ทำสมาธิหน้าหัน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jerajajen, 7 มกราคม 2019.

  1. jerajajen

    jerajajen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2008
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +267
    ขอแชร์ประสบการณ์ที่เกิดจากสมาธินะครับ.. ผมทำสมาธิได้พักนึง รูัสึกเหมือนหน้าหันขวาบ้าง ซ้ายบ้าง แบบนี้เรียกว่าสภาวะใดครับ
     
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ สำหรับคุณ หากยังไม่รู้จัก "ต้นสาย-ปลายเหตุ" ที่แท้จริงแล้ว
    +++ เรียกไป มันก็แค่นั้น ไม่สามารถ "ให้มันทำงาน" ให้คุณได้

    +++ สำหรับผมและกลุ่มฝึก ตรงนี้ "เป็นหลักสูตรในการฝึก จิตเคลื่อนร่าง"
    +++ เพื่อเรียนรู้ ในกระบวนการ "เจตนา-อุปาทาน-กรรม-วิบาก" ที่เกิดจากจิต
    +++ รวมทั้ง กระบวนการ "ฉันทะ-วิริยะ-จิตตะ-วิมังสา"
    +++ เรียนรู้ กระแสต่อเนื่อง รวมทั้ง กระแสตัดรอน ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับ การทำงานทางจิต

    +++ ให้อ่านใน ลิ้งค์ข้างล่างนี้ ประกอบไปด้วย นะครับ
    https://palungjit.org/threads/348735/#post-6458989
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ถ้าคิดหาเหตุอะไรไม่ออกจริงๆ หรือไม่รู้จริงๆว่าเพราะอะไร
    ให้จำหลักไว้ ๒ ข้อพอ
    ๑.ถ้าทำสมาธิแล้วยังส่งผลต่อร่างกาย
    ให้ไม่ปกติจากท่าเดิมๆ แสดงว่า กำลังสมาธิสะสมเราไม่พอ

    ๒.ถ้าทำสมาธิแล้วไม่เข้าใจ ในกิริยาทางนามธรรมต่างๆ
    หรือมัวแต่สนใจว่า มันคืออะไร แต่ก็ไม่เคยรู้เองซักที
    ก็แสดงว่า กำลังสติทางธรรมเราไม่พอ.....
    รู้ว่า ไม่พอตรงไหน ก็เสริมตรงนั้น.....
    และถ้า นอกจากไม่รู้กิริยาทางนามธรรมแล้ว
    ยังไปสนใจอีก แสดงว่า หลงด้วยและกำลังสติไม่พอด้วย...

    แต่ถ้าทำสมาธิแล้ว แต่ในเวลาใช้ชีวิตปกติ
    ร่างกายไม่สมดุลย์(อาการปวด ป่วย ตึง แน่น ต่างๆ)
    แสดงว่า ร่างกายโดยรวม
    อาจจะไม่ปกติให้ไปรักษาทางโลกก่อน
    หรือ เป็นเพราะตึงหรือเครียดมากเกินไป

    นอกจากรักษากายแล้ว ก็ต้องรู้จักผ่อนคลายจิตใจบ้าง
    เช่น ทำอารมย์ให้แจ่มใส อาจจะเดินเล่นผ่อนคลาย
    หาโน้นนี่ทำ ให้อารมย์สบายๆ
    เหยียบหญ้า ทำบุญทำทาน ให้จิตสบายๆ อะไรประมาณนี้

    กิริยาที่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย
    ตลอดเรื่องนามธรรมต่างๆที่เข้ามา
    มันเป็นเรื่องธรรมดาของสมาธิครับ
    เราจะแป๊กทันที หากไปสนใจทุกๆกิริยาระหว่างทาง
    ก่อนที่เราจะถึงระดับที่สำเร็จ จนเกิดผล
    ให้นำสมาธินั้นมาใช้งานครับ...

    ถ้าเราจะไปได้ดี เราจะต้องไม่สนใจเรื่อง
    แบบนี้เลย ไม่ว่าจะเกิดสัมผัสหรือกิริยาใดๆก็ตาม
    เพราะนอกจากมันจะไม่มีประโยชน์
    ต่อการพัฒนาระดับสมาธิเราแล้ว มันยังเป็นตัวขวางเรา
    ให้พัฒนาได้ช้า เพราะมัวแต่ไปสนใจกิริยาทางด้านร่างกาย
    ทางด้านนามธรรมต่างๆ เหล่านี้นั่นเอง...

    จิตจะพัฒนาและมีคุณภาพได้ ในส่วนสมาธินั้น
    มันจะต้อง ละทิ้งเรื่องทางกาย(รูปธรรมในระหว่างฝึก)
    และไม่ยึดเรื่องนามธรรม(กิริยาต่างๆระหว่างทางเลย)
    โน้น จนกว่าจะสำเร็จในกรรมฐานกองนั้นๆที่ฝึก
    จนใช้งานได้แล้วค่อยว่ากัน เพราะมันจะย้อน
    รู้ทุกกิริยาที่เรา เคยผ่านมาได้หมด
    เหมือนเราขึ้นบรรไดขั้นบนสุดแล้ว
    เราจะมองเห็นขั้นอื่นๆได้เองนั่นหละครับ

    แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า เราจะยังคงต้องรักษากายนี้ไว้ให้เป็นปกติ
    ในชีวิตปกติประจำวัน
    เพราะทั้งกายและจิต เค้าอาศัยกันอยู่....
    กำลังมันถึงจะเอื้อ เพื่อให้เราไปต่อทางด้านปัญญาได้
    ก็จะตรงตามแนวทางพุทธฯได้ของเราเอง

    ประมาณนี้.......
     
  4. jerajajen

    jerajajen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2008
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +267
    เเสดงว่า สมาธิที่ดี จะไม่แสดงอาการอะไรเลยใช่ไมครับ
    ผมทำสมาธิช่วงแรกๆ จะเกิดปิติโน้นนี่นั้น แต่พอทำไปสัก 2 อาทิตย์ อาการต่างๆจะหายไป นานๆจะมีอะไรแปลกๆครั้งนึง
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ถามเรื่องสมาธิ แน่ใจนะ ว่าระบบหายใจ
    เราละเอียดพอ หายใจปกติได้ลึกพอแล้ว..
    กับการวางสายตาที่จะตัดความคิดจากสมอง เราชัวแล้ว......
    เพราะถ้าฐานไม่แน่ ฝึกไปเสียเวลาทิ้งเปล่าๆ
    ให้เวลา ๑๐ ถึง ๒๐ ปี ฝึกไปก็ไม่มีประโยชน์.....

    สมาธิที่ดีหรือสมาธิที่แท้จริง ต้องเป็นสมาธิที่เข้าได้โดยไม่ใช้
    ความชำนาญ เทคนิค วิธีการ กำลังจิต หรือวิธีการใดๆ
    ในการเข้าไป ซึ่งมันเป็นผลที่ได้มาจากเรื่องการเดินปัญญา

    ที่เราถาม หรือนำมาแชร์ประสบการณ์
    อยู่ในระหว่างทางของการฝึกสมาธิ
    เพื่อให้ถึงจุดที่มัน จะสามารถนำมาใช้ประโยชน์
    มาหนุนการเดินปัญญาเพื่อไปสู่สมาธิที่ดีที่แท้จริงได้
    ในอนาคตต่อไป
    ดังนั้น ณ สภาวะ ปัจจุบันนี้
    น่าจะใช้คำว่า เส้นทางการฝึกสมาธิที่ดี...เครเนาะ...

    ทั่วไป พวก ปิติ แสง สี เสียง ภาพวัตถุ บุคคลไม่ว่าดีหรือไม่ดี อาคาร สถานที่ หรือเรียกรวมๆว่า
    ภาพที่เป็น กิริยาต่างๆที่เกิดระหว่างทางที่เป็นนามธรรมเหล่านั้น
    คือ ลืมตามาแล้วมันหายไป หรือ อยู่ไม่ได้นาน หรือ เราเห็นเอง
    ของเราคนเดียว ทำให้คนอื่นๆเห็นเหมือนเราไม่ได้
    ในขณะฝึกที่สมาธินั้น
    มันถือว่าเป็นตัวขวางได้ทั้งหมด
    นั้นหละครับ...ขวางคือ ทำให้เรามัวไปสนใจ ไปยึด
    เลยเป็นเหตุให้เสียเวลา อะไรประมาณนี้
    ยกตัวอย่าง อาการ ปิติ ถ้าเราปล่อยสุดๆ แค่ครั้งเดียว
    มันก็ผ่านแล้วครับ พอมองภาพออกไหม
    ที่พลาดกัน คือ มัวไปตื่นเต้น คิดว่ามันประหลาด คิดว่าแปลก
    เลยเผลอไปยึด บ้างก็ยึดจะจนคิดว่า ตัวเองมีอะไรพิเศษกว่าใคร
    สรุปง่ายๆว่า ที่เราเคยอ่านเจอในตำรา ทั้งหมด
    ไม่ว่า กิริยาใดๆ แสดงว่า มันเป็นเรื่องธรรมดา
    ที่เราจะต้องเจอ ไม่งั้นท่านที่เขียนเรื่องเหล่านี้
    คงนำมาเขียนถ่ายทอดต่อๆกันมาไม่ได้...นี่คือแนวปฏิบัติทั่วไป

    ถ้าเรามาทางสมถะ มันจะไปได้ ๒ แนวทาง
    และ มันก็จะต้องตัด เรื่อง ภาพ แสง สีแสง
    สัมผัสอะไรต่างๆ อยู่แล้ว และต้อง
    นั่งจนกระทั่ง ตัวจิตแยกขาดกับร่างกาย
    และกำลังสมาธิสามารถควบคุมมันให้อยู่ในร่างกาย
    ได้นิ่งๆแล้ว ซึ่งต้องประมาณ ๓ ถึง ๔ ครั้งในการ
    เข้าถึงสภาวะนี้ ถึงจะพอมีกำลังในการควบคุมจิต
    ให้อยู่นิ่งๆได้แบบนี้ ก่อนไม่ใช่เรื่องหมูๆ..
    แล้วค่อยดูว่า มันจะไปแบบไหน ซึ่งเราจะไม่สามารถ
    บังคับหรือกำหนดได้เลยคือ
    ๑.มันวิ่งไปเองภายในร่างกาย จนเกิดการระเบิด
    ผลคือ จะตัดเรื่องร่างกายได้ถึงระดับละเอียด
    แล้วจะมาเดินปัญญาต่อไป ในเวลาลืมตาปกติ
    หรือ ๒. มันวิ่งซ้อนเข้าไปในตัวเอง แล้วระเบิดๆๆไปเรื่อยๆ
    ผลคือ จะเกิดความสามารถในระดับใช้งานได้ปกติ
    ในชีวิตประจำวัน เป็นความสามารถที่จิตเคยทำได้มาก่อน
    เช่น บางคนอาจจะได้ตาทิพย์ หูทิยพ์ ฯลฯ ยกตัวอย่างให้ฟัง


    และ
    แม้กระทั่งว่า เราจะขึ้นสมาธิในกรรมฐานที่ขึ้นด้วยภาพก็ตาม
    ซึ่งมันจะไปได้ ๓ ทางคือ ๑.สร้างกำลังจิต(ปั่นปภิภาคนิมิตในกำลังระดับสูง พอปั่นได้แล้ว แม้ปฏิภาคนิมิต เราก็ต้องทิ้ง) ๒.อฐิษจิตในกำลังระดับสูง(แม้ว่าจะอฐิษฐานจิตได้แล้ว ภาพปภิภาคนิมิตก็ต้องทิ้ง มันถึงจะแสดงผลให้เราเห็นได้แบบ
    ไม่ใช่ภาพ) ๓.ไปต่ออรูปฌาน(ต้องทิ้งรูปฌานก่อน เพราะไม่งั้น
    กำลังจะไม่เพียงพอ ที่จะเข้าถึงได้ และไม่ใช่นอนๆอยู่แล้วเข้าได้
    เห็นอวกาศ ที่คนไม่ต้องฝึกก็ทำได้ นี่ไม่ใช่อรูปฌาน เป็น
    พรวดพลาดอรูปไร้สาระ ทำให้คนหลงตัวเองมามาก)

    พวกนี้ ทั้ง ๓ แนวทางในระดับอุคหนิมิตนั้น(คือเรียกได้ว่าเป็นวงกลม สี่เหลี่ยม เป็นคน เป็นภาพพระ ภาพน้ำ ดิน ไฟ ฯลฯ) ต่อให้เป็นอุคหนิมิตตรง กรรมฐานกองนั้น
    มันก็ยังเป็นตัวขวางเหมือนดังที่เล่ามาข้างบน....
    เพราะมันเสมือน เป็น กิริยาทางนามธรรมที่เกิดขึ้นได้ระหว่าง
    ทางปกตินั่นเอง......

    ดังนั้น ถ้าเราต้องการผลจากการทำสมาธินั้น
    เราต้องเลิกสนใจ ภาพต่างๆเหล่านี้ไปเลย
    คือ เห็นก็ช่าง ไม่เห็นก็ช่าง ไม่ต้องไปอยากเห็น
    หรือไปรักษาภาพให้มันอยู่นานๆ เพราะมันคือกับดัก
    ในการพัฒนาระดับสมาธิของเรา ที่จะไปถึงจุดที่มัน
    จะเกิดประโยชน์ มีกำลังเพียงพอที่จะเข้าใจนามธรรม
    และนำมาใช้เป็นฐานในการเดินปัญญาได้......

    พูดง่ายๆว่า กิริยาทางนามธรรมระหว่างทาง
    มันเป็นตัวหลอกล่อให้เรา แวะก่อนที่จะถึงจุดพักรถ
    ที่ได้เตรียมไว้.....ถ้าลึกๆในใจเราชอบอะไร เค้าก็เอาที่เราชอบ
    มาหลอกนั่นหละ เช่น เราเป็นพวกชอบอ่านตำรา
    สูงๆ และคิดว่า เราชอบการบรรลุธรรม
    เค้าก็แปลงเป็นพระพุทธฯ แปลงเป็นครูบาร์อาจารย์ สร้างกิริยา
    พิเศษมาหลอกว่าเราบรรลุแล้ว....หรือ เราชอบเรื่องนามธรรมพิเศษเค้าก็หลอกหล่อให้เราไปดูโน้นนั่นนี่ไปเรื่อย...หรือ อยากเป็นผู้วิเศษ เค้าก็เอาเรื่อง ความสามารถทำได้
    แบบพิเศษ การรับรู้พิเศษต่างๆนาๆมาหลอกหล่อเรา
    ถ้าเราบ้าเรื่องโลกบ้าเรื่องจักรวาล เค้าก็หลอกให้เราไป
    เห็นเอกภพ เห็นจักรวาลโน้นนี่นั้น....สังเกตุไหม
    ว่ากิเลสมันฉลาดแค่ไหน.....อุบายในการทำให้
    เราแวะก่อนถึงจุดพักรถมีเยอะแยะ....
    ดังนั้น.
    ภาพต่างๆ กิริยาต่างๆ ที่เกิดในสมาธิ
    ให้เราแค่รู้ว่า มันเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา
    แต่อย่าไปยึดไปสนใจอะไรกับมันเท่านั้นพอ
    เราก็จะไปสู่จุดที่มันเกิดประโยชน์จริงๆ
    ต่อการพัฒนาคุณภาพของจิต
    ที่ยังอยู่ในแนวทางพุทธศาสนาของเราได้เองนั่นหละ....

    จำไว้ ตราบใดที่ยังเห็นเป็นภาพได้อยู่
    แสดงว่า มันยังมีสัญญาปรุงร่วมอยู่
    ไม่ว่าจะเป็นสัญญาจากภายในจิตเราเอง
    หรือสัญญาที่มาจากภายนอกส่งเข้ามา....

    ให้เข้าใจว่า มันเป็นเพียง กลจิต
    เป็นมายาจิตชนิดหนึ่ง..แม้เห็นได้ด้วยตาเปล่า
    ยังยึดไม่ได้ จะเอาอะไรกับแบบหลับตาเห็น...

    ซักวันหนึ่ง เรามาเดินปัญญา มาเพิ่มการสังเกตุ
    เด่วเราจะรู้เหตุแห่งการเกิดเป็นภาพนั้นๆได้เอง
    รวมทั้งกิริยาต่างๆเหล่านั้น ได้ด้วยตัวเราเองนั่นหละ......

    พอเข้าใจในภาพรวมเนาะ......
    ทำความเข้าใจให้ดีๆ
    จะได้ไม่มาเสียเวลากับเรื่องนี้เฉยๆ
    นัยยะ ทิ้งท้าย เผื่อเข้าใจได้ในอนาคต
    '' สมาธิถ้าได้แล้วมันจบ มันฝึกเอาอีกไม่ได้ ต้องทิ้งเอา ''
     
  6. jerajajen

    jerajajen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2008
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +267
    สาธุ กับคำสอนดีๆๆๆ ครับ
     
  7. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ หา... ไปเอามาจากไหน ไอ้นั่นมัน "สมาทึบ/หัวตอ" ไร้ประโยชน์สิ้นดี
    +++ ไปหาอ่านในเรื่อง "สัมปชัญญะ 4 ปิติ 5" แล้วทำให้ได้เสียก่อน ก็จะรู้ได้เอง
    +++ อย่าใช้คำว่า "ปิติ โน้นนี่นั้น" ถ้ามันไม่ตรงกับ อาการของ "ปิติ 5 ในพระไตรปิฏก"
    +++ วิบากตรงนี้ "จะกลับมาขวางการปฏิบัติ ของตนเอง"
    +++ วิบากของ "การใช้ภาษาผิดอาการ" จะสังเกตุรู้ได้ เมื่อมีอาการ "ไปต่อไม่ได้" เกิดขึ้น
    +++ หากอาการ "แปลกแต่จริง" เกิดขึ้น นั่นแหละ ควรทำ "รู้ธรรมเฉพาะหน้า ให้แจ้ง"
    +++ หากเป็นอาการ "แปลกเพราะมโน" ก็ควร "ดับมันทิ้งไป" หากดับไม่ลงก็ให้ "ถอนจิต" นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...