ทำสมาธิ ผมก็รู้สึกปวดหัวตึบๆ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย windness, 16 มีนาคม 2008.

  1. windness

    windness สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +0
    คือผมเป็นมือใหม่ แล้วพออ่านเสร็จผมเลยนึกอยากจะทำสมาธิดูเลยไปไหว้พระก่อน ที่จะนั่งสมาธิ หลังจากนั้นพอนั่งไม่นานก็รู้สึกเหมือน ใจสงบหนึ่ง ไม่คิดอะไรทั้งสิ้น แต่หูยังได้ยินเสียงจากภายนอกอยู่ แล้วก็รู้สึกเหมือนมองเห็นไรสักอย่าง คล้ายๆแบบ วูบๆวาบๆ สลับดำขาวไปมาละครับ แล้วเหมือนบางครั้งมันขาวมากๆแล้วเหมือนในร่างกายจะมีอะไรหลุดออกมาตอนหายใจเข้าแต่พอหายใจออกมันก็กลับเข้าไปใหม่ครับ แล้วพอสุดท้ายก็เห็ยวงกลมใสๆวงหนึ่งน่ะครับ แล้วพอเลืกทำสมาธิ ผมก็รู้สึกปวดหัวตึบๆเลยอะครับ อยากจะถามผู้รู้หน่อยครับว่าเกิดอะไรขึ้น ช่วยตอบทีครับ
     
  2. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,518
    ค่าพลัง:
    +27,187
    เกิดความฟุ้งซ่านขึ้นกั๊บ
    ไม่ต้องไปตามดูอะไร
    รู้ลมหายใจหรือกองกรรมฐานอื่นที่ตั้งไว้อย่างเดียวกั๊บ
    เห็นอะไรอย่างอื่นก็ทำใจเฉยๆไว้
     
  3. พระศุภกิจ ปภัสสโร

    พระศุภกิจ ปภัสสโร เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    2,015
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +11,166
    สมาธิ.....


    [​IMG]


    ทำต่อไปเถอะ....จิตมันละเอียดขึ้นอะไรเล็กๆน้อยๆมันก็ชัดเจนดูเป็นจริงเป็นจังแต่ ลองนั่งต่อไปอย่าสนใจเดี๋ยวมันก็ดับ เรานั่งเพื่อความสงบ สละคืน หลวงตาเป็นกำลังใจให้.......ขอมีกำลังใจบำเพ็ญเพียรต่อไป

    เจริญพร
    พระ12
     
  4. windness

    windness สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +0
    งับ

    ครับ ขอบคุณมากเลยนะครับ ไว้ผมจะลองทำอีกทีก่อนนอนครับ ผมจะทำต่อไปเรื่อยๆครับ

    คือลืมบอกไป ผมยังเด็กอยู่เลย เหอๆ แต่ผมรักในพระพุทธศาสนามากครับ จะหาคนนำทางได้ที่ไหนมั้งครับ
     
  5. i_cad

    i_cad สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +12
    บางทีเกิดจากร่างกายยังไม่ชินครับ เปรียบเหมือนเรา ไม่เคยเล่นกีฬาหรือวิ่งเร็วแต่อยู่ดีๆก็ลุกวิ่งเลย ผมเคยเป็นตอนลองเปลี่ยน วิธีฝึกสมาธิ ก็รู้สึกวิงเวียน แต่ฝึกต่อไปก็หายคงมีแต่ประโยชน์ ที่เราจะได้รับ
     
  6. windness

    windness สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +0
    ขอบคุณทุกท่านมากครับที่ช่วยชี้แนะผม ขออนุโมทนาให้กับทุกคนเลยครับ
     
  7. kong_sorakrit

    kong_sorakrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,771
    ค่าพลัง:
    +3,426
    ขออนุโมทนา

    เพ่งมากเกินไปจึงเกิดอาการกดทับธาตุ
    ผ่อนคลายอารมณ์ให้เป็นครับ
    ปฏิบัติเพื่อคลายความยึดมั่น อย่าไปติดเพ่งนะครับ

    เชิญฟังธรรมเทศนาโดย หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2008
  8. แสนสวาท

    แสนสวาท ชมรมสุวรรณภูมิธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2007
    โพสต์:
    2,399
    ค่าพลัง:
    +2,488
    อย่าเอาอะไรมาเปนข้ออ้างในการจะทำความดี
    คุณปฏิบัติดีแล้ว จงปฏิบัติต่อไป
    ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

    ปวดหัว ก็รู้เท่าทันมันค่ะ และวางลง เท่านั้นเอง
    ขอให้คุณโชคดี

    แสนสวาท
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    คนไม่มีประสบการณ์ผ่านมาก่อน
    ก็แนะนำมั่วไปเรื่อยเปื่อย
    นอกจากไม่เสนอวิธีแก้ไข
    หรือหาคำสอนที่เชื่อได้มาเพื่อ
    คอยแนะนำ จขกท เหมือนคนอื่นๆ
    ยังเสนอหน้า มาคุยฟุ้งไปเรื่อย


    วิธีการหนึ่งที่ได้ผลการ
    ปวดศรีษะเพราะเผลอ
    ใช้ความคิดเข้ามาปรุง
    ร่วมในขณะที่ฝึกสมาธิ
    แด้ด้วยการโน้มสายตา
    ปกติมามองที่ลิ้นปี่ เวลาหลับตานั่ง
    แค่นี้ก็หายแล้ว
    แล้วมันจะเปลี่ยนมามองภาพทางเหนือคิ้วแทน ซึ่งปกติมันจะยังไม่ชัด

    ไม่งั้น ถ้าใช้สายตา ๒ ข้าง
    ปกติมองเวลานั่ง
    ภาพที่สร้างมันจะเป็น
    การดึงความคิดจากสมอง
    เอามาร่วมสร้างให้เกิดทันใจเรา
    เห็นแบบที่เล่ามา เพราะจะเผลอเอาจิต
    ไปไว้ที่ศรีษะแบบไม่รู้ตัว
    (หน้าเผลอไว้ที่หน้าอก ก็ปวดหน้าอกอีก)
    ซึ่งมันไม่มีประโยชน์อะไร
    มันคือการมโนล้วนๆจากความคิด
    ข้อเสียคือมันจะส่งผลต่อบริเวณศรีษะนั่นหละ
    หรือตึงบริเวนที่เผลอเอาจิตไปไว้ครับ


    แล้วลมหายใจอย่าเผลอไปตามมัน
    แต่หายใจเข้าออกดันมันให้ลึกถึงท้อง
    แต่ระลึกรู้ว่าลมหยุดที่ปลายจมูกพอ
    ถึงจะมีภูมิต้านทานร่างกาย
    ที่เพียงพอไม่ส่งผลกระทบต่อกาย
    ไม่ว่าขณะนั่ง หรือเลิกนั่ง

    และเลิกสนใจ กิริยาทางนามธรรมต่าง
    ที่เล่ามาซะเพราะมันไม่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาสมาธิเลย เพราะมันสร้างจากความคิด. มันไม่ใช่ผลที่เกิดจาก
    สภาวะปกติของจิต

    ยกเว้นชาตินี้อยากอยู่แต่ระดับสูงสุดปฐมฌาน อยากเป็นสายมโนคิดเอา
    และอยากปวดหัวมากกว่านี้
    จนสุดท้ายเด่วก็เลิกนั่งสมาธิ
    ก็ตามใจครับ เพราะแบบนี้
    ให้ฝึกกรรมฐานอะไรทั้งชาติ
    ก็ไม่สำเร็จ ลำพังต่อให้พื้นฐานดีจะฝึกได้
    หรือเปล่ายังไม่แน่เลย

    สมาธิมันเป็นแค่การลดคลื่นความถี่ของจิต
    หรือพูดง่ายๆคือการข่มให้ใจสงบ
    เพื่ออนาคต จะเอาไปเป็นฐานสำหรับ
    การเดินปัญญาต่อ ส่วนความสามารถ
    ทำได้มากกว่าปกติของจิตมันเป็นแค่ผล
    พลอยได้ (ไม่ใช่ความสามารถเห็นนามธรรม
    ได้มากกว่าทั่วไป ที่พวกเด็กน้อยขี้โม้
    อยากให้คนมองว่าตนเองเก่งและ
    ไม่รู้เรื่องสมาธิอะไรชอบเอามาคุยอวด
    แต่ใช้ประโยชน์สาธารณะอะไรไม่ได้
    พวกนี้มันพวกไร้สาระเป็นกัน
    เพราะพิสูจน์ไม่ได้ และไม่ใช่ประเด็นหลัก
    ทางพุทธศาสนา)
    สมาธิฝึกแล้ว ต้องไม่ทำให้กายลำบาก
    แล้วกำลังที่ได้ ค่อยมาว่ากัน
    เรื่องเดินปัญญาต่อไปในอนาคต


     
  10. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    เพราะใช้สมองคิดมากเกินไปครับ
    วิธีฝึกสมาธิโดยไม่ให้ปวดหัวคือ
    ให้รู้แค่ว่าเรากำลังทำสมาธิอยู่แค่นั้น

    ไม่ต้องไปบังคับให้คิดอะไรทั้งสิ้น
    แค่ "รับรู้" ถึงลมหายใจเข้า-ออก แค่นั้นพอครับ
    ตั้งใจรู้ลมหายใจ แค่นั้น เรื่องอื่นทิ้งไปเลย
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    พูดมาก ทำรู้ดีทุกเรื่อง
    คิดเอาทั้งทั้งนั้น
    มโนทั้งนั้น ไม่เคยออกสนามจริงคุยโม้จัง

    ไม่ต้องพูดมากหรอก คือมะรึงโง่ทางปฎิบัติ
    ก็ยอมรับซะ ฝึกแบบคุณก็โง่ทั้งชาติเหมือนคุณนั้นหละ
    และทำเป็นคุยอวด สร้างภาพ อ้างแถไปเรื่อย
    พูดให้ตนดูดี ทำ ปากดี ดิสเครดิสคนอื่น
    ถ้าแน่จริงรับคำท้ามา อย่าเยอะ
    พูดเหมือนคนมีปมด้อย
    ไม่ใครคบหรือเปล่า

    แน่จริงรับคำท้ามาอย่าเยอะ
    ถ้าไม่แน่ก็เงียบไป ว่าไงน้อง

    พิสูจน์ถ้าอยากรู้ความจริง
    กล้าไหม กล้าเปิดเผยตัวเอง
    ให้โลกรู้ความสามารถที่แท้ของตนไหม
    ยอมรับความโง่ของตนได้ไหม

    อย่าเก่งแต่ปากน้อง
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    เหรอ เก่งจริงรับคำท้ามา
    จะได้แก้ข้อกล่าวขึ้โม้ไง

    ไม่ดีอยู่แล้วอย่าโง่ซิ พูดไปตั้งหลายรอบแล้ว
    ตรรกะความคิดไม่มีแล้วหรือ ๕๕
    ก็เพราะคุณโง่ไม่รู้ตัวจริงๆ เค้ามองคนถูก
    คุณ ถึงกระจอกขี้ปอด
    แบบนี้ไง ยังไม่รู้ตัวอีก
    โง่ต้องยอมรับมาตรงๆ ถ้าแน่ทำไมไม่
    รับคำท้าพิสูจน์ความสามารถมาเลย
    อย่าเอาแต่พิมพ์อิอิ
    ขี้ฝอยแบบ รกแมวไปได้ อิอิ
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    สติ สัญญา ทิฐิ วิปลาส รายต่อไป อิอิ
    ไม่สำเร็จกรรมฐานซักอย่าง
    คุยโม้ ท้าไม่กล้ารับ
    ฝอยอยู่ได้ โม้กระจอก อิอิ
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    เหรอ ตัวมะรึงมีกำลังเหรอ อิอิ

    เหรอ อิอิ
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ตรรกะเพี้ยน เพราะมะรึงโม้เอง
    เค้าเลยท้ามะรึง โง่จังวะ จะ แถเพื่อ ?
    คุยอวดนามธรรมเป็นตุเป็นเป็นตะ
    อวดความดี ๕๕๕
    ไอ้กบในในกะลา ๕๕๕
    ความสามารถแค่ห่างอึ่งอ่าง
    ทำเป็นปากดี มีแค่นี้เหรอ ๕๕ ถุยย
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    พูดสร้างภาพ เวลาโม้ไม่คิด อิอิ
    ติดตัวตน ขนาดด่าคนอื่น
    มันยังพูดยกตัวเองให้ดูดีได้ ๕๕๕
    ช่างไม่เข้ากับความสามารถที่มีเลย ๕๕๕

    มีแต่พวกเดิมๆนั้นหละ อิอิ
    หรือพวกขี้โม้สร้างภาพ
    หลงตัวเอง ปากดี ดิสเครดิส ขี้คุยนามธรรม
    แต่พอท้าแสดงความสามารถแล้วไม่กล้า
    เพราะกลัวเสียหน้าไง ตัวตนมันเยอะ๕๕
    ภาพมันเยอะพวกนี้ ถนัดแต่ดิสเครดิสกับสร้างภาพ ๕๕๕
    ว่าข้าแน่ แบบมะรึงนั่นหละ
    ที่จะมีเรื่องกับตรู

    แต่สำหรับเคสมะรึงคือ
    กระจอกและโง่จริงๆไง
    อย่าแถหาพวกเลย อิอิ
    พูดไปมีฝอย น้ำท่วมทุ่ง
    กระจอก โง่แล้วยอมรับ
    อนาคตยังพอฉลาดได้
    แต่ถ้าแบบมะรึง.
    จะบอกว่า ตรูรอพิสูจน์คำโม้มะรึงได้ทั้งชาติ
    เพราะชาตินี้มะรึงหมดสิทธิ์
    ที่จะฝึกกรรมฐานอะไรได้สำเร็จ ๕๕๕
    ตรรกะแค่นี้เข้าใจเนาะ
    ไอ่ขี้ฝอย ฝีมือกระจอก อิอิ
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ปากดีคงเป็นมะรึงแระ อิอิ ไอ้ตรรกะเพี้ยน
    เก่งจริงรับคำท้ามาเลย อิอิ
    จะได้รู้กัน จะได้เอาหน้าขี้โม้อย่างมะรึงมาโชว์ไง ไม่ชอบเหรอ อิอิ
    ขี้โม้แล้วป๊อด เงียบไป อย่าเก่งแต่ปาก ๕๕๕
    คือ มะรึงโม้ ยกตน ขี้คุย
    มาดิสเครดิส เลยท้าเฉพาะมะรึงไง
    ทำไมโง่จังวะ ไม่ต้องพูดหาพวกหรอก
    ไม่มีใครสนใจมะรึงหรอก
    ไอ้กระจอกบ้าน้ำลาย

    บอกรอบที่ ๔ แล้วว่าไม่เคยบอกว่าตัวเองดี
    แต่มะรึงยังโชว์โง่เอามาด่าเรื่อยๆ
    สัญญาวิปลาสเอ้ยหรือไม่ก็โง่จัด อิอิ
    ย้ำว่ารอบที่ ๔ อิอิ

    อิอิ อย่าแถ สร้างภาพให้ตนเองดูเหมือนดีเลย อิอิ เค้าเรียกพูดถูก อิอิ
    เช่น บอกว่ามะรึงขี้โม้ไร้ความสามารถ
    เช่นบอกว่า มะรึงสติ สัญญา ทิฐิ
    ตรรกะเพี้ยน เข้าใจเนาะ มีตรงไหนผิด
    ก็เรื่องที่บอกไป ๔ รอบ มะรึงยังจุดมาโชว์โง่
    ได้เรื่อยๆ ไม่รู้ตัวอีก อิอิ

    ถ้ากลัวว่าใส่ร้าย รับคำท้าพิสูจน์
    ความสามารถมาเลย อย่าเอาแต่เห่า
    อิอิ ชิวาว่า

    ไม่ต้องหาพวกหรอก ไอ้โง่ ขี้โม้กระจอก
    สงสัยมีปมด้อย ขยันพูดหาพันธมิตรจัง อิอิ
    เก่งให้เหมือนที่ปากดี ดิสเครดิสตรู อิอิ
    รอพิสูจน์ กล้าหรือเปล่า บักหำน้อย อิอิ


    มะรึงสำเร็จหรือไม่สำเร็จ
    ไม่หนักอะไรตรูอยู่แล้ว อิอิ
    เพราะตรูบอกแล้ว หน้าอย่างมะรึง
    ชาตินี้ จะฝึกทุกกรรมฐาน
    ที่มะรึงมาแนะนำไม่สำเร็จหรอก อิอิ
    ไม่ต้องห่วง รับรองว่าดูไม่พลาด อิอิ
    ตัวมะรึงมันมีวิบากอื่นๆอยู่ อิอิ


    แต่แปลกนะ ความจริงประโยค
    ให้ดีอย่างปากเก่ง น่าจะเป็นประโยค
    ที่ตรูใช้ด่ามะนึงนะ ๕๕๕
    ทำไมไม่รับคำท้าจะได้รู้กันไปเลย อิอิ


    สงสัย สัญญาไอ้นี่จะวิปลาส ตรรกะเพี้ยนแระ
    ตรูท้ามะรึงตั้งหลายรอบ มะรึงไม่กล้ารับ
    คำท้า ดันมาทำพูดดี ว่าตรูให้ดีอย่างปากเก่ง
    คิดได้ไงวะ โม้มากจนเพี้ยน
    โครตขำ ๕๕๕



    แผ่บุญ สติ สัญญา ทิฐิ ตรรกะ เพี้ยนแระ
    Bye ^_^ โม้จนเพี้ยน ขำ
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ได้แต่คำโม้ ไปงั้นๆ โม้กระจอกด้วย
    อย่างมะรึงเค้าเรียก
    “ชิวาว่า โง่สุทธิ” ไม่ใช่โพธิ
    บักขี้โม้ไม่เจียมตัว ไม่เจียมความสามารถ
    ที่ข้าพเจ้าว่าไปไม่ต้องรับหรอก
    เพราะเป็นอยู่แล้วปกติ
    ทุกเรื่องที่ว่านั้นหละ
    ทั้งสติ ทิฐิ สัญญา ตรรกะ วิปลาส
    ฝีมือหางอึ่งอ่าง ปัญญาวกวน
    กลัวเสียหน้า เอาแต่แถ แต่ไม่กล้าพิสูจน์
    สันดานไม่ต้องพูดถึง
    ไม่ใช่การดิสเครดิส
    แต่พูดตามความเป็นจริง ณ ปัจจุบัน
    ขนาดแถยังโม้ ไม่เจียมตัว
    อิอิ พ่อ ชิวาว่า โง่สุทธิ

    คุยว่าตน ภูมิจิต โพธิฯ
    ๕๕๕ ความสามารถเท่าหางอึ่ง
    นิสัยแบบนี้นะ. ขำยันดาวเสาร์

    สันดานที่มะรึงชอบยกเอาคำสอนครู
    บาร์อาจารย์มาอ้างเพื่อ กล่าวหาคนอื่นๆ
    นั่นหละ เป็นวิบากส่วนหนึ่ง
    ที่ชาตินี้ หน้าอย่างมะรึง จะฝึกกกรมฐานอะไร
    ไม่สำเร็จจนใช้งานได้ซักกอง อิอิ

    Bye
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035

    เลยวันพระมาแล้ว เด่วจัดให้นะครับ
    และจะบอกเอาไว้อย่างหนึ่งนะครับว่า
    พระธรรม เป็นตำรา สามารถ เขียนบันทึก
    ต่อเติม ดัดแปลงและเสริมแต่งได้
    ตามแต่ระดับการปฏิบัติของ
    ผู้ที่นำมาถ่ายทอด........
    ส่วนธรรมะนั้น เป็นสภาวะธรรม เป็นนามธรรม
    ไม่มีสิ่งใดสามารถมาเปลี่ยนแปลงได้
    พระพุทธเจ้า ท่านบรรลุธรรม
    เพราะพระธรรมหรือธรรมะ
    ให้ไปพิจารณาเอาเอง

    และตามมารยาททางสังคม สิ่งที่ไม่ควรที่จะต้องให้ใครมาสอน
    สิ่งที่เราควรทำให้เป็นนิสัยคือ การให้เครดิสต้นฉบับข้อความ
    เพราะถ้าไม่ทำแล้ว ถือว่าเป็นการเสียมารยาทอย่างมาก
    บางที่ ก็มีการฟ้องร้อง ถ้าเป็นนักวิชาการถือว่าเป็นอะไรที่แย่มาก
    ในบางมหาวิทยาลัยถึงกับไล่ออกก็มี....ถ้าเราเป็นคนธรรมดา
    คนจะมองว่า เราขาดการอบรมเรื่องมารยาทตรงนี้มา.....
    บางคนที่เจตนาดี ตั้งใจในการนำเสนอ
    ก็อย่าลืมเรื่อง การให้เครดิส เจ้าของบทความตรงนี้นะครับ


    บอกก่อนนะครับ ข้อความข้างบนที่
    นาย แผ่บุญ คนนี้ นำมา
    เพียงเพื่อที่จะเอาชนะ เพื่อยกตนเองให้ดูดีนั้น
    เนื่องจาก มีการวิวาทะกัน และ นาย แผ่บุญ คนนี้
    คุยยกตน กล่าวหาข้าพเจ้า เชิงปรามาส ดิสเครดิส ดูถูก
    (พอๆกับ ที่ข้าพเจ้าได้ดูถูกนาย คนนี้คืนเช่นกัน
    แต่เพื่อให้ความจริงปรากฏ ว่าคำพูดใคร
    เป็นความจริง คำพูดใครคือการปรามาส ดิสเครดิส
    ระหว่าง ๒ คน จึงมีการ
    ท้าให้มาแสดงความสามารถ)

    แต่นาย แผ่บุญ กลับ ไม่กล้าที่จะทดสอบ ความสามารถ
    และก็คุย ดิสเครดิส ยกตนเองอยู่เรื่อยไปนั้น
    สุดท้าย เลยเอา คำสอนมาเพื่อต้องการที่จะเอาชนะ
    ซึ่งผิดกับ ปฏิปทา ของครูบาร์อาจารย์ท่านเหล่านั้น
    ส่วนหนึ่งมีในแหล่งข้อมูลดังต่อไปนี้

    http://www.geocities.ws/tmchote/Thumma/General/gn047.htm

    เป็นข้อความที่ปรารถระหว่าง พระพุทธเจ้า กับ พระเถระท่านหนึ่ง
    ดั้งข้อความเบื้องต้นว่า

    ''พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเถระรูปหนึ่งชื่อ อุชฌานสัญญี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ปรวชฺชานุปสฺสิสฺส"''
    และก็มีข้อความอื่นๆอีกมากมาย......


    และจากแหล่งข้อมูลอื่นๆ ก็พบว่า
    ๑.มีการแปลความหมายที่แตกต่างกัน
    รวมทั้งบริษท ที่ยกมาก็แตกต่างกัน
    เช่น แหล่งข้อมูลนี้

    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=28&p=11

    ๒.บางแห่งก็มีการวิเคราหะ์ใส่ความเห็นตนเองเข้าไป

    เช่น แหล่งข้อมูลนี้

    http://www.geocities.ws/tmchote/Thumma/General/gn047.htm

    ๓.ข้อมูลบางแหล่ง ก็มีการแปลความ ตามแหล่งข้อมูลที่ได้อ้างอิงมา เช่น
    ข้อมูลที่มาจากแหล่งข้อความนี้...


    http://www.watpitch.com/buddhist-proverb-617.html

    ดังนั้นเป็นสิ่งยืนยันได้ว่า พระธรรมที่เป็นตำรานั้น
    สามารถดัดแปลง ต่อเติม เปลี่ยนแปลงได้
    ทางปฏิบัติเราจึงใช้เป็นแนวทางได้
    แต่ยึดไม่ได้เลย....


    แต่นี่ขนาดเคยเขียนบอกไว้แล้วในกระทู้ก่อนที่
    คุณจะยังเอามาอ้างอิง แต่ก็ยังทำอีก
    ไม่เป็นไร ถือว่า กรรมใครกรรมมันนะครับ



    เคยบอกไปแล้วว่า
    พวกที่เอาคำสอนครูบาร์อาจารย์ท่านต่างๆ
    เอามาเพื่อเอาชนะคนอื่นๆนั้น วิบากกรรมมันแรงนะครับ
    คำสอนมีไว้แผ่แพร่ เป็นสาธารณะ มิใช่มีเอาไว้
    เพื่อประโยชน์แห่งตน ยิ่งเป็นประโยชน์ในทาง
    ที่เต็มไปด้วยกิเลสในใจตน เป็นการทะเลาะกัน
    มันเป็นเรื่องส่วนตัว ผลจะยิ่งแรง
    จะส่งผลให้ชาตินี้ ใครก็ตามที่ทำ ชาตินี้
    จะฝึกกรรมฐานด้านนั้นๆ
    ที่ครูบาร์อาจารย์ท่านนั้นชำนาญ
    ไม่มีทางสำเร็จได้เลย
    เอาศรีษะเป็นประกันได้เลยครับ....


    และถ้าหากว่าท่านที่คุณเอามาอ้าง
    เป็นทางด้านปัญญา ก็จะส่งผลให้ปัญญาทางธรรม
    ตัวเองวกวนทั้งชาติ จะไม่พ้นติดอยู่ในระดับสัญญาความจำได้
    พูดง่ายๆว่า เป็นบุคคลที่มีความคิดวกวนทางด้านปัญญานั่นเอง

    ปล. ย้ำว่า ข้อความที่ นาย แผ่บุญ ยกมานั้น
    เป็นข้อความที่ปรารถ ระหว่าง
    พระพุทธเจ้า
    กับพระเถระนามว่า อุชฌานสัญญี
    ไม่ใช่ฆารวาสกับฆารวาสนะครับ
    ดังนั้น อย่าหลงประเด็นตรงนี้
    แบบนี้ ทางโลกเรียกว่า
    สัญญา ทิฐิ สติ วิปลาสครับ


    อีกส่วน จากแหล่ง ข้อมูลที่นาย แผ่บุญ ที่ปัจจุบัน
    มักจะไปขุดกระทู้เก่าๆ ขึ้นมาแนะนำ
    ทางด้านกรรมฐาน ที่ต้นเองฝึกไม่สำเร็จเลยซักอย่าง
    และมักบอกว่าเป็นความคิดตนเองนั้น
    และได้นำมาลงเพื่อเจตนาเอาชนะนี้
    ซึ่ง ไม่ให้เครดิส ที่มาของแหล่งข้อมูล อีกเช่นเคยนั้น
    พบว่า



    ๑.ข้อมูลบางแหล่ง ก็ตัดมาเพียงบางส่วน แล้วก็เพิ่ม
    ข้อมูลอื่นๆเข้าไปเสริมแต่ไม่มีการอ้างแหล่งที่มาข้อมูลเสริม
    เช่น แหล่งข้อมูลนี้




    ๒.ข้อมูลบางแห่ง ก็นำหลายๆแหล่งข้อมูลที่เป็นของท่าน
    มารวมกัน เช่นแหล่งข้อมูลนี้
    http://www.trueplookpanya.com/true/ethic_detail.php?cms_id=17578


    ๓.ข้อมูลบางแห่ง
    ก็มีการเพิ่มเติมเข้าไปโดยไม่มีแหล่งที่มาขอข้อมูล
    เช่น แหล่งข้อมูลนี้
    https://www.facebook.com/1627889384181461/posts/เรื่อง-นิสัยคนพาล-ย่อมเพ่งโทษผู้อื่นเป็นวัตรเตือนอะไรก็ไม่ประเสริฐเท่า-เตือนตน-น/1642711692699230/


    ๔.บางแหล่งข้อมูลก็นำมาเพียงแค่บางส่วน เช่น
    http://notedhamma.blogspot.com/2017/05/blog-post_30.html?m=1

    ๕ บางแหล่งข้อมูลบริษทภายในแตกต่างกันออกไป
    เช่นแหล่งข้อมูลนี้

    http://www.polyboon.com/worship/dhumma02_0820.html


    จำไว้นะครับ เป็นนักปฏิบัติอย่าริกระทำ กิริยาอะไรแบบนี้อีก
    เราควรตระหนักว่า
    ๑. ทำไม ณ ปัจจุบันนี้ เราถึงฝึกกรรมฐานอะไรไม่สำเร็จถึงระดับ
    ใช้งานได้เลย
    ๒. ทำไมเราถึงเข้าถึงผลของกรรมฐานได้ เพียงแค่การใช้ความคิด
    ไม่ได้มาจากประสบการณ์และการปฏิบัติ
    ๓. ทำไมเวลาพูดเรื่องทางด้านปัญญา เราจึงวกวนอยู่กับแต่
    สัญญาความจำได้
    ๔. ทำไมเราถึงติดอยู่กับเรื่องนามธรรมต่างๆสิ่งที่ตนเองสัมผัส
    ถึงขั้นเอามาคุยโม้โอ้อวดตน
    ๕. ทำไมเราถึงคิดว่าตนเองเก่ง ถึงขั้นกล่าวหาว่า คนอื่นๆ
    กระจอกได้ ถ้าเก่งกว่าเค้า ทำไมถึงไม่กล้ารับคำท้าแสดงความสามารถ
    ๖. ทำไม ปัจจุบัน ถึงไม่มีความสามารถในการเพื่อทำความเข้าใจ
    ทำไมถึงขาดเหตุผล ให้คนอื่นขุดคุ้ยข้อความที่ตนเองเขียนเอง
    เอามาด่าได้เรื่อยๆ
    ๗. ทำไม ถึงกล้า คุยว่า ประกาศตนเองว่าเป็น
    จิตโพธิ ทั้งๆที่นิสัยแบบนี้
    ความสามารถแบบนี้ พฤติกรรมเช่นนี้....
    เพียงเพื่อแค่จะยกตนเอาชนะคนอื่นๆนะหรือครับ...
    ๘. สังเกตุเห็นไหม ว่า สติ ตรรกะ สัญญาความจำได้จากการอ่าน
    ทิฐิความเห็นของตัวเอง มันไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่อง
    เช่น ดูถูกคนอื่นๆว่า กระจอก พอเค้าท้าคืนไม่รับคำท้า
    ยังยกตัวเองข่ม คุยข่ม ดูถูก คืน แล้วอยู่ดีๆก็มากล่าวหา
    คนอื่นๆในเรื่อง ที่มีแต่ตนเองที่จะคิดได้ เช่น ลับหลัง
    หมาลอบกัด และมาท้าคนอื่นๆคืน ทั้งๆที่ไม่ได้เคยดูถูก
    ในเรื่องนั้นๆไว้.....พอเห็นตัวอย่างนะครับ.....

    ปล. วิบากเรื่อง การเอาคำสอน ครูบาร์อาจารย์
    มาเพียงเพื่อเอาชนะคนอื่นๆ เพื่อยกตนให้ดูดีนั้น
    มันแรงนะครับ......

    ส่วนตัวยืนยันได้เลยว่า
    การแนะนำคุณเรื่องกรรมฐาน
    และเรื่องปัญญา ยังไงชาตินี้
    ก็ไม่พ้นความคิด ไม่ได้มาจากประสบการณ์
    เพื่อที่จะเป็นแนวทางให้ผู้แนะนำได้ผ่าน
    หรือข้ามสภาวะนั้นๆได้หรอกครับ...
    และคุณจะไม่มีทางเข้าถึงเรื่องกรรมฐาน
    ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานด้วย
    เพราะนิสัย ที่ชอบเอาชนะคนอื่นๆ
    ด้วยการอ้างข้อความ ครูบาร์อาจารย์
    เพียงเพื่อที่จะเอาชนะนี่หละครับ....

    ปล. โชคดีนะครับ ....
    ด่าข้าพเจ้าว่า กระจอก ดูถูก ดิสเครดิส ข้าพเจ้าไว้
    ข้าพเจ้าจะรอและพร้อม
    พิสูจน์ความสามารถนะครับ
    ไม่ต้องอ้างความดี อ้างเรื่องไม่มีกิเลสนะครับ

    ว่าแต่อย่าเพี้ยนก่อนแล้วกัน ^_^

     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    เตือนตนเองได้นะดีครับ
    มีคนคอยเตือนก็ยิ่งดีครับ
    แต่ก่อนที่ใครซักคน จะไปเตือนคนอื่นๆได้

    ตนเองควรต้องมีดีก่อน คุณมีดีอะไรหรือยังครับ ? ^_^
    ในบางแหล่ง ข้อมูล ที่คุณ เอามาบางส่วน
    ก็ได้บอกไว้ เช่น บอกคนห้ามดื่มเหล้า
    ตนเองก็ควรไม่ดื่มด้วย ประมาณนี้


    ดังนั้นจะบอกคนอื่นให้ละวาง
    ตนเองก็ควรละวางตัวตนให้ได้ก่อน
    และมีความชำนิชำนาญด้วย
    คุณ มีความสามารถ ทางสภาวะจิต
    เป็นอย่างนั่นหรือครับ ? ^_^ แค่ถามนะ
    ไม่ได้ดูถูก

    ในบทความที่คุณ เอามาอ้าง
    บางแหล่งข้อมูล ยังพูดการปฏิบัติด้วยนะครับ
    เช่น แหล่งข้อมูลบางช่วง ซึ่งช่วงที่ซ้ำคงไม่ยกมาได้กล่าวว่า
    คลิ๊กที่ภาพได้เลย เป็นเครดิส เจ้าของข้อมูลครับ



    ''แต่ถึงแม้ว่าจะกระทำตัวดีแล้วก็ตาม ก็อย่าไปว่ากล่าวตักเตือนผู้อื่นโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ หรือไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน คนเราจะทำอะไรต้องใช้ปัญญา เพราะบางทีการพูดสิ่งที่ถูกต้องแต่ตรงเกินไปจนไปทำร้ายจิตใจ หรือทำร้ายศรัทธาคนอื่น อันนี้ก็ไม่สมควรเช่นกัน การตักเตือนโดยไม่ใช้ปัญญานั้นแทนที่เขาจะเชื่อและได้บุญ แต่กลับกลายเป็นได้บาปมาแทน เช่น เห็นคนไหว้ผีขอหวย ก็เดินไปบอกตรงๆเลยว่าเขาโง่ แม้จะเป็นเรื่องจริง แต่ทำแบบนี้อาจจะโดนดีได้เหมือนกัน ทางที่ดีหากมันเกินความสามารถของตัวเองจริงๆก็ปล่อยไปดีกว่า มัวแต่เก็บมาคิดที่จะว่าแต่คนอื่น บาปก็จะเข้าตัวเองไปด้วย

    หากท่านบรรดาพุทธบริษัทเป็นนักปฏิบัติธรรมจะทราบดีว่า ในขณะที่คิดจะต่อว่ากล่าวโทษผู้อื่น เราทำไปเพื่อสิ่งใด หากทำไปด้วยความเมตตาและใช้ปัญญา อย่างนี้ถือว่าใช้ได้ แต่ถ้าทำไปด้วยความอวดรู้อวดเก่ง หรือเพราะความอิจฉาริษยา อย่างที่เป็นโทษแน่นอน เพราะจิตใจอารมณ์เป็นอย่างไร มันจะแสดงออกมาทางคำพูดและร่างกาย โดยที่คนเราจะไม่รู้สึกตัว แต่บางทีคนฟังนั้นรู้สึกตัว ทำให้คนฟังไม่ศรัทธากับสิ่งที่เราพูดได้ อีกประการหนึ่งในการตักเตือนผู้อื่นที่ถูกต้อง เราเองควรทำได้อย่างชำนิชำนาญแล้วด้วย เช่นจะห้ามคนอื่นดื่มเหล้า ตัวเราเองก็ควรเป็นคนไม่ดื่มเหล้าด้วย ก็ถ้าตัวเองดื่มเหล้าอยู่ จะรู้วิธีหยุดดื่มจริงๆได้อย่างไร สอนไปก็มีแต่จะผิด และสิ่งที่สอนไปนั้นก็จะแว้งมากัดเราเองได้''

    ไม่ทราบว่า ส่วนตัวจะอ้างแหล่งข้อมูล แบบคุณได้ไหมครับ
    ได้ซิครับ เพราะมันใช้แค่การปี๊แปะ
    ต้องถามว่า ทำแล้วได้อะไร ?


    อยากจะถามว่า คุณมีความชำนิชำนาญอะไรแล้วหรือยัง ?
    คุณสามารถที่จะเตือนข้าพเจ้าได้ สบายๆครับ
    ถ้ามีความชำนาญแล้ว ดังนั้น ข้าพเจ้าขอท้าพิสูจน์เรื่อง
    การละวาง ความสามารถในการใช้จิต
    เพื่อละวางได้ไหมครับ อยากจะทราบว่า
    คุณมีความชำนาญแค่ไหน พอที่จะแนะนำเตือนข้าพเจ้าได้ไหม
    เข้าใจนะครับ .....การพูดให้ตัวเองหล่อ มันคือการละลางหรือครับ
    พูดยังไงก็ได้หรอกครับ แต่ต้อง
    หัดเจียมตัวเองบ้างนะครับ
    หรือหัดส่งกระโหลก ชโงก ดูตัวเองบ้างนะครับ


    ขอบคุณที่เตือนนะครับ แต่ไม่ทราบว่า รู้จัก มารยาท
    ในการอ้างอิง ที่ต้องให้เครดิส แหล่งข้อมูลที่เอามาอ้าง
    หรือเปล่าครับ ต้องเรียนรู้ไว้บ้างนะ บอกหลายรอบแล้ว


    แต่ไม่ต้องห่วงว่า ข้าพเจ้าจะสติวิปลาสแบบคุณนะครับ
    สบายใจได้ ส่วนเรื่องละวาง ก็ขอบคุณที่บอกนะครับ


    การก๊อบปี๊ คำสอนเดิมๆ เอามา เพื่อชนะคนอื่นๆ
    ถึง ๒ ครั้ง ใน ๒ กระทู้ คือ การละลางได้หรือเปล่าครับ ?


    ถ้าใช่ ก็ ตรรกะ และ ทิฐิ คงวิปลาสแล้วหละครับ


    อ่าน บรรทัดสุดท้าย ของคุณ แล้ว ดูคุณหล่อ คุณเก่ง ดูเป็นคนดี
    ดูเท่ห์ สาวๆกรี้ดกร๊าด ตู้ดเกย์คงกรี๊ดสลบนะครับ(ประชดนะครับ)


    ข้อความก็ซ้ำเดิมๆ ไม่ทราบว่าได้อ่านก่อนหน้านั้นหรือไม่
    คงไม่อ่านหรอกครับ เมื่อวานวันพระ ส่วนตัว
    เลยไม่ได้โต้ตอบ เพราะรู้ว่า คุณ สัญญา และตรรกะคุณเริ่มวิปลาส
    คุณจะไม่มีความสามารถในเรื่องเหตุและผล
    และการอ่านทำความเข้าใจครับ



    วิบากใครก็วิบากมันนะครับ
    วิบากการอ้าง ธรรมะคำสอน
    เพื่อเอาชนะคนอื่นๆมันแรงนะครับ
    คือ อ้างมาแล้ว ถึง ๒ ครั้ง ใน ๒ กระทู้
    ไม่ทราบว่า สมองเสื่อมหรือเปล่าครับ
    รู้ใช่ไหม ว่าบริษท ของบทความทั้งหมด
    ที่น่าเชื่อถือได้ กล่าวถึงประเด็นอะไรบ้าง
    รู้ใช่ไหม ว่าบางบทความ
    เป็นคำปรารถ ระหว่าง บุคคลท่านใดบ้าง...


    เข้าใจว่า ทิฐิ สติ สัญญา ตรรกะคุณวิปลาสไปแล้ว
    เรื่อง ปัญญาก็วกวนกับสัญญาต่อไป
    รวมทั้งเรื่องกรรมฐานที่แนะ ก็ไม่พ้นสัญญาหรอกครับ
    และก็เรื่องกรรมฐานก็ฝึกอะไรไม่สำเร็จในชาตินี้
    เพราะวิบากการทำอย่างนี้นี่หละครับ
    ยังไงก็รักษาสุขภาพด้วยนะครับ ^_^
     

แชร์หน้านี้

Loading...