ถามความในใจพุทธภูมิ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ปทุมมุต, 26 กันยายน 2014.

  1. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ก็เพราะสงสารจึงอยากจะเผยแพร่สั่งสอนวิธีทำให้หลุดพ้น
    ก่อนจะสอนคนอื่น ก็เลยต้องเอาตัวเองให้รอด ให้เป็นพระพุทธเจ้าก่อน
    สรุป ปรารถนาหนึ่งได้ถึงสองครับ
     
  2. เวโรจนะ

    เวโรจนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +129
    เข้าใจว่าทั้งสองอย่างนี้จะควบคู่กันไป ผลัดกันแซงในบางช่วงเวลาแล้วแต่ข้อใหนจะได้เหตุปัจจัยเสริมในห้วงเวลานั้นๆ ใครไม่มีข้อหนึ่งข้อใด ผมว่ายากนะที่จะสมปรารถนา
    ก็แต่ว่า พระโพธิสัตว์ผู้ปรมัตถบารีมี จะมีอารมณ์ขี้เล่น ไร้สาระในบางเวลาบ้างใหมน้าาาา
    ...อย่าถือว่าขี้สงสัยเลย ถือว่าธรรมสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมังละกัน อิอิ
     
  3. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603

    สำหรับความคิดเห็นส่วนตัวผมว่า การแยกร่างน่ะแยกได้อยู่ครับไม่สงสัย แต่ที่เป็นเป็นรูปร่างอื่นๆนั่นอาจจะไม่ครบองค์ขันธ์5

    การที่จะเรียกว่า”มนุษย์”นั้นต้องถือครองขันธ์ทั้ง5อยู่ครบ (ถึงจะถือครองเป็นขณะๆที่รวดเร็วมากจนเห็นจากการมองผ่านอย่างชัดแจ้งของวิปัสสนาแล้ว)
    ดังนั้นร่างที่ไม่ครบองค์ขันธ์5 จึงไม่สามารถรับหรือสร้างวิบากกรรมต่อไปได้ครับ

    ถ้าลงมาชาติเดียวแล้วแต่ละร่างสามารถรับและสร้างกรรมได้ ระบบกรรมวิบากมันจะยิ่งซับซ้อนยุ่งเหยิงพัลวันกันหมดไม่มีที่สุด

    แล้วถ้าแบ่งร่างกันมามากๆทุกๆร่างสามารถสร้างบารมีได้เหมือนกันหมด
    การสั่งสมบารมีจนเต็ม 30 ทัศ จึงดูจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปแถมอาจใช้เวลาอันสั้นลงได้อีกมากด้วยเช่น
    พุทธภูมิวิริยะธิกะ จากสั่งสมบารมี 16 อสงไขยกับอีกแสนมหากัป เร่งแยกร่างสร้างบารมี การสั่งสมก็อาจจะลดลงเหลือแค่ 2 อสงไขยกับอีกแสนมหากัป ซึ่งคงไม่น่าจะใช้หลักการแบบนี้นะครับ
    ร่างที่ไม่ครบองค์ขันธ์5 แม้จะมีกี่ร่างจึงไม่มีความหมายไม่ใช่สถานะในการสั่งสมบารมีและการรับวิบากกรรม

    ในพระไตรปิฎกก็ไม่มีการกล่าวถึงการเสด็จไปในที่ต่างๆขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวาระเดียวกัน(ซ้ำซ้อนในเวลาเดียวกัน)

    การที่แยกร่างหลายๆร่างในภพเดียวกันจึงไม่น่าจะใช่ พุทธประเพณีของเหล่าพุทธภูมิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2014
  4. เวโรจนะ

    เวโรจนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +129
    สาธุๆๆ ท่าน avataarกล่าวชอบด้วยเหตุผล
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. ิBat of light

    ิBat of light เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2012
    โพสต์:
    687
    ค่าพลัง:
    +842
    .
    รบกวนผู้รู้ ช่วยแจ้งหน่อยสิครับ ว่าคนนี้เค้าหวังอะไรหรือเปล่า
    ไปเจอมาในกระทู้นักรบแสง อ่านดูแล้วแปลกๆ ไม่รู้คิดยังไงนะ ช่างกล้าเขียน

    จากกระทู้นี้ครับ palungjit.org/.2/ข้าคือ-นักรบแสง-ผู้โรยแรง-แสงใกล้สิ้น-เพียงหวัง-ใครได้ยิน-แสงใกล้สิ้น-ส่งเสียงมา-306574.html



    [​IMG]



    เราคิดว่าเค้าคงไม่รู้ตัวแน่เลย ว่าทำอะไรลงไปนะนั่นน่ะ
    ใครพอจะทราบไม๊ครับ ว่าแบบนี้ เค้าหวังอะไร ภูมิไหนรึเปล่าครับ


    ค้างคาวแห่งแสง / พนม เทียนธูปดอกไม้

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. เวโรจนะ

    เวโรจนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +129
    ....ขออนุญาติ วิเคราะห์ว่า ถ้าไม่ใช่ผู้ปฏิบัติธรรมขั้นอุกฤตก็เป็นผู้กำลังฟุ้ง
    ซ่านอย่างหนัก...ขออโหสิถ้าเป็นการล่วงเกิน
     
  7. ปทุมมุต

    ปทุมมุต ผมเป๋นใตร?

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +286
    กระผมมีความเห็นว่า ถ้าเร่งวิปัสนามากจะเป็นเหตุเกาะเกี่ยวอารมณ์นิพพิทาญาณมาก
    ทำให้เบื่อหน่ายโลกสังสารวัฏ แล้วทำให้ตัดสินใจลาพุทธภูมิได้ ไม่ทราบความคิดนี้ถูก
    หรือผิดประการใด
     
  8. เวโรจนะ

    เวโรจนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +129
    ลองอัพ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. jibakunmk2

    jibakunmk2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +146
    ผมก็ไม่รู้ตัวเองปราถนาหรือเปล่า แต่เริ่มคิดอะไรหลาย ๆ อย่างหลังจาก มาเป็นสมาชิกที่นี่
    บางครั้งก็อยากจะหยุดกินเนื้อ เพราะในใจมันบอกสักว่าเขาก็จะมากินเราอีก
    บางทีเดินกลับบ้านผมมักจะมีความคิดแปลก ๆ ขึ้นมาในหัวบ่อย
    ยอมรับว่าก่อนมารู้จัก เว็บพลังจิต ผมไม่เคยคิดว่าจะมีพระุพุทธเจ้าเยอะขนาดนี้
    ช่วงนี้ทำบุญ ทุกเดือนแต่ไม่มาก ครับ

    :boo:
     
  10. อุดรธานี

    อุดรธานี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +69
    ผมขอถามคุณลุง pco หน่อยคับ ศรัทแรงกล้าแรงกล้าในการให้ทานบารมีนั้นเป็นอย่างไรคับและการวางอารมณ์จิตควรวางอย่างไรครับ ก่อนให้ทาน ขณะให้ทาน หลังให้ทาน ถึงจะได้บุญเต็ม และเมตตาที่มีต่อสรรพสัตว์ที่เป็นเมตาหวังช่วยให้เขาได้รับความสุขจริงการว่างอารมของผู้ปฏิบัติควรวางอารมณืจิตอย่างไรคับ ขอความเมตาด้วยคับ
    และขอให้คุณลุงช่วยเป็นที่ปรึกษาให้ผมด้วยนะครับยามที่ติดขัดในการปฎิบัติ ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ตุลาคม 2014
  11. ปทุมมุต

    ปทุมมุต ผมเป๋นใตร?

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +286
    ขออัญเชิญคุณน้า pco ด้วยคร้าบบบ (ออกแรงตะโกนเรียกอีกคน)
    กระผมจะคอยแอบจำอีกคน...เอาแบบกระชับๆได้ก็ดี อิอิ
     
  12. kongkiatm

    kongkiatm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,263
    ขออนุญาตตอบน่ะครับ เผื่อเป็นประโยชน์
    ความศรัทธามีหลายอย่าง
    ศรัทธาในคุณงามความดี
    ศรัทธาในกองบุญกองกุศล
    ศรัทธาในครูบาอาจารย์
    ศรัทธาต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ความศรัทธาอย่างแรงกล้า ถ้าศรัทธาต่อสิ่งใด อารมณ์มันจะมาพร้อมปิติเสมอ น้ำตามันจะไหล ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของปิติว่ามากหรือน้อย ความศรัทธาสูงสุดจะทำให้หมดสติ สลบได้เลย (ตำราเรียกว่า วิสัญญีภาพ) ทีนี้ความศรัทธาแบบนี้จะทำให้เกิด กำลังใจสูงสุด สามารถตั้งมั่นในคุณงามความดีได้สูงสุด

    ในการทำทานต้องด้วยใจที่มีความยินดี ถ้าอารมณ์ใจประกอบด้วยปิติยิ่งดี ทั้งก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำทาน อันนี้ต้องค่อยๆฝึกเอา

    วิธีการฝึกอาจจะใช้ความคิดนำพาไปก่อนก็ได้เช่น เราให้เงินขอทาน คิดว่าเงินนี้ของเราทำให้เค้ามีข้าวกินอิ่ม ทพให้เค้ามีชีวิตรอดไปอีกวัน เราบริจาคการเบื้องหลังคา คิดว่า กระเบื้องจะเป็นที่ป้องกันแดด ป้องกันฝน ให้แก่ผู้ที่มาพักอาศัย เป็นต้น

    การอนุโมทนาบุญ อันนี้มีประโยชน์มาก เวลาเราไปงานบุญที่ใดก็ตาม เราก็จะทำบุญได้เฉพาะส่วนที่เราทำ (บุญจะเกิดขึ้น หลังจากเราทำบุญสักครู่ เกิดที่จิตแล้วหายไป) แต่ถ้าเราอนุโมทนาเราจะได้ในส่วนอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย เช่น คนทำบายศรีก็อนุโมทนา คนตั้งโรงทานก็อนุโทนา คนล้างห้องน้ำก็อนุโมทนา คนทำทานก็อนุโมทนา คนสวดมนต์ก็อนุโมทนา คนเทศ์ธรรมก็อนุโมทนา คือ อนุโมทนาทุกอย่างก็ว่าได้ครับ


    มหาทาน ในตำราพระอนาคตวงศ์ 10 พระองศ์ พระโพธิสัตว์ได้ บังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ในชาตินั้น ได้มีผู้แจ้งข่าวของ พุทธรัตนะ ธรรมะรัตนะ สังฆะรัตนะ พระเจ้าจักรพรรดิ์ได้บังเกิดวิสัญญีภาพขึ้น จึงได้ทำการสละสมบัติน้องใหญ่ พร้องรัตนะบัลลัง แล้งจึงเสด็จไปพบองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ฟังธรรม และทำการตัคศีรษะเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา (เรื่องย่อ อ่านเรื่องเต็มในตำรา)

    การมีเมตตาหวังช่วยเหลือคนนั้น ควรวางใจแบบนี้ครับ ให้เล็งไปที่ผลประโยชน์ของผู้นั้นเป็นที่ตั้ง(เนื่องที่เค้าต้องการ) ให้เค้ามีความสุขกับผลประโยชน์ที่เค้าได้รับ เป็นสำคัญ อีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าเค้าไม่เต็มใจให้เราช่วยเหลือ อันนี้เราวางใจไปผิด เค้าจะคิดว่าเราไปเอาผลประโยชน์จากเค้า แบบนี้ให้หยุดไว้ก่อนน่ะครับ ความสำคัญอยู่ที่ใจ รูปแบบไม่สำคัญมากนัก คนที่เราไปช่วยเหลือเค้าจะทราบเอง

    อาจตอบได้ไม่ดีมากนัก แต่อาจจะมีประโยชน์แก่ผู้อ่านได้บ้าง
     
  13. อุดรธานี

    อุดรธานี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +69
    ขอบคุณครับ ผมจะค่อยพิจจารณาทำความเข้าใจ เรียนรู้ศึกษาดูครับ
     
  14. อุดรธานี

    อุดรธานี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +69
    แล้วท่าให้ทานแล้วเรามีอาการเฉยๆหล่ะครับอย่างนี้จัดว่าเป็นบูญไหมครับ และเวลากล่าวอนุโมทกับท่านที่ทำบุญแล้วรู้สึกธรรมดาเฉยๆจัดว่าเป็นบุญมากหรือน้อยได้บุญไหมครับ( อย่างเช่น เห็นเขาทำบุญทำความดีก็ว่า สาธุ สาธุ ได้บุญเหมือนกันไหมกับคนที่ทำไหมคครับ )
     
  15. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ถามผม ผมก็จบเห่ หากจะพูดเองมันไม่ค่อยมีนิมิตเครื่องหมาย กำลังใจนั้นมันเป็นความรู้สึก เดี๋ยวค่อยมาเล่าให้ฟัง ลองวัดกำลังใจของเราด้วยการแนะนำคำสอน โดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานดูก่อนนะครับ

    ขอบคุณมากที่ไว้วางใจ ผมเองไม่มีอะไรวางใจได้ เอะอะ อะไรผมก็หันไปมองหลวงพ่อ หันไปมององค์สมเด็จว่าตอนที่ท่านมาถึงตรงนั้นตรงนี้ท่านทำกันอย่างไร

    คัดลอกข้อความบางส่วน มาจากหนังสือบารมี ๑๐ โดยพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    เมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัทเริ่มปฏิบัติ อาตมาก็คิดในใจว่าร่างกายไม่ดีแบบนี้เราจะทนมันอยู่ทำไม ไปเสียจากร่างกายดีกว่า ปล่อยให้มันนั่งอยู่ตรงนี้ พอสัญญาณบอกเวลาปรากฏเราจึงจะกลับมา ฉะนั้นจึงได้ไปเสียจากกาย ไปไหว้พระ จะไปแบบไหนอันนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาไม่บอก บอกไม่ได้ ไปอย่างไร ไปโดยวิธีไหน อยากจะรู้ก็ปฏิบัติกันเอาเอง แต่ความจริงมันก็ไม่ใช่ของดีของเด่นอะไรนัก การไปได้มาได้ถ้าใจเหลิงเกินไปก็ยังลงนรกได้ ไม่ใช่ของพิเศษ เมื่อออกไปแล้วก็พบองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์

    นี่ขวางกับชาวบ้านเขาแล้ว เขาบอกว่าพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว จะพบกันได้ยังไง นั่นมันเรื่องของเขาบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย นี่มันเรื่องของอาตมา อาตมาพบกันได้ก็แล้วกัน เมื่อพบแล้วก็เข้าไปนมัสการองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว พอเงยหน้าขึ้นมาพระองค์ก็ทรงตรัสถามว่า "สัมพเกษี วันนี้เธอสอนบารมี ๑๐ ทัศใช่ไหม ...?"

    ก็กราบทูลพระองค์ว่า "ใช่พระพุทธเจ้าข้า" พระองค์จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสถามว่า "สัมพเกษี บารมีแปลว่าอะไร...?"

    ตอนนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายขอได้โปรดทราบว่า ถ้าอาตมาสอนถูกพระองค์จะไม่ทรงตรัสแบบนั้น อาตมารู้ทันรู้เท่าเข้าใจทันทีว่า การสอนวันนี้ผิดพุทธพจน์บทพระบาลี

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัทการสอนนี้ไม่ใช่ว่ามันจะถูกเสมอไป มันก็ผิดได้เหมือนกัน เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรมีพระพุทธฎีกาตรัสถามแบบนั้นอาตมาก็ทราบ จึงได้กราบทูลพระพุทธองค์ว่า "ข้าพระพุทธเจ้าไม่แน่ใจนักพระพุทธเจ้าข้า แต่ที่เรียนกันมา ครูสอนว่าบารมีแปลว่าเต็ม"

    พระองค์จึงทรงตรัสถามว่า "อะไรมันเต็ม และมันเต็มแบบไหน สมมุติว่าเธอจะปฏิบัติในทานบารมี ทำยังไงทานบารมีมันถึงจะเต็ม ถ้าหากว่าจะนำของมาให้เต็มโลก เธอจะไปขนมาจากไหน ถ้าเราจะไม่นำของมาให้ ทำยังไงทานบารมีมันจึงจะเต็ม...?"

    แบบนี้มันก็อยู่ด้วยกันทั้งนั้นแหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าคนอย่างอาตมา ถ้าหากว่าท่านที่เป็นนักปราชญ์ดีกว่าอาตมาก็ไม่เป็นไร ท่านไปได้ เพราะท่านมีความเข้าใจ ท่านมีความฉลาด อาตมาบอกแล้วนี่ว่าอาตมามีความรู้ไม่เท่าหางอึ่ง คือยาวไม่เท่าหางอึ่งหรือไม่แค่หางอึ่งเพราะความโง่มันมาก

    เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงตรัสแบบนั้นก็ทูลถามพระองค์ว่า "ข้าพระพุทธเจ้าไม่เข้าใจในบารมีพระพุทธเจ้าข้า"

    พระองค์จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า "สัมพเกษี เธอเข้าใจ ไม่ใช่ไม่เข้าใจ แต่ว่าเธอดีแต่เฉพาะบริโภคเองเท่านั้น แต่การที่จะแบ่งปันให้บุคคลอื่นน่ะ เธอไม่มีความฉลาด การที่เธอตั้งกำลังใจในด้านบารมี ๑๐ ทัศ เป็น ๓๐ ทัศ ด้วยกัน ๓ ชั้น เธอทำได้ แต่ว่าวันนี้เธอสอนบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย เธอทำไม่ถูก เธอจงมีความเข้าใจเสียใหม่ว่า คำว่าบารมีนี้มันแปลว่าเต็ม แต่อะไรมันเต็มตถาคตจะบอกให้ว่า บารมีนี่ควรจะแปลว่ากำลังใจเต็ม "

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท จำไว้ให้ดีว่า คำว่าบารมีก็คือกำลังใจ ทำกำลังใจให้เต็ม ตอนนี้ซิชักจะฉลาดขึ้นมาทันที มานึกในใจว่าเรานี่มันแสนจะโง่เสียมาก

    กำลังใจเต็มตอนไหนบรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านก็ทรงให้ทวนเรื่องบารมี ๑๐ ทัศ ว่ามีอะไรบ้าง อาตมาก็ถวายคำตอบแก่พระองค์ว่า

    ๑. ทานบารมี
    ๒. ศีลบารมี
    ๓. เนกขัมมบารมี
    ๔. ปัญญาบารมี
    ๕. วิริยบารมี
    ๖. ขันติบารมี
    ๗. สัจจบารมี
    ๘. อธิษฐานบารมี
    ๙. เมตตาบารมี
    ๑๐. อุเบกขาบารมี

    องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า สัมพเกษี ถูกแล้ว บารมีทั้งหมดนี้ให้ใช้กำลังใจ สร้างกำลังใจให้มันทรงอยู่ในใจทั้งหมด ให้มันเต็มครบถ้วนบริบูรณ์ไม่มีอะไรบกพร่อง คือ

    . จิตของเราพร้อมที่จะให้ทานเป็นปกติ
    . จิตพร้อมในการทรงศีล นี่ซิบรรดาพุทธบริษัท พร้อมในการทรงศีลเป็นปกติ ไม่ใช่ปล่อยให้ศีลมันหล่นไป
    . จิตพร้อมในการทรงเนกขัมมะเป็นปกติ เนกขัมมะก็แปลว่าการถือบวช บวชผมยาว บวชผมสั้น บวชโกนหัว ไม่โกนหัว ได้ทั้งนั้น
    . จิตพร้อมที่จะใช้ปัญญาเป็นเครื่องประหัตประหารอุปาทานให้พินาศไป
    ๕. วิริยะ มีความเพียรทุกขณะ ควบคุมใจไว้เสมอ
    . ขันติ มีทั้งอดทั้งทน อดกลั้นต่อสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์
    . สัจจะ ทรงตัวไว้ตลอดเวลาว่าเราจะจริงทุกอย่าง ไม่มีอะไรในคำว่าไม่จริงสำหรับใจเรา ในด้านของการทำความดี
    . อธิษฐานบารมี ตั้งใจไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ
    . เมตตาบารมี สร้างอารมณ์ความดีไม่เป็นศัตรูกับใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น
    ๑๐. อุเบกขาบารมี วางเฉยเข้าไว้ ในเมื่อร่างกายมันไม่ทรงตัว อย่างที่เธอเป็นวันนี้ อุเบกขาบารมีตัวนี้ พระองค์ทรงตรัสว่า ตรงกับภาษาไทยที่ใช้กันเป็นปกติว่า ช่างมัน ขันติบารมีนี่ก็เหมือนกันใช้คำว่าช่างมัน ตรงตัวดี

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า วันนี้ยังไม่สอนอะไรบรรดาท่านพุทธบริษัท เรามาคุยกันในคำว่า บารมีทั้งหลาย ได้ทราบชัดว่า บารมีที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ให้เราสร้างให้มันเต็มนั้น ก็คือสร้างกำลังใจปลูกฝังกำลังใจ ให้มันเต็มครบถ้วนบริบูรณ์สมบูรณ์ ไม่ ใช่ว่าเราจะมานั่งคิด เราจะมานอนคิด เราจะมาทรงจิตว่า เอ๊...บารมีของเรามันไม่มีนี่ ชาติก่อนบารมีของเรามันไม่พอ บารมีของเรายังไม่เต็ม เราจะเป็นพระโสดาบัน สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ยังไงได้

    ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย มีความเข้าใจตามนี้ พอยังจะรู้รึยังว่าเราสามารถจะสร้างบารมีได้ด้วยอาศัยกำลังใจ ความดีของบรรดาท่านพุทธบริษัทมี กำลังใจอย่างเดียวเท่านั้นที่เราจะทำให้มันดีหรือไม่ดี อันนี้ก็ตรงกับพระบาลีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในเรื่อง พระจักขุบาล ว่า

    มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฎฐา มโนมยา
    ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จด้วยใจ นี่ความจริงเรื่องนี้ก็เรียนกันมาแล้วบรรดาท่านพุทธบริษัท แต่เวลาปฏิบัติจริง ๆ มันทำไมถึงลืมก็ไม่ทราบ

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย หวังว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านคงจะเข้าใจคำว่า บารมี แล้วอย่าลืม บารมีแปลว่าเต็ม แต่ส่วนที่เราจะทำให้เต็มนั้นก็คือกำลังใจ ให้กำลังใจมันพร้อม พร้อมที่จะทรงความดีในด้านบารมีไว้ ถ้ากำลังใจของเราพร้อมทรงบารมีทั้ง ๑๐ ประการ ครบถ้วนเพียงใด บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ความเป็นพระอริยเจ้าเป็นของง่าย

    ที่นำบารมีทั้ง ๑๐ ประการมากล่าวในตอนนี้ก็เพราะว่า ในตอนต้นพูดเรื่องพระโสดาบันเข้าไว้ เห็นว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายอาจจะคิดว่า แหม...มันยากเกินไป ถ้ากำลังใจในการสร้างตนเป็นพระโสดาบันมันยังครบถ้วนไม่ได้ ก็หันมาจัดการกับบารมีทั้ง ๑๐ ประการ ให้มันครบถ้วนบริบูรณ์

    ทาน การให้ เป็นการตัดความโลภ
    ศีล เราก็ตัดความโกรธ
    เนกขัมมะ ตัดอารมณ์ของกามคุณ
    ปัญญา ตัดความโง่
    วิริยะ ตัดความขี้เกียจ
    ขันติ ตัดความไม่รู้จักการอดทน
    สัจจะ ตัดความไม่จริงใจ มีอารมณ์ใจกลับกลอก
    อธิษฐาน ทรงกำลังไว้ให้สมบูรณ์บริบูรณ์
    เมตตา สร้างความเยือกเย็นของใจ
    อุเบกขา วางเฉยเข้าไว้ในเรื่องของกายเราไม่ปรารภ

    เท่านี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้ากำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทสมบูรณ์เพียงใด คำว่า พระโสดาบัน นั้นบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จะรู้สึกว่าง่ายเกินไปสำหรับบรรดาท่านพุทธบริษัท

    ทำไมจึงว่าอย่างนั้น ก็เพราะว่าคนที่มีบารมีเต็มครบถ้วนบริบูรณ์ มีกำลังใจเต็มทุกอย่างใน ๑๐ ประการนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เรียกว่าพระโสดาบัน แล้วท่านเรียกว่าอะไร ท่านเรียกว่า พระขีณาสพ แปลว่า ผู้มีอาสวะอันสิ้นไปแล้ว หรือเรียกว่า พระอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาอันดับสูงสุดเข้าถึงซึ่ง พระนิพพาน ได้

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 ตุลาคม 2014
  16. อุดรธานี

    อุดรธานี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +69
    ขอบคุณครับ จะได้ทบทวนบารมีตัวที่ยังขาดอยู่คับ เพราะบารมีผมมันยังพร่องอยู่มากครับและผมมันยังมีความเลวอยู่มาก ตามที่หนังสือและเทปหลวงพ่อฤษีลิงดำท่านสอนไว้แล้วที่ผมนำมานำมาปฏิบัติ สิ่งไหนที่หลวงสอนให้ทำกลับไม่ทำ สิ่งที่หลวงพ่อไม่ได้สอนกลับไปทำเหมือนกับว่ามันอยู่ผิดที่ผิดเวลายังงั้นและครับ หลายครั้งก็งงตัวเองเหมือนกันขอบคุณมากครับ คุณลุง pco
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ตุลาคม 2014
  17. อุดรธานี

    อุดรธานี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +69
    คุณลุงpcoครับ แล้วมีวิธีไหนบ้างครับที่จะทำลายนิสัยสันดานที่เป็นพาลปถุชลอยู่ในตนเอง ไม่ให้กำเริบผมทำตามที่หลวงพ่อท่านสอนหลายวิธีแต่ก็ไม่สำเร็จชะที่ ขอมัดเด็ดๆๆ ชักหมัดหน่อยครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับย่างมากผมก็ได้แค่ยับยังมันชั่วคราว
     
  18. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    เอางี้หากเอาอย่างพระเดชพระคุณหลวงพ่อหากว่าเป็นนักบวช หากมีอาการแบบที่ว่ามา ท่านก็ให้เอามือคลำหัวตัวเอง ว่าหัวเรามันไม่มีผม ไม่เหมือนชาวบ้านเขา ชาววัดต้องคิดพิจาระณาแบบชาววัด ชาววัดจะไปคิดแบบชาวบ้านไม่ได้

    อีตอนผมเป็นนักบวชก็ต้องคลำหัวตัวเองแทบทุกวัน ว่าหัวตัวเองมันไม่มีผม จะไปคิดงานการแบบอาชีพไม่ได้ ทำงานทุกอย่างขนาดหนักแค่ใหนก็ไม่ประกอบไปด้วยลาภยศสรรเสริญ ทำตามพระธรรมพระวินัย ทำได้ในแบบนักบวชที่จะต้องทำด้านคันถะธุระ

    รักพ่อรักแม่ ปู่ย่า ตายาย ลูกเมีย หมู่คณะญาติมิตร รักมากอย่างไรก็รักแบบนักบวชที่ต้องรักในแบบพรหมวิหาร จะไปช่วยทำไร่ไถนาไม่ได้ ไปช่วยทำมาหากินแบบชาวโลกไม่ได้ ทำได้ไม่เกินพระวินัย

    รักเมียให้ตายยังไงก็เข้าไปประคับประคองไม่ได้ ใจก็ประคองแบบชาวโลกไม่ได้ ไม่มีคนเห็นแต่เทวดาเห็น เทวดาบางองค์อาจจะนั่งลูบหนวดดูเราอยู่ ใจก็ต้องกลับไปดูคุณสมบัติตัวเอง กลับไปดูบุญทานกองการกุศลทั้งปวงของเราเอง เราก็จะค่อยๆเห็นว่าเพราะบุญทานของเรายังด้อย ยังน้อย คนในปกครองของเราเขาถึงมีสภาพแบบนี้

    แหมจะเล่าให้ฟังเรื่องนี้ อีตอนแชร์คุณท่านชม้อยแตก ผมก็โดนเลขท้ายสามตัวกับเขามั่ง ไม่ได้อะไรกับเขาเรื่องแชร์ แต่ของผมมันธุระกิจอุตสาหกรรมที่ร่วงกันระนาวในตอนนั้น ก็ต้องเผ่นไปบวชตั้งหลัก ลูกหลานหลวงพ่อก็ถอยกันกระจายอีตอนนั้น บวชเป็นพระอยู่ขณะนี้ก็หลายองค์

    อีตอนจะไปบวชก็ตั้งใจว่าจะไปตายเล่นโก้ๆสักชาติ ตายแบบเท่ๆคือเข้าป่าหาถ้ำได้เหมาะๆก็จะไม่ออกมา แบบพ่อปู่โกมารภัทร์นั่นตั้งใจแบบนั้นที่จะตายเพราะสู้ชาวโลกเขาไม่ได้

    หนอยทั้งประเทศผมทำท่าจะสู้ใครเขาไม่ได้ในเรื่องการประกอบอาชีพดำรงค์ชีวิตขอเอาแค่ทุกคนมีกิน มีใช้แค่พอเพียงแบบบ้านๆ คือถ้าเป็นการรบสมัยก่อนก็คือยอมวางดาบแล้ว แล้วยอมให้ข้าศึกเอาไปตัดหัวทิ้ง หรือเอาหัวมาทำตะกร้อเตะเล่นแก้ว่างได้เลย ขออย่างเดียวคืออย่ากระทำทารุณกรรมคนที่เหลือนั้น ใจมันคิดไปนั่น

    ตายแล้วเดี๋ยวกลับมาโซโล่ต่อ จะเดี่ยวลาวดวงเดือน หรือเขมรไทรโยคค่อยว่ากัน

    ทีนี้อีตอนจะไป วันที่จะไปคือก่อนวันลอยกระทงปี 2528 สองสามวัน ก่อนไปก็อยากจะกราบร่ำลาบรรดาคุณภรรยาที่เขาอุตส่าห์เคราะห์ร้ายมารักผมอีตอนนั้น ตอนแรกไปหารองอันดับหนึ่งก่อนอยู่แถวๆนางนากิโลแปด นี่อดีตนางนพมาส ตอนนั้นเขาท้องประมาณเจ็ดเดือน

    แล้วก็รองอีกหลายรอง อยู่ติวานนท์นี่ก็อดีตนาวสาวนพมาศแต่คนละปี อยู่ท่าน้ำนนท์ อยู่รัตนาธิเบตเอาละพอเหอะ เอาเป็นว่าหลายรอง ก็ไปอยู่กับเขา เพื่อร่ำลาเขาโดยที่แต่ละคนไม่รู้ตัวเลย

    ความรู้สึกนี่เข้าใจเลยว่า คนที่จำเป็นจะต้องตาย คนที่ไม่มีโอกาศที่จะสู้ ที่จะแก้ตัว แล้วภาระข้างหลังอีกคณานับนั้นมันต้องยอม มันต้องตัดใจ ไม่เคยน้ำตาร่วงมากมายแบบนี้ก็ต้องร่วงต้องร้อง ไม่ใช่ร้องเพราะกลัวจะตาย แต่ร้องด้วยสงสารคนที่จะอยู่ข้างหลัง ลูกเล็กๆก็หลายคน กอดเมียทีละคน กอดทีละสองคน จะกอดทีละสามคนมันก็ไม่ได้มันมีแค่สองแขน อยากจะร้องแงๆ ก็ไม่ได้เพราะไม่ต้องการให้เขารู้ตัว แต่ละคนมองตาแป๋วไม่รู้เลยว่าเรากล้ำกลืนอย่างไร

    โอยพอเหอะชักพะอืดพะอมตัวเอง ไอ้แก้วเล็กผมนั่งอยู่ด้วยนี่แทนที่จะน้ำตาร่วงพราวๆแบบตอนนั้น นั่งพิงอยู่ข้างๆนี่หัวเราะคิก สำนวนโก้ฮับของผมอยู่นี่ แหมทีอีปีนั้นพากันร้องแงๆ อ๋อแกบอกตอนนั้นยังเด็กกันอยู่นี่ ตอนนี้แก่กันแล้วแกบอกเชิญตายได้ตามชอบใจ

    เอาละก็มาเข้าเรื่องว่ากำลังใจในการให้ทาน หากว่าเหตุการณ์มันมาถึงอารมณ์มันถึง มันจะเข้าใจ ว่าการให้ทานด้วยศรัทธาที่เรียกว่าแรงกล้ามันเป็นอย่างไร ทานคือการเสียสละ หากไม่สละไม่มีทางได้สิ่งที่ปรารถนามา หากต้องการแค่ความสุขในการดำรงชีวิตเราก็ต้องออกไปทำงานหาสตางค์ บางทีต้องไปไกลต่างจังหวัด ต่างประเทศก็มี อย่างคนที่เดินเรือสมุทรต้องเสียสละเวลาจากคนอันเป็นที่รักไปทั้งนั้น

    ชาวประมงหากไม่ออกเรือหาปลาไปเป็นแรมเดือนก็ไม่ทางได้ปลาเอาไปขายเพื่อได้สตางค์กลับมาให้กับลูกเมีย รักเมียให้ตายอย่างไรก็ต้องจำใจจากไป จะชั่วคราวจะค้างคืนก็ต้องไป

    นี่ที่เรียกว่าต้องเสียสละอย่างหนึ่งอย่างใด ไม่งั้นไม่มีวันได้ในสิ่งที่ปรารถนากลับมา

    เพราะฉะนั้นคนที่รู้ตัวว่าตัวเองปรารถนาในพระโพธิญาณนั้นรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งก็ต้องสละทุกอย่างให้เป็นทาน เพื่อความสมบูรณ์บริบูรณ์ที่ไม่ต้องเป็นหนี้ใดๆในวัฏสงสารอีกต่อไป นั่นเป็นการสละกันในขั้นสูงสุดที่เป็นสูตรตายตัวสุดแต่ว่าของท่านใดจะมาถึงเมื่อไร


    ฟังเพลงแก้ว่างเดียวมาต่อครับ


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=AJOWcJDWJ2I"]??????????? ?????? THE OVERTURE - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 ตุลาคม 2014
  19. (-*-)

    (-*-) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    666
    ค่าพลัง:
    +1,065
    จะชำระ "นิสัยสันดานที่เป็นพาลปถุชลอยู่ในตนเอง"

    ถ้านิสัยสันดาน มันออกมาเกินจากความนึกคิด คือ มีการแสดงออก ในท่าทางทางกาย
    แสดงออกทางวาจาคำพูด

    ก็ใช้ ศีล ชำระ

    ศีลมีหลายระดับ .. ตั้งแต่ขั้นเบื้องต้น การระงับความชั่วแล้ว

    เมื่อรักษาให้มั่นคงดีจะเข้าสู่การต่อยอดไปขั้น สมาธิ
    อย่างที่พระท่านว่า ศีล ก่อให้เกิด สมาธิ

    ซึ่ง ศีล ในขั้นที่มั่นคงแล้ว จะก่อให้เกิดความสงบเสงียบ กาย วาจา และใจ

    ดังนั้นจึงกล่าวว่า ศีล ชำระ "นิสัยสันดานที่เป็นพาลปถุชลอยู่ในตนเอง"

    ส่วน ปัญญา นั้น จำเป็นในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ ศีล สมาธิ วิปัสสนา
    เพื่อให้มั่นคง ตั้งมั่น และก้าวหน้าในขั้นที่สูงขึ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2014
  20. อุดรธานี

    อุดรธานี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +69
    ขอบคุณลุง pco ครับ ไอ้เรื่องครอบครัวผมก็เหมือนกันพอเวรกรรมเก่าผีซ้ำกรรมชัดมาถึง บ้านก็แทบแตก คนโน้นจะเอาอย่างนั้น คนนี้จะเอาอย่างนี้ เงินที่หามาได้ส่งให้ก็ไม่พอใช้ คุณภรรยาก็จะใช้แม่ยายก็จะเอา พี่สาวแม่ยายก็จะเอา คณะญาติก็จะให้ช่วย แล้วแม่ของเราได้ส่งให้ท่านนิดเดียว[/COLOR] ไอ้เงินที่เราหามาได้ก็มีแค่นี้บุญกรรมของเราเขาให้มาแค่นี้ ก็แบ่งกันไป ไอ้เราก็มีแค่สองแขนสองขากับหนึ่งใจมันก็ได้แค่นี้ ไม้ได้มีสิบมือสิบขาอย่างทศกัณที่ได้ทำงานหลายย่างพร้อมกันได้ ถ้าผมมีเงินเป็นหมื่น เป็นล้าน ผมจะไรแจกประเคนให้ถึงที่จะได้ไม่เถียงกัน ส่วนของเราที่มันน้อยก็ยอดกระบุกเก็บไว้พอต่อ ยอดบุญของเราต่อไป บ้างที่ทะเลาะกันมากๆ ผมก็อยากหนีเข้าไปอยู่ป่าตายดาบหน้าให้รู้แล้วรู้รอดไป ตายแรวก็อย่าเอามันไปบำเพ็ญกุศลเลยปล่อยให้เน่าให้แร้งให้กามันกิน อย่างว่าหล่ะผมก็คิดไปเรื่อย เหมืนคุณลุงpcoว่าoนั้นแหล่ะครับไอ้เรามันทำบุญทำทานมาน้อยเลยเป็นอย่างนี้ ที่สิ่งดีเอาให้ก็ไม่รู้จักพากันทำได้แล้วก็พาเก็บไว้บนหิ้งไม่รู้จักพากันเอามาทำ ผมก็บ่นไปเรื่อยหล่ะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...