราะเรามองไม่เห็นตัวลายเส้นของวงแหวน เราจึงต้องสังเกตจากร่องรอยของลายเส้นวงแหวนก็คือ เส้นวงโคจรของดวงดาวต่างๆวนรอบจุดศูนย์กลาง เหตุเพราะการโคจรวนรอบจุดศูนย์กลางสุริยะของดวงดาวต่างๆรวมทั้งโลกนั้น ก่อให้เกิด..ลายเส้นวงกลม..ที่ตายตัว นั้นเอง

    ฉะนั้น ช่องว่างระหว่างดวงดาวต่างๆรอบจุดศูนย์กลางก็คือ ตัวแผ่นวงแหวนที่แผ่กระจายรัศมีกว้างไกลออกมาจากจุดศูนย์กลาง แล้ว..ตัวเส้นขอบ..ของวงแหวนที่เป็นตัวแบ่งแผ่นวงแหวนแต่ละแผ่นก็คือ เส้นวงโคจรของดวงดาวต่างๆ

    เมื่อมีวงแหวนแผ่รัศมีกระจายออกมา ย่อมต้องมีจุดศูนย์กลางของวงแหวนนั้น ดังเช่นเมื่อเราเอาก้อนหินโยนลงน้ำ เราก็จะเห็นคลื่นวงแหวนแผ่รัศมีกระจายออกจากจุดศูนย์กลางกว้างไกลออกไป

    และในทางกลับกันเมื่อเราเคาะที่ขอบกระมัง เราก็จะเห็นคลื่นจากขอบกระมังหุบเข้าเป็นคลื่นวงแหวน หุบเข้าสู่จุดศูนย์กลางของวงแหวน

    เมื่อพิจารณาโครงสร้างของสุริยะ ความน่าจะเป็น แหล่งกำเนิดลายเส้นทั้งสองรูปแบบของสุริยะจักรวาล น่าจะมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน หรือมีจุดศูนย์กลางเดียวกันระหว่างลายเส้นหมุนวนเป็นเกลียวกับลายเส้นวงแหวน

    คราวนี้ก็มาหาเบาะแสจุดศูนย์กลางของเกลียวสุริยะ จุดศูนย์กลางของเกลียวก้นหอยและจุดศูนย์กลางของวงแหวนสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่รัศมีกระจายออกมาเป็นชั้นๆจากจุดศูนย์กลางของวงแหวน

    ดาวเสาร์ เป็นเบาะแสแรกที่น่าสนใจที่สุด เพราะโครงสร้างรูปร่างหน้าตาของดาวเสาร์ทำให้เชื่อได้ว่า มันมีแหล่ง กำเนิดพลังงานที่ก่อให้เกิดวงแหวนสนามแม่เหล็กไฟฟ้าแผ่กระจายรัศมีออกมารอบจุดศูนย์กลางนั้น..มันมีจริง

    แต่เราก็ยังไม่รู้อีกว่าอะไรคือเหตุ ทำให้ดาวเสาร์เกิดวงแหวนล้อมรอบ เพราะเรามองไม่เห็นโครงสร้างภายในของดาวเสาร์ เราจึงไม่รู้ว่าวงแหวนที่แผ่รัศมีออกมาล้อมรอบดาวเสาร์นั้นเกิดจากอะไรภายในโครงสร้างของดาวเสาร์
    แต่ที่แน่ๆมันมีแหล่งกำเนิดที่ก่อให้เกิด..วงแหวน..ชัวร์ แน่นอน

    เบาะแสต่อมาก็คือ ร่องรอย..ลายเส้น..จากรูปร่างกายสังขารของเรานี่เอง เราจะพบว่ารูปร่างกายสังขารของเรามันมีร่องรอยลายเส้นอยู่สองชนิด ก็คือ

    1. ลายเส้นที่ไม่มีระเบียบไม่มีรูปแบบ เช่น ลายเส้นบนฝ่ามือ เพราะลายเส้นบนฝ่ามือของเราเป็นลายเส้นที่เกิดจากการกำมือของฝ่ามือตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ลายเส้นต่างๆลักษณะเช่นนี้จึงเป็นลายเส้นที่ไม่มีระเบียบไม่มีรูปแบบ หรือไม่มี..ต้นแบบ..นั้นเอง

    2. ลายเส้นที่มีระเบียบ มีรูปแบบ ก็คือ ลายเส้นแผ่กระจายรัศมีเป็นวงแหวน บนปลายนิ้วมือและนิ้วเท้า กับลายเส้นหมุนวนเป็นเกลียวสว่านหรือเกลียวก้นหอยของเส้นผมบนศีรษะของเรา ลายเส้นลักษณะเช่นนี้จึงเป็นลายเส้นที่มีระเบียบ มีรูปแบบ หรือมี..ต้นแบบ..มาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน เราๆท่านๆจึงมีรูปแบบลายเส้นที่เหมือนๆกันบนร่างกาย

    แล้วอะไรล่ะ เป็นเหตุทำให้รูปร่างกายสังขารของมนุษย์อย่างเราๆท่านๆ เกิดร่องรอยลายเส้นที่มีระเบียบ มีรูปแบบที่ตายตัวทั้งสองรูปแบบนี้ขึ้นมา เหมือนๆกันหมดทุกชีวิต

    ถ้าหากลายเส้นที่มีระเบียบมีรูปแบบทั้งสองรูปแบบนี้ เป็นผลที่เกิดจากแหล่งกำเนิดพลังงานชีวิตของเรา
    เมื่อเอาสัจธรรมทุกสรรพสิ่งล้วนมีสองด้านมาพิจารณาโครงสร้างรูปแบบลายเส้นทั้งสองรูปแบบ เราก็จะทราบว่า แหล่งกำเนิดพลังงานชีวิตของเรา มันส่งผลให้เกิด..แรงพลังงาน..อะไรขึ้นมาบ้าง จึงเกิดร่องรอยลายเส้นทั้งสองรูปแบบนี้ขึ้น มาบนร่างกายสังขารของเรา ดั่งนี้
    1. แรงดึงดูด หมุนวนเป็นเกลียวสว่าน
    2. แรงดัน หมุนวนเป็นเกลียวสว่าน
    3. แรงดึงดูด หุบเข้าเป็นวงแหวน
    4. แรงดัน แผ่กระจายออกเป็นวงแหวน
    สี่แรงพลังงานกับสองด้าน ดึงดูดกับผลักดัน

    เพราะฉะนั้น ความน่าจะเป็น แหล่งกำเนิดพลังงานชนิดนี้ จะต้องเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานของแรงสี่แรงพลังงานกับสองด้าน ดึงดูดกับผลักดัน หรือ สี่แรงสองด้าน หรือ..สี่มิติสองด้าน..ชัวร์ แน่นอน

    เหตุนี้ การไหลเวียนพลังงานของสังขารของ..สัตว์..จึงมีลักษณะแผ่กระจายออกจากจุดศูนย์กลาง ไปหล่อเลี้ยงจนทั่วร่างกายตั้งแต่ศีรษะยันปลายนิ้วมือนิ้วเท้า แล้วก็ดึงดูดพลังงานที่ถูกใช้แล้วตั้งแต่ศีรษะยันปลายนิ้วมือนิ้วเท้า ให้ย้อนสวนทิศทางกลับเข้าสู่จุดศูนย์กลางอีกครั้ง เป็นวัฏจักร เป็นดั่งมิติลูกสูญสองด้าน ย้อนกลับไป ย้อนกลับมา

    ความน่าจะเป็น สุริยะจักรวาลก็ต้องมีแหล่งกำเนิดพลังงานก่อให้เกิดแรงทั้งสี่สองด้านนี้ เช่นกัน
    ไข่ฟองเล็กๆจะพองตัวขยายตัวเติบใหญ่ขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าไม่มีตัวพลังงาน ดึงดูดสารอาหารจากผู้เป็นแม่เข้ามาภายในไข่ แล้วก็ผลักดันไข่ให้พองตัวขยายตัวเติบใหญ่ขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างกายสังขารที่ใหญ่โต

    สมมตินะสมมติ คราวนี้มาลองสมมติ เพื่อค้นหาเบาะแสของแหล่งกำเนิดพลังงาน ที่เป็นเหตุทำให้ร่างกายสังขารของเราเกิดรูปร่างหน้าตาของลายเส้นที่มีรูปแบบที่ตายตัวทั้งสองรูปแบบ หมุนวนเป็นเกลียว กับ วงแหวน
    สมมติว่ามีตัวพลังงานชนิดนี้เกิดขึ้นภายในไข่ หลังเกิดปฏิสนธิระหว่างตัวอสุจิกับไข่

    แรงดึงดูดหมุนวนเป็นเกลียวจะอยู่ด้านหน้า เพื่อดึงดูดสารอาหารจากผู้เป็นแม่เข้ามาภายในไข่
    เหตุนี้ สะดือ ของเราจึงเกิดร่องรอยเป็นแอ่งบุ๋มลึกลงไป แต่ไม่มีร่องรอยลายเส้น
    เกลียวขวัญ อยู่ตำแหน่งตรงข้ามกับสะดือขณะเกิดแรงพลังงานนี้ขึ้นภายในไข่พองเล็กๆ เพราะเมื่อมีแรงดึงดูดมันก็ต้องมีแรงดันฝั่งตรงข้าม ศีรษะของเราเป็นส่วนที่ถูกผลักดันให้ขยายออกเป็นส่วนแรกจึงเกิดผลกระทบกับแรงพลังงาน ทำให้แนวเส้นผมบนศีรษะเกิดการเคลื่อนตัวตามแรงพลังงาน จนเป็นเหตุทำให้เกิด..เกลียวขวัญ..บนศีรษะของเรา
    เหตุนี้ เกลียวขวัญ บนศีรษะของเรา จึงเกิดร่องรอยลายเส้นจากแรงดันหมุนวนเป็นเกลียวสว่าน

    สะดือ คือ ด้านหน้า เกลียวขวัญ คือ ด้านหลัง ของแหล่งกำเนิดพลังงานภายในไข่ทรงกลมมนเล็กๆ
    ส่วนแขนและส่วนขา เป็นส่วนที่ถูกผลักดันให้ขยายออกจาก..ด้านข้าง..ของไข่ทรงกลมมน และก็เป็นด้านข้างตรงกลางขั้นกลางระหว่างแรงดึงดูดกับแรงดันหมุนวนเป็นเกลียวของตัวพลังงาน
    ผิวหนังปลายนิ้วมือนิ้วเท้าทั้งสิบนิ้ว ซึ่งเป็นผิวเปลือกไข่ส่วนแรกที่ถูกผลักดันให้ยืดขยายตัวออกจากไข่ทรงกลมมน ปลายนิ้วมือนิ้วเท้าทั้งสิบนิ้วของเรา จึงเกิดร่องรอย..ลายเส้นแผ่กระจายออกและหุบเข้าเป็นวงแหวน..ลายเส้นตรงกลางขั้นกลางระหว่างเกลียวแรงพลังงานสองด้าน

    สะดือ คือ ส่วนหน้า ของไข่ เกิดจากแรงดึงดูดหมุนวนเป็นเกลียว
    เกลียวขวัญ คือ ส่วนหลัง ของไข่ เกิดจากแรงดันหมุนวนเป็นเกลียว
    เพราะฉะนั้น ร่องรอยลายเส้นบนปลายนิ้วมือนิ้วเท้า ซึ่งเป็นส่วนข้างของไข่ จะต้องเกิดจากแรงพลังงานวงแหวนสนามแม่เหล็กไฟฟ้า แรงพลังงานตรงกลางขั้นกลางระหว่างแรงดึงดูดและแรงดันหมุนวนเป็นเกลียว

    ด้วยเพราะมันมีตัวพลังงานขับเคลื่อนไข่อยู่นี่เอง เหตุนี้ ธรรมชาติจึงให้หมอตำแยจับเท้าทารกยกห้อยหัว แล้วตบแรงๆที่ก้นทารก ก็เพื่อให้ตัวพลังงานที่ตั้งอยู่ตรงสะดือตั้งแต่ปฏิสนธิจนทารกออกจากครรภ์มารดา ตกหล่นลงสู่สมองตามแรงดึงดูดของโลก เชื่อมต่อมิติสองด้านของชีวิตและสังขารด้วยระบบไฟฟ้ากับตัวพลังงาน ทารกจึงเปล่งเสียงร้องออกมา
    และด้วยเหตุผลนี้นี่เอง ทำไมจึงมีมนุษย์หลายท่านสามารถจับความรู้สึกถึงวัตถุพลังงานเล็กๆบริเวณหน้าผาก หรือตรงกึ่งกลางระหว่างคิ้วของตนเองได้ และบางท่านสามารถกำหนดเคลื่อนย้ายวัตถุพลังงานเล็กๆไปๆมาๆได้

    ตอนนี้เราเริ่มได้เค้าโครงรูปร่างหน้าตา..แขนกับขา..ของตัวพลังงานขับเคลื่อนสุริยะบางแล้ว ว่ามันมีตัวพลังงานที่เป็นต้นเหตุก่อให้เกิดลายเส้นทั้งสองรูปแบบภายในตัวเดียวกัน..มันมีจริง
    ลายเส้นที่มีมิติลายเส้นซ้อนกันอยู่ ระหว่างสองด้านของลายเส้นหมุนวนเป็นเกลียวกับลายเส้นวงแหวน
    มิติลายเส้นซ้อนกันที่เปรียบเสมือนกับมิติลายเส้นของใบพัดหรือวงล้อ ที่เมื่อใบพัดหรือวงล้อเคลื่อนตัวหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วได้สักระยะเราจะเห็นลายเส้นของตัวใบพัดจริงหรือวงล้อจริงนั้นหายไป แล้วก็เกิดมิติลายเส้นเทียมขึ้นมาใหม่ เคลื่อนตัวช้าๆสวนทิศทางกับตัวลายเส้นจริงที่หายไป
    แต่เราก็ยังไม่รู้ว่า จุดศูนย์กลางของสุริยะ จุดศูนย์กลางของลายเส้นของแรงทั้งสี่สองด้านนั้น มันคืออะไร

    ดาวพฤหัส จึงเป็นอีกเบาะแสหนึ่งที่น่าวิเคราะห์พิจารณา ความน่าจะเป็นของจุดศูนย์กลางเกลียวสุริยะ
    เหตุเพราะ ดาวพฤหัสเป็นดวงดาวที่อัดแน่นหนาแน่นด้วยกลุ่มก๊าซ และกลุ่มก๊าซมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
    อยู่ดีๆเหล่ากลุ่มก๊าซของดาวพฤหัสจะเคลื่อนไหวเอง..เป็นไปไม่ได้..มันต้องมีเหตุ
    เป็นไปได้ไหม ความน่าจะเป็น กลุ่มก๊าซน่าจะมีการเคลื่อนไหวตามแรงพลังงานขับเคลื่อนดาวพฤหัส

    เพราะถ้าเราสังเกตการเคลื่อนไหวของกลุ่มก๊าซดาวพฤหัส จะมีการเคลื่อนไหวแบบแบ่งชั้นเหนือใต้ แล้วกลุ่มก๊าซเหนือกับใต้ก็เคลื่อนตัวสวนทิศทางกัน มี..ตัวเส้นขอบ..เส้นเล็กๆที่เล็กแสนเล็กและบางแสนบางกั้นกลางขวางกั้นการเคลื่อนตัวสวนทิศทางกันของกลุ่มก๊าซเหนือกับใต้

    เมื่อเอารูปแบบของตัวพลังงานที่เรากำลังค้นหามาวิเคราะห์ความน่าจะเป็น มันก็น่าจะเป็นไปได้ที่การเคลื่อนตัวของกลุ่มก๊าซเหนือกับใต้ จะเคลื่อนตัวตามมิติของเกลียวแรงพลังงานทั้งสองด้าน แรงดึงดูดกับแรงดันหมุนวนเป็นเกลียวที่เคลื่อนตัวสวนทิศทางกัน ดั่งเช่น มิติลายเส้นใบพัดจริงกับใบพัดเทียมเคลื่อนตัวสวนทิศทางกัน

    และความน่าจะเป็น ..ตัวเส้นขอบ..ที่เล็กและบางกั้นกลางขวางกั้นการเคลื่อนตัวสวนทิศทางกันของกลุ่มก๊าซเหนือกับใต้ ก็คือ เส้นขอบของวงแหวนสนามแม่เหล็กไฟฟ้าแผ่กระจายรัศมีวงแหวนออกมาจากจุดศูนย์กลางของตัวพลังงาน
    เหตุนี้ การเคลื่อนตัวของกลุ่มก๊าซของดาวพฤหัส จึงมีการเคลื่อนตัวตาม..มิติแรงทั้งสี่สองด้าน

    เบาะแสเริ่มชัด การค้นหาเริ่มเร้าใจ เพราะถ้าหาก..ดวงอาทิตย์..คือจุดศูนย์กลางของสุริยะ นั้นก็ย่อมหมายความว่า จุดศูนย์กลางของแหล่งกำเนิดพลังงานขับเคลื่อนดวงอาทิตย์ ก็จะต้องเป็นจุดศูนย์กลางของเกลียวสุริยะและวงแหวนด้วย
    เพราะจุดศูนย์กลางของดวงอาทิตย์ก็คือ ต้นเหตุที่ทำให้เกิดรูปแบบลายเส้นของตัวพลังงานขับเคลื่อนสุริยะ

    แล้วเราจะทำยังไงดี เราจึงจะรู้ เพราะเมื่อประมาณปี พ.ศ.2545 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบวงแหวนสนามแม่เหล็กไฟฟ้ารอบโลก ได้รับรางวัลโนเบลเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก แต่นักวิทยาศาสตร์กลับไม่สามารถอธิบายได้ว่า องค์ประกอบส่วนไหนของโลกคือ ต้นเหตุ ทำให้เกิดวงแหวนสนามแม่เหล็กไฟฟ้ารอบโลกให้เกิดขึ้น
    ทั้งๆที่นักวิทยาศาสตร์มีข้อมูลโครงสร้างองค์ประกอบระบบทำงานของโลกอยู่ในมืออย่างละเอียด
    มันเป็นไปได้ไง

    ทุกๆสรรพสิ่งล้วนมีสองด้าน ไม่ผิด ก็ถูก
    โลกเราเคยมีประวัติศาสตร์เรื่องโลกแบน และโลกเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาลมาแล้ว
    โครงสร้างโลกในตำราเรียนมันผิดเห็นๆ แล้วเราจะแน่ใจได้ยังไงว่า โครงสร้างองค์ประกอบระบบทำงานของดวงอาทิตย์และดวงดาวต่างๆของทางวิทยาศาสตร์ที่แพร่หลายอยู่ในตำราเรียนที่มีอยู่ทั่วทั้งโลก..มันจะถูก
    ทุกทางตัน มันยังมีทางออก ทุกความมืดมิด มันจึงมี..แสงสว่าง
    ถึงเวลาแล้วที่..วิทยาศาสตร์..กับ..ศาสนา..ควรจะหันหน้าเขาหากัน
    เพราะโลกยังมีข้อมูลเบาะแสเล็กๆอยู่คู่กับโลกมายาวนานอีกข้อมูลหนึ่ง ที่เราจะมองข้ามไม่ได้เลย
    เหตุเพราะแหล่งข้อมูล..เจ๋ง..พอตัวมายาวนานเหลือเชื่อเหมือนกัน
    แหล่ะที่สำคัญ นักวิทยาศาสตร์ของแท้ เขาไม่มองข้ามกัน

    พระสูตรคิริมานนทสูตร
    ดูก่อนอานนท์ อันชื่อว่าเมืองพระนิพพาน ย่อมตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลก โลกมีที่สุดเพียงใดพระนิพพานก็ตั้งอยู่ที่สุดนั้น พระนิพพานเป็นพระมหานครอันใหญ่ เป็นที่บรมสุขหาที่เปรียบมิได้ คำว่าที่สุดแห่งโลกนั้น จะถือเอาอากาศโลกหรือจักรวาลโลก เป็นประมาณนั้นหามิได้ อากาศโลก แลจักรวาลโลกนั้น มีที่สุดเบื้องต่ำก็เพียงใต้แผ่นดิน แผ่นดินนี้ มีน้ำรอง ใต้น้ำก็มีลม ลมนั้นหนาได้เก้าแสนสี่หมื่นโยชน์ สำหรับรองน้ำเอาไว้ ใต้ลมนั้นลงไปก็เป็น อากาศหาที่สุดไม่ได้ ที่สุดโลกเบื้องต่ำ ก็เพียงลมเท่านั้น อันว่าที่สุดแห่งจักรวาลโลกเบื้องขวางนั้น มีอนันตจักรวาลเป็นเขต นอกอนันตจักรวาลออกไปก็เป็นอากาศว่างๆอยู่ จึงว่าโดยขวางมีอนันตจักรวาลเป็นที่สุด อันว่าที่สุดแห่งจักรวาลโลกเบื้องบนนั้น มีอรูปพรหมเป็นเขต เพราะอรูปพรหมสี่ชั้นนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นนิพพานพรหมหรือนิพพานโลก นิพพานโลกนี้เป็นที่ไม่สิ้นสุด ส่วนว่านิพพานของพระพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่าโลกุตระนิพพานเป็นนิพพานที่สุดที่แล้ว ต่ออรูปพรหมสี่ชั้นขึ้นไปก็เป็นแต่อากาศว่างๆอยู่ จึงว่าที่สุดเบื้องบนเพียงอรูปพรหมเท่านั้น จะเข้าใจเอาเองว่า ลมรองน้ำ แลอนันตจักรวาล และอรูปพรหมเป็นที่สุดของโลก เมืองพระนิพพานคงตั้งอยู่ในที่สุดของโลกเหล่านั้นดั่งนี้ พระพุทธเจ้าห้ามเสียว่า อย่าพึงเข้าใจอย่างนั้นเลย ที่ทั้งหลายเหล่านั้นใครๆก็ไม่สามารถจะไปถึง ด้วยกำลังกายหรือด้วยกำลังพาหนะ มียานช้างยานม้าได้ อย่าเข้าใจว่าเมืองนิพพานตั้งอยู่ที่สุดของโลกเหล่านั้น หรือตั้งอยู่ในที่แห่งนั้นแห่งนี้ อย่าเข้าใจว่า ตั้งอยู่ในที่ใดที่หนึ่งเลย แต่ว่าพระนิพพานนั้น หากมีอยู่ในที่สุดของโลกเป็นของจริงไม่ตรงสงสัย ให้ท่านทั้งหลายศึกษาให้เห็นโลก รู้โลกเสียให้ชัดเจน ก็จะเห็นพระนิพพาน พระนิพพานก็หากตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลก นั่นเอง

    ข้อมูลนี้น่าสนใจ..เพราะ

    พระสูตรคิริมานนทสูตร
    ดูก่อนอานนท์ บุคคลทั้งหลาย ผู้ปรารถนาพระนิพพานควรศึกษาให้รู้แจ้ง ครั้นรู้แจ้งแล้ว จะถึงก็ตามไม่ถึงก็ตามก็ไม่เป็นทุกข์แก่ใจ ถ้าไม่รู้แต่อยากได้ย่อมเป็นทุกข์มากนัก เปรียบเหมือนบุคคลอยากได้วัตถุสิ่งหนึ่งแต่หากไม่รู้จักวัตถุสิ่งนั้น ถึงวัตถุสิ่งนั้นจะมีอยู่ในที่จำเพาะหน้าก็ไม่อาจถือเอาได้ เพราะไม่รู้ ถึงจะมีอยู่ก็มีเปล่าๆ ส่วนตัวก็ไม่หายความอยากได้ จึงเป็นทุกข์ยิ่งนัก ผู้ปรารถนาพระนิพพานแต่ไม่รู้จักพระนิพพานก็เป็นทุกข์เช่นนั้น จะถือเสียว่าไม่รู้ก็ช่างเถอะ เราปรารถนาเอาคงจะได้ คิดอย่างนี้ก็ผิดไป ใช้ไม่ได้ แม้แต่ผู้รู้แล้ว ตั้งหน้าบากบั่นขวนขวายจะให้ได้ให้ถึงก็เป็นการยากลำบากอย่างยิ่ง บุคคลผู้ไม่รู้ไม่เห็นพระนิพพานและจะถึงพระนิพพาน จะมีมาแต่ที่ไหน อย่าว่าแต่พระนิพพานเลย แม้จะกระทำการสิ่งใดก็ดี เป็นต้นว่า ช่างเงินช่างทอง ช่างเหล็ก ช่างไม้ ช่างวาดเขียนต่างๆเป็นต้น ต้องรู้ด้วยใจ หรือเห็นด้วยตาเสียก่อน จึงจะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จได้ ผู้ปรารถนาพระนิพพานก็ต้องศึกษาให้รู้จักพระนิพพานไว้ก่อนจึงจะได้ จะมาตั้งหน้าปรารถนาเอาโดยความไม่รู้นั้น จะมีทางได้มาแต่ที่ไหน

    ไม่เชื่อก็อย่าพึ่งลบหลู่ และอย่าพึ่งอวดรู้อวดดีว่า..มันใช่หรือไม่ใช่
    โลกมันกลมเห็นๆนั้นย่อมหมายความว่า ลมรองน้ำ จะต้องเป็นลมหมุนรอบตัวเอง แล้ว อากาศหาที่สุดไม่ได้ ก็คือ จุดศูนย์กลางของ ลมรองน้ำ และเป็นจุดศูนย์กลางของโลกด้วย เพราะ ที่สุดเบื้องต่ำก็เพียงลมเท่านั้น นั้นไง

    แต่ทำไมพระพุทธเจ้า จึงเรียกที่สุดเบื้องต่ำของลม อีกคำว่า อากาศหาที่สุดไม่ได้ ล่ะ
    อากาศหาที่สุดไม่ได้ จุดศูนย์กลางใจแกนกลาง ณ.ที่สุดโลก ในความหมายของพระพุทธเจ้า มันคืออะไร
    แล้วทำไม พระพุทธเจ้าจึงใช้คำว่า อากาศ และทำไมมันจึง หาที่สุดไม่ได้

    ข้อมูลของพระพุทธเจ้าทำให้เราเริ่มได้เค้าแหล่งกำเนิดเกลียวสุริยะบางแล้ว เพราะถ้าหากโครงสร้างองค์ประกอบระบบทำงานของดวงดาวต่างๆที่แตกต่างและหลากหลายมีโครงสร้างพื้นฐานของตัวพลังงานขับเคลื่อนเป็นรูปแบบเดียวกัน เปรียบดั่งเช่นรูปสังขารของมนุษย์เราที่หลากหลายมีทั้งสูงต่ำดำขาวทั้งชายและหญิงที่แตกต่างกัน แต่เราก็มีรูปแบบพื้นฐานของชีวิตและรูปแบบลายเส้นทั้งสองรูปแบบที่เหมือนๆกันหมด เราก็จะสามารถค้นหาคำตอบของเกลียวสุริยะได้ไม่ยากเลย

    และเหตุผลสำคัญที่สุดข้อหนึ่ง ก็คือ ทำไมรูปร่างกายของเราจึงเกิดร่องรอยลายเส้นเช่นเดียวกับลายเส้นสุริยะ
    เกลียวสุริยะเกิดจากสิ่งที่หมุนวนรอบตัวเอง ลมรองน้ำ ก็เป็นสิ่งหมุนวนรอบตัวเอง ความสงสัยมันจึงอยู่ที่ อากาศหาที่สุดไม่ได้ จุดศูนย์กลางของ ลมรองน้ำ เพราะอยู่ดีๆ ลมรองน้ำ จะเคลื่อนตัวหมุนรอบตัวเอง มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน

    แล้ว อากาศหาที่สุดไม่ได้ จุดศูนย์กลางของ ลมรองน้ำ ในความหมายของพระพุทธเจ้า
    พระพุทธเจ้า หมายถึงอะไร?

    พระสูตรคิริมานนทสูตร
    ดูก่อนอานนท์ ธรรมดาบุคคลผู้ที่เป็นนักปราชญ์มีปรีชาทั้งหลาย ย่อมไม่ถือเนื้อถือตัวว่า เรารู้เราดีอย่างนั้นอย่างนี้ ท่านจะมีความรู้มากมายเท่าใด ก็มิได้ถือเนื้อถือตัวเหมือนกับผาลบุถุชน พวกผาลบุถุชนที่เขาห่างไกลจากพระนิพพาน ก็เพราะเหตุที่เขาถือเนื้อถือตัว การถือเนื้อถือตัวมีมากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้ห่างไกลจากพระนิพพานมากเท่านั้น เหตุว่า ประตูเมืองพระนิพพานนั้นแคบนักหนา ผมเส้นเดียวผ่าออกเป็นสามเสี้ยว เอาแต่เสี้ยวเดียวไปแยงเข้าที่ประตูพระนิพพาน ก็ยังคับแคบเข้าไม่ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อท่านต้องการพระนิพพานแล้ว ไม่ควรจะถือตัวว่าเป็นผู้รู้เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้สูงศักดิ์กว่าท่าน ยิ่งถือตัวถือตนขึ้นมากเท่าใด ก็ยิ่งให้คับประตูพระนิพพานเข้าไปเท่านั้น จึงว่า ผาลบุถุชนทั้งหลายเป็นผู้ห่างไกลพระนิพพาน ด้วยเหตุที่เขามัวถือเนื้อถือตัวว่า ตัวรู้ตัวดีอยู่

    เล็กมหาศาลโคตรๆขนาดนั้น แล้วอะไรในความเป็นสิ่งมีชีวิตของเราล่ะ จึงจะผ่านไปได้

    ลองพิจารณาดูนะครับ สมมตินะสมมติ สมมติว่าคำว่า อากาศหาที่สุดไม่ได้, ที่สุดโลก และ ประตูพระนิพพาน ในความหมายของพระพุทธเจ้า มันคือ..สิ่งเดียวกัน..จุดศูนย์กลางใจกลางโลกที่เล็กมหาศาลของ ลมรองน้ำ

    อะไรคือสิ่งที่เล็กๆ เล็กมหาศาลสุดๆ แต่กลับมีพลังงานมหึมามหาศาลโคตรๆจนทำให้เกิด ลมรองน้ำ ที่หมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วและแรงมหาศาล ไปจนกระทั้ง เกิดเกลียวสุริยะที่ใหญ่มหึมามหาศาลขึ้นมาได้
    ผมมีข้อมูลหนึ่งจากทางด้านวิทยาศาสตร์ จากส่วนหนึ่งของหนังสือชื่อ “ประวัติย่อของกาลเวลา”
    เขียนโดยนักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งชื่อว่า สตีเฟ่น ฮอร์กิง ดั่งนี้

    หลุมดำ ที่มีขนาดหนึ่งในล้านล้านของนิ้ว หรือประมาณนิวเคลียสของอะตอม จะมีพลังงานที่ใช้ได้กับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่สิบโรงอย่างสบาย และมีมวลเท่ากับภูเขาลูกใหญ่ๆหนึ่งลูก
    ถ้าเรานำมาไว้บนโลก มันจะดิ่งลงสู่ใจกลางโลก ทันที


    ผมเอาข้อมูลนี้มาวิเคราะห์พิจารณานะครับ ไม่ได้เชื่ออย่างจริงจัง เพราะผมมีความเชื่อมั่นว่าปัจจุบันยังไม่มีมนุษย์หรือนักวิทยาศาสตร์คนใดได้เห็นและสัมผัสกับตัวหลุมดำจริงๆชัวร์แน่นอน เช่นเดียวกับโครงสร้างองค์ประกอบระบบทำงานภายในของโลก ดวงดาวต่างๆ และสุริยะจักรวาลของทางด้านวิทยาศาสตร์ เพราะความรู้ความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ล้วนเกิดจากสมมติฐานของความน่าจะเป็นเท่านั้น ไม่ได้เกิดจากการเห็นจริงและสัมผัสจริง

    ข้อมูลความเชื่อของนักวิทยาศาสตร์ต่างมีความเชื่อว่า หลุมดำมีมวลพลังงานมืดหรือพลังงานดำอัดแน่นหนาแน่นมหึมามหาศาลซุกซ่อนอยู่ภายในมิติหลุมดำหลุมเล็กๆ มีคุณสมบัติดึงดูดกลืนกินแสงสว่าง มีแขนมีขาเป็นเกลียวพลังงานแผ่กระจายรัศมีออกไปจากจุดศูนย์กลาง
    แหละที่สำคัญ นักวิทยาศาสตร์มีความเชื่อว่า หลุมดำ คือ..ประตูมิติ..หรือหลุมดำคือตรงกลางระหว่างมิติสองด้าน ที่เรียกว่า จะว่าไกลมันก็ไกลแสนไกล แต่จะว่าใกล้มันก็ใกล้แสนใกล้ เหมือนมีม่านดำบางๆแสนบางมาขวางกั้นเท่านั้น
    แล้วตัวหลุมดำก็คือ ม่านดำบางๆนั้น

    สัจธรรม ทุกๆสรรพสิ่งล้วนมีสองด้านเสมอ และด้วยเหตุเพราะทุกๆสรรพสิ่งล้วนมีสองด้าน มันจึงมี..เส้นขอบ..บางๆขั้นกลางขวางกั้นระหว่างสัจธรรมสองด้าน เหรียญเล็กๆและแบงค์บางๆจึงมีเส้นขอบเล็กๆบางๆขั้นกลางระหว่างสองด้านของเหรียญและแบงค์ เช่นกัน

    เพราะฉะนั้น เมื่อมี..หลุมดำ..มันก็ต้องมี..หลุมขาว..ฝั่งตรงข้าม

    ด้วยเหตุนี้ หลุมดำกับหลุมขาวจึงต้องมีเส้นขอบวงแหวนสนามแม่เหล็กไฟฟ้าเส้นเล็กๆบางๆเป็นตัวกลางขั้นกลางระหว่างสองด้านของหลุมดำกับหลุมขาว ดั่งเช่น เส้นขอบขั้นกลางสองด้านของเหรียญและแบงค์บางๆ

    นักวิทยาศาสตร์มีความเชื่อว่า หลุมดำมีแรงดึงดูดหมุนวนเป็นเกลียวมหาศาล

    นั้นย่อมหมายความว่า หลุมขาวฝั่งตรงข้าม ก็จะต้องมีแรงดันหมุนวนเป็นเกลียวมหาศาล เช่นกัน
    และเกลียวแรงพลังงานสองด้านของหลุมดำกับหลุมขาว จะต้องหมุนวนเป็นเกลียวสวนทิศทางกันและกัน
    แล้วความน่าจะเป็นมากที่สุด มวลพลังงานมืดหรือพลังงานดำอัดแน่นมหึมามหาศาลของหลุมดำ มันน่าจะซุกซ่อนอยู่ภายในมิติตัววงแหวนสนามแม่เหล็กไฟฟ้า หรือภายในมิติเส้นขอบเส้นเล็กๆบางๆแผ่กระจายรัศมีวงแหวนออกเป็นชั้นๆกว้างไกลออกไปจากเส้นขอบจุดศูนย์กลางขั้นกลางระหว่างเกลียวแรงพลังงานสองด้านของหลุมดำกับหลุมขาว

    อย่าเข้าใจว่าเมืองนิพพานตั้งอยู่ที่สุดของโลกเหล่านั้น หรือตั้งอยู่ในที่แห่งนั้นแห่งนี้
    อย่าเข้าใจว่า ตั้งอยู่ในที่ใดที่หนึ่งเลย

    แล้วเมืองพระนิพพานมันตั้งอยู่ที่ไหนล่ะ พระพุทธเจ้ากำลังพยายามจะบอกอะไรเรา
    สมมตินะสมมติ สมมติว่า มีตัวพลังงานชนิดนี้อยู่ภายในไข่ฟองเล็กๆหลังเกิดปฏิกิริยา..ปฏิสนธิ..เกิดขึ้น

    หลุมดำ อยู่ด้านหน้า แรงดึงดูดหมุนวนเป็นเกลียว ทำให้สะดือของเราเกิดร่องรอยเป็นแอ่งบุ๋มลึกลงไป และสังเกตได้จากตาดำของเราที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายๆกับ..หลุมดำ..หรือม่านดำบางๆ

    หลุมขาว อยู่ด้านหลังฝั่งตรงข้าม แรงดันหมุนวนเป็นเกลียว ทำให้เส้นผมบนศีรษะเกิดเกลียวขวัญ
    ปลายนิ้วมือนิ้วเท้า เป็นส่วนที่ถูกผลักดันออกจากด้านข้าง จึงเกิดร่องรอยพลังงานวงแหวนสนามแม่เหล็กไฟฟ้า

    ความน่าจะเป็น สิ่งที่ทำให้ผิวหนังปลายนิ้วมือนิ้วเท้าของเราเกิดร่องรอยลายเส้นแผ่กระจายออกและหุบเข้าเป็นวงแหวน ลายเส้นตรงกลางขั้นกลางระหว่างเกลียวแรงพลังงานสองด้าน มันน่าจะต้องมี..มวลพลังงานมหึมามหาศาล..ซุกซ่อนอยู่ภายในมิติแผ่นวงแหวนแผ่นบางๆนั้น แล้วมิติมวลพลังงานมหึมามหาศาลนั้นก็ห่อหุ้มล้อมรอบมิติแผ่นวงแหวนบางๆอยู่ภายในอีกที รูปร่างกายสังขารของเราจึงพองตัวขยายตัวเป็น..สี่มิติสองด้าน..มองเห็นรอบทิศทาง
    จึงเป็นไปได้รึไม่ ด้วยเพราะเหตุนี้ ชีวิตเราจึงต้องเป็น..ฉะนี้

    พระสูตรคิริมานนทสูตร
    ดูก่อนอานนท์ บุคคลทั้งหลายถึงที่สุดโลกออกจากโลกได้แล้ว จึงชื่อว่าถึงพระนิพพาน และรู้ตนว่าเป็นผู้พ้นทุกข์แล้ว และอยู่สุขสำราญบานใจทุกเมื่อ หาความเร้าร้อนโศกเศร้าเสียมิได้ ถ้าผู้ใดยังไม่ถึงที่สุดโลก ยังออกจากโลกไม่ได้ตราบใด ก็ชื่อว่ายังไม่ถึงพระนิพพาน จะต้องทนทุกข์น้อยใหญ่ทั้งหลาย เกิดๆตายๆกลับไปกลับมา หาที่สุดไม่ได้อยู่ตราบนั้น บุคคลทั้งหลายเป็นผู้ต้องการพระนิพพาน แต่หารู้ไม่ว่าพระนิพพานนั้นเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน ชันแต่ทาง ศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นทางไปสู่พระนิพพาน ก็ไม่เข้าใจ เมื่อไม่รู้ไม่เห็นไม่เข้าใจแล้ว จะไปสู่พระนิพพานนั้นเป็นการลำบากยิ่งหนักหนา เปรียบเหมือนคนสองคน ผู้หนึ่งตาบอดผู้หนึ่งตาดี จะว่ายข้ามน้ำมหานทีอันกว้างใหญ่ในคนทั้งสองนั้น ผู้ใดจะถึงฝั่งข้างนู้นก่อน คนผู้ตาดีต้องถึงก่อน ส่วนคนผู้ตาบอดนั้น จะว่ายข้ามไปถึงฝั่งฝากนู้นได้แสนยากแสนลำบาก บางทีจะตายเสียท่าม กลางแม่น้ำ เพราะไม่รู้ว่าฝั่งอยู่ที่ไหน พออุปมานี้ฉันใด คนไม่รู้ไม่แจ้งว่าพระนิพพานอยู่ที่ไหนเป็นอย่างไร ชันแต่ทางที่จะไปก็ไม่เข้าใจ เป็นแต่อยากได้ อยากถึง อยากไปพระนิพพาน เมื่อเป็นเช่นนี้ การได้ถึงของผู้นั้นก็ต้องเป็นของลำบากอยากแค้นอยู่เป็นธรรมดา บางทีจะตายเสียเปล่าจะไม่ได้เห็นเงื่อนเค้าของพระนิพพานเลย ผู้ศึกษาพึงเข้าใจว่า พระนิพพานอยู่ที่สุดของโลก ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นทางไปพระนิพพาน ถ้ารู้อย่างนี้ยังมีทางที่จะถึงพระนิพพานได้บ้าง แม้เมื่อรู้แล้วอย่างนั้น ก็จำต้องพรากเพียรพยายามจนสุดกำลัง เหมือนคนตาดีว่ายข้ามน้ำก็ต้องพยายามจนสุดกำลังจึงจะข้ามพ้นได้ มีอุปมัยเหมือน กันฉะนั้น

    ดูก่อนอานนท์ ในอดีตชาติเราตถาคต ก็ได้หลงท่องเทียวอยู่ในสังข์สารวัฎนี้ ช้านาน นับด้วยร้อยด้วยพันแห่งชาติ เป็นอันมาก ทำบุญทำกุศลก็ปรารถนาแต่จะให้พ้นทุกข์ ให้เสวยสุขในเบื้องหน้า เข้าใจว่าตายแล้วจึงจะพ้นจากทุกข์ ครั้นเมื่อตายจริงก็ตายแต่ธาตุแต่ขันธ์เท่านั้น ส่วนใจนั้นไม่ตายจึงต้องไปเกิดอีก เมื่อไปเกิดอีกก็ต้องตายอีก เมื่อเป็นเช่นนี้จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร ที่นิยมกันว่าตาย ก็คือตายเน่าตายเหม็นกันอยู่อย่างทุกวันนี้ ชื่อว่าตายเล่น ตายไม่แล้ว ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย หาต้นหาปลายไม่ได้ ที่ตายแท้ ตายจริง หรือตายจากรูปแตกขันธ์ดับ ตายทั้งจิตทั้งใจ มีแต่พระพุทธเจ้ากับเหล่าพระอรหันต์ ตขีนาสกเท่านั้น ท่านเหล่านี้ ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก

    ผมคนหนึ่งล่ะ ที่ขอพิสูจน์ พระพุทธเจ้าขี้โม้มุสารึเปล่า ส่วน..ผล..อยู่ที่ท่านพิจารณา ผมบ้ารึไม่
    ตัวหลุมดำจุดศูนย์กลางเกลียวสุริยะและจุดศูนย์กลางดวงอาทิตย์ มีวงแหวนสนามแม่เหล็กไฟฟ้าแผ่กระจายรัศมีวงแหวนออกเป็นชั้นๆกว้างไกลออกไป มีเส้นวงโคจรของโลกและดวงดาวบริวารต่างๆเป็นเส้นขอบแบ่งชั้นวงแหวนแต่ละวง ซึ่งภายในมิติแผ่นวงแหวนแผ่นเล็กๆบางๆที่แผ่รัศมีกว้างไกลออกไป มีมวลพลังงานมืดหรือพลังงานดำมหึมามหาศาลซุกซ่อนห่อหุ้มล้อมรอบหล่อเลี้ยงสุริยะอยู่

    ด้วยเพราะตัวพลังงานขับเคลื่อนสุริยะมีแรงพลังงานอยู่สี่แรง แต่สองด้าน ก็คือ แรงดึงดูดกับแรงผลักดัน
    จึงเป็นเหตุทำให้ตัวพลังงานเกิดมิติ..สี่..มิติสองด้านซ้อนกันเกิดขึ้น
    แรงดึงดูดหมุนวนเป็นเกลียว จะคู่กับ แรงดันกระจายเป็นวงแหวน
    แรงดันหมุนวนเป็นเกลียว จะคู่กับ แรงดึงดูดหุบเข้าเป็นวงแหวน
    แล้วมิติแรงพลังงานทั้งสองด้านที่จับคู่กัน ก็ทำให้เกิดมิติทรงกลมสองลูกซ้อนมิติกัน ห่อหุ้มล้อมรอบจุดศูนย์กลาง แล้วมิติทรงกลมสองลูกที่ซ้อนมิติกันก็ดึงดูดผลักดันชักเย่อพลังงานกันไปๆมาๆ โดยมีจุดศูนย์กลางเป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนถ่ายเทพลังงาน แล้วมวลพลังงานมืดหรือพลังงานดำที่อัดแน่นมหาศาลภายในมิติวงแหวนก็เป็น..ตัวแปรเปลี่ยนพลังงาน..ก่อนที่จะถูกแลกเปลี่ยนถ่ายเทไปยังมิติฝั่งตรงข้าม
    การไหลเวียนพลังงานหล่อเลี้ยงตัวเองของตัวพลังงานจึงมีลักษณะไหลเวียนย้อนกลับไปย้อนกลับมา

    เหตุนี้ ตัวพลังงานชนิดนี้จึงเป็น..ตัวพลังงานอมตะไม่ตาย..ก็เพราะมันสลับด้านมิติไปๆมาๆได้ นั้นเอง
    เกิดๆตายๆกลับไปกลับมา หาที่สุดไม่ได้อยู่ตราบนั้น
    ถ้าตัวพลังงานชนิดนี้ไม่ได้เป็นอมตะ มันจะเป็นจริงดั่งที่พระพุทธเจ้าแสดงมา ได้ไง..ชิมิ ชิมิ

    หลักฐานเห็นชัดๆว่าสุริยะของเรา มันมีเกลียวพลังงานขับเคลื่อนอยู่ เราจึงเรียกสุริยะของเราว่า แกแลตซี่ก้นหอย
    ถ้าหากเปรียบการเกิดเกลียวสุริยะ กับสิ่งที่หมุนวนรอบตัวเอง เช่น เกลียวน้ำ ใบพัดหรือวงล้อ
    เกลียวน้ำไม่มีกำลังแรงพอที่จะเกิดคลื่นไฟฟ้าหรือสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้ จึงเป็นไปไม่ได้ ที่ตัวหลุมดำจะมีลักษณะการเกิดเกลียวเช่นเดียวกับน้ำ เหตุนี้ จึงตัดประเด็นข้อมูล..ความเข้าใจ..เกี่ยวกับตัวหลุมดำของนักวิทยาศาสตร์ไปได้เลย เหลือไว้แต่..ความเชื่อ..ของนักวิทยาศาสตร์ก็พอ เช่นเดียวกับศาสนา ที่เอาแต่เชื่อๆๆ แต่อธิบายอะไรไม่ได้เลย

    ตัวหลุมดำ จึงไม่ได้เป็นอย่างที่นักวิทยาศาสตร์เข้าใจ เพราะถ้าหากหลุมดำเป็นอย่างที่นักวิทยาศาสตร์เข้าใจ สุริยะและดวงดาวต่างๆคงสูญหายเข้าไปในหลุมดำกันหมดแล้ว ก็ในเมื่อนักวิทยาศาสตร์ค้นพบหลุมดำตั้งมากมายนี่น่า

    ความน่าจะเป็นที่แท้จริง หลุมดำจะต้องมีตัวคลื่นพลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ที่ด้านหนึ่งก็คือ แผ่นวงแหวนแผ่นเล็กๆบางๆ แต่มิติอีกด้านหนึ่งของแผ่นวงแหวนแผ่นเล็กๆบางๆนั้นก็คือ มวลพลังงานมืดหรือพลังงานดำที่อัดแน่นมหึมามหาศาลอยู่ในรูปของคลื่นพลังงานทรงกลมมนห่อหุ้มล้อมรอบตัวหลุมดำและแผ่นวงแหวนแผ่นบางๆนั้น
    หรือสมมติว่า ถ้าหลุมดำคือ อากาศหาที่สุดไม่ได้ คลื่นพลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่ห่อหุ้มล้อมรอบ ก็คือ ลมรองน้ำ ทรงกลมมน แล้วมิติอีกด้านของ ลมรองน้ำ ก็คือ แผ่นวงแหวนแผ่นเล็กๆบางๆขั้นกลางระหว่างเกลียวแรงสองด้าน
    หรือ อากาศโปร่งใสมองทะลุผ่านที่ห่อหุ้มล้อมรอบตัวเรา ก็คือ มวลพลังงานมืดพลังงานดำที่ซุกซ่อนอยู่ภายในมิติแผ่นวงแหวน ภายในมิติของ อากาศหาที่สุดไม่ได้ มิติเล็กๆโคตรเล็กมหาศาล จุดศูนย์กลาง ลมรองน้ำ นั้นเอง

    เหตุนี้ แรงดึงดูดพลังงานของตัวหลุมดำ จึงไม่ได้เป็นอย่างที่นักวิทยาศาสตร์เข้าใจ ที่ตัวหลุมดำจะมีแรงดึงดูดพลัง งานเหมือนกับเกลียวน้ำ แต่น่าจะเหมือนประตูมิติในกระเป๋าโดราเอมอน หรือดั่งเช่น..ตาดำ..ของสัตว์

    ส่วนใบพัดกับวงล้อ เมื่อใบพัดหรือวงล้อหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วและแรงได้ซักระยะหนึ่ง เราจะสังเกตเห็นตัวใบพัดจริงมันหายไป แล้วก็เกิดใบพัดเทียมขึ้นมาใหม่เคลื่อนตัวสวนทิศทางช้าๆกับใบพัดจริง แล้วบางที่เราก็เห็นใบพัดเทียมมันอยู่นิ่งๆขณะที่ตัวใบพัดหรือวงล้อจริงยังหมุนไปข้างหน้า..มันเป็นไปได้ไง

    เมื่อเอาโครงสร้างของตัวพลังงานมาพิจารณา เราก็จะทราบว่า เมื่อใบพัดจริงหมุนรอบตัวเองได้ซักระยะหนึ่ง ก็จะเกิดคลื่นวงแหวนสนามแม่เหล็กไฟฟ้าแผ่นเล็กๆบางๆซ้อนขึ้นมาแทนใบพัดจริง คลื่นวงแหวนแผ่นบางๆนี่เองที่เป็น..จอ..หรือตัวฉายภาพสะท้อนของตัวใบพัดจริงที่ซุกซ่อนหายเข้าไปอยู่ภายในมิติแผ่นวงแหวนแผ่นบางๆนั้น

    เพราะฉะนั้น ภาพเกลียวสุริยะที่เราเห็น จึงเป็นภาพลวงตาเช่นเดียวกับภาพใบพัดเทียมหรือวงล้อเทียม
    เมื่อเอาข้อมูลต่างๆทั้งวิทยาศาสตร์ ศาสนา และรูปสังขารความเป็นสิ่งมีชีวิตของเรา มาพิจารณาค้นหาจุดศูนย์กลางเกลียวสุริยะจักรวาลและจุดศูนย์กลางเกลียวขวัญบนศีรษะของเรา ดั่งที่ได้อธิบายมา จึงสรุปได้ว่า จุดศูนย์กลางเกลียวสุริยะและจุดศูนย์กลางของเกลียวขวัญ นั้นก็คือ อากาศหาที่สุดไม่ได้ หรือวิทยาศาสตร์เรียกว่า..หลุมดำ..นั้นเอง

    พระสูตรคิริมานนทสูตร
    ดูก่อนอานนท์ เมื่ออยากรู้ว่าเราจะได้ความสุขในสวรรค์หรือจะได้รับความทุกข์ในนรก ก็จงสังเกตดูใจของเราในเวลาที่ยังไม่ตายนี้ ใจของเรามีความสุขมาก หรือมีความทุกข์มาก ทุกข์เป็นส่วนนรกดิบ เมื่อตายแล้วก็ต้องไปตกนรกสุก สุขเป็นส่วนสวรรค์ดิบ เมื่อตายแล้วก็ได้ขึ้นสวรรค์สุก เมื่อยังเป็นคนอยู่ มีสุขหรือมีทุกข์มากเท่าใด แม้เมื่อตายไปแล้วก็คงมีสุขและมีทุกข์มากเท่านั้น ไม่มีวิเศษไปกว่ากัน บุคคลผู้ปรารถนาความสุขในภพนี้และภพหน้า จงรักษาใจให้ได้รับความสุข ส่วนตนตัวร่างกายข้างนอกนั้นไม่สำคัญ จะได้รับความสุขความทุกข์ประการใดก็ช่างเถิด เมื่อตายแล้วก็ทิ้งอยู่เหนือแผ่นดินหาประโยชน์มิได้ ส่วนใจนั้นเป็นของติดตามตนไปอนาคตเบื้องหน้าได้ เพราะจิตใจเป็นของไม่ตาย ที่ว่าตายนั้น ตายแต่รูปร่างกายธาตุแตกขันธ์ดับเท่านั้น ถ้าจิตใจตายแล้ว ก็ไม่ต้องเกิด ไม่ต้องตายอีกต่อไป กล่าวคือ ถึงพระนิพพาน

    ไม่มี..ตาหรือดวงตา..การมองเห็นก็ไม่เกิดขึ้น
    ไม่มี..แสงสว่าง..ทุกๆสรรพสิ่งก็ต้องมืดมิด มืดสนิท
    แต่นี่เราเห็นชัดๆว่าเรามองเห็นภาพนึกคิดขณะตื่นนอน และมองเห็นภาพเหตุการณ์ความฝันขณะนอนหลับ
    มันเห็นได้ไง และเห็นด้วยอะไร
    จงสังเกตดูใจของเราในเวลาที่ยังไม่ตายนี้ แล้วเราเอาอะไรล่ะ เราใช้อะไรล่ะ สังเกตดูสิ่งที่เราเรียกว่า..ใจ

    ปัจจุบัน เรามีการมองเห็นสองด้าน คือ มองออกไปภายนอกตัวตน กับ มองเข้าไปภายในตัวตน
    แต่เมื่อตาย ร่างกายสังขารแตกดับ เราจะเหลือการมองเห็นด้านไหน และเราจะสัมผัสกับภาพเหตุการณ์จริงที่ไหน

    ภาพนึกคิดและภาพจินตนาการที่เราเฝ้ามองเหม่อมองขณะตื่นนอน จนเป็นเหตุให้สัตว์เกิดพฤติกรรม..เหม่อลอย
    ภาพเหตุการณ์ความฝันที่เราสัมผัสขณะนอนหลับ จนเป็นเหตุให้สัตว์เกิดพฤติกรรม..ละเมอ
    ภาพนึกคิดขณะตื่นนอน ภาพความฝันขณะนอนหลับ มันถูกสร้างสรรค์ด้วยอะไร ทำไม..ตัวภาพ..มันจึงมีความละเอียดคมชัดเสมือนจริง เหมือนกับภาพเหตุการณ์จริงๆของโลกปัจจุบันที่เรากำลังเป็น กำลังเห็น และกำลังสัมผัสอยู่นี้มากนัก ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินแผ่นน้ำ แผ่นฟ้าอากาศ ต้นไม้ใบหญ้า สิ่งที่เป็นธรรมชาติและสิ่งปลูกสร้างต่างๆทั้งคนที่รู้จักและคนที่ไม่รู้จัก ทั้งคนเป็นและคนที่ตายไปแล้ว ล้วนถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาได้เหมือนจริงดั่งโลกปัจจุบัน จนแยกไม่ออก
    แหล่งกำเนิดภาพนึกคิดขณะตื่นนอน และภาพความฝันขณะนอนหลับ มันคืออะไร และ อยู่ที่ไหน

    เปรียบเรามองเห็นภาพนึกคิด ดั่งเช่น เรามองเห็น..ภาพ..ภายในโทรทัศน์ แต่เรามองไม่เห็น..ตัวเครื่องโทรทัศน์..ที่เป็นตัวสร้างภาพนึกคิดให้เราเฝ้ามองเหม่อมองและเพ่งมอง จนเกิดพฤติกรรมเหม่อลอย
    แล้วเมื่อรูปร่างกายสังขารนอนหลับ เราก็เข้าไปอยู่ภายใน..ตัวภาพ..ภายในตัวเครื่องโทรทัศน์
    แต่เราก็ยังมองไม่เห็น..ตัวเครื่องโทรทัศน์..อยู่ดี
    แล้วเราจะทำไงดีล่ะ เราจึงจะเห็น เราจึงจะรู้จัก..ตัวเครื่องโทรทัศน์..ตัวสร้างภาพเหตุการณ์ทั้งสองด้านของ..ชีวิต
    เพราะมันมี มันมี มันต้องมี มันต้อง..มี..ชัวร์ๆชัดๆจะๆเห็นๆกับความเป็น..สิ่งมีชีวิต..ของเรา

    ถ้าดวงตาของสังขาร คือ..หน้าต่าง..ของจิตใจ แล้วอะไรล่ะ คือสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในหลัง..หน้าต่าง..นั้น สิ่งที่เป็นตัวรับแสง สิ่งที่เป็นตัวรับภาพจากดวงตาทั้งสองข้างของสังขาร และเป็นตัวมองเห็นที่แท้จริง

    ทำไมขณะที่เรามีชีวิตอยู่ เราจึงไม่มีข้อมูลพบเห็นดวงจิตวิญญาณ แต่เรากลับมีข้อมูลพบเห็น..หลังความตาย

    ดวงไฟดวงเล็กๆที่ซุกซ่อนอยู่ภายในตัวอสุจิ ดวงไฟดวงเล็กๆที่ทำให้นักวิปัสสนากรรมฐานมองเห็นแต่แสงสว่างจ้าห่อหุ้มล้อมรอบ ดวงไฟดวงเล็กๆที่ทำให้สังขารของมนุษย์เกิดคลื่นความร้อน เกิดคลื่นแสงออร่า และเรืองแสงออกมา

    จึงเป็นไปได้หรือไม่ ดวงไฟดวงเล็กๆที่ชาวโลกส่วนใหญ่แทบทั้งโลกต่างมีความเชื่อว่า มันคือดวงจิตวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว จะมีรูปแบบโครงสร้างของตัวพลังงานขับเคลื่อนเดียวกับ..ดวงอาทิตย์..จุดศูนย์กลางของสุริยะจักรวาล

    ด้วยเหตุนี้ การโคจรของดวงดาวต่างๆบนฟากฟ้า เช่น อังคารเดินหน้า พฤหัสถอยหลัง พุธหยุด ศุกร์เข้า เสาร์แทรก ราหูเสียบ จึงส่งผลกับชะตาชีวิตของเรา เพราะแหล่งกำเนิดพลังงานชีวิตของเรา มันมีรูปแบบของแหล่งกำเนิดพลังงานรูปแบบเดียวกันกับสุริยะจักรวาลนั้นเอง จึงเกิดการสัมผัสกันและกัน รูปร่างกายสังขารของเรา จึงเกิดร่องรอย..ลายเส้น..ทั้งสองรูปแบบเช่นเดียวกับ..ลายเส้นสุริยะจักรวาล

    พระสูตรคิริมานนทสูตร
    ดูก่อนอานนท์ เมื่อท่านไปถึงสำนักพระคิริมานนท์แล้ว ท่านจงบอกสัญญาสองประการ คือ รูปสัญญาหนึ่ง นามสัญญาหนึ่ง คือว่า รูปร่างกายตัวตนทั้งสิ้นก็ดี คือนามได้แก่ จิต เจตสิตทั้งหลายก็ดี ก็ให้ปลงธุระเสีย อย่าถือว่า รูปร่างกาย จิต เจตสิต เป็นตัวตนและอย่าเข้าใจว่าเป็นของๆตน ทุกสิ่งทุกอย่างความจริงหากเป็นของภายนอกสิ้นทั้งนั้น

    ดูก่อนอานนท์ ถ้าหากว่ารูปร่างกายเป็นตัวตนเราแท้ เมื่อเขาแก่เฒ่าชรา ตามัวหูหนวกเนื้อหนังเหี่ยวแห้ง ฟันโยกคอน เจ็บปวดเหล่านั้น เราจะบังคับได้ตามประสงค์ ว่าอย่าเป็นอย่างนั้นอย่าเป็นอย่างนี้ นี้เราบังคับไม่ได้ตามประสงค์ เขาจะเจ็บจะไข้จะแก่จะตาย เขาก็เป็นไปตามหน้าที่ของเขา เราหมดอำนาจที่จะบังคับบัญชาได้ เมื่อตาย เราจะพาเอาไปซักสิ่งซักอันก็ไม่ได้ ถ้าเป็นตัวตนของเราแล้ว เราก็คงจะพาเอาไปได้ตามความปรารถนา

    ปุจฉา แล้ว..ตัวตน..ที่แท้จริงของๆเราล่ะ
    ตัวตนอมตะไม่ตาย..ที่แท้จริงของๆเราล่ะ มันคืออะไร และอยู่ที่ไหน?
    เด็ดดอกไม้ ยังสะเทือนถึงดวงดาวบนฟากฟ้า
    แล้ว..ชีวิตสัตว์..ล่ะ จะสะเทือนถึงอะไร
    ท่านผู้อ่าน ท่านมีเหตุผลความเชื่อของท่านว่า ชีวิตของๆท่าน น่าจะสะเทือนถึงอะไร?

    .......................................................................................

    โปรดติดตามตอนต่อไปในวันหน้าครับ
     
  2. pannatee

    pannatee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +65
    ขอบคุณ ท่าน จขกท ที่ปัน ขออนุญาตก๊อบไว้อ่านนะค่ะ
     
  3. เอกณัฐยศ

    เอกณัฐยศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,628
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ขอบคุณมากครับที่มาแบ่งปันความรู้
    :cool: รออ่านอยู่นะครับ :cool:
     
  4. น้ำใหลนิ่ง

    น้ำใหลนิ่ง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +79
    รหัสไม่ลับของ คิริมานนทสูตร

    เป็นพระสูตรที่ประทานแก่พระคิริมานนท์ ผู้อาพาธ

    โดยให้พระอานนท์ไปแสดงให้ฟัง
    พระคิริมานนท์ อาพาธ(ป่วย) ท่านอาพาธด้วยอาการที่เรียกว่า "สัญญา-วิปลาส"
    จากการฝึกกรรมฐานอย่างหนัก

    พระพุทธองค์เลยแสดงเรื่อง "สัญญา ๑๐ ประการ" ให้ฟ้ง

    แล้วให้แก้ด้วยการเจริญอานาปานสติ

    ดังใน อรรถกถา อาพาธสูตร ที่ ๑๐ นี้แล


    อรรถกถา อาพาธสูตร ที่ ๑๐​
    ว่าด้วยทรงแสดงสัญญา ๑๐ ประการแก่พระคิริมานนท์ ผู้อาพาธ​
    [๖๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเขตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระคิริมานนท์อาพาธ ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก
    ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระคิริมานนท์อาพาธได้รับทุกข์เป็นไข้หนัก ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าได้โปรดอนุเคราะห์เสด็จเยี่ยมท่านพระคิริมานนท์ยังที่ อยู่เถิด พระเจ้าข้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
    ดูก่อนอานนท์ ถ้าเธอพึงเข้าไปหาแล้วกล่าวสัญญา ๑๐ ประการ แก่ คิริมานนท์ภิกษุไซร้ ข้อที่อาพาธของคิริมานนท์ภิกษุจะพึงสงบระงับโดยพลัน เพราะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้ สัญญา ๑๐ ประการเป็นไฉน คือ อนิจจสัญญา ๑ อนัตตสัญญา ๑ อสุภสัญญา ๑ อาทีนวสัญญา ๑ ปหานสัญญา ๑ วิราคสัญญา ๑ นิโรธสัญญา ๑ สัพพโลเกอนภิรตสัญญา ๑ สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา ๑ อานาปานัสสติ ๑
    ดูก่อนอานนท์ ก็อนิจจสัญญาเป็นไฉน ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงในอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ ด้วยประการอย่างนี้ ดูก่อนอานนท์ นี้เรียกว่า อนิจจสัญญา.
    ดูก่อนอานนท์ ก็อนัตตสัญญา เป็นไฉน ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า จักษุเป็นอนัตตา รูปเป็นอนัตตา หูเป็นอนัตตา เสียงเป็นอนัตตา จมูกเป็นอนัตตา กลิ่นเป็นอนัตตา ลิ้นเป็นอนัตตา รสเป็นอนัตตา กายเป็นอนัตตา โผฏฐัพพะเป็นอนัตตา ใจเป็นอนัตตา ธรรมารมณ์เป็นอนัตตา ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นอนัตตาในอายตนะทั้งหลาย ทั้งภายในและภายนอก ๖ ประการเหล่านี้ ด้วยประการอย่างนี้ ดูก่อนอานนท์ นี้เรียกว่า อนัตตสัญญา.
    ดูก่อนอานนท์ ก็อสุภสัญญา เป็นไฉน ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายนี้นั้นแล เบื้องต้นแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มโดยรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาด มีประการต่างๆว่า ในกายนี้มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม เนื้อหัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่งามในกายนี้ ด้วยประการดังนี้ ดูก่อนอานนท์ นี้เรียกว่า อสุภสัญญา.
    ดูก่อนอานนท์ ก็อาทีนวสัญญา เป็นไฉน ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า กายนี้มีทุกข์มาก มีโทษมาก เพราะฉะนั้น อาพาธต่างๆ จึงเกิดขึ้นในกายนี้ คือ โรคตา โรคหู โรคจมูก โรคลิ้น โรคกาย โรคศีรษะ โรคที่ใบหู โรคปาก โรคฟัน โรคไอ โรคหืด โรคไข้หวัด โรคไข้พิษ โรคไข้เชื่อมซึม โรคในท้อง โรคลมสลบ โรคบิด โรคจุกเสียด โรคลงราก โรคเรื้อน โรคฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ โรคลมบ้าหมู โรคหิดเปื่อย โรคหิดด้าน โรคคุดทะราด หูด โรคละอองบวม โรคอาเจียนโลหิต โรคดีเดือด โรคเบาหวาน โรคเริม โรคพุพอง โรคริดสีดวง อาพาธมีเสมหะเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีไข้สันนิบาต อาพาธอันเกิดแก่ฤดูแปรปรวน อาพาธอันเกิดแต่การบริหารไม่สม่ำเสมอ อาพาธอันเกิดแต่ความเพียรเกินกำลัง อาพาธอันเกิดแต่วิบากของกรรม ความหนาว ความร้อน ความหิว ความระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นโทษในกายนี้ ด้วยประการดังนี้ ดูก่อนอานนท์ นี้เรียกว่า อาทีนวสัญญา.
    ดูก่อนอานนท์ ก็ปหานสัญญาเป็นไฉน ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้หมดสิ้นไป ย่อมทำให้ถึงความไม่มี ซึ่งกามวิตกอันเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้หมดสิ้นไป ย่อมทำให้ถึงความไม่มี ซึ่งพยาบาทวิตกอันเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้หมดสิ้นไป ย่อมทำให้ถึงความไม่มี ซึ่งวิหิงสาวิตกอันเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้หมดสิ้นไป ย่อมทำให้ถึงความไม่มี ซึ่งอกุศลธรรมทั้งหลายอันชั่วช้า อันเกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นแล้ว ดูก่อนอานนท์ นี้เรียกว่า ปหานสัญญา.
    ดูก่อนอานนท์ ก็วิราคสัญญา เป็นไฉน ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ธรรมเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง ธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา ธรรมเป็นที่สำรอกกิเลส ธรรมชาติเป็นที่ดับกิเลสและกองทุกข์ ดูก่อนอานนท์ นี้เรียกว่า วิราคสัญญา.
    ดูก่อนอานนท์ นิโรธสัญญา เป็นไฉน ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ธรรมเป็นที่สละคืออุปธิทั้งปวง ธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา ธรรมเป็นที่ดับโดยไม่เหลือ ธรรมชาติเป็นที่ดับกิเลสและกองทุกข์ ดูก่อนอานนท์ นี้เรียกว่า นิโรธสัญญา.
    ดูก่อนอานนท์ สัพพโลเกอนภิรตสัญญา เป็นไฉน ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ละอุบาย๑ และอุปาทานในโลก อันเป็นเหตุตั้งมั่น ถือมั่น และเป็นอนุสัยแห่งจิต ย่อมงดเว้น ไม่ถือมั่น ดูก่อนอานนท์ นี้เรียกว่า สัพพโลเกอนภิรตสัญญา.
    ดูก่อนอานนท์ สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา เป็นไฉน ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมอึดอัด ย่อมระอา ย่อมเกลียดชังแต่สังขารทั้งปวง ดูก่อนอานนท์ นี้เรียกว่า สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา.
    ดูก่อนอานนท์ อานาปานัสสติ เป็นไฉน ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอเป็นผู้มีสติหายใจออก เป็นผู้มีสติหายใจเข้า เมื่อหายใจออกยาวก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาวหรือเมื่อหายใจเข้ายาวก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้นก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจเข้าสั้นก็ชัดว่า หายใจเข้าสั้น ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้กำหนดรู้กายทั้งปวง(ลมหายใจ) หายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้กำหนดรู้กายทั้งปวงหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักระงับกายสังขาร(ลมหายใจ) หายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักระงับกายสังขาร หายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักกำหนดรู้ปีติหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักกำหนดรู้ปีติหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักกำหนดรู้จิตตสังขาร(เวทนา) หายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักกำหนดรู้จิตตสังขารหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่าจักระงับจิตตสังขารหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักระงับจิตตสังขารหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักกำหนดรู้จิตหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักกำหนดรู้จิตหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักยังจิตให้บันเทิงหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักยังจิตให้บันเทิงหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักตั้งจิตให้มั่นหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักตั้งจิตให้มั่นหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักเปลื้องจิตหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักเปลื้องจิตหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัดหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัดหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความดับสนิทหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความดับสนิทหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความสลัดคืนหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความสลัดคืนหายใจเข้า ดูก่อนอานนท์ นี้เรียกว่า อานาปานัสสติ.
    ดูก่อนอานนท์ ถ้าเธอพึงเข้าไปหาแล้ว กล่าวสัญญา ๑๐ ประการนี้แก่ คิริมานนท์ภิกษุไซร้ ข้อที่อาพาธของคิริมานนท์ ภิกษุจะพึงสงบระงับโดยพลัน เพราะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการนี้ เป็นฐานะที่จะมีได้.
    ลำดับนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เรียนสัญญา ๑๐ ประการนี้ ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ได้เข้าไปหาท่านพระคิริมานนท์ ยังที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวสัญญา ๑๐ ประการ แก่ท่านพระคิริมานนท์ ครั้งนั้นแลอาพาธนั้นของท่านพระคิริมานนท์สงบระงับโดยพลัน เพราะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการนี้ ท่านพระคิริมานนท์หายจากอาพาธนั้น ก็แล อาพาธนั้นเป็นโรคอันท่านพระคิริมานนท์ละได้แล้วด้วยประการนั้นแล.
    จบอาพาธสูตรที่ ๑๐​
    อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต อาพาธสูตร ข้อ ๖๐
    ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่ม ๓๘ หน้า ๑๙๐ ​
     
  5. sutanon

    sutanon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +195
    อืม...

    การศึกษาบางเรื่องก็ต้องมีจินตนาการบวกพื้นฐานกับความจริง
    เพื่อต่อยอดในสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึง

    เรื่องสวรรค์ นรก และนิพาน
    เกี่ยวเนื่องด้วยจิต จิตเดินทางไปทุกที่ ไม่ได้ใช้ระยะทาง

    ไม่ว่าดาวดวงไหน ก็มีสวรรค์ นรก และนิพพานเดียวกัน
     
  6. sisu

    sisu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +103
    ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่วิเคราะห์และการแบ่งปัน
     
  7. wild win

    wild win เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +436
    ขอบคุณที่นำมาโพสให้อ่านกัน ชอบวิธีคิดและการอนุมานของ จขกท.
     
  8. bamrung

    bamrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2006
    โพสต์:
    839
    ค่าพลัง:
    +1,524
    ผมจะมาอ่านเรื่อง พระยาธรรมิกราช แต่ทำไมไม่มีตามหัวข้อ
     
  9. bamrung

    bamrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2006
    โพสต์:
    839
    ค่าพลัง:
    +1,524
    พญาทำ ...............ท่าน pholsak
     
  10. Indesol

    Indesol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2011
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +30
    ใจเย้นๆนะค่ะ พวกเราเพื่อนมนุษย์ด้วยกันยังอยู่ พี่ก็อยู่ ยังเชื่อ ในศรัทธาของมนุษย์ทุกผู้ ทุกคน หากพวกเราไปทำร้ายใครทั้งดีและไม่ดี ให้เจ็บช้ำน้ำใจ ทำให้ครูบาอาจารย์เดือดเนื้อร้อนใจ และทำให้ สัตว์ทั้งหลายตายเปล่า ทุกข์ยากเดือดเนื้อร้อนใจ พวกเราจะเป็นอะไรผิดหรือถูก ดีไม่ดี ก็ตาม พวกเราก็จะยินดีรับโทษไว้ด้วยกายใจตนเองนะค่ะ ใจเย้นๆนะค๊ เรายังอยู่ เพื่อนยังอยู่ ทุกคนยังอยู่ และรอเวลาให้หยดน้ำ ไหลผ่านแหอวนดักปลาเล้กปลาน้อยค่ะ เมื่อเข้าใจก็จะเห็นเจตนาที่มีของทุกท่า่น แม้มันจะเจ้บจะปวดแต่หากนั่นเป้นสิ่งที่ต้องสละตนเอง และจะเกื้อกูลแก่บารมีของพวกเราเองด้วยนะค่ะ ยิ้มให้คนที่ตีหัว และยกมือไหว้กับคนที่ขอบคุณ นะค่ะ

    chearr
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2012
  11. โฮดี้โจนส์

    โฮดี้โจนส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +1,488
    5555 เส้นขนมจีนเอย ว่างๆๆไปตรวจบ้างนะ อากาศร้อนอาการบ้ากำเริบล่ะสิ5555
     
  12. Indesol

    Indesol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2011
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +30
    นู๋ไม่ได้อ้าแขนรับหรือเป็นเบื้องหลังเข้าข้างให้ใครกระทำสิ่งใดไม่ว่าดีหรือไม่ดี คงไม่มีความสามารถเก่งกล้าขนาดนั้นหรอกค่ะ เป็นมนุษย์ธรรมดามีเลือดมีเนื้อมีกายและใจ ทุกอย่างเป้นไปตามธรรมชาติ ของมันรวมถึงเราด้วย และเราก็เป้นธรรมชาติหนึ่งเท่านั้น และนี่คือธรรมชาติของเรามีชั่วมีเลว มีอกุศล มีความคิดที่ดี และไม่ดี มีสารเคมีที่ต่อต้านร่างกายและความดี หรือมีความดีที่ขัดแย้งกับความไม่ดี มีความเบียดเบียนที่ยังไม่จบอยู่ในตน เหมือนคนทั่วไป ไม่มีความต่าง แต่มีความเป็นเราเป้นตัวของเราเอง และจะเป็นเช่นนั้นต่อไป อยู่เป็นเพื่อน เพื่อนทุกคนไม่เลือก ข้างไหน ไม่ถ่มน้ำลายรดเพื่อนฝ่ายใด ไม่ต่อยกันหลังเกมส์จบจ้าา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2012
  13. โฮดี้โจนส์

    โฮดี้โจนส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +1,488
    หรอจ๊ะ มะลิจ๋าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
     
  14. Indesol

    Indesol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2011
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +30
    ขอบคุณมากในแง่คิดดีๆ ขออภัยเจ้าของกระทู้ด้วยที่มาสร้างความวุ่นวายแก่ท่านนะค๊ เรื่องของพญาธรรมมิกเป็นสิ่งที่น่าศึกษาและปฏิบัติตามเพื่อความเข้าใจด้วยตนเอง และเหมาะกับกึ่งกลางพุทธศาสนายุคนี้เป้นอย่างมากด้วยพระสัพพัญญูญาณของพระพุทธองค์กว้างขวางไม่มีใดเปรียบ ด้วยการเข้าถึงจากปัญญาญาณของแต่ละท่านเอง หนูจึงไม่อาจก่าวก่ายผู้ใด ดีหรือไม่ดี อยู่ที่ตัวเลือกทำ
     
  15. Indesol

    Indesol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2011
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +30
    มะลิห๊อมห๊อม ระวังทักคนผิดเน้อตั๋ว กิกิกิ
     
  16. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    คุณIndesol ยินดีที่ได้สนทนานะครับ
    พระโพธิสัตว์กวนอิมท่านดูเมตตาไม่มีประมาณนะครับ ร่มเย็น เกื้อกูล เบิกบาน ครับ
     
  17. โฮดี้โจนส์

    โฮดี้โจนส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +1,488
    555 สงสัยผมจะนึกถึงคุณมะลิมากไปหน่อยมั๊งครับ เห็นใครคุยกับลุงขจรแบบสรรเสริญ กันก็เลย นึกว่าใช่ไปหมดเลย 555

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=qsYy8Oq-UzE&feature=related"]??????????? - illslick - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=NCMFHbqqstk&feature=related"]Tony Phee (โทนี่ ผี) - คำๆนี้ - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=sSy_eEOWG_4&feature=related"]Illslick- ??????????? - YouTube[/ame]
     
  18. Indesol

    Indesol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2011
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +30
    @พี่จิตตินนท์ สาธุค่ะพระมารดาทรงมีเมตตาไม่มีประมาณรักท่านมากมายค๊ เดินตามรอยทางของท่าน แม้ทำได้เสี้ยวเดียวก็คุ้มแล้วเกิดมาชาติหนึ่ง พระมารดาเมตตาต่อสรรพสัตว์ไม่มีกำหนดเงื่อนไข สาธุการเจ้าค่ะ บางเวลาจิตจะกระทำการใดๆ นึกถึงรักที่มีในพระองค์ไอ้ที่ทมิฬมันก็คลายเสมอเลยค๊ ขอบคุณที่สนทนาธรรมด้วยนะค่ะ พี่ชาย

    @พี่โฮดี้ แหมแสดงว่าป้ามะลิแกคงเย็นจิตเย้นใจมากเลยนะค๊ เราสรรเสริญทุกคนค๊ ลุงจรก็สรรเสริญได้ ๕๕๕ สงสัยป้ามะลิหอมมาเข้าสิงละมั้งค๊ ฮิฮิ มาเคลียเอานะป้าจ้าสิงหนูคิดค่าขนมสามบาท ไอติมหนึ่งแท่งใหย่นะจ๊ ฮรี๊ๆ

    @ลุงจร ดูท่าลุงจะต่อยกับเพื่อนบ่อยแน่เลยนะเนี่ยย

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=xMGuj_012cI"]?????????????? - YouTube[/ame]

    แถมให้อีกเพลง..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2012
  19. โฮดี้โจนส์

    โฮดี้โจนส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +1,488
    คุยๆๆ หน่อยครับ เดี๋ยวลุงจรเหงา เพราะวันๆๆแกไม่มีอะไรทำ ตกงาน เห็นนั่งขอเงินเมียวันละร้อย กินไปวันๆๆ เข้าร้านเน็ต ก็หมดแล้วมั้งนั้น กินเหล้าอีกล่ะ 5555 จะเหลือไหมนี่

    ให้ลุงจร สอนเผาปลาก็ได้นะครับ ลุงแกเผาปลา ร้านแม่ยายทุกวัน จะไม่ทำก็ไม่ได้เพราะแม่ยายเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัวนี่ 555
     
  20. Indesol

    Indesol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2011
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +30
    ชอบฟัง Illslick เหมือนกันด้วยย ไปก่อนน๊าค๊า มีคนซื้อขนมมาเซ่นร่ะวันนี้ บั๊ยบั๊ยจ๊าา กิกิกิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...