ทำไมหลวงพ่อจึงสอนให้ลูกหลานไปพระนิพพานได้โดยง่าย

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 9 กันยายน 2007.

  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,173
    เคยมีใครคิดสงสัยบ้างหรือไม่ว่า ทำไม หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ) วัดท่าซุง จึงสอนลูกหลาน ลูกศิษย์ลูกหา และผู้มีจิตศรัทธาโดยทั่วไปให้ไปพระนิพพานกันได้แบบง่ายๆ ไปแบบสบายๆ

    หากเราลองพิจารณากันถึงลักษณะการปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานของครูบาอาจารย์สายต่างๆ เราจะเห็นได้ว่า การปฏิบัตินั้นมีหลายแนวทางหลายวิธี ขึ้นอยู่กับจริตของแต่ละคนว่าจะชอบแนวทางแบบไหนอย่างไร แต่ต่างก็มุ่งปฏิบัติเพื่อจุดหมายปลายทางคือพระนิพพานด้วยกันทั้งสิ้น มีทั้งที่ชอบแบบ

    ปฏิบัติยาก บรรลุยาก
    ปฏิบัติยาก บรรลุง่าย
    ปฏิบัติง่าย บรรลุง่าย
    ปฏิบัติง่าย บรรลุยาก


    แต่แนวทางการสอนของ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน จะสอนให้ไปพระนิพพานโดยการปฏิบัติแบบง่ายๆ และบรรลุง่ายๆ แบบสบายๆ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น หากอยากทราบเหตุผลก็ลองติดตามอ่านกันดูครับ


    [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2007
  2. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,173


    [​IMG] [​IMG]


    คัดย่อบางส่วนจาก "โอวาทวันเกิดหลวงพ่อ" ในหนังสือ สังโยชน์ ๑๐ โดย พระราชพรหมยาน


    "วันนี้ถือว่าเป็นวันทำบุญวันเกิด แต่ความจริงฉันก็เกิดไม่ซ้ำกันหรอก ปีไหนฤกษ์ดีเมื่อไหร่ก็เกิดเมื่อนั้นแหละ ไอ้ผีตัวนี้มันเลือกที่เกิดได้ รวมความว่า ขอขอบคุณหลวงน้า (หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพศิรินทร์) และภิกษุสามเณรและก็บรรดาลูกหลานทุกคน ที่มีความปราณีมาสงเคราะห์ด้วยการทำบุญวันเกิด วันนี้รู้สึกว่าคับคั่งมากและทุกปีก็มีสภาพเหมือนกัน เพราะว่าคนเข้าข้างในแล้วห้ามออกข้างนอก อยู่ข้างนอกก็ห้ามเข้าข้างใน อันนี้ก็ถือว่าเป็นความดีของทุกคนที่มีความหวังดี ฉันเองก็คาดไม่ถึง


    แต่ว่าถ้าพูดกันตามความเป็นจริงแล้ว คณะของเราส่วนใหญ่ถ้าเป็นคณะจริงๆ นี่เป็น ปรมัตถบารมี เราจะเห็นได้ว่าการบำเพ็ญกุศลแต่ละวาระที่นี่ก็ดี ที่วัดท่าซุงก็ดี หรือไปที่อื่นก็ดี ถ้าไปทำบุญร่วมกันก็ไม่ต้องประกาศเรียกว่าจงมาทำบุญ ทุกคนไปถึงต่างคนก็ต่างทำด้วยความตั้งใจจริง ถ้าจะกล่าวโดยศรัทธา อย่างนี้เรียกว่า อสังสาธิกศรัทธา เพราะว่าศรัทธามี ๒ อย่าง คือ สังสาธิกศรัทธา อย่างหนึ่ง กับ อสังสาธิกศรัทธา อย่างหนึ่ง


    สังสาธิกศรัทธา ต้องชักชวน ต้องแนะนำ ต้องเรียกจึงจะทำ ดีไม่ดีเรียกแล้วเรียกอีก นั่งบิดไปบิดมายังไม่ค่อยจะทำเลย

    อสังสาธิกศรัทธา ไม่ต้องเรียก ทำกันด้วยความเต็มใจและว่องไว


    ศรัทธาทั้ง ๒ ประการนี้บ่งชัดถึงบารมีของบุคคลว่า บุคคลใดถ้าบารมีไม่ถึงปรมัตถบารมี ก็มีศรัทธาเป็น สังสาธิกศรัทธา คือทำบุญทำทานยาก ถึงแม้จะทำก็ทำด้วยความเนือยๆ ไม่กระฉับกระเฉง และผู้ที่มีบารมีเต็มเป็นปรมัตถบารมีเรียกว่า อสังสาธิกศรัทธา เช่นคณะของเราทั้งหมดที่ปรากฏมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งปัจจุบันนี้ จะเห็นได้ว่า เป็นศรัทธาที่เป็น อสังสาธิกศรัทธา..."


    ".....ทีนี้ความดีที่ทำที่หลวงน้าบอกเมื่อกี้นี้ว่า ตั้งใจสอนบรรดาท่านพุทธบริษัทโดยบรรลุมรรคผลเร็ว อันนี้จริง การป่วยคราวนี้เพราะเรื่องนี้เป็นเหตุ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงสั่งทำตำราใหม่ หนังสือเล่มใหม่นี่จะเป็นหนังสือที่มีความรู้สึกว่า พระโสดาบันกับสกิทาคามีนี่เบามาก ท่านบอกสอนตามความจริง ไอ้ตำราที่เขียนขึ้นมามันก็เขียนจริงๆ แต่มันไม่ค่อยจะตรงความจริง อันนี้เป็นตำราของพระพุทธเจ้าเอง เพราะถ้าทุกคนถ้าอ่านไปหน้า ๒-๓ หน้าเข้าใจ ก็ไม่ต้องอ่านต่อไปถ้าสามารถทำได้ แต่บางคนที่บารมีอ่อนไปหน่อยหนึ่งก็ต้องอ่านหน้าต่อไปจึงขึ้นคำอธิบาย แต่ถึงอย่างไรก็ตามไม่เกินวิสัยของเราเหล่าพุทธบริษัท และท่านก็แนะนำด้านเสียง เสียงก็ต้องจำกัด ต้องบันทึกกันใหม่อีก พอจะเริ่มทำงานมันก็เล่นงานทางท้องก่อน ห้ามขี้ พอเริ่มขี้ได้ก็ ห้ามเยี่ยว ตอนห้ามเยี่ยวนี่น่ารักมาก พอเยี่ยวได้อีก ๒-๓ วันจะมา มันห้ามขี้อีก เพิ่งมาไล่ขี้เมื่อคืนนี้ ถ้าไม่ไล่ วันนี้ไม่ไหว


    ไอ้โรคนี้มันมาจากไหน ?


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2007
  3. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,173
    [​IMG]



    "วันหนึ่งนอนอยู่ประมาณสัก ๔ ทุ่มเศษๆ อาการทางกายเครียดหนัก การป่วยคราวนี้เครียดหนักจริงๆ ถึง ๔ ครั้ง ก็คิดว่ามันจะทรงตัวไหวหรือไม่ไหว ไอ้เรื่องจะหนีไปอยู่บ้านใหม่เป็นของไม่ยาก แต่งานมีอยู่จึงไม่ตัดสินใจไปทีเดียว ขอไปพักชั่วคราว มันเครียดจัดก็ขึ้นไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านบอกดูร่างกาย ท่านสั่งท้าวมหาราชทั้ง ๔ พระองค์ มาที่ร่างกาย ทั้ง ๔ ท่านก็พยายามถอนพิษไข้สามารถทรงตัวได้ เมื่อคุยกับท่านใกล้ๆ จะมานี่ฉันก็รำคาญในใจ ว่ามันจะบาปชาติไหนกันแน่ ใช้ยถากรรมมุตาญาณดูก็ไม่เห็นว่าไปทำอะไรไว้ชาติไหนถึงป่วยแบบนี้ ก็นึกในใจ เครียดก็ช่างมันเดี๋ยวไปคุยกับพระพุทธเจ้าดีกว่า พอขยับออกจากตัวเห็นท้าวมหาราชทั้ง ๔ องค์นั่งอยู่ข้างหน้า ก็เลยคุยกับ ท่านท้าวเวสสุวัณ ถามว่า

    "การป่วยคราวนี้มันบาปชาติไหน ทำอะไรไว้เมื่อไหร่ ฉันใช้ยถากรรมมุตาญาณดูแล้วไม่เห็น ใช่ว่าจิตฟั่นเฟือนสมาธิเสีย นั่นไม่ใช่ อารมณ์สบาย"

    ท่านท้าวมหาราช มีท้าวเวสสุวัณเป็นหัวหน้าบอกว่า

    "มันไม่ใช่บาปที่ท่านทำ มันเป็นกฎอันหนึ่งที่พระพุทธเจ้าสั่งให้ท่านทำตำราง่ายที่สุด และมรรคผลเบื้องต้น ๒ ประการ การจะเข้าใจได้ง่ายมาก คนจะบรรลุมาก

    (ถ้าถามว่าเบื้องต้นได้ เบื้องปลายเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร นั่นไม่ต้องห่วง ถ้าวันไหนจะตายบุคคลนั้นจะเป็นอรหันต์วันนั้นและนิพพานวันนั้น)

    "และประการที่ ๒ เสียงที่จะพึงออกมาก็เป็นการสกัดการทำบาปของคน เป็นเสียงง่ายๆ"

    ท่านบอกว่า "เหตุนี้แหละที่กิเลสมารจะต้องเข้ามาขัดขวาง ทำลายท่านให้ยับยั้ง เมื่อกิเลสมารเข้ามาแล้ว ไอ้กิเลสมารมันทำไม่ได้เพราะ

    ๑. ราคะ ความรัก ไม่มีทาง
    ๒. โลภะ ความโลภ ไม่มีทาง
    ๓. โทสะ ความโกรธ คิดจะเข่นฆ่าใครมันก็ไม่สามารถที่จะทำได้
    ๔. โมหะ ความหลง ติดนั่นติดนี่มันก็ไม่มีโอกาส

    มันก็ทำได้อย่างเดียว คือ ทำลายร่างกาย เมื่อกิเลสมารเข้ามาสวมร่างกายเราก็เรียกว่า ขันธมาร ป่วยนั่นป่วยนี่ มันจะยับยั้งท่าน ท่านจะได้ไม่สามารถบันทึกเสียงได้ หรือเขียนหนังสือได้ พอจะเขียนหนังสือทีไรมันตัดทางเขียน พอจะพูดทีไรมันตัดทางพูดด้วยเสมหะ"

    เมื่อท่านท้าวเวสสุวัณพูดแบบนี้ พระพุทธเจ้าก็เสด็จ ท่านบอกว่า "หนังสือน่ะเขียนไม่ครบ ก่อนที่ฉันจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ อาการเป็นอย่างนี้"

    ท่านก็เลยทำภาพของท่านจริงๆ รูปร่างในสมัยนั้นให้ปรากฏ และก็สถานที่ก็ปรากฏชัด มีต้นหมากรากไม้มีอะไรบ้างก็เห็นชัด อาการป่วยของท่านก็คล้ายคลึงกับที่เป็นอยู่ปัจจุบัน เสมหะก็หนัก ถ่ายก็ไม่ค่อยจะออก ขี้ออกแต่เยี่ยวไม่ออก แล้วก็อาเจียน เป็นหนักจริงๆ อยู่ ๘ วัน มันเครียดหนัก ท่านบอกว่า

    "ฉันก็ตัดสินใจว่า ขณะใดที่ลมปราณคือลมหายใจยังมีอยู่ ฉันจะถอยไม่ได้ ตั้งใจแล้ว เมื่อตัดสินใจแบบนั้นจริงๆ ไอ้กิเลสมารนั่นก็ถอยไป ร่างกายฉันก็ดีขึ้น ดีขึ้นประมาณไม่ถึง ๑๐ วันดี ก็เป็นวันบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ"

    นั่นเรื่องพระพุทธเจ้าท่านมาทำให้ดู แล้วท่านก็บอกว่า

    "เธอก็มีสภาพเช่นเดียวกับฉัน คือ เธอปรารถนาพุทธภูมิ ถึงแม้จะลาพุทธภูมิแล้ว เวลานี้ทำงานเพื่อพุทธภูมิ กำลังแนะนำลูกหลานให้ห้ำหั่นกิเลสชนิดง่ายๆ คือ กิเลสจะตายเร็ว เขาก็ต้องเล่นงานเธอ"

    ท่านถามว่า "เธอท้อใจไหม ?"

    ก็เลยกราบทูลท่านบอกว่า "คำว่าท้อใจน่ะไม่มี เพราะจิตมันสู้มาตั้งแต่เด็ก ขึ้นชื่อว่าอุปสรรคนี่สู้มานาน คำว่าถอยหลังนี่ไม่มีมาตั้งแต่เด็ก"

    ท่านบอกว่า "ไม่เป็นไร เพราะฉะนั้นงานนี้ต้องทำได้"

    ก็เลยวิตกกังวลในงานที่จะมานี่ ก็เลยถามท่านว่า

    "ไปกรุงเทพฯ นี่จะไหวไหมครับ มันจังเดินโซซัดโซเซ ยังเซอยู่ จะไปไหนก็ตามทหารกับพระนี่ต้องเข้าประคองกลัวล้ม จะขึ้นกุฏิพระก็ต้องประคอง ๒ ข้าง คือเดินคู่ไปกลัวจะหล่นบันได"

    ท่านบอกว่า "มาได้ ฉันจะควบคุมเธอ ทั้ง ๔ องค์ เวลานี้ก็คุมอยู่"

    ฉะนั้นก็ขอบรรดาทุกคนที่มีความหวังดีตั้งใจคิดให้ฉันอยู่นานๆ ก็รวมความว่า ความตายนี่ขึ้นอยู่กับพระพุทธเจ้าองค์เดียว เพราะว่าอายุขัยนี่มันเลยมานานแล้ว เมื่อปี ๒๓ ร่างกายดีสมบูรณ์แบบไม่เป็นอะไรเลย ตอนเช้าก็ลงไปจากชั้น ๒ หิ้วกระเป๋าหวังจะไปทำงาน กระเป๋าเอกสารมันก็หนัก พอลงไปที่ตึกที่ทำงานปรากฏว่าอยากจะไปเข้าส้วม พอเข้าไปนั่งที่โถส้วมปั๊บ มันมืดตึ้ม ไม่เห็นอะไรเลย ใจหลุดลอยขึ้นไปข้างบน ขึ้นไปที่ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ และ พระจุฬามณี ถ้าตายจริงที่นั่นจะต้องมีพิธีกรรม ต้องเห็นพระ เห็นเทวดา เห็นพรหมชัด แต่ไม่เห็น ก็เลยพุ่งไปนิพพาน พอถึงนิพพาน พระพุทธเจ้าบอก "ลงเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวเขาจะห่วงร่างกาย" ก็ลงมา ลงมาแล้วลืมตายังมองไม่เห็นอะไรเลย มืดจริงๆ สักครู่หนึ่งก็ลืมตาขึ้นมา นี่มันอยู่ที่ไหนกันแน่ รวมความว่าอีตอนหน้ามืดมันจะเวียนหัวอยู่ในส้วม ถ้าตายตอนนั้นจะสวยมาก ก็เป็นอันว่า พอลืมตาขึ้นมามีความรู้สึก ก็ได้ยินเสียงพระพุทธเจ้าตรัสว่า "เธอจงคิดว่าเริ่มต้นเกิดใหม่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป" เล่นแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว นี่เกิดมาแล้วกี่ปีก็เป็นอย่างนี้นะ



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2007
  4. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,173
    [​IMG]


    "ก็รวมความว่า การตายทุกคนห่วงว่าจะตายเร็วหรือไม่เร็วนั้นไม่ต้องห่วง เพราะท่านที่ห่วงอยู่คือพระพุทธเจ้า แล้วก็พวกที่นั่งๆ อยู่นี่ คนที่มีความดีเต็มพอสมควรก็จะตายตามอายุข้ยไม่ได้เหมือนกัน จะถูกถ่วงเหมือนกันจนกว่างานของท่านจะสมบูรณ์แบบ นี่ทุกคนไม่ต้องวิตกกังวลเรื่องความตาย เรื่องตายนี่เราต้องตายกันแน่ แต่จะตายเวลาไหน เมื่อไร เป็นเรื่องของมันไม่ต้องกังวล ให้กังวลอย่างเดียวว่า กิเลสตัวไหนมันจะเหลือบ้าง ต้องทำลายมัน

    วิธีทำลาย อย่าทำลายแบบยาก ถ้าทำลายแบบยากไม่ใช่วิสัยของพวกเรา ก็มีบางคณะที่เขาต้องทำลายแบบยาก เพราะคนพวกนั้นเขาทำบุญแบบยากๆ มาตั้งแต่ต้น คณะของเราเรื่องบุญเรื่องทานตั้งแต่อดีตมาไม่เคยทำแบบยาก ทำแบบง่ายๆ ตัดสินใจทันทีทันใดทุกชาติ มีอะไรเกิดขึ้นก็ปั๊บไม่ต้องตรองกันมาก เรื่องความดีฉันทำแน่ มากหรือน้อยฉันทำทันทีทันใด ในเมื่อบุญบารมีเราสร้างมาแบบนี้ การบรรลุมรรคผลจะปฏิบัติแบบยากไม่ได้ ถ้าปฏิบัติแบบยากจะมีความกลุ้มและจะไม่เกิดผล ต้องทำแบบง่ายๆ นี่พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้นะ

    ฉะนั้น ท่านจึงหาแบบง่ายๆ มาให้ และก็คิดว่าก่อนตายนี่ก็คงเขียนได้ ถ้าตายแล้วคงไม่เขียน เพราะมือใช้ไม่ได้ ใช่ไหม..."



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2007
  5. freespirit

    freespirit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +274
    วิถีทางของลพ.ฤาษีฯ น่าสนใจมากเลย ขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่นำเรื่องดี ๆ แบบนี้มาเผยแพร่ มีข้อมูลต่อมั้ยคะ จะติดตามอ่านค่ะ

    โมทนา สาธุ
     
  6. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,173
    หากสนใจอ่านข้อมูลเพิ่มเติม โดยเฉพาะเรื่องวิธีการทำลายกิเลส ลองเข้าไปอ่านสังโยชน์ ๑๐ ตามลิงค์ข้างล่างนี้สิครับ อาจจะไม่ละเอียดนัก แต่ก็พอเป็นแนวทางการปฏิบัติได้ครับ ส่วนรายละเอียดมากกว่านี้ คงต้องหาอ่านจากหนังสือ "สังโยชน์ ๑๐" ครับ

    http://www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=153


    .
     
  7. นายจั๊บ

    นายจั๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +1,109
    โมทนาครับคุณณัฐพัชร และยินดีกับดุษฎีบัณฑิตด้วยครับ ผมก็รับปริญญาวันเดียวกับพี่ล่ะ ผมครุศาสตร์บัณฑิตครับ ว่าจะไปขอถ่ายรูปด้วยแต่วันนั้นคนเยอะมากจริงๆครับ
     
  8. ดาราจักร

    ดาราจักร ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,707
    ค่าพลัง:
    +10,091
    อนุโมทนา สาธุ

    จะนำสิ่งดีๆ เหล่านี้ไปปฏิบัติ ให้ดีที่สุดครับ
     
  9. ahantharik

    ahantharik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,596
    ค่าพลัง:
    +6,346
    ถ้าตัดกิเลิสได้บาง เลิกคิดปรุงแต่งขึ้นเอง มีศีล 5-8 ชีวิตก็สามารถไปนิพพานทางใจ ครั้งแรกของประตูนิพพานทางวิญญาณ อนุโมทนาครับ
     
  10. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    ร่วม [​IMG] อนุโมทนาบุญด้วยครับ.^./|\.^. [​IMG]
     
  11. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ...................................................................................

    1. ขอน้อมโมทนา คุณTamsak ที่ตั้งจิต ตั้งใจ ทำเวลาอันอาจที่จะสูญเสียไป มาก่อร่าง สร้างให้เกิดเป็นเวลาของ ปัญญาธรรม และการบำเพ็ญเพียร ใฝ่ในธรรม ก็ต้องใช้ความศรัทธา ความตั้งใจในปัญญา และความวิริยะ อันเป็นบุญ เป็นอานิสงส์ แก่ตนเอง และท่านผู้ศรัทธา เป็นอย่างยิ่ง

    2. การที่ผู้คนทั่วไป มักนิยมพูดว่า "สายโน้น.. สายนี้.. สายเหนือ.. สายอีสาน.. สายใต้.." อย่างนี้ ไม่น่าที่จะถูกต้องนัก....

    องค์หลวงพ่อฯ ท่านได้เคยกล่าวแนะนำ ในลักษณะที่ว่า....
    ไม่ว่าสายไหน ๆ ต่างก็เคารพบูชา และมีพระพุทธเจ้า พระองค์เดียวกัน....
    เพียงจะแตกต่างกัน ก็ตรงที่ เคยเกิดมาเป็นญาติ เป็นพี่น้อง พ่อแม่ ลูกหลาน และเคยได้ทำบุญร่วมกันไว้ ที่เรียกกันว่า.. เคยเนื่องกันมาตั้งแต่อดีต....
    อย่างนี้ เมื่อเกิดมาพบกันในชาติปัจจุบัน ก็จะเลื่อมใส ศรัทธาแก่กัน....
    พูดอย่างไร ก็เข้าใจได้ง่าย สอนสั่ง กันได้ง่าย....
    แต่ถ้าหากไม่เนื่อง ต่อกัน ก็จะไม่เลื่อมใส ศรัทธา ฟังการแนะนำแล้ว ถึงจะง่ายอย่างไร ก็จะไม่เข้าใจ....

    เรื่องนี้ มีตัวอย่าง แม้แต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่สำรวจอุปนิสัยสัตว์ ก็พบว่า ชาวประมง 500 คน จะสามารถบรรลุธรรม สามารถสอนสั่งได้
    พระพุทธองค์ ก็ทรงตรวจนิสสัยต่อไปว่า เคยเนื่องมากับท่าน หรือไม่ ปรากฎว่า ไม่เคยเนื่องกับท่านมาก่อน ท่านก็ไม่สอน(หากสอนก็จะไม่เชื่อ)
    พระองค์ท่าน จึงตรวจนิสสัยต่อไปว่า บุคคลเหล่านี้ เคยเนื่องกับใคร
    พระองค์ก็ทราบว่า เคยเนื่องกับพระสารีบุตรมาก่อนตั้งแต่อดีตชาติ จึงสั่งให้พระสารีบุตร ไปพบ และเกิดมีความศรัทธา สอนสั่ง แนะนำกันได้
    เมื่อพวกเขาทั้งหลาย มีความศรัทธาต่อพระสารีบุตรแล้ว พระองค์ จึงเสด็จไป
    เมื่อพระองค์เสด็จไป พระสารีบุตร ก็มาน้อมกราบถวายการต้อนรับ
    สาวกที่ศรัทธาในพระสารีบุตร ซึ่งไม่เคยเห็น ไม่รู้จักพระผู้มีพระภาคเจ้ามาก่อน
    แต่เมื่อเห็น พระอาจารย์ของตนที่เคารพ ยังน้อมคารวะ ต่อพระพุทธองค์
    พวกเขาทั้งหลาย จึงบังเกิดความศรัทธา น้อมเคารพบูชา ตามอาจารย์ของตน
    เมื่อบุคคลทั้งหลาย เกิดความศรัทธา แล้ว พระพุทธองค์ จึงได้ทรงตรัสสอน
    ทำให้ชาวประมงทั้งหลาย สามารถบรรลุธรรม ในระดับต่าง ด้วยกันทั้งสิ้น

    3. การแนะนำธรรม การสอนธรรม ของครูบาอาจารย์ของพวกเราทั้งหลาย ก็เช่นกัน ก็จะเป็นไปตามความเนื่องกัน ความศรัทธาแก่กัน และรวมถึงวิธีการปฏิบัติอันเนิ่นนานมาตั้งแต่อดีต จะมาเป็นเกณฑ์ เป็นข้อกำหนด ในการบรรลุธรรมของพวกเรา นั่นเอง

    ดังนั้น ตัวเราเอง พึงสำรวจ พึงพิจารณาจิตของตัวเราเองว่า....

    เมื่อเราพบคำสอนของครูบาอาจารย์ ท่านใด แล้ว เกิดความศรัทธา
    ก็ขอโมทนา ขอให้ท่านตั้งใจฝึก ตั้งใจปฏิบัติ ตามคำสอน คำแนะนำของท่าน
    ก็จะเป็นช่องทางที่ตรง อันเป็นประโยชน์ ต่อปฏิปทาของตัวเราเอง

    ..................................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2007
  12. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ข้อที่สำคัญ

    เมื่อพบคำแนะนำ คำสอนสั่ง ของคณาจารย์อื่น ๆ ที่เราไม่น้อมศรัทธา ก็โปรดเข้าใจว่า นั่นเป็นเพราะว่า เราคงไม่ได้เนื่องกับท่านนั้น ๆ เท่านั้น จึงไม่พึงที่จะปรามาส ไม่พึงจาบจ้วง ล่วงเกิน ด้วยมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม ด้วยประการทั้งปวง

    เพราะว่า คำสอนสั่งของคณุบาอาจารย์ คณาจารย์ทั้งหลาย ที่เป็นสัมมาทิฐิ
    (ขอเน้นว่า สัมมาทิฐิ และ เป็นผู้มีความกตัญญู รู้คุณ ไม่ตีเสมอครูบาอาจารย์ ไม่เอาตัวเองยกให้เด่น เพื่อให้ผู้อื่นชื่นชมตัวเองว่า เก่งเสมอ หรือเด่น ดีกว่า ครูบาอาจารย์ อันเป็นโลกธรรม 8 และเนรคุณ เป็นผู้ไม่รู้คุณ)

    ท่านที่เป็นสัมมาทิฐิ และมีความกตัญญู ย่อมมีความตรงต่อคำตรัสสอนของสมเด็จพระประทีปแก้วสัมมาสัมพุทธองค์ และครูบาอาจารย์สืบ ๆ กันมา ด้วยกันทั้งสิ้น

    หากเราไม่พิจารณาให้ดี ในข้อผิดพลาด คือ..

    1. ล่วงเกิน ปรามาส ต่อคณาจารย์ ที่มีคุณวิเศษอันเป็นอริยผล เราก็จะเสียเวลาไปมาก ต่อการเดินทางตรงสู่พระนิพพาน

    2. เคารพบูชา ศรัทธาต่อผู้ที่ไม่มีความกตัญญู รู้คุณ เนรคุณ แนะนำข้อธรรม สอนธรรม ที่ผิดต่อพระพุทธพจน์ และครูบาอาจารย์ แล้วเราก็น้อมศรัทธา เชื่อถือในข้อธรรมที่ผิด ๆ เราก็จะเสียเวลาต่อการเดินทางให้ตรงต่อพระนิพพาน ได้ยาก ได้เนิ่นนาน เช่นกัน

    แต่ทว่า.. พวกเราจะเข้าใจ หรือไม่เข้าใจ ต่อธรรมะ ได้ดวยความถูกต้อง นั้น ก็ต้องเป็นไปตามบุญราศี บารมี แห่งตนเอง ทั้งสิ้น

    ไม่มีใครที่ไหนเลย ที่จะสามารถสอนสั่งคนที่มีบารมีต้น บารมีกลาง(อุปบารมี) ให้สามารถตรงต่อพระนิพพาน ได้ ใช่ไหม

    แม้แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านก็ทรงไม่สอนสั่งต่อบุคคล
    อันเปรียบเสมือน บัวใต้ดิน ใต้โคลมตม..
    เพราะว่า พระพุทธองค์ ทรงมีพระมหาเมตา หากสอนสั่งพวกเขาเหล่านั้น
    พระองค์ ทราบว่า จะมีแต่ทำให้เขาตกสู่ทุคติภูมิ เร็วยิ่งขึ้น นานมากขึ้น
    เพราะว่า เขาจะไม่เชื่อ และอาจจะล่วงเกินคำตรัสสอน

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจะทรงตรัสสอน
    ก็ต่อเมื่อ มีผลต่อการบรรลุธรรม ในระดับต่าง ๆ เท่านั้นเอง ดังคำที่ว่า....

    "ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นธรรมะ.. ผู้ใดเห็นธรรมะ ผู้นั้นเห็นตถาคต.."

    ใครที่ยังไม่เห็นนรก เปรต อสุรกาย เทวดา พรหม พระนิพพาน....
    ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าจะมาตรัสสอนได้อีก....

    ก็ลองปฏบัติ ด้วยการพิจารณาในทุกข์ ให้เห็นทุกข์ที่แฝงในชีวิตประจำวัน....
    วางทุกข์ได้ วางอารมณ์ให้เป็นปกติ จากทุกข์ที่ก่อเกิดทั้งทางกาย และจิตใจ....
    ยอมรับได้ ในกฏแห่งกรรม....
    ธรรมะก่อเกิด เป็นปัญญาตัดกิเลส เป็นสมุเฉทปหาน ได้เมื่อใด....

    เมื่อนั้น ท่านก็จะได้กราบพบ พระประทีปแก้ว ในที่สุด.
    (สุขขวิปัสสโก แม้ไม่เห็น.. ก็ไม่คัดค้าน ต่อคำตรัสสอนอย่างเด็ดขาด)

    ...................................................................................<!-- / message --><!-- sig -->
     
  13. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,129
    สาธุ

    ตาย เมื่อไรไม่สนใจ ตัดกิเลสที่มีอยู่ให้ได้ก็เข้าใกล้ นิพพาน สาธุ ๆๆ
     
  14. Jazz99

    Jazz99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +225
    ขออนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ สาธุ ด้วยอีกคนจ้า และขอบคุณมาก ๆ กับความรู้ที่แบ่งปัน ขอให้เจริญ ๆ ด้วยธรรมมะ น๊ะจ๊ะ
     
  15. lomnow

    lomnow เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +353
    ขออนุโมทนาสาธุ ครับ
    ความนี้ ทำให้ผมเข้าใจ มากๆ ขึ้นครับ
     
  16. โตโต้

    โตโต้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +610
    ขอบคุณ และขออนุโมทนากับ คุณ Tamasak และลุงมหาหิน ที่ได้นำเรื่องราวดีๆ มาเล่าสู่กันฟัง
    และประทับใจกับคำสั่งสอนของลุงมหาหินมากเลย โดยเฉพาะ
     
  17. wonderisland

    wonderisland เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +8,009
    สาธุ ในพระธรรม คำสอน ที่หลวงพ่อได้มอบเป็นสมบัติอันล้ำค่าหาประมาณมิได้ ....
     
  18. nuaung

    nuaung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +478
    อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ อ่านแล้วดีมากเลยจะลองนำไปปฏิบัติค่ะ
     
  19. queenie

    queenie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +4,427
    ขอบคุณคุณตั้มค่ะ ที่ช่วยให้หูตาสว่างในยามที่มืดมน และคุณมหาหินก็สรุปได้ดีจริงๆเลยค่ะ เพราะไม่ว่า queenie จะไปอ่านไปฝึกที่ไหนแบบไหน สุดท้ายก็ต้องวิ่งกับมาหาหลักสูตรหลวงพ่อกับหลวงพี่เล็กทุกที ขอบพระคุณค่ะ ขออนุโมทนาอย่างยิ่งค่ะ
     
  20. dpongchai

    dpongchai Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +33
    อนุโมทนาครับ..
    แต่ได้อ่าน การอาพาธของหลวงพ่อฤๅษี ก็ทำให้นึกถึง การทำตำราปราบมาร ของวัดบางวัด..จำไม่ได้จริง ๆ แต่คุ้น ๆ เลยอยากถามต่อว่า ตกลงว่า "มาร กับพระพุทธเจ้าภาคดำ มีจริงไหมครับ..." เพราะไม่สามารถทำวิชาปราบมารได้สำเร็จ เนื่องจากมีมารมาขวาง..ใครพอจะทราบ รบกวนอธิบายหน่อยครับ..
     

แชร์หน้านี้

Loading...