ทำอย่างไรจึงเรียนเก่ง(ถอดระหัสบุคคลอัจฉริยะ..พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) )

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย ปฐมฌาณ, 4 กรกฎาคม 2012.

  1. ปฐมฌาณ

    ปฐมฌาณ เป็นและตาย..อยู่ใกล้กัน..เพียงลมหายใจ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    486
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,870
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600><TBODY><TR><TD>
    บทความธรรมประยุรวง หนังสือธรรมประยุรวง เรียบเรียงจากปาฐกถาที่แสดง ณ ชาติภูมิสถานของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600><TBODY><TR><TD>
    ...ขอถวายความเคารพแด่ท่านพระเถรานุเถระ ซึ่งมีท่านพระครูศรีประจันต์คณารักษ์ เจ้าอำเภอคณะศรีประจันต์ และท่านพระครูโสภณสิทธิการ เจ้าอาวาสวัดพยัคฆาราม เป็นต้นเป็นประธาน ขอเจริญพรท่านสาธุชนซึ่งมีท่านผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นต้น เป็นประธาน และขอเจริญสุขสวัสดีแด่นักเรียนทุกคน








    ...วันนี้พวกเรามาประชุมกัน ณ สถานที่ที่เป็นประวัติศาสตร์ มานั่งฟังธรรมกถา ณ สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นมาตุภูมิ เป็นที่เกิด เป็นที่ศึกษาเล่าเรียนเบื้องต้นของบุคคลสำคัญของโลกคนหนึ่งนั่นคือท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) พวกเรามาร่วมกันทำบุญอายุวัฒนมงคลของท่านเจ้าคุณอาจารย์ อาตมาตั้งใจจะมามีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น แต่เนื่องจากวันนี้ติดการบรรยายอยู่ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (ว.ป.อ.) เมื่อบรรยายเสร็จก็รีบเดินทางมาร่วมงาน
    • ถอดรหัสบุคคลอัจฉริย
    ...เมื่อมาถึงแล้วก็ได้เห็นว่า อาคารบ้านเกิดของท่านเจ้าคุณอาจารย์ที่ตั้งอยู่ด้านหลังของอาตมา

    [​IMG]

    ผู้บรรยายอยู่นี้ได้รับการปรับปรุงมากกว่าปีที่แล้ว และได้ทราบว่าในรอบปีที่ผ่านมามีคนมาเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้นับพันคน ในจำนวนนี้ นักเรียนจำนวนไม่น้อยก็คงได้มารู้มาเห็นกับเขาด้วย สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยมา วันนี้ต้องตั้งใจดูและเรียนรู้ให้มาก เพราะเราจะร่วมกันศึกษาและถอดรหัสความเป็นอัจฉริยะของท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์มาซึมซับไว้ในใจ


    ...เวลาที่เรากราบพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ เรารำลึกนึกถึงพระคุณของพระรัตนตรัยเอามาเก็บไว้ในใจเรา ในทำนองเดียวกัน เวลาที่เรามาเห็นภาพและศึกษาชีวิตของหลวงพ่อพระพรหมคุณาภรณ์ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก เป็นนักเรียน และเป็นสามเณร เราจะเกิดแรงบันดาลใจว่า วันหนึ่งเราจะเป็นคนที่ฝากสิ่งที่ดีงามไว้กับโลกนี้เหมือนกับที่ท่านได้ทำไว้นั้น

    ...เราอาจจะไม่ยิ่งใหญ่เหมือนท่าน เพราะท่านเป็นบุคคลสำคัญของโลก ได้รับรางวัลจากองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโก (UNESCO) ในเรื่องการศึกษาเพื่อสันติภาพ วันที่ท่านไปรับรางวัลที่กรุงปารีสนั้นยิ่งใหญ่มาก เมื่อกลับมาก็มีการนำเรื่องราวชีวิตของท่านมาเล่าขานและฉลองกันที่สุพรรณบุรี เพราะท่านเป็นคนสุพรรณ รู้ได้อย่างไรว่าท่านเป็นคนสุพรรณ ก็เพราะบ้านเกิดของท่านอยู่ที่นี่ คงมีไม่กี่คนในประเทศไทยที่จะได้มาที่นี่ พวกเรามากันก่อนใคร วันนี้พวกเราได้มารู้มาเห็น ต่อไปต้องทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์บอกเพื่อน ๆ น้อง ๆ ที่มาจากต่างจังหวัด ว่าหลวงพ่อพระพรหมคุณาภรณ์เคยอยู่ตรงนี้ที่ศรีประจันต์ มีบ้านหลังนี้เป็นหลักฐาน

    ...โดยทั่วไปจะมีการเก็บสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญของโลกเอาไว้เป็นอนุสรณ์สถาน เมื่อไปที่สหรัฐอเมริกาเราจะเห็นบ้านของประธานาธิบดีลินคอล์น(Abraham Lincoln) ใครทำประโยชน์ยิ่งใหญ่ตรงไหนในโลก เขามักเก็บสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลนั้นไว้เป็นอนุสรณ์

    ...สถานที่เกิดของบุคคลสำคัญโลก คนจะชอบไปดู บุคคลยิ่งใหญ่คนหนึ่งที่คนทั่วโลกชอบไปดูสถานที่เกิดกันมากก็คือ พระพุทธเจ้า เมื่อสองเดือนที่แล้วอาตมาไปดูสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่พุทธคยา ต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าประทับนั่งตรัสรู้ยังอยู่ คนทั่วโลกมารวมกันที่นั้น สถูปหรือเจดีย์พุทธคยาดูเด่นตระหง่าน คนมากันทั่วโลกเพื่อเยี่ยมชมสถานที่ที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า

    ...อาตมาสังเกตดูว่าทำไมเขาไปกันที่นั่น เมื่อสังเกตตัวเราเองก็พบว่า เวลาอยู่ใต้ต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เรามีโอกาสนึกย้อนกลับไปถึงวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ตรงนี้ พระยามารมาผจญตรงนั้น เราไม่ต้องไปอ่านหนังสือพุทธประวัติที่ไหนเราก็เห็นเป็นภาพแล้วเกิดแรงบันดาลใจรู้สึกศรัทธาพระพุทธเจ้ายิ่งขึ้น ตอนนี้นักเรียนอาจยังอาจจะมองไม่เห็นภาพ แต่ลองถามคุณครูคุณพ่อคุณแม่ดูก็จะรู้ว่า ถ้ามีโอกาสพวกเขาจะต้องไปเยี่ยมชมสถานที่ที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า เพราะได้อ่านได้ฟังเรื่องพระพุทธเจ้าไว้มาก บางคนอาจจะสงสัยว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือ พอได้ไปเห็นสถานที่เหล่านั้นแล้วหายสงสัยและเกิดศรัทธายิ่งขึ้น

    ...อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) เจ้าของทฤษฎีสัมพัทธ์ชาวอเมริกันได้พูดถึงมหาตมะ คานธี (Mohandas Karamchand Gandhi) ไว้ มหาตมะ คานธีเป็นคนอินเดีย กอบกู้เอกราชให้อินเดีย โดยปลดแอกจากอังกฤษ เขาพาคนอินเดียสู้กองทัพที่ยิ่งใหญ่ของอังกฤษด้วยมือเปล่า เขานุ่งโธตีมีผ้าพาดบ่าสีขาว ไม่มีเครื่องประดับอะไร คนเรียกเขาว่า “มหาตมะ” แปลว่า บุคคลที่ยิ่งใหญ่ เขามีอิทธิพลอย่างมากต่อคนอินเดียและชาวโลกในเรื่องอหิงสาหรือการใช้ความสงบสยบศัตรู

    ...อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์กล่าวไว้ว่า ในอนาคตหลายคนคนคงจะสงสัยว่า มหาตมะ คานธี เป็นมนุษย์เดินดินจริง ๆ หรือ เพราะเขาดูยิ่งใหญ่เหลือเกิน เขาทำอะไรซึ่งมนุษย์ธรรมดาทำไม่ได้ ถ้านักเรียนอยากรู้ว่า มหาตมะ คานธี ทำอะไรที่คนธรรมดาไม่น่าจะทำได้ก็ลองไปศึกษาดู

    ...วันนี้จะไม่พูดถึง มหาตมะ คานธี แต่ปรารภให้ฟังว่า คนอย่างนี้น่ะหรือมีชีวิตเดินดินจริง ๆ นั่นคือคำพูดของไอน์สไตน์ที่มีต่อมหาตมะ คานธี เราสามารถใช้คำพูดประโยคเดียวกันนั้นกับท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) คือต่อจากนี้ไปอีก ๕๐ ปี คนรุ่นหลังอาจจะสงสัยว่า คนอย่างท่านพระพรหมคุณาภรณ์นี้เป็นมนุษย์เดินดินจริงๆ หรือ เพราะท่านเขียนหนังสือนับร้อยเล่ม ท่านเอาเวลาที่ไหนมาเขียนหนังสือพุทธธรรมเล่มใหญ่ซึ่งเขียนได้ดีเหลือเกิน จัดเป็นเพชรน้ำเอกในวงวรรณกรรมพระพุทธศาสนา

    ...ยิ่งไปกว่านั้น ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์รอบรู้สารพัดศาสตร์ นักเรียนลองเรียนแค่วิชาวิทยาศาสตร์ก็ปวดหัวแล้ว หลวงพ่อพระพรหมคุณาภรณ์ทั้งพูดทั้งเขียนเรื่องวิทยาศาสตร์เป็นภาษาไทยและแปลเป็นภาษาอังกฤษอีกด้วย ท่านเป็นพระที่พูดเรื่องวิทยาศาสตร์แล้วนักวิทยาศาสตร์ต้องฟัง ท่านพูดเรื่องกฎหมายได้ลึกซึ้งชนิดที่นักกฎหมายยอมรับ ไม่ว่าท่านจะพูดเรื่องอะไรก็ตามท่านรู้ลึกซึ้งไปทั้งหมด คนรุ่นต่อไปอาจจะสงสัยว่าสมองของท่านทำงานอย่างนี้ได้อย่างไร ท่านมีชีวิตเป็นคนเดินดินจริงหรือ ถ้าเราไม่เก็บบ้านเกิดหลังนี้เอาไว้เป็นหลักฐาน คนรุ่นต่อไปอาจคิดสงสัยว่าไม่ใช่เรื่องจริงที่ว่าท่านเคยเป็นเด็กเรียนหนังสืออยู่ที่ศรีประจันต์ คนศรีประจันต์กุเรื่องขึ้นมาหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เมื่อได้มาเห็นบ้านหลังนี้เป็นหลักฐาน คนทั่วไปก็หายสงสัย








    ...พวกเราต้องขอบคุณตระกูลอารยางกูรที่บริจาคอาคารและสถานที่แห่งนี้ให้เป็นอนุสรณ์แห่งความภาคภูมิใจของชาวสุพรรณบรี เพื่อเป็นหลักฐานว่า ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์เป็นมนุษย์เดินดินจริงๆ มีบ้านหลังนี้เป็นหลักฐาน ชีวิตของท่านเริ่มต้นที่นี่
    • คนเรียนเก่ง
    ..."ต่อไปเมื่อนักเรียนโตขึ้นต้องอ่านผลงานของหลวงพ่อพระพรหมคุณาภรณ์ในแต่ละด้าน ไม่

    [​IMG]

    ว่าจะเป็นพุทธศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ทุกเรื่อง ละเอียดลึกซึ้งอย่างกับท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนั้น ๆ นี่คือความเป็นปราชญ์อัจฉริยะของท่าน ถ้าเปรียบสมองคนเป็นคอมพิวเตอร์ สมองของท่านก็เป็นซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ สมัยที่เรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ท่านเคยสอบได้เกรดเอทุกวิชา ท่านเรียนเก่งทุกวิชา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษท่านเรียนเก่งมาก


    ...พูดถึงการเรียนภาษาอังกฤษของหลวงพ่อพระพรหมคุณาภรณ์ สมัยก่อนท่านเรียนด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่ การเรียนภาษาอังกฤษสมัยก่อนไม่มีคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเหมือนสมัยนี้ ไม่มีทีวีหรือวีดิทัศน์ประกอบการสอน แต่หลวงพ่อพระพรหมคุณาภรณ์เก่งภาษาอังกฤษมาก ท่านเรียนจบแค่ปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย แต่เก่งภาษาอังกฤษขนาดได้รับนิมนต์ให้ไปสอนมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ท่านบรรยายเป็นภาษอังกฤษได้อย่างดี ฝรั่งได้ฟังแล้วประทับใจ ท่านยังแต่งหนังสือเป็นภาษาอังกฤษหลายเล่ม ท่านเก่งภาษาอังกฤษได้อย่างไร นักเรียนสมัยนี้มีทั้งคอมพิวเตอร์ทั้งทีวีและวีดิทัศน์ช่วยสอนภาษาอังกฤษ พอออกจากห้องเรียน ภาษาอังกฤษก็กลับไปหาครู คือเรียนแล้วก็ลืมแล้ว

    ...ทำอย่างไรเราจะเรียนเก่งเหมือนหลวงพ่อพระพรหมคุณาภรณ์ เราต้องตั้งปณิธานไว้ เมื่อศึกษาประวัติชีวิตของหลวงพ่อในวัยเด็ก เราพบว่า เมื่อท่านเรียบจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ญาติให้ท่านไปบวชเป็นสามเณรเพราะสุขภาพไม่ดี ท่านได้ตั้งใจเรียนบาลีจนจบประโยค ๙ ขณะเป็นสามเณร นับเป็นสามเณรรูปที่ ๒ ในสมัยรัชกาลที่ ๙ ที่สอบประโยค ๙ ได้ เนื่องจากมีประเพณีว่าสามเณรที่สอบประโยค ๙ ได้จะได้เป็นนาคหลวงโดยมีในหลวงเป็นโยมบวชให้ที่วัดพระแก้ว ท่านจึงเป็นนาคหลวงบวชเป็นพระในพระบรมราชานุเคราะห์ที่วัดพระแก้ว

    ...ข่าวที่ว่าสามเณรประยุทธ์หรือท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์เป็นนาคหลวงนี้ดังไปทั่วศรีประจันต์ ในช่วงนั้นอาตมาผู้บรรยายอยู่ที่วัดสามจุ่นซึ่งห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ตอนนั้นอาตมายังเป็นเด็กได้นึกชื่นชมความยิ่งใหญ่ของสามเณรประยุทธ์ ท่านอยู่ศรีประจันต์เหมือนเรายังได้ในหลวงเป็นโยมบวชให้ที่วัดพระแก้ว เราอยากบวชเรียนตามอย่างท่าน ต่อมาอาตมาได้บวชเป็นสามเณรและตั้งใจเรียนบาลีจนสอบได้ประโยค ๙ ขณะเป็นสามเณรและได้ในหลวงเป็นโยมบวชให้ที่วัดพระแก้วเหมือนกัน

    ...หลวงพ่อพระพรหมคุณาภรณ์ไม่ได้เรียนแต่ประโยค ๙ อย่างเดียว ท่านยังจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ต่อมายังได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยต่างๆในประเทศไทย ท่านเรียนก็เก่ง เทศน์ก็เก่ง ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ท่านไปสอนมาทั่วโลก จึงเป็นบุคคลของโลก ไม่ใช่คนของประเทศไทยเท่านั้น
    ...เราจะเรียนเก่งอย่างท่านได้อย่างไร นักเรียนไม่จำเป็นจะต้องไปบวชเหมือนท่านเราก็เรียนเก่งได้ อะไรคือสิ่งที่ทำให้ท่านเรียนเก่ง ถ้าหากว่าเราอยากเรียนเก่งเหมือนท่านลองมานั่งที่บ้านหลังนี้อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ กลับไปแล้วอาจจะอ่านหนังสือทะลุปรุโปร่งก็ได้ แต่ที่สำคัญเราต้องถอดรหัสจากปฏิปทาของท่านเพื่อหาวิธีเรียนเก่งตามแบบฉบับของท่าน

    ...ลักษณะสำคัญของท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์ก็คือ ท่านเป็นคนใฝ่รู้ ไม่ว่าอ่านหรือฟัง[​IMG]อะไรก็ตาม ท่านจะจดจำนำเอาไปคิด ไม่มีอะไรที่ท่านจะอ่านหรือฟังผ่านเลยไปโดยไม่จดบันทึก ท่านเจ้าคุณอาจารย์อ่านอะไรที่เห็นว่าสำคัญก็จดบันทึกไว้ตามคติที่ว่า จำไว้ดีกว่าจด แต่ถ้าจำไม่หมด จดไว้ดีกว่าจำ

    ...บางทีเรื่องที่ครูสอนเราก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เราฟังบ้างไม่ฟังบ้าง นักเรียนอาจจะนึกว่าเรื่องที่ฟังอยู่นี่เราไม่ได้ใช้หรือไม่เป็นประโยชน์ แต่ถ้าเราฟังแล้วจดจำนำเอาไปคิดวิเคราะห์และศึกษาเพิ่มเติม ไม่ว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าเราไม่รู้ ไม่เข้าใจ เราจะไม่หยุดค้นคว้า เราอ่านและค้นคว้าเรื่อยไป เมื่ออ่านมากเข้า สิ่งที่เราอ่านก็จะตกผลึกกลายเป็นเพชรในใจเราดังเรื่องต่อไปนี้

    ...ในสมัยโบราณ คนเร่ร่อนเผ่าหนึ่งบูชาเทพเจ้าประจำเผ่า ตกเย็นพวกเขามากางกระโจมนอนรุ่งขึ้นก็เก็บกระโจมแล้วขี่ม้าดินทางต่อไปเป็นอย่างนี้ประจำ จนกระทั่งเย็นวันหนึ่งมีพายุพัดอื้ออึงตอนที่กำลังสวดมนต์บูชาเทพเจ้า หัวหน้าเผ่าบอกว่าตั้งใจฟังให้ดี เทพเจ้ากำลังปรากฎองค์และบอกขุมทรัพย์ให้เรา ทุกคนนิ่งฟังกันใหญ่ ปรากฏว่ามีเสียงดังกึกก้องออกมาจากกลุ่มฝุ่นฟุ้ง เข้าใจว่าเป็นเสียงเทพเจ้าเพราะไม่มีคนอยู่แถวนั้น เสียงนั้นบอกว่า

    “สูเจ้าทั้งหลายตั้งใจฟังให้ดี พรุ่งนี้สูเจ้าทั้งหลายเดินทางไปพบก้อนกรวดที่ใดให้เก็บใส่กระเป๋าที่อานม้า เมื่อทำอย่างนี้แล้วสูเจ้าจะทั้งดีใจและเสียใจ”

    ...เทพเจ้าพูดเป็นปริศนาว่าจะทั้งดีใจและเสียใจ จากนั้นเสียงก็เงียบไป พายุสงบ คนที่ฟังรู้สึกผิดหวัง แทนที่เทพเจ้าจะบอกขุมทรัพย์กลับบอกให้เก็บก้อนกรวด

    ...รุ่งขึ้นพวกเขาเดินทางไปไหนเจอก้อนกรวดก็เก็บอย่างเสียไม่ได้ เก็บบ้าง ไม่เก็บบ้าง พอตกตอนเย็นมาประชุมพร้อมกันเพื่อไหว้เทพเจ้า นึกได้ว่าเมื่อคืนวานเทพเจ้าสั่งให้เก็บก้อนกรวด ลองดูซิว่าใครเก็บมาได้เท่าไร พวกเขานำเอาถุงมาวางลงแล้วล้วงเข้าไปข้างใน กำสิ่งที่เข้าใจว่าเป็นก้อนกรวดออกมาแล้วก็แบมือออก พวกเขาดีใจมากที่เห็นก้อนกรวดกลายเป็นเพชร แต่เสียใจที่เก็บมาน้อยไปหน่อย








    ...ตอนที่ฟังอาจารย์สอนในห้องเรียน นักเรียนก็จดบ้างไม่จดบ้างเหมือนเก็บก้อนกรวด พออาจารย์นำเรื่องนั้นออกเป็นข้อสอบปลายภาค นักเรียนก็เสียใจที่จดมาน้อยไปหน่อย
    • วางพื้นฐานดี
    ...เพราะฉะนั้นนักเรียนต้องตั้งใจเรียนทุกวิชา อย่าปล่อยเป็นดินพอกหางหมู สังเกตไหมท่านเจ้าคุณ[​IMG]อาจารย์ตอนเป็นนักเรียนไม่ใช่เรียนธรรมดา ท่านติวคนอื่นได้ด้วย เรียกว่า มีความรู้พื้นฐานแน่น ใครอยากจะเรียนภาษาอังกฤษให้เก่งพื้นฐานไวยากรณ์ต้องดี อยากจะเก่งคณิตศาสตร์ ต้องท่องสูตรคูณแม่น นักเรียนสมัยนี้ไม่ค่อยท่องสูตรคูณ อยากจะเก่งคณิตศาสตร์แต่ไม่ค่อยท่องสูตรคูณ บางคนคิดเลขก็ไม่เก่งเพราะมัวแต่กดเครื่องคิดเลข

    ...การเรียนต้องมีพื้นฐานที่ดี มีครูบาอาจารย์ที่ดี มีพ่อแม่ที่ดี เราได้มาเห็นชีวิตวัยเด็กของท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์ที่นี่เรารู้เลยว่าท่านเริ่มต้นดี เมื่อเป็นเด็กท่านฝึกฝนมาดี เป็นคนมีธรรมะ มีความขยันขันแข็ง มาจากครอบครัวที่ฝึกอบรมพี่น้องให้รักกันดี เพราะพ่อแม่สอนดี พอโตขึ้นแม้ท่านจะจากบ้านไปบวชเรียนอยู่ที่วัดก็มีนิสัยที่ดีติดตัวไป เช่นท่านเป็นคนละเอียดประณีต ที่ท่านเป็นคนอย่างนั้นเพราะถูกฝึกฝนมาตั้งแต่วัยเด็ก ท่านเจ้าคุณอาจารย์จึงเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ บุคคลที่ยิ่งใหญ่ได้รับการวางรากฐานชีวิตไว้ดีจึงเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน เหมือนไผ่เมาซูหรือโมโซ่ในประเทศจีน

    ...ไผ่เมาซูคนแก่ไม่ชอบปลูก แต่คนหนุ่มสาวชอบปลูก เพราะปลูก ๕ ปีแรกสูงแค่ท่วมหัวเท่านั้น ใส่ปุ๋ยก็แล้วรดน้ำก็แล้ว ไผ่เมาซูโตอยู่แค่นั้น คนแก่บอกว่าโตไม่ทันใจ แต่หลังจาก ๕ ปีต้นไผ่โตวันละ ๒ ฟุตครึ่ง สูงเต็มที่ ๗๕ ฟุตภายใน ๖ สัปดาห์ หลังจากนั้นมันขยายทางกว้างกลายเป็นไผ่ยักษ์ ถ้าใช้ปล้องไผ่นี้ทำกระบอกข้าวหลาม รับรองคนเดียวทานไม่หมด

    ...ถ้าใครชอบดูหนังจีนกำลังภายในจะเห็นพวกจอมยุทธ์ชอบไปไล่ฟันกันบนยอดไผ่เมาซูนี้ หลายคนสงสัยว่าทำไมไผ่นี้ไม่โตใน ๕ ปีแรก หลังจาก ๕ ปี จึงโตวันละ๒ ฟุตครึ่ง เมื่อคนขุดลงไปใต้ดินก็พบว่าในช่วง ๕ ปีแรก รากไผ่เมาซูงอกอยู่ใต้ดินขดเป็นวง พอคนคลี่รากไผ่ออกมา มันยาวเป็นกิโลเมตรเลย แสดงว่าตอน ๕ ปีแรกไผ่เมาซูเตรียมความพร้อมอยู่ใต้ดิน พอรากงอกยาวเต็มที่ มันดูดซับอาหารโฮกๆ หลังจาก ๕ ปีจึงโตพรวดพราด คนที่ยิ่งใหญ่ก็เหมือนกับไผ่เมาซูคือต้องเตรียมความพร้อมมาอย่างดีก่อนที่จะทำการใหญ่

    ...ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์ฝึกฝนชีวิตวัยเด็กของท่านมาดี ท่านค่อยสร้างลักษณะ[​IMG]นิสัยพัฒนาชีวิตของท่านมาเรื่อยๆ พอถึงจุดหนึ่งก็ประสบความสำเร็จชนิดที่เรียกว่า “ดังชั่วข้ามคืน”ทั้งที่ก่อนนหน้านี้ต้องลุมลุกคลุกคลานมาตลอด คนบางคนกว่าจะประสบความสำเร็จก็ใช่ว่าเขาจะเตรียมการมาแค่วันสองวัน เขาต้องเตรียมตัวสะสมบารมีมานานทีเดียว

    ...เมื่อต้นปีที่แล้วอาตมาไปเยี่ยมวัดเอนเรียวกุจิในญี่ปุ่น วัดนี้มีอายุ ๑,๒๐๐ ปี เป็นวัดต้นกำเนิดพระพุทธศาสนานิกายเทนได ที่นี่ฝึกพระให้มีระเบียบวินัย ลูกศิษย์ต้องจุดตะเกียงน้ำมันที่แท่นบูชาต่อเนื่องกันมาห้ามตะเกียงดับจนกว่าพระศรีอาริย์จะมาโปรด อาจารย์สั่งไว้เมื่อ ๑,๒๐๐ ปีที่แล้ว เชื่อไหมว่าตลอด ๑,๒๐๐ ปีจนบัดนี้ตะเกียงยังไม่เคยดับเลย เหตุนี้คนญี่ปุ่นจึงเจริญเพราะมีระเบียบวินัยและทำอะไรจริงจัง

    ...ความมีระเบียบวินัยและทำอะไรจริงจังเป็นลักษณะนิสัยของท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์ ท่านมีระเบียบวินัยมาแต่เด็ก เวลาอ่านหนังสือท่านจะอ่านอย่างจริงจัง ไม่เล่นไม่ซนไม่เที่ยวเหมือนเด็กทั่วไป

    ...วัดเอนเรียวกุจินี้มีเนื้อที่ ๔,๐๐๐ ไร่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงติดกับตังเมืองเกียวโต ท่านเจ้าอาวาสพาอาตมาไปดูที่สำนักหนึ่งซึ่งประหลาดมาก ใครเข้าไปอยู่ภายในสำนักนี้ห้ามลงจากเขาเป็นเวลา ๑๒ ปี ท่านต้องอยู่อ่านหนังสือพระไตรปิฎกและฝึกกรรมฐานอยู่อย่างนั้น บุรพาจารย์สั่งไว้เมื่อ ๑,๒๐๐ ปีที่แล้ว ทุกวันนี้ทางสำนักก็ยังถือปฏิบัติตามอยู่

    ...ในวันที่ไปเยี่ยมสำนักนี้ อาตมาถามท่านเจ้าอาวาสว่ายังเหลือพระที่อยู่ ๑๒ ปีโดยไม่ลงจากเขาบ้างไหม ท่านตอบว่ามีทุกรุ่นไม่เคยขาด ตอนนี้เหลืออยู่รูปเดียว พระสมัยนี้ใจไม่สู้เหมือนสมัยก่อน อาตมาได้พบพระที่กำลังอยู่ประจำ ๑๒ ปีจึงสนทนากัน พระรูปนี้อยู่ในสำนักมาแล้ว ๑๒ ปีครบไปหนึ่งรอบ จากนั้นท่านได้สมัครอยู่ต่ออีก ๑๒ ปีเป็นรอบที่สอง ท่านอยู่รอบที่สองมาได้ ๖ ปี รวมแล้วท่านไม่เคยลงจากเขาเลยเป็นเวลา ๑๘ ปี ท่านจะต้องอยู่ต่อไปอีก ๖ ปี รวมเป็น ๒๔ ปี ตอนที่อาตมาไปพบนั้นท่านมีอายุ ๔๖ ปี

    ...เมื่อมีการกล่าวถึงพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นไว้ในรัฐธรรมนูญมาตราเดียวกันอย่างนี้ แม้รัฐธรรมนูญจะบัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติของประเทศไทยก็จะไม่มีอะไรไปรอนสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคทางศาสนาของศาสนิกชนในศาสนาอื่น

    ...คนที่จะทำอะไรสำเร็จต้องมีลักษณะอย่างท่านรูปนี้ที่ทำอะไรทำจริงโดยไม่ลงจากเขาเลย เมื่อพิจารณาดูหน้าตาผิวพรรณของท่านก็เห็นว่าผิวขาวซีด เพราะอยู่ในร่มตลอด ท่านไม่เคยอ่านหนังสือพิมพ์ ไม่เคยดูทีวี ไม่รู้ข่าวทั่วโลก ตลอดเวลา ๑๘ ปีท่านใช้นั่งกรรมฐานเป็นส่วนมาก ดวงตาของท่านสดใสไม่มีความทุกข์กังวลเหมือนดวงตาของเด็ก

    ...ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์ต้องขยันเรียนอย่างมากจึงสามารถสอบประโยค ๙ ได้ขณะเป็นสามเณร ท่านต้องอ่านหนังสือวันหลายชั่วโมงกว่าจะสอบได้ปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับ ๑ จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ทุกวันนี้ท่านก็ยังทำงานหนักอย่างนั้นอยู่

    ...อีกตัวอย่างหนึ่งของสุดยอดแห่งการใช้ความพยายามของมนุษย์ในการศึกษาเล่าเรียนเกิดขึ้นที่ประเทศพม่า พระสงฆ์พม่าเรียนบาลีแปลกไปจากพระสงฆ์ไทย นั่นคือพระสงฆ์พม่ามีประเพณีท่องจำพระไตรปิฎกภาษาบาลี ๔๕ เล่ม เมื่อท่องได้คล่องแคล่วแล้วท่านก็ต้องผ่านการสอบไล่โดยรัฐบาลพม่าให้การรับรองว่าเป็นผู้ทรงจำพระไตรปิฎก นับมาถึงปัจจุบันมีพระสงฆ์พม่าที่ผ่านการสอบไล่จนเป็นผู้ทรงจำพระไตรปิฎกจำนวน รูป

    ...พระสงฆ์พม่ารูปแรกที่ทรงจำพระไตรปิฎกได้ทั้ง ๔๕ เล่มมีชื่อว่าท่านวิจิตรสาราภิวงศ์ ท่านสอบผ่านการท่องพระไตรปิฎกในพ.ศ. ๒๔๙๗ ความจำของท่านเป็นเลิศในโลกถึงขนาดที่หนังสือกินเนสบุ๊ค (Guinness Book of Records) บันทึกไว้เป็นสถิติโลกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๘ ว่าท่านวิจิตรสาราภิวงศ์สามารถท่องพระไตรปิฎกภาษาบาลีจำนวน ๑๖,๐๐๐ หน้าได้อย่างคล่องแคล่ว นับเป็นตัวอย่างที่หาได้ยากของความทรงจำอันยอดเยี่ยมเท่าที่วิทยาศาสตร์เคยค้นพบ








    ...ความพยายามของพระสงฆ์ไทยในการศึกษาและวิจัยก็มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าพระสงฆ์พม่า ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์สอบได้ประโยค ๙ ขณะเป็นสามเณรซึ่งต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดแล้ว ท่านยังได้ศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกและหนังสืออธิบายพระไตรปิฎกเช่นอรรถกถา ฎีกาแล้วกลั่นความรู้ที่ตกผลึกมาเขียนเป็นหนังสือชื่อพุทธธรรม หนังสือนี้เป็นสุดยอดของความพยายามของมนุษย์อีกเล่มหนึ่ง เมื่อดูเชิงอรรถของหนังสือนี้ เราพบว่าผู้เขียนได้อ้างอิงพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกาและคัมภีร์อื่นๆ จำนวนหลายหมื่นหน้า ท่านใช้เวลาค้นคว้าตรวจสอบอย่างต่อเนื่องยาวนานเพราะสมัยนั้นยังไม่มีพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ให้ค้นคว้าอย่างรวดเร็วสะดวกสบายเหมือนอย่างสมัยนี้
    • การฝึกสติและเจริญสมาธิช่วยให้เรียนเก่ง
    ...พระวิจิตรสาราภิวงศ์และพระพรหมคุณาภรณ์เป็นตัวอย่างของอัจฉริยบุคคลที่ใช้ความสามารถของสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ถ้านักเรียนอยากจะเพิ่มประสิทธิภาพของสมองเหมือนท่านทั้งสองจะต้องทำอย่างไรบ้าง ตอบว่า นักเรียนต้องฝึกทำกรรมฐานเบื้องต้นให้เป็นมีสติและมีสมาธิอย่างดี พูดง่ายๆก็คือใครอยากเรียนเก่งต้องฝึกสติและสมาธิ








    ...สาเหตุสำคัญที่ทำให้นักเรียนเรียนไม่เก่งก็เพราะขณะเรียนหนังสือมักใจลอยหรือฟุ้งซ่าน เวลาฟังครูสอน นักเรียนบางคนชอบใจลอยไปคิดถึงเรื่องสนุกๆนอกห้องเรียน เรื่องที่ครูบรรยายจึงเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา นี่แสดงว่าเขาขาดสติ นักเรียนบางคนอาจตั้งใจฟังดี แต่มีเรื่องให้คิดมากมายจนจับประเด็นไม่ได้จึงกลายเป็นคนฟุ้งซ่านเพราะขาดสมาธิ การฝึกสติและเจริญสมาธิจะทำให้เขาเรียนเก่งขึ้นในทันที
    • การฝึกขั้นแรกคือฝึกสติ ใครอยากเรียนเก่งต้องมีสติ สติคืออะไร
    ...สติคือการระลึกรู้ทันปัจจุบัน คือ มองให้เห็น ฟังให้ได้ยิน ไม่ใจลอย นี่เป็นสติที่เพ่งไปนอกตัวเรา [​IMG]เหมือนตอนที่ขับรถไปถึงสี่แยกไฟแดง พอเห็นไฟแดงก็หยุดรถ ที่หยุดรถก็เพราะคนขับรถมีสติมองเห็นสัญญาณไฟแดง แต่คนขับรถบางคนมัวใช้โทรศัพท์มือถืออยู่ ใจลอยไปถึงเรื่องที่กำลังคุยทางโทรศัพท์จึงมองไม่เห็นสัญญาณไฟแดง นี่เรียกว่าขับรถอย่างไม่มีสติ คนไม่มีสติ มองก็ไม่เห็น ฟังก็ไม่ได้ยิน คนที่ใจลอยอย่างนี้จะเรียนเก่งได้อย่างไร

    ...ครูคนหนึ่งพยายามสอนความหมายของสติแก่เด็กนักเรียนชั้น ป. ๒ เขาแจกแก้วน้ำผสมยาควินินให้นักเรียนทั้งชั้น จากนั้นเขาบอกให้นักเรียนทุกคนยกแก้วขึ้นแล้วทำตามอย่างครูโดยกำชับให้ทุกคนมีสติ มองให้เห็น ฟังให้ได้ยิน อย่าใจลอย ถ้าเห็นครูทำอะไร ให้ทำตาม
    ว่าแล้วครูก็ยกแก้วใส่ยาควินินละลายน้ำชูขึ้น นักเรียนก็ยกชูแก้วตามครู ครูเอานิ้วใส่ปาก นักเรียนก็เอานิ้วใส่ปากตาม ตอนนี้นักเรียนทนไม่ได้เพราะรสชาดยาควินินขมมาก นักเรียนบ้วนน้ำลายกันใหญ่ ครูหัวเราะขำในอาการของนักเรียน
    นักเรียนประท้วงว่า “คุณครูแกล้งพวกหนู”
    ครูตอบว่า “ไม่ได้แกล้ง”
    นักเรียนถามว่า “แล้วทำไมครูไม่รู้สึกขมบ้าง”
    ครูอธิบายว่า “ที่พวกเธอรู้สึกขมก็เพราะพวกเธอไม่ได้ทำตามครู ครูบอกให้ยกแก้ว แล้วเอานิ้วคน เอานิ้วใส่ปาก พวกเธอทำตามครูหรือเปล่า”
    นักเรียนตอบพร้อมกันว่า “ทำตาม”
    ครูย้อนว่า “พวกเธอไม่ทำตามครู คราวนี้ครูจะทำให้ดูอีกทีอย่างช้าๆ คอยดูให้ดีนะ มีสติ อย่าใจลอย เวลาครูเอานิ้วคนในแก้ว ครูใช้นิ้วชี้คน แต่เวลาครูเอานิ้วใส่ปาก ครูใช้นิ้วกลาง พวกเธอใช้นิ้วชี้คนและเอานิ้วชี้ใส่ปาก มันก็ขมน่ะซิ นี่แสดงว่าพวกเธอไม่มีสติ พวกเธอรู้หรือยังว่าโทษของการไม่มีสติคืออะไร”
    นักเรียนตอบพร้อมกันว่า “ขมจัง”

    ...ใครอยากเรียนเก่งต้องฝึกสติ คือ เวลาอ่านหนังสือหรือเรียนหนังสือ ต้องพยายามเตือนตัวเองให้ระลึกรู้ทันปัจจุบันทุกขณะ พยายามบังคับตัวเองไม่ให้ใจลอย ฝึกมองให้เห็น ฟังให้ได้ยิน
    ...การฝึกสติเป็นเพียงขั้นแรก การฝึกขั้นต่อไปคือฝึกสมาธิ ใครอยากพัฒนาความจำและความคิดต้องมีสมาธิ สมาธิคืออะไร

    ...สมาธิแปลว่าตั้งใจมั่น ตรงกับคำว่าเอกัคคตา แปลว่าคิดเรื่องเดียว ใครอยากเรียนเก่งต้องฝึกคิดทีละเรื่อง ถ้าคิดหลายเรื่องพร้อมกันเรียกว่าฟุ้งซ่าน การทำสมาธิก็คือการเพ่งกระแสจิตให้จับแน่วแน่อยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงเรื่องเดียว ไม่วอกแวกไปคิดเรื่องอื่น เคยเห็นคนเพ่งเทียนไหม เขาเอาเทียนมาตั้งไว้ข้างหน้าแล้วเพ่งอย่างนี้จนภาพติดตา เมื่อหลับตาแล้วเขาก็เห็นแสงเทียนอยู่ในมโนภาพ ใจไม่วอกแวกไปไหนเลย คิดแต่ภาพแสงเทียนอย่างเดียว นี่เรียกว่า สมาธิ คือคิดเรื่องเดียว

    ...การฝึกสติและฝึกสมาธิต้องทำไปพร้อมกัน หลวงพ่อเทียนสอนฝึกวิธีฝึกสติด้วยการแบมือแล้วยกขึ้นช้าๆ ฝ่ามืออยู่ตรงไหนก็ให้รู้ทันจุดปัจจุบันของฝ่ามือ สติตามกำหนดอยู่เรื่องเดียวคือการเคลื่อนไหวของฝ่ามือ การกำหนดรู้อยู่เรื่องเดียวนี้จัดเป็นสมาธิ








    ...เมื่อจิตเป็นสมาธิ เราจะจำแม่นและทำให้เรียนเก่ง เหมือนเวลาที่เราถ่ายภาพ ต้องปรับ โฟกัสหน้ากล้อง ภาพจึงจะชัดเจน การทำสมาธิก็คือการปรับโฟกัสของจิต ฝึกคิดทีละเรื่อง เมื่อทำเรื่องนี้จบแล้วก็เลิกคิดถึงเรื่องนั้นหันไปจับเรื่องใหม่คิดต่อไป
    • ประสบการณ์ของคนเก่งรอบด้าน
    ...นโปเลียนมหาราชเป็นอีกตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จเพราะอาศัยสมาธิ เขาเป็นจักรพรรดิฝรั่งเศสที่เก่งทุกเรื่อง เขารบเก่ง ปกครองเก่ง บริหารเศรษฐกิจเก่ง เขียนจดหมายก็เก่ง วันหนึ่งเขาถูกข้าศึกจับตัวไปปล่อยเกาะ จิตแพทย์นั่งเรือไปสัมภาษณ์เขา มีคำถามข้อหนึ่งที่ว่าเขาทำอย่างไรจึงเก่งหลายด้าน

    นโปเลียนตอบว่า“ผมฝึกคิดทีละเรื่อง” ซึ่งก็คือฝึกทำสมาธินั่นเอง
    จิตแพทย์ถามต่อว่า “ท่านฝึกอย่างไร”

    นโปเลียนอธิบายว่า “ผมจินตนาการให้สมองเหมือนตู้ที่มีลิ้นชักหลายลิ้นชัก แต่ละลิ้นชักเก็บไว้อย่างละเรื่องเท่านั้น เวลารบก็เปิดลิ้นชักเรื่องรบ เวลาพักรบก็ปิดลิ้นชักนั้นหันไปเปิดลิ้นชักเรื่องความรักแล้วก็เขียนจดหมายถึงมเหสีจากแนวหน้า เวลาบ้านเมืองว่างจากศึกสงครามก็เปิดลิ้นชักเรื่องการปกครองบ้านเมือง ไม่ปะปนกันกับเรื่องอื่น”
    จิตแพทย์ถามว่า “เรื่องนี้ทำยากนะ ท่านทำได้จริงหรือ”
    นโปเลียนบอกว่า “ถ้าไม่เชื่อผมจะทำให้ดู ผมจะปิดลิ้นชักให้หมดเลย คอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
    ...ว่าแล้ว นโปเลียนก็เอนกายลงนอน เขาหยุดคิดทุกเรื่อง ใช้เวลาไม่ถึง ๕ นาที เขาก็หลับสนิท จิตแพทย์จับชีพจรและตรวจลมหายใจก็รู้ว่านโปเลียนหลับสนิทจริงๆ
    ...ใครที่อยากเรียนเก่งจะฝึกทำสมาธิแบบนโปเลียนก็ได้ คือจินตนาการให้สมองเหมือนตู้ที่มีลิ้นชัก[​IMG]หลายลิ้นชัก แต่ละลิ้นชักเก็บไว้อย่างละวิชาเท่านั้น ลิ้นชักที่ ๑ เก็บวิชาคณิตศาสตร์ พอจะเรียนคณิตศาสตร์ก็เปิดลิ้นชักที่ ๑ พอเรียนจบชั่วโมงคณิตศาสตร์ก็ปิดลิ้นชักนี้ไม่ต้องกังวลถึงวิชานี้อีกแล้วเปิดลิ้นชักที่ ๒ คือภาษาอังกฤษซึ่งอยู่ในชั่วโมงที่ ๒ พอเรียนภาษาอังกฤษจบก็ปิดลิ้นชักนี้ หันไปเปิดลิ้นชักภาษาไทย กีฬาและกิจกรรมอื่นๆต่อไป ข้อสำคัญคือต้องเปิดทีละลิ้นชัก คิดทีละเรื่อง ทำจบแล้วให้ปิดลิ้นชักทันที เวลาเรียนเป็นเรียน เวลาเล่นเป็นเล่น เรียนก็เก่ง เล่นกีฬาก็เก่ง

    ...อาตมาเคยไปบรรยายธรรมสอนสมาธิให้นักมวยแชมป์โลกคนหนึ่ง ผู้จัดการเล่าว่า “นักมวยคนนี้ต่อยเมืองไทยชนะตลอด แต่ตอนนี้ผมจะส่งเขาไปต่อยต่างประเทศกลัวเขาจะแพ้ เพราะขาดกำลังใจ ที่เขาต่อยชนะในเมืองไทยก็เพราะเวลาอยู่ในเมืองไทย เสียงเชียร์ฝ่ายไทยด้วยกันทำให้เขาฮึกเหิม พอเขาต่อยถูกหรือผิดก็ไม่รู้คนดูจะตะโกนเชียร์อย่างเดียว เสียงเชียร์ทำให้ฮึกเหิมจึงตั้งใจชกจนชนะ แต่พอไปต่อยต่างประเทศ เขาต่อยดีแค่ไหนคนดูไม่เชียร์เขาหรอก คนดูจะเชียร์มวยประเทศเขา นักมวยเราก็ใจฝ่อ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ผมจะให้เขาฝึกสมาธิ คือไม่ต้องฟังเสียงเชียร์ ให้ต่อยอย่างเดียว ใครจะเชียร์ ใครจะด่า ต้องไม่สนใจ ต่อยลูกเดียว นักมวยคนไหนที่ต่อยมวยไป หันไปยิ้มให้แฟนมวยไปด้วย เดี๋ยวก็พลาดท่าโดนน็อค ตอนอยู่บนเวที เขามีหน้าที่ต่อย ต้องต่อยให้เต็มที่”

    ...นักกีฬาหญิงของไทยที่ไปยกน้ำหนักชนะได้เหรียญทองโอลิมปิคเจ้าของวลีว่า“สู้โว้ย”ก็ทำแบบเดียวกันคือฝึกสมาธิ เวลานักกีฬาหญิงประเทศอื่นยกน้ำหนักไม่ขึ้น เขาร้องไห้งอแง โค้ชต้องมาปลอบใจ นักกีฬาหญิงของไทยนิ่งสงบมาก เวลายกไม่ขึ้นก็วางลงแล้วมานั่งนิ่งทำสมาธิ ไม่แสดงอาการท้อหรือเสียใจ จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นสู้ต่อไปอย่างแน่วแน่

    ...คนจะมีสมาธิต้องฝึกระเบียบวินัยในตนเองคือฝึกทำทีละเรื่อง อย่านำหลายต่อหลายเรื่องมาปะปนกัน เรียนเป็นเรียน เล่นเป็นเล่น หลวงพ่อพุธ ฐานิโยเล่าว่า ตอนที่ท่านบวชเป็นพระได้ไม่กี่พรรษา ท่านเรียนบาลีชั้นประโยค ๓ อยู่อยู่วัดแห่งหนึ่ง ที่สำนักนี้มีการฝึกกรรมฐานอีกด้วย หลวงพ่อพุธทำทั้งสองอย่าง คือฝึกกรรมฐานไปด้วยและเรียนบาลีไปด้วย พระรูปหนึ่งเตือนท่านว่า “ท่านพุธทำอะไรให้จริงสักอย่างสิ จะเรียนก็เรียน จะนั่งกรรมฐานก็นั่ง มีที่ไหนกันนั่งกรรมฐานด้วย เรียนไปด้วย กรรมฐานเสื่อมหมด” ท่านพุธนึกตอบในใจว่า เราจะฝึกกรรมฐานไปด้วย เรียนไปด้วย เวลาเข้าห้องเรียนก็ทำกรรมฐานไปด้วย ไม่มีใครห้ามฝึกสมาธิเวลาเรียนหนังสือมิใช่หรือ

    ...พอเข้ากรรมฐานฝึกสมาธิ ท่านพุธกำหนดลมหายใจเข้าออก พอหายใจเข้าก็นับหนึ่ง หายใจออกนับหนึ่ง ไม่คิดเรื่องอื่นเลย นับหนึ่งๆ สองๆ จนถึงสิบๆ แล้วก็นับหนึ่งๆ ถึงสิบๆ อย่างนี้ พอไปอยู่ในห้องเรียนท่านนั่งแถวหน้าเลย เพื่อไม่ให้อะไรทำให้ใจวอกแวก ท่านนั่งเพ่งไปที่อาจารย์เหมือนกับเพ่งกสิณจนกระทั่งอาจารย์รู้สึกอึดอัดถามว่า ท่านพุธมีปัญหาอะไรหรือ ท่านพุธตอบว่า “ผมกำลังเพ่งกสิณทำสมาธิ ถือเอาอาจารย์เป็นอารมณ์กรรมฐาน”
    อาจารย์ตอบแบบคนอารมณ์ดีว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านเพ่งผมให้กลายเป็นผุยผงไปเลย”

    ...พอใกล้จะสอบบาลี ท่านพุธหลับฝันเห็นไก่บินปร๋อไปเกาะบนรั้วตีปีกขันเสียงเจื้อยแจ้ว ท่านนำความฝันนี้ไปเล่าให้อาจารย์ฟัง อาจารย์บอกว่า สงสัยปีนี้จะออกข้อสอบตอนไก่ปรบปีก อาจารย์ให้เก็งข้อสอบประโยคไก่ปรบปีก ท่านพุธก็เก็งประโยคนี้แล้วไปบอกเพื่อนๆ ว่าปีนี้จะออกประโยคไก่ปรบปีก
    เพื่อนถามว่า “ท่านรู้ได้อย่างไร”
    ท่านพุธตอบว่า “ผมรู้จากความฝัน”

    ...พอถึงเวลาสอบปรากฎว่าข้อสอบออกเรื่องไก่ปรบปีกจริงๆ ท่านพุธสอบได้กลายเป็นพระมหาพุธ ๓ ประโยค ท่านฝันแม่นจริงๆ ประสบการณ์ตรงนี้ทำให้ต่อมาหลวงพ่อพุธรณรงค์ให้สอนนักเรียนฝึกกรรมฐานเพื่อให้เรียนเก่ง นักเรียนทั่วภาคอีสานมาฝึกกรรมฐานที่วัดของท่าน อาตมาไปช่วยท่านสอนด้วย หลวงพ่อพุธจึงเล่าประสบการณ์ของท่านให้ฟัง
    ...อาตมาถามหลวงพ่อพุธว่าทำไมท่านจึงสอนกรรมฐานให้นักเรียน ท่านตอบว่า เพราะท่านเจอมากับตัวเองดังเล่ามาแล้ว ท่านยังเล่าต่ออีกว่า วันหนึ่งผู้ปกครองพานักเรียนตัวเล็ก ๆ มาหา เด็กคนนี้เรียนหนังสือไม่เก่งเพราะมีสมาธิสั้นเหลือเกิน เป็นเด็กผู้หญิงแต่อยู่ไม่สุข ซนเป็นลิงเลย เธอชอบกวนเพื่อน ๆ ในห้องเรียนจนครูจะไล่ออกอยู่แล้ว

    ...หลวงพ่อจับเด็กฝึกกรรมฐานให้จนกลายเป็นเด็กเรียนเก่ง จบปริญญาตรีและปริญญาโทได้ทุนรัฐบาลไปเรียนต่อปริญญาเอกที่สหรัฐอเมริกา วันที่สนทนากันนั้น หลวงพ่อพุธเพิ่งได้รับจดหมายจากศิษย์คนนั้นเขียนมาเล่าว่า

    ดิฉันทำตามที่หลวงพ่อสอน คือฝึกกรรมฐานก่อนนอนทุกคืน ปรากฎว่าพอใกล้สอบดิฉันฝันแม่นทุกทีเลยว่าข้อสอบจะออกอะไร ดิฉันบอกเพื่อนที่เป็นฝรั่ง เพื่อนก็ไม่เชื่อ แต่ถึงเวลาเข้าสอบ ปรากฎว่าข้อสอบออกตรงตามนั้นเลย เพื่อนหาว่าหนูไปติดสินบนอาจารย์เลยรู้ข้อสอบล่วงหน้าอยู่คนเดียว ที่จริงดิฉันฝันแม่นเหมือนหลวงพ่อนั่นแหละ”

    ...การทำสมาธินอกจากจะช่วยให้จำแม่นแล้วยังทำให้จิตนิ่งไม่ตื่นเต้นเวลาทำข้อสอบในสนามสอบ สมัยที่อาตมาเป็นสามเณรเรียนบาลีก็ฝึกสมาธิในการเรียนหนังสือเหมือนกัน เวลาเข้าห้องสอบแต่ละครั้งจะนั่งหลับตากำหนดลมหายใจเข้าออกประมาณ ๕ นาทีเพื่อให้จิตใจสงบหายตื่นเต้นแล้วจึงเปิดข้อสอบ จากนั้นก็ค่อยตอบข้อสอบด้วยความสุขุมรอบคอบ อาตมาทำอย่างนี้จนกระทั่งสอบได้ประโยค ๙ ขณะเป็นสามเณร

    ...จำได้ว่า ครั้งหนึ่งตอนเป็นสามเณรอยู่ที่สุพรรณบุรี อาตมาเดินทางเข้ากรุงเทพฯเพื่อสอบประโยค ๕ ที่ตึกมหาจุฬาฯ วัดมหาธาตุ พอกรรมการคุมห้องสอบแจกข้อสอบ อาตมาก็ยังไม่ดูข้อสอบทันที ยังคงนั่งหลับตาภาวนาต่อไปอีกสิบนาที กรรมการคุมห้องสอบนึกว่าอาตมานั่งหลับเวลาสอบจึงมาสะกิดบอกว่า “สามเณรตื่นได้แล้ว”
    • เสกคาถาเรียนเก่ง
    ...ต่อไปนี้จะแนะวิธีฝึกสมาธิสำหรับช่วยให้เรียนเก่ง ให้นักเรียนท่องคาถา ๔ คำคือ “จะ ภะ กะ สะ” เรียกว่าคาถากาสลัก คาถานี้มาจากหนังสือชื่อวชิรสารัตถสังคหะที่พระรัตนปัญญาเถระแต่งไว้ที่เชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๐๗๘ คาถานี้ต้องเสกให้เป็น ถ้าเสกไม่เป็น คาถาไม่ศักดิ์สิทธิ์ จะเรียนไม่เก่ง
    คาถา “จะ ภะ กะ สะ” นี้ต้องเสกเป็นคาบ คาบแปลว่า “วน” หนึ่งคาบมี ๔ จบ
    จบที่หนึ่งเริ่มจากตัวที่หนึ่ง “จะ ภะ กะ สะ”
    จบที่สองเริ่มจากตัวที่สอง “ภะ กะ สะ จะ”
    จบที่สามเริ่มจากตัวที่สาม “กะ สะ จะ ภะ”
    จบที่สี่เริ่มจากตัวที่สี่ “สะ จะ ภะ กะ”
    ...อยากเรียนเก่งต้องเสกวันละ ๗ คาบก่อนนอนและเวลาเข้าห้องสอบ ก่อนสอบทุกวิชา ต้องหลับตาเสก ๗ คาบ ลองเสกดูจะได้เรียนเก่งกันทุกคน ๑ คาบมี ๔ จบ ให้นักเรียนว่าพร้อมกันว่า
    จะ ภะ กะ สะ
    ภะ กะ สะ จะ
    กะ สะ จะ ภะ
    สะ จะ ภะ กะ
    ...เสกคาถาอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องถอดรหัสคาถาเอามาปฎิบัติอีกด้วย เราต้องรู้ความหมายด้วยคาถาจึงจะศักดิ์สิทธิ์ เหมือนกับเรามีคาถากันเสือกันช้าง เวลาที่เราเข้าป่าเจอเสือเจอช้าง เสกคาถาอย่างเดียวไม่พอ ต้องพกหลวงพ่อโกยวัดหน้าตั้งคือวิ่งไปด้วยเสกคาถาไปด้วย
    ยามเข้าป่าเสกคาถากันช้างไล่
    ขึ้นต้นไม้อีกด้วยช่วยคาถา
    เห็นน้ำแกงจวนหมดรสโอชา
    เติมน้ำปลาอีกด้วยช่วยน้ำแกง
    ...คำว่า “จะ ภะ กะ สะ” แปลว่าอะไร คำทั้งสี่ได้มาจากคำที่หนึ่งของคาถาภาษาบาลีดังต่อไปนี้
    จะชะ ทุชชะนะสังสัคคัง
    ภะชะ สาธุสะมาคะมัง
    กะระ ปุญญะมะโหรัตตัง
    สะระ นิจจะมะนิจจะตัง
    มีคำแปลว่า
    หลีกเลี่ยงคนพาล (จะ)
    สังสรรค์บัณฑิต (ภะ)
    ทำดีเป็นนิจ (กะ)
    คิดถึงความเปลี่ยนแปลง (สะ)
    ...นักเรียนที่อยากเรียนเก่งต้องเสกคาถากาสลักทั้ง ๔ คำ วันละ ๗ คาบเป็นอย่างน้อยและถอดรหัสนำมาปฎิบัติในชีวิตประจำวันด้วย ดังต่อไปนี้
    (จะ) หลีกเลี่ยงคนเกเรไม่ชอบเรียนหนังสือและชอบหนีโรงเรียนเป็นประจำ
    (ภะ) คบหาคนเรียนเก่งหรือตั้งใจเรียน มั่นเข้าพบครูบาอาจารย์
    (กะ) ขยันอ่านหนังสือ ทำการบ้าน และทำงานที่ครูสั่งมา
    (สะ) สอบได้คะแนนดีแล้วอย่าประมาท ต้องขยันศึกษาเล่าเรียนเสมอต้นเสมอปลาย
    ...เมื่อใดหมดกำลังใจในการศึกษาเล่าเรียนให้นึกถึงความคาดหวังของคุณพ่อคุณแม่และ นึกถึงประวัติของคนเรียนเก่งอย่างหลวงพ่อพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เพื่อใช้เป็นแบบอย่างให้เราตั้งใจเรียนต่อไป ดังพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ ๖ ที่ว่า
    ประวัติวีรบุรุษไซร้ เตือนใจ เรานา
    ว่าอาจจักยังชนม์ เลิศได้
    แลยามจะบรรลัย ทิ้งซึ่ง
    รอยบาทเหยียบแน่นไว้ แทบพื้นทรายสมัย
    ...ขออ้างบุญกุศลที่เราบำเพ็ญวันนี้และก่อนหน้านี้ เป็นเครื่องบูชาคุณของท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ขอพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้มีส่วนแห่งบุญกุศลที่เราบำเพ็ญถวายท่านในครั้งนี้ ให้ปราศจากทุกข์โศกโรคภัยทั้งปวง เจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่งขึ้นไปในร่มธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สถิตเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของศิษยานุศิษย์ตลอดกาลนาน

    ...ขอบารมีธรรมของพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้ปกแผ่ไพศาลคุ้มครองพวกเราทุกคนให้มีแต่ความสุขความเจริญรุ่งเรือง มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา สามารถในการศึกษาและการทำงาน เจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธรรมสารสมบัติ ธนสารสมบัติ ปรารถนาสิ่งใดที่ชอบประกอบด้วยธรรม ก็ขอให้ความปรารถนานั้น ๆ จงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จ ทุกท่าน ทุกคน ตลอดกาลนานเทอญ
    พระธรรมโกศาจารย์(ประยูร ธมฺมจิตฺโต)
    เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส
    บทความธรรมประยุรวง หนังสือธรรมประยุรวง


    </TD></TR><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600><TBODY><TR><TD>รวม หนังสือธรรมประยุรวง บทความธรรมประยุรวง โดย พระธรรมโกศาจารย์ เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส








    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://watprayoon.org/index.php?topgroupid=1&subgroupid=364&groupid=89







    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600><TBODY><TR><TD>
    ...ขอถวายความเคารพแด่ท่านพระเถรานุเถระ ซึ่งมีท่านพระครูศรีประจันต์คณารักษ์ เจ้าอำเภอคณะศรีประจันต์ และท่านพระครูโสภณสิทธิการ เจ้าอาวาสวัดพยัคฆาราม เป็นต้นเป็นประธาน ขอเจริญพรท่านสาธุชนซึ่งมีท่านผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นต้น เป็นประธาน และขอเจริญสุขสวัสดีแด่นักเรียนทุกคน








    ...วันนี้พวกเรามาประชุมกัน ณ สถานที่ที่เป็นประวัติศาสตร์ มานั่งฟังธรรมกถา ณ สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นมาตุภูมิ เป็นที่เกิด เป็นที่ศึกษาเล่าเรียนเบื้องต้นของบุคคลสำคัญของโลกคนหนึ่งนั่นคือท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) พวกเรามาร่วมกันทำบุญอายุวัฒนมงคลของท่านเจ้าคุณอาจารย์ อาตมาตั้งใจจะมามีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น แต่เนื่องจากวันนี้ติดการบรรยายอยู่ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (ว.ป.อ.) เมื่อบรรยายเสร็จก็รีบเดินทางมาร่วมงาน
    • ถอดรหัสบุคคลอัจฉริย
    ...เมื่อมาถึงแล้วก็ได้เห็นว่า อาคารบ้านเกิดของท่านเจ้าคุณอาจารย์ที่ตั้งอยู่ด้านหลังของอาตมา

    [​IMG]

    ผู้บรรยายอยู่นี้ได้รับการปรับปรุงมากกว่าปีที่แล้ว และได้ทราบว่าในรอบปีที่ผ่านมามีคนมาเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้นับพันคน ในจำนวนนี้ นักเรียนจำนวนไม่น้อยก็คงได้มารู้มาเห็นกับเขาด้วย สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยมา วันนี้ต้องตั้งใจดูและเรียนรู้ให้มาก เพราะเราจะร่วมกันศึกษาและถอดรหัสความเป็นอัจฉริยะของท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์มาซึมซับไว้ในใจ


    ...เวลาที่เรากราบพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ เรารำลึกนึกถึงพระคุณของพระรัตนตรัยเอามาเก็บไว้ในใจเรา ในทำนองเดียวกัน เวลาที่เรามาเห็นภาพและศึกษาชีวิตของหลวงพ่อพระพรหมคุณาภรณ์ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก เป็นนักเรียน และเป็นสามเณร เราจะเกิดแรงบันดาลใจว่า วันหนึ่งเราจะเป็นคนที่ฝากสิ่งที่ดีงามไว้กับโลกนี้เหมือนกับที่ท่านได้ทำไว้นั้น

    ...เราอาจจะไม่ยิ่งใหญ่เหมือนท่าน เพราะท่านเป็นบุคคลสำคัญของโลก ได้รับรางวัลจากองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโก (UNESCO) ในเรื่องการศึกษาเพื่อสันติภาพ วันที่ท่านไปรับรางวัลที่กรุงปารีสนั้นยิ่งใหญ่มาก เมื่อกลับมาก็มีการนำเรื่องราวชีวิตของท่านมาเล่าขานและฉลองกันที่สุพรรณบุรี เพราะท่านเป็นคนสุพรรณ รู้ได้อย่างไรว่าท่านเป็นคนสุพรรณ ก็เพราะบ้านเกิดของท่านอยู่ที่นี่ คงมีไม่กี่คนในประเทศไทยที่จะได้มาที่นี่ พวกเรามากันก่อนใคร วันนี้พวกเราได้มารู้มาเห็น ต่อไปต้องทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์บอกเพื่อน ๆ น้อง ๆ ที่มาจากต่างจังหวัด ว่าหลวงพ่อพระพรหมคุณาภรณ์เคยอยู่ตรงนี้ที่ศรีประจันต์ มีบ้านหลังนี้เป็นหลักฐาน

    ...โดยทั่วไปจะมีการเก็บสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญของโลกเอาไว้เป็นอนุสรณ์สถาน เมื่อไปที่สหรัฐอเมริกาเราจะเห็นบ้านของประธานาธิบดีลินคอล์น(Abraham Lincoln) ใครทำประโยชน์ยิ่งใหญ่ตรงไหนในโลก เขามักเก็บสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลนั้นไว้เป็นอนุสรณ์

    ...สถานที่เกิดของบุคคลสำคัญโลก คนจะชอบไปดู บุคคลยิ่งใหญ่คนหนึ่งที่คนทั่วโลกชอบไปดูสถานที่เกิดกันมากก็คือพระพุทธเจ้า เมื่อสองเดือนที่แล้วอาตมาไปดูสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่พุทธคยา ต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าประทับนั่งตรัสรู้ยังอยู่ คนทั่วโลกมารวมกันที่นั้น สถูปหรือเจดีย์พุทธคยาดูเด่นตระหง่าน คนมากันทั่วโลกเพื่อเยี่ยมชมสถานที่ที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า

    ...อาตมาสังเกตดูว่าทำไมเขาไปกันที่นั่น เมื่อสังเกตตัวเราเองก็พบว่า เวลาอยู่ใต้ต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เรามีโอกาสนึกย้อนกลับไปถึงวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ตรงนี้ พระยามารมาผจญตรงนั้น เราไม่ต้องไปอ่านหนังสือพุทธประวัติที่ไหนเราก็เห็นเป็นภาพแล้วเกิดแรงบันดาลใจรู้สึกศรัทธาพระพุทธเจ้ายิ่งขึ้น ตอนนี้นักเรียนอาจยังอาจจะมองไม่เห็นภาพ แต่ลองถามคุณครูคุณพ่อคุณแม่ดูก็จะรู้ว่า ถ้ามีโอกาสพวกเขาจะต้องไปเยี่ยมชมสถานที่ที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า เพราะได้อ่านได้ฟังเรื่องพระพุทธเจ้าไว้มาก บางคนอาจจะสงสัยว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือ พอได้ไปเห็นสถานที่เหล่านั้นแล้วหายสงสัยและเกิดศรัทธายิ่งขึ้น

    ...อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) เจ้าของทฤษฎีสัมพัทธ์ชาวอเมริกันได้พูดถึงมหาตมะ คานธี (Mohandas Karamchand Gandhi) ไว้ มหาตมะ คานธีเป็นคนอินเดีย กอบกู้เอกราชให้อินเดีย โดยปลดแอกจากอังกฤษ เขาพาคนอินเดียสู้กองทัพที่ยิ่งใหญ่ของอังกฤษด้วยมือเปล่า เขานุ่งโธตีมีผ้าพาดบ่าสีขาว ไม่มีเครื่องประดับอะไร คนเรียกเขาว่า “มหาตมะ” แปลว่า บุคคลที่ยิ่งใหญ่ เขามีอิทธิพลอย่างมากต่อคนอินเดียและชาวโลกในเรื่องอหิงสาหรือการใช้ความสงบสยบศัตรู

    ...อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์กล่าวไว้ว่า ในอนาคตหลายคนคนคงจะสงสัยว่า มหาตมะ คานธี เป็นมนุษย์เดินดินจริง ๆ หรือ เพราะเขาดูยิ่งใหญ่เหลือเกิน เขาทำอะไรซึ่งมนุษย์ธรรมดาทำไม่ได้ ถ้านักเรียนอยากรู้ว่า มหาตมะ คานธี ทำอะไรที่คนธรรมดาไม่น่าจะทำได้ก็ลองไปศึกษาดู

    ...วันนี้จะไม่พูดถึง มหาตมะ คานธี แต่ปรารภให้ฟังว่า คนอย่างนี้น่ะหรือมีชีวิตเดินดินจริง ๆ นั่นคือคำพูดของไอน์สไตน์ที่มีต่อมหาตมะ คานธี เราสามารถใช้คำพูดประโยคเดียวกันนั้นกับท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) คือต่อจากนี้ไปอีก ๕๐ ปี คนรุ่นหลังอาจจะสงสัยว่า คนอย่างท่านพระพรหมคุณาภรณ์นี้เป็นมนุษย์เดินดินจริงๆ หรือ เพราะท่านเขียนหนังสือนับร้อยเล่ม ท่านเอาเวลาที่ไหนมาเขียนหนังสือพุทธธรรมเล่มใหญ่ซึ่งเขียนได้ดีเหลือเกิน จัดเป็นเพชรน้ำเอกในวงวรรณกรรมพระพุทธศาสนา

    ...ยิ่งไปกว่านั้น ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์รอบรู้สารพัดศาสตร์ นักเรียนลองเรียนแค่วิชาวิทยาศาสตร์ก็ปวดหัวแล้ว หลวงพ่อพระพรหมคุณาภรณ์ทั้งพูดทั้งเขียนเรื่องวิทยาศาสตร์เป็นภาษาไทยและแปลเป็นภาษาอังกฤษอีกด้วย ท่านเป็นพระที่พูดเรื่องวิทยาศาสตร์แล้วนักวิทยาศาสตร์ต้องฟัง ท่านพูดเรื่องกฎหมายได้ลึกซึ้งชนิดที่นักกฎหมายยอมรับ ไม่ว่าท่านจะพูดเรื่องอะไรก็ตามท่านรู้ลึกซึ้งไปทั้งหมด คนรุ่นต่อไปอาจจะสงสัยว่าสมองของท่านทำงานอย่างนี้ได้อย่างไร ท่านมีชีวิตเป็นคนเดินดินจริงหรือ ถ้าเราไม่เก็บบ้านเกิดหลังนี้เอาไว้เป็นหลักฐาน คนรุ่นต่อไปอาจคิดสงสัยว่าไม่ใช่เรื่องจริงที่ว่าท่านเคยเป็นเด็กเรียนหนังสืออยู่ที่ศรีประจันต์ คนศรีประจันต์กุเรื่องขึ้นมาหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เมื่อได้มาเห็นบ้านหลังนี้เป็นหลักฐาน คนทั่วไปก็หายสงสัย








    ...พวกเราต้องขอบคุณตระกูลอารยางกูรที่บริจาคอาคารและสถานที่แห่งนี้ให้เป็นอนุสรณ์แห่งความภาคภูมิใจของชาวสุพรรณบรี เพื่อเป็นหลักฐานว่า ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์เป็นมนุษย์เดินดินจริงๆ มีบ้านหลังนี้เป็นหลักฐาน ชีวิตของท่านเริ่มต้นที่นี่
    • คนเรียนเก่ง
    ..."ต่อไปเมื่อนักเรียนโตขึ้นต้องอ่านผลงานของหลวงพ่อพระพรหมคุณาภรณ์ในแต่ละด้าน ไม่

    [​IMG]

    ว่าจะเป็นพุทธศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ทุกเรื่อง ละเอียดลึกซึ้งอย่างกับท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนั้น ๆ นี่คือความเป็นปราชญ์อัจฉริยะของท่าน ถ้าเปรียบสมองคนเป็นคอมพิวเตอร์ สมองของท่านก็เป็นซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ สมัยที่เรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ท่านเคยสอบได้เกรดเอทุกวิชา ท่านเรียนเก่งทุกวิชา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษท่านเรียนเก่งมาก


    ...พูดถึงการเรียนภาษาอังกฤษของหลวงพ่อพระพรหมคุณาภรณ์ สมัยก่อนท่านเรียนด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่ การเรียนภาษาอังกฤษสมัยก่อนไม่มีคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเหมือนสมัยนี้ ไม่มีทีวีหรือวีดิทัศน์ประกอบการสอน แต่หลวงพ่อพระพรหมคุณาภรณ์เก่งภาษาอังกฤษมาก ท่านเรียนจบแค่ปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย แต่เก่งภาษาอังกฤษขนาดได้รับนิมนต์ให้ไปสอนมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ท่านบรรยายเป็นภาษอังกฤษได้อย่างดี ฝรั่งได้ฟังแล้วประทับใจ ท่านยังแต่งหนังสือเป็นภาษาอังกฤษหลายเล่ม ท่านเก่งภาษาอังกฤษได้อย่างไร นักเรียนสมัยนี้มีทั้งคอมพิวเตอร์ทั้งทีวีและวีดิทัศน์ช่วยสอนภาษาอังกฤษ พอออกจากห้องเรียน ภาษาอังกฤษก็กลับไปหาครู คือเรียนแล้วก็ลืมแล้ว

    ...ทำอย่างไรเราจะเรียนเก่งเหมือนหลวงพ่อพระพรหมคุณาภรณ์ เราต้องตั้งปณิธานไว้ เมื่อศึกษาประวัติชีวิตของหลวงพ่อในวัยเด็ก เราพบว่า เมื่อท่านเรียบจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ญาติให้ท่านไปบวชเป็นสามเณรเพราะสุขภาพไม่ดี ท่านได้ตั้งใจเรียนบาลีจนจบประโยค ๙ ขณะเป็นสามเณร นับเป็นสามเณรรูปที่ ๒ ในสมัยรัชกาลที่ ๙ ที่สอบประโยค ๙ ได้ เนื่องจากมีประเพณีว่าสามเณรที่สอบประโยค ๙ ได้จะได้เป็นนาคหลวงโดยมีในหลวงเป็นโยมบวชให้ที่วัดพระแก้ว ท่านจึงเป็นนาคหลวงบวชเป็นพระในพระบรมราชานุเคราะห์ที่วัดพระแก้ว

    ...ข่าวที่ว่าสามเณรประยุทธ์หรือท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์เป็นนาคหลวงนี้ดังไปทั่วศรีประจันต์ ในช่วงนั้นอาตมาผู้บรรยายอยู่ที่วัดสามจุ่นซึ่งห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ตอนนั้นอาตมายังเป็นเด็กได้นึกชื่นชมความยิ่งใหญ่ของสามเณรประยุทธ์ ท่านอยู่ศรีประจันต์เหมือนเรายังได้ในหลวงเป็นโยมบวชให้ที่วัดพระแก้ว เราอยากบวชเรียนตามอย่างท่าน ต่อมาอาตมาได้บวชเป็นสามเณรและตั้งใจเรียนบาลีจนสอบได้ประโยค ๙ ขณะเป็นสามเณรและได้ในหลวงเป็นโยมบวชให้ที่วัดพระแก้วเหมือนกัน

    ...หลวงพ่อพระพรหมคุณาภรณ์ไม่ได้เรียนแต่ประโยค ๙ อย่างเดียว ท่านยังจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ต่อมายังได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยต่างๆในประเทศไทย ท่านเรียนก็เก่ง เทศน์ก็เก่ง ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ท่านไปสอนมาทั่วโลก จึงเป็นบุคคลของโลก ไม่ใช่คนของประเทศไทยเท่านั้น
    ...เราจะเรียนเก่งอย่างท่านได้อย่างไร นักเรียนไม่จำเป็นจะต้องไปบวชเหมือนท่านเราก็เรียนเก่งได้ อะไรคือสิ่งที่ทำให้ท่านเรียนเก่ง ถ้าหากว่าเราอยากเรียนเก่งเหมือนท่านลองมานั่งที่บ้านหลังนี้อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ กลับไปแล้วอาจจะอ่านหนังสือทะลุปรุโปร่งก็ได้ แต่ที่สำคัญเราต้องถอดรหัสจากปฏิปทาของท่านเพื่อหาวิธีเรียนเก่งตามแบบฉบับของท่าน

    ...ลักษณะสำคัญของท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์ก็คือ ท่านเป็นคนใฝ่รู้ ไม่ว่าอ่านหรือฟัง[​IMG]อะไรก็ตาม ท่านจะจดจำนำเอาไปคิด ไม่มีอะไรที่ท่านจะอ่านหรือฟังผ่านเลยไปโดยไม่จดบันทึก ท่านเจ้าคุณอาจารย์อ่านอะไรที่เห็นว่าสำคัญก็จดบันทึกไว้ตามคติที่ว่า จำไว้ดีกว่าจด แต่ถ้าจำไม่หมด จดไว้ดีกว่าจำ

    ...บางทีเรื่องที่ครูสอนเราก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เราฟังบ้างไม่ฟังบ้าง นักเรียนอาจจะนึกว่าเรื่องที่ฟังอยู่นี่เราไม่ได้ใช้หรือไม่เป็นประโยชน์ แต่ถ้าเราฟังแล้วจดจำนำเอาไปคิดวิเคราะห์และศึกษาเพิ่มเติม ไม่ว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าเราไม่รู้ ไม่เข้าใจ เราจะไม่หยุดค้นคว้า เราอ่านและค้นคว้าเรื่อยไป เมื่ออ่านมากเข้า สิ่งที่เราอ่านก็จะตกผลึกกลายเป็นเพชรในใจเราดังเรื่องต่อไปนี้

    ...ในสมัยโบราณ คนเร่ร่อนเผ่าหนึ่งบูชาเทพเจ้าประจำเผ่า ตกเย็นพวกเขามากางกระโจมนอนรุ่งขึ้นก็เก็บกระโจมแล้วขี่ม้าดินทางต่อไปเป็นอย่างนี้ประจำ จนกระทั่งเย็นวันหนึ่งมีพายุพัดอื้ออึงตอนที่กำลังสวดมนต์บูชาเทพเจ้า หัวหน้าเผ่าบอกว่าตั้งใจฟังให้ดี เทพเจ้ากำลังปรากฎองค์และบอกขุมทรัพย์ให้เรา ทุกคนนิ่งฟังกันใหญ่ ปรากฏว่ามีเสียงดังกึกก้องออกมาจากกลุ่มฝุ่นฟุ้ง เข้าใจว่าเป็นเสียงเทพเจ้าเพราะไม่มีคนอยู่แถวนั้น เสียงนั้นบอกว่า

    “สูเจ้าทั้งหลายตั้งใจฟังให้ดี พรุ่งนี้สูเจ้าทั้งหลายเดินทางไปพบก้อนกรวดที่ใดให้เก็บใส่กระเป๋าที่อานม้า เมื่อทำอย่างนี้แล้วสูเจ้าจะทั้งดีใจและเสียใจ”

    ...เทพเจ้าพูดเป็นปริศนาว่าจะทั้งดีใจและเสียใจ จากนั้นเสียงก็เงียบไป พายุสงบ คนที่ฟังรู้สึกผิดหวัง แทนที่เทพเจ้าจะบอกขุมทรัพย์กลับบอกให้เก็บก้อนกรวด

    ...รุ่งขึ้นพวกเขาเดินทางไปไหนเจอก้อนกรวดก็เก็บอย่างเสียไม่ได้ เก็บบ้าง ไม่เก็บบ้าง พอตกตอนเย็นมาประชุมพร้อมกันเพื่อไหว้เทพเจ้า นึกได้ว่าเมื่อคืนวานเทพเจ้าสั่งให้เก็บก้อนกรวด ลองดูซิว่าใครเก็บมาได้เท่าไร พวกเขานำเอาถุงมาวางลงแล้วล้วงเข้าไปข้างใน กำสิ่งที่เข้าใจว่าเป็นก้อนกรวดออกมาแล้วก็แบมือออก พวกเขาดีใจมากที่เห็นก้อนกรวดกลายเป็นเพชร แต่เสียใจที่เก็บมาน้อยไปหน่อย








    ...ตอนที่ฟังอาจารย์สอนในห้องเรียน นักเรียนก็จดบ้างไม่จดบ้างเหมือนเก็บก้อนกรวด พออาจารย์นำเรื่องนั้นออกเป็นข้อสอบปลายภาค นักเรียนก็เสียใจที่จดมาน้อยไปหน่อย
    • วางพื้นฐานดี
    ...เพราะฉะนั้นนักเรียนต้องตั้งใจเรียนทุกวิชา อย่าปล่อยเป็นดินพอกหางหมู สังเกตไหมท่านเจ้าคุณ[​IMG]อาจารย์ตอนเป็นนักเรียนไม่ใช่เรียนธรรมดา ท่านติวคนอื่นได้ด้วย เรียกว่า มีความรู้พื้นฐานแน่น ใครอยากจะเรียนภาษาอังกฤษให้เก่งพื้นฐานไวยากรณ์ต้องดี อยากจะเก่งคณิตศาสตร์ ต้องท่องสูตรคูณแม่น นักเรียนสมัยนี้ไม่ค่อยท่องสูตรคูณ อยากจะเก่งคณิตศาสตร์แต่ไม่ค่อยท่องสูตรคูณ บางคนคิดเลขก็ไม่เก่งเพราะมัวแต่กดเครื่องคิดเลข

    ...การเรียนต้องมีพื้นฐานที่ดี มีครูบาอาจารย์ที่ดี มีพ่อแม่ที่ดี เราได้มาเห็นชีวิตวัยเด็กของท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์ที่นี่เรารู้เลยว่าท่านเริ่มต้นดี เมื่อเป็นเด็กท่านฝึกฝนมาดี เป็นคนมีธรรมะ มีความขยันขันแข็ง มาจากครอบครัวที่ฝึกอบรมพี่น้องให้รักกันดี เพราะพ่อแม่สอนดี พอโตขึ้นแม้ท่านจะจากบ้านไปบวชเรียนอยู่ที่วัดก็มีนิสัยที่ดีติดตัวไป เช่นท่านเป็นคนละเอียดประณีต ที่ท่านเป็นคนอย่างนั้นเพราะถูกฝึกฝนมาตั้งแต่วัยเด็ก ท่านเจ้าคุณอาจารย์จึงเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ บุคคลที่ยิ่งใหญ่ได้รับการวางรากฐานชีวิตไว้ดีจึงเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน เหมือนไผ่เมาซูหรือโมโซ่ในประเทศจีน

    ...ไผ่เมาซูคนแก่ไม่ชอบปลูก แต่คนหนุ่มสาวชอบปลูก เพราะปลูก ๕ ปีแรกสูงแค่ท่วมหัวเท่านั้น ใส่ปุ๋ยก็แล้วรดน้ำก็แล้ว ไผ่เมาซูโตอยู่แค่นั้น คนแก่บอกว่าโตไม่ทันใจ แต่หลังจาก ๕ ปีต้นไผ่โตวันละ ๒ ฟุตครึ่ง สูงเต็มที่ ๗๕ ฟุตภายใน ๖ สัปดาห์ หลังจากนั้นมันขยายทางกว้างกลายเป็นไผ่ยักษ์ ถ้าใช้ปล้องไผ่นี้ทำกระบอกข้าวหลาม รับรองคนเดียวทานไม่หมด

    ...ถ้าใครชอบดูหนังจีนกำลังภายในจะเห็นพวกจอมยุทธ์ชอบไปไล่ฟันกันบนยอดไผ่เมาซูนี้ หลายคนสงสัยว่าทำไมไผ่นี้ไม่โตใน ๕ ปีแรก หลังจาก ๕ ปี จึงโตวันละ๒ ฟุตครึ่ง เมื่อคนขุดลงไปใต้ดินก็พบว่าในช่วง ๕ ปีแรก รากไผ่เมาซูงอกอยู่ใต้ดินขดเป็นวง พอคนคลี่รากไผ่ออกมา มันยาวเป็นกิโลเมตรเลย แสดงว่าตอน ๕ ปีแรกไผ่เมาซูเตรียมความพร้อมอยู่ใต้ดิน พอรากงอกยาวเต็มที่ มันดูดซับอาหารโฮกๆ หลังจาก ๕ ปีจึงโตพรวดพราด คนที่ยิ่งใหญ่ก็เหมือนกับไผ่เมาซูคือต้องเตรียมความพร้อมมาอย่างดีก่อนที่จะทำการใหญ่

    ...ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์ฝึกฝนชีวิตวัยเด็กของท่านมาดี ท่านค่อยสร้างลักษณะ[​IMG]นิสัยพัฒนาชีวิตของท่านมาเรื่อยๆ พอถึงจุดหนึ่งก็ประสบความสำเร็จชนิดที่เรียกว่า “ดังชั่วข้ามคืน”ทั้งที่ก่อนนหน้านี้ต้องลุมลุกคลุกคลานมาตลอด คนบางคนกว่าจะประสบความสำเร็จก็ใช่ว่าเขาจะเตรียมการมาแค่วันสองวัน เขาต้องเตรียมตัวสะสมบารมีมานานทีเดียว

    ...เมื่อต้นปีที่แล้วอาตมาไปเยี่ยมวัดเอนเรียวกุจิในญี่ปุ่น วัดนี้มีอายุ ๑,๒๐๐ ปี เป็นวัดต้นกำเนิดพระพุทธศาสนานิกายเทนได ที่นี่ฝึกพระให้มีระเบียบวินัย ลูกศิษย์ต้องจุดตะเกียงน้ำมันที่แท่นบูชาต่อเนื่องกันมาห้ามตะเกียงดับจนกว่าพระศรีอาริย์จะมาโปรด อาจารย์สั่งไว้เมื่อ ๑,๒๐๐ ปีที่แล้ว เชื่อไหมว่าตลอด ๑,๒๐๐ ปีจนบัดนี้ตะเกียงยังไม่เคยดับเลย เหตุนี้คนญี่ปุ่นจึงเจริญเพราะมีระเบียบวินัยและทำอะไรจริงจัง

    ...ความมีระเบียบวินัยและทำอะไรจริงจังเป็นลักษณะนิสัยของท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์ ท่านมีระเบียบวินัยมาแต่เด็ก เวลาอ่านหนังสือท่านจะอ่านอย่างจริงจัง ไม่เล่นไม่ซนไม่เที่ยวเหมือนเด็กทั่วไป

    ...วัดเอนเรียวกุจินี้มีเนื้อที่ ๔,๐๐๐ ไร่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงติดกับตังเมืองเกียวโต ท่านเจ้าอาวาสพาอาตมาไปดูที่สำนักหนึ่งซึ่งประหลาดมาก ใครเข้าไปอยู่ภายในสำนักนี้ห้ามลงจากเขาเป็นเวลา ๑๒ ปี ท่านต้องอยู่อ่านหนังสือพระไตรปิฎกและฝึกกรรมฐานอยู่อย่างนั้น บุรพาจารย์สั่งไว้เมื่อ ๑,๒๐๐ ปีที่แล้ว ทุกวันนี้ทางสำนักก็ยังถือปฏิบัติตามอยู่

    ...ในวันที่ไปเยี่ยมสำนักนี้ อาตมาถามท่านเจ้าอาวาสว่ายังเหลือพระที่อยู่ ๑๒ ปีโดยไม่ลงจากเขาบ้างไหม ท่านตอบว่ามีทุกรุ่นไม่เคยขาด ตอนนี้เหลืออยู่รูปเดียว พระสมัยนี้ใจไม่สู้เหมือนสมัยก่อน อาตมาได้พบพระที่กำลังอยู่ประจำ ๑๒ ปีจึงสนทนากัน พระรูปนี้อยู่ในสำนักมาแล้ว ๑๒ ปีครบไปหนึ่งรอบ จากนั้นท่านได้สมัครอยู่ต่ออีก ๑๒ ปีเป็นรอบที่สอง ท่านอยู่รอบที่สองมาได้ ๖ ปี รวมแล้วท่านไม่เคยลงจากเขาเลยเป็นเวลา ๑๘ ปี ท่านจะต้องอยู่ต่อไปอีก ๖ ปี รวมเป็น ๒๔ ปี ตอนที่อาตมาไปพบนั้นท่านมีอายุ ๔๖ ปี

    ...เมื่อมีการกล่าวถึงพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นไว้ในรัฐธรรมนูญมาตราเดียวกันอย่างนี้ แม้รัฐธรรมนูญจะบัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติของประเทศไทยก็จะไม่มีอะไรไปรอนสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคทางศาสนาของศาสนิกชนในศาสนาอื่น

    ...คนที่จะทำอะไรสำเร็จต้องมีลักษณะอย่างท่านรูปนี้ที่ทำอะไรทำจริงโดยไม่ลงจากเขาเลย เมื่อพิจารณาดูหน้าตาผิวพรรณของท่านก็เห็นว่าผิวขาวซีด เพราะอยู่ในร่มตลอด ท่านไม่เคยอ่านหนังสือพิมพ์ ไม่เคยดูทีวี ไม่รู้ข่าวทั่วโลก ตลอดเวลา ๑๘ ปีท่านใช้นั่งกรรมฐานเป็นส่วนมาก ดวงตาของท่านสดใสไม่มีความทุกข์กังวลเหมือนดวงตาของเด็ก

    ...ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์ต้องขยันเรียนอย่างมากจึงสามารถสอบประโยค ๙ ได้ขณะเป็นสามเณร ท่านต้องอ่านหนังสือวันหลายชั่วโมงกว่าจะสอบได้ปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับ ๑ จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ทุกวันนี้ท่านก็ยังทำงานหนักอย่างนั้นอยู่

    ...อีกตัวอย่างหนึ่งของสุดยอดแห่งการใช้ความพยายามของมนุษย์ในการศึกษาเล่าเรียนเกิดขึ้นที่ประเทศพม่า พระสงฆ์พม่าเรียนบาลีแปลกไปจากพระสงฆ์ไทย นั่นคือพระสงฆ์พม่ามีประเพณีท่องจำพระไตรปิฎกภาษาบาลี ๔๕ เล่ม เมื่อท่องได้คล่องแคล่วแล้วท่านก็ต้องผ่านการสอบไล่โดยรัฐบาลพม่าให้การรับรองว่าเป็นผู้ทรงจำพระไตรปิฎก นับมาถึงปัจจุบันมีพระสงฆ์พม่าที่ผ่านการสอบไล่จนเป็นผู้ทรงจำพระไตรปิฎกจำนวน รูป

    ...พระสงฆ์พม่ารูปแรกที่ทรงจำพระไตรปิฎกได้ทั้ง ๔๕ เล่มมีชื่อว่าท่านวิจิตรสาราภิวงศ์ ท่านสอบผ่านการท่องพระไตรปิฎกในพ.ศ. ๒๔๙๗ ความจำของท่านเป็นเลิศในโลกถึงขนาดที่หนังสือกินเนสบุ๊ค (Guinness Book of Records) บันทึกไว้เป็นสถิติโลกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๘ ว่าท่านวิจิตรสาราภิวงศ์สามารถท่องพระไตรปิฎกภาษาบาลีจำนวน ๑๖,๐๐๐ หน้าได้อย่างคล่องแคล่ว นับเป็นตัวอย่างที่หาได้ยากของความทรงจำอันยอดเยี่ยมเท่าที่วิทยาศาสตร์เคยค้นพบ








    ...ความพยายามของพระสงฆ์ไทยในการศึกษาและวิจัยก็มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าพระสงฆ์พม่า ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์สอบได้ประโยค ๙ ขณะเป็นสามเณรซึ่งต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดแล้ว ท่านยังได้ศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกและหนังสืออธิบายพระไตรปิฎกเช่นอรรถกถา ฎีกาแล้วกลั่นความรู้ที่ตกผลึกมาเขียนเป็นหนังสือชื่อพุทธธรรม หนังสือนี้เป็นสุดยอดของความพยายามของมนุษย์อีกเล่มหนึ่ง เมื่อดูเชิงอรรถของหนังสือนี้ เราพบว่าผู้เขียนได้อ้างอิงพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกาและคัมภีร์อื่นๆ จำนวนหลายหมื่นหน้า ท่านใช้เวลาค้นคว้าตรวจสอบอย่างต่อเนื่องยาวนานเพราะสมัยนั้นยังไม่มีพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ให้ค้นคว้าอย่างรวดเร็วสะดวกสบายเหมือนอย่างสมัยนี้
    • การฝึกสติและเจริญสมาธิช่วยให้เรียนเก่ง
    ...พระวิจิตรสาราภิวงศ์และพระพรหมคุณาภรณ์เป็นตัวอย่างของอัจฉริยบุคคลที่ใช้ความสามารถของสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ถ้านักเรียนอยากจะเพิ่มประสิทธิภาพของสมองเหมือนท่านทั้งสองจะต้องทำอย่างไรบ้าง ตอบว่า นักเรียนต้องฝึกทำกรรมฐานเบื้องต้นให้เป็นมีสติและมีสมาธิอย่างดี พูดง่ายๆก็คือใครอยากเรียนเก่งต้องฝึกสติและสมาธิ








    ...สาเหตุสำคัญที่ทำให้นักเรียนเรียนไม่เก่งก็เพราะขณะเรียนหนังสือมักใจลอยหรือฟุ้งซ่าน เวลาฟังครูสอน นักเรียนบางคนชอบใจลอยไปคิดถึงเรื่องสนุกๆนอกห้องเรียน เรื่องที่ครูบรรยายจึงเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา นี่แสดงว่าเขาขาดสติ นักเรียนบางคนอาจตั้งใจฟังดี แต่มีเรื่องให้คิดมากมายจนจับประเด็นไม่ได้จึงกลายเป็นคนฟุ้งซ่านเพราะขาดสมาธิ การฝึกสติและเจริญสมาธิจะทำให้เขาเรียนเก่งขึ้นในทันที
    • การฝึกขั้นแรกคือฝึกสติ ใครอยากเรียนเก่งต้องมีสติ สติคืออะไร
    ...สติคือการระลึกรู้ทันปัจจุบัน คือ มองให้เห็น ฟังให้ได้ยิน ไม่ใจลอย นี่เป็นสติที่เพ่งไปนอกตัวเรา [​IMG]เหมือนตอนที่ขับรถไปถึงสี่แยกไฟแดง พอเห็นไฟแดงก็หยุดรถ ที่หยุดรถก็เพราะคนขับรถมีสติมองเห็นสัญญาณไฟแดง แต่คนขับรถบางคนมัวใช้โทรศัพท์มือถืออยู่ ใจลอยไปถึงเรื่องที่กำลังคุยทางโทรศัพท์จึงมองไม่เห็นสัญญาณไฟแดง นี่เรียกว่าขับรถอย่างไม่มีสติ คนไม่มีสติ มองก็ไม่เห็น ฟังก็ไม่ได้ยิน คนที่ใจลอยอย่างนี้จะเรียนเก่งได้อย่างไร

    ...ครูคนหนึ่งพยายามสอนความหมายของสติแก่เด็กนักเรียนชั้น ป. ๒ เขาแจกแก้วน้ำผสมยาควินินให้นักเรียนทั้งชั้น จากนั้นเขาบอกให้นักเรียนทุกคนยกแก้วขึ้นแล้วทำตามอย่างครูโดยกำชับให้ทุกคนมีสติ มองให้เห็น ฟังให้ได้ยิน อย่าใจลอย ถ้าเห็นครูทำอะไร ให้ทำตาม
    ว่าแล้วครูก็ยกแก้วใส่ยาควินินละลายน้ำชูขึ้น นักเรียนก็ยกชูแก้วตามครู ครูเอานิ้วใส่ปาก นักเรียนก็เอานิ้วใส่ปากตาม ตอนนี้นักเรียนทนไม่ได้เพราะรสชาดยาควินินขมมาก นักเรียนบ้วนน้ำลายกันใหญ่ ครูหัวเราะขำในอาการของนักเรียน
    นักเรียนประท้วงว่า “คุณครูแกล้งพวกหนู”
    ครูตอบว่า “ไม่ได้แกล้ง”
    นักเรียนถามว่า “แล้วทำไมครูไม่รู้สึกขมบ้าง”
    ครูอธิบายว่า “ที่พวกเธอรู้สึกขมก็เพราะพวกเธอไม่ได้ทำตามครู ครูบอกให้ยกแก้ว แล้วเอานิ้วคน เอานิ้วใส่ปาก พวกเธอทำตามครูหรือเปล่า”
    นักเรียนตอบพร้อมกันว่า “ทำตาม”
    ครูย้อนว่า “พวกเธอไม่ทำตามครู คราวนี้ครูจะทำให้ดูอีกทีอย่างช้าๆ คอยดูให้ดีนะ มีสติ อย่าใจลอย เวลาครูเอานิ้วคนในแก้ว ครูใช้นิ้วชี้คน แต่เวลาครูเอานิ้วใส่ปาก ครูใช้นิ้วกลาง พวกเธอใช้นิ้วชี้คนและเอานิ้วชี้ใส่ปาก มันก็ขมน่ะซิ นี่แสดงว่าพวกเธอไม่มีสติ พวกเธอรู้หรือยังว่าโทษของการไม่มีสติคืออะไร”
    นักเรียนตอบพร้อมกันว่า “ขมจัง”

    ...ใครอยากเรียนเก่งต้องฝึกสติ คือ เวลาอ่านหนังสือหรือเรียนหนังสือ ต้องพยายามเตือนตัวเองให้ระลึกรู้ทันปัจจุบันทุกขณะ พยายามบังคับตัวเองไม่ให้ใจลอย ฝึกมองให้เห็น ฟังให้ได้ยิน
    ...การฝึกสติเป็นเพียงขั้นแรก การฝึกขั้นต่อไปคือฝึกสมาธิ ใครอยากพัฒนาความจำและความคิดต้องมีสมาธิ สมาธิคืออะไร

    ...สมาธิแปลว่าตั้งใจมั่น ตรงกับคำว่าเอกัคคตา แปลว่าคิดเรื่องเดียว ใครอยากเรียนเก่งต้องฝึกคิดทีละเรื่อง ถ้าคิดหลายเรื่องพร้อมกันเรียกว่าฟุ้งซ่าน การทำสมาธิก็คือการเพ่งกระแสจิตให้จับแน่วแน่อยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงเรื่องเดียว ไม่วอกแวกไปคิดเรื่องอื่น เคยเห็นคนเพ่งเทียนไหม เขาเอาเทียนมาตั้งไว้ข้างหน้าแล้วเพ่งอย่างนี้จนภาพติดตา เมื่อหลับตาแล้วเขาก็เห็นแสงเทียนอยู่ในมโนภาพ ใจไม่วอกแวกไปไหนเลย คิดแต่ภาพแสงเทียนอย่างเดียว นี่เรียกว่า สมาธิ คือคิดเรื่องเดียว

    ...การฝึกสติและฝึกสมาธิต้องทำไปพร้อมกัน หลวงพ่อเทียนสอนฝึกวิธีฝึกสติด้วยการแบมือแล้วยกขึ้นช้าๆ ฝ่ามืออยู่ตรงไหนก็ให้รู้ทันจุดปัจจุบันของฝ่ามือ สติตามกำหนดอยู่เรื่องเดียวคือการเคลื่อนไหวของฝ่ามือ การกำหนดรู้อยู่เรื่องเดียวนี้จัดเป็นสมาธิ








    ...เมื่อจิตเป็นสมาธิ เราจะจำแม่นและทำให้เรียนเก่ง เหมือนเวลาที่เราถ่ายภาพ ต้องปรับ โฟกัสหน้ากล้อง ภาพจึงจะชัดเจน การทำสมาธิก็คือการปรับโฟกัสของจิต ฝึกคิดทีละเรื่อง เมื่อทำเรื่องนี้จบแล้วก็เลิกคิดถึงเรื่องนั้นหันไปจับเรื่องใหม่คิดต่อไป
    • ประสบการณ์ของคนเก่งรอบด้าน
    ...นโปเลียนมหาราชเป็นอีกตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จเพราะอาศัยสมาธิ เขาเป็นจักรพรรดิฝรั่งเศสที่เก่งทุกเรื่อง เขารบเก่ง ปกครองเก่ง บริหารเศรษฐกิจเก่ง เขียนจดหมายก็เก่ง วันหนึ่งเขาถูกข้าศึกจับตัวไปปล่อยเกาะ จิตแพทย์นั่งเรือไปสัมภาษณ์เขา มีคำถามข้อหนึ่งที่ว่าเขาทำอย่างไรจึงเก่งหลายด้าน

    นโปเลียนตอบว่า“ผมฝึกคิดทีละเรื่อง” ซึ่งก็คือฝึกทำสมาธินั่นเอง
    จิตแพทย์ถามต่อว่า “ท่านฝึกอย่างไร”

    นโปเลียนอธิบายว่า “ผมจินตนาการให้สมองเหมือนตู้ที่มีลิ้นชักหลายลิ้นชัก แต่ละลิ้นชักเก็บไว้อย่างละเรื่องเท่านั้น เวลารบก็เปิดลิ้นชักเรื่องรบ เวลาพักรบก็ปิดลิ้นชักนั้นหันไปเปิดลิ้นชักเรื่องความรักแล้วก็เขียนจดหมายถึงมเหสีจากแนวหน้า เวลาบ้านเมืองว่างจากศึกสงครามก็เปิดลิ้นชักเรื่องการปกครองบ้านเมือง ไม่ปะปนกันกับเรื่องอื่น”
    จิตแพทย์ถามว่า “เรื่องนี้ทำยากนะ ท่านทำได้จริงหรือ”
    นโปเลียนบอกว่า “ถ้าไม่เชื่อผมจะทำให้ดู ผมจะปิดลิ้นชักให้หมดเลย คอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
    ...ว่าแล้ว นโปเลียนก็เอนกายลงนอน เขาหยุดคิดทุกเรื่อง ใช้เวลาไม่ถึง ๕ นาที เขาก็หลับสนิท จิตแพทย์จับชีพจรและตรวจลมหายใจก็รู้ว่านโปเลียนหลับสนิทจริงๆ
    ...ใครที่อยากเรียนเก่งจะฝึกทำสมาธิแบบนโปเลียนก็ได้ คือจินตนาการให้สมองเหมือนตู้ที่มีลิ้นชัก[​IMG]หลายลิ้นชัก แต่ละลิ้นชักเก็บไว้อย่างละวิชาเท่านั้น ลิ้นชักที่ ๑ เก็บวิชาคณิตศาสตร์ พอจะเรียนคณิตศาสตร์ก็เปิดลิ้นชักที่ ๑ พอเรียนจบชั่วโมงคณิตศาสตร์ก็ปิดลิ้นชักนี้ไม่ต้องกังวลถึงวิชานี้อีกแล้วเปิดลิ้นชักที่ ๒ คือภาษาอังกฤษซึ่งอยู่ในชั่วโมงที่ ๒ พอเรียนภาษาอังกฤษจบก็ปิดลิ้นชักนี้ หันไปเปิดลิ้นชักภาษาไทย กีฬาและกิจกรรมอื่นๆต่อไป ข้อสำคัญคือต้องเปิดทีละลิ้นชัก คิดทีละเรื่อง ทำจบแล้วให้ปิดลิ้นชักทันที เวลาเรียนเป็นเรียน เวลาเล่นเป็นเล่น เรียนก็เก่ง เล่นกีฬาก็เก่ง

    ...อาตมาเคยไปบรรยายธรรมสอนสมาธิให้นักมวยแชมป์โลกคนหนึ่ง ผู้จัดการเล่าว่า “นักมวยคนนี้ต่อยเมืองไทยชนะตลอด แต่ตอนนี้ผมจะส่งเขาไปต่อยต่างประเทศกลัวเขาจะแพ้ เพราะขาดกำลังใจ ที่เขาต่อยชนะในเมืองไทยก็เพราะเวลาอยู่ในเมืองไทย เสียงเชียร์ฝ่ายไทยด้วยกันทำให้เขาฮึกเหิม พอเขาต่อยถูกหรือผิดก็ไม่รู้คนดูจะตะโกนเชียร์อย่างเดียว เสียงเชียร์ทำให้ฮึกเหิมจึงตั้งใจชกจนชนะ แต่พอไปต่อยต่างประเทศ เขาต่อยดีแค่ไหนคนดูไม่เชียร์เขาหรอก คนดูจะเชียร์มวยประเทศเขา นักมวยเราก็ใจฝ่อ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ผมจะให้เขาฝึกสมาธิ คือไม่ต้องฟังเสียงเชียร์ ให้ต่อยอย่างเดียว ใครจะเชียร์ ใครจะด่า ต้องไม่สนใจ ต่อยลูกเดียว นักมวยคนไหนที่ต่อยมวยไป หันไปยิ้มให้แฟนมวยไปด้วย เดี๋ยวก็พลาดท่าโดนน็อค ตอนอยู่บนเวที เขามีหน้าที่ต่อย ต้องต่อยให้เต็มที่”

    ...นักกีฬาหญิงของไทยที่ไปยกน้ำหนักชนะได้เหรียญทองโอลิมปิคเจ้าของวลีว่า“สู้โว้ย”ก็ทำแบบเดียวกันคือฝึกสมาธิ เวลานักกีฬาหญิงประเทศอื่นยกน้ำหนักไม่ขึ้น เขาร้องไห้งอแง โค้ชต้องมาปลอบใจ นักกีฬาหญิงของไทยนิ่งสงบมาก เวลายกไม่ขึ้นก็วางลงแล้วมานั่งนิ่งทำสมาธิ ไม่แสดงอาการท้อหรือเสียใจ จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นสู้ต่อไปอย่างแน่วแน่

    ...คนจะมีสมาธิต้องฝึกระเบียบวินัยในตนเองคือฝึกทำทีละเรื่อง อย่านำหลายต่อหลายเรื่องมาปะปนกัน เรียนเป็นเรียน เล่นเป็นเล่น หลวงพ่อพุธ ฐานิโยเล่าว่า ตอนที่ท่านบวชเป็นพระได้ไม่กี่พรรษา ท่านเรียนบาลีชั้นประโยค ๓ อยู่อยู่วัดแห่งหนึ่ง ที่สำนักนี้มีการฝึกกรรมฐานอีกด้วย หลวงพ่อพุธทำทั้งสองอย่าง คือฝึกกรรมฐานไปด้วยและเรียนบาลีไปด้วย พระรูปหนึ่งเตือนท่านว่า “ท่านพุธทำอะไรให้จริงสักอย่างสิ จะเรียนก็เรียน จะนั่งกรรมฐานก็นั่ง มีที่ไหนกันนั่งกรรมฐานด้วย เรียนไปด้วย กรรมฐานเสื่อมหมด” ท่านพุธนึกตอบในใจว่า เราจะฝึกกรรมฐานไปด้วย เรียนไปด้วย เวลาเข้าห้องเรียนก็ทำกรรมฐานไปด้วย ไม่มีใครห้ามฝึกสมาธิเวลาเรียนหนังสือมิใช่หรือ

    ...พอเข้ากรรมฐานฝึกสมาธิ ท่านพุธกำหนดลมหายใจเข้าออก พอหายใจเข้าก็นับหนึ่ง หายใจออกนับหนึ่ง ไม่คิดเรื่องอื่นเลย นับหนึ่งๆ สองๆ จนถึงสิบๆ แล้วก็นับหนึ่งๆ ถึงสิบๆ อย่างนี้ พอไปอยู่ในห้องเรียนท่านนั่งแถวหน้าเลย เพื่อไม่ให้อะไรทำให้ใจวอกแวก ท่านนั่งเพ่งไปที่อาจารย์เหมือนกับเพ่งกสิณจนกระทั่งอาจารย์รู้สึกอึดอัดถามว่า ท่านพุธมีปัญหาอะไรหรือ ท่านพุธตอบว่า “ผมกำลังเพ่งกสิณทำสมาธิ ถือเอาอาจารย์เป็นอารมณ์กรรมฐาน”
    อาจารย์ตอบแบบคนอารมณ์ดีว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านเพ่งผมให้กลายเป็นผุยผงไปเลย”

    ...พอใกล้จะสอบบาลี ท่านพุธหลับฝันเห็นไก่บินปร๋อไปเกาะบนรั้วตีปีกขันเสียงเจื้อยแจ้ว ท่านนำความฝันนี้ไปเล่าให้อาจารย์ฟัง อาจารย์บอกว่า สงสัยปีนี้จะออกข้อสอบตอนไก่ปรบปีก อาจารย์ให้เก็งข้อสอบประโยคไก่ปรบปีก ท่านพุธก็เก็งประโยคนี้แล้วไปบอกเพื่อนๆ ว่าปีนี้จะออกประโยคไก่ปรบปีก
    เพื่อนถามว่า “ท่านรู้ได้อย่างไร”
    ท่านพุธตอบว่า “ผมรู้จากความฝัน”

    ...พอถึงเวลาสอบปรากฎว่าข้อสอบออกเรื่องไก่ปรบปีกจริงๆ ท่านพุธสอบได้กลายเป็นพระมหาพุธ ๓ ประโยค ท่านฝันแม่นจริงๆ ประสบการณ์ตรงนี้ทำให้ต่อมาหลวงพ่อพุธรณรงค์ให้สอนนักเรียนฝึกกรรมฐานเพื่อให้เรียนเก่ง นักเรียนทั่วภาคอีสานมาฝึกกรรมฐานที่วัดของท่าน อาตมาไปช่วยท่านสอนด้วย หลวงพ่อพุธจึงเล่าประสบการณ์ของท่านให้ฟัง
    ...อาตมาถามหลวงพ่อพุธว่าทำไมท่านจึงสอนกรรมฐานให้นักเรียน ท่านตอบว่า เพราะท่านเจอมากับตัวเองดังเล่ามาแล้ว ท่านยังเล่าต่ออีกว่า วันหนึ่งผู้ปกครองพานักเรียนตัวเล็ก ๆ มาหา เด็กคนนี้เรียนหนังสือไม่เก่งเพราะมีสมาธิสั้นเหลือเกิน เป็นเด็กผู้หญิงแต่อยู่ไม่สุข ซนเป็นลิงเลย เธอชอบกวนเพื่อน ๆ ในห้องเรียนจนครูจะไล่ออกอยู่แล้ว

    ...หลวงพ่อจับเด็กฝึกกรรมฐานให้จนกลายเป็นเด็กเรียนเก่ง จบปริญญาตรีและปริญญาโทได้ทุนรัฐบาลไปเรียนต่อปริญญาเอกที่สหรัฐอเมริกา วันที่สนทนากันนั้น หลวงพ่อพุธเพิ่งได้รับจดหมายจากศิษย์คนนั้นเขียนมาเล่าว่า

    ดิฉันทำตามที่หลวงพ่อสอน คือฝึกกรรมฐานก่อนนอนทุกคืน ปรากฎว่าพอใกล้สอบดิฉันฝันแม่นทุกทีเลยว่าข้อสอบจะออกอะไร ดิฉันบอกเพื่อนที่เป็นฝรั่ง เพื่อนก็ไม่เชื่อ แต่ถึงเวลาเข้าสอบ ปรากฎว่าข้อสอบออกตรงตามนั้นเลย เพื่อนหาว่าหนูไปติดสินบนอาจารย์เลยรู้ข้อสอบล่วงหน้าอยู่คนเดียว ที่จริงดิฉันฝันแม่นเหมือนหลวงพ่อนั่นแหละ”

    ...การทำสมาธินอกจากจะช่วยให้จำแม่นแล้วยังทำให้จิตนิ่งไม่ตื่นเต้นเวลาทำข้อสอบในสนามสอบ สมัยที่อาตมาเป็นสามเณรเรียนบาลีก็ฝึกสมาธิในการเรียนหนังสือเหมือนกัน เวลาเข้าห้องสอบแต่ละครั้งจะนั่งหลับตากำหนดลมหายใจเข้าออกประมาณ ๕ นาทีเพื่อให้จิตใจสงบหายตื่นเต้นแล้วจึงเปิดข้อสอบ จากนั้นก็ค่อยตอบข้อสอบด้วยความสุขุมรอบคอบ อาตมาทำอย่างนี้จนกระทั่งสอบได้ประโยค ๙ ขณะเป็นสามเณร

    ...จำได้ว่า ครั้งหนึ่งตอนเป็นสามเณรอยู่ที่สุพรรณบุรี อาตมาเดินทางเข้ากรุงเทพฯเพื่อสอบประโยค ๕ ที่ตึกมหาจุฬาฯ วัดมหาธาตุ พอกรรมการคุมห้องสอบแจกข้อสอบ อาตมาก็ยังไม่ดูข้อสอบทันที ยังคงนั่งหลับตาภาวนาต่อไปอีกสิบนาที กรรมการคุมห้องสอบนึกว่าอาตมานั่งหลับเวลาสอบจึงมาสะกิดบอกว่า “สามเณรตื่นได้แล้ว”
    • เสกคาถาเรียนเก่ง
    ...ต่อไปนี้จะแนะวิธีฝึกสมาธิสำหรับช่วยให้เรียนเก่ง ให้นักเรียนท่องคาถา ๔ คำคือ “จะ ภะ กะ สะ” เรียกว่าคาถากาสลัก คาถานี้มาจากหนังสือชื่อวชิรสารัตถสังคหะที่พระรัตนปัญญาเถระแต่งไว้ที่เชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๐๗๘ คาถานี้ต้องเสกให้เป็น ถ้าเสกไม่เป็น คาถาไม่ศักดิ์สิทธิ์ จะเรียนไม่เก่ง
    คาถา “จะ ภะ กะ สะ” นี้ต้องเสกเป็นคาบ คาบแปลว่า “วน” หนึ่งคาบมี ๔ จบ
    จบที่หนึ่งเริ่มจากตัวที่หนึ่ง “จะ ภะ กะ สะ”
    จบที่สองเริ่มจากตัวที่สอง “ภะ กะ สะ จะ”
    จบที่สามเริ่มจากตัวที่สาม “กะ สะ จะ ภะ”
    จบที่สี่เริ่มจากตัวที่สี่ “สะ จะ ภะ กะ”
    ...อยากเรียนเก่งต้องเสกวันละ ๗ คาบก่อนนอนและเวลาเข้าห้องสอบ ก่อนสอบทุกวิชา ต้องหลับตาเสก ๗ คาบ ลองเสกดูจะได้เรียนเก่งกันทุกคน ๑ คาบมี ๔ จบ ให้นักเรียนว่าพร้อมกันว่า
    จะ ภะ กะ สะ
    ภะ กะ สะ จะ
    กะ สะ จะ ภะ
    สะ จะ ภะ กะ
    ...เสกคาถาอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องถอดรหัสคาถาเอามาปฎิบัติอีกด้วย เราต้องรู้ความหมายด้วยคาถาจึงจะศักดิ์สิทธิ์ เหมือนกับเรามีคาถากันเสือกันช้าง เวลาที่เราเข้าป่าเจอเสือเจอช้าง เสกคาถาอย่างเดียวไม่พอ ต้องพกหลวงพ่อโกยวัดหน้าตั้งคือวิ่งไปด้วยเสกคาถาไปด้วย
    ยามเข้าป่าเสกคาถากันช้างไล่
    ขึ้นต้นไม้อีกด้วยช่วยคาถา
    เห็นน้ำแกงจวนหมดรสโอชา
    เติมน้ำปลาอีกด้วยช่วยน้ำแกง
    ...คำว่า “จะ ภะ กะ สะ” แปลว่าอะไร คำทั้งสี่ได้มาจากคำที่หนึ่งของคาถาภาษาบาลีดังต่อไปนี้
    จะชะ ทุชชะนะสังสัคคัง
    ภะชะ สาธุสะมาคะมัง
    กะระ ปุญญะมะโหรัตตัง
    สะระ นิจจะมะนิจจะตัง
    มีคำแปลว่า
    หลีกเลี่ยงคนพาล (จะ)
    สังสรรค์บัณฑิต (ภะ)
    ทำดีเป็นนิจ (กะ)
    คิดถึงความเปลี่ยนแปลง (สะ)
    ...นักเรียนที่อยากเรียนเก่งต้องเสกคาถากาสลักทั้ง ๔ คำ วันละ ๗ คาบเป็นอย่างน้อยและถอดรหัสนำมาปฎิบัติในชีวิตประจำวันด้วย ดังต่อไปนี้
    (จะ) หลีกเลี่ยงคนเกเรไม่ชอบเรียนหนังสือและชอบหนีโรงเรียนเป็นประจำ
    (ภะ) คบหาคนเรียนเก่งหรือตั้งใจเรียน มั่นเข้าพบครูบาอาจารย์
    (กะ) ขยันอ่านหนังสือ ทำการบ้าน และทำงานที่ครูสั่งมา
    (สะ) สอบได้คะแนนดีแล้วอย่าประมาท ต้องขยันศึกษาเล่าเรียนเสมอต้นเสมอปลาย
    ...เมื่อใดหมดกำลังใจในการศึกษาเล่าเรียนให้นึกถึงความคาดหวังของคุณพ่อคุณแม่และ นึกถึงประวัติของคนเรียนเก่งอย่างหลวงพ่อพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เพื่อใช้เป็นแบบอย่างให้เราตั้งใจเรียนต่อไป ดังพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ ๖ ที่ว่า
    ประวัติวีรบุรุษไซร้ เตือนใจ เรานา
    ว่าอาจจักยังชนม์ เลิศได้
    แลยามจะบรรลัย ทิ้งซึ่ง
    รอยบาทเหยียบแน่นไว้ แทบพื้นทรายสมัย
    ...ขออ้างบุญกุศลที่เราบำเพ็ญวันนี้และก่อนหน้านี้ เป็นเครื่องบูชาคุณของท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ขอพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้มีส่วนแห่งบุญกุศลที่เราบำเพ็ญถวายท่านในครั้งนี้ ให้ปราศจากทุกข์โศกโรคภัยทั้งปวง เจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่งขึ้นไปในร่มธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สถิตเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของศิษยานุศิษย์ตลอดกาลนาน

    ...ขอบารมีธรรมของพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้ปกแผ่ไพศาลคุ้มครองพวกเราทุกคนให้มีแต่ความสุขความเจริญรุ่งเรือง มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา สามารถในการศึกษาและการทำงาน เจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธรรมสารสมบัติ ธนสารสมบัติ ปรารถนาสิ่งใดที่ชอบประกอบด้วยธรรม ก็ขอให้ความปรารถนานั้น ๆ จงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จ ทุกท่าน ทุกคน ตลอดกาลนานเทอญ
    พระธรรมโกศาจารย์(ประยูร ธมฺมจิตฺโต)
    เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส
    บทความธรรมประยุรวง หนังสือธรรมประยุรวง


    </TD></TR><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600><TBODY><TR><TD>รวม หนังสือธรรมประยุรวง บทความธรรมประยุรวง โดย พระธรรมโกศาจารย์ เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส








    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>อ้างอิงจากhttp://watprayoon.org/index.php?topgroupid=1&subgroupid=364&groupid=89
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2012
  2. pipat

    pipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +128
    อนุโมทนา สาธุ ครับ กระผมจะนำไป ปฏิบัติตาม ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ครับ
     
  3. PITINATTH73

    PITINATTH73 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    2,991
    ค่าพลัง:
    +9,624
    ผมขออนุโมทนาสาธุ ในบุญกุศลที่ได้บำเพ็ญมาทั้งหมดทั้งปวงด้วยครับ
     
  4. visnu

    visnu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,844
    ค่าพลัง:
    +23,778
    สาธุครับ ท่านประยุตนั้นคือเพชรที่แท้จริง รอบรู้จริงแจ่มแจ้งจริง
     
  5. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,370
    ข้อมูลดีมีประโยชน์ ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...