ทำไมถนนทางธรรมจึงเต็มไปด้วยมาร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย พระป่าสุพรรณ, 21 กุมภาพันธ์ 2006.

  1. พระป่าสุพรรณ

    พระป่าสุพรรณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +13,134
    ผมเป็นคนหนึ่งซึ่งศึกษาวิปัสสนากรรมฐานมาตั้งแต่เมื่อครั้งบวชอยู่ที่วัดหลวงพ่อสังวาลย์ ที่สามชุก ตลอดเวลาที่ปฏิบัติธรรม รวมทั้งการบอกมหาบุญกับญาติมิตรให้ช่วยกันมาสร้างพระ สร้างกุฏิสำหรับพระปฏิบัติ ผมประสบปัญหาใหญ่(มาร)ที่คอยเข้ามารบกวนจิตใจอยู่ตลอดก็คือผู้หญิง มีทั้งหลายรูปแบบ ทั้งที่มาคอยจับก็ดี คนดีๆก็มี หน้าตาดี ฐานะดี เท่าที่ผมจำความได้ตลอด 4-5 ปีนี้ตั้งแต่ผมสึกออกมามีเป็นสิบ แน่นอนครับผมเองก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนนึงก็ย่อมมีทั้งพ่ายแพ้ใจตัวเองบ้าง และชนะบ้าง และทุกครั้งที่ผมเผลอใจผมจะรู้สึกสำนึกผิดอย่างมากทุกครั้ง แต่ก็พยายามห้ามใจตัวเองให้ได้ เหตุการณ์แบบนี้น่าแปลกมากครับ มันมักจะเกิดขึ้นบ่อยๆและรุนแรงอย่างมาก ขณะช่วงที่ผมเริ่มตั้งใจปฏิบัติอย่างจริงจัง แม่กระทั่งช่วงนี้ บางทีผมอยากจะหนีไปซะให้ไกลๆจากคนพวกนั้น แต่ก็ด้วยการงานที่บังคับอ่ะครับ ผมรู้ครับว่ามันอยู่ที่ใจ แต่มีใครช่วยแนะนำผมในการแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่นบ้างไหมครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ
     
  2. เงาตะวัน

    เงาตะวัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +36
    มารบ่มีบารมีบ่เกิด
     
  3. keawnum

    keawnum Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +51
    มารไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เราหลงเกลียด หรือไม่พอใจอย่างเดียวเท่านั้นหรอก
    แม้แต่ความพอใจสบายใจก็เป็นมารเหมือนกัน นี่ดีนะเป็นแค่สิ่งไม่ดี เพราะติดชั่วมันแก้ง่าย แต่ติดดีหลงดีนี่แก้ได้ยาก


    เรื่องผู้หญิงนี่ต้องถามว่าแก้เรื่องไหน? ถ้าเรื่องกามารมณ์ความใคร่ นี่ต้องพิจารณารูปรสกลิ่นเสียง กายสัมผัส

    เราดูสิเวลาเรามองคนยิ้มเราก็รู้ว่าเขายิ้มใช่ไหม? แล้วยิ้มคืออะไรเล่า? เราคิดไปเองหรือเปล่าว่ายิ้ม? ลองดูดีๆสิ ถ้าเราไม่ได้เรียนรู้มาตั้งแต่เด็กว่าลักษณะอาการยิ้มแบบนี้ เราจะรู้ไหมว่าเขายิ้ม? ใช่ไหมล่ะ เราอุปาทานไปเอง

    รูปรสกลิ่นเสียงกายสัมผัสเราก็คิดไปเองว่ามันดีแบบนั้นนู้นนี้ ที่จริงมันก็เป็นแค่อาการหนึ่งๆใช่ไหมล่ะ ลองจับดูดีๆ ก็พิจารณาที่เราสัมผัสได้ทุกอย่างแม้กระทั่งความคิดตัวเราเอง ว่าเป็นเพียงอาการธาตุ ใจเราก็จะคลายออกมาได้เอง

    ดูสิทุกสิ่งทุกอย่างตายทุกขณะจิต ตอนนี้เล่นคอม 1 นาทีต่อมาเรากินน้ำ อ้าวใช่ว่าเราได้เล่นคอมมานี่ ถ้าเราไม่ขุดความจำเราขึ้นมาเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเราเล่นคอม เพราะตอนนี้เรากินน้ำอยู่ ถ้าจิตเราไม่ปรุงแต่งเราจะรู้ได้ไงว่าความจำเราตอน 1 นาทีก่อนเราเล่นคอม ใช่ไหม?

    ละความคิดทุกอย่าง อย่าไปยึดติดกับมัน เพราะมันทุกข์ ความจำได้หมายรู้ต่างๆก็เช่นกัน

    สังเกตดู ว่าสมมุติเรามีเพื่อนชื่อ ก แล้วนาย ข พูดถึง นายก เราก็จะคิดถึงหน้านาย ก ขึ้นมาทันทีใช่ไหม ทั้งๆที่ นาย ก ที่เขาพูดเป็นแค่เสียงๆหนึ่งเท่านั้น มีเสียงสูงต่ำ เราเรียนมาตั้งแต่เด็กว่าเสียงนี้หมายถึงเสียงนี้ นั่นแหละ เราเอาอุปาทานไปจับความความจำเรา

    ดังนั้นการที่เราเห็นคนนึงๆ ที่จริงมันไม่ใช่คนๆนั้นนะ แต่เราเอาความจำเรามาร่วมด้วยเราจึงรู้สึกว่าเป็นอย่างนั้น ทั้งๆที่มันเป็นกองธาตุ และอาการธาตุเท่านั้นเอง

    คนสมัยก่อนเขาแค่ทำให้จิตว่างเท่านั้นก็พอ สมัยนี้แสงสีเสียงมันเยอะก็ต้องลำบากหน่อย อย่างทีวีที่เรา ดู เราเห็นข่าว เขาบอกว่าบ้านเมืองกำลังอันตราย เราก็ทุกข์ตามทีวีไปแล้ว เราก็พิจารณาทีวีเสีย มันก็เป็นแค่อาการธาตุ ที่เราดูตอนนี้ใช่ว่าจะสัมพันธ์กับ 1 วินาทีก่อน

    พยายามทำให้จิตว่าง ปล่อยวาง อย่าไปยึดความว่างล่ะ ทุกอย่างถ้ายึดมันก็ทุกข์ไปหมด ความสุขยังเป็นอารมณ์เลย อย่าไปยึดความสุขมัน ยึดแล้วทุกข์
    อย่าไปกดมัน ถ้าไปกดก็ไม่ต่างกับนั่งสมาธิกดเอาไว้หรอก พอไม่นั่งมันก็ทุกข์ใหม่ มีกิเลสใหม่ ถ้าจิตเราว่างได้แสดงว่าสติเราดี รู้ตัวเมื่อไรรีบคลายออก อย่าไปผิดหวัง เริ่มใหม่ได้ทุกเมื่อ ทำให้มั่นคง แล้วมันจะปรากฏขึ้นเองโดยไร้เจตนา

    เมื่อเรารู้แล้วได้แล้ว็ทำทุกอย่างไปตามหน้าที่ของตน สิ่งไหนแก้ได้ก็แก้ แก้ไม่ได้ก็ปล่อยวางเสีย อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน เจอแต่ธาตุ

    ที่จริงที่ทั้งหมดที่บอกไปก็ห้ามยึดถือหรือจำไปใช้ เพราะเป็นสิ่งปรุงแต่งใช่ไหม ล่ะมันก็แค่ตัวอักษรเราคิดไปเองว่าหมายถึงอะไร

    ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้นั่งสมาธิคร่ำครึทั้งวัน ศาสนาพุทธสอนเรื่องเกิดเกิด ดับ ทุกข์ ไอถอดจิตได้เหาะได้นั่นไม่ใช่พุทธ

    นี่คงเป็นการตอบครั้งสุดท้ายแล้ว อ่านแล้วตอบนี่ทุกข์มาก มันต้องปรุงแต่ง ต้องอุปาทาน ยิ่งช่วงนี้เจอมารเหมือนกัน มารในใจ ทำให้คงเส้นคงวาได้ยาก ต้องปฏิบัติซ้ำกันอีกหลายรอบ ถ้าเราไม่คิดว่าเราทุกข์เราก็ไม่ทุกข์ใช่ไหมล่ะ จริงไหม?

    ยิ่งช่วงเราทุกข์มากๆเราหาทางมั่วไปหมด ไสยศาสตร์กรรมฐานเราเอาหมด ไม่ได้พิจารณาเลยว่าได้ไหม จริงไหม คงเส้นคงวาไหม ควรไตร่ตรองพิจารณาให้ดีก่อนเชื่อ อย่าเชื่อเพราะเป็นศาสนาของตน อาจารย์ตน หรือได้อ่านมา

    หาทางหนีเหนื่อยนัก เลยนั่งพักหายเหนื่อยได้ไร้เจตนา

    ลูกเจ้าคุณนรนี่ ใช่ที่ท่านว่าทำดีดีกว่าขอพรใช่ไหม ถ้าใช่เราก็พิจารณาคำสอนของท่านว่าจริงไหม อย่างไร

    พละ 5 ต้องพอดี ศรัทธามากไปก็งมงาย สติมียิ่งมากยิ่งดี

    ถึงตอนนั้นแล้วอยากนั่งสมาธิเท่าไหร่นั่งไปเลย ไม่ได้ห้าม เทคนิคการนั่งก็อย่ายึดอะไรเลย แม้แต่ลมหายใจ อารมณ์ความคิดต่างๆ ง่ายดีไหม ลองไปทำดู
     
  4. รัตน์พิมล

    รัตน์พิมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2006
    โพสต์:
    111
    ค่าพลัง:
    +604
    เห็นด้วยนะ

    เราก้อประสพการณ์มาบ้าง ครั้งล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ ตั้งใจจะปฏิบัติธรรม แต่ยิ่งกำลังจะดีก้อมีอะไรมันขัด วันนี้ร้องไหแทบจะท้อ หลายๆอย่าง เรื่องผู้ชายก้อมี เรื่องอื่นๆบ้าง เหมือนมาทดสอบจิตใจอย่างต่อเนื่อง จนเคยคิดว่ากิเลสมันเหนื่อยบ้างป่าว มาไม่หยุด แต่ตอนนี้เรายึดพระรัตนตรัย พยายามจะไม่สนใจเรื่องอื่น อะไรจะเกิดก้อคงจะเกิด มันคงเป็นปกติของโลก รู้นะว่ายากมาก แต่เราสู้ๆๆๆ สู้โว้ยๆ
    (bb-flower สู้ๆนะทุกท่าน
     
  5. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    การตั้งใจจะทำความดีเปรียบเหมือนเป็นการสร้างอธิษฐานบารมี เมื่อตั้งใจอะไรไว้แล้วมักจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเพื่อมาทดสอบบารมีของเรา ดูตัวอย่างได้จากการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ในสิบชาติสำคัญๆที่เรารู้ๆกันดีก็ได้ครับ เช่น พระเวสสันดร พระเตมีย์ ฯลฯ

    ทดสอบง่ายๆว่าปกติเราอาจจะไม่ค่อยมีเสน่ห์หรือแรงดึงดูดต่อเพศตรงข้ามเท่าไหร่หรอกครับ แต่สมมติว่าเราตั้งใจเมื่อไหร่ว่าชาตินี้เราจะประพฤติพรหมจรรย์อยู่เป็นโสด หรือว่าจะรักแฟนของเราเพียงคนเดียวไม่นอกใจไปรักใครคนอื่นเลยแม้แต่ความคิด อะไรทำนองนี้ ฯลฯ

    สักพักหรอกครับรับรองเดี๋ยวจะมีเพศตรงข้ามเข้ามาติดพันเรามากมายเลยล่ะครับ แต่ว่าอย่าได้เผลอประมาททำผิดสิ่งที่เราได้ตั้งใจไว้เชียวครับ เพราะนอกจากเหตุการณ์ที่ดูเหมือนดีๆเช่นนี้จะสลายหายไปหมดแล้ว เราอาจจะต้องได้รับกับเรื่องราววุ่นวายที่จะตามมาทีหลังอีกมากมายเลยทีเดียวครับ (อาจเรียกว่าเป็นการสอบซ่อมเพื่อให้จิตใจเราเข้มแข็งขึ้น เพื่อที่ว่าที่สุดแล้วเราจะได้สร้างบารมีได้ตามที่เราตั้งใจจริงๆได้)

    จะเรียกว่าเป็นกฎแห่งกรรมหรือกฎของจักรวาลก็ได้ครับ ถ้าลองสังเกตดูก็จะพบเห็นเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้ได้บ่อยๆในชีวิตประจำวันของคนเราครับ (แต่ส่วนใหญ่คนจะมองข้ามกันไป)
     
  6. จอกแหน

    จอกแหน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    272
    ค่าพลัง:
    +873
    เด็กเรียนหนังสือเมื่อเรียนแล้วก็ต้องทำข้อสอบผ่านหรือไม่ผ่านก็ขึ้นอยู่ที่ตัวเราถ้าศึกษามาดีเราก็ต้องรู้วิธีการทำข้อสอบ ถ้าเรียนๆเล่นๆก็ทำข้อสอบไม่ผ่าน(ถ้าไม่เรียนก็ไม่จำเป็นต้องทำข้อสอบอยู่หาความสุขไปวันๆสบายใจ) เวียนว่ายตายเกิดภพแล้วภพเล่า..
     
  7. พระป่าสุพรรณ

    พระป่าสุพรรณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +13,134
    โมทนากับ คุณจอกแหนครับ
     
  8. ren

    ren เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,646
    ข้อสอบจ้า ข้อสอบ
    หากเราพิจารณาและค่อยๆแก้โจทย์เรารก็จะยิ่งได้ความรู้

    เป็นกำลังใจให้นะคะ
     
  9. ชา ใคร่รู้

    ชา ใคร่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +496
    .....เพศตรงข้ามเขามาด้วยกฎแห่งกรรม และอาจจะมีเจ้ากรรมนายเวรบางส่วนที่ดลใจให้เป็นไปครับ เมื่อถึงเวลาก็จะคลายตัวไปเอง เขาจึงเป็นผู้ที่อยู่ในสภาวะที่น่าสงสาร และน่าเห็นใจมากกว่าครับ เพศตรงข้ามมิใช่มาร มารตัวจริงคือจิตใจของเราเองครับ บางทีเพศตรงข้ามเขาก็อาจจะไม่ได้สนใจเราจริงๆอย่างที่เราเข้าใจก็ได้นะครับ 555 (บางทีต้องลดการเข้าข้างตัวเองลงบ้าง)
    .....เรื่องแบบนี้มีหลายกรณีมากๆครับ บางครั้งก็เป็นบททดสอบจากครูบาอาจารย์ของเราเองครับ เพราะคนบางจำพวกต้องสอนด้วยประสบการณ์จริงมันถึงจะเข้าใจแจ่มแจ้งครับ(แบบผมคนนี้นี่แหล่ะครับ)
     
  10. พระป่าสุพรรณ

    พระป่าสุพรรณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +13,134
    โมทนา คุณชาครับ
     
  11. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    เป็นแบบทดสอบ..อีกแบบนึงค่ะ..
     
  12. ren

    ren เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,646
    อิ้ว อิ้ว อนุโมทนากับพี่ ชา ใคร่รู้ค่ะ
     
  13. yeen

    yeen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    678
    ค่าพลัง:
    +3,656
    อย่าลืมดูมารในตัวเอง โจทย์โทษในตัวเองด้วยนะครับ
     
  14. พุทธธรรมจักร

    พุทธธรรมจักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +159
    สวัส..ดี..คำว่าดี..ก็ดีในตัวแล้ว....มีข้อกรรมฐาน...ไว้คอยสู้..คอยแก้..ดังนี้<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p< p O:p<>ขอยก(ไม่ใช่ยกไว้แบก..ให้ยกทิ้ง..)..เรื่อง..ของมาร...นิวรณ์...มีอยู่ ๕ ประการ..ซึ่งก็ค่อยถ่าง...ขวางกั้นผู้ประพฤติดี....ประพฤติชอบ..(ก็ชอบในส่วนที่ดีอีกนั้นแหละ)และเป็นเครื่องปิดกั้น..ครอบงำจิตไม่ให้มองเห็นธรรม..ไม่ให้บรรลุความดี..ควรใช้ธรรมแก้..เป็นอย่างๆไป..ประการที่ ๑ กามฉันทะ...พอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจ..มีรูป(จะสวยไม่สวย..เป็นอีกกรณีหนึ่ง...หรืออาจมีแห้งมีเหี่ยวแถมก็เป็นได้)เป็นต้น...ก็ต้องใช้ท่าไม้ไม่ตาย(ไม้ไม่มีชีวิต..และลมหายใจ..มีแต่นิ่ง...แต่เฉย)กายคตาสติ...ตัดสักกายทิฐิ ตัดร่างกาย มันไม่ใช่ของเรา ของเขา หรือของเธอ..ของฉัน..มันประกอบกันขึ้นมาเป็นต้น..หรือเพ่งอสุภ...เช่นกระดูก..เป็นต้น(ต้นบุญกุศล)..กะโหลก(แต่เหมือนกะลา)เนื้อ..หนัง..เอ็น..ก้น..ซาลาเปา(ไม่ขออธิบายต่อ)..มันแยกชิ้นประกอบกันขึ้นมาแกะแปะอยู่บนกระดูก....มีแก่...เหี่ยว...ทั้งโตงเต้ง..อีกต่างหาก..สุดท้าย..ก็เน่า..เปื่อยสลายไป ประการที่ ๒ พยาบาท อาฆาต จองล้าง จองผลาญ ก็เจริญเมตตา..แผ่เมตตามากๆๆ..(มันก็ตาย..เราก็ตาย...สุดท้ายก็ตายทั้งคู่...(หลับไม่ตื่น..ฟื้นไม่มี..หนีไม่พ้น..)เจริญในข้อวัตรของพรหมวิหาร ๔ (คำว่าเจริญก็ไม่อธิบายมากเหมือนกันเพราะทุกคนรู้อยู่แล้ว) ประการที่ ๓ ถีนมิทธะ ความที่จิตหดหู่และเคลิบเคลิ้ม...ความห่อเหี่ยว..ไม่สดชื่น..เศร้าหมอง..ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์..(พุทธานุสติกรรมฐาน)นึกถึงไว้ตลอดเวลาได้ยิ่งดี (เจริญพุทธคุณ)...ถ้าตายก่อนคือ..บุญ..บารมียังไม่แก่เฒ่า....ไปสู่สุคติที่ดีแน่นอน...ประการที่ ๔ อุทธัจจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจก็ต้องนี่...เพ่งกสิน..อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ว่าจะ...ดิน..น้ำ..ลม..ไฟ..แสงสว่าง..เป็นต้น(อันนี้ต้นสมถกรรมฐาน)หรือนึกถึงพระพุทธรูปหรือองค์พระไว้ ประการที่ ๕ วิจิกิจฉา ความลังเล..สงสัย...ตัดสินใจไม่แน่วแน่..ลังเลไม่ตกลงได้....ต้องเจริญธาตุกัมมัฏฐานแก้...อันธาตุ ประกอบกันขึ้นมาเป็นตัวเป็นตนของเรานี่หรือของคนอื่น...ดิน..น้ำ..ลม..ไฟ..เหมือนกัน..มีอาการ 32 เหมือนกัน ไม่มีพิสดาร..หรือ..วิเศษ..วิโส..กว่ากันเลย..ขี้..เยี่ยว..อุจจาระ..ปัสสาวะเหมือนกัน..ไม่หอมหรอก..เหม็น...แห้ง..เหี่ยว...แก่....ย่อน..ยาน..เหมือนกัน...เห็นคุณยายอายุราว...80 กว่าขวบเดินไปมากันสาวรุ่น....ถึงที่สุดท้าย..ทั้งหนุ่มหรือสาว..แก่ไปตามๆกัน..ทั้งแห้ง..แลเหี่ยว..ย่อน..ยานโตงเต้ง..เหมือนกัน..เพียงแต่ช้าหรือเร็วเท่านั้น..เกิด..แก่..เจ็บตาย..เหมือนกันหมด...มีแต่ต้นบุญ..ผลบุญกุศลเท่านั้นที่ติดตามไป...(เพื่อนอะไรไม่เท่าเกิดตาย สหายอะไรไม่เท่าผลบุญ)ความตายเกิดขึ้นอยู่กับทุกคน..เพียงแต่ส่วนมากไม่ค่อยคิดเรื่อง..ตัวเองก็ต้องตายเหมือนกัน...จะสู้หรือไม่สู้ก็ตายเหมือนกัน..จะรู้หรือไม่รู้ก็ตายเหมือนกัน....บังคับมันไม่ได้..เร่งสร้างบุญ..บารมีกันเทอญจะเกิดผล....ต้นมะม่วง(ต้นอะไรก็ได้ที่มีผลให้กิน..อย่าไปเปรียบกับต้นหญ้า..หรือต้นไม้ปลอมก็แล้วกัน)ถ้าไม่ปลูกก็ไม่ได้กินผล..ถ้าคอยแต่ดูแต่ชมก็ไม่ได้อะไร(คนเราแก่วันแก่คืนอยู่แล้ว..แต่บางคนก็มีแก่แดด..แก่ลมแถม)อัตตาหิ..อัตตโนนาโถ..ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน..ตนเองเท่านั้นที่จะช่วยตัวเราเองได้....(เริ่มซะวันนี้..ยังดีกว่ารู้อีกทีเมื่อถูกคนหามเข้าวัดแล้ว..มันจะไม่ทันการ)..ท้อมักคู่กับแท้..แต่แท้มักไม่คู่กับท้อ......เกิดขึ้น...ตั้งอยู่...ดับไป....ขออนุญาตยกตัวอย่างคำสอนของหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ...เป็นคติสอนใจ..ดังนี้...อดีตมันเป็นธรรมเมา อนาตคตก็เป็นธรรมเมา ปัจจุบันเป็นธรรมโม...เพราะฉะนั้น..เพ่งที่ปัจจุบันมันถึงจะดี...มันถึงจะดับ...ทุกข์แลมารแทรก..ชวนม่วน(สนุก..สนาน)ยาก...ถ้าไม่เผลอสติ..สัมปชัญญะ..(พิจารณาธรรมแลทำไว้ตลอดเวลา)คงถึงฟาก..ถึงฝั่งพระนิพพานเข้าสักวัน..(ผู้เขียนก็พยายาม..ประพฤติ..ปฏิบัติอยู่)...สาธุ<O:p< font O:p<>

    </O:p<></O:p<>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2006
  15. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ
    ก็ เป็นทุกข์
    มีความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์
    ว่าโดยย่อ
    อุปาทาน ขันธ์ 5 คือ ตัวทุกข์

    ยิ่งคิดยิ่งทุกข์ หยุดคิด หยุดทุกข์

    มีอีกทางคือ อธิษฐานบารมี
    คือ
    หากข้าพเจ้าจะต้อง มีคู่ขอให้ได้คู่บารมีส่งเสริมการปฏิบัติเพื่อการำนิพพานให้แจ้ง

    หาก คู่บารมี เช่นนี้ไม่มี ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีแห่งสมเด็จองค์ปฐมและบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัม
    พุทธเจ้า รวมทั้งบารมีธรรมที่ข้าพเจ้าได้กระทำมา
    มาช่วยทรงจิตให้เข้มแข็ง มีกำลังใจถึงพร้อมที่จะฟันฟ่าทุกแบบทดสอบและ
    เพียรทำนิพพานให้แจ้งด้วยเทอญ
     
  16. พระป่าสุพรรณ

    พระป่าสุพรรณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +13,134
    โมทนาครับ
     
  17. visarut

    visarut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +1,580
    อืมใช่ครับ
    บางทีผมก็เผลอเป็นมิตรกับพญามาร
    แต่ก็ผ่านมาได้ทุกคร้ง
    ใช่ครับไม่มีมารบารมีไม่เกิด
    มันคงเป็นบททดสอบ
    มะงั้นป่านนี้เราคงอยู่
    แดนนิพพานกันแย้วว
     
  18. Stop_to_be _in_Nippana

    Stop_to_be _in_Nippana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +244
    นั้นก้อหาแฟนที่เราจิงใจสักคนนะคับ แล้วก้อรักกันให้มากๆ ไม่สนใจสาวๆอื่นด้วยอารมณ์ใคร่แบบหนุ่มสาว ถ้ายังสนใจด้วยอารมณ์เช่นนั้นก้อเป็นกิเลส หรือพยายามคิดว่า เบื่อหน่ายกาม เบื่อหน่ายกิเลสกาม เราแพ้มาไม่รู้กี่แสนชาติแล้ว อาจจะช่วยก้อได้ (deejai) ...แต่ถ้าปราถนาจะไม่มีเมียเลย ก้อคงต้องบวชแล้วหละคับ ถ้าเป็นยังงั้นก้อขอโมทนา
     
  19. พระป่าสุพรรณ

    พระป่าสุพรรณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +13,134
    เหมือนกันครับ
     
  20. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,803
    ค่าพลัง:
    +18,982
    ก็สู้กันไปครับ...

    สู้ สู้

    สู้ไม่ได้ก็หนีมันหล่ะครับ หุหุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...