ทำไมพระโพธิสัตว์ ในอดีต: จึงตรัสรู้ เกิดซ้ำซ้อนกันหลายคน?

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 9 กรกฎาคม 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ขออนุญาตนำบทวิเคราะห์ของศิษย์รุ่นแรกๆ ท่านหนึ่ง มาให้ท่านลองอ่านแล้วคิดตามดูนะครับ เพื่อแลกเปลี่ยนสติปัญญากัน ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นสิทธิครับ ...ท่านตั้งคำถามดังนี้ครับ

    ๑. กลุ่มพระโพธิสัตว์ต่างๆ ที่ทำงานสงเคราะห์ในปัจจุบัน ปรากฏว่าแต่ละกลุ่มก็จะบอกว่า กลุ่มของตนเองเป็นกลุ่มของพระโพธิสัตว์ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์นั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกัปนี้ และก็ซ้ำซ้อนเป็นองค์เดียวกัน มากเหลือเกิน...อย่าลืมนะครับว่าการรู้เห็นของแต่ละกลุ่มนี่ เขาก็อ้างว่ามีมาตรฐานความดีสูง อ้างว่าวางอารมณ์ได้ถูกต้อง และอ้างว่ารู้เห็นได้ชัดเจนแจ่มใสทั้งนั้น... >>> คำถามก็คือ ทำไม เพราะอะไร??

    ๒. การกลับชาติมาเกิดของบุคคลสำคัญๆ เด่นๆ ในประวัติศาสตร์ อาทิ กษัตริย์ ทหารเอก ฯลฯ แบบซ้ำซ้อนกันไปมา ทั้งๆ ที่จิตมีดวงเดียวเท่านั้นที่ไปเกิดมาเกิด (เป็นคนละกรณีกับการแยกจิตในอภิญญา แต่นี่แยกจิตไปมีขันธ์ ๕ ใหม่) หรือทั้งๆ ที่บุคคลเหล่านั้นท่านเข้าพระนิพพานแล้ว หรือท่านยังไม่ลงมาเกิด และที่สำคัญคือมีมาตรฐานการปฏิบัติสูง วางอารมณ์ได้ถูกต้อง และรู้ได้ชัดเจนแจ่มใสเหมือนกันเหมือนข้อ ๑ >>> คำถามคือ ทำไม และเพราะอะไร??

    อันที่จริงผมก็ไม่อยากจะพูดเรื่องนี้หรอกครับ เพราะเกรงว่าจะเป็นการบั่นทอน หรือทำลายกำลังใจของบรรดาท่านทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง อาจจะส่งผลให้ขาดความมั่นใจ รู้สึกว้าเหว่ สลดหดหู่ ซึมเศร้า เซื่องซึม เนื่องจากสูญเสียความเชื่ออันร่มโพธิ์แห่งกำลังใจของตนเองมานาน และอาจจะพลอยหยุดการปฏิบัติไปเลยก็ได้ ซึ่งอาจทำให้สูญเสียความดีไปอย่างน่าเสียดายยิ่ง...: ครั้นจะไม่พูดเลยก็ไม่ได้ เพราะผมเองก็รู้ว่ามีหลายท่าน ยังสับสนตนเองอยู่เหมือนกันว่าจะเอาอย่างไงกับชีวิตดี เนื่องจากที่ผ่านมาท่านมีความภาคภูมิใจ และมั่นใจในความเชื่อของท่านมานาน .. อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าการแบ่งปันประสบการณ์ครั้งนี้ จะทำให้หลายท่าน "ตกจากความเชื่อ" แบบไม่ทันได้เตรียมใจไว้ก็ตาม แต่เพื่อความกระจ่าง และประโยชน์ที่จะพึงได้มากกว่า จึงจำเป็นต้องพูด



    หลายสิบปีที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มพุทธภูมิ อย่างหลากหลาย ได้พบเจอเรื่องเหล่านี้มาเป็นปกติ และเจอกับตนเองด้วย จนรู้ทางออกที่สดใสให้กับตนเอง

    ผมขอเล่าเรื่องตัวเองก่อนนะครับ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ประสพกับตนเอง.. ท่านใดทึ่จะเมตตาชี้แนะ หรือให้ข้อวิจารณ์...ขอความกรุณาโปรดอ่านให้จบ แล้วทำความเข้าใจเนื้อหา และเจตนารมณ์ให้เข้าใจถ่องแท้เสียก่อนครับ เดี๋ยวท่านจะวิเคราะห์วิจารณ์ไม่ตรงประเด็นครับ

    เริ่มต้นในสมัยที่ผมยังหนุ่มมาก ช่วงที่ยังเรียนอยู่ปี ๒ (๒๕๒๐) เวลานั้นผมเข้ามาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อได้ประมาณ ๘ ปีแล้ว และก็ปฏิบัติกับของหลวงมาตลอด ในสถาบันที่ผมศึกษาอยู่ก็มีเพื่อนนักศึกษา รวมทั้งอาจารย์บางส่วนทราบว่าผมปฏิบัติกับหลวงพ่อ และมีอยู่วันหนึ่งถ้าจำไม่ผิดช่วงก่อนพักกลางวัน มีเพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาบอกว่า "ให้ไปที่ห้องพักครูด่วน ตอนนี้กำลังวุ่นวายหนัก เพราะอาจารย์สอนภาษาไทยถูกผีเข้า (อาจารย์ท่านนี้เปรี้ยวมากเลยครับ เป็นคนรุ่นใหม่) บอกว่า "อาจารย์ผู้ชายหลายคนจับไม่อยู่ เอาพระคล้องคอก็แล้ว ทำอะไรก็แล้วผียังไม่ออก" ผมก็รู้ทันทีว่าสงสัยต้องให้ผมไปปราบผีแหงๆ ลึกๆ ในใจผมนี่กลัว ยังกลัวผีอยู่ คือ สมัยก่อนเป็นคนกลัวผีมากๆ เอ!! ครั้นจะไม่ไปก็ใช่ที่เพราะรู้สึกอายสาวๆ ตอนนั้นสายตาสาวๆ เขามองเราด้วยความชื่นชมว่าเรานี่เก่งปราบผีได้ อาจารย์หลายท่านยังปราบไม่ได้เลย ผมก็เลยทำเป็นกล้า ทำใจดีสู้เสือ เดินไปที่ห้องพักครู มีเพื่อนๆ ตามไปด้วยหลายคน

    พอถึงประตูห้องพักครู ผมก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย วุ่นวายไปหมด และขนตามตัวผมนี่ลุกซู่ตั้งเด่เลย ผมบนหัวก็ลุกซู่เด่เหมือนกัน ตัวสั่นมากหัวใจเต้นโครมๆ แถมยังประหม่าอีกต่างหาก เพราะครูบาอาจารย์เต็มห้อง และทุกคนกำลังรอผม (คงคิดว่าเรานี่สุดยอดอาจารย์ปราบผีแหงๆ) ผมพกผ้ายันต์พิชัยสงครามที่อัดกรอบรวมกับเหรียญกูผู้ชนะ ตั้งจิตอาราธนาและอธิษฐานตามที่หลวงแนะนำ พอเสร็จแล้วเดินเข้าไปในห้อง ท่านเอ๋ย ผีหันมามองผมทำท่าตกใจสุดขีด ไม่มีอาการกร้าวร้าวเอะอะโวยวายเหลืออยู่เลย ทำท่าสงบเสงี่ยม ถ้าจำไม่ผิดอาจารย์สอนภาษาไทยคนที่ถูกผีเข้านั้น คุกเข่ายกมือถวายบังคม (แบบเราถวายสักการะร.๕) "หม่อมฉันขอถวายบังคม ท่านพ่อตากสินมหาราช ที่มาสงเคราะห์" ตอนนั้นผมตกใจสุดขีดเลย มาหาว่าผมเป็นพระเจ้าตากสิน โอ้ย งานนี้ขี้กากขึ้นหัว (กู) แน่ๆ และบอกต่อว่า "ท่านคือองค์พระเจ้าตากลงมาจุติในมนุษยโลก" (เอาเข้านั่น) และบอกให้ผมเทศน์โปรด ตอนนั้นผมจำไม่ได้ว่าเทศน์อะไรบ้าง บรรดาอาจารย์ก็พลอยยกมือพนมกันทั้งห้อง (ห้องครูปิดประตูมิดชิดแล้ว) พอเสร็จแล้วก็บอกว่า "หม่อมฉันขอถวายบังคมลาพระเจ้าข้า" แล้วล้มตึง...ไปเลย

    ผมบอกบรรดาอาจารย์ว่า สังสัยเป็นบารมีพระเจ้าตากสินท่าน พร้อมกับหยิบเหรียญกูผู้ชนะหลังพระเจ้าตากสินให้ดู ผีคงเห็นบารมีพระเจ้าตากสินองค์ในเหรียญ แสดง ไม่ใช่องค์กำมะลอที่ยืนตัวแข็งเด่อยู่นี่...ทั้งๆ ที่ในใจที่เต็มไปด้วยอุปกิเลส ก็แอบครื้มๆ ใจฟูๆ อยู่เหมือนกัน เนื่องจากไปสอดคล้องกับหลายๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมา ที่เกิดกับผมแบบอัศจรรย์ ... :) ถ้าจำไม่ผิด ตอนนั้นผมก็รู้นะว่า พระเจ้าตากสินท่านลาพุทธภูมิไปนิพพานแล้ว จะเป็นใครต่อใครที่อ้างว่ากลับชาติมาเกิดได้อย่างไร แต่เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับผมมันอัศจรรย์มาก จนผมเริ่มเกิดมีคำถามขึ้นในใจแล้วว่า..."เอ เหตุใดหนอจึงมีเรื่องอย่างนี้เกิดกับเรา มันต้องมีเหตุผลสำคัญอะไรบางอย่างแน่ๆ"

    (จบแต่ละเรื่องตอนท้ายๆ ผมจะวิเคราะห์เบาๆ เพื่อหาทางออกที่สดใสครับ...ส่วนท่านจะเห็นเป็นประการใดก็เป็นรื่องของแต่ละท่าน ผมบอกไว้ในหัวกระทู้แล้วว่าอย่างไรนะครับ เพราะนี่ไม่ใช่มาตรฐานที่ท่านใดจะนำเอาไปใช้ได้ ก่อนการพิจารณาด้วยปัญญาอย่างถ่องแท้เสียก่อน)

    ความคิดสงสัยระคนความครื้มอกครื้มใจ ใจหึกเหิม และใจฟูๆ มันอยู่ในผมมาตลอด ต่อมาไม่นานนักผมก็ได้มีโอกาสฝึกมโนมยิทธิให้น้องสาวผม ปรากฏว่าสมาธิเธอแจ่มใสแจ๋วมาก ผมทดสอบอารมณ์เธอ ผลปรากฏว่าอตีตังสญาณ หรืออนาคตังสญาณ เธอแม่นเป๊ะ (แม่นยำมาก) มันสร้างความมั่นใจในวิชาวิเศษนี้ไปในตัว

    มีอยู่วันหนึ่งถ้าจำไม่ผิดผมกับน้องสาวกลับจากการฝึกสมาธิ และขึ้นรถเมล์เธอนั่งเบาะข้างหน้าผม (แถวเดี่ยว) วันนั้นคนน้อยเราก็ฝึกญาณ ๘ กันบนรถเมล์นั่นแหละ (ไม่มีใครสังเกตุรู้) ถ้าจำไม่ผิดผมบอกให้เธอใช้อตีตังสญาณดูว่า ตั้งแต่สมัยโยนกมาถึงต้นรัตนโกสินทร์ เธอตอบเป๊ะๆ ตรงตามที่ผมรู้มาทุกอย่าง ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยบอกให้เธอทราบมาก่อนเลย เธอก็ดูไล่มาเรื่อยๆ พอมาถึงสมัยต้นรัตนโกสินทร์เธอนิ่งไปนาน แล้วหันควับมามองหน้าผมแบบตกใจและบอกว่า "พระเจ้าตากสิน พี่เป็นพระเจ้าตากสิน จริงๆ หรือพี่ หนูเห็นชัดมากเลย" ผมก็บอกว่า "คนอื่นเขาก็เห็นอย่างนี้แหละ ทั้งๆ ที่พี่ก็ไม่เคยบอกเบาะแสอะไรเขาล่วงหน้าเลย" หลังจากนั้นน้องสาวผมเธอก็ทำสมาธิต่อไปไม่ได้เพราะตกใจจนจิตตก ผมคิดในใจว่า "เอาอีกแล้วกู น้ำหน้าอย่างมึงนั้นเหรอจะเป็นท่านแหวะ" เรื่องนี้มันตอกย้ำบังคับให้ผมจำเป็นต้องเชื่อครั้งแล้วครั้งเล่า เล่นเอาผมเคลิ้มตามเหมือนกัน แต่ใจลึกๆ ก็บอกตัวเองว่า "สังสัยพระเจ้าตากสินกำมะลอ เพราะคุณสมบัติไม่ได้ระอองธุลีพระบาทพระองค์ท่านเลย"

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมและคณะไปนมัสการสถานที่ต่างๆ ทางภาคเหนือหลายจังหวัด พร้อมทอดผ้าป่าไปในตัว ครั้งนั้นได้ไปสำรวจพระบรมธาตุเก่าแก่ที่เขาลูกหนึ่ง ที่อำเภอแจ้ห่ม จ. ลำปาง โดยไปพร้อมกับข้าราชการระดับสูงหลายท่าน ตอนเย็นกลับมาพักที่โรงแรมในตัวจังหวัด (ไม่แน่ใจว่าเป็นลำปางอินทร์ หรืออะไรจำไม่ได้ แต่เป็นชั้นหนึ่งของจังหัวด) :) หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็กับคณะบางส่วนมานั่งฟังเพลง เปียโน ที่ล็อบบี้เพื่อผ่อนคลาย ขณะกำลังเคลิ้มๆ ในเสียงเพลงอยู่ ทันใดนั้นถ้าจำไม่ผิดมีคณะพระโพธิสัตว์คณะหนึ่งแต่งชุดขาวๆ คล้ายพรามณ์ประสิบคน เดินตรงมาหากลุ่มผมแล้วยกมือไหว้ด้วยความนอบน้อมเหหมือนคุ้ยเคยกัน แล้วคนหัวหน้าคณะก็พูดว่า "ผมตั้งใจจะมาพบท่านพระโพธิสัตว์ (คือในคณะมีพุทธภูมิไปด้วยกันหลายคน) และมากราบพระเจ้าตากสิน" แล้วชี้มือมาที่ผม ผมตกกะใจ คนในคณะก็ตกใจ ผมนึกในใจว่า "อะไรเอาอีกแล้วกูขี้กากจะขึ้นหัวอีกแล้ว" แต่ใจลึกๆ มันครื้มๆ อย่างไรบอกไม่ถูก รู้สึกเคลิ้มตาม แล้วเขาก็พูดว่าตัวเขาในอดีตเคยเกิดเป็นใคร เกี่ยวข้องกันอย่างไร ในสมัยไหนบ้าง คุยกันสักพักก็ไม่รู้กลุ่มนั้นแกหายไปไหน นึกว่า เอ แปลกดี แต่งชุดยังกับพราหมณ์เข้ามาในโรงแรมห้าดาว แล้วก็ไม่รู้หายไปไหน

    กรณีพระเจ้าตากนี่ (รวมทั้งเพื่อนผมในคณะ ก็เกิดเป็นองค์อื่นๆ ด้วย) เหตุการณ์ความอัศจรรย์มันย้ำความเชื่อเกิดขึ้นเรื่อยๆ ที่บ้านผมเวลาคนใหม่ๆ มาฝึกกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ก็จะรู้เห็นเหมือนกัน (ไม่น่าใช่อุปทานครับ เพราะรู้ดีว่าเป็นอย่าไร) พวกเราสมาชิกในคณะและคนอื่นๆ ที่ฝึกได้แจ่มใส และวางอารมณ์ได้ถูกต้องจะรู้เห็นเหมือนกัน

    ทั้งหมดนี้ยังไม่หมดยังอีกเยอะครับ ทุกคนเขาเชื่อหมดว่าผมเป็นพระเจ้าตากสิน และก็เชื่อมานานแล้ว แต่ตอนนี้เขาก็ยังเชื่อกันอยู่ ยกเว้น ผมคนเดียว เพราะผมรู้สึกว่าบารมีไม่ถึง คุณสมบัติไม่ถึง พูดง่ายๆ ดูความดีทีมีอยู่เมื่อเทียบกับท่านนี่มันเหมือนเพชรกับเม็ดทรายครับ ต่อมาผมก็ได้ไปพบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคณะพุทธภูมิอื่นๆ หลายคณะ :p ..ปรากฏว่าก็มีพระเจ้าตากกลับชาติมาเกิดอีกหลายองค์ แถมคุยกับแท็กซี่ท่านหนึ่งเขายังบอกว่าเป็นพระเจ้าตาก ด้วยเหตุผลของเขา...ทีนีผมก็ชักเริ่มมันตึบแล้ว และมานั่งทบทวนว่า..

    ๑. พระเจ้าตากท่านยังไมลงมาเกิด และหลวงพ่อบอกว่าท่านลาพุทธภูมิข้างบนบรรลุเป็นพระอรหันต์ เอหิภิกขุ เข้าพระนิพพานแล้ว >>> แล้วจะมาเกิดได้อย่างไร

    ๒. การเห็นว่าตนเองเป็นพระเจ้าตากสินของแต่ละท่าน ในคณะต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่มีมาตรฐานดี วางอารมณ์ได้ถูกต้อง และเห็นชัดเจนแจ่มใสทั้งนั้น >>> แสดงว่า เบื้องบนกำลังสอนอะไรท่านพุทธภูมิอยู่หรือเปล่า??

    ๓. จากการสังเกตุ และความเข้าใจส่วนตัว การเห็นของคนที่ไม่ใช่พุทธภูมิ หรือพุทธภูมิที่ไม่ต้องปรับอารมณ์ จะตรงตามนั้น

    ๔. จากเหตผลในข้อ ๑ ๒ ๓ ผมสรุปได้ว่า "เป็นปริศนาธรรม" เฉพาะพุทธภูมิคนที่เห็นตามหลักข้างต้นเท่านั้น

    ๕. จากข้อ ๔ ผมได้ข้อสรุปธรรมะ ๒ ประการคือ

    ๕.๑ ใครอยากจะเชื่อตามที่เห็นก็ควรเชื่อต่อไป ไม่เสียหายอะไร เข้าใจว่าเพราะท่านทำให้คนส่วนใหญ่ในกลุ่มเชื่อ เพื่อประสานความแนบแน่นของกลุ่ม แต่...

    ๕.๒ ...เราจะต้องนำส่วนเด่นๆ ของท่านมาเป็นแบบอย่าง คือ ตามเนื้อคำกลอนพระโพธิญาณของพระเจ้าตากสิน และความเสียสละยอมรับความทุกข์ที่เป็นกรรม จากผลการชักดาบเจ้าสัว เพื่อแลกผืนแผ่นดินนี้เอาไว้ให้เป็นที่สถิตของพุทธศาสนา นับจากนั้นมาผืนแผ่นดินนี้มีพระอรหันต์บรรลุแล้วมากมาย มีพระโพธิสัตว์ลงมาสร้างบารมีและจนเต็มแล้วก็มี พุทธศาสนิชนได้รู้พระธรรม และบำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญา จนกระทั้งถึงพวกเรานี้แหละ

    สรป : สำหรับผม ผมไม่ใช่พระเจ้าตากสินแน่นอนมันสูงมากเกินไป และเป็นอัปมาโนสำหรับผม แต่ ผมได้ยึดพระองค์ท่านเป็นแบบอย่างในการสร้างบารมีในพระโพธิสัตว์ตลอดมา ผม สรรเสริญพระคุณท่านทั้งพระโพธิญาณและพระมหากรุณาธิคุณเสมอมา ผมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระองค์ท่านเสมอมา และผมได้กราบขอขมากรรมพระองค์ท่านให้ตัวเอง และแทนคณะเสมอมา...นี่แหละครับคือทางออกของผม


    หมายเหตุ :

    ๑. เราจะเกิดเป็นใครไม่สำคัญ เพราะกาลเวลาผ่านไปนานๆ ประวัติศาสตร์ระยะใกล้ๆ นี้ก็จะสูญสิ้นไป และต่อไปจะมีประวัติศาสตร์ชุดใหม่ในระยะใกล้ไม่เกิน ๑ พันปีใหม่ ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเราเกิดชนชาติไหนก็ภาคภูมิใจ และผูกพันในประวัติศาสตร์ชนชาตินั้นๆ

    ๒. สิ่งที่ควรตรึกตรองคือ>>> ถ้าเราเชื่อว่าเราเคยเกิดเป็นใคร แล้วเราได้อะไร?? นอกจากความภาคภูมิใจลมๆ แล้งๆ กลวงๆ ...เว้นแต่ ถ้าท่านนำมาเป็นแบบอย่างมาปฏิบัติตาม ศึกษาหาประโยชน์ และพิจารณ์เป็นไตรลักษณ์ มากกว่ากอดยึดติดอดีตจนหลงมัวเมา ใครแตะต้องไม่ได้ก็โหวกแหวกโวยวาย เลือดกิเลสขึ้นหน้าตำหนิคนอื่นที่ความเห็นแตกต่างจนลืมสิ้นว่า ตนประกาศว่าเป็นหน่อพุทธรางกูร ซึ่งมากด้วยพรหมวิหารธรรมเป็นอัปมาโน

    ๓.จิต (กายทิพย์ หรือกายใน หรืออทิสมานกาย) เราแบ่งจิตได้มากมายตามกำลังอภิญญาเท่านั้น แต่การแบ่งจิตหลายๆ ดวงมาจุติมีขันธ์ ๕ หลายคน ไม่ได้แน่นอน (หลวงพ่อท่านก็ยืนยันตามนี้) สมมุติ ถ้าเราจะแบ่งจิตไปเกิดได้ (แบ่งภาค) งั้นก็แสดงว่าเราสามารถแบ่งไปจุติได้พร้อมๆ กันทั้งอบายภูมิ สุคติภูมิ พระนิพพาน แบ่งจิตไปเสวยกรรมได้...คงสนุกดีพิลึก!!


    พระโพธิสัตว์หลายท่านทราบว่า ในอานาคตกาลท่านเองจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์นั้นๆ แต่ ทำไมซ้ำกันหลายองค์???

    ครั้งที่ผมเริ่มรวบรวมสมาชิกจัดตั้งคณะใหม่ๆ เพื่อทำกิจกรรมจรรโลงพระพทุธศาสนา สมาชิกที่สังกัดก็มีทั้งถาวรและสัญจรมา ช่วงนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นบริษัทบริวารที่ติดตามกันมาในอดีต แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเองกับคณะ รู้ เห็น และเชื่อตรงกัน คือ ผมจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชื่ออะไร อยู่ในกัปไหน และบริษัทบริวารเหล่านั้นจะไปเกิดเป็นใครบ้าง ไม่ว่าใครจะเข้ามาฝึกและได้แจ่มใสก็จะรู้เห็นเหมือนกันหมด จนถือเป็นเรื่องปกติในคณะ ความเชื่อนี้จึงเป็นเครื่องร้อยรัดประสานสมาชิกในคณะให้แนบแน่น เปรียบความเชื่อเหมือนเชื่อกร้อยดอกไม้หลากสีสันมารวมกันเป็นพวงมาลัย ทำให้มีพลังกายพลังใจหึกเหิมมุ่งมั่นต่อสู้อุปสรรคต่างๆ เพื่อให้การดำเนินภารกิจของกิจกรรมต่างๆ ให้ลุล่วงอย่างปาฏิหาริย์เสมอมา

    ช่วงนี้ผมได้มีโอกาสพบปะ และเข้าร่วมกิจกรรมกับคณะบรรดาผู้ปรารถนาพุทธภูมิหลายท่าน (ยังไม่รวมที่ปรากฏในหนังสือต่างๆ) และก็ต่อเนื่องมานานพอสมควร ทำให้ผมได้เปิดโลกทัศน์ของตนเองกว้างขึ้น และสมาชิกในคณะมี สปช. นอกคณะมากขึ้น จึงได้ทราบว่า โลกของเรา (คณะเรา) ถึงแม้ระยะเวลาการดำเนินกิจกรรมมาค่อนข้างยาวนาน แต่โลกทัศน์คับแคบมาก เพราะที่ผ่านมาผมเคยทราบว่าตนเองในอนาคตจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชื่ออะไร บัดนี้ไม่ใช่เราคนเดียวเสียแล้ว ความจริงมีหลายท่าน แต่ละท่านก็มั่นใจ (โคตร) ทั้งนั้น เพราะมีฐานความเชื่อที่คล้ายกัน...:mad: ตอนแรกผมก็ งงๆ เอ อะไรคือมาตรฐานความเชื่อที่จะยึดถือได้หนอ บริษัทบริวารนี่ยังไงๆ โดยธรรมชาติก็จิตตกอยู่แล้ว ความเชื่อมั่นของพวกเขาถึงจะไม่คลอนแคลน แต่ มันเกิดความสับสนและคำถามมากมาย และคำถามเหล่านั้นก็พุ่งตรงมาที่ผมให้ช่วยคลี่คลาย ส่วนตัวผมเองช่วงแรกๆ ก็เสียความรู้สึก และมีคำถามกับตัวเองมากมายเหมือนกัน แต่ต่อมาผมก็อารมณ์จิตนิ่งเฉยๆ ไมหวั่นไหว อย่างไรก็ตามผมก็คือหลักชัยความเชื่อของพวกเขา

    ผมตั้งสติได้และเกิดปัญญาขึ้นว่า ...

    "เราจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่ประเด็นหลักคือ เราปรารถนาพระโพธิญาณมาเพื่ออะไร ก็เพื่อการสงเคราะห์สรรพสัตว์ทั้งหลายให้มีความสุขในระหว่างทางของการสั่งสมพระบารมี พร้อมกับขนรื้อขึ้นสำเภาทอง และให้มีความสุขนิรันดรโดยมุ่งสู่ฝั่งคือ เมืองแก้วพระมหานฤพานในชาติสุดท้าย หน้าที่หลักคือตรงนี้

    และหน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ เราต้องตรวจสอบบารมี ๑๐ แห่งพระโพธิญาณของเราเองว่าพร่องตรงจุดใด หากเราพัฒนาบารมี ๑๐ ของเราให้ครบถ้วนบริบูรณ์แล้วไซร้ เราจักย่อมตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้แน่นอน

    การบรรจุว่าจะตรัสรู้เป็นองค์ใด ลำดับที่เท่าไรนั้น ผมคิดส่วนตัวว่าไม่ใช่กิจของอาจารย์ท่านใดจะพยากรณ์ให้ แม้แต่เป็นเบื้องบนท่านจะเมตตาเราก็อย่าสนิทใจอาจทดสอบ.. แต่หากแม้นว่าเราเกาะติดภาพในอนาคต ว่ามีเราได้ตรัสรู้เป็นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์นั้นๆ นั่งท่ามกลางเหล่าพระสาวก พร้อมภาพจริยาวัตรต่างๆ ในสมัยนั้น และเกาะติดภาพในอดีต ว่าเราได้บำเพ็ญพระบารมีมาดีแล้ว ทำให้เราประมาทเกาะติดยึดติดกับภาพเหล่านี้โดยไม่สนใจบารมี ๑๐ เลย มีแต่ความปลื้มใจในภาพที่เห็น มุ่งทำงานพุทธภูมิเฉพาะง่ายๆ (ทัศนะของผม) คือเน้นเรื่องทาน และงานสังเคราะห์อย่างดียว"

    ผมคิดได้อย่างนี้ ที่สุดจิตใจก็ปกติและก็ได้ให้กำลังใจบริษัทบริวารตามนี้ และให้บรรดาเธอทั้งหลายเชื่อในสิ่งที่เคยเชื่อมา แต่ ต้องทำกำลังใจแบบนี้ ถ้าทำกำลังใจได้แบบนี้ กลุ่มเราคือ ของแท้

    ...ส่วนจะตรัสรู้เป็นองค์ใดไม่สำคัญ สำคัญที่ "บารมี ๑๐ ของพุทธภูมิ" บริบูรณ์พอที่จะตรัสรู้เป็นเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้หรือไม่ มิใช่เป็นได้เพราะเราเห็นภาพว่าเราจะได้เป็นองค์นั้นๆ ในอนาคต

    เรื่องนี้ผมจะไม่ขอหยิบยกกรณีตัวอย่างมาอ้าง เพราะอาจมากไปเดี๋ยวอานไม่ไหว จะเฟ้อไป จนเกิดความรำคาญได้ เรื่องหน้าจะมีกรณีตัวอย่างมาอ้างอิงครับ (มีต่อข้อความถัดๆ ลงไปครับ)



    ถูกทดสอบอารมณ์ว่าเป็น พระโพธิสัตว์กวนอิม และพระเยชูโพธิสัตว์

    ก่อนที่จะเล่าเรื่องราวตามหัวข้อที่ตั้งไว้ ขอคั่นสักนิดหนึ่งนะครับ เนื่องจากเห็นว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน ระหว่าง พระแม่กวนอิม กับ พระนางวิสุทธาเทวี เพราะทั้ง ๒ ท่านต่างก็เป็นสตรี ที่เป็นพระโพธิสัตว์เหมือนกัน หลายท่านอาจมีคำถามว่าทำไมพระนางวิสุทธาเทวี การบำเพ็ญพระบารมีจึงเป็นไปตามหลักธรรมสโมธาน ๘ ประการ แต่ทำไมพระแม่กวนอิมพระโพธิสัตว์ซึ่งบารมีขั้นปรมัตแล้ว จึงไม่เป็นไปตามหลักของธรรมสโมธาน ๘ ประการ (เรื่องนี้มีคนถามหลวงพ่อแล้ว) ดังนั้นจึงมีเหตุชวนให้พิจารณาต่อไปเหมือนกันว่าเพราะเงื่อนไขอะไร จึงมีข้อยกเว้นได้

    คำถามต่อมาก็คือ ทำไมสตรีซึ่งเป็นเพศมนุษย์และบรรลุธรรมได้ (เพศย่อมสูงกว่า สัตว์เดรัจฉานซึ่งบรรลุธรรมไม่ได้) แล้วทำไมเป็นพระโพธิสัตว์ปรมัต หรือที่รับคำพยากรณ์เข้าเขตบารมีขั้นต้นแล้ว จึงเกิดเป็นเพศสตรีไม่ได้ ทั้งๆ ที่พระโพธิสัตว์หลายองค์ที่บารมีขั้นปรมัตสามารถเกิดเป็นเพศสัตว์เดรัจฉานได้ เช่น พระยาช้างปาเลไลยกะ (สมเด็จพระพุทธมังคละ) พระยาช้างนาฬาคีรี (สมเด็จพระพุทธติสสะ) พระยาช้างฉัตรทัณ (สมเด็จพระพุทธเทวเทพ) ซึ่งท่านเหล่านี้จะได้ตรัสรู้ในครึ่งกัปหลังนี้ คำถามสรุปประเด็นนี้ก็คือ ในเมื่อพระโพธิสัตว์ที่รับคำพยากรณ์แล้ว และที่ได้บำเพ็ญบารมีมาถึงขั้นปรมัตแล้วเหมือนกัน ถ้าสามารถเกิดเป็นเพศสัตว์เดรัจฉานได้ แต่ทำไมจึงเกิดเป็นสตรีไม่ได้ทั้งๆ ที่เพศสูงกว่า ผมมีคำอธิบายตอนท้ายครับ...

    ขอย้อนเรื่องของพระนางวิสุทธาเทวีบางตอน ถ้าย้อนไปก่อนถึง ๔ อสงไขย + แสนกัป ถอยไป ๑๖ อสงไขย + แสนกัป สมัยนั้นตรงกับสมัยสมเด็จพระพุทธทีปังกร (องค์ก่อน) พระองค์มีพระขนิษฐา (น้องสาว) ชื่อ พระนางวิสุทธาเทวี และในสมัยนั้นสมเด็จพระพุทธทีปังกร (องค์หลัง) บวชเป็นพระภิกษุในสำนักพระพุทธเจ้า วันหนึ่งพระภิกษุรูปนี้ออกเที่ยวบิณฑบาตน้ำมันเมล็ดพันธุ์ผักกาดเพื่อไปจุดเป็นประทีปบูชาพระพุทธเจ้า พระนางวิสุทธาเทวี ก็ถวายนำมันเมล็ดพันธ์ผักกาด และตั้งความปรารถนาพระเพื่อโพธิญาณ พระนางได้ขอฝากให้พระภิกษุรูปนี้ ให้ช่วยขอรับคำพยากรณ์จากเสด็จพี่ คือพระพุทธทีปังกร ว่าจะสำเร็จพระโพธิญาณหรือไม่ พระนางตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตชื่อ "สิทธัตถะ" ซึ่งเป็นของชื่อน้ำมันเมล็ดพันธุ์ผักกาด​

    หลังจากพระนางวิสุทธาเทวีได้บำเพ็ญ ธรรมสโมธาน ๘ ประการบริบูรณ์ ในสมัยที่ท่านเกิดเป็น สุเมธดาบส ที่ได้รับคำพยากรณ์ และเริ่มเข้าเขตบารมีขั้นต้นแล้ว จากนั้นมานับเวลา ๔ อสงไขย ๑ แสนกัป ท่านก็ไม่เคยเกิดเป็นเพศสตรีอีกเลย ยกเว้นเกิดเป็นเพศสัตว์ ตามที่ท่านทั้งหลายได้รับทราบกันแล้ว

    ทีนี้ก็มีคำถามว่า ทำไม พระแม่กวนอิม บำเพ็ญบารมีถึงปรมัตแล้ว ถ้าจำไม่ผิดมีคนถามหลวงพ่อท่านตอบว่า พระโพธิสัตว์องค์นี้ช่วงที่เริ่มปรารถพระโพธิญาณครั้งแรก ท่านเกิดเป็นหญิง ท่านเลยแสดงเป็นหญิงสงเคราะห์สรรพสัตว์ ผมเข้าใจว่าหากท่านตั้งใจจะเกิดเป็นหญิงเพื่อบำเพ็ญบารมีบางอย่าง อย่างนี้นี้ก็ย่อมได้ครับ เพราะท่านบำเพ็ญธรรมสโมธาน ๘ ประบริบูรณ์แล้ว และเป็นปรมัตถบารมีแล้ว จึงสามารถเป็นผู้เลือกเกิดได้ตามต้องการ และต้องเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่เด่นระดับศาสดานะครับไม่แอบๆ (ความเห็นส่วนตัว)...


    เรื่องที่ผมกล่าวมาทั้งหมดในเรื่องนี้ จะถูกจะผิดประการใดท่านก็สามารถแสดงความเห็นแตกต่างได้ ครับ แต่ ควรจะคิดนิดนึ่งว่า "ถ้าถูก ถ้าผิด ถ้าน่าเชื่อ ถ้าไม่น่าเชื่อ แล้วเราได้อะไร ที่ไปใช้ในการพัฒนาบารมี ๑๐"

    ทีนี้ก็เข้าเรื่อง "ผมถูกทดสอบว่าเป็น พระแม่กวนอิม และพระเยซู" เรื่องทั้ง ๒ เรื่องนี้เกิดขึ้นพร้อมกัน กับเรื่องพระเจ้าตากสิน เหตุการณ์ต่างๆ ที่เป็นเหตุอัศจรรย์ ที่ตอกย้ำความเชื่อ ก็เป็นแนวเดียวกัน จนคนในคณะเชื่อเป็นปกติ รวมทั้งนอกคณะบางส่วน เช่น เรื่องญาณ ๘ หรือเรื่องเหตุการณ์บังเอิญๆๆๆ ในชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่เรื่องอัศจรรย์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ และที่สำคัญคือมีความสอดคล้องของเหตุการณ์ บุคคล สถานที่ ความรู้สึก อารมณ์จิต เป็นต้น เรื่องอารมณ์จิตนี้ถือว่าเป็นสาระสำคัญของเรื่องนี้ครับ


    อารมณ์จิตเมตตาบารมีอันสุดประมาณของพระเยซู เชื่อมโยงสู่จิตเราได้

    สำหรับเรื่องนี้ ก็เช่นเดียวกันครับ จากเหตุต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่ทำให้ผมและคณะเชื่อว่า ผมคือ พระเยซู ผมบอกตรงๆ เลยว่าผมเคลิ้มตามหลายปีเหมือนกันครับ (พร้อมๆ กับพระแม่กวนอิม และพระเจ้าตากสิน) อาจจะมีบางท่านบอกว่า เราเกิดมานานกาเลนับไม่ถ้วน โลกนี้เก่าแก่ที่สุด และพระพุทธเจ้าทุกองค์อุบัติขึ้นเฉพาะในโลกชมพูนี้เท่านั้น ดังนั้นเหตุการณ์ เรื่องราว หรือบุคคล รวมถึงสถานที่อาจจะซ้ำซ้อนกันได้ หมายความว่า จิตดวงเดียว หรือคนละดวงที่มาเกิดซ้ำกัน ในสถานภาพเดิมคล้ายคนเดียวกันที่ต่างช่วงเวลากัน (คือคนละชาติ ไม่ใช่ชาติเดียวกัน) เรื่องนี้ผมก็ไม่ขัดข้องครับ แต่ ผมเน้นเฉพาะช่วงเวลาหลังพุทธกาลมา ก็มีเพียงทั้ง ๓ ท่านที่ผมอ้างถึงนี้เท่านั้น ผมยังไม่เคยเห็นเลยนะครับว่าพระแม่กวนอิม พระเยซู หรือพระเจ้าตากสิน มีเกิดซ้ำกันหลายองค์ หลายครั้ง ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดคือจาก ๒๓๑๐ ถึง ๒๕๕๑ ไม่มีพระเจ้าตากสิน ๒ ๓ หรือ ๔ เกิดขึ้นอีกเหมือนปี ๒๓๑๐ อีกเลย จะเห็นมีแต่ที่บอกว่าเกิดซ้อนกันหลายองค์ในชาติเดียวกัน ในสถานภาพที่แตกต่างๆ กันไป (ที่ไม่ใช่สถานภาพพระเจ้าตากสินในปี ๒๓๑๐) ตามที่ผมเคยเล่าให้บรรดาท่านทั้งหลายทราบแล้ว

    ผมเชื่อว่า ผมเป็นพระเยซู มานานหลายปี จนกระทั้งมีโอกาสไปร่วมกิจกรรมภายนอกกลุ่มตามที่ได้กล่าวมาแล้ว เลยทราบว่า พระเยซู ไม่มีองค์เดียวเสียแล้ว แต่มีหลายคนเสียด้วย ผมก็สับสนคิดเข้าข้างตัวเองอยู่พักหนึ่ง (ความเชื่อก็คล้ายๆ เรื่องพระเจ้าตากสินนั่นแหละ)

    ในที่สุดเราก็มีทางออก เกิดสติปัญญามาเตือนให้หยุดคิดว่า...

    เอ สังสัยเราจะเป็นพระเยซูปลอมแหงๆ เพราะตอนนี้ท่านอยู่บนดุสิตยังไม่มาเกิดเลย คือ แต่ก่อนผมพยายามเข้าใจว่าที่องค์ที่อยู่ดุสิตเป็น กายทิพย์พระเยซูเป็นกายทำการแทนตัวผม คือเกิดจากบุญ เหมือนทิพยสมบัติ์ที่เกิดขึ้นข้างบนตามกำลังบุญก่อนเราจะตายไปอยู่ พระเยซูของแท้คือตัวเราเป็นนี่แหละ (เอาเข้านั่น)..

    ก่อนจะเล่าต่อขอหยุดพูดเรื่อง กายทิพย์ทำการ สักนิด คือ เคยมีบรรดาเพื่อนๆ หรือท่านที่รับการฝึกจากเราไป มาบอกเราว่าขึ้นไปเจอะเราที่พระจุฬามณีบ้าง ที่วิมานเขาเองบ้าง ที่นั่นที่นี่บ้าง บอกว่าเราพูดว่าอย่างนั้น อย่างนี้กับเขา หรือสอนธรรมะอะไรให้เขาบ้าง บางครั้งจู่ๆ เจอะหน้าเรายิ้มมาแต่ไกลเชียว บอกว่า "ตามที่ตกลงกันบ้างบนนั่นแหละ" อ้าว !!! เฮ้ย เรา นี่ งง ๆๆๆ แบบนี้ไม่ใช่มีคนเดียวนะ แกไปเจอะเราข้างหลายคน บางทีเป็นคณะเลย เขาคงคิดว่าเราแยกกายทิพย์ได้ เป็นครูบาอาจารย์ของเขาที่สุดยอดแหงๆ ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยขึ้นไปเลย มีอยู่บางครั้งขณะที่เขาขึ้นไปเจอะเรา เรายังไปนั่งฟังเปียโนที่โรงแรมสบายเฉิ่ม หรือทำภารกิจอื่นๆ อยู่เลย เมื่อเจอแบบนี้เราก็ต้อง เออ ออ ไปกับเขาด้วยเพื่อรักษากำลังใจพวกเธอทั้งหลาย เพราะเธอทั้งหลายที่เห็นนี่ ประเภทแจ่มใสทั้งนั้น แต่เวลาเขาทวงคำสัญญาที่ตกลงข้างบนนี่สิแทบแย่ทุกครั้ง (คือเท่าที่เห็นมาไม่ถ้าแจ่มใสจะไม่เห็นแบบนี้) แต่ใจเรานี่มันเป็นทุกข์ และวิตกกังวลมาก เราต้องถามหลวงพ่อให้ได้

    ในที่สุดเราก็ไปหาหลวงพ่อ เพื่อถามปัญหาข้อนี้ ท่านบอกว่า "ที่เขาขึ้นไปเห็นเรานี่ เขาไปเห็นจริงๆ กายทิพย์ที่เราที่เขาเห็น เป็นกายทิพย์ที่เกิดจากบุญ จะเกิดขึ้นอยู่ข้างบนพร้อมทิพย์สมบัติ ทำหน้าที่เหมือนเราทุกอย่าง จะเรียกว่า กายทิพย์ทำการแทน ก็ได้" (สำนวนผมครับ แต่เนื่อหาหลวงพ่อ) เรื่องนี้เราสามารถหาอ่านได้ในหนังสือธัมวิโมกข์เล่มเก่าๆ ช่วงก่อนปี ๒๕๓๐ หน้าที่หลวงพ่อตอบปัญหา

    มาต่อให้จบนะครับ คือมื่อมีพระเยซูหลายคน เราก็คิดว่า "มันต้องมีตัวจริงสักคนแน่ๆ หรือไม่ก็ตัวปลอมหมด และอาจจะจริงทั้งหมดก็ได้ เพราะแจ่มใสกันนี่" แต่ เอ!! เราคิดว่าแบบนี้ "สมมุติเราจะเป็นตัวจริง หรือตัวปลอมนี่ แล้วเราจะได้อะไร ในเมื่อ กายพระเยซูก็ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นธาตุ ๔ ไปแล้ว เราจะบ้าติดสมมุตินามธรรมไปทำไม" ก็คิดต่อไปว่า "อ้าว !! แล้วท่านแสดงให้เห็นทำไมละ แบบชนิดน่าเชื่อถือทั้งนั้น" ก็เลยเกิดปัญญาขึ้นว่า..

    "ท่านให้เราดึงเอาธรรมะจากพระเยซูมาปฏิบัติ เด่นๆ มี ๒ อย่างคือ อย่างแรก ขันติบารมีแบบปรมัติเลย เพราะท่านถูกทรมานแสนสาหัส ทั้งก่อนถูกตรึงกางเขนก็แสนสาหัส และขณะตอกตะปูตรึงกับกางเขนก็สุดทุกข์แสนสาหัส (เราแค่หนามตำก็ร้องจ๊ากแล้ว) และขณะที่ถูกตรึงอยู่บนกางเขนจนเสียชีวิต ก็แสนสาหัส ได้ยินหลวงพ่อบอกว่า ท่านไม่โกรธใครเลย มีแต่เมตตาอย่างเดียว อย่างที่สอง คือ มีเมตตาบารมี นำอาความเชื่อที่ว่าท่านถูกทรมานเพื่อรับบาป รับความทุกข์แทนสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพื่อจะได้ไม่ทุกข์แบบท่านอีก เพราะท่านรับไว้ให้หมดแล้ว เรื่องนี้จะเป็นไปได้หรือไม่ ไม่สำคัญๆ แต่ที่จิตใจท่านตั้งอย่างนั้น โอ้ ช่างสูงส่งยอดยิ่งจริงๆ แต่ความจริงก็ท่านก็รับแทนได้จริงๆ เพราะผมเชื่อว่าเมื่อท่านทำขันติบารมีผ่าน และเมตตาบารมีจุดนี้ผ่าน ก็จะมีส่วนทำให้บารมีท่านเต็ม และตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าขนรื้อสัตว์เข้าพระนิพพานในที่สุด คือท่านทำบารมี ๑๐ ของพระโพธิสัตว์แทนสาวก (สาวกก็ทำแบบสาวก)"

    ผมก็ดึงส่วนเมตตาบารมีของท่านที่ว่า "รับทุกข์แทนสัตว์โลกทั้งหลาย" มาใช้เป็นอุบายฝึกเมตตาบารมี รู้สึกว่าเชื่อมโยงกับอารมณ์เมตตาบารมีของผมได้เหมาะเจาะเลย คือ คล้ายๆ ย่อส่วน ถึงจะเป็นเศษอนูของท่านก็ตาม ทีนี้เวลาผมนั่งแผ่เมตตา ผมก็จะทำตัวเองเป็นเครื่องดูดความทุกข์คนทั้งโลกพุ่งตรงมารวมโฟกัสที่ตัวผม และผมก็เห็นคนทั้งหลายเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข เนื่องจากความทุกข์หลุดหายไปมาอยู่ที่ผม (ไม่เกี่ยวกับความจริงนะครับ เป็นอุบายแผ่เมตตาของผม) จิตจะสงบเร็วมากๆ แค่ปั๊บเดียวก็สงบแล้ว หน้าเราตัวเรามีรอยยิ้มเต็มไปหมด บางครั้งเรามีความทุกข์อย่างหนักจากทั้งทางกาย ทางใจ เราก็ใช้อุบายนี้ โดยคิดว่า "ขอความทุกข์นี้จงมาหยุดที่ตัวพ่อเถิด พ่อขอรับคนเดียว หากพ่อจะทุกข์แบบนี้ตลอดไปเป็นอมตะ พ่อก็ยอมได้หากลูกๆ ของพ่อทุกคนมีรอยยิ้มแห่งความสุขตลอดไป"



    ถูกทดสอบว่าเป็นพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์

    เรื่องที่ทำให้เชื่อว่า ผมเคยเกิดเป็น พระเจ้าตากสิน พระเยซู พระแม่กวนอิม ก็คล้ายๆ กันครับคงไม่ต้องเล่าซ้ำให้เสียเวลานะครับ เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน และสาเหตุที่ทำให้มีสติ-ปัญญาเกิดขึ้นว่าไม่ใช่เรา แต่เป็น ปริศนาธรรม ก็คล้ายๆ กัน จึงจะขอนำเฉพาะสาระที่เป็นธรรมะ ที่ผมนำไปปฏิบัติแล้วเกิดผลดี

    จากจุดเด่นในมหาพรหมวิหารธรรมของพระแม่กวนอิมที่ท่านตรัสว่า "ตราบใด ในวัฏสงสารเต็มไปด้วยความทุกข์ ตราบใดที่เรายังขนรื้อสัตว์ไม่หมดในวัฏสงสาร เราจะไม่ยอมตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าพระนิพพานเด็ดขาด" (รายละเอียด และลีลาของถ้อยคำ อาจไม่ตรงต้นฉบับทั้งหมด แต่แก่นสาระจริงๆ ตรง ครับ) ตรงจุดนี้เองครับที่ผมขนลุก เพราะรับรู้ได้ว่าพระมหาพรหมวิหารธรรมของพระองค์ท่านสูงส่งจริงๆ ส่วนความจริงจะป็นไปได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่สาระสำคัญ แต่สาระสำคัญคือ "กำลังใจของท่าน" สูงมากๆ และโดนใจผมมาก ผมจึงนำตรงจุดนี้มาใช้ฝึกเพื่อสั่งสมกำลังใจด้านเมตตาบารมีให้สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยทำควบคู่กับ อารมณ์เมตาตา และขันติบารมีของพระเยซู แต่การนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน และอุบายการฝึกอาจแตกต่างกัน กล่าวคือ ในชีวิตประจำวันเวลาเรามีความทุกข์ เราก็ใช้แบบพระเยซูโดยตั้งอารมณ์ว่า "ความทุกข์ที่เกิดกับพ่อในขณะนี้ เพราะพ่อตั้งใจลงมาเกิดมีขันธ์ห้า เพื่อใช้ขันธ์ห้านี้สร้างบารมี และบารมีมันต้องเกิดขึ้นจากความทุกข์ทั้งนั้น หากทุกข์หนักเราก็ใช้กำลังใจต่อสู้สูง และถ้าผ่านได้เราก็ได้บารมีสูงระดับนั้น (บารมี คือ "กำลังใจเต็ม สูงสุดที่ทำได้ในขณะนั้นเมื่อเทียบกับอดีตทั้งหมดที่ผ่านมา" หรือที่เคยทำได้ โดยบำเพ็ญสะสมไปเรื่อยๆ จนถึงเต็มจุดสูงสุดที่ตั้งเอาไว้ในบารีนั้นๆ ) ดังนั้นขอความทุข์นี้จงเกิดขึ้นเฉพาะที่พ่อคนเดียวเถิด อย่าได้มีกับลูกๆ ของพ่อทุกคนอีกเลย แล้วก็นึกให้ความทุกข์จากทุกคนพุ่งมาที่ตัวเรา" อารมณ์จะมีคงวามสุขท่ามกลางความทุกข์ทันที

    สำหรับการสร้างกำลังใจในเมตตาบารมีของ พระแม่กวนอิม นั้น ส่วนใหญ่จะทำเวลาอารมณ์สบายๆ หรือมีความสุขมากๆ ไม่ว่าจะเป็นความสุขจากการให้ทาน การทำกรรมฐาน หรือความสำเร็จในชีวิตประจำวัน ฯลฯ จะกำหนดให้ความสุขเหล่านี้ว่า "ความสุขที่พ่อได้รับในขณะนี้ และจะพึงมีในอนาคต ขอความสุขนั้นจงบังเกิดแก่บรรดาลูกๆ ของพ่อทุกชีวิตเถิด" แผ่ไปเรื่อยๆ เหมือนมีรังสีแห่งความสุขพุ่งตรงไปออกไปแทรกซึมเข้าไปในผิวหนัง เข้าไปเต็มเปี่ยมในร่างกายของทุกข์ชีวิต มีรอยยิ้มเต็มไปหมด ตั้งใจว่า "ขอลูกๆ ของพ่อทุกคนจงได้รับกุศลของพ่อ ให้มีมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ พ้นจากอบายภูมิ เป็นสัมมาทิฏฐิได้พบพระพุทธศาสนาฝ่ายสัมมาทิฏฐิ และพ้นจากอบายภูมิ และเศษกรรมชั่วตลอดไป" ทำคล้ายทั่วไปแต่ให้ลึกสุดๆ


    ขอสรุปย่อๆ นะครับ

    "ทั้งหมดและในสรุปนี้ เป็นประสบการณ์ของผมเอง อย่าถือเป็นมาตรฐานปฏิบัติตาม โดยปราศจากการใช้สติ-ปัญญาเด็ดขาด เพราะอาจผิดก็ได้ครับ"

    ถ้าเรายอมรับเชื่ออะไรก็ตาม แม้สิ่งที่เป็นเหตุผลทำให้เราเชื่อมีพลังแค่ไหนก็ตาม ต้องมีสติก้มมองตัวเราว่าจริงๆ แล้วเป็นอย่างไร มีคุณสมบัติตามนั้นหรือไม่ อย่าเพิ่งไปยอมรับว่าตัวเองว่า เป็น เก่ง ใช่ โดยไม่มีสติ-ปัญญาฉุกคิดเลยว่า "เอ ทำไม แต่ ทำไม"

    กรณีที่เชื่อว่าเราเกิดเป็นใคร ก็จงคิดว่า มันเป็นอดีตไปแล้ว เป็นกฏไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เราควรใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เราเชื่อว่า ท่านในอดีตที่เราเชื่อว่าเป็นเรานั้น ท่านดีอย่างไรบ้าง จะนำจุดดีนั้นมาปรับปรุงตัวเราอย่างไร อย่าเพียงนำมาใช้เป็นกำลังใจในการบำเพ็ญบารมีเพียงอย่างเดียว ยิ่งหากเราปรารถนาพุทธภูมิเราจะต้องมีสติ-ปัญญาละเอียดมากๆ เพราะการทดสอบจะละเอียดมากๆ และเนียนมากๆ

    กรณีพระโพธิสัตว์ ที่เชื่อว่าตนเองจะได้ตรัสรู้เป็นองค์นั้น ชื่อนี้ ลำดับนี้ กัปนั้น อีกกี่ชาติ สร้างบารมีมาแล้วกี่อสงไขย ฯลฯ เราอย่าเชื่อโดยปราศจากการใช้สติ-ปัญญาอย่างละเอียดลึงซึ้งเด็ดขาด เพราะหากเราไปเจอะคณะอื่น กลุ่มอื่น ที่เป็นเหมือนเรา ซ้ำกับเรา อาจทำให้เราและคณะขาดความมั่นใจ หรือสับสน จนอาจหยุดสร้างความดีเอาง่ายๆ (เห็นมาแล้วหลายรายครับ) เราอย่ามัวถกเถียงกันอยู่เลยว่า เอ็งปลอม ฉันแท้ แต่ควรมองดู บารมี ๑๐ ว่ามันเข้มข้นพอจะเป็นท่านได้ไหม ตรงนี้ต่างหากคือสาระสำคัญ หากบารมี ๑๐ ใกล้เคียง หรือเทียบเท่าแล้ว เราก็พอใจแล้ว อย่าไปท่องสมมุติว่า "ฉันแท้ เอ็งปลอม" อยู่เลย

    ---------------------------------------


    ขอแจ้งให้บางท่าน ที่เข้ามาอ่าน และเมล์ไปหาผมอ้างตนทำนองว่าเป็นมิตรที่คุ้ยเคยในอดีต แต่จากการที่ได้อ่านสำนวน-เนื้อหาของท่านแล้ว "คล้ายๆ มีเจตนาดี" แต่ก็ชวนสงสัย??" ...เพราะท่านหยิบบางคำพูดไปขยายความ ตามความเข้าใจ-ระดับสติปัญญาของท่านทำให้คนอื่นเสียหาย ดูจากเนื้อหาถ้อยคำที่ท่านใช้โจมตีแล้ว เข้าใจได้เลยว่า ท่านคงอ่านเนื้อหาไม่ครบถ้วน เพราะท่านไม่สนใจว่า คนเขียนเขากำลังเน้นสื่อสารเรื่องอะไรออกไป และมีเจตนารมณ์อย่างไร ขอยกตัวอย่างบางประเด็น ดังนี้ครับ

    ๑. ท่านอ้างว่า เรื่องพระเจ้าตาก จากที่ท่านได้อ่านดูเนื้อหาและเหตุผลประกอบแล้ว ทำให้ท่านเชื่อว่า เป็นผมจริง แล้วก็ตำหนิ กล่าวหาว่า ผมปฏิเสธความเชื่อนี้ ทำให้บริวารที่ติดตามมาหมดกำลังใจเพราะเชื่อมานาน ที่ท่านคิดอย่างนี้ แสดงว่า...

    ๑.๑ ท่านคงอ่านไม่ครบถ้วน เพราะถ้าท่านอ่านครบถ้วน ก็จะเห็นว่าผมอ้างถึงสำนักอื่นๆ บางแห่งด้วย ที่เขาก็เห็นและเชื่อเหมือนเรา และจะทราบว่า สาระสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่ สำนักใดแท้-ไม่แท้ แต่มันอยู่ที่ เราได้อะไรจากสิ่งที่เห็น-เชื่อ และบารมี ๑๐ เราเข้มข้นแค่ไหนแล้วต่างหาก...หรือ..

    ๑.๒ ท่านอาจอ่านครบถ้วน แต่ท่านไม่เข้าใจเพราะ สติปัญญาไม่ถึง หรือมีสติปัญญาดี แต่แกล้งไม่เข้าใจ ??

    ผมขอบอกท่านในฐานะที่ท่านกำลังสนใจศึกษาเรื่องพุทธภูมิอยู่ ว่า บริวารเขาจะเชื่อมั่นในตัวเรา และจะติดตามเราหรือไม่ เขาคงไม่ดูที่เราเคยเกิดเป็นใครในอดีตที่เคยเชื่อมา แต่เขาจะสนใจว่า


    "เรามีบารมี ๑๐ แบบพุทธภูมิครบถ้วนหรือไม่ และเข้มข้นสอดคล้องกับชั้นของบารมีที่ตนเองทราบหรือไม่" ที่สำคัญคือ กำลังใจในธรรมสโมทาน ๘ ประการบริบูรณ์ จนได้รับคำพยากรณ์แล้วหรือยังต่างหาก...ไม่ใช่ อยู่ที่เราเคยเกิดเป็นใครในอดีตตามที่ตนเองเชื่อ-เข้าใจ เพราะการคิดแบบท่านมันตื้นเขินเกินไป และเป็นแบบ "ลัทธิบ้าอดีต" จนไม่สนใจบำเพ็ญบารมี ๑๐ หรือสนใจน้อยเกินไปเพราะ "ติดกับดักอดีตชาติ" ที่ท่านวางไว้...ขอย้ำว่า "คนที่ติดตามผมคงไม่มีสติปัญญาอนุบาลเช่นนั้นครับ"

    ๒. ท่านบอกว่าผมเป็นพุทธภูมิที่ลาแล้ว คงไม่ใช่ดูที่ผมไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นใครในอดีตตรงๆ หรอกนะครับ หรือคงไม่ดูที่ผมพูดถึงพระนิพพานเป็นปกตินะครับ ขอย้ำว่าพระโพธิสัตว์ที่ได้รับคำพยากรณ์แล้ว จะรู้เรื่องพระนิพพานตั้งแต่ขั้นอุปบารมีเป็นต้นมา หากไม่รู้-ไม่สนใจในพระนิพพาน แสดงว่ายังห่างคำว่าพุทธภูมิอยู่มาก (หลวงพ่อท่านก็พูดเช่นนี้) หลวงพี่เล็กท่านก็พูดเรื่องนี้ชัดเจนมาก ขอให้ท่านไปศึกษามากๆ หน่อยจะได้สื่อสารกันระดับข้อมูลที่เข้าใจกันได้ แต่ที่สำคัญ มันเป็นเรื่องเฉพาะตนครับ


    ศ.ธรรมทัสสี

    http://sites.google.com/site/sphrathewtheph/Home-14
     
  2. มหาพรหมราชา

    มหาพรหมราชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    241
    ค่าพลัง:
    +903
    สาธุ ดีแล้วครับ ขออนุโมทนาด้วยครับ หายากคนที่จะถอยออกจากความเชื่อสักนิดนึงเพื่อมาพิจารณาความจริง และมีปัญญาเป็นกลางไม่เอนเอียงกับสิ่งใด แต่ก็เป็นเรื่องยากเพราะความจริงของแต่ละคนไม่เหมือนกันและความจริงของคนนั้นๆ จะเป็นความจริงของความจริงหรือไม่ นี้เป็นจุดสำคัญถ้าความจริงที่ตน รู้ เห็น เป็น นั้น ไม่ใช่ความจริงของความจริงแล้ว ก็ย่อมเป็นผู้ที่ตกอยู่ในห้วงแห่ง อุปกิเลส และถ้ามีอุปนิสัยที่สุดโต่งก็ยิ่งหลงลึก และยากที่ใครจะช่วยได้ แต่ถ้าหากความหลงนั้น มีคุณมากกว่าโทษก็ยังถือว่ายังดีอยู่ ใช่มั้ยครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2010
  3. thontho

    thontho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    398
    ค่าพลัง:
    +612
    ศึกษาจากหนังสือของสำนักปู่สวรรค์ที่หลวงพ่อโต หลวงปู่ทวดและท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ เทศน์ไว้จะเข้าใจ เพราะเป็นสำนักที่มติ3 โลก(พรหมโลก เทวโลก ยมโลก) สั่งให้มนุษย์ตั้งขึ้น สิ่งที่เกจิอาจารย์ที่เป็นมนุษย์ตรวจไม่ถึงยังมีอีกมาก จึงทำให้คุณสับสน งงไปหมด ความเป็นมนุษย์มีขีดจำกัดของการรู้เรื่องในโลกวิญญาณและบางทีก็ถูกวิญญาณที่เหนือกว่าหรอกโดยตัวเองไม่มีทางรู้........จะให้แนวคิดไว้......ถ้าวิญญาณระดับสูงตัวจริงมาจะต้องทำงานระดับประเทศไม่ใช่ระดับชาวบ้าน มีระบบแบบแผนและต่อเนื่องกัน ถ้าคุณต้องการศึกษาเรื่องของโลกวิญญาณต้องไปที่ สำนักปู่สวรรค์ ครับ
     
  4. Kimbie1

    Kimbie1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2010
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +362
    ^^ ผมขออนุโมทนากับพี่VANCO ด้วยนะครับ จริงๆผมก็สงสัยเหมือนกับพี่ในทุกๆเรื่องเหมือนกันหมดเลยครับ แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้เหมือนกัน จนมีพี่นี่แหละที่มาบอก
     
  5. Attila 333

    Attila 333 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    245
    ค่าพลัง:
    +716
    ผมเคยอ่านเจอบทความนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง และขออนุญาติใช้คำพูดที่ตรงไปตรงมา และหากล่วงเกินท่านใดไปผมขออภัยท่านไว้ก่อนล่วงหน้า อาการที่ว่า ขาดความมั่นใจ รู้สึกว้าเหว่ สลดซึมเศร้า เซื่องซึม มันเป็นอาการของคนอกหัก รักคุด เสียมากกว่า ไม่ใช่อาการของคนที่ใกล้จะตรัสรู้เลยซักนิด คนที่จะได้ตรัสรู้เขาคงไม่ใจเสาะอย่างนั้นหรอกครับ ท่านที่ปรารถนาพระโพธิญาณ หากท่านเป็นพระโพธิสัตว์แท้ท่านก็คงพร้อมที่จะทำหน้าที่ของท่านไปเป็นเอนก อนันตชาติ และไม่มีความปรารถนาเลยที่จะให้มันสำเร็จอย่างรวดเร็ว เหมือนอย่างที่บางท่านกล่าวอ้างว่าเหลืออีกแค่เท่านั้นชาติ เท่านี้ชาติก็จะได้ตรัสรู้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    จุดมุ่งหมายของการใช้มโนมยิทธิก็เพื่อขัดกิเลส ขัดจิตใจของตนเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง มีความจริงใจ มุ่งตรงสู่พระนิพพานเป็นที่สุด แต่คนส่วนมากกลับนำมาใช้เพื่อพอกพูนโมหะให้หนักหนามากยิ่งขึ้น เป็นการปรามาสต่อคุณของพระพุทธเจ้า เมื่อสำคัญว่าตนดีแล้วจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ส่วนการสร้างความมั่นใจให้กับบริษัทบริวารให้ยึดอยู่กับอนาคตด้วยการฝากความหวังไว้กับความไม่แน่นอน และจะไปสิ้นสุดลงเมื่อใดไม่มีใครรู้ แต่การได้มาพบพระพุทธศาสนาในชาตินี้ ได้มาพบครูบาอาจารย์ที่ยอดเยี่ยมอย่างนี้แล้วพระนิพพานชาตินี้หวังได้แน่นอน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    ถึงจะปรารถนาพระพุทธภูมิ แต่เมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรามุ่งสู่พระนิพพาน มุ่งสู่ความดับทุกสิ้นเชื้อ ท่านก็ควรจะสอนคนให้มุ่งสู่พระนิพพานเช่นเดียวกัน ไม่ต้องกลับมาเกิด ไม่ต้องกลับมาทุกข์อีก และไม่ควรสอนให้คนมีความหลงจมอยู่ในวัฏฏะสงสารโดยเด็ดขาด <o:p></o:p>
    สำหรับพวกที่ไม่มีศีลไม่มีธรรม หรือเป็นพวกนอกศาสนาหากเขาล่วงเกินผมไม่ถือความ แต่สำหรับคนที่ถือตนว่าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นบุตรของพระพุทธเจ้า หรือสำคัญตนว่าเป็นผู้ปรารถนาในภูมิอันประเสริฐแล้ว ท่านควรจะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์<o:p></o:p>
    ผมมีความปรารถนาดีต่อทุกท่าน ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่ได้คิดว่าตนเองดี เป็นเพียงสติปัญญาที่ริบหรี่เท่านั้น อยากให้ทุกท่านมีความเห็นถูกตรง มีความเคารพในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และอยากให้ทุกท่านรักษาใว้ซึ่งความดีอันสูงสุด หากล่วงเกินท่านใดไปผมขอขมาลาโทษท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ.<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
     
  6. พระยาเดโชชัยมือศึก

    พระยาเดโชชัยมือศึก สินธพอมรินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2005
    โพสต์:
    2,742
    ค่าพลัง:
    +12,024
    ที่เหมือนเป็นกลุ่มนั้น คำตอบก็คือเนื่องจากการสร้างสมบารมี ส่วนมากเขาสร้างกันมาเป็นคณะ เป็นพ่อแม่ลูก นายบ่าว ช่วยๆเกื้อกูลกันมา พอหัวหน้าครอบครัวสำเร็จ ลูกๆหลานๆก็มักจะเป็นลำดับต่อๆไป
    เรื่องการกลับชาติมาเกิดนั้น หลายท่านเข้าใจผิด ที่ว่าเข้าใจผิดนั้น เช่นกรณี พอเห็นนิมิต บางอย่างก็ตีความคลาดเคลื่อนไป เช่น จิตเห็นคนนั้น ปรากฎเป็นภาพพระเจ้าตากสิน ที่เป็นพระเจ้าตากสินนั้น หมายถึง พระเจ้าตากสินคุมเขาอยู่ คำว่าคุมคือช่วยสอน ช่วยคุ้มครอง เป็นต้น ไม่ใช่เขาที่เราเห็นคืออดีต พระเจ้าตากสิน
    และชื่อนั้น บางครั้งก็เกิดขึ้นซ้ำๆกันได้หลายวาระ เช่น พระยาเดโชชัย ชื่ออย่างนี้มีตั้งหลายคน และก็เรื่องผู้ปฎิบัติหน้าที่แทนอีก
    ดังนั้น ครูอาจารย์ท่านไม่ให้เราไปสนใจอดีตมากไป เพราะมันจะเสียเวลา เสียเวลานี่คือไปตามหาอดีต อย่างเรานี่ชาติที่เป็นนี่ๆๆๆโน่นๆๆๆ มีใครเป็นญาติโกโหติกากับเราบ้างนะ เป็นต้น ดังนั้น ถ้าไม่เสียเวลามากไป ก็พอจะรูอดีตได้บ้าง เพราะอดีตก็เป็นส่วนหนึ่งที่มีประโยชน์กับการเรียนรู้ข้อผิดพลาด แต่อดีตนั้นเป็นหนังคนละม้วน กับปัจจุบันเสียแล้ว
     
  7. พระยาเดโชชัยมือศึก

    พระยาเดโชชัยมือศึก สินธพอมรินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2005
    โพสต์:
    2,742
    ค่าพลัง:
    +12,024
    ส่วนเรื่องพระโพธิสัตว์ ถ้าเราได้สร้างสมมา มันจะสะเทือนถึงคนอื่น ยิ่งถ้าเราเป็นพระโพธิสัตว์บารมีเต็ม เดี๊ยวก็ได้เจอผู้ติดตามยกโขยงกันมาเอง ดังนั้น เรื่องนี้ ใช่ว่า จะอุปาทาน คิดไปเองทุกกรณีไป สิ่งที่เราจะต้องพิจารณาและทำคือ ทำต่อไปจนถึงจุดหมาย ทำอะไรบ้าง ก็ทำความดี ตามที่พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านเคยทำให้เห็น
     
  8. Pong2008

    Pong2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +631
    อนุโมทนาครับ กับประสบการณ์ในการปฏิบัติ

    ผมก็เคยสงสัยหลายๆเรื่อง หลายๆสำนัก มันขัดแย้งกัน...
     
  9. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    ยาวจัง ขอบคุณที่นำมาเล่าให้ฟังค่ะ
     
  10. xiaosi

    xiaosi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2005
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +430
    อนุโมทนาสาธุครับ
    อยากให้ท่านถามอาจารย์ทางในดูครับ ท่านน่าจะช่วยได้
     
  11. ฤาษีนารท

    ฤาษีนารท Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +39
    เดินไปเท่าไหร่ก็ยิ่งไกล
    แต่พอหยุดเดินมันก็ถึงนะครับ
    ขออนุโมทนาในส่วนบุญด้วยนะครับ
    สาธุ
     
  12. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    มีครูบาอาจารย์ที่ท่านได้ตาทิพย์ แบบที่ตาเนื้อบอดสนิท แล้วได้ตาในมาเห็นเป็นตาเนื้อ ท่านเคยบอกกับผมว่า อย่าใช้แค่ตาในอย่างเดียว ให้ใช้จิตที่ฝึกมาสัมผัสไปพร้อมๆกัน ท่านบอกว่าท่านเองแม้จะมีตาแบบนี้ก็ยังต้องใช้จิตที่เป็นทิพย์ ตรวจดูสิ่งที่เห็น(เดินจิตเข้าสู่ความว่างก่อน)แล้วสิ่งที่เห็นนั้นเป็นจริง

    สำหรับผู้ที่มีสัมผัสที่หก ที่เชื่อมกระแสธรรมได้แล้วนั้น ก็ต้องใช้ภาวะที่จิตว่างจริงๆ สิ่งที่สัมผัสนั้นถึงจะเป็นจริง

    แต่ การเข้าถึง "ความว่าง" ที่เป็นสูญญตาธรรมนี้ (แม้จะเกิดขึ้นได้ในบางครั้ง)แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก

    บางครั้งสิ่งที่เห็นนั้นใช่ แต่สิ่งที่รู้นั้นอาจจะไม่ใช่ เช่นเห็นเป็นพระเจ้าตากจริง แต่พระเจ้าตากที่เห็นนั้นไม่ใช่คนที่มีกายเนื้อ อาจจะเป็นญาณท่าน(ส่วนนึง)มาสงเคราะห์หรืออยู่กับคนนั้น หรือ ส่วนใหญ่สิ่งที่เราเห็นว่าเกี่ยวข้องกับบุคคลนั้นๆมักเป็นสิ่งรักษาหรือ ครูบาอาจารย์ ของคนๆนั้น

    การจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของคน คนหนึ่งได้นั้น ต้องมีญาญหยั่งรู้ อย่างอตีตังสญาณหรือจตูปปาตญาณ อย่างแจ่มชัด ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายและก็น้อยคนที่จะทำได้ ยากพอๆกับการทำจิตให้ว่างนั่นแหละ ครับ ถ้า "ว่าง" โดยวิธีการพยายามทำให้ว่างนั้นถือว่ายังว่างๆไม่จริง ถ้าว่างจริงต้องอยู่ในภาวะของ การเกิดเอง รู้เอง เห็นเอง ดับเอง ว่างแบบนี้เกิดจากการที่จิต "วาง" โดยกระแสธรรมชาติ ที่ไร้ตัวไร้ตน

    ถ้าเราฝึกจิตแบบยึดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โอกาสที่จะเข้าถึงความว่างจริงๆก็จะยากมากๆ

    หากปฎิบัติแบบไม่เอา ไม่อยากรู้ ไม่อยากเห็น สักแต่ว่าทำตามหน้าที่ ก็อาจจะเข้าวิถีของความว่างได้ง่ายขึ้นเมื่อจิตวางทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งตัวตน(กายเนื้อหายไป)แต่กระนั้นตัวตนที่เป็นนามธรรมก็ยังอยู่ในก้นบึ้งของจิต ถ้าฝึกจิตให้ตัว(กายเนื้อ) หายไปได้บ่อยๆ โอกาสที่จะไปแตะ "ความว่างที่ไร้อุปาทาน" ที่จะรู้สามารถเห็นได้อย่างแม่นยำก็จะมีมากขึ้น

    ถ้ารู้ตัวเองได้มากขนาดไหน ก็จะสามารถรู้คนอื่นได้มากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้ก็เป็นไปตามวาสนาบารมี ของแต่ละบุคคล

    ทีนี้ก็ต้องถามตนเองว่า ที่ปฏิบัติมานั้นจิตยึดสิ่งใดหรือเปล่า หากจิตยึดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปเรื่อย (แม้จะยึดในสิ่งที่เป็นกุศล) จิตก็จะห่างไกลความว่างไปเรื่อยๆ(โดยไม่รู้ตัว)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2010
  13. เมทิกา

    เมทิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    954
    ค่าพลัง:
    +2,392
    พุทธวิสัยเป็นเรื่องเข้าใจได้ยาก ถ้าไม่เคยปฏิบัติมาก่อน

    เหมือนนักเรียนสืบเสาะหาคำตอบในเรื่องที่คุณครูยังไม่เคยสอน


    พระโพธิสัตว์ก็ยังต้องบำเพ็ญบารมีเช่นกัน พระโพธิสัตว์บารมีน้อยๆก็ยังต้องเป็นบริวารของพระโพธิสัตว์ใหญ่ แล้วสงเคราะห์กันไปไม่มีที่สิ้นสุด

    ที่เห็นว่าแยกแยกสำนัก เพราะจริตคนกับกรรมสัมพันธ์แต่ละคนมีมาไม่เหมือนกัน ใครศรัทธาท่านไหน ก็แสดงว่าเคยเป็นบริวารท่านนั้นมาก่อน

    สุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีใครได้เป็นอะไร จะสำนักไหน...มันก็แค่สมมุติเท่านั้นเอง


     
  14. โคมหลวง

    โคมหลวง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,152
    ค่าพลัง:
    +6,383
    ทำกันไปเรื่อยๆครับ เหนื่อยก็พักสักน้อย
    นึกเสียว่าเราทำเพื่อใคร ^^
     

แชร์หน้านี้

Loading...