ตรรกะล้มเหลว แสดงวิธีทำก็ไม่ได้ หากแสดงวิธีทำไม่ได้ คุณก็ไม่ใช่นักปฏิบัติ แต่เป็นนักศาสนาแทน ดังนั้นคุณจะพูดหรือยกยันพระไตร "มันไร้ประโยชน์" และ "เป็นการคิดเอาเอง" ของคุณผู้เดียว ถ้าจะเสวนากับผมก็บอกวิธีทำให้ได้ไม่ใช่ เอาแต่ แสดงแต่ ทฤษฏี ที่ตรวจสอบไม่ได้นะฮับ
ทำไมยิ่งอโหสิกรรม เขายิ่งทำให้ทุกข์
ในห้อง 'ทุกข์และปัญหาชีวิต' ตั้งกระทู้โดย ธรรมเหนือกรรม, 4 กันยายน 2018.
หน้า 2 ของ 2
-
-
ความเป็นตนอยู่ไหนมันเป็นตนของผม ผมรู้เองคุณก็แค่บอกวิธีทำมาจะคุ้งฝอยหาตะเข็บทำไม ? นี่ผ่านมาเป็นหน้าแล้วนะครับ "วิธีทำ" ก็ยังไม่ได้บอก อย่าแถนะครับหน้านี่หนากว่าคอนกรีตแล้วมั้งนิ ไบรอันโอคอนเน่อร์ จุติเสียแล้ว สาธุ -
และสัมผัสใจ ไม่มีครับ เพราะแตะไม่ได้ไม่มีตัว แต่มีตน แค่นี้ก็ไม่รู้ถึงได้บอกวิธีทำไม่ได้ มันก็เท่านั้นจะฝอยหาตะเข็บอะไร? ทั้งๆที่ "ตน" ก็ยังไม่รู้ อัตตาจิตยึดอะไรส่งออกไปไหนสิ่งนั้นเป็นตน เนี่ยผมตอบให้ก่อนแล้วนะ คำถามเก่าคุณก็ยังไม่ตอบ ผมยอมเสียสิทธ์ให้ด้วยนะเนี่ย อะๆงั้นผมถามบ้างนะ แล้ว อัตตาจิต อะมันอยู่ตรงไหน ? ไอ้ตัวที่ยึดอะ นี่คำถามง่ายๆเลย สำหรับ "นักปฏิบัติ" แต่ถ้าตอบไม่ได้ก็เป็นแค่ปริยัติอะนะ -
ตอบคำถามมาทีครับ "ผมบอกวิธีหาความเป็นตน" ที่รับทั้ง เวทนา และ ธรรมารมณ์ แล้ว ทั้งสิ่งที่คุณบอกทั้งทางกายและใจ ตัวนี้นั่นแหละที่มันไป "ยึด" ทั้งสองอย่าง ซึ่งมันก็กลับมาสรุปข้อความที่คุณ "แถ" ไว้ข้างต้นซึ่งลบไปแล้ว ว่า "มันดับ" ซึ่งก่อนมันจะยึดมันจะเกิดกริยาจิตก่อน หากไม่ยึดมันก็ดูไปที่อื่นเรื่อยๆ ไม่ตั้งมั่น(สมาธิ) และไม่สงบ ธรรมของคุณมันไม่ใช่ก็แค่นั้นแหละ
ไม่ว่าคุณจะยกยอว่าผมไม่ดี หรือยกว่าผมดี หรือยกว่าคุณดี ก็ตาม หากคุณ "บอกวิธีทำ" ไม่ได้มันก็จบ
วิธีตรวจสอบ (เขียนไปแล้วแต่ผมเขียนใหม่ได้)
-มองเฉยๆปล่อยตัวสบายๆห้ามเครียดและเกร็งและห้ามขยับลูกตา
-เปลี่ยนจุดโฟกัสในสิ่งที่ตาเห็นโดยไม่ต้องเกร็งและเครียด
-เปลี่ยนจุดโฟกัสมาที่ความรู้สึกตัว
-ทดลองเกร็งแขน และจะพบว่าขณะนั้นการโฟกัสไปอยู่ที่แขน
-ทดลองหาตัวที่โฟกัสว่ามันมาดูอยู่ที่ไหน
-โฟกัสที่ความรู้สึกตัวค้างไว้ และทดลองคิดถึงเรื่องเครียด จะพบว่าเนื้อความรู้สึกตัวเปลี่ยนไป
เนึ่ยสัจธรรมทั้งเวทนาและธรรมารมณ์ "คำพูดผมไม่ใช่คำพูดลอยๆ" ที่ยกมาแต่ "อธิบายวิธีทำ(how to)ยังไง" ดังนั้นไม่ว่าคุณจะพูดอะไรผมกับคุณก็ไม่เหมือนกันระหว่าง "นักปฏิบัติ" และ "นักเดา" นะครับ -
และขณะที่ตั้งมั่นกับสิ่งใด จะมีความรู้สึก "อยู่อย่างนี้ก็อยู่ได้" เกิดขึ้น เมื่อเราย้ายไปเป็นความรู้สึกนั้น จะมี ความรู้สึก "ปิติ" ขึ้น เมื่อเป็น ปิติ "จะมีสภาวะสุข"เกิดขึ้นจนย้ายไปเป็นมันก็จะมี "สภาวะเฉย" ขึ้น และนี่คือวิธีเดินรูปฌาน แบบง่ายๆ ที่มี ทั้งสติ(รู้เนื้อสภาวะและรู้รอบข้าง) และสมาธิ(ตั้งมั่นและรู้เนื้อสภาวะนั้นๆ) ซึ่งไม่มี "นิมิต" เพราะมันถูกทางเป็น สัมมาสติ สัมมาสมาธิ จนกระทั่งเป็นปัสสัทธิ และหากดำรงเดินสภาวะในความรู้สึกตัวเรื่อยๆ ก็จะครบ โพชฌงค์ 7 เอง
-
นี่แหละ "วิธีทำ" ซึ่งไม่มีการยกอะไรมาทั้งนั้น "ซึ่งต่างกับคุณที่อภิปรายไร้ซึ่งน้ำหนัก" นี่แหละคือความต่างของผมกับคุณนะครับ หากบอกวิธีทำได้ ไม่ใช่พูดไปเรื่อยๆ ให้คนอื่นเขาเดาเอาเอง หากคุณบอกวิธีทำได้ "จึงจะคู่ควรในการสนทนาธรรม"กับผมนะครับ
แต่หากบอกไม่ได้ก็ได้แค่แสดงสมมุติฐานของคุณ ซึ่งผมไม่มามโนต่อด้วยหรอก เพราะผมทำได้ ดังนั้นอยากพูดอะไรพูดไปเลย "เพราะน้ำหนักของคำพูดคุณมันไม่มี" -
ต่างสิ คนอื่น เขาฟังคุณพูดเขาจะทำตามยังไง ? ถ้าแค่นี้ดูไม่ออก ก็เชิญปั้นน้ำเป็นตัวต่อไปนั่นแหละ
-
หากแยกไม่ออกจริงก็กลับไปเรียนใหม่เลยครับ ระหว่าง "วิธีทำ" (ดูอย่างผมบอกว่าต้องทำยังไง) กับ "อธิบาย"(ให้สงบนิ่งอย่างที่คุณบอก) แต่เขาจะสงบได้ยังไงถ้าคุณไม่บอก how to ? มันก็เป็นเช่นนี้แหละ "นี่แหละสัจธรรม(ความจริง)" มันก็เท่านั้น
-
ก็คุณถามผมเองนะว่าความเป็น "ตน" คืออะไรไม่ใช่เรอะไง? จะกลับกลอกอะไร "นี่คือแถแล้วไปต่อไม่ได้ว่างั้น?"
พอผมตอบก็หาว่าอยากสอน "เจริญพรละโยม" ตามสบาย เอาตามที่คุณคิดนั่นแหละ "เพราะคุยกับคุณ มันไร้ประโยชน์ใดๆ" ผมบอกแล้วทั้งวิธีทำแล้ว และก็บอกแล้วว่าที่คุณทำไม่ใช่นิโรธ หากยังเป็นมิจฉาทิษฏิต่อไปก็ตามนั้น ผมไม่ได้มีหน้าที่สอนคุณด้วย เอาตามที่คุณสะดวกเลย -
"คุณบอกว่ามันไม่มีในพุทธ ใช่ไหม?" นี่คือการ ทำ วิปัสสนา "เวทนา" คือจิตอยู่กับความรู้สึกตัว เนี่ย? วิปัสสนาของจริง "แล้วหมาตัวไหนบอกวิปัสสนาไม่ใช่พุทธ" เอ็งนี่ระดับต่ำที่สุดของบัว 4 เหล่าเลยนะ "สอนแล้วพูดแล้ว" นอกจากจะ "สอนไม่ได้แล้ว" ยังบอกว่า "วิปัสสนา" ไม่ใช่พุทธ "เอาเหอะ "ไม่รู้อะไรก็พูดไปเรื่อย" เพื่อจะแถ เนี่ยไม่ใช่พุทธตรงไหน? กล้ายกธรรมของพุทธองค์มาดัดแปลง "วิธีทำ" ก็ไม่มี "ตอแหล"ยิ่งกว่าผู้หญิงอีกนะมึงอะ "กลับดำเป็นขาว" มึงเป็นตุ้ดอะป่าว? ตอนมึงตอแหลกับกู กูก็ไม่ได้โกรธเหี้ยไรเลย แต่พอมึงกล้าบอกว่า "วิปัสสนา" ไม่ใช่พุทธเนี่ยนะไอ้สัตว์ มึงเหี้ยอะไร ไอ้คุวยพระป่าเขาก็ทำกันแบบนี้ กูไม่เจ๋งหรอก แต่มรึงอะเจ๋งกว่าพระป่าหรอ บอก"วิปัสสนา เวทนา" ไม่ใช่พุทธ "ไอ้คุวย" เป็นเหี้ยไรมากเปล่าไอ้สัตว์นรก
ตอนแรกอะ"กูไม่มีโทสะ"คุวยอะไรเลย กูตอบแต่สัจธรรม แต่ตอนนี้ กูจะด่ามึงละเป็นเหี้ยไรมากป่าว บอก"วิปัสสนาไม่ใช่พุทธ" อะ
แล้วสติคุวยไรกูให้มึงบอกวิธีทำมา มึงก็ไม่บอกไอ้เหี้ย สติเล็กๆของมึงอะนะ? ละยังกล้าตอแหลว่าเป็นนิโรธ ไอ้คุวย ละบอกกูไม่มีสติใช่ไหม กูมีเต็มร้อยไม่งั้นกูจะตอบ "สัจธรรม" ให้มึงได้ยังไงไอ้สัตว์ แต่กูไม่สน กูมีโทสะ ทั้งๆที่รู้เนี่ยแหละ แต่กูไม่เหี้ยกว่าเดรัจฉานเช่นมึง ที่ยก "วิปัสสนาไม่ใช่พุทธอะไอ้สัตว์" เหี้ยตุ้ดเอ้ย มึงกลับกลอกคุวยอะไรอีกอะ ? กูรออยู่ กูก็ไม่ว่างมาตอบมึงเหมือนกันอะ แต่ตอนนี้กูรู้(สติ) และกูมีโทสะด้วย คุวย มึงเปลี่ยนศาสนาเหอะวะอย่าตอแหลอ้างพุทธถ้ามึงบอกวิปัสสนาไม่ใช่พุทธ -
สติคือรู้ ก็มีทั้งสติ และสมาธิด้วย แต่กูอะตั้งมั่นกับโทสะอยู่ไงไอ้สัตว์ ถ้ากูไม่มีสติ "คำพูดกูคงไม่ทางเดียวกันทั้งหมดและไม่กลับกลอก" หรอก ใครจะเหมือนมึงอะอ้างสติ แต่คำพูดมึงไม่เห็นจะมีเหี้ยอะไรเลย "วิธีทำก็ไม่มี" คนอื่นเขาต้องการวิธีปฏิบัติ ถ้ากูแค่อยากรู้(ความรู้) กูไปอ่านพระไตรเอาก็ได้นะไอ้สัตว์ มึงก็ตอแหลไปเรื่อยๆอะไอ้เหี้ยตุ้ด และแถมด้วยนะ มึงกล้าบอกว่าวิปัสสนาไม่ใช่พุทธ โพชฌงค์ 7 ไม่ใช่พุทธ "โคตรควย" เลยมึงอะ "ไอ้เหี้ยนี่บอร์ดพุทธ" แล้วมึงบอกการปฏิบัติแบบนี้ไม่ใช่พุทธ ทั้งๆที่มันวิปัสสนา กาย(โฟกัสกายเนื้อ) เวทนา(โฟกัสความรู้สึกตัว) จิต(โฟกัสไปที่ๆส่งออกไปรับธรรมารมณ์) ธรรม(โฟกัสไปที่ธรรมารมณ์)
เนี่ยสติปัฏฐาน และ โพชฌงค์ 7 ไอ้สัตว์ มึงคุวยไรมากอะป่าว? ถ้ากูไร้สติกูคงพิมพ์ผิดบ้างอะนะ กูโกรธแบบมีสติ กูพิมพ์ได้ ถูกและตรงตามสัจธรรม กูไม่ตอแหลแบบมึงนะไอ้สัตว์ -
ไหนไอัคุวยมึงจะแถเหี้ยไรอีก ไอ้สัตว์ มึงจะตอแหลห่าอะไรวะ ? ก็เห็นอยู่ "มึงทำไม่ได้" วิธีทำก็ไม่มี ไอ้ห่า และมึงยังกล้ามาตอแหลอีก "ดันเสือกแสดงธรรมที่ไม่มีในตน" ผลคือ "คนทำก็ทำไม่ได้" คนฟังก็ไปผิดทาง มึงมันมารศาสนาชิบหายเลยวะ แล้วยังจะกระแดะมาทำตัวหล่อชักแม่น้ำไปนู่นมีตอแหลแอบกลับมาถามกุด้วยนะ พอไปไม่ได้ก็ลบ ไอ้เหี้ย ผู้หญิงที่เคยทะเลาะกับผมเขายังแมนกว่ามึงเลย
-
แล้วมึงจะแถเหี้ยไรกูก็บอกแต่แรกแล้วว่า "มึงไม่มีวิธีทำ" มีแต่สมมุติฐาน "มันเลยไร้น้ำหนักไง" ไอ้สัตว์ แถคุวยอะไรวะ
-
ดูคำพูดกูไว้ตอนโทสะนะไอ้สัตว์ คุวยตอแหลปรักปรำกูจัง ตอนนี้เนี่ยกูอะมีโทสะจริงๆเลย คำพูดก็ต่างกับตอนปกติละไอ้สัตว์ และมึงก็ปรักปรำกูอยู่เรื่อยๆ แต่กูก็ขี้เกียจตอบไอ้ห่า เลยแสดง วิธีทำไป ละกูขี้เกียจเถียงกับควาบมึงเข้าใจไหม? แล้วยังไม่เท่าไหร่ พอมีงเล่นถึงสัจธรรมของพระพุทธองค์เนี่ยแหละ ไอ้สัตว์สมควรโดนด่าละไอ้คุวย
-
แถไปยันวิธีเข้าฌานอีก การเข้าฌานแบบอื่นๆมันรู้เนื้อกาย ไม่รู้ตน ไม่รู้ห่าอะไรเลย เนี่ย "มิจฉาทิษฏิ" เต็มๆไอ้สัตว์เรื่องวิปัสสนามึงก็ตอแหล มึงจะเหี้ยอะไรอึก ? ห้ะไอัสัตว์ ไหนกรรมฐานของมึงอะ "บอกวิธีทำ" มาดิ้ ไม่เอา "อภิปรายนะ" ที่คนอื่นทำแล้วได้ผลแบบมึงอะ
-
ท่องจำมาคุวยอะไร วิธีทำกูมาจากไหนอะ มึงอะวิธีทำไปไหน ท่องจำมาทำคุวยอะไร ตอแหลไปไหนมึงอะ ไอ้เหี้ยตุ้ด ? กุรออยู่วิธัทำแบบมึงอะ ไหนมึงบอกมึง "ทำ" ก็บอก"วิธีทำ" ของมึงมาไอ้สัตว์ เห็นอธิบายหลายรอบละไอ้คุวย
-
ขออนุญาตกล่าวเพิ่มเติมกับท่าน ธรรมเหนือกรรม ถึงแนวปฏิบัติที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้นะครับ
- อินทรีย์สังวร คือ ศีล เมื่ออินทรีย์สังวรณ์ก็จะทำให้ เจตนาเป็นศีล กาย วาจา ใจ ถึงความสุจริต
- เมื่อ กาย วาจา ใจ สุจริต มรรคสามัคคีกันกระทำรวมเป็นหนึ่งในจิต จิตจะไม่ข้องแวะอุปาทานโลก ความต่อเนื่องของสังขารขาดลง จิตดำรงสติเห็นสังขารทำงานของมัน ดำรงอยู่จนเกิดความหน่าย อิ่มขันธ์ ..ซึ่งสิ่งนี้เป็นในส่วนของคนที่จะบรรลุธรรมในชาตินี้เร่งทำกัน แต่สำหรับเราในตอนนี้คือเพื่อทำการรักษาสุขภาพจิตของน้องคุณธรรมเหนือกรรม
..โดยการจะเข้าถึงได้สำหรับคนที่มีความฟุ้งซ่านนี้ เป็นนิวรณ์ ควรที่จะทำความสงบใจ ต้องแก้ด้วยปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ความสงบใจจากกิเลส คือ จิตสงบต่อการกระทำและเปิดรับต่อสังขาร (ซึ่งปัสสัทธิมีหลายระดับจะไม่ขอกล่าวมากครับ)
..ดังนั้นที่น้องชายท่าน ธรรมเหนือกรรม ฟุ้งไปตามสัมผัสกาย สัมผัสใจนี้ เขาต้องทำความสงบ ความสงบที่ดีที่สุดคือ ความสงบใจจากกิเลส เป็นภาวะที่จิตทำความสงบนิ่งว่างไว้ในภายในตัดจากสัมผัสจากภายนอก ไม่ทำเจตนาต่อสัมผัสกายสัมผัสใจที่รู้กระทบเป็นต้น ชื่อ..อุปสมานุสสติกรรมฐาน ๑ ใน ๑๐ อนุสสติกรรมฐาน
..ความสงบนิ่งก็แปลตรงตัวครับ คือ ทำใจให้สงบนิ่ง สติตั้งมั่นรู้อยู่ที่ความสงบว่าง สบายๆกายใจ ไม่ต้องจำจดจำจ้องอะไร สตินี้ตั้งรู้อยู่ในความสงบพอ อะไรจะมากระทบสัมผัสก็แค่รู้ปล่อยมันผ่านไป มันเป็นเพียงสิ่งภายนอก แม้ความคิดที่จิตรู้ก็คือธรรมารมณ์ก็ชื่อว่าภายนอก ให้ทำไว้ในใจว่าความมืดคือปัจจุบัน ความสงบที่ทำอยู่เป็นปัจจุบัน ความคิดต่างๆเราสมมติขึ้นมาเองตามสัญญาความจำได้หมายรู้ ให้ตั้งมั่นดำรงไปอย่างนี้เรื่อยๆจะช่วยเขาได้..ใจเขาจะสงบและเย็นขึ้น เย็นใจจากการไม่กระทำก้าวล่วงกรรมอกุศล เย็นใจจากการถึงความไม่มีอะไรมาหน่วงดังจิต ไม่ติดข้องใจคอยพล่านแล่นไปตามสมมติกิเลสของปลอมจนจิตอ่อนแอไม่มีกำลัง
..เขาจะเกิดความเกษมสำราญที่เขาไม่ต้องไปติดข้องสัมผัสทางอินทรีย์ ..ซึ่งโดยส่วนตัวผมเอง ผมก็ได้ช่วยเหลือคนที่ป่วยในลักษณะของน้องชายท่านธรรมเหนือกรรมมาได้บ้างแล้ว การสงบนิ่งนี้ช่วยได้ ไม่ต้องไปทำอะไรมากเลยทำที่ใจอย่างเดียวเท่านั้น เพราะสติและจิตเขาตั้งมั่นที่ความสงบว่าง ไม่ยึด ไม่เอา จิตทำความไม่มีแล้วนั่นเอง คนที่ฟุ้งซ่านมากติดหลงในสิ่งที่มองไม่เห็นยิ่งไปทำให้เขาเกิดนิมิต เพ่งจิต จำจดจำจ้องมาก ยิ่งทำให้เตลิดไปไกล เมื่อป่วยจิตไปรักษากายก็ไม่เกิดประโยชน์ ป่วยที่ใจไปกระทำกายแม้เป็นการชักจูงหาเครื่องอยู่ให้จิตปักหลักทำสติสำหรับผู้ป่วยจะเห็นผลได้ช้าผู้ป่วยอาจเบื่อ รำคาญ เลิกทำไปเลย เพราะใจเขาไม่มีกำลังจะตั้งอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง ส่วนตัวผมเองก็มีญาติ ญาติเพื่อ คนรู้จักที่เป็นอย่างนี้ แล้วช่วยเขาในทางนี้ มันช่วยประครองสติและจิตของเขาให้มีกำลังถึงความสงบ ปล่อยวางได้ดีในระดับหนึ่ง
...แต่ก็ไม่ใช่ว่าวิธีทางผมจะดีประเสริฐที่สุด "เพราะเป็นแค่ การเดิน โพชฌงค์ตามกาล ของปุถุชนเพื่อทรงกุศลไว้เท่านั้นเองครับ ปต่ยังเพียงกดข่มไว้อยู่ไม่ได้ปหานไปเลย" ยังมีกระทู้อีกหลายท่านที่ตอบไว้ก่อนหน้านี้มีแนวทางที่ดีเยอะ ซึ่งเราต้องรักษาควบคู่ไปกับทางการแพทย์ด้วยนะครับ ธรรมโอสถเป็นยาทางใจจริงแต่ผู้ป่วยยังครองขันธ์อยู่ จิตยังอยู่ทางโลก ยังไก็ต้องรักษาควบคู่กันไปครับ
ขออภัยท่าน ธรรมเหนือกรรมอีกครั้งนะครับ ที่ทำให้เดือดร้อน ผมจะไล่ลบกระทู้ตอบของผมที่ไม่เหมาะสมออกครับ
:(:(:(:( -
"ตนก็ยังหาไม่เจอ" แล้วจะแถไปไหน ? ไอ้ที่เอ็งบอกนี่ก็แถเรื่อยๆ ก็เห็นกันอยู่ว่า "มันแค่ตั้งสติมั่นเลือกไม่ให้อัตตาจิตมันไปดู" มันอินทรีย์สังวรตรงไหน ? แล้วอัตตาจิตที่บอกมันรู้มันก็แค่ธรรมารมณ์ภายนอก พูดไปงั้นอะ จิตมันไปดูอยู่มันก็ไม่ได้ช่วยให้เขา "สงบ" ได้จริงๆตามที่โม้มาเลย แล้วบอกจิตรวมลงเป็นปัสสัทธิ มันรวมยังไงของเอ็งอะ ห้ะ ? รู้สึกตัวถึงสภาวะในตัว และรู้สึกตน ก็ไม่มี มันมีแค่สติที่รู้เอง แล้วมัน"รวม"ตรงไหน? แล้ว "เจตนา" คืออะไร อ้างจังตอบทีถ้าเก่งอะ
รู้ละเดี๋ยวคุณแถอีก ผมตอบคุณมาทุกคำถามละ ผมจะถามคุณไปเรื่อยๆละกัน
1.วิปัสสนา ไม่ใช่พุทธ ตรงไหน?
2.เจตนาคืออะไร? แล้วเกิดอะไรขึ้นเมื่อเจตนา
3.ที่บอกว่า มรรคสามัคคีอะ มันรวมยังไง? เพราะ ตนก็ไม่ได้อยู่ในกายอ บอกว่าของผมไม่ใช่ก็ตอบที อ้างจิตรวมลงเป็นหนึ่ง สรุปมันรวมยังไง ? ถ้าไม่รู้สึกตัว ไม่รู้สึกกาย และไม่รู้ถึงตน ไม่รู้ถึงสภาวะ
4.ผมไม่มีสติที่ สฬายตนะตรงไหนแคปมา เพราะ สติคือรู้อยู่ ว่าดูแม้ไม่ต้องคิด? เอาวิธีตรวจสอบมาเลย(หลักฐาน) ขนาดผมมีโทสะผมยัง "รู้" ว่ามี พิมพ์ก็ไม่ผิดซักคำ งั้นก็บอกมาว่าไม่มีสติ "ตรงไหน" (หลักฐาไม่เอาขี้ฟัน)
5.ผม "นึก" ตอนไหน? ผมมี "วิธีทำ" หาหลักฐานมา และ สิ่งที่คุณพิมพ์มาใหม่ มันใช่ "วิธีทำ" ไหม?
บอกแล้วว่าคำพูดก็แถไปเรื่อยๆอะแหละ "ยังตุ้ดเหมือนเดิม" "กลับกลอก" โดยไม่ใช่ความจริง "ถ้าผมอ้างครูอาจารย์"ก็ไปหาชื่อ "ครูอาจารย์" ที่ผมอ้างมา "ให้ได้" ด้วยนะ และ "ถ้าผมท่องจำมากคงบอกวิธีทำไม่ได้อะนะ" ใครจะเหมือนคุณอะ "เอาแต่อภิปราย แต่บอกว่าเป็นการทำไม่ได้อ่าน" "ย้อนแย้งและกลับกลอก"
ทุกคำที่ "ปรักปรำผม" ไปหา "หลักฐาน" มานะครับ
หน้า 2 ของ 2