ทำยังไงดี ใครเคยเป็นบ้างครับ บางครั้งหลังออกจากสมาธิแล้วอารมณ์ร้อน อย่างไม่เคยเป็นมา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย chinnathap, 13 กรกฎาคม 2015.

  1. chinnathap

    chinnathap สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +5
    ช่วงหลังนั่งสมาธิได้ง่าย และนานขึ้น วางความอยากต่างๆในสมาธิได้หมดขึ้นเรื่อยๆ
    (อยากเห็น อยากมี อยากได้ อยากเป็น) วางสิ่งที่เข้ามากระทบได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
    นั่งไปก็พิจารณาสิ่งที่เกิด แล้วก็วาง ซ้ำๆไป
    เหมือนว่าเราวางกิเลส เห็นกิเลส เห็นสิ่งที่เข้ามากระทบได้ง่ายขึ้น บ่อยเข้าๆ
    แทนทีมันเหมือนจะดูดีขึ้นเรื่อยๆ จะเคยชิน ต่อยอด ขจัดกิเลสฟุ้งซ่านได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
    กลับกลายเป็นว่า ภายหลังจากออกสมาธิแล้ว กลับมาใช้ชีวิตทางโลก
    ในเวลางาน เวลาครอบครัว เวลาเจอเรื่องเครียดๆ
    ในบางครั้งกลับอารมณ์ ฉุนเฉียว โกรธ ระเบิดลง อย่างไม่เคยเป็นมา จนไม่น่าจะเป็นไปได้
    เพราะสมัยยังไม่สนใจเรื่องนั่งสมาธิ และปฏิบัติธรรม ถึงแม้อารมณ์จะฉุนเฉียว ก็ไม่เคยเป็นขนาดนี้
    หรือเพราะเราตั้งมั่นและปฏิบัติไว้เเบบผิดวิธี

    จะมีวิธีปฏิบัติและแก้ยังไงดีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2015
  2. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    แผ่เมตตาบ่อยๆทั้งนอกสมาธิและในสมาธิครับ
     
  3. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    เป็นเหมือนกัน เมื่อนานมาแล้ว ตอนวัยรุ่น มาตรึกตรองดูคือ ตอนอายุ15-16ปี มันโง่มาก เห็นความสงบจากสมาธิ จากฌาณเท่านั้น เราพยายามไม่เอาใจออกนอก แต่จะมีคนมาพาลพาเราออกนอก เราพอตกจากฌาณนี่จะโมโหมาก ถึงขั้นฉุนเฉียว จนแว่บระเบิดลุกเป็นไฟนรกเลย จี้ตรงไหนเป็นไฟไปหมด แถมช่วงแรกฝึกกสิณไฟจากเปลวเทียน ฝึกกสิณแสงจากดวงอาทิตยฺ์อีก มีแต่ของร้อนๆแรงๆ มาคิดดูอีกที ความสงบแบบไม่อิงฌาณระดับสูงอย่างปฐมฌาณขึ้นไปนี่ แค่อุปจารแว่บก็พอใช้ได้นะครับ แถมบางทีพอพิจารณาเป็นเป็นสุขตลอดทั้งวันได้ บางทีถ้าตั้งใจมากทำงานนี่หูดับเลยก็มี แบบนี้ดีเหมือนกัน เดี๋ยวนี้เย็นมาก ไม่โมโหล่ะ เพราะคิดได้ล่ะ ถ้าไปยึดติดฌาณก็ทุกข์เพราะฌาณนะครับ เพราะฌาณมันก็เป็นเรื่องเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรื่องที่ได้ดั่งใจหวัง แต่ถ้าใครได้ฌาณดังใจหวังก็อนุโมทนาครับ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    มันเห็นอารมย์ได้ดีขึ้นครับ
    ทางปฏิบัติถือว่าดีนะครับ และเป็นเรื่องปกติครับ
    สำหรับการพิจารณาในสภาวะกำลังสมาธิระดับนี้
    การที่ออกมาแล้วอาการเป็นอย่างนั้น เค้าเรียกว่าจิตมันฟู
    กิริยามันคือ แม้ว่าเราจะพิจารณาได้ และพอวางได้ในขณะพิจารณา
    พอลืมตามันก็จะเกิดอารมย์นั้นๆได้อยู่ แต่ไม่ใช่ปัญหาหลัก
    เพราะว่ามันเป็นปกติของมันอย่างนี้ เพียงแต่เราโน้มพิจารณา
    บ่อยๆมันก็จะตัดถึงขั้นละเอียดได้เองในอนาคตครับแต่ว่า
    ให้เพิ่มเติมเวลาเรานั่งสมาธิควรอุทิศส่วนกุศล
    ก่อนและหลังนั่งด้วยครับ และที่สำคัญ
    ก่อนที่จะเลิกนั่งให้ภาวนา
    พุทธโธก่อนหรือภาวนาอะไรก็ได้ตามแต่ชอบ
    ขอให้เป็นระบบ เช่น พุทธโธ ๑๐ ถึง ๒๐ ครั้ง
    เพื่อเป็นการปรับธาตุร่างกายหรือคืนสมดุลย์ให้ร่างกาย
    กลับสู่สภาวะปกติก่อนครับ เพราะในขณะที่เราฝึกอยู่ถ้าออกพรวดพราดเลย
    สภาวะจิตมันจะติด จะค้างอยู่ในอารมย์นั้นๆ มันจะส่งผลต่อเนื่อง
    เกี่ยวกับเรื่องอารมย์และการดำเนินชีวิตประจำวันได้
    ยกตัวอย่าง คนที่เข้าฌานลึกๆ ถ้าพรวดพลาดออกเลย
    ก็จะเฉยๆทั้งวัน อะไรประมาณนี้

    กรณีคุณ
    ในระหว่างวันก็ให้เพิ่มการเจริญสติให้ต่อเนื่อง
    เพื่อคอยควบคุมความคิด ควบคุมพฤติกรรมของจิตครับ...
    การพิจารณาในกำลังระดับนี้ พิจารณาซ้ำๆให้ได้
    ประมาณครั้งที่ ๓ และ ๔ ถึงจะเห็นผลครับ ยกเว้นว่า
    ถ้าเราพิจารณาได้ในครั้งแรก แล้วจิตเรามันปล่อยเลย
    เรื่องนั้นก็จะไม่ฟูเวลาลืมตาและหายไป แต่มันจะกลับมาได้อีกในอนาคต
    แต่การพิจารณา ต้องพิจารณาภายในสภาวะที่จิตมีความเป็นทิพย์
    นะครับ ไม่งั้นมันจะยังไม่พ้นการพิจารณาที่มีความคิดจากจิตมาแทรก
    ซึ่งมันจะไม่ได้ผลอะไรเลยครับ..
     
  5. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +2,040
    เคยเป็น เช่นกัน ครับ บีบเมาส์เเตก ครั้งหนึ่ง เลย

    ปล. เพราะเน็ต มันช้า เลยลงที่เมาส์ ซะงั้น = =
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2015
  6. alkuwaiti

    alkuwaiti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,257
    การปฏิบัติธรรมไม่ว่าจะด้วยวิธีใดๆก็ตาม เราต้องมีจุดมุ่งหมายว่าทำไปเพื่ออะไร เช่น เพื่อฝึกสมาธิ , เพื่อฝึกสติ , เพื่อพิจารณาธรรมให้เข้าใจธรรม หรือเพื่อสั่งสมบุญบารมีปัญญาให้เพิ่มพูนขึ้น ฯลฯ การปฏิบัติธรรมโดยไม่มีจุดมุ่งหมาย ไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร จะมีความสุ่มเสี่ยงให้เกิดความฟุ้งซ่านตามมาได้

    การปล่อยวาง - ไม่ใช่การถือของในมือแล้วปล่อยลงสู่พื้น มันไม่ง่ายขนาดนั้น อย่าคิดทำแบบนั้น เพราะมันไม่ใช่การปล่อยวางที่แท้จริง มันเป็นแค่การฝืนอารมณ์เพียงชั่วครั้งชั่วคราว การปล่อยวางต้องมีปัญญาความรู้ความเข้าใจที่จะปล่อยวาง ปัญญาอย่างเดียวไม่พอต้องมีศรัทธาประกอบด้วย ไม่งั้นคงหลุดพ้นจากการยึดมั่นถือมั่นได้ยาก ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการปล่อยวางไม่ใช่เรื่องง่ายดั่งใจนึก ไม่ใช่การถือของแล้วปล่อยทิ้งลงพื้น

    ผมมองว่า จขกท.ข้ามขั้นเกินไป ถ้าพึ่งเริ่มปฏิบัติธรรมอย่าพึ่งไปหวังสูงถึงขั้นปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างได้ นั่นมันระดับพระอริยเจ้าแล้ว ควรค่อยๆฝึกจากง่ายไปหายาก หวังผลในสิ่งที่พอเป็นไปได้โดยง่ายสำหรับตัวเรา เพราะถ้าใจร้อนรีบเร่งเกินไปก็คงหนีไม่พ้นโดนกิเลสหลอกต้มตุ๋นเข้าให้นั่นแหละครับ อีกอย่างการปฏิบัติธรรมถ้าจะให้ได้ผลดีต้องมีครูอาจารย์คอยอบรมชี้แนะด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2015
  7. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    เวลาที่เราปฏิบัติสมาธิเราโดยเฉพาะสมถะจะมีกำลังของจิตมาก กำลังตรงนี้ถ้าเราโกรธ หรือรำคาญอะไรมันก็มากขึ้นด้วย ถ้าเราไม่ได้ฝึกให้ทันการปรุ่งแต่งอารมณ์มันจะควบคุมยากกว่าก่อน สิ่งที่ทำได้คือพัฒนาทักษะการจัดการกับความคิดลบ คือรู้ตัวเมื่อมีความคิดลบ รู้ความรู้สึกของตัวเองให้ทัน พอมันรู้ความรู้สึกได้จะทันต่อการปรุงแต่งและไม่ไปทางนั้น
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,618
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,017
    **********************
    บางครั้งที่ท่านว่าคุมจิต คล้ายๆกับไปกดมันไว้ พอถึงเวลามันจึงระเบิดไงคะ เคยเป็นมาเหมือนกันค่ะ
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เด่วขออนุญาตช่วยขยายความเพิ่มครับ
    อาจจะมีประโยชน์บ้าง..
    นัยยะ ของการสร้างสติทางธรรม ที่คอยควบคุมความคิด
    ควบคุมพฤติกรรมของจิตก็คือ เพื่อให้จิตมันคลายออกจาก
    ความคิดที่เกิดจากจิต คลายออกจากความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕
    ส่วนนามธรรมหรือฝ่ายอารมย์นั้นเองครับ...

    ''ไม่ใช่ว่ามันไม่มีอะไร ไม่ใช่ว่าไม่มีจิต
    ไม่ใช่ว่าไม่มีอารมย์นั้น ไม่ใช่ว่าไม่มีอารมย์นี้
    แต่ว่าสติทางธรรมคือ คอยควบคุม
    ไม่ให้เรา ไปอะไร อะไรกับอารมย์นั้น อารมย์นี้
    ไม่ให้เราไปอะไรๆ กับสิ่งนั้น กับสิ่งนี้
    ที่มันมีของมันอยู่แล้วเป็นปกติครับ''

    ถ้าเราเผลอไปปรุงร่วมแล้ว คือรู้เป็นภาษาสมมุติแล้ว
    เรียกได้ถูกแล้ว..
    และใช้ความพยายามในการทำให้มันไม่มีไม่ว่าจะจากตำราความรู้ทางโลก
    ไปใช้สมาธิในการกดการข่ม
    ไปใช้การพิจารณาโดยที่ยังมีความคิดจากจิต
    เข้าไปแทรกแซง โดยที่ยังมีความคิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    เข้าไปแทรกแซง..
    ในการไปทำให้มันไม่มี
    ในสิ่งที่มันมีอยู่แล้ว มันจะกลายเป็นว่าเราไปซ้อนความพยายาม
    เข้าไปสมทบกับสิ่งที่มันมีอยู่แล้วอย่างที่เราคาดไม่ถึงครับ.

    มันจะกลายเป็นโมหะอย่างหนึ่งครับ....ยิ่งพยายามมาก
    มันจะทำให้เราหงุดหงิดมาก พาลให้อารมย์
    เราแปรปรวนได้..เป็นสาเหตุที่พอมีเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง
    ที่เอื้อต่อการกระตุ้นอารมย์ขึ้นมา เราถึง เกิดการระเบิดฟอร์มไงครับ..
    เพราะเราขาดการสร้างสติทางธรรมตรงนี้ เพื่อที่จะให้ควบคุมความคิด
    ควบคุมพฤติกรรมของจิต ให้รับรู้ตามความเป็นจริงนั้นเองไงครับ
    อะไรที่มันมี มันก็มีของมันปกติครับ แต่ว่าจิตเราไม่ไปอะไรอะไร
    กับสิ่งที่มันมีนั่นเองครับ
    ปล.ประมาณนี้....
     
  10. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    คุณใช้กัมมัฏฐานแบบไหนครับ
     
  11. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    อารมณ์มันค้าง

    เวลามากระทบกระทั่งกับภายนอกมันจึงหงุดหงิดได้ง่าย
    นั่นหมายความว่า ยังไม่ได้ปล่อยวางจริง
    ที่ฝึกปล่อยวางอยู่นั้นยังไม่แท้

    การปล่อยวางที่แท้จริงนั้นจะเกิดขึ้นเอง โดยปราศจากความจงใจ
    ไม่ใช่การเพ่งให้ยอมรับ หรือบังคับ (รู้) ให้สละแต่อย่างใด
    ถ้าเป็นเช่นนั้น มันจะได้อัตตาตัวใหม่หรือเสริมความมีอัตตาขึ้นมาแทน

    การปล่อยวางต้องเป็นเรื่องพ้นเจตนา
    เกิดจากการเห็นความจริงในอีกแง่มุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
    หรือเผลอ ไม่ทันสังเกตเห็นความหลงยึดถืออะไรบางอย่างอยู่ คาดไม่ถึง
    เมื่อไปเห็นความหลงยึดถืออันนั้นเข้า คือเห็นทุกข์ ก็ปล่อยทันที
     
  12. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    ไหนว่า ดูหนังเรื่อง พระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลก มา !!

    ดูมา ทำไมหูไม่กระดิก หละคร้าบท่าน

    ตอนที่ พระพุทธองค์ เสด็จไปโปรด ชฏิลสามพี่น้อง หัวหน้าชฏิลเขาถาม
    พระพุทธองค์ไม่ใช่หรือว่า " ตกลง การทำสมาธินี่ สูญเปล่าหรือ ?"

    ประเด็นที่ทำให้ ชฏิล ต้องถามแบบนั้นคืออะไร คือ การไปเข้าใจว่า สมาธิมันจะ
    ช่วยตัดโน้น ตัดนี้ ตัดเฮีย ตัดฮา ตัดเฮว ....... การเข้าใจแบบนั้น มันองค์กรอิสระ
    บรมองค์กรอิสระ ปัญญาอ่อน ไม่ไหวเท่าติ่งมันสั่นสะเทือน

    นี่ มาปราถนาฌาณได้ดังใจหวัง ไปหวังทำเฮียอะไรไม่ทราบ ในเมื่อ สมาธิมันไม่ช่วย
    หรือไม่ใช่ ปัจจัยในการบรรลุธรรมอะไรเลย

    พระพุทธองค์ ในหนังก็กล่าวว่า " ไม่ได้กล่าวว่ามันไม่มีผล มันมีผล แต่ มีผลแบบโลกๆ "

    ทำไปแบบโลกๆ เขาทำกัน ในเมื่อโลกเขาทำ โลกเขาชื่นชม ใครจะองค์กรอิสระ
    ไม่ทำหละ แต่......ทำไปแล้ว มันอยู่ที่เดิม มันอยู่ฝั่งเดิม มันไม่ไปไหน

    ได้ฌาณดังปราถนา แต่ไม่ข้ามฝั่ง ก็ จาติอาวุธตะขอ เท่าเดิม

    แล้ว ก็กำหนดรู้ ความเป็นจริงข้อนี้ไปซะ นี่แหละคือ ความจริง ที่ควรกำหนดรู้
    ว่า ฌาณไม่ได้ช่วยเฮียอะไรในการบรรลุธรรม มันแค่อะไรที่ โลกๆ เขาทำกัน
    ก็ให้ทำกันไปไม่ห้าม แต่ ทำแล้วกำหนดรู้ สิ่งที่ใช้อยู่ว่ามันไม่เที่ยง มันต้อง
    ดับสลายหายไปเป็นธรรมดา เดี๋ยว จิตที่เป็นธาตุมันก็กลายเป็นผู้เพ่งฌาณ
    เดียวก็เป็นผู้คิด เดี๋ยวก็เป็นผู้หลง(ไปตามอาสวะ สาสวะ ภวสวะ สิ่งที่นอนเนื่อง
    อยู่ในจิตมาช้านาน สันดอนก็เรียก การรื้อค้นเห็นกิเลสก็เรียก )
     
  13. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259

    ไม่ต้องแก้ ฮับ คุณมาถูกทางแล้ว

    อย่า พยายามสร้างหลักการ หลักความคิด ไป ทับการภาวนา

    การภาวนาของคุณ ต้องถือว่า เข้าขั้นเป็นอริยะ ในไม่ช้า

    การเห็นกิเลส ที่ร้ายแสนร้าย อันนี้ มันต้องเห็น คนภาวนาเป็น
    แล้ว จะต้องเข้ามาเห็น [ ยังมีที่รวดเร็ว ร้อนแรง กว่านี้อีก ปรมณูนี่น้องๆไปเลย ]

    เพียงแต่ว่า การเป็น ฆราวาสนั้น หนทางมันจะ คับแคบนิดหน่อย
    คุณจะต้อง จงใจสมาทานศีล ลูบคลำศิลไปก่อน อย่าเว้นการลูบคลำศีล
    [ แพ หรือ เรือ ที่รีบๆกอบเอามาช่งยพยุง ข้ามฝั่ง จะต้องหมั่นประกอบให้ดี มีศิลปะ ]

    อย่าเจริญปัญญาลูกเดียว จนหลงลืมทำ สมถะ(จาคะ รักษาศีล ฯลฯ 40กอง )


    ทั้งนี้ อย่าวาดภาพนักปฏิบัติว่า จะไม่พลาดพลั้ง จะไม่โดนโลกกระทำ
    จะมีแต่ กลีบกุหลาบ

    ถ้าเผลอไปตรึกแบบนั้น ให้กำหนดรู้ " โลภะ " มันแทรก มันย้อมจิตที่
    ภาวนาได้ดีแล้ว แล้วมันกระซิบหลอกให้ คุณอ้างเอาผลประโยชน์

    ภาวนาเนียะ ตายฮา ตายเฮว ไปก็ได้ ไม่ใช่ว่า ภาวนาแล้ว จะต้องกลายเป็น
    พระเจ้าครอบครองสมบัติ พัสฐาณ เกรียติ การได้รับการเคารพ

    ดูอย่าง พระอัสชิ เจ้าของผู้แสดงธรรมบท " สิ่งใดสิ่งหนึ่งแต่เหตุ ดับไปก็เพราะเหตุ "
    ที่ พระสารีบุตรไปเห็น พระอัสชิ พระอรหันต์ ถูก ชาวบ้านด่า ที่มาขอข้าวเขากิน
    แล้ว พระอัสชิ ก็ให้พร

    ไม่มีหรอก พระอัสชิ จะลำพองตัว ประกาศว่า ข้าคือนักภาวนา ข้าหมดกิเลส
    ข้าเป็นอรหันต์ เอ็งด่าข้า เอ็งจะต้องโน้น ต้องนี่ .......

    เรียกว่า หากชาวบ้านคนนั้น ฝาดให้ตายตรงหน้าบ้าน พระอัสชิ ก็คงยังให้พร แก่
    คนๆนั้น


    นักภาวนา เวลาโดนโลกกระทำ โดนโลกบีบคั้น และ แท้จริง ก็โดน สิ่งที่เรียก
    ว่า " จิต " นั่นแหละมัน บีบคั้น ปลิ้นปล้น หลอกลวง ให้เอา ธรรมมีอามิส
    ธรรมเมา ธรรมลามก มาแทนการเห็น ธรรมแท้จริง


    ปล. เจ้าของกระทู้ ฟังประโยคข้างบนแล้ว หากไม่เกิด ทิฏฐิ ตำหนิจิต ให้อธิษฐาน
    บรรลุในชาติปัจจุบันไปเลย อย่า มัวแต่ ไปหลงเชื่อ อาการป้อแป้ๆ ที่ จิต มันสร้าง
    มาหลอกตัวเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2015
  14. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    พูดอีกนัยหนึ่ง


    จริงๆ เจ้าของกระทู้ สามารถแยกธาตุ แยกขันธ์ ได้แล้ว

    สามารถ แยกจิตว่าไม่ใช่เรา ได้แล้ว จึงสามารถ ก้าวข้าม ภวสวะ สาสวะ
    อนาสวะกิเลส ได้บางส่วน

    แต่ สังโยชน์บางตัว ต่อให้แยกธาตุ แยกขันธ์ ภาวนาได้อย่าง ชำนิ ชำนาญ
    จนถึง ขั้นอนาคามี

    สังโยชน์ที่ยังยึดมั่นถือมั่วว่า จิตคือตน ตนคือจิต จิตคืออมตะ จิตไม่เกิดไม่ดับ
    มันจะยังแปรปรวน มีความเห็นผิด ดำริผิด กล่าวธรรมผิดได้อยู่

    ดังนั้น อย่ารีบร้อน วางจิต ..... [ ด้วยการสร้าง ทฤษฏีบท ขึ้นมา ทับ การประจักษ์แจ้ง ]

    แต่ให้เห็น มรรคจิต ที่มันก้ามข้าม ภวสวะ สาสวะ อนาสวะได้

    ข้ามได้ทั้งดี และ ชั่ว นะครับ ไม่ใช่ เลือกข้างเห็น จิตข้ามอกุศลอย่างเดียว
    ต้องเน้นเห็น จิตที่ไม่ใช่เรา มันข้าม กุศล ด้วย

    และ ยิ่งกว่านั้น หากสมาทานศีล สมาทาน สมถะอารมณ์ได้ ก็จะต้องเห็น จิตมันข้าม
    อุเบกขา ด้วย ไม่ใช่ไปเกยตื้น ไม่ก้ามข้ามพ้น อุเบกขา

    ตัณหามันมีสาม อยากมี อยากเป็น ไม่อยากมีไม่อยากเป็น อยากมีก็ไม่ใช่ไม่อยากมีก็ไม่ใช(อุเบกขานั่นแหละ อุปกิเลส)

    พอเห็น จิตที่แสดงการก้าวข้ามโลกทั้งสามโลกได้ จะเห็นเองว่า มาถูกทาง ใกล้แค่เอื้อมมือ
    ไปจะแตะ มะม่วงมันก็แทบจะหลุดจากขั้วใสมือ

    แต่ อย่าเอื้อมมือไปหน่าคร้าบ เพราะ นั่นคือ อุปทานขันธ์ กำเริบ !! ( กว่าจะตัดได้ก็
    ก็ต้องฝัดกันที อรหัตถมรรค ดังนั่น อย่าแขนยืดแขนยาว เอาแขนด้วนเป็นเกณฑ์ แรกๆก็เอา แค่ทัศนะแจ่มใสไม่กลับกรอก ก็พอเพียง)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2015
  15. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    กรณีที่ อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ

    จริงๆแล้ว การเห็นว่า การภาวนามัน ขาดอะไรบางอย่างอยู่ ยังขาดการเห็นสัจจ
    อะไรบางอย่างอยู่ หากเราไปสร้าง " ความพยายาม " ขึ้นมา ตัว ทิฏฐิหรือความ
    คิดมันจะ ร้อยรัดเราให้ติด ตาข่ายแห่งพรหม ทันที

    การภาวนาของ คนที่เกิดมาด้วยปัญญา( ภาวนามาหลายชาติแล้ว พร้อมบรรลุธรรม
    ในชาติปัจจุบัน ทุกเมื่อ ไม่จำกัดกาล สถาณที่) หรือ คนมีอินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ
    ควรระวัง ความคิด โดยเฉพาะตอนที่ วิเวก หรือ ไม่มีอุปาธิเกิด

    ความคิดที่เกิดออกมาจากความว่าง ความคิดทีเกิดจากจิตไม่มีอุปาธิ นี่คือ ทิฏฐิ ตัวร้าย
    หากมันเกิดขึ้นในมโนทวารแล้ว เรื่องจะไม่เป็น บ่อ หรือ ตกหลุมพรางแห่ง มาร หรือ
    ติดตาข่ายแห่งพรหมนี้ ไม่มี เป็นไปไม่ได้

    ทิฏฐิเกิดขึ้น มารย่อมสบช่อง จิตคุณย่อมดิ้นรนติดต่าข่ายแห่ง พรหม อย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน
    ปฏิเสธสิ่งนี้ไม่ได้

    แต่กำหนดรู้ ลงไปตามความเป็นจริงได้ ซึ่งเรียกว่า กำหนดเห็น ทุกขสัจจ

    ทุกข์ มันคือ สัจจ !!

    ทุกข์ มันคือ สัจจ !!

    ทุกข์ มันคือ สัจจ !!

    กำหนดรู้แล้วได้อะไร อย่าไปเอาการได้อะไร อย่าให้ ทิฏฐิ มันแทรก
    อย่าหมายๆ จะเอาอะไร ข้ามฝากตายให้เป็น ไม่ใช่ฌาณ ไม่ใช่แฌณ
    อย่างพวกคนโง่ในโลกเขาทำกัน

    ความอิสระบางประการ มันอยู่ตรงนั้นแล้ว ไม่ได้เกิดจากเหตุปัจจัย อะไรในโลกทั้งนั้น
    ไม่ว่า ศีล จาคะ สมาธิ ปัญญา และ แม้นจิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2015
  16. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    รับทราบครับ อาจารย์แมว
     
  17. ได้คับ

    ได้คับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +106
    ดีแล้วครับที่คุณสงสัยแล้วถาม^^ นั้นแสดงว่าคุณเป็นผู้มีปัญญานะครับ
    การได้เห็นแจ้งในสิ่งที่ตนได้รู้และประจักเป็นอย่างดีนี้ คุณจะรู้ถึง คุณของสมาธิ
    และ โทษ ของการหลงขาดสติ ผมจะอธิบายให้คุณลองพิจารณาดูนะครับ
    เพื่อความรู้ยิ่งๆขึ้นไป ผมเองก็เคยเป็นแบบคุณครับ นั่งสมาธิแล้วได้ความสงบ
    มีความสุขมาก แต่พอได้กระทบกับสิ่งต่างๆภายนอกแล้ว เกิดความไม่ชอบใจ
    อารมณ์มันพุ่งแรงแบบไม่เคยเป็นมาก่อน พอกระทบแล้วคิดๆ กายมันก็ขยับไป
    แบบไร้สติจนเกือบมีเรื่อง ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยเป็น การที่คุณทำสมาธิเข้าถึงความสงบนั้น
    ประโยชน์คือ มีความสุข แต่สิ่งที่ควรละ คือ ความชอบใจในความสุขที่เกิดจาก
    การทำสมาธิ บางทีคุณทำสมาธิคุณอาจเกิดความไม่ชอบใจสมาธิก็ได้ นั้นคุณก็
    ต้องละความไม่ชอบนั้นด้วย เพราะเมื่อคุณชอบใจในความสุขเมื่อไหร
    การคิดถึงความสุขนั้นย่อมมีขึ้น ซึ่งความคิดนั้นเป็นอุปสรรคต่อการทำสามธิ
    ความสงบที่เคยมีก็จะหายไป ได้ความฟุ้งซานมาแทน
    กรณีที่ออกจากสมาธิแล้วกระทบกับสิ่งภายนอกก็เช่นกัน
    เมื่อกระทบแล้วเกิดความชอบใจ และ ไม่ชอบใจในสิ่งใดๆก็ตาม
    ให้ละความไม่ชอบใจในสิ่งนั้น เพราะทั้งความชอบใจ ไม่ชอบใจนั้น
    มีเราเป็นผู้ยึดมั่นถือมั่นอยู่ ผลที่ตามมาก็คือการสะสมทุกข์
    ไม่ใช่เมื่อการละวางความยึดมั่น การปฏิบัติธรรมก็เพื่อการละวาง
    ออกจากสิ่งที่ตนชอบใจ และ ไม่น่าชอบใจ
    เมื่อสิ่งนั้นเป้นสิ่งที่ตนละความชอบใจ และ ไม่ชอบใจได้แล้ว
    ธรรมทั้งหลายเป็นอันคุณไม่ยึดมั่นแล้ว เมื่อไม่ยึดมั่น จิตก็หลุดพ้น
    นี่คือทางสายกลาง ไม่ไปที่สุดทั้งสอง
     
  18. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    สวัสดีครับ พี่ๆน้องๆทุกๆท่าน เรื่องการปฏิบัตินี้ การพูดนั้นมันง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากอีกครับ แต่การกระทำ สิ่งที่เกิดขึ้นแบบซ้ำๆซาก มันมิอาจผ่านพ้นไปได้ง่ายๆดอกครับ สาวก อาจเป็นไม่นาน ส่วนคนเคยปราถนาพุทธภูมิมาก่อนอันนี้ยากหน่อยนะ มันซ้ำๆซากๆ นับวันนับเดือน นับเป็นปีๆก็มี หรืออาจมากกว่านั้น อาจทั่วทั้งชีวิตเลย ก่อนคนที่จะมามีวิถีชีวิตแบบนี้ได้ ต้องทำมาแล้ว นับชาติไม่ถ้วน บารมีต้น ให้ชวนมานั่งสมาธิ พวกนี้ให้เราชวนจนตาย พวกนี้ไม่เอา กับเราด้วหรอกครับ คุณชอบนั่งสมาธิ แสดงว่า คุณทำมามากพอสมควร จนนับไม่ได้ ถ้าคุณ ต้องการตัดภพ ตัดชาตินี้เลย คุณต้องการพระนิพานเป็นที่ไป แล้ว เจ้ากรรมนายเวร เขาจะปล่อยให้คุรไปแบบง่ายได้ไงกันครับ เขาต้องหรอกล่อคุณ ให้ติดกลับเขาก่อน ที่คุณ จะหนีเขาไป จากเขา


    ยังไงๆ ก็ต้องเจอกันหน่อย ไอ้หนู ไม่ใช่พึ่งมาเกินนี้ชาติเดียว เกิดกันมาจน นับชาติไม่ถ้วน เอาเฉพาะแค่ เกิดเป็นสัตว์ พระท่านตัรัสไว้ เกิดมากกว่าเกิดเป็นคน ไม่รู้ กี่ร้อยพันล้านพันเท่า เพราะสัตว์แต่ละชนิด นั้นที่เกิดบนโลกนี้ มีมากกว่าคน สัตว์กว่ามันจะพัฒนามาเป็นคน สมบูรณ์ และจนมีบารมากล้น เอาแค่ เกิดเป็นสัตว์ใหญ่ ก็แสนยาก จนมีบารมี นี่ไม่ได้คิดไปถึง สัตว์นรก เปรต อสูรกาย เป็นเทวดา พรหม คนจนคนรวย ทุกคน เกิดกันมาแล้ว ไม่รู้เท่าไหร่ ลองดูตัวอย่างสักคนเป็นไร
     
  19. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ดูตัวอย่าง พระนางปฏราเถรี ผัวตาย ลูกตายอีก ๒ คน พ่อแม่พี่น้อง ตายในคืนเดียวกัน แก้ผ้าผ่อนท่อนสไบหมดตัวเปล่าเล่าเปลือย วิ่งร้องไห้ไปทางพระพุทะเจ้ากำลังนั่งเทศอญุ๋ คนทั้งหลาย พากัน กว้างตีพระพุทธองค์บอก ปล่อยเขาเข้ามา แล้วมีคน เอาผ้าโยนให้ คุมกายของเธอ พระพุทธองค์ บอกว่า ดูก่อนน้องหญิง เธอห้องไห้ แบบนี้ มาแล้วจนนับชาติไม่ถ้วน ถ้าจะเก็บน้ำตาของเธอ ดูก่อนน้องหญิง อันน้ำ ในมหาสมุทรทั้ง ๔ ก็ยังมิเท่าน้ำ ตาของน้องหญิงเลย


    นี่แค่น้ำตา ของท่านพระนางปตาจาราเถรี องค์เดียวนะครับ ไม่เกี่ยวกับผู้อื่น พระตถาคตบอก ถ้าเก็บน้ำไว้ ตั้งแต่ที่ ร้องไห้ ที่เกิดมา แต่ละครั้งเพียงชาติละไม่กี่หยด มันมากกว่า น้ำในมหาสมุทร แล้ว เราปฏิบัติมามากายขนาดไหน แต่ละชาติ เกิดมาเวลาเรา ตัดได้นิดเดียว แล้วไปเกิดเกือกกั่วกับมันอีก จะให้ตัดได้อย่างไรเล่าครับ มันต้องค่อยเป็นค่อยไป คนที่อยู่มาปฏิบัติตัดได้เลยไม่มีหรอก นอกจาก เขาผู้นั้น บำเพ็ญมาแล้วด้วยดี จึงกระทำได้ ด้วยความโดยละม่อม ละมุนละไม
     
  20. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    มันเป็นกันทั้งนั้นแหละครับ ไม่มากก็น้อย ไปตามกำลัง ที่สั่งสมมา คนที่มีมาก ก็อยู่ที่ว่า ของใคร มีมากกว่ากัน หรือกำลังมากกว่ากัน ลูกศิษย์ พระสารีบุตร ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าสำเร็จมรรคผล เป็นพระอรหันต์ เร็วกว่า ลูกพี่ แต่พระสารีบุตร เป็นอาจารย์ บวช ๑๕ วันถึงได้เป็นพระอรหันต์ ใช้เวลานาน ไตร่ตรองนาน เพราะท่านมีปัญญามากกว่า ลูกศิษย์ นี่ดูตัวอย่างครับ และที่เป็นแบบท่านเจ้าของกระทู้ เป็นทุกคน จะมากจะน้อย เป็นเวลาไหน เท่านั้นเองครับ


    ส่วนผมเป็นมาก ขึ้นต้น ด้วยกามราคะ เวลาเจริญ สมาธิไปได้ชั่วระยะหนึ่ง เมื่อออกมาแล้ว อยากจะเสพกาม อย่างเดียว เวลาโกรธ มันเกิดจากอารมย์ ที่คนหรือสัตว์ มากวน ให้เกิด ๆแล้ว อารมย์ฉุนเยว หนัก มันจะเกิดพร้อมกันไม่ได้ แต่มันจะเกินในเวลาไร่เลี่ยกัน ก่อนหลังเท่านั้นครับ เวลาเกิด ถ้าเรา รู้ทันมัน มันมีอยู่แล้ว ต้องใช้ กรรมฐานกองไหรล่ะ ทุกคนรู้จัก จะเอามันมาใช้กันเปล่า เช่น รราคะเกิด เราก็ต้องใช้ อสุภะ พิจรณากาย กายคตา นุสติ นึกถึงความตาย และกรรมฐานกลางๆ พรหมวิหาร ๔ หรือถ้าโกรธ ก็ใช้ กรรมฐาน พรหมวิหาร ๔ หรือกสินกองต่างๆ มาใช้แทน


    หรือถ้า ปรามาส พระรัตนตรัย ก็ใช้กรรมฐาน อนุสติ ทั้ง ๑๐ มีพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ สีลานุสติ จาคานุสติ เป็นต้นครับ ถ้าไม่ได้ผล ก็ปล่อยให้มันคิดไป ถ้าโกรธก็อย่าไปต่อยเขาเข้าล่ะครับ ให้มันอยู่ในขอบเขตุ วิธีเยอะแยะครับ ค่อยๆทำไป ไม่มีใครทำวันเดียวได้หรอกครับ ถ้าในสมัยพระพุทธองค์เขาทำบารมีมาดีแล้ว ฟังธรรมครั้งเดียวได้ ดวงตาเห็นธรรม สำรเจมรรคผล เป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคามี เป็นพระอรหันต์ ค่อยๆไป สักวันเราก็จะเป็นผู้ชนะครับ ถ้าเราไม่ทิ้งความเพียรพยายาม
     

แชร์หน้านี้

Loading...