ทำไมจึงเรียกว่าอารมณ์ญาณ

พูดไปก็อายนะครับผมเคยนั่งสมาธิโดยมีอายุรูปยานที่ทำให้เราต้องคอยหลบหลีกและต้องคอยระวังความคิดอยู่ตลอดเวลามันไม่ทำให้คนเจ็บปวดหรอกครับกับการนั่งสมาธิแต่เราจะมีอารมณ์ญานก็ต่อเมื่อเราหายใจเท่านั้นเอง

 

ผมว่าก็จริงนะคลับ

 

ญาณทำให้ผมทำงานปัจจุบันไม่ได้คับ ปัญญาไม่เกิด

 

" จิตที่หดหู่ ตกไปข้างฝ่ายเกียจ
คร้าน ย่อมเป็นอันตรายแก่สมาธิ

จิตที่ถือจัด ตกไปข้างฝ่ายฟุ้งซ่าน
ย่อมเป็นอันตรายแก่สมาธิ

จิตที่รู้เกินไป ตกไปข้างฝ่ายความ
กำหนัด ย่อมเป็นอันตรายแก่สมาธิ "

 

เอ้า ผู้รู้จริงช่วยกันแก้ความเข้าใจ
คำ และ ความหมาย ที่ถูกต้อง ตามที่โบราณาจารย์สอนสั่งอบรมกันมาหน่อยครับ
อะไรคือ ญาน (ยาน) อะไรคือ ฌาน (ชาน)
อะไรเป็นอารมณ์สมาธิ อะไรเป็นความรู้อันเกิดจากสมาธิ ให้เข้าใจตรงกันก่อนดีมั๊ยครับ
ไม่งั้นพุทธวิชชาจะผิดเพี้ยนกันไปหมด

 

+++ เคยแก้ไว้ให้แล้ว "แต่ก็ เสียเวลาเปล่า"

+++ แม้จะพูดว่า "คราวหน้าจะพยายามหาภาษาให้ถุกขึ้นคับ"
+++ ก็จะเห็นได้ว่า "ความพยายามที่จะแก้ ไม่เคยปรากฏมาเลย"

+++ และตอนนี้ กลายเป็นมากกว่า 3 คนขึ้นไป
+++ ที่ "พยายาม ใช้ภาษา วิปปริตวิปปลาส ในศาสนาพุทธ"
+++ มีคนหนึ่ง ที่ใช้ "ภาษาวิปปลาส" นี้ มาตลอดเวลาใน "เวปพลังจิต" นี้
+++ เคยเตือนไปก็หลายครั้ง จน "มันกลายเป็น ศัตรู กับผู้ที่เตือนมันไปเลย"

+++ หลักใหญ่ ๆ ก็ให้สังเกตุ "การใช้ภาษา" ของกลุ่มนี้
+++ ก็จะพบได้ว่า "เป็นกลุ่มบุคคลที่ ไร้การศึกษา"
+++ หรือมิฉะนั้น ก็ เป็นกลุ่มบุคคลที่ "ไม่ใช่คนไทย"
+++ และอีกรณีหนึ่งคือ "บุคคลกลุ่ม เสพยาเสพติด"

+++ อย่างที่ "ใต้สรวงสวรรค์ ตรีเอกภาพ" ได้โพสท์ไว้
+++ ลองอ่านดูแล้วก็พอที่จะ "รู้/เข้าใจ" ได้ดีขึ้นเองนะ

+++ คุณ เส้นทางยาวไกล ก็ค่อย ๆ พิจารณาเอาว่า ใครเป็นบุคคลประเภทไหนใน 3 กลุ่มนี้ คือ

+++ 1. เป็นกลุ่มบุคคลที่ "ไร้การศึกษา"
+++ 2. เป็นกลุ่มบุคคลที่ "ไม่ใช่คนไทย"
+++ 3. บุคคลกลุ่ม "เสพยาเสพติด"

+++ ดังนั้น "การใช้ภาษา จึง วิปปลาส ผิดเพี้ยนไปหมด"
+++ คงไปแก้ไขอะไรกับ กลุ่มบุคคลเหล่านี้ ไม่ได้
+++ ไม่นาน เวปพลังจิต ก็จะเป็น เวปมั่วสุม ของบุคคลเหล่านี้
+++ หากทาง MOD ไม่ได้ พิจารณา หรือ ปราม ๆ พวกนี้บ้าง

+++ สนิม เมื่อเริ่มแรก "จะเป็นเพียง จุดเล็ก ๆ" เท่านั้น
+++ อยู่ที่ว่า "ใครจะ เห็นและรู้จัก ว่ามันคือ สนิม"
+++ แล้วจัดการกับ "สนิม" เหล่านั้น ก่อนที่มันจะ "กระจายตัว" ออกไป
+++ คนธรรมดาคงทำได้แค่ "เตือนบุคคลอื่น ให้ระวัง" คงได้แค่นั้น นะครับ

 

เห็นท่านธรรมขาติพยายามอยู่ครับ เลยอยากให้ท่านอื่นๆ ที่รู้จริง ช่วยๆกันให้ความรู้ที่ถูกตรง ถ้อยคำที่ถูกต้องด้วย หลายๆท่าน ที่เคยให้ทัศนะอันเป็นประโยชน์กับเพื่อนสมาชิก ไม่ทราบหลบเร้นไปอยู่ไหนกันครับ มาช่วยกันหน่อยเถอะครับ

 

ศิษย์ใคร คนนั้นก็ต้องสอนกันไป
สอนได้ไม่ได้ มันก็แล้วแต่บารมีของผู้ที่ถูกสอน
กับ บารมีของผู้ที่สอน มารวมกัน
ส่วนเราคือ ผู้ตรวจทาน ไม่เน้นสอนจริงจัง

 

ในพุทธศาสนาแท้แล้วล้วนเป็นศิษย์ตถาคตทั้งนั้นแหละครับ สุดแต่จะเป็นกัลยาณมิตรที่ชี้นำกันไปสู่สัมมาทิฐิ หรือแสดงธรรมมั่วๆอันเป็นมิจฉาทิฐิเพราะความหลงตัวเท่านั้นแหละ
คุณหินดำบอกไม่เน้นสอน แต่เห็นตั้งกระทู้ตั้งตนเป็นกูรูกูรู้ตอบปัญหาธรรมอยู่ แถมตอบแบบถูกมั่งผิดมั่งอีกตังหาก เคยตักเตือนแล้วครับ ศึกษาให้รู้จริง ปฏิบัติให้ได้จริง ลดโมหะ ลดอัตตาหลงตัวหลงตนให้ได้จริงก่อน ค่อยมาแสดงธรรมสอนคนอื่น

 

สติ/รู้/ญาณ มีหน้าที่รู้อาการต่างๆ เป็นอสังขตธรรม
สัมปชัญญะ/ความรู้สึก มีหน้าที่รับรู้อารมณ์ต่างๆ เป็นสังขตธรรม

หากยังแยกไม่ออกระหว่าง รู้ กับ รู้สึก มันก็จะเหมือนว่าปรุงร่วมกันได้

อารมณ์ญาณนั้นๆไม่มี มีแต่อารมณ์ในเนื้อสัมปชัญญะ/ความรู้สึก นั้นๆ

 

+++ คงจะ "เอียน" กับไอ้พวก "ไร้ปัญญา" มากกว่า
+++ นอกจากจะ "พูดไม่รู้เรื่อง" แล้ว ยัง "นึกว่า ตัวมันรู้ทุกอย่าง"
+++ แม้กระทั่งคำว่า "ญาณ (ยาน)" ก็ยัง ไม่รู้เรื่องเลย
+++ แถม "อธิบาย เป็นคุ้งเป็นแคว ปั้นน้ำเป็นตัว มั่วไปหมด"

+++ บุคคลประเภทใน 3 กลุ่มนี้ ต้องเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย คือ

+++ 1. เป็นกลุ่มบุคคลที่ "ไร้การศึกษา" ตรงนี้ต้องรวมถึง "กลุ่มบุคคล ปัญญาอ่อน" ด้วย เพราะ "ศึกษาไม่ได้"
+++ 2. เป็นกลุ่มบุคคลที่ "ไม่ใช่คนไทย" ตรงนี้ต้องรวมถึง "กลุ่มบุคคลที่ พูดภาษาไทยไม่รู้เรื่อง" หรือ "ไม่ยอมเรียนภาษาไทย"
+++ 3. บุคคลกลุ่ม "เสพยาเสพติด" ตรงนี้ต้องรวมถึง "กลุ่มบุคคลเสพติด ความคิดเพ้อเจ้อของตนเอง" เช่น "คิดเอาเองว่า ตนเป็นอาจารย์"

+++ นอกจากจะ "มั่วจนเป็นสันดาน" แล้ว ยัง "มั่วจนกลายเป็น อาจารย์แห่งความมั่ว" ซะอีก

 

+++ ไอ้เจ้าคนนี้ "หากเตือนมันมาก มันจะกลายเป็น ศัตรู ในภายหลัง"
+++ ทั้งผมและคนอื่น ๆ เคยเตือนมันไปหลายครั้งแล้ว จนมันกลายเป็น "ศัตรู" ไปเลย
+++ มันเป็น "บุคคลที่หาได้ยาก" เพราะมันเป็นแบบเฉพาะ ที่รวม "บุคคลทั้ง 3 ประเภท" ในตัวมันคนเดียว
+++ อาการเด่นที่สุด คือ "ประเภทที่ 3" มันเป็นพวก "ยาเสพติด ที่ เสพความเพ้อเจ้อของตนเอง"

+++ เห็นมันบอก "ไม่เน้นสอน" แต่มันก็เสือก "สอนไม่หยุด" แล้วสอนแบบ "มั่วตลอด"
+++ ตรงนี้ชี้ชัดถึงเรื่อง "การติดสารเสพติด ในหัวกะโหลก" หากไปห้ามมัน มันจะ "หาเรื่องเป็นศัตรู" ทันที
+++ หากเป็นการ "ติดยาภายนอก" ยังสามารถ "ค่อย ๆ หายได้" เมื่อ "เลิกยาได้"
+++ แต่การ "ติดยาภายในจิต" จะไม่สามารถหายได้ กว่าจะหายก็ต้อง "ไปนรก อีกหลายอสงไขย"

+++ อาการ "รองลงมาจาก ประเภทที่ 3" คือ อาการของ "ประเภทที่ 2" คือ "พูดภาษาไทย ไม่รู้เรื่อง"
+++ สาเหตุตรงนี้มาจาก "ประเภทที่ 1 คือ ปัญญาอ่อน" ไม่สามารถ "รู้ ชั่ว/ดี" ได้ทั้งสิ้น

+++ หลังจากที่ "คุณ เตือนมัน" มันก็จะ "ยัง งง อยู่ชั่วขณะ" เหตุเพราะ "ปัญญาอ่อนจน ผิดวิสัย มนุษย์ปกติ"
+++ มันจะต้อง "ใช้ปัญญาอ่อน กลั่นกรองอยู่สักพัก" แล้วมันจะ "แปลภาษาไทยที่เจตนาดี ให้เป็น เจตนาร้าย"
+++ ตรงนี้แหละ ที่เป็น "ประเภทที่ 2 คือ พูดไม่รู้เรื่อง อันมีสาเหตุมาจาก ปัญญาบกพร่อง รวมทั้ง มโนหลอน"

+++ ส่วนเรื่องจะให้มัน "ลดอัตตา" ลงมานั้น เป็นเรื่อง "เป็นไปไม่ได้" แน่นอน เพราะมัน "ไม่รู้จักอัตตา"
+++ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "อัตตาของมัน ยังเสพสารเสพติดในหัวกะโหลกของมันเอง แบบ ไม่มีวันหยุดได้"

+++ บุคคลที่ "ติดตาม หรือ เออออไปกับมัน" ย่อม "สร้างวิบากผูกพัน ไปกับมัน" อย่างน่าอนาถอย่างยิ่ง ตามหลัก สัมปะยุตตาธัมมา
+++ บุคคลที่ "ตักเตือน หรือ คัดค้านมัน" ไม่นานก็ย่อม "พ้นวิบากผูกพัน ไม่ยุ่งเกี่ยวไปกับมัน" ตามหลัก วิปปะยุตตาธัมมา

+++ กฏแห่งกรรม ไม่เกี่ยวกับ "ความชอบ/ไม่ชอบ"
+++ ทุกอย่างเกี่ยวกับ "ทำอย่างไร ก็ ได้อย่างนั้น"
+++ เมื่อมันทำ ความ "มั่วตลอด"
+++ มันก็จะได้ความ "มั่วตลอดกาลนาน"

+++ นี่แล "ยามตายย่อมไร้สติ มีอบายเป็นที่ไป"
+++ เมื่อ "มั่วมากไป ย่อมไร้สติ ตั้งแต่ ยังไม่ตาย"
+++ กฏแห่งกรรมที่ "ทำมั่ว แสดงธรรมมั่ว มาตลอด"
+++ ย่อมส่งผลเป็น "วิบากที่ยาวนาน หลายอสงไขย"

+++ และที่สำคัญที่สุด ก็คือ "การเอาธรรมะของพระพุทธเจ้า" มามั่ว
+++ ตรงนี้แล.... "ไม่เน้นการสอน เน้นแต่ ความมั่วลูกเดียว" วิบาก ย่อมยาวนานผิดปกติ นะครับ

 

ก็จริงนะคับ บางทีก็รู้สึกแบบวรณิ แต่เข้าใจดีว่าตึงเกินไปก็เจ็บหย่อนเกินไปก็เจ็บ รู้สึกสงสารแต่ช่วยไม่ได้เลยจริงๆ เขาเอาสิ่งต่างๆมารวมลงเป็นสิ่งเดียวกัน คือแยกแยะอะไรไม่ได้ มีสองความเห็นอาจไม่เคยเห็นอะไรแบบถึงที่สุดทั้งที่ดีและที่เลว ปัจจุบันจึงใช้การมโนเอาเพราะมันง่าย เจ้าข้างตัวเอง ได้ใจคนอื่น คนอื่นอาจเชื่อถือหรือศรัทธา แต่คงให้ได้แค่ความสลดสังเวช ช่วยไม่ได้จริงๆ

 

พี่ก็อย่าไปถือสาคติกับสิ่งที่ต้องประสบเลย มันไร้สาระเกินกว่าเขาเหล่านั้นจะพ้นไปได้ ทำที่ทำได้เถอะคับ

 

ต่อไปนี้อาจระบุแล้วละว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ต้องลับลมคมในแล้ว ใช่จะบอกว่าใช่ เสพยาแล้วถ้าใช่จะบอกว่าใช่ แต่ถ้าไม่ใช่จะจัดเหมือนกันเพราะพิจารณาแล้ว ยังไงก็ไม่มีบุญพอจะทำอะไรผมได้ แน่นอน แต่คงเฉพาะที่มีผลกระทบจริง ถ้าแบ่งกันให้เห็นภาพมันจะเห็นชัด คำว่าไม่มันก็กูที่ลงนรก จะเห็นจริงกว่าที่ มโนแน่นอน

 

แสดงค่ามาสิ ว่าควรค่าจะต้องรู้สึกสะดุ้ง รู้มาแต่แรกแล้วตั้งแต่บรรจบจุติว่าจะต้องเจออะไร ส่วนใหญ่ก็อุปโหลกเอาเองว่าเป็นนั่นเป็นนี่ แน่จริงแสดงมาสิว่าควรค่าแก่การตอบคำถามหรือต้องสนทนา พวกมโนก็ว่าไม่แบ่งธรรม รู้อะไรไหม ถ้าไม่แบ่งนั่นคือพูดกับพระศาสดาเท่านั้น ตอนนี้พระศาสดาปรินิพพานไปแล้ว ใครมโนก็ทำไป ไม่ว่าเลย แต่ถ้าหมั่นเขี้ยว จะขยี้เหมือนกัน แต่รอบนี้คงไม่เลี้ยงเหมือนกัน และไม่ปราณีแล้ว เห็นเขาชอบถือว่าฉันยิ่งใหญ่นีกหนา คราวนี้ฉันขอเอาด้วย ลองดูว่า อภิญญามโนนั่นจะมีค่าแค่ไหน ยิ่งทำยิ่งเพี้ยนไม่เหมือนต้นฉบับ ครั้งนี้จะไม่สนใจแน่แล้ว มาวัดกันเลยว่ามึงหรือกูจะลงอเวจีนรก แค่งูๆปลาๆ อย่าเอามาพูดนะ ถ้ารับรู้แล้ว คำว่ามึงรึกูจะลงนรกอเวจีจะปรากฏ

 

ไช่เลยๆ ท่านเคนนี่ วันนี้ มาได้ หล่อมากๆ
ใครถูกก็ ดีไป
ใครผิด ก็ เอานรกไป

ถ้ายังคาใจ ก็ ไปนรกพร้อมกันนี่แหล่ะ แล้วใครจะ กลับมาได้ กลับมาไม่ได้..
เบื่อมากพวก ที่เข้าข้างตนเอง..มันมะโน ไปเรื่อยของมัน ตามแต่จิต อวิชชา จะพาไปจริงๆ

 

+++ อันนั้นเขา ทะลึ่งตึงตังไปวัน ๆ เพื่อต่อต้านโรคซึมเศร้า เป็นวิถีส่วนบุคคล

+++ ส่วนไอ้เจ้า "ถั่วงอก" นี่ คุณ kenny2 ก็ลอง "สงสารและช่วยเหลือดู"
+++ แล้วก็จะได้ผลออกมาเป็น "ศัตรู" แน่นอน
+++ เหตุเพราะ มัน "โยนทิ้ง+คุณประโยชน์ (เนร+คุณ)" ที่ทุกคนโพสท์
+++ เป็นประเภท "ถูกต้อง ไม่เอา เอาแต่ที่มัน ถูกใจ" เท่านั้น
+++ นี่แหละคือ "ปัญญาอ่อนแค่ถั่วงอก" เพ่งแต่ "สิ่งที่มันถูกใจ"
+++ นี่คือ อาการแรกเริ่ม "ต้นเหตุของ มโนเอาเอง"

+++ คุณ kenny2 ลองช่วยมันดู แล้วผลลัพธ์ที่ได้ "จะเป็นการ จองเวรตอบกลับ มาจากมันนั่นแหละ"
+++ หาก คุณ kenny2 เคยอ่านโพสท์เก่า ๆ ของผม ก็จะเจอ "สิ่งที่ผม+คนอื่นเตือน" แล้วได้รับ "การจองเวร" กลับมา
+++ ให้ คุณ kenny2 เอาตรงนี้ไว้ "เป็นบทศึกษา" ดูเอานะ ประวัติของไอ้เจ้า "ถั่วงอก" ตัวนี้มันยังมีอยู่ ในเวปนี้

+++ อีกประการหนึ่งที่ปรารถนาให้คุณ kenny2 เอาไว้พิจารณา "เป็นบทศึกษา"
+++ คือ ให้ดูการโพสท์ของไอ้ถั่วงอกตัวนี้ ว่าเป็นแบบ "โพสท์เพ่งโทษ แบบเย็น ๆ"
+++ ซึ่งต่างไปจากการ "โพสท์เพ่งโทษ ตามปกติซึ่ง ออกร้อน ๆ" นี่คือ ข้อแตกต่าง
+++ ไม่ว่าจะเป็นการ "เพ่งโทษ" อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ จะออกมาเป็น "นรก" ทุกกรณี

+++ บทศึกษานี้ เป็นบทศึกษา "วิถีจิตระหว่าง อเวจี (นรกร้อน) VS โลกันต์ (นรกเย็น)"
+++ ให้คุณ kenny2 ศึกษาเปรียบเทียบดู กรณี นรกเย็น นี้ เป็นตัวอย่างที่ "หาได้ยากยิ่ง"
+++ หากคุณ kenny2 ไปดู "ประวัติการโพสท์ ของไอ้ถั่วงอก" ก็จะ รู้ ชัดได้เอง
+++ วิถีทางแห่ง "นรกเย็น" นี้เป็นวิถีทาง "ประหลาด เพ่งโทษ ยอกย้อน เยือกเย็น ลับลมทื่อ ๆ"

 

+++ จริง ๆ แล้ว "ผมไม่สนใจ สิ่งที่มันโพสท์ออกมา"
+++ เพียงแต่ "อนาถใจ" ที่คนใหม่ ๆ ไม่รู้เรื่อง
+++ หลงเข้ามาหามัน แล้วโดนมัน "ทำลาย" โดยไม่รู้ตัว
+++ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ผู้ที่หลงไปสอบถามมัน"
+++ เพราะ "นึกว่ามันรู้" แต่ความจริงก็ได้แค่ "ความมั่ว" กลับมา

+++ ผม "ไม่ถือสา" อะไรกับมัน "ตราบเท่าที่มัน ไม่ทำลาย ศาสนาของพระพุทธองค์" เท่านั้น
+++ ก็เหตุที่มัน "มโนจน ฉิบหายตายซาก" นี่แหละ มันจึง "บ่อนทำลายพระพุทธศาสนา" ตลอดเวลา

 

+++ ต่อให้คุณ kenny2 บอกว่า "ใช่" แต่พอเลยไปซัก 2-3 โพสท์
+++ มันกลับกลายเป็น "ไม่ใช่" อีก เพราะมัน "กลับกลอกการโพสท์" ตลอดเวลา
+++ คุณ kenny2 น่าจะ "เคยเจอการโพสท์ กลับกลอกไปมา" ของมันในโพสท์เดียวมาแล้วนะ

+++ อาการของ "สัตว์ที่จะไปยัง โลกันต์" นั้น
+++ โอกาสที่จะกลับมาเจอกันอีก "หลังชาตินี้ไปแล้ว" ยากสสสสส์
+++ อเวจีแม้จะนับเป็นกัปป แต่โลกันต์นั้น นับเป็น "มหากัปป" ขึ้นไป

+++ มันไป "นรก" แน่นอนอยู่แล้ว ตาม "วิถีจิต" ของตัวมันเอง
+++ ยามตายย่อมไร้สติ แต่ มันไร้สติตั้งแต่ยังไม่ตาย จะไรจะเกิดขึ้น

+++ กายหยาบ เป็นตัว "ตั้งสติ" เป็นอุปกรณ์ "ช่วย" ให้มีสติ
+++ คำว่า "ยามตายย่อมไร้สติ" นั้น ชี้ไปที่ "อาการ ไร้กายหยาบ"
+++ เมื่อไม่มี "อุปกรณ์ฉุดรั้งสติ" ยามตาย ย่อม "ไปอบาย"
+++ แต่ไอ้ถั่วงอก "แม้มีกายหยาบ ก็ยังรั้งสติ ไม่ได้" ตรงนี้ ชัดเจน