ทานที่ให้ผลมาก และเรื่องของเศรษฐีผู้อยู่ในนรก

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 17 สิงหาคม 2012.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    [​IMG]



    ทานที่ให้ผลมากนับประมาณไม่ได้และเรื่องของเศรษฐีที่อยู่ในนรก

    ในข้อนี้จะเห็นได้ว่าเจตนาในการให้เป็นเรื่องสำคัญมาก จะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าบุญจะได้มาก
    หรือได้น้อยในบางครั้ง

    ทานที่ให้ผลมากนับประมาณไม่ได้

    ในข้อนี้จะเห็นได้ว่าเจตนาในการให้เป็นเรื่องสำคัญมาก จะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าบุญจะได้มาก
    หรือได้น้อยในบางครั้งบุคคลผู้มีเจตนาดีทำบุญกับคนทุศีลได้ไปสวรรค์บุคคลผู้มีเจตนาเสียไปทำบุญกับ
    พระอรหันต์กลับตกนรก เป็นเช่นนั้นได้อย่างไรลองมาศึกษากรณีต่อไปนี้

    ......พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ใน ฉฬังคทานสูตร
    จตุตถวรรคแห่งปฐมปัณณาสก์ อังคุตตรนิกาย ว่า


    " ภิกษุทั้งหลายทานที่ประกอบด้วยองค์ ๖
    คือ องค์ของผู้ให้ ๓ อย่าง องค์ของผู้รับ ๓อย่าง
    องค์ของผู้ให้ ๓ อย่าง ( เจตนา ๓ ) คือ ก่อนให้
    ก็ดีใจกำลังให้ก็มีใจผ่องใส ครั้งให้เสร็จแล้วมี
    ความเบิกบานใจ

    องค์ของผู้รับ๓ อย่าง คือ เป็นผู้
    ปราศจากราคะหรือปฎิบัติเพื่อความไม่มีราคะ
    เป็นผู้ปราศจากโทสะหรือปฎิบัติเพื่อความไม่
    มีโทสะ เป็นผู้ปราศจากโมหะหรือปฎิบัติเพื่อ
    ความไม่มีโมหะ

    ทานที่ประกอบด้วยคุณลักษณะ ๖
    ประการนี้ เป็นบุญใหญ่ นับไม่ได้ ประมาณไม่
    ได้ ยิ่งใหญ่นักเหมือนน้ำในมหาสมุทร นับหรือ
    คำนวณไม่ได้ว่ามีขนาดเท่าใดทานที่พรั่งพร้อม
    ด้วยคุณลักษณะเหล่านี้ ย่อมเป็นที่หลั่งไหล
    แห่งบุญหลั่งไหลแห่งกุศล นำความสุขมาให้
    ให้อารมณ์เลิศด้วยดี มีวิบากเป็นสุขเป็นไป
    พร้อมเพื่อการเกิดขึ้นในสวรรค์ ( มีบุญที่สะสม
    ไว้ดีแล้วมากพอที่จะเกิดในสวรรค์ ) ย่อมเป็น
    ไปเพื่อประโยชน์ที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่น่า
    พอใจ "


    .......ดังนั้น ถ้าเราต้องการทำทานให้ได้บุญมากให้เกิดบุญอย่างจะนับจะประมาณไม่ได้ ก็ควรที่จะประกอบ
    เหตุแห่งทานให้ครบองค์ ๖ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนไว้ข้างต้น ในองค์ ๖ ที่กล่าวมานั้นเป็นส่วน
    ของผู้ให้ ๓ อย่าง เป็นส่วนของผู้รับ ๓ อย่าง ถ้าเราได้ผู้รับที่ดีแต่เจตนาเราไม่ดี บุญย่อมหกย่อมหล่นไป
    แต่ถ้าเจตนาเราดีบุญย่อมเกิดขึ้นเต็มที่

    ในข้อนี้จะเห็นได้ว่าเจตนาในการให้เป็นเรื่องสำคัญมาก จะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าบุญจะได้มาก
    หรือได้น้อยในบางครั้งบุคคลผู้มีเจตนาดีทำบุญกับคนทุศีลได้ไปสวรรค์บุคคลผู้มีเจตนาเสียไปทำบุญกับ
    พระอรหันต์กลับตกนรก เป็นเช่นนั้นได้อย่างไรลองมาศึกษากรณีต่อไปนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2012
  2. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    [​IMG]



    พระราชาทำบุญกับคนทุศีล


    .......สามีภรรยาคู่หนึ่งเป็นคนยากจนมาก หาเลี้ยงชีพด้วยการขอทานเดินทางมาอาศัยอยู่ที่ศาลาแห่งหนึ่ง
    ซึ่งตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองในขณะที่พักอยู่นั้น ภรรยาซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์ เกิดอาการแพ้ท้องอยากจะบริโภค
    อาหารที่พระราชาเสวย จึงอ้อนวอนสามีให้ไปหามาให้บอกว่าหากมิได้บริโภคอาหารที่ต้องการนี้จะต้องตาย
    เป็นแน่แท้ฝ่ายสามีผู้มีกรรมทนคำอ้อนวอนต่อไปไม่ไหว และเกรงว่านางจักตายจึงคิดอุบายปลอมตัวเป็น
    พระภิกษุ และด้วยความที่ปลอมตัวมาใหม่ๆจึงระมัดระวังตัวมาก ดูเหมือนเป็นผู้สำรวม เดินอุ้มบาตรไปใน
    พระราชวังเพื่อรับบิณฑบาต

    ขณะนั้นเป็นเวลาที่พระราชาจักเสวยพระกระยาหารพอดีเมื่อทอดพระเนตรเห็นพระภิกษุเดินด้วยกิริยา
    อาการสำรวมมากเช่นนั้นทรงจินตนาการว่า " ภิกษุนี้มีกิริยาอาการสำรวมน่าเลื่อมใสเป็นหนักหนาคงเป็น
    พระที่ทรงคุณวิเศษสักอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแม่นมั่น "จึงเกิดพระราชศรัทธา ทรงนำพระกระยาหารอันเลิศ
    รสที่จะเสวยใส่ลงในบาตรจนหมดด้วยจิตที่เลื่อมใสยิ่ง

    เมื่อพระภิกษุปลอมรับอาหารแล้วเดินจากไปด้วยความเลื่อมใสอันมีอยู่มากมายในพระทัยของพระราชา
    จึงรับสั่งอำมาตย์คนสนิทให้รีบสะกิดรอยตามไปเพื่อให้รู้ว่าพระท่านมาจากไหน จะไปพักที่ไหนเพื่อว่า
    วันต่อไปจะนิมนต์มารับบาตรในพระราชวังอีก


    .......ฝ่ายพระภิกษุปลอมนั้นเมื่อได้อาหารเต็มบาตรสมความปรารถนาแล้วก็ดีใจรีบเดินไปจนสุดกำแพงพระราชวัง
    เมื่อเห็นว่าปลอดผู้คนแล้วจึงเปลื้องจีวรและสบงออกเป็นเพศคฤหัสถ์ตามเดิมแล้วนำเอาพระกระยาหารนั้น
    ไปให้ภรรยาแพ้ท้องบริโภคตามความประสงค์

    อำมาตย์ซึ่งสะกดรอยติดตามมาได้เห็นพฤติการณ์นั้นโดยตลอดก็บังเกิดความตกใจและสังเวชใจคิดว่า
    มาเจอคนที่ปลอมตัวเป็นพระเสียแล้วนี่ถ้าหากพระราชาทรงทราบเรื่องนี้เข้าจะต้องเสียพระทัยเป็นอย่างมาก
    และผลบุญที่ได้ก็จะตกหล่นไปเพราะอปราปรเจตนา คือ เจตนาหลังจากที่ให้แล้วไม่สมบูรณ์เมื่อคิดดังนี้แล้ว
    ก็เดินทางกลับไปเฝ้าพระราชา

    พระราชาจึงตรัสถามว่า "ได้ความว่าอย่างไร บอกมาเร็วๆ พระนั้นอยู่วัดไหน ? " อำมาตย์จึงใช้กุศโลบาย
    เพื่อรักษาศรัทธาของพระราชาไว้ กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ข้าพระพุทธเจ้าได้สะกด
    รอยตามพระรูปนั้นไปจนออกนอกกำแพงพระราชวัง พอตามไปสุดพระราชวังโน้น ท่านก็หายวับไปทันที "
    ( ในที่นี้หมายถึงหายจากความเป็นพระกลายเป็นคฤหัสถ์ไป )

    พระราชาได้ฟังดังนั้นทรงโสมนัสมาก มิได้ซักความเพิ่มเติมอีกทรงคิดเอาเองว่า " บุญของเราแท้ๆ ที่ได้
    ถวายทานแด่พระอรหันต์ทรงคุณวิเศษท่านเป็นพระอรหันต์จริงๆปาฎิหาริย์หายตัวได้
    ทานที่ได้ถวายท่านในวันนี้มีอานิสงส์มากเป็นทานที่ประเสริฐอย่างแน่ๆ "พระราชาทรงบังเกิดความปีติเบิกบาน
    ใจในบุญที่ได้ทำเป็นยิ่งนัก

    พระราชาพระองค์นี้มีเจตนาทั้ง๓ ระยะครบบริบูรณ์ และมีความเข้าใจว่าปฎิคาหกสมบูรณ์ด้วยองค์๓
    ผลบุญที่ได้จึงมากมาย ส่งผลให้พระราชาเมื่อถึงคราวสวรรคตแล้วได้ไปบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ยิ่งถ้าหาก
    พระรูปนั้นเป็นพระจริงและปฎิบัติตามองค์ของผู้รับ ๓ ได้อย่างสมบูรณ์ผลบุญที่พระราชาได้จะมากมาย
    มหาศาลยิ่งขึ้น เพราะทำทานครบองค์ ๖ซึ่งจะให้ผลมากนับประมาณมิได้


    ส่วนข้อที่ว่าทำบุญกับพระอรหันต์แล้วตกนรกนั้นมีเรื่องเล่าดังนี้


    บุคคลผู้มีเจตนาดีทำบุญกับคนทุศีลได้ไปสวรรค์บุคคลผู้มีเจตนาเสียไปทำบุญกับ
    พระอรหันต์กลับตกนรก เป็นเช่นนั้นได้อย่างไรลองมาศึกษากรณีต่อไปนี้

    ......พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ใน ฉฬังคทานสูตร
    จตุตถวรรคแห่งปฐมปัณณาสก์ อังคุตตรนิกาย ว่า


    " ภิกษุทั้งหลายทานที่ประกอบด้วยองค์ ๖
    คือ องค์ของผู้ให้ ๓ อย่าง องค์ของผู้รับ ๓อย่าง
    องค์ของผู้ให้ ๓ อย่าง ( เจตนา ๓ ) คือ ก่อนให้
    ก็ดีใจกำลังให้ก็มีใจผ่องใส ครั้งให้เสร็จแล้วมี
    ความเบิกบานใจ

    องค์ของผู้รับ๓ อย่าง คือ เป็นผู้
    ปราศจากราคะหรือปฎิบัติเพื่อความไม่มีราคะ
    เป็นผู้ปราศจากโทสะหรือปฎิบัติเพื่อความไม่
    มีโทสะ เป็นผู้ปราศจากโมหะหรือปฎิบัติเพื่อ
    ความไม่มีโมหะ

    ทานที่ประกอบด้วยคุณลักษณะ ๖
    ประการนี้ เป็นบุญใหญ่ นับไม่ได้ ประมาณไม่
    ได้ ยิ่งใหญ่นักเหมือนน้ำในมหาสมุทร นับหรือ
    คำนวณไม่ได้ว่ามีขนาดเท่าใดทานที่พรั่งพร้อม
    ด้วยคุณลักษณะเหล่านี้ ย่อมเป็นที่หลั่งไหล
    แห่งบุญหลั่งไหลแห่งกุศล นำความสุขมาให้
    ให้อารมณ์เลิศด้วยดี มีวิบากเป็นสุขเป็นไป
    พร้อมเพื่อการเกิดขึ้นในสวรรค์ ( มีบุญที่สะสม
    ไว้ดีแล้วมากพอที่จะเกิดในสวรรค์ ) ย่อมเป็น
    ไปเพื่อประโยชน์ที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่น่า
    พอใจ "


    .......ดังนั้น ถ้าเราต้องการทำทานให้ได้บุญมากให้เกิดบุญอย่างจะนับจะประมาณไม่ได้ ก็ควรที่จะประกอบ
    เหตุแห่งทานให้ครบองค์ ๖ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนไว้ข้างต้น ในองค์ ๖ ที่กล่าวมานั้นเป็นส่วน
    ของผู้ให้ ๓ อย่าง เป็นส่วนของผู้รับ ๓ อย่าง ถ้าเราได้ผู้รับที่ดีแต่เจตนาเราไม่ดี บุญย่อมหกย่อมหล่นไป
    แต่ถ้าเจตนาเราดีบุญย่อมเกิดขึ้นเต็มที่

    ในข้อนี้จะเห็นได้ว่าเจตนาในการให้เป็นเรื่องสำคัญมาก จะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าบุญจะได้มาก
    หรือได้น้อยในบางครั้งบุคคลผู้มีเจตนาดีทำบุญกับคนทุศีลได้ไปสวรรค์บุคคลผู้มีเจตนาเสียไปทำบุญกับ
    พระอรหันต์กลับตกนรก เป็นเช่นนั้นได้อย่างไรลองมาศึกษากรณีต่อไปนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2012
  3. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    [​IMG]

    อปุตตกเศรษฐี


    ........ในอดีตกาลครั้งเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี มีเศรษฐีผู้หนึ่งไร้ความศรัทธา
    ทั้งตระหนี่เหนียวแน่นแสนหนักหนา อยู่มาวันหนึ่งเมื่อเศรษฐีจะไปเข้าเฝ้าพระราชาได้เห็น พระปัจเจกพุทธเจ้า
    นามว่า ตครสิขี กำลังเที่ยวบิณฑบาตอยู่ เกิดใจดีจึงสั่งคนรับใช้ให้นิมนต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า ไปรับอาหาร
    ที่บ้านของตนแล้วรีบรุดไปเฝ้าพระราชา ส่วนคนรับใช้นั้นเมื่อนำ พระปัจเจกพุทธเจ้าไปถึงเรือนของเศรษฐีแล้ว
    จึงบอกกับภรรยาเศรษฐีตามคำสั่งที่ได้รับมาทุกประการ

    ฝ่ายภรรยาผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในการทำบุญอยู่แล้วพอได้ยินคำนั้นก็ดีใจว่า " เป็นเวลานานทีเดียว กว่าที่เรา
    ได้ยินคำว่าทำบุญถวายทาน จากปากของเศรษฐี ความตั้งใจของเราจะเต็มเปี่ยมในวันนี้เราจักได้ถวาย
    ทาน " นางจึงรีบจัดแจงโภชนาหารอันประณีตครบทุกอย่างแล้วได้ถวายอาหารอันประณีตแด่ พระปัจเจกพุทธเจ้า
    องค์นั้นฝ่าย พระปัจเจกพุทธเจ้า พอรับอาหารแล้วก็เดินจากไปด้วยสีหน้าเบิกบานผ่องใสเป็นปกติ

    เศรษฐีครั้นเฝ้าพระราชากลับมาแล้วได้สวนทางกับ พระปัจเจกพุทธเจ้า นั้นมีความเข้าใจว่าท่านคงรับบิณฑบาต
    ที่บ้านตนมาแล้ว จึงดูยิ้มแย้มแจ่มใสทำให้สงสัยว่าจะต้องมีอาหารอะไรพิเศษแน่ ว่าแล้วก็ขอดูในบาตรครั้นเห็น
    อาหารในบาตรมีความประณีตมาก จึงเกิดความร้อนใจเสียดายขึ้นมาแล้วคิดในใจว่า " ให้พวกทาสหรือกรรมกร
    กินอาหารนี้ยังดีกว่าเพราะพวกเขากินแล้วจะทำการงานให้เราได้ส่วนสมณะนี้เมื่อบริโภคอาหารอันประณีต
    นี้แล้วก็มิได้ทำการงานใดอาหารที่เราถวายไปจะเปล่าประโยชน์ "เมื่อคิดอย่างนี้จึงไม่อาจจะรักษาเจตนา
    ระยะสุดท้ายให้บริบูรณ์ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2012
  4. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    [​IMG]





    ......อีกคราวหนึ่ง เศรษฐีได้ฆ่าหลานชายคนหนึ่งของตน (พ่อของหลานชายเป็นพี่ชายได้ไปบวชเป็นดาบส )
    เพราะความโลภในสมบัติเนื่องจากหลายชายชอบพูดว่า " ยานพาหนะนี้เป็นของพ่อฉัน โคนี้เป็นของอา "
    พอเศรษฐีได้ยินคำนี้จึงโกรธ เกิดความริษยาและคิดว่า " ตอนนี้หลานยังเล็กอยู่ยังพูดถึงขนาดนี้ ถ้าโตขึ้นจะ
    ไม่พูดถึงสมบัติยิ่งกว่านี้หรือ "จึงลวงหลานไปในป่าแล้วฆ่าทิ้งเสีย

    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเล่าบุพกรรมนี้ให้แก่พระเจ้าปเสนทิโกศลทราบแล้วตรัสว่า " มหาบพิตรด้วยผล
    แห่งกรรมที่เศรษฐีได้ถวายบิณฑบาตแด่ พระปัจเจกพุทธเจ้า นั้นทำให้ได้เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ๗ ครั้งและผล
    ที่เป็นเศษกรรมทำให้เข้าถึงความเป็นเศรษฐี ๗ครั้ง

    ผลกรรมที่ถวายทานแล้วร้อนใจ เสียดายในภายหลัง (กระแสกิเลสบังคับใจให้คิดตระหนี่ถี่เหนียว )ทำให้
    จิตใจของเศรษฐีนั้นไม่น้อมไปเพื่อบริโภคอาหาร เพื่อใช้เครื่องนุ่งห่มเพื่อใช้ยานพาหนะ เพื่อความสุขสบาย
    อย่างเต็มที่ (คือไม่สามารถใช้สมบัติที่ตนมีอยู่ได้อย่างเต็มที่และความสุขที่จะได้จากสมบัตินั้นก็ไม่เต็มบริบูรณ์ )

    ด้วยกรรมที่เศรษฐีนั้นฆ่าหลานชายจึงเข้าถึงอบายภูมิเป็นเวลานานผลที่เป็นเศษกรรมทำให้ถูกยึดสมบัติเข้า
    พระคลังหลวง ดูก่อนมหาบพิตรด้วยว่าบุญเก่าของเศรษฐีหมดแล้วและบุญใหม่ก็ไม่ได้สั่งสมไว้

    ดังนั้นในวันนี้เศรษฐีนั้นจึงยังอยู่ในมหาโรรุวนรก "


    พระศาสดาตรัสว่า " มหาบพิตร บุคคลผู้มีปัญญาทรามได้โภคะแล้วย่อมไม่แสวงหาพระนิพพาน
    อนึ่ง ตัณหาเกิดขึ้นเพราะอาศัยโภคะทั้งหลายย่อมฆ่าคนเหล่านั้นตลอดกาลนาน "


    .......ฉะนั้นบุญที่ได้ถวายทานกับพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์มีองค์แห่งผู้รับครบทั้ง ๓ ประการแล้ว
    ถ้าผู้ให้รักษาเจตนา ๓ ได้ครบด้วยจะเกิดผลบุญอย่างจะนับจะประมาณไม่ได้และบุญส่งต่อไปให้มีความสุข
    ต่อเนื่องตลอดไป ดังเรื่องที่เล่านี้เศรษฐีได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นเนื้อนาบุญที่เลิศ ที่บริสุทธิ์แต่ไม่รักษา
    เจตนาให้บริบูรณ์ โดยเฉพาะเจตนาระยะสุดท้าย คือ เกิดความร้อนใจเสียดายทรัพย์ ไม่สามารถตัดความตระหนี่
    ขาดจากใจ บุญจึงหกหล่นไปส่งผลไม่บริบูรณ์ ไม่เต็มที่ และบุญที่จะส่งต่อเกื้อกูลให้ทำความดียิ่งๆขึ้นไปก็ไม่มี
    ทั้งยังมีใจที่โลภ ริษยา จึงเป็นเหตุให้ฆ่าหลานชายและต้องตกนรกไปในที่สุด



    .......บุคคลให้ทานไม่ได้ด้วยเหตุผล ๒ อย่างคือ
    ความตระหนี่ ๑ ความประมาท ๑ บัณฑิตผู้รู้แจ้ง
    เมื่อต้องการบุญพึงให้ทานแท้

    คนผู้ตระหนี่กลัวความยากจน จึงไม่ให้อะไรๆ
    แก่ผู้ใดเลยความกลัวยากจนนั่นแหละจะเป็นภัย
    แก่ผู้ไม่ให้ คนตระหนี่ย่อมกลัวความอดอยาก ข้าวน้ำ
    ความกลัวนั่นแหละจะกลับมาถูกต้องคนพาลทั้งใน
    โลกนี้และโลกหน้า

    เพราะเหตุนั้น บัณฑิตพึงครอบงำมลทินกำจัด
    ความตระหนี่เสียแล้วพึงให้ทานเถิด

    เพราะบุญย่อมเป็นที่พึงของสัตว์ทั้งหลายใน
    โลกหน้า

    ....( ๔๒ / ๔๒๕ พิลารโกสิชาดก )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2012
  5. baimaingam

    baimaingam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    634
    ค่าพลัง:
    +880
    ขออนุโมทนาสาธุครับ...
    ...หันหลังคืนฝั่ง พ้นจากทะเลทุกข์...
     
  6. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,828
    ค่าพลัง:
    +5,414
    ไม่ถูกนะครับที่กล่าวว่าทำบุญกับพระอรหันต์กลับตกนรก คนอ่านจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่ มันเป็นเรื่องต่างกรรมต่างวาระกัน เศรษฐีที่ทำบุญกับพระอรหันต์แม้จะเสียดายภายหลังแต่บุญก็ส่งผลก่อนให้ไปสวรรค์ แต่ภายหลังมาตกนรกก็เ้พราะกรรมที่ฆ่าคนตามมาส่งผล
     
  7. AYACOOSHA

    AYACOOSHA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +2,253
    โดยความคิดส่วนตัวของผมนะครับ ผมว่าเราทุกคนควรมีให้ครบองค์ 6 อยู่ในคนคนเดียวกันนั่นหล่ะดีที่สุดแล้ว เพราะในสังคม เรามิได้เป็นฝ่ายให้แต่ฝ่ายเดียว ย่อมต้องเป็นฝ่ายที่รับบ้างบางโอกาส เมื่อคิดถึงจุดนี้แล้ว เพื่อการอนุเคราะห์ผู้ที่ให้ เราเองก็ต้องมีองค์ 3 ของผู้รับอยู่ในตัวด้วย เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้คงจะเข้าใจแล้วว่า ไม่จำเป็นเสมอไปว่าเราจะต้องทำบุญกับพระสงฆ์เท่านั้น ถึงจะครบองค์ 6 ได้ รอบ ๆตัวเรา ให้ได้หมด เวลาให้ก็ไม่ต้องคิดมากว่าจะครบองค์ 6 หรือเปล่า เพราะจะทำให้จิตเป็นกังวลไม่ผ่องใส ให้ตามโอกาส เหมาะสมแก่ฐานะของผู้ให้และผู้รับ และที่สำคัญควรใช้ปัญญาในการให้ ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...