เรื่องเด่น ทรงฌาณขณะหลับจะดีมาก..

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ ชาวพุทธ, 22 ตุลาคม 2017.

  1. โพธิสัตว์ ชาวพุทธ

    โพธิสัตว์ ชาวพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    5,297
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,273
    ค่าพลัง:
    +9,528
    ทรงฌาณขณะหลับจะดีมาก..
    โอวาทหลวงพ่อฯ เล่ม 2 หน้า 11

    12345 -พลังจิต.jpg

    จงทราบว่า ขณะที่ภาวนาอยู่ ถ้าจิตไม่เข้าถึงฌานสมาบัติจะหลับไม่ได้เลย
    ถ้าภาวนาไปๆนานเกินไปมันหลับไม่ลงก็เลิก ปล่อยจิตคิดไปตามอารมณ์
    ช่างมัน มันจะไปไหนก็ช่างมัน เดี๋ยวมันก็หลับ
    ถ้าเผอิญเราภาวนาไป เราก็คิดว่าจะภาวนาสัก ๑๐ – ๒๐ – ๓๐ หรือ ๑๐๘ ก็ตาม ถ้าภาวนาไปครั้งสองครั้งสามครั้ง มันจะหลับต้องปล่อยเลย
    จงทราบว่า ถ้าเริ่มภาวนาพอจิตจะเคลิ้มหลับ ตอนที่จิตจะเคลิ้มหลับ
    เป็นอุปจารสมาธิ ถ้าอุปจารสมาธิละเอียด ถ้าจิตเข้าถึงปฐมฌานจะตัดหลับทันที
    ถ้าเป็นได้อย่างนี้ก็ควรจะภูมิใจมาก
    สมมุติว่า ถ้าภาวนา พุทโธ หรือ นะ มะ พะ ธะ พอนึกว่า พุท ไม่ทัน โธ หลับ นะ ไม่ทันพะ หลับ เอ ชักยุ่งแล้ว แต่ความจริงควรจะภูมิใจว่า ดี
    นี่แหละจิตเข้าถึงฌานเร็ว เพราะการฝึกสมาธิ เราต้องการให้จิตเข้าถึงฌานให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
    อย่าไปนึกว่าขี้เกียจเสียแล้วนะ คงไม่เป็นเรื่อง
    ไม่ใช่อย่างนั้นนะมันเป็นผลดี
    คือ พุท ไม่ทัน โธ หลับ แสดงว่าพอ พุท จิตเข้าถึงปฐมฌานก็ตัดหลับ นี่พระพุทธเจ้าต้องการแบบนี้
    ถ้า นะ ไม่ทัน พะ หลับ อันนี้จิตเข้าถึงฌาน
    อย่างนี้ต้องการมาก และขณะที่กำลังหลับเพราะฌานสมาบัติ
    อย่างนี้ต้องทราบเลยว่า หลับเพราะสมาบัติ ขณะที่หลับอยู่ ท่านถือว่าเป็นการทรงฌานตลอดเวลา จนกว่าจะตื่น ถ้าขณะที่ท่านภาวนาแล้วหลับโดยจิตท่านไม่ตั้งอยู่ที่นิพพาน
    ถ้าตายเวลาหลับไปพรหมโลกทันที
    เพราะคนที่ตายขณะทรงฌานอยู่ไปพรหมโลก



    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 ตุลาคม 2017
  2. madeaw23

    madeaw23 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +188
    กราบสาธุครับ
     
  3. pisces2018

    pisces2018 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +37
    กระทู้นี้ผมก็เพิ่งจะเคยเจอเมื่อเร็วๆ นี้ แต่เห็นว่าเป็นประสบการณ์ที่คล้ายกันกับที่หลวงพ่อบอกจึงนำมาลงไว้เพื่อพิจารณาและเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่อาจจะมีประสบการณ์คล้ายๆ กัน

    ก่อนหน้านี้ประมาณปีพ.ศ. 2528 ผมได้ศึกษาธรรมและอานาปานสติตามแนวทางของท่านพุทธทาส ก็พอตามลมหายใจอะไรได้แล้ว (ส่วนใหญ่ความรู้ทางปริยัติผมก็จะศึกษาของท่านพุทธทาสเทียบเคียงกับพระไตรปิฎก ท่านจะสอนไว้เยอะมากแต่จะเน้นเรื่องขันธ์ 5, ไตรลักษณ์, อริยสัจ 4 แล้วก็มีอานาปานสติ 16 ขั้นสมบูรณ์แบบ, สมถกรรมฐาน แรกๆ ก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่พอหลายๆ ปีได้กลับไปทบทวนรอบ 3-4 ก็เข้าใจรายละเอียดที่ท่านอธิบายไว้ได้ลึกซึ้งขึ้น) พอมาประมาณปีพ.ศ. 2534 จำได้ว่าก่อนหลวงพ่อฤาษีฯ ท่านจะมรณภาพไม่นานนักที่ได้มาเจอและสนใจในหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน (เล่มสีเขียวอ่อน) ของหลวงพ่อฤาษี ก็รู้สึกว่าทำให้เข้าใจเรื่องกรรมฐานมากขึ้นจากเดิม ก็ได้ลองปฏิบัติในแบบภาวนาพุทโธคู่กับการรู้ลมหายใจเข้าออกตามอานาปานสติตามที่มีพื้นฐานเดิมจากแบบสวนโมกข์ แต่ก่อนหน้านั้นสมาธิก็ไม่ยังไม่ค่อยพัฒนามากอาจจะเป็นเพราะช่วงนั้นไม่ได้เน้นเรื่องสมาธิเป็นหลักก็เลยทำแบบสบายลองผิดลองถูกไปเรื่อย

    หลังจากที่ได้อ่านและทดลองตามแบบของหลวงพ่อฤาษีฯ ก็รู้สึกว่าถูกกับจริตตัวเอง และได้ลองนั่งสมาธิในแบบอุกฤษฎ์ตายเป็นตายตามที่ได้อ่านมา ในช่วงปีพ.ศ. 2534 ที่ได้ฌานช่วงแรกๆ (น่าจะนั่งอยู่นานเหมือนกันประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง ตอนนั้นเหงื่อท่วมตัวและปวดเมื่อยร่างกายจนรู้สึกว่าจะไม่ไหวแล้ว) จนความรู้สึกปวดเมื่อยถึงที่สุดจะเห็นตรงกลางอกเป็นช่องกลวงๆ ขาวโพลนเหมือนหิมะเหมือนตัวกำลังจะละลายหายไป มีไอเย็นแผ่ซ่านทั่วตัว (พอมาพิจารณาดูภายหลังจากที่มีประสบการณ์มากขึ้นแล้วอาการนั้นก็น่าจะเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างฌาน 3 กับฌาน 4 กายเริ่มละลายหายไปแต่ยังเกิดไม่สมบูรณ์) และเกิดความสุขเย็นแผ่ซ่านทั่วตัว อาการนั้นจะเกิดต่อเนื่องไปอีกประมาณ 7 วัน (ใจจะมีความสุขเย็นอย่างบอกไม่ถูก จะนั่งยิ้มคนเดียวทั้งวันเหมือนคนบ้าไม่ค่อยอยากจะทำอะไร) หลังจากนั้นก็ได้ปฏิบัติบ้างแต่จะขึ้นๆ ลงๆ ไม่ได้ต่อเนื่องแต่ก็ไม่ได้ทิ้งเสียทีเดียว

    พอมาช่วงปีพ.ศ. 2546 ได้เริ่มตั้งใจนั่งสมาธิแบบเป็นเรื่องเป็นราวน่าจะ 3-4 เดือนจำแน่นอนไม่ได้แต่รู้ว่าเวลาปกติจิตจะทรงสมาธิได้เรื่อยๆ ถ้านั่งสมาธิจิตก็จะอยู่ประมาณฌาน 1-2 เรื่อยๆ อาจจะฌาน 3 บ้างนานๆ ที ก็มีอยู่คืนหนึ่งเวลาประมาณตี 3 ขณะนอนหลับอยู่ๆ จิตก็ตื่นแล้วรู้สึกว่าเหมือนมีแสงสว่างในหัวสีเหลืองอ่อนๆ รู้สึกอบอุ่นเบาสบายเหมือนแสงแดดยามเช้า ตอนแรกก็ยังนึกว่าเช้าแล้วแดดออกแล้วเหรอแต่ก็รู้ว่าตัวเองนอนอยู่ท่าไหนก็รู้ สักพักพอรู้สึกตัวลืมตาว่าจะมองหาแสงแดดที่หน้าต่างก็เจอแต่ความมืดควานหานาฬิกามาดูถึงรู้ว่าเพิ่งจะตี 3 เอง

    ช่วงปีพ.ศ.2547-48 ช่วงเย็นหลังจากอาบน้ำเสร็จใจสบายก็กะจะเอนตัวนอนเล่นพอเอนตัวได้สักพักไม่เกิน 1-2 นาทีอยู่ๆ จังหวะหายใจก็เร็วแรงขึ้นเหมือนร่างกายจะปั๊มอากาศเข้าออกแรงๆ อยู่ 4-5 ครั้งจิตก็ดิ่งวูบลงเป็นสมาธิเลย ปรากฏเป็นภาพเหมือนม่านน้ำใสๆ ผสมม่านอากาศบางเบาอยู่ตรงหน้า แต่ไม่ได้อึดอัดอะไร พอเริ่มนึกสงสัยว่าคืออะไรก็เห็นเป็นคลื่นวิ่งเป็นระลอกจากซ้ายไปขวาเหมือนมีตัวอะไรวิ่งผ่านหน้าแต่ไม่เห็นตัว จิตก็เลยถอนจากสมาธิ ก็นึกเสียดายอยากอยู่ในอาการนั้นนานๆ เพราะรู้สึกว่าจิตมันเบาสบาย ภาพนิมิตที่เป็นม่านน้ำม่านอากาศที่ปรากฏนั้นก็น่าจะราวๆ 10 วินาที

    หลังจากที่เห็นแสงนั้นได้ไม่นานเวลานอนหลับบางคืนก็จะรู้สึกคล้ายๆ กึ่งฝันว่านอนอยู่แล้วร่างกายโดนลมหอบขึ้นลงอย่างแรง ดูดขึ้นดูดลงความสูงน่าจะประมาณ 3-5 เมตร ตอนแรกก็ตกใจว่ามันคืออะไร ช่วงแรกจะเป็นห่างๆ ประมาณ 15-30 วันจะเป็นสักครั้ง แต่พอเป็นบ่อยเข้าก็เริ่มสังเกตได้ว่ามันเกี่ยวกับลมหายใจเข้าออกของเราเอง ก็เลยคิดหาวิธีว่าจะควบคุมอาการนั้นได้อย่างไรโดยลองผิดลองถูกไปเรื่อย เคยลองหาอ่านในเว็บก็ไม่ค่อยเจอใครอธิบายใกล้เคียงกับที่ตัวเองเจอ

    ขอย้อนกลับไปก่อนหน้าที่จะเห็นแสงนั้นโดยปกติตอนเอนตัวนอนก็จะภาวนาพุทโธกำหนดลมหายใจเข้าออกที่ท้องหรือปลายจมูกแล้วแต่ถนัด(แต่ของผมกำหนดไว้ที่ท้อง) ไม่เกิน 3-5 นาทีก็จะหลับ (บางทีก็แป๊บเดียวหลับเลย วิธีนี้ทำให้หลับง่ายก็เลยใช้มาจนทุกวันนี้) ถ้าฝึกกำหนดลมแบบนี้เรื่อยๆ เป็นปกติประจำ ส่วนใหญ่หลังจากหลับประมาณ 15 นาทีเวลาจิตตื่นจะไม่รู้สึกอึดอัดแต่จิตจะเบาสบายเป็นสมาธิเล็กน้อยเพราะกายกับจิตแยกกันได้สมบูรณ์เพียงแต่กายเนื้อกับกายลมยังซ้อนกันอยู่ นอนแขนขาอยู่ท่าไหนก็จะรู้ จะเป็นลักษณะกึ่งฝันกึ่งรู้สึกตัวแต่จะมีสติรู้ตัวชัด ช่วงแรกๆ อาจจะกึ่งฝันว่าตัวนอนอยู่แล้วโดนลมหอบตัวขึ้นลงเร็วและแรง ก็ไม่ต้องตกใจกลัวเป็นอาการที่เหมือนจิตตื่นแล้วแยกออกจากกาย แต่เรายังไม่ได้ฝึกควบคุมการหายใจเข้าออก ให้กำหนดดูที่ลมหายใจแล้วปรับให้หายใจเข้าออกเบาลงและช้าลง แต่อาจต้องใช้เวลาเป็นปีหรือ 2-3 ปี ขึ้นอยู่กับว่าอาการจิตตื่นเกิดบ่อยหรือเปล่า แรกๆ อาจจะเกิดห่างๆ เดือนละครั้ง แล้วค่อยถี่ขึ้นเป็นสัปดาห์ละครั้ง (ส่วนตัวเท่าที่สังเกตุดูประมาณ 500 ครั้งจะเกิดคืนที่จะเข้าวันโกนเสีย 80-85% วันพระไม่ค่อยเป็นไม่เกิน 1% ถ้าช่วงสมาธิดีๆ เกิดถี่หน่อยก็อาจจะ 2-3 วันครั้ง) อาจจะเกิดภาพนิมิตเห็นกายตัวเองลอยอยู่ในท่าต่างๆ หรือเห็นพระพุทธรูปลอยอยู่ก็ไม่ต้องกลัว จะเป็นพื้นฐานในการฝึกในขั้นต่อไป (ช่วงแรกๆ ก็อาศัยนิมิตเหล่านี้ที่ลอยอยู่ฝึกควบคุมให้หมุนตามเข็มหรือทวนเข็มนาฬิกา ตอนแรกก็นึกว่าฝันธรรมดา แต่ลองกำหนดให้ภาพนิมิตหมุนไปหมุนกลับอยู่เป็นสิบรอบจึงเริ่มรู้ว่าจิตเราสามารถควบคุมภาพนิมิตเหล่านั้นได้ อาจจะเป็นปฏิภาคนิมิตอะไรประมาณนั้น) อย่างของผมก็อาศัยลองผิดลองถูกอยู่ 4-5 ปีเหมือนกันกว่าจะรู้สึกว่าคล่องตัวขึ้น มันจะเสียเวลาช่วง 2-3 ปีแรกที่ยังไม่รู้ว่าจะกำหนดอารมณ์อย่างไรจะเพ่งอย่างไร พอช่วงกลางๆ ไปแล้วก็จะไปได้เร็วขึ้น แต่ถ้าสรุปให้ฟังอย่างนี้คนที่จิตตื่นได้สัปดาห์ละครั้งก็น่าจะทำได้เร็วภายใน 1-2 ปี พื้นฐานสำหรับอานาปานสติก็ประมาณว่าเวลาปกติหรือนั่งนอนให้รู้ลม-เพ่งลม-ผ่อนลม-ตามลมได้ระดับหนึ่ง คำบริกรรมที่ผมใช้ประจำคือพุทโธ ที่จริงก็อาจจะใช้คำบริกรรมอื่นก็ได้แค่มุ่งหมายจะให้จิตสงบได้เร็วในช่วงแรก ถ้าหากตามลมหายใจได้ดีก็อาจจะไม่ต้อง แต่คำบริกรรมก็อาจจะช่วยให้สังเกตอารมณ์ได้ว่าขณะนั้นจิตถึงอุปจารสมาธิหรือฌาน 1 ถ้าคำบริกรรมหายแสดงว่าจิตถึงฌาน 2 จะปล่อยคำบริกรรมที่หยาบกว่าไปจับลมหายใจแทน ก็จะมีองค์ฌานต่างๆ ประกอบให้สังเกตได้

    วิธีที่จะช่วยให้จิตตื่นและรู้ลมได้ง่ายก็จะมีเทคนิคเล็กน้อยที่พบโดยบังเอิญ คือตอนนอนให้หาพัดลมมาเปิดวางห่างๆ เหมือนมีลมโชยสบายๆ ให้รู้สึกที่ผิวกายแบบเบาๆ ว่ามีลมมากระทบ อย่างของผมลมกระทบที่แขนเบาๆ ก็รู้สึกได้ชัด ตอนจิตตื่นจะรับรู้ได้ที่ผิวว่ามีลมกระทบอยู่ แต่ถ้าหลังๆ ฝึกจนชินแล้วจะมีพัดลมหรือไม่มีก็ได้

    ปกติเวลาจิตตื่นจะรู้สึกเหมือนเป็นกายลมใสๆ ซ้อนกันอยู่กับตัวที่นอนหลับ และอารมณ์เบาสบายรู้สึกตัวชัด ช่วงจังหวะนั้นจะสามารถกำหนดให้จิตหรือกายลมเคลื่อนเข้าออกจากอีกตัวได้ วิธีกำหนดให้จิตเคลื่อนออกก็คือกำหนดความรู้สึกทิ้งร่างกายที่นอนหลับอยู่ไม่ต้องกลัวตายเพราะถ้ากลัวมันจะเคลื่อนออกไม่ได้ ก่อนจิตเคลื่อนออกเราจะรู้สึกได้ว่ามีกายซ้อนกันอยู่สองกาย เมื่อเรากำหนดปล่อยวางกายเนื้อจะรู้สึกเหมือนกายเนื้อค่อยละลายหายไป เมื่อจิต (กายลม) เคลื่อนออกมาแล้วความรู้สึกจะมาอยู่ที่จิต จะไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์กายเนื้อจะรู้สึกเป็นเพียงท่อนไม้แข็งๆ ไร้ค่า เพราะจิตที่เคลื่อนออกมาจะมีอารมณ์ที่เบาสบายกว่ากันเยอะ การกำหนดจิตถ้ากำหนดเพ่งความรู้สึกไปที่กลางท้องกายลมจะลอยขึ้นในแนวนอน ถ้าเพ่งที่เท้าด้านศรีษะจะลอยขึ้น ถ้าเพ่งที่ศรีษะเท้าจะลอยขึ้น คือเพ่งที่จุดไหนจุดนั้นจะหนักและเป็นจุดที่ถ่วงสมดุลย์ของกายลมเวลาจะลอยตัวขึ้น ช่วงแรกที่เริ่มควบคุมได้บ้างก็จะกำหนดให้กายลมผลุบเข้าผลุบออกจากกายเนื้อเป็นสิบครั้งจนเป็นที่พอใจก็จะไปฝึกแบบอื่นต่อ แต่เท่าที่สังเกตดูถ้ากายลมออกห่างจากกายเนื้อเกิน 30-40 ซม.จะลอยออกไปเลยจะบังคับให้เข้ากายเนื้อไม่ได้ (ถ้าใครที่เคยดูหนังดูละครที่เวลาคนตายแล้วมีวิญญาณจะออกจากร่างก็จะใกล้เคียงกัน ถ้าฝึกบ่อยๆ เข้าเราจะพอเข้าใจได้ว่าเวลาคนตายแล้ววิญญาณออกจากร่างก็ไม่ต่างอะไรกับอาการที่กายลมเคลื่อนออกจากกายเนื้อ ถ้าขณะใกล้ตายจิตเราไม่เศร้าหมองและทรงสมาธิได้ดีพอเราก็อาจจะเลือกที่ไปได้ตามสมควรแก่กำลังของเรา)

    ถ้าฝึกเรื่อยๆ ก็จะควบคุมการลอยตัวความเร็วและทิศทางได้ ความเร็วควบคุมที่ลมหายใจ (ความเร็วถ้าจะเปรียบเทียบให้ฟังก็ประมาณว่าเร็วเหมือนเครื่องบินหรือจรวดนั่นแหละ แต่พอเรารู้สึกกลัวว่ามันแรงเกินก็จะผ่อนให้ช้าลง) หายใจออกช้า-เร็วก็จะลอยในทิศทางขึ้นช้า-เร็ว หายใจเข้าช้า-เร็วก็จะลอยในทิศทางลงช้า-เร็ว ทิศทางซ้าย-ขวา-หน้า-หลัง-ขึ้น-ลงให้กำหนดโดยการเพ่งความรู้สึกไปในทิศที่ต้องการจะไป (ช่วงหลังถ้าไม่รู้สึกถึงลมหายใจก็กำหนดเพ่งความรู้สึกไปในทิศที่ต้องการไป แต่จะมีข้อสังเกตอย่างหนึ่งถ้าวันไหนที่จิตเราเจืออารมณ์กาม จิต (กายลม) มันจะหนักกำหนดให้ลอยขึ้นไม่ค่อยได้ ต้องใช้อาการเพ่งเยอะแต่มันก็จะขึ้นไปนิดหน่อยแล้วก็ค่อยๆ ลงหรืออยู่กับที่ บังคับให้ไปไหนไม่ค่อยได้ เพราะฉะนั้นอารมณ์ที่เจือกามจะเป็นอุปสรรคสำคัญในการลอยตัวของกายลม) ความรู้สึกอาจจะเหมือนมีลมมารองรับที่ด้านล่างของกายลมพยุงให้กายลมลอยขึ้น แต่หลังๆ ถ้าเกิดบ่อยๆ จนชินแล้วก็อาจจะไม่รู้สึกถึงลมที่รองรับตัวหรือแม้แต่ลมหายใจก็อาจจะไม่รู้สึกแต่ถ้าตั้งใจกำหนดรู้ลมก็อาจจะรู้ได้ เวลาลอยขึ้นไปสูงๆ จิตก็อาจจะสร้างนิมิตรให้เห็นเป็นบ้านเรือนในตอนกลางคืนมีแสงไฟหรือเป็นป่าหรือเป็นก้อนเมฆ ถ้าลอยไปสูงมากๆ ก็อาจจะเกิดภาพนิมิตเป็นดวงจันทร์ เป็นเสียงสวดมนต์ เสียงดนตรีสมัยโบราณและมีเสียงผู้หญิงร้องเพลงจะร้องเกี่ยวกับเรื่องราวธรรมะ บางทีลอยไปเห็นเป็นบ้านเรือนก็อยากจะลงไปสำรวจ ผู้คนก็แปลกๆ ไม่เคยเห็น บางทีจิตเราจะรับรู้ได้เองว่าคนที่เราไปเจอมีพลังงานดีหรือร้าย บางครั้งจะสื่อสารกันด้วยภาษาจิต บางหมู่บ้านก็มีหัวเป็นสัตว์ต่างๆ เหมือนเป็นเมืองลับแลอะไรประมาณนั้น บางทีก็เจอผีในรูปคนปกติแต่จิตจะรับรู้พลังงานไม่ดีที่แผ่มาแต่ไกลได้ ถ้ารู้ว่าพลังน้อยกว่าก็จะหลีกเลี่ยงการปะทะ บางทีลอยๆ ไปเหมือนมีคนพาไปทัวร์นรกแต่ละขุมแล้วก็มีเสียงผู้หญิงอธิบายประกอบว่านรกแต่ละขุมเรียกว่าอะไรก็ลอยตัววนดูไปเรื่อยจนครบ เหมือนพาไปดูนิทรรศการ แถมตอนจะจากมาก็มีคำกล่าวขอบคุณที่มาเยี่ยมชมอีก บางทีก็ลอยขึ้นไปสูงมีเสียงบอกเป็นระยะว่าผ่านสวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ มีเสียงเหมือนคนเยอะๆ สวดมนต์อยู่ในโถงประชุมใหญ่ๆ และอื่นๆ อีกมากมาย

    ขอเสริมอีกนิดนึง ช่วงหลังจากที่ฝึกการลอยตัวจนชินแล้ว บางทีเจอนิมิตเป็นน้ำเป็นทะเลคลื่นลมแรงๆ ก็ตามก็ลองลอยลงไปในทะเลแล้วดำลงไปน้ำเลยก็สามารถอยู่ใต้น้ำเห็นอะไรได้ปกติ จะรู้ว่ากำลังอยู่ในน้ำน่ะแหละแต่ไม่รู้สึกอึดอัด จิตของเราเคยชินว่าลงน้ำแล้วอาจจะหายใจไม่ออกเลยกลัว ทำใจให้กล้าๆ แล้วดำลงไปเลย การเดินทะลุกำแพงหรือผนังหรือวัตถุอื่นก็เหมือนกันวางความรู้สึกเดิมๆ ทำใจให้กล้าๆ แล้วเดินฝ่าออกไปเลยจะทะลุผ่านไปได้ แรกๆ ตอนลอยไปเห็นช่องประตูหน้าต่างกลัวจะชนต้องคอยหลบหลีกออกตามช่องแต่ที่จริงทำใจให้กล้าๆ แล้วก็จะทะลุผ่านไปได้ บางทีก็เห็นตัวเองกำลังขับรถยนต์อยู่ก็ลองกำหนดความรู้สึกให้ทั้งคนและรถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวก็จะลอยขึ้นไปได้ทั้งคนและรถได้เหมือนกัน ก็ทดลองฝึกเล่นไปเรื่อยๆ ตามสถานการณ์ แต่ถ้าเป็นความฝันล้วนๆ ภาพมันจะเบลอๆ กว่าตอนที่เรามีสติกำกับอยู่ และเราจะไม่รู้สึกตัวจึงไม่คิดว่าจะทดลองกำหนดเพ่งนั่นเพ่งนี่

    จิตจะเนรมิตภาพขึ้นมาเองไปบังคับไม่ได้ บางครั้งจิตจะสร้างสถานการณ์ต่างๆ เป็นเหมือนบททดสอบอารมณ์ของเราเองว่าโลภโกรธหลงมากน้อยแค่ไหน บางครั้งก็ลองเดินนับก้าวดูเล่นๆ แรกๆ ก็นับได้ไม่ถึง 10 หลังๆ เคยนับได้ถึง 180 ก้าวๆ ละ 1 วินาทีโดยไม่เผลอ เลยรู้ว่าอยู่ในสภาวะกึ่งฝันแบบรู้ตัวได้ 180 วินาที บางครั้งก็อาจจะเห็นกายลมย้อนกลับทางเดิมเหมือนกรอวิดีโอถอยหลังมาซ้อนที่กายเนื้อหลังจากออกไปท่องเที่ยวและรู้สึกตัวตื่น อาการนี้จะกินระยะเวลานานเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับการเพ่งของเรา ถ้าเพ่งมากไปก็อาจจะตื่นภายใน 1-2 นาที ถ้าเพ่งเบาๆ ก็อาจจะ 3-5 นาที แต่ถ้าอยากให้เข้าไปอยู่ในความฝันแบบเต็มโดยที่ไม่รู้ตัวเลยก็สามารถทำได้ โดยการคลายการเพ่งหรือละลายความรู้ตัวก็จะจมเข้าสู่ความฝันโดยสมบูรณ์ จะควบคุมระยะเวลาไม่ได้ต้องไปตามความฝันล้วนๆ เว้นเสียแต่ในความฝันถ้าจังหวะไปเพ่งวัตถุบางอย่างแล้วจิตรวมเป็นสมาธิอีกก็จะกลับมารู้ตัวได้อีก ถ้าวันไหนจิตตื่นร่างกายจะเหมือนได้ชาร์จแบตสัก 60-70% แม้ว่าจะเพิ่งหลับได้เพียง 20-30 นาทีจะเหมือนได้นอนหลับสัก 3-4 ชั่วโมง...

    คนเราเวลาจะตายหรือเจอผีแบบกระทันหันจนตกใจจะนึกอะไรไม่ออกเลย ขนาดคาถาชินบัญชรที่ท่องสวดได้จนขึ้นใจจะนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก สุดท้ายต้องกลับมาใช้คำบริกรรมพุทโธอยู่กับลมหายใจง่ายสุดแล้ว (คำบริกรรมพุทโธจะเป็นอารมณ์หยาบให้จิตยึดเหนี่ยวได้ง่าย ขณะที่การตามดูลมหายใจถ้าเราฝึกประจำจะบังคับให้ลมหายใจกลับสู่สภาวะปกติได้เร็วอาการตกใจก็จะระงับได้เร็ว) เคยเจอประสบการณ์อยู่ครั้งหนึ่งประมาณปีพ.ศ. 2549 ตอนนั่งรถทัวร์จากภูเก็ต กลับกทม. กำลังนั่งหลับอยู่ๆ ก็จิตตื่นเห็นตัวเองนั่งหลับอยู่ และในจิตเห็นมีพลังงานสีดำมันวาวคล้ายๆ พลาสติกเข้ามาพยายามที่รวบรัดที่บริเวณหัวใจ ขณะที่รวบๆ เข้ามาก็จะรู้สึกอึดอัดความรู้สึกตัวจะน้อยลงเรื่อยๆ กินเวลา 5-10 วินาที จะรู้สึกเหมือนเป็นพลังงานบางอย่างที่มีชีวิตหรือใครบางคนพยายามจะเข้ามาควบคุมสติสัมปชัญญะของเรา ก็เลยพยายามจะนึกบทสวดคาถาชินบัญชรแต่ช่วงนั้นก็รู้สึกตกใจกลัวเพราะเกิดแบบกระทันหันนึกบทสวดอย่างไรก็นึกไม่ออก จนรู้สึกว่ากำลังโดนครอบงำความรู้ตัวไป 90-95% แล้ว ขณะที่ความรู้สึกกำลังจะดับวูบลงอยู่ๆ ก็นึกพุทโธได้เอง (เหมือนคำบริกรรมพุทโธผุดขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติอาจจะเพราะความเคยชินของจิต) และดูที่ลมหายใจภาวนาได้ 2-3 ครั้ง จังหวะนั้นก็รู้สึกสว่างวาบที่ใจ เห็นพลังงานสีดำที่ห่อหุ้มใจอยู่ค่อยๆ คลายออกจนหายไป จึงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาได้ ก็ยังงงๆ ว่าสิ่งนั้นเค้าเรียกว่าอะไร แต่ไม่ได้เพี้ยนแน่นอน เพราะมีสติรู้สึกตัวและเห็นจากมโนภาพได้ชัดเจน...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2018
  4. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    เรื่องคำภาวนาผุดมาเองผมก็มีเหมือนกันครับ จะมีมาเป็นช่วงๆ ถ้าช่วงไหนอสุรกายมาหามันจะต้องมีเรื่องตื่นเต้นทุกครั้ง ล่าสุดที่เจอมาผมเดินสวนผู้หญิงกลางคนๆหนึ่งที่เดินมากับหมู่คณะเขา2-3คน แต่จิตเราบอกว่ายายหัวหน้านี่แหละ อสุรกาย

    แค่จิตนึกรู้ทันมันแค่แว๊บแรกเท่านั้น มันหันหน้าลอยมาจะทับอกผมทันที ด้วยตกใจและจวนตัวสุดขีด สิ่งที่จิตมันนึกคำภาวนาขึ้นมาเองคือ "สัมปะจิตฉามิ" ไม่รู้คำนี้มันมาได้ไง จิตก็ตะบี้ตะบันสวดคำนี้ไปพร้อมกับยายอสุรกายที่เอามือแหลมๆมาจี้ตรงอก แปลกคือจิตผมสวดบทนี้ขึ้นมาเอง แล้วผมก็ดันเหาะหนียัยป้านั้นได้เหมือนในหนังเลยล่ะ จนสุดท้ายก็หนีทัน เอ่อ..เล่าซะมันฝันครับฝัน ครึ่งหลับครึ่งตื่นครับ 555
     

แชร์หน้านี้

Loading...