ทานบารมีปฏิบัติ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย mahaasia, 25 พฤศจิกายน 2007.

  1. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    <CENTER><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=5 width="100%" bgColor=#ffa600 border=3><TBODY><TR><TD borderColor=#000000 width="90%" background=bgthai1.gif>
    <CENTER><TABLE borderColor=#0000ff cellSpacing=2 cellPadding=2 width="90%" border=1><TBODY><TR><TD align=middle>ทานบารมีปฏิบัติ</TD></TR><TR><TD align=left> ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย บัดนี้ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว
    ต่อนี้ไปขอท่านทั้งหลายตั้งใจสดับวิชาความรู้ในด้านการเจริญพระกรรมฐาน สำหรับวันนี้ก็จะขอพูดถึงเรื่อง ทาน ตามปกติ เมื่อคืนนี้ได้พูดถึงเรื่องทานมาเล็กน้อย หวังว่าบางท่านที่มีปัญญาดีและก็ได้มีความเข้าใจไปแล้ว แต่ว่าบางท่านอาจจะยังไม่เข้าใจ จึงจะขอย้ำเรื่องทานอีกสักหน่อยหนึ่ง
    เพราะว่า คำว่า ทาน ก็คือ การให้ ถ้าจะพูดกันตามแนวของสมถภาวนา ก็เรียกกันว่า จาคานุสสติกรรมฐาน สำหรับทานนี่ก็แบ่งเป็นหลายขั้นด้วยกันคือ
    (1) ทานบารมีต้น
    (2) ทานอุปบารมี
    (3) ทานปรมัตถบารมี
    ทีนี้การให้ทานเป็นปัจจัยให้เกิดความสุข ถ้าเราจะพูดกันในด้านของหลักปฏิบัติ ว่าทำไมจึงต้องให้ทาน อันนี้ก็ขอบอกว่าเราต้องการความดับ ความดับในที่นี้ก็คือ พระนิพพาน
    นิพพาน หรือ นิพพะ ก็แปลว่า ดับ
    ถ้าจะถามว่าดับอะไร ก็ขอตอบว่าดับความทุกข์
    ท่านที่มีอารมณ์เข้าถึงพระนิพพาน ท่านผู้นั้นไม่มีอารมณ์ของความทุกข์ เพราะว่าเป็นผู้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา
    ที่เราต้องให้ทานกันก็เพราะว่าเราไม่ต้องการมีขันธ์ 5 เมื่อการมีขันธ์ 5 เป็นปัจจัยของความทุกข์ ที่เราต้องมีขันธ์ 5 กันก็เพราะว่าเราติดอยู่ในวัตถุ หมายความว่า เรายังมีความรู้สึกว่า สิ่งนั้นเป็นทรัพย์สินของเรา สิ่งนี้เป็นทรัพย์สินของเรา แล้วก็ธาตุ 4 ที่หุ้มห่อจิตอยู่ ที่เป็นเรือนร่างที่จิตไปอาศัย อันนี้เป็นเรา เป็นของเรา
    เป็นอันว่าเราเข้าใจผิดคิดว่าสิ่งที่มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นเรา เป็นของเรา เมื่อเรามีความเข้าใจผิด มีความหลงผิดคิดอย่างนี้ ตัวเราก็ต้องเกิด ถ้าเราคิดว่าเรายังยึดเอาตัณหาเป็นที่ตั้ง เอาตัณหาเป็นสรณะ
    คำว่า ตัณหา แปลว่า ความทะยานอยาก อยากมีทรัพย์สิน อยากร่ำรวย อยากจะเกิดใหม่เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี อยากจะเกิดใหม่ให้หน้าตาสวยกว่านี้ อยากจะเกิดใหม่ให้มีศักดิ์ศรีกว่าเดิม หมายความว่าเรายังติดอยู่ในความอยาก ความอยากเป็นปัจจัยให้เกิด
    ฉะนั้น การให้ทานเป็นการตัดความอยาก ถ้าตัดความอยากได้เข้ามาแล้วก็เป็นการตัดอารมณ์ที่ติดในขันธ์ 5
    การให้ทานในอันดับที่เราควรจะพิจารณา ถ้าจิตของเรายังคิดว่า การให้ทานครั้งนี้ เรายังมีหวังในการตอบแทนทั้งในชาติปัจจุบันและสัมปรายภพ คือ เราคิดว่าเราให้ทานกับเขาแล้ว เวลาที่เราอดอยาก มีความทุกข์เข็ญ บุคคลที่ได้รับทานจากจากเราคงอาจจะมีความเมตตาปราณีในเรา เขาจะสงเคราะห์เราให้เรามีความสุข ถ้ายังมีอารมณ์ติดอยู่อย่างนี้ก็ถือว่า ทานบารมี ของเรายังไม่เต็ม ยังหวังผลตอบแทนอันเป็นโลกีย์วิสัย
    หรือคิดว่าการให้ทานคราวนี้เราตายไปแล้ว เราจะได้ไปเกิดบนสวรรค์ เป็นเทวดามีความสุข แล้วถ้าเกิดเราเป็นมนุษย์ เราอาศัยทานการบริจาคจะเป็นปัจจัยให้เรามีความร่ำรวยดีกว่าชาตินี้มาก เวลานี้เรามีฐานะพอกินพอใช้ เราหวังว่าถ้าเกิดไปชาติใหม่เราจะอุดมสมบูรณ์ ตัวอย่างมหาเศรษฐีทั้งหลาย ที่ปรากฏในพระสูตร ถ้าเราคิดอย่างนี้ จิตของเราก็ชื่อว่ายังไม่ถึงความเป็นอริยเจ้าขั้นสูงสุด ถ้าจะเป็นได้ก็แค่ขั้นพระโสดาบันเท่านั้น
    โลกียทาน
    การให้ทานมีจิตผูกพันจริง ๆ อารมณ์ยังไม่รักพระนิพพานเป็นอารมณ์ เพราะว่าใจไม่ได้รักพระนิพพานอย่างจริงจัง เราก็เป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ จัดว่าเป็น โลกียทาน
    แต่ทว่า โลกียทาน ก็เป็นปัจจัยให้เราดับทุกข์ไปได้มาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะการให้ทานย่อมเป็นที่รักของบุคคลผู้รับ การให้ทานนี้ไม่มีอะไรเสีย คือ หมายความว่าผู้ให้ย่อมได้ให้ ผู้รับย่อมได้รับ ผู้ให้ย่อมได้ความรักจากผู้รับ ก็ชื่อว่าเราดับทุกข์เบื้องต้นไปได้ อันดับหนึ่ง
    แต่ว่าทุกข์เบื้องต้นที่ว่าดับนี้ก็ดับไม่จริง แล้วคนผู้รับทานก็ไม่แน่นักว่าจะมีการขอบคุณผู้ให้ทานเสมอไป อย่างคนที่มีนิสัยอกตัญญู ไม่รู้คุณคนมีอยู่
    อย่างองค์สมเด็จพระบรมครูทรงมีความเมตตาใน พระเทวทัต แต่ทว่าพระพุทธเจ้าก็ถูก พระเทวทัต ทรมาน สร้างความทุกข์ให้เกิดตลอดเวลาทุกชาติทุกสมัย แต่ทว่าเพราะอาศัยปัจจัยในการให้ทานขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดา หลังจากการตายจากชาตินั้นแล้ว พระองค์ก็เสวยวิมุตติสุข คือ ความสุขอันเป็นโลกีย์วิสัยดีกว่า พระเทวทัต มาก ยิ่งเกิดมากเท่าไหร่ ความสุขก็มีมากเท่านั้น ปัญญาก็มีมากขึ้น ทรัพย์สมบัติก็มีมากขึ้น อย่างนี้เป็น โลกียทาน ยังไม่ดีพอ
    ถ้าจะเขยิบขึ้นไปอีกนิดหนึ่งว่า การให้ทานนี้มันเป็นการสงเคราะห์ เราไม่หวังผลการตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น เราไม่ต้องการความรักจากบุคคลผู้รับทาน และก็เราไม่หวังผลในการไปเกิดเป็นเทวดา เราไม่หวังผลในการไปเกิดเป็นมนุษย์ที่จะเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี เราให้ทานด้วยความเมตตาปราณีในฐานะที่คนและสัตว์เป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือนกัน จิตใจของเรานั้นมีความเบิกบานในการให้ทาน ให้ทานไปแล้วก็มีความชื่นใจ อารมณ์ใจส่วนหนึ่งก็นึกไว้เสมอว่า
    การให้ทานเป็นการสละวัตถุภายนอก เมื่อวัตถุภายนอกนี้มันเป็น อนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้
    ถ้าเรายึดถือมากเกินไป เป็นอารมณ์ของตัณหา มันก็เป็น ทุกขัง หมายความว่า ถ้าเราพลัดพรากจากมัน ความเสียใจ ความเสียดายจะเกิดขึ้น มันเป็นทุกข์
    และในที่สุดวัตถุก็ดี เราก็ดี วัตถุที่เราให้ทานก็ตาม ร่างกายประกอบไปด้วยธาตุ 4 ก็ดีมันเป็น อนัตตา จะเล็งเห็นได้ว่า เหตุ 2 ประการ
    กล่าวคือ ทาน ได้แก่วัตถุก็เป็น อนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ถ้าติดแรงเกินไปก็เป็น ทุกขัง มีอารมณ์เป็นทุกข์ และเมื่อพลัดพรากจากมันแล้ว ในที่สุด อนัตตา มาถึงแล้วก็ดึงไว้ไม่ได้ อย่างนี้ที่เราตัดสินใจว่าเราให้ทานในครั้งนี้เราไม่หวังการเกิด คือเราจะไม่ติดในวัตถุภายนอกทั้งหมด ในเมื่อมีชีวิตเราจะหาเงินมาเพื่อกิจแห่งการเลี้ยงตัว เลี้ยงครอบครัวตามหน้าที่ แต่ทว่าชีวิตินทรีย์ในร่างกายสลายลงไปเมื่อไหร่ เรากับมันก็จากกันอย่างชนิดที่ว่าไม่มีอะไรเหลือ เยื่อใยซึ่งกันและกัน กำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายคิดอย่างนี้นั้น ก็ชื่อว่าเป็นกำลังใจของพระอริยเจ้าเบื้องต้น นั่นก็คือเป็นกำลังใจของ พระโสดาบัน
    ทานภายนอก-ทานภายใน
    ทีนี้สำหรับทานที่เราพูดถึงวัตถุมันเป็นทานภายนอก ก็เรียกว่า พาหิรกทาน เป็นทานภายนอกที่เราให้สักเท่าไรก็ตาม อันดับที่เราจะพึงให้ได้ ทานภายนอก เราจะพึงได้ผลก็ได้แค่พระโสดาบัน
    ทีนี้เราจะกล่าวกันต่อไปว่า ทำยังไงเราจึงจะให้ทานเป็นพระสกิทาคามีให้ได้ เป็นอันว่า ทานบารมี ตัวเดียวนี้ เราจะก้าวเข้าสู่พระนิพพานให้ได้อาศัยทานเป็นหลัก
    ทานที่จะเป็นหลักในการที่จะเป็นพระสกิทาคามี ก็ได้แก่ อัชฌัตติกทาน
    อัชฌัตติกทาน เขาเรียกว่า ทานภายใน ทานภายในนี้ไม่ได้อาศัยวัตถุ แต่ก็อย่าลืมนะ ถ้าเราไม่สะสมวัตถุ ยังมีความเสียดายอยู่ในวัตถุซึ่งเป็นทานภายนอก เป็นของภายนอก เราก็ไม่สามารถให้ทานภายในเรียกว่า อัชฌัตติกทาน ได้
    ฉะนั้น การบริจาคให้ทานภายนอก เราจะเห็นได้ว่าวิสัยของพระโสดาบัน ที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงห้ามพระว่า ถ้าไม่มีความจำเป็นจริง ๆ ก็จงอย่าไปรบกวนพระอริยเจ้าชุดนี้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าท่านที่เป็นพระโสดาบันพร้อมในการที่จะบริจาคในทานเพื่อเป็นการสงเคราะห์อยู่เสมอ
    นี่จะเห็นได้ว่า คนที่เป็น พระอริยเจ้า เขาไม่หวงแหนในทาน มีอารมณ์เปี่ยมในทานจัดเป็นกรรมฐานใน จาคานุสสติกรรมฐาน ถ้าการให้ทานของท่านผู้นั้น จิตใจปรารถนาพระนิพพาน และลองไปดูเรื่องศีล ศีลบริสุทธิ์ด้วย ทั้ง 2 ประการนี้จะช่วยให้ท่านผู้นั้นได้เข้าถึงความเป็น พระโสดาบัน
    อภัยทาน
    ถ้าลำดับทานเข้าถึงการเป็น พระสกิทาคามี ตอนนี้ต้องประกอบทั้งทานภายนอกและทานภายใน ทานภัยในนี้ไม่ได้ใช้วัตถุ ได้แก่ อภัยทาน
    คือ พระสกิทาคามีนี้ระงับบรรเทาความโลภ บรรเทาความโกรธ และบรรเทาความหลง หมายความว่าความโลภของพระสกิทาคามีเบาเต็มที จิตที่เกาะอยู่ในวัตถุเกือบจะไม่มี จะมีแต่เพียงว่าเราอาศัยมันเป็นเพื่อยังชีพให้คงอยู่ เราจะตายไปเมื่อไหร่ก็ช่างเถอะ นี่เป็นทานภายนอก
    สำหรับทานภายในที่พระสกิทาคามีทรงได้นั่นก็คือ "อภัยทาน" หมายความว่า บุคคลผู้ใดก็ดี ที่ทำให้เป็นที่ไม่ถูกใจเรา เราไม่พอใจในเขา ในอากัปกิริยา ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี แต่ทว่าอารมณ์ของเรานี้ประกอบไปด้วยปัญญา ที่มีความรู้สึกอยู่ว่าขันธ์ 5 มีสภาพไม่ทรงตัว ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของเขาก็ดี มันเป็นแต่เพียงเปลือกภายนอก ที่ประกอบไปด้วยธาตุ 4 มีความสกปรกเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนใจ ไม่มีความหวังใด ๆ ที่เราจะคิดว่ามันเป็นปัจจัยเป็นสมบัติของความสุข ร่างกายเป็นเชื้อสายของความทุกข์ มันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และก็มีความแปรปรวนในท่ามกลาง และมีการสลายตัวไปในที่สุด เป็นอันว่ามันไม่มีอะไรเป็นที่จีรังยั่งยืน
    ฉะนั้น คนที่เขาทำให้เราไม่ชอบใจ เราก็มีความรู้สึกว่า ถ้าเราจะทำลายเขา เราจะจองล้างจองผลาญเขา เราจะกลั่นแกล้งเขา ก็ไม่มีอะไรเป็นผลแห่งความดี เพราะเขาเองเขาก็มีความทุกข์อยู่แล้ว ในเมื่อเขาทุกข์และเขาจะต้องตายในที่สุด เรื่องอะไรที่เราจะต้องไปนั่งโกรธเขา เขาเองก็อาศัยความโง่เขลาของเขาเป็นปัจจัย เขาจึงทำให้เราไม่ถูกใจ ถ้าเราให้อภัยในความผิด คิดว่าเป็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเขา อย่างนี้เรียกว่า อภัยทาน
    รวมความว่าสิ่งใดก็ตาม ใครก็ตาม ทำให้เราไม่ชอบใจ เราก็มีความรู้สึกแต่ว่านึกถึงการให้อภัยไว้เป็นปกติ ไม่ถือโทษโกรธเคือง โกรธทว่าไม่ผูกโกรธ อาการไม่ผูกโกรธของเราเป็นปัจจัยให้เขามีความสุข และเราเองก็มีความสุขถือว่าเป็นเรื่องของธรรมดา คนเราเกิดมานั้นจะดีทุกอย่างเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น เมื่อรู้ว่าเขาเลวเราก็ให้อภัยกับเขา
    แล้วก็มาเทียบกับร่างกายของเราว่า โอ
     
  2. Mr.Kim

    Mr.Kim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2007
    โพสต์:
    3,036
    ค่าพลัง:
    +7,028
    อนุโมทนาครับ สาธุ ๆ ๆ :d
     

แชร์หน้านี้

Loading...