ทำไมเทวดาจึงอยากเกิดมาเป็นมนุษย์

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย เปาชุนไหล, 9 มิถุนายน 2012.

  1. เปาชุนไหล

    เปาชุนไหล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +2,240
    ข้อเปรียบเทียบระหว่างฐานะของมนุษย์กับเทวดา


    ข้อ ควรพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องเทวดา ว่าโดยส่วนใหญ่ ก็เหมือนกับที่กล่าวแล้วในเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ เพราะคนมักเข้าไปเกี่ยวข้องกับเทวดาเพื่อผลในทางปฏิบัติ คือ หวังพึ่งและขออำนาจดลบันดาลต่างๆ เช่นเดียวกับที่หวังและขอจากอิทธิฤทธิ์ และเทวดาก็เป็นผู้มีฤทธิ์ หลักการทั่วไปที่บรรยายแล้วในเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ เฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่เกี่ยวกับคุณและโทษ จึงนำมาใช้กับเรื่องเทวดาได้ด้วย แต่ก็ยังมีเรื่องที่ควรทราบเพิ่มเติมบางอย่าง ดังนี้

    ว่าโดยภาวะพื้นฐาน เทวดาทุกประเภท ตลอดจนถึงพรหมที่สูงสุด ล้วนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย เวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏเช่นเดียวกับมนุษย์ทั้งหลาย และส่วนใหญ่ก็เป็นปุถุชนยังมีกิเลสคล้ายมนุษย์ แม้ว่าจะมีเทพที่เป็นอริยบุคคลบ้าง ส่วนมากก็เป็นอริยะมาก่อนตั้งแต่ครั้งยังเป็นมนุษย์ แม้ว่าเมื่อเปรียบเทียบโดยเฉลี่ยตามลำดับฐานะ เทวดาจะเป็นผู้มีคุณธรรมสูงกว่า แต่ก็อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน จนพูดรวมๆ ไปได้ว่า เป็นระดับสุคติด้วยกัน

    ในแง่ความได้เปรียบเสียเปรียบ บางอย่างเทวดาดีกว่า แต่บางอย่างมนุษย์ก็ดีกว่า เช่น ท่านเปรียบเทียบระหว่างมนุษย์ชาวชมพูทวีปกับเทพชั้นดาวดึงส์ว่า เทพชั้นดาวดึงส์เหนือกว่ามนุษย์ ๓ อย่างคือ มีอายุทิพย์ ผิวพรรณทิพย์ และความสุขทิพย์ แต่มนุษย์ชาวชมพูทวีปก็เหนือกว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ ๓ ด้าน คือ กล้าหาญกว่า มีสติดีกว่า และมีการประพฤติพรหมจรรย์ (หมายถึงการปฏิบัติตามอริยมรรค)

    แม้ว่าตามปกติพวกมนุษย์จะถือว่าเทวดาสูงกว่าพวกตน และพากันอยากไปเกิดในสวรรค์ แต่สำหรับพวกเทวดา เขาถือกันว่า การเกิดเป็นมนุษย์เป็นสุคติของพวกเขา ดังพุทธพจน์ยืนยันว่า "ภิกษุทั้งหลาย ความเป็นมนุษย์นี่แล นับว่าเป็นการไปสุคติของเทพทั้งหลาย"

    เมื่อเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งจะจุติ เพื่อนเทพชาวสวรรค์จะพากันอวยพรว่า ให้ไปสุคติคือไปเกิดในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย เพราะโลกมนุษย์เป็นถิ่นที่มีโอกาสเลือกประกอบกุศลกรรมทำความดีงามต่างๆ และประพฤติปฏิบัติธรรมได้อย่างเต็มที่ (ความชั่วหรืออกุศลกรรมต่างๆ ก็เลือกทำได้เต็มที่เช่นเดียวกัน) การเกิดเป็นเทวดาที่มีอายุยืนยาว ท่านถือว่าเป็นการเสียหรือพลาดโอกาสอย่างหนึ่ง ในการที่จะได้ประพฤติพรหมจรรย์ (ปฏิบัติตามอริยมรรค) เรียกอย่างสามัญว่าเป็นโชคไม่ดี พวกชาวสวรรค์มีแต่ความสุข ชวนให้เกิดความประมาทมัวเมา สติไม่มั่น ส่วนโลกมนุษย์มีสุขบ้างทุกข์บ้างเคล้าระคน มีประสบการณ์หลากหลายเป็นบทเรียนได้มาก เมื่อรู้จักกำหนดก็ทำให้ได้เรียนรู้ ช่วยให้สติเจริญว่องไวทำงานได้ดี เกื้อกูลแก่การฝึกตนและการที่จะก้าวหน้าในอริยธรรม

    เมื่อพิจารณาในแง่ระดับแห่งคุณธรรมให้ละเอียดลงไปอีก จะเห็นว่า มนุษยภูมินั้นอยู่กลางระหว่างเทวภูมิหรือสวรรค์ กับอบายภูมิมีนรกเป็นต้น พวกอบายเช่นนรกนั้น เป็นแดนของคนบาปด้อยคุณธรรม แม้ชาวอบายบางส่วนจะจัดได้ว่าเป็นคนดี แต่ก็ตกไปอยู่ในนั้น เพราะความชั่วบางอย่างให้ผลถ่วงดึงลงไป ส่วนสวรรค์ก็เป็นแดนของคนดีค่อนข้างมีคุณธรรม แม้ว่าชาวสวรรค์บางส่วนจะเป็นคนชั่วแต่ก็ได้ขึ้นไปอยู่ในแดนนั้น เพราะมีความดีบางอย่างประทุแรงช่วยผลักดันหรือฉุดขึ้นไป สวนโลกมนุษย์ที่อยู่ระหว่างกลาง ก็เป็นประดุจชุมทางที่ผ่านหมุนเวียนกันไปมาทั้งของชาวสวรรค์และชาวอบาย เป็นแหล่งที่สัตว์โลกทุกพวกทุกชนิดมาทำ มาหากรรม เป็นที่คนชั่วมาสร้างตัวให้เป็นคนดีเตรียมไปสวรรค์ หรือคนดีมาสุมตัวให้เป็นคนชั่วเตรียมไปนรก ตลอดจนเป็นที่ผู้รู้จะมาสะสางตัวให้เป็นคนอิสระ เลิกทำมาหากรรม เปลี่ยนเป็นผู้หว่านธรรม ลอยพ้นเหนือการเดินทางหมุนเวียนต่อไป

    พวกอบายมีหลายชั้น ชั้นเดียวกันก็มีบาปธรรมใกล้เคียงกัน พวกเทพมีหลายชั้นซอยละเอียดยิ่งกว่าอบาย มีคุณธรรมพื้นฐานประณีตลดหลั่นกันไปตามลำดับ ชั้นเดียวกันก็มีคุณธรรมใกล้เคียงกัน ส่วนโลกมนุษย์แดนเดียวนี้ เป็นที่รวมของบาปธรรมและคุณธรรมทุกอย่างทุกระดับ มีคนชั่วซึ่งมีบาปธรรมหยาบหนาเหมือนดังชาวนรกชั้นต่ำสุด และมีคนดีซึ่งมีคุณธรรมประณีตเท่ากับพรหมผู้สูงสุด ตลอดจนท่านผู้พ้นแล้วจากภพภูมิทั้งหลาย ซึ่งแม้แต่เหล่าเทพมารพรหมก็เคารพบูชา ภาวะเช่นนี้นับได้ว่าเป็นลักษณะพิเศษของโลกมนุษย์ที่เป็นวิสัยกว้างสุดแห่งบาปอกุศลและคุณธรรม เพราะเป็นที่ทำมาหากรรม และเป็นที่หว่านธรรม

    เท่าที่กล่าวมานี้ จะเห็นข้อเปรียบเทียบระหว่างมนุษย์กับเทวดาได้ว่า เมื่อเทียบโดยคุณธรรมและความสามารถทั่วไปแล้ว ทั้งมนุษย์และเทวดาต่างก็มิได้เท่าเทียมหรือใกล้เคียงกัน เป็นระดับเดียวกัน แต่มนุษย์มีวิสัยแห่งการสร้างเสริมปรับปรุงมากกว่า ข้อแตกต่างสำคัญจึงอยู่ที่โอกาสกล่าวคือมนุษย์มีโอกาสมากกว่าในการที่จะพัฒนาคุณธรรม และความสามารถของตน ถ้ามองในแง่แข่งขัน (ทางธรรมไม่สนับสนุนให้มอง) ก็ว่า ตามปกติธรรมดาถ้าอยู่กันเฉย ๆ เทวดาทั่วไปสูงกว่า ดีกว่าเก่งกว่ามนุษย์ แต่ถ้ามนุษย์ปรับปรุงตัวเมื่อไร ก็จะขึ้นไปเทียมเท่า หรือแม้แต่สูงกว่า ดีกว่า เก่งกว่าเทวดา


    โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

    ที่มา ทำไมเทวดาจึงอยากเกิดมาเป็นมนุษย์
     
  2. Khonthan

    Khonthan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +56
    ผมอ่านในหนังสือ เห็นว่าเทวดาก็มีอายุ ต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์ครับ
     
  3. tawansongsaeng

    tawansongsaeng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +423
    เป็นเทวดาก็บรรลุธรรมได้เช่นกันครับ แต่ยากกว่ามนุษย์เพราะเสพแต่ความสุข
    แต่เมื่อได้ฟังธรรมก็จะระลึกถึงสัญญาเก่าๆ ครั้งที่เคยเกิดมาเป็นมนุษย์ทำให้บรรลุธรรมได้
     
  4. Unlimited Indy

    Unlimited Indy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,228
    ค่าพลัง:
    +803
    ขอบคุณสำหรับบทความนี้ครับ
     
  5. Nat Simon

    Nat Simon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2010
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +172
    Thank you for the good info
     
  6. Violent Daughter

    Violent Daughter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +305
    มุสาวาทา เวรมณี สิกฺขาปทํสมาทิยามิ


    ไม่มีเทวดาแม้แต่คนเดียวในสวรรค์อยากมาเกิดเป็นมนุษย์
    ถ้าเทวดาอยากมาเกิดเป็นมนุษย์ใจจะขาดจริง
    คุณบอกผมมาสิว่าทําไมเทวดาถึงไปครํ่าครวญกับพระพุทธเจ้าจนพระพุทธเจ้าจึงมอบคาถาอุณหิสสะวิชะยะให้เทวดา?



    มนุษย์ไม่มีวันสูงส่งกว่าเทวดาความแตกต่างมันต่างกันมากราวฟ้ากับดิน
     
  7. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,117
    ค่าพลัง:
    +2,136
    เทวดาก็มี รัก โลภ โกรธ หลง นะครับ บางองค์ก็ยังติดสบายอยู่
    แต่บางองค์ ไม่ยินดีในโลกสวรรค์แล้ว ต้องการหลุดพ้น พวกนี้จะอยากมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อทำกิจให้เสร็จครับ

    อย่าลืมว่า พระโพธิสัตว์บารมีเต็มแล้ว ที่ต่อคิวกันยาวเหยียด จะมาเป็นพระพุทธเจ้า ล้วนเป็นเทวดากันทั้งหมดนะครับ หากไม่ปรารถนาจะลงมาเกิด แล้วจะช่วยสัตว์โลกได้อย่างไร?
     
  8. ละโลก

    ละโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +654
    เจตนาคือสิ่งนำพาทุกท่านไม่ว่าใคร
    อนุโมทนา สาธุ กับทุกท่านครับ
     
  9. nunatara

    nunatara Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +63
    ทำไมเทวดาจึงอยากเกิดเป็นมนุษย์

    สาธุ...สาธุ...สาธุ...
     
  10. nunatara

    nunatara Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +63
    ทำไมเทวดาจึงอยากเกิดเป็นมนุษย์

    สาธุ...สาธุ...สาธุ...:cool:
     
  11. โดนจิต

    โดนจิต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +7
    บางครั้งสับสน

    ผมอ่านในหลายๆกะทู้ ในพลังจิต คิดว่าดีได้มีความรู้ บางครั้งก็เชื่อสนิท พอมีคนแสดงความคิดเห็น ก็เกิดลังเลเชื่อดีหรือจะไม่เชื่อดี งง (สุดท้ายมีไหมครับใครที่มีณาน บารมี แบบที่มีคนเคารพ หรือ น่าเชื่อถือ ออกมาเพื่อแสดงความคิดเห็น ในทุกๆกะทู้ เพื่อความเข้าใจ จะได้ ไม่คลาดเคลื่อน) ไม่ไช่เฉพาะกะทู้นี้เท่านั้น นะครับ ขอออกความคิดเห็น นิดนะครับ จากคนชอบอ่าน ที่ผมกล่าวมาผิดถูก ไม่ถูกใจใคร ขออภัยด้วยครับ ขออโหสิกรรมด้วยครับ ปล เข้ามาในเวปพระพุทธศาสนา ก็เพื่อศึกษา และ อยากเข้าใจ เข้าถึง
     
  12. มารีจัง

    มารีจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2007
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +351
    เห็นด้วยอย่างยิ่ง100%แต่เราจะรู้อย่างไรว่าท่านใด ณาน บารมี ของจริง หรืออยู่ที่บุญกุศลของเรา
    อนุโมทนา ปล เข้ามาในเวปพระพุทธศาสนา ก็เพื่อศึกษา และ อยากเข้าใจ เข้าถึง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2012
  13. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,370
    ขอบคุณครับ
     
  14. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    723
    ค่าพลัง:
    +782
    ประมาณว่ามีเทวดาและอสูรบางกลุ่มที่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ส่วนจะอยากเกิดหรือเปล่านั้นก็แล้วแต่เหตุและปัจจัย คิดง่ายๆเหมือนคนทำงานน่ะ มันก็มีทั้งที่ชอบและก็ไม่ชอบในอาชีพที่ตนเองทำ ไม่มีกรรมก็ไม่มีกิจ ไม่มีกิจก็ไม่มีกรรม เมื่อหมดกิจก็หมดกรรม ส่วนพวกที่เลือกที่จะลงมาเกิดเองได้ส่วนมากจะไม่ธรรมดาก็ปล่อยท่านไปเถอะครับ ส่วนมากว่าที่... ทั้งนั้น ตอนนี้ทุกคนมีโอกาสนิพพานเท่ากันหมด เพียงแต่จะหาทางเจอหรือเปล่าก็เท่านั้นเอง
     
  15. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ที่เทวดาได้เสวยทิพยสมบัตินั้น เกิดจากบุญ ทาน ศีล สมาธิ ในครั้งที่ยังเป็นมนุษย์นะครับ

    ลองอ่านดูนะครับ

    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดเทวดาผู้จะจุติจากเทพนิกาย เมื่อนั้นนิมิต ๕ ประการ<wbr>ย่อม<wbr>ปรากฏ<wbr>แก่เทวดานั้น คือ
    ดอกไม้ย่อมเหี่ยวแห้ง ๑
    ผ้าทรงย่อมเศร้าหมอง ๑
    เหงื่อย่อมไหลออกจากรักแร้ ๑
    ผิวพรรณเศร้าหมองย่อมปรากฏที่กาย ๑
    ย่อมไม่ยินดีในทิพยะอาสน์ของตน ๑
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวดาทั้งหลายทราบว่า เทพบุตรนี้จะต้องเคลื่อนจากเทพนิกาย ย่อมพลอยยินดีกะเทพบุตรนั้นด้วยถ้อยคำ ๓ อย่างว่า
    แน่ะท่านผู้เจริญ ขอท่านจากเทวโลกนี้ไปสู่สุคติ ๑
    ครั้นได้ไปสู่สุคติแล้ว ขอท่านจงได้ลาภที่ท่านได้ดีแล้ว ๑
    ครั้นได้ลาภที่ท่านได้ดีแล้วขอจงเป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยดี ๑”
    เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ ภิกษุรูปหนึ่งทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นส่วนแห่งการไปสู่สุคติของเทวดาทั้งหลาย อะไรเป็นส่วนแห่งลาภที่เทวดาทั้งหลายได้ดีแล้ว และอะไรเป็นส่วนการตั้งอยู่ด้วยดีของเทวดาทั้งหลาย พระเจ้าข้า”
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเป็นมนุษย์แล เป็นส่วนแห่งการไปสุคติของเทวดาทั้งหลาย
    เทวดาครั้นเกิดเป็นมนุษย์แล้วย่อมได้ศรัทธาในธรรมวินัยที่พระ ตถาคตประกาศแล้วนี้แล เป็นส่วนแห่งลาภที่เทวดาทั้งหลายได้ดีแล้ว
    ก็ศรัทธาของเทวดาทั้งหลายเป็นคุณชาติตั้งลง มีมูลรากเกิดแล้ว ประดิษฐานมั่นคง อันสมณะพราหมณ์ เทวดา มาร พรหมหรือใครๆ ในโลกพึงนำไปไม่ได้
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นส่วนแห่งการตั้งอยู่ด้วยดีของเทวดาทั้งหลาย”

    ครั้นพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ได้ตรัสสรุปเป็นคาถาว่า
    “เมื่อใดเทวดาจะต้องจุติจากเทพนิกายเพราะความสิ้นอายุ เสียง ๓ อย่างของเทวดาทั้งหลายผู้พลอยยินดี ย่อมเปล่งออกไปว่า แน่ะท่านผู้เจริญ ท่านจากโลกนี้ไปแล้วจงถึงสุคติ จงถึงความเป็นสหายแห่งมนุษย์ทั้งหลายเถิด ท่านเป็นมนุษย์แล้วจงได้ศรัทธาอย่างยิ่งในพระสัทธรรม ศรัทธาของท่านนั้นพึงเป็นคุณชาติตั้งลงมั่น มีมูลเกิดแล้ว มั่นคงในพระสัทธรรมที่พระตถาคตประกาศดีแล้ว อันใครๆ พึงนำไปไม่ได้ตลอดชีวิต ท่านจงละกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต และอย่ากระทำอกุศลกรรมอย่างอื่นที่ประกอบด้วยโทษ กระทำกุศลด้วยกายด้วยวาจาให้มาก กระทำกุศลด้วยใจหาประมาณมิได้ หาอุปธิมิได้ แต่นั้นท่านจงกระทำบุญอันให้เกิดอุปธิสมบัตินั้นให้มากด้วยทาย แล้วยังสัตว์แม้เหล่าอื่นให้ตั้งอยู่ในพระสัทธรรมในพรหมจรรย์
    เมื่อใดเทวดาพึงรู้แจ้งซึ่งเทวดาผู้จะจุติ เมื่อนั้นย่อมพลอยยินดีความอนุเคราะห์ว่า แน่ะเทวดา ท่านจงมาบ่อยๆ”

    ทั้งหมดนี้คือข้อความในพระสูตรนี้ และจากข้อความในจวมานสูตรนี้ ท่านผู้ถามก็จะเห็นว่า เมื่อเทวดาทั้งหลายเกิดนิมิต ๕ ประการอันแสดงว่าจะต้องจุติ
    <wbr>จาก<wbr>เทว<wbr>โลก<wbr>ดัง นี้แล้ว เทวดาทั้งหลายอื่นๆ ย่อมอวยพรให้เขาได้เกิดในมนุษย์ ซึ่งเขาถือว่ามนุษย์ภูมิเป็นสุคติภูมิของเทวดา เมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้วขอให้ได้ศรัทธาใน<wbr>พระ<wbr>สัท<wbr>ธรรม คือ<wbr>ขอ<wbr>ให้<wbr>ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ฟังแล้วมีศรัทธาปฏิบัติตาม<wbr>พระ<wbr>ธรรม<wbr>คำ<wbr>สอน<wbr>นั้น เมื่อปฏิบัติตาม<wbr>พระ<wbr>ธรรม<wbr>คำ สอนนั้นแล้ว ขอให้ดำรงมั่นคงในพระธรรมนั้น นั่นคือขอให้ได้บรรลุมรรคผล คือโสดาปัตติผล เทวดาทั้งหลายหวังจะให้เทวดาผู้จะจุตินั้นสำเร็จเป็นพระโสดาบันแล้วกลับไป เสวยสุขอยู่ในเทวโลกอีก จึงกล่าวว่า ดูก่อนเทวดา ขอท่านจงกลับมาสู่เทพนิกายนี้บ่อยๆ คือ ขอให้สำเร็จเป็นโสดาบันแล้วกลับมาในหมู่เทพอีกนั่นเอง
    ความจริงการเกิดเป็นมนุษย์นั้นมีโอกาสทำบุญทำกุศลได้ทุกอย่าง แม้การที่จะบรรลุเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าก็ต้องเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้





     
  16. ketsila

    ketsila Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +88
    เทวดาตนนั้น เมื่อหมดบุญจะตกลงสู่อบายภูมิเพราะเศษกรรมที่มีอยู่จึงไม่อยากจุติ ไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์หรอก จิตเศร้าหมองเพราะกลัวอบายภูมิเลยไปหาพระพุทธเจ้า
    สมัยหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จขึ้นไปจำพรรษาโปรดพุทธมารดาตลอด ๓ เดือน ในดาวดึงสเทวโลก ประทับบนพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ใต้ต้นปาริฉัตร อันเป็นที่ประทับนั่งของสมเด็จอมรินทราธิราช จอมเทพสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทรงแสดงเทศนาสัตตปากรณ์ คือ พระอภิธรรมเจ็ดคำภีร์ แก่ทวยเทพเทวดา มีพระสิริมหามายาเทพธิดา พุทธมารดา เป็นประธาน<O:p></O:p>
    ครั้งนั้น มีเทพบุตรตนหนึ่งนามว่า “สุปติฏฐิตะ” เทพบุตรตนนี้ได้เสวยทิพยสมบัติอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แวดล้อมด้วยนางฟ้ามากมายเป็นบริวาร นางฟ้าเทพอัปสรเหล่านั้น บำรุง บำเรอ ขับร้อง ทำเพลงกล่อม สุปติฏฐิตะเทพบุตร เป็นนิจกาล<O:p></O:p>
    ถามว่าเทพบุตรตนนี้ ทำอะไรไว้ จึงได้เกิดเป็นเทพบุตร? <O:p></O:p>
    ตอบว่า ในครั้งก่อนเมื่อเป็นมนุษย์ในชาติสุดท้าย เทพองค์นี้ได้บริจาคทานอันเป็นวัตถุต่างๆ แก่ผู้มีพระคุณ และสมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เมื่ออาสันนะจิตใกล้มรณกรรมได้ระลึกถึง กุศลผลทานที่ได้ทำ ครั้นสิ้นชีวิตจึงได้อุบัติเป็นเทพบุตรเสวยสวรรค์สมบัติ มาช้านาน<O:p></O:p>
    ธรรมดาไม่ว่าเทวดา หรือมนุษย์ ที่มีความเป็นอยู่สบาย มักหลงละเลิงลืมแก่ ลืมตาย ไม่คิดถึงอนิจจังของสังขาร สุปติฏฐิตะเทพบุตรตนนี้ก็เช่นกัน หารู้ไม่ว่า ในอีก ๗ วันจะถึงอายุขัย คือ จะจุติ(ตาย) จากเทวดึงส์เทวสถาน<O:p></O:p>
    มีเทพบุตรตนหนึ่งนามว่า “อากาสจารี” เทพบุตรตนนี้หยั่งรู้ซึ่งสังขาร แห่งเทพยดาทั้งหลาย คือ รู้ว่าเทพยดาตนใดจะสิ้นอายุขัย หรือจุติ ครั้งนั้นอากาสจารีเทพบุตร เห็นสุปติฏฐิตะ หลงมัวเมา อยู่ในทิพยสมบัติ โดยไม่ทราบว่า ตัวจะจุติภายใน ๗ วันพลัดพรากจากสวรรค์สมบัติ และนางอัปสรแสนสวย<O:p></O:p>
    ด้วยความรักเพื่อน จึงไปสู่วิมานของสุปติฏฐิตะเทพบุตร และบอกความนั้นตลอดบอกว่า เมื่อจุติจากสวรรค์แล้ว จะไปบังเกิดในอเวจีมหานรกถึงหมื่นปี พ้นจากอเวจีมหานรกแล้ว จะไปบังเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน คือ เป็นรุ้ง เป็นแร้ง เป็นเต่า เป็นปู เป็นหมู เป็นหมา เป็นเป็ด เป็นไก่ เป็นวัว เป็นควาย เป็นแพะ ครั้นพ้นจากกำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้ว จะไปเกิดเป็นตนแต่ไม่เหมือนคนทั้งปวง จะวิปริตผิดมนุษย์ ตั้งแต่คลอดจากครรภ์มารดา เช่นหูหนวก-ตาบอดเป็นต้น<O:p></O:p>
    สุปติฏฐิตะเทพบุตร ไดฟังอากาสจารีเทพบุตรบอกกล่าวดังนั้นแล้ว ก็ตระหนกตกใจกลัวเป็นอย่างยิ่ง ประดุจมฤชาติ เห็นพยัคฆ์อยู่ตรงหน้า มีกายสั่นไหวทุรนทุรายด้วยมรณภัย จึงคิดว่า “ใครหนอจะเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้า” และบัดนี้บุพนิมิตแห่งการจุติ ๕ ประการ ของเทพยดาก็ปรากฎแล้วคือ:-<O:p></O:p>
    ๑. ดอกไม้ทิพย์เครื่องประดับองค์เหี่ยวแห้งโรยรา<O:p></O:p>
    ๒. ผ้านุ่งผ้าห่มเศร้าหมอง<O:p></O:p>
    ๓. เหงื่อไคลไหลชโลมกาย<O:p></O:p>
    ๔. ที่นั่งที่นอนร้อนยิ่งนัก<O:p></O:p>
    ๕. ร่างกายเหี่ยวแห้งทรุดโทรมคร่ำคร่า<O:p></O:p>
    สุปติฏฐิตะเทพบุตร มีจิตสับสนตึงเครียดระส่ำระส่าย จึงคลาไคลไปสู่สำนักสมเด็จอมรินทราธิราช จึงกราบทูลเรื่องนี้ให้ทรงทราบ และขอพระราชทานให้ช่วยเหลืออย่าได้ตกอเวจีมหานรกเป็นต้น<O:p></O:p>
    สักโก ตัง สุตฺวา เอวมาหะ สมเด็จอมรินทราธิราช(ท้าวสักกะหรือพระอินทร์) ได้สดับถ้อยคำของสุปติฏฐิตะเทพบุตรจนตลอดแล้ว ตรัสว่า “ดูกรท่านผู้มีเกียรติ เรานี้แม้เป็นจอมเทพแห่งสวรรค์ชั้นนี้ เป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์โลกก็จริงแล แต่จะห้ามกันผลแห่งบาปกรรม ความชั่วช้าสามานย์ ของมนุษย์ เทวดาไม่ให้ตกนรก ไม่ให้เป็นเปรต และสัตว์เดรัจฉานหาได้ไม่ ยกเว้นแต่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระเมตตา มหากรุณาธิคุณ แก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ดูกรสุปติฏฐิตะเทพบุตร ท่านจงไปจัดแจงแต่งเครื่องสักการะบูชา ธูปเทียนดอกไม้ของหอม ให้เหมาะสม เราจะพาท่านไปเฝ้า พระบรมศาสดา ผู้มหากรุณาธิคุณ ซึ่งประทับอยู่ ณ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ใต้ต้นปาริฉัตร ที่ว่าราชการของเรา แล้วกราบทูลมูลเหตุแด่พระองค์ เห็นว่าน่าจะได้เป็นที่พึ่ง อันประเสริฐ”<O:p></O:p>
    เมื่อสมเด็จอมรินทราธิราช นำพาสุปติฏฐิตะเทพบุตร เข้าเฝ้าพระบรมศาสดาเฉพาะพระพักตร์ และกราบทูลความดังกล่าวมาข้างต้น เพื่อชี้แจงแสดงถึงบุพกรรมอันเป็นบาปอกุศล ของสุปติฏฐิตะเทพบุตร ว่าได้ทำบาปกรรมอะไรไว้ในปางก่อนจึงต้องจุติจากสวรรค์ แล้วตกลงนรกเป็นต้น<O:p></O:p>

    <!-- google_ad_section_end -->สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้สดับเทวบัญชาของสมเด็จอมรินทราธิราช ทูลอาราธนา จึงตรัสพระสัทธรรมเทศนา แสดงบุพกรรมของสุปติฏฐิตะเทพบุตรดังนี้:-><O:p></O:p>
    ๑. เทพบุตรตนนี้ในกาลอันไกล ได้เกิดเป็นคน ประกอบอาชีพเป็นพรานล่าเนื้อ ตั้งหน้าฆ่าสัตว์ ไม่เลือกชนิด มาเลี้ยงชีวิตครอบครัว ทำลายสัตว์ไร้ความปราณี ผลบาปกรรมนี้แหละจะซัดส่งจากสวรรค์ให้ลงไปทนทุกขเวทนาสาหัสในอเวจีมหานรก สิ้นกาลประมาณหมื่นปี พ้นจากอเวจีมหานรกแล้ว จะเกิดเป็นรุ้ง เป็นแร้ง หมักหมมด้วยคาวเลือด และน้ำเน่าจากศพสัตว์<O:p></O:p>
    ๒. สุปติฏฐิตะเทพบุตรตนนี้ เมื่อพ้นจากชีวิตรุ้ง แร้งแล้ว จะเกิดเป็นเต่า เป็นปูนั้น เพราะชาติก่อน เกิดเป็นมนุษย์ ทำบาปเลี้ยงชีพด้วยแสวงหาไข่เต่ามาขายเลี้ยงชีพ ผลกรรมนี้ต้องชดใช้<O:p></O:p>
    ๓. ข้อที่ว่า สุปติฏฐิตะเทพบุตร จะไปเกิดเป็นหมูนั้นเพราะแต่ปางก่อนเกิดเป็นเศรษฐีมีทรัพย์มาก แต่เต็มไปด้วยความตระหนี่ครอบง่ำในสันดานไม่ทำบุญสุนทรทาน แก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้าอนาถา ถ้าพระภิกษุมายืนบาตร ถึงหน้าบ้านเรือน ข้าวสุกสักหนึ่งทัพพี ก็ไม่ได้ตักบาตร ซ้ำบางที่ก็บริภาสด่าทอผู้ทรงศีลโดยอาการต่างๆ ซ้ำร้ายยังโกงภาษีที่พึงเสียแก่รัฐบาล เป็นคนเห็นแก่ตัวจัด ด้วยอกุศลกรรมนี้ จึงทำให้เกิดเป็นหมู อยู่ในที่สกปรกให้เขาฆ่า และมีอายุสั้นชาติแล้วชาติเล่า<O:p></O:p>
    ๔. พ้นจากกำเนิดหมูแล้ว ไปเกิดเป็นหมา ด้วยเทพบุตรตนนี้ ครั้งเป็นมนุษย์ เมื่อหลายหมื่นปีก่อน เป็นคนอัชพาลสันดานหยาบ ลักเล็กขโมยใหญ่ งัดแงะนิสัยกระด้างขัดแข็ง เบียดเบียนสัตว์ติฉินนินทาว่าร้าย สมณชีพราหมณ์ผู้ทรงศีล อิจฉาริษยายุยงส่อเสียดเพื่อนบ้านให้แตกสามัคคี ไม่เคารพยำเกรงผู้เฒ่าผู้แก่ ลบหลู่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยบาปอกุศลกรรมนี้ จึงต้องไปบังเกิดเป็นหมาห้าร้อยชาติ<O:p></O:p>
    ๕. ครั้นพ้นจากชาติหมาแล้ว เทพบุตรตนนี้ไปบังเกิดเป็นมนุษย์เข็ญใจ แต่มีศรัทธา เที่ยวชักชวนชาวบ้านให้ไปฟังธรรมครั้นพระขึ้นธรรมาสน์กำลังแสดงธรรมชายผู้นี้หาฟังธรรมโดยควาเคารพไม่กลับชักชวน คนอื่นสนทนา ด้วยเรื่องต่างๆเสียงดังลั่นกลบเสียงที่แสดงธรรม ด้วยผลแห่งอกุศลกรรนี้ จึงส่งให้เทพบุตรตนนี้ต้องเกิดเป็นคนหูหนวก ๒ ชาติ<O:p></O:p>
    ๖. ครั้นเมื่อพ้นจากคนหูหนวกแล้ว ก็ไปบังเกิดเป็นคนตาบอดอีกหนึ่งชาติด้วย เหตุว่า เทพบุตรตนนี้เมื่อเป็นมนุษย์ในกาลก่อน เป็นคนมีฐานะทางเศรษกิจดีแต่เป็นคนลืมตน ชอบดูถูกดูหมิ่น คนที่มีทรัพย์น้อยกว่าตน ขาดความเคารพ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เห็นสมณชีพราหมณ์ ยาจกเข็ญใจ เหมือนไม่ใช่คน เช่นเมื่อพระไปบิณฑบาตรหน้าเรือนตน ก็กระทำเหมือนไม่เห็น จะให้ก็ไม่พูด จะไม่ให้ก็ไม่พูด เมินเฉยเสีย ด้วยอกุศลกรรมนี้ สุปติฏฐิตะเทพบุตร ต้องชดใช้หนี้กรรม เป็นคนตาบอดอีกหนึ่งชาติ<O:p></O:p>
    ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเทศนาบุพกรรมเก่าของสุปติฏฐิตะเทพบุตรจบลง ท้าวมัฆวานอมรินทราธิราช จึงกราบทูลถามสิ่งอันพอเป็นที่พึ่ง แก่สุปติฏฐิตะเทพบุตรมีหรือไม่<O:p></O:p>
    สมเด็จพระบรมศาสดา จึงตรัสพระคาถา “อุณหิสสวิชัย” ให้ทวยเทพผู้ประสงค์จะเจริญอายุ และด้วยพระคาถานี้ ที่สุปติฏฐิตะเทพบุตรได้สดับ และปฏิบัติตน ทั้งที่รู้ว่า ๗ วันจะจุติ ก็สามารถมีชนมายุยืนอยู่ในสวรรค์ ได้อีกหนึ่งพุทธันดร<O:p></O:p>
    ท่านสาธุชนทั้งหลาย ฟังแล้ว จงทำอุตสาหะ จดจำ ท่องบ่นสาธยายกันเถิด จะทำให้เกิดมีอายุวัฒนาถาวร ต้องไม่ถึงแก่ความตายด้วยอกาลมรณะ คือ ยังไม่ถึงตายในเวลาอันไม่สมควร<O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2012
  17. เกศภัทร์

    เกศภัทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    906
    ค่าพลัง:
    +732
    ๗. อรรคฐาน เป็นที่ตั้งแห่งมรรคนิพพาน ( จาก .. มุตโตทัย โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต )
    อคฺคํ ฐานํ มนุสฺเสสุ มคฺคํ สตฺตวิสุทธิยา
    ฐานะอันเลิศมีอยู่ในมนุษย์ ฐานะอันดีเลิศนั้นเป็นทางดำเนินไปเพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ โดยอธิบายว่าเราได้รับมรดกมาแล้วจาก นโม คือ บิดามารดา กล่าวคือตัวของเรานี้แล อันได้กำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นชาติสูงสุด เป็นผู้เลิศตั้งอยู่ในฐานะอันเลิศด้วยดีคือมีกายสมบัติ วจีสมบัติ แลมโนสมบัติบริบูรณ์ จะสร้างสมเอาสมบัติภายนอก คือ ทรัพย์สินเงินทองอย่างไรก็ได้ จะสร้างสมเอาสมบัติภายในคือมรรคผลนิพพานธรรมวิเศษก็ได้ พระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระธรรมวินัย ก็ทรงบัญญัติแก่มนุษย์เรานี้เอง มิได้ทรงบัญญัติแก่ ช้าง มา โค กระบือ ฯลฯ ที่ไหนเลย มนุษย์นี้เองจะเป็นผู้ปฏิบัติถึงซึ่งความบริสุทธิ์ได้ ฉะนั้นจึงไม่ควรน้อยเนื้อต่ำใจว่า ตนมีบุญวาสนาน้อย เพราะมนุษย์ทำได้ เมื่อไม่มี ทำให้มีได้ เมื่อมีแล้วทำให้ยิ่งได้สมด้วยเทศนานัยอันมาในเวสสันดรชาดาว่า ทานํ เทติ สีลํ รกฺขติ ภาวนํ ภาเวตฺวา เอกจฺโจ สคฺคํ คจฺฉติ เอกจฺโจ โมกฺขํ คจฺฉติ นิสฺสํสยํ เมื่อได้ทำกองการกุศล คือ ให้ทานรักษาศีลเจริญภาวนาตามคำสอนของพระบรมศาสดาจารย์เจ้าแล้ว บางพวกทำน้อยก็ต้องไปสู่สวรรค์ บางพวกทำมากและขยันจริงพร้อมทั้งวาสนาบารมีแต่หนหลังประกอบกัน ก็สามารถเข้าสู่พระนิพพานโดยไม่ต้องสงสัยเลย พวกสัตว์ดิรัจฉานท่านมิได้กล่าวว่าเลิศ เพราะจะมาทำเหมือนพวกมนุษย์ไม่ได้ จึงสมกับคำว่ามนุษย์นี้ตั้งอยู่ในฐานะอันเลิศด้วยดีสามารถนำตนเข้าสู่มรรคผล เข้าสู่พระนิพพานอันบริสุทธิ์ได้แล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มิถุนายน 2012
  18. ketsila

    ketsila Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +88

    กาลามสูตร คือ พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล (เรียกอีกอย่างว่า เกสปุตติยสูตร หรือเกสปุตตสูตร ก็มี<SUP id=cite_ref-0 class=reference>[1]</SUP>) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่
    1. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
    2. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
    3. อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
    4. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
    5. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
    6. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
    7. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
    8. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
    9. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
    10. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
    ปัจจุบันแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผลไม่หลงเชื่องมงาย ในทำนองเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เมื่อ 2500 ปีก่อน ได้รับการบรรจุเป็นวิชาบังคับว่าด้วยการสร้างทักษะการคิดหรือที่เรียกว่า "การคิดเชิงวิจารณ์" (Critical thinking) ไว้ในกระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยของประเทศพัฒนาแล้ว<SUP id=cite_ref-1 class=reference>[2]</SUP>
     
  19. Noppharat

    Noppharat Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +40
    สนุกมากกับเรื่องเล่าเทวดา ทำให้นึกถึงคนที่ติดต่อกับเทวดาได้
     
  20. J47

    J47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +3,405
    ผมว่ารายละเอียด(ข้อความ) ที่ท่าน จขกท. นำมาโพสนั้น มากพอและอ่านเข้าใจง่ายดีอยู่แล้วนะครับ ลองตั้งสติอ่านใหม่ดูนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...