ทำไมเทวดาจึงอยากเกิดมาเป็นมนุษย์

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย เปาชุนไหล, 9 มิถุนายน 2012.

  1. mongkolsak

    mongkolsak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +191
    อนุโมทนา สาธุ

    บทความช่วยเตือนให้มีสติดีมาก

    ขอกราบท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ ด้วยครับ
     
  2. Santajitto

    Santajitto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2010
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +455
    อนุโมทนาสาธุ
    ขอบคุณเจ้าของกระทู้ครับ ที่นำสาระความรู้นี้มาแบ่งปัน
     
  3. พูน

    พูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +2,479
    เกิดมาทำไม แล้วจะไปไหน คุณเลือกเอาเอง
    ธรรมะที่ท่านสอนไปอยู่ได้ทุกที่ ตั้งแต่โลกันตนรก จนถึงนิพพาน
    ไม่ต้องเปรียบเทียบใครดีกว่าใคร ถามตัวคุณเองว่าอ่านจบแล้วจะไปไหน ลงมือไปเสียตั้งแต่วันนี้
     
  4. tawansongsaeng

    tawansongsaeng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +423
    ถูกต้องแล้วครับ ไม่ค่อยมีเทวดาตนไหนอยากมาเกิดเป็นมนุษย์หรอก เพราะเมื่อมาเกิดแล้วเขาจะลืมอดีตทุกอย่าง เขาต้องมาเรียนรู้ผิดรู้ถูกใหม่ โชคไม่ดีก็ไปหลงมัวเมาในกิเลสทำชั่วก็จะไม่ได้กลับไปเป็นเทวดาเหมือนเดิมครับ

    แล้วเทวดาส่วนมากเมื่อจุติ (ตาย) แล้วเขาก็ไม่ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ แต่มักไปลงนรกเพื่อชดใช้กรรม การได้เกิดไปเป็นมนุษย์จึงชื่อว่าได้ไปสู่สุคติครับ

    แต่สำหรับเทวดาบางตนนั้นท่านอธิษฐานลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อสร้างบารมีต่อ นั่นเป็นอีกจำพวกหนึ่งแยกออกไป เพราะมีเป็นส่วนน้อย
     
  5. Violent Daughter

    Violent Daughter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +305
    การอยู่กับคนเป็นหมู่คณะก็สมควรเห็นตามหมู่?
    งั้นถ้าหมู่คณะของคุณเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของซ่อง
    พระพุทธเจ้าเป็นราชายาเสพติด
    ทุกคนบนโลกก็ต้องเชื่อตามพวกคุณใช่ไหม?
    รู้จักประชาธิปไตยไหม?
    คุณเลือกพรรค ก ผมเลือกพรรค ข มันเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล
    ไม่ได้หมายความว่ามี10คน 6คนเลือกพรรค ก แล้วผมต้องบูชาพรรค ก ผมมีสิทธิ์ของผม

    มุสาวาทา เวรมณี สิกฺขาปทํสมาทิยามิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2012
  6. Tonkub

    Tonkub สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +3
    อย่ามัวโต้แย้งกันเลย ไปศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าแท้ๆก่อน
    อย่ามัวแต่เอาคำสอนของเหล่าสาวกมาอ้างกันเลย
    พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ดีแล้ว ไม่เป็นอื่นอีก
    สิ่งที่ท่านทั้งหลายสงสัย คำของพระพุทธเจ้าสามารถไขข้อสงสัยของท่านได้กระจ่างดังสิ่งทำคว่ำอยู่ให้หงายได้นั้นแล
     
  7. ป๋วยเอ็ง

    ป๋วยเอ็ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +201
    อนุโมทนา สาธุค่ะ

    เทวดาบางองค์อยากเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น...เป็นไปได้
    แต่มนุษย์บางคนกลับอยากตายให้พ้นเพื่อให้เกิดเป็นเทวดานั้น...เป็นไปไม่ได้
     
  8. pt5001

    pt5001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2010
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +100
    ขอบคุณที่นำบทความดีดีมาให้อ่านคะ
     
  9. Pawanrat-jin

    Pawanrat-jin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,052
    ค่าพลัง:
    +3,939
    ขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้ค่ะ ที่นำบทความนี้มาให้อ่าน เสริมปัญญา

    ท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต) ท่านเป็นปราชญ์ในพุทธศาสนา

    ทุกข้อความของท่านน่าเชื่อถือ และน่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง
     
  10. Violent Daughter

    Violent Daughter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +305

    งั้นควรอ่านอันนี้ด้วยนะ




    เทวดาตนนั้น เมื่อหมดบุญจะตกลงสู่อบายภูมิเพราะเศษกรรมที่มีอยู่จึงไม่อยากจุติ ไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์หรอก จิตเศร้าหมองเพราะกลัวอบายภูมิเลยไปหาพระพุทธเจ้า
    สมัย หนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จขึ้นไปจำพรรษาโปรดพุทธมารดาตลอด ๓ เดือน ในดาวดึงสเทวโลก ประทับบนพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ใต้ต้นปาริฉัตร อันเป็นที่ประทับนั่งของสมเด็จอมรินทราธิราช จอมเทพสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทรงแสดงเทศนาสัตตปากรณ์ คือ พระอภิธรรมเจ็ดคำภีร์ แก่ทวยเทพเทวดา มีพระสิริมหามายาเทพธิดา พุทธมารดา เป็นประธาน>>
    ครั้ง นั้น มีเทพบุตรตนหนึ่งนามว่า “สุปติฏฐิตะ” เทพบุตรตนนี้ได้เสวยทิพยสมบัติอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แวดล้อมด้วยนางฟ้ามากมายเป็นบริวาร นางฟ้าเทพอัปสรเหล่านั้น บำรุง บำเรอ ขับร้อง ทำเพลงกล่อม สุปติฏฐิตะเทพบุตร เป็นนิจกาล>>
    ถามว่าเทพบุตรตนนี้ ทำอะไรไว้ จึงได้เกิดเป็นเทพบุตร? >>
    ตอบ ว่า ในครั้งก่อนเมื่อเป็นมนุษย์ในชาติสุดท้าย เทพองค์นี้ได้บริจาคทานอันเป็นวัตถุต่างๆ แก่ผู้มีพระคุณ และสมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เมื่ออาสันนะจิตใกล้มรณกรรมได้ระลึกถึง กุศลผลทานที่ได้ทำ ครั้นสิ้นชีวิตจึงได้อุบัติเป็นเทพบุตรเสวยสวรรค์สมบัติ มาช้านาน>>
    ธรรมดา ไม่ว่าเทวดา หรือมนุษย์ ที่มีความเป็นอยู่สบาย มักหลงละเลิงลืมแก่ ลืมตาย ไม่คิดถึงอนิจจังของสังขาร สุปติฏฐิตะเทพบุตรตนนี้ก็เช่นกัน หารู้ไม่ว่า ในอีก ๗ วันจะถึงอายุขัย คือ จะจุติ(ตาย) จากเทวดึงส์เทวสถาน>>
    มีเทพบุตรตนหนึ่งนามว่า “อากาสจารี” เทพบุตรตนนี้หยั่งรู้ซึ่งสังขาร แห่งเทพยดาทั้งหลาย คือ รู้ว่าเทพยดาตนใดจะสิ้นอายุขัย หรือจุติ ครั้งนั้นอากาสจารีเทพบุตร เห็นสุปติฏฐิตะ หลงมัวเมา อยู่ในทิพยสมบัติ โดยไม่ทราบว่า ตัวจะจุติภายใน ๗ วันพลัดพรากจากสวรรค์สมบัติ และนางอัปสรแสนสวย>>
    ด้วย ความรักเพื่อน จึงไปสู่วิมานของสุปติฏฐิตะเทพบุตร และบอกความนั้นตลอดบอกว่า เมื่อจุติจากสวรรค์แล้ว จะไปบังเกิดในอเวจีมหานรกถึงหมื่นปี พ้นจากอเวจีมหานรกแล้ว จะไปบังเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน คือ เป็นรุ้ง เป็นแร้ง เป็นเต่า เป็นปู เป็นหมู เป็นหมา เป็นเป็ด เป็นไก่ เป็นวัว เป็นควาย เป็นแพะ ครั้นพ้นจากกำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้ว จะไปเกิดเป็นตนแต่ไม่เหมือนคนทั้งปวง จะวิปริตผิดมนุษย์ ตั้งแต่คลอดจากครรภ์มารดา เช่นหูหนวก-ตาบอดเป็นต้น>>
    สุ ปติฏฐิตะเทพบุตร ไดฟังอากาสจารีเทพบุตรบอกกล่าวดังนั้นแล้ว ก็ตระหนกตกใจกลัวเป็นอย่างยิ่ง ประดุจมฤชาติ เห็นพยัคฆ์อยู่ตรงหน้า มีกายสั่นไหวทุรนทุรายด้วยมรณภัย จึงคิดว่า “ใครหนอจะเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้า” และบัดนี้บุพนิมิตแห่งการจุติ ๕ ประการ ของเทพยดาก็ปรากฎแล้วคือ:->>
    ๑. ดอกไม้ทิพย์เครื่องประดับองค์เหี่ยวแห้งโรยรา>>
    ๒. ผ้านุ่งผ้าห่มเศร้าหมอง>>
    ๓. เหงื่อไคลไหลชโลมกาย>>
    ๔. ที่นั่งที่นอนร้อนยิ่งนัก>>
    ๕. ร่างกายเหี่ยวแห้งทรุดโทรมคร่ำคร่า>>
    สุ ปติฏฐิตะเทพบุตร มีจิตสับสนตึงเครียดระส่ำระส่าย จึงคลาไคลไปสู่สำนักสมเด็จอมรินทราธิราช จึงกราบทูลเรื่องนี้ให้ทรงทราบ และขอพระราชทานให้ช่วยเหลืออย่าได้ตกอเวจีมหานรกเป็นต้น>>
    สักโก ตัง สุตฺวา เอวมาหะ สมเด็จอมรินทราธิราช(ท้าวสักกะหรือพระอินทร์) ได้สดับถ้อยคำของสุปติฏฐิตะเทพบุตรจนตลอดแล้ว ตรัสว่า “ดูกรท่านผู้มีเกียรติ เรานี้แม้เป็นจอมเทพแห่งสวรรค์ชั้นนี้ เป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์โลกก็จริงแล แต่จะห้ามกันผลแห่งบาปกรรม ความชั่วช้าสามานย์ ของมนุษย์ เทวดาไม่ให้ตกนรก ไม่ให้เป็นเปรต และสัตว์เดรัจฉานหาได้ไม่ ยกเว้นแต่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระเมตตา มหากรุณาธิคุณ แก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ดูกรสุปติฏฐิตะเทพบุตร ท่านจงไปจัดแจงแต่งเครื่องสักการะบูชา ธูปเทียนดอกไม้ของหอม ให้เหมาะสม เราจะพาท่านไปเฝ้า พระบรมศาสดา ผู้มหากรุณาธิคุณ ซึ่งประทับอยู่ ณ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ใต้ต้นปาริฉัตร ที่ว่าราชการของเรา แล้วกราบทูลมูลเหตุแด่พระองค์ เห็นว่าน่าจะได้เป็นที่พึ่ง อันประเสริฐ”>>
    เมื่อ สมเด็จอมรินทราธิราช นำพาสุปติฏฐิตะเทพบุตร เข้าเฝ้าพระบรมศาสดาเฉพาะพระพักตร์ และกราบทูลความดังกล่าวมาข้างต้น เพื่อชี้แจงแสดงถึงบุพกรรมอันเป็นบาปอกุศล ของสุปติฏฐิตะเทพบุตร ว่าได้ทำบาปกรรมอะไรไว้ในปางก่อนจึงต้องจุติจากสวรรค์ แล้วตกลงนรกเป็นต้น>>

    สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้สดับเทวบัญชาของสมเด็จอมรินทราธิราช ทูลอาราธนา จึงตรัสพระสัทธรรมเทศนา แสดงบุพกรรมของสุปติฏฐิตะเทพบุตรดังนี้:->>>
    ๑. เทพบุตร ตนนี้ในกาลอันไกล ได้เกิดเป็นคน ประกอบอาชีพเป็นพรานล่าเนื้อ ตั้งหน้าฆ่าสัตว์ ไม่เลือกชนิด มาเลี้ยงชีวิตครอบครัว ทำลายสัตว์ไร้ความปราณี ผลบาปกรรมนี้แหละจะซัดส่งจากสวรรค์ให้ลงไปทนทุกขเวทนาสาหัสในอเวจีมหานรก สิ้นกาลประมาณหมื่นปี พ้นจากอเวจีมหานรกแล้ว จะเกิดเป็นรุ้ง เป็นแร้ง หมักหมมด้วยคาวเลือด และน้ำเน่าจากศพสัตว์>>
    ๒. สุ ปติฏฐิตะเทพบุตรตนนี้ เมื่อพ้นจากชีวิตรุ้ง แร้งแล้ว จะเกิดเป็นเต่า เป็นปูนั้น เพราะชาติก่อน เกิดเป็นมนุษย์ ทำบาปเลี้ยงชีพด้วยแสวงหาไข่เต่ามาขายเลี้ยงชีพ ผลกรรมนี้ต้องชดใช้>>
    ๓. ข้อ ที่ว่า สุปติฏฐิตะเทพบุตร จะไปเกิดเป็นหมูนั้นเพราะแต่ปางก่อนเกิดเป็นเศรษฐีมีทรัพย์มาก แต่เต็มไปด้วยความตระหนี่ครอบง่ำในสันดานไม่ทำบุญสุนทรทาน แก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้าอนาถา ถ้าพระภิกษุมายืนบาตร ถึงหน้าบ้านเรือน ข้าวสุกสักหนึ่งทัพพี ก็ไม่ได้ตักบาตร ซ้ำบางที่ก็บริภาสด่าทอผู้ทรงศีลโดยอาการต่างๆ ซ้ำร้ายยังโกงภาษีที่พึงเสียแก่รัฐบาล เป็นคนเห็นแก่ตัวจัด ด้วยอกุศลกรรมนี้ จึงทำให้เกิดเป็นหมู อยู่ในที่สกปรกให้เขาฆ่า และมีอายุสั้นชาติแล้วชาติเล่า>>
    ๔. พ้น จากกำเนิดหมูแล้ว ไปเกิดเป็นหมา ด้วยเทพบุตรตนนี้ ครั้งเป็นมนุษย์ เมื่อหลายหมื่นปีก่อน เป็นคนอัชพาลสันดานหยาบ ลักเล็กขโมยใหญ่ งัดแงะนิสัยกระด้างขัดแข็ง เบียดเบียนสัตว์ติฉินนินทาว่าร้าย สมณชีพราหมณ์ผู้ทรงศีล อิจฉาริษยายุยงส่อเสียดเพื่อนบ้านให้แตกสามัคคี ไม่เคารพยำเกรงผู้เฒ่าผู้แก่ ลบหลู่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยบาปอกุศลกรรมนี้ จึงต้องไปบังเกิดเป็นหมาห้าร้อยชาติ>>
    ๕. ครั้น พ้นจากชาติหมาแล้ว เทพบุตรตนนี้ไปบังเกิดเป็นมนุษย์เข็ญใจ แต่มีศรัทธา เที่ยวชักชวนชาวบ้านให้ไปฟังธรรมครั้นพระขึ้นธรรมาสน์กำลังแสดงธรรมชายผู้ นี้หาฟังธรรมโดยควาเคารพไม่กลับชักชวน คนอื่นสนทนา ด้วยเรื่องต่างๆเสียงดังลั่นกลบเสียงที่แสดงธรรม ด้วยผลแห่งอกุศลกรรนี้ จึงส่งให้เทพบุตรตนนี้ต้องเกิดเป็นคนหูหนวก ๒ ชาติ>>
    ๖. ครั้น เมื่อพ้นจากคนหูหนวกแล้ว ก็ไปบังเกิดเป็นคนตาบอดอีกหนึ่งชาติด้วย เหตุว่า เทพบุตรตนนี้เมื่อเป็นมนุษย์ในกาลก่อน เป็นคนมีฐานะทางเศรษกิจดีแต่เป็นคนลืมตน ชอบดูถูกดูหมิ่น คนที่มีทรัพย์น้อยกว่าตน ขาดความเคารพ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เห็นสมณชีพราหมณ์ ยาจกเข็ญใจ เหมือนไม่ใช่คน เช่นเมื่อพระไปบิณฑบาตรหน้าเรือนตน ก็กระทำเหมือนไม่เห็น จะให้ก็ไม่พูด จะไม่ให้ก็ไม่พูด เมินเฉยเสีย ด้วยอกุศลกรรมนี้ สุปติฏฐิตะเทพบุตร ต้องชดใช้หนี้กรรม เป็นคนตาบอดอีกหนึ่งชาติ>>
    ครั้นพระ ผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเทศนาบุพกรรมเก่าของสุปติฏฐิตะเทพบุตรจบลง ท้าวมัฆวานอมรินทราธิราช จึงกราบทูลถามสิ่งอันพอเป็นที่พึ่ง แก่สุปติฏฐิตะเทพบุตรมีหรือไม่>>
    สมเด็จ พระบรมศาสดา จึงตรัสพระคาถา “อุณหิสสวิชัย” ให้ทวยเทพผู้ประสงค์จะเจริญอายุ และด้วยพระคาถานี้ ที่สุปติฏฐิตะเทพบุตรได้สดับ และปฏิบัติตน ทั้งที่รู้ว่า ๗ วันจะจุติ ก็สามารถมีชนมายุยืนอยู่ในสวรรค์ ได้อีกหนึ่งพุทธันดร>>
    ท่าน สาธุชนทั้งหลาย ฟังแล้ว จงทำอุตสาหะ จดจำ ท่องบ่นสาธยายกันเถิด จะทำให้เกิดมีอายุวัฒนาถาวร ต้องไม่ถึงแก่ความตายด้วยอกาลมรณะ คือ ยังไม่ถึงตายในเวลาอันไม่สมควร>>
     
  11. action_jai

    action_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2007
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +241
    เป็นมนุษย์...ก็ดี
    เป็นเทวดา...ก็ดี
    ไม่เป็นอะไร...ก็ยิ่งดี
     
  12. paislam

    paislam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +146
    เทวดาสามารถปฎิบัติธรรมได้มรรคผลเช่นกันครับ แต่ยากมาก

    ความสุขสบายที่ได้รับเป็นอุปสรรคโดยตรงต่อการเจริญกรรมฐาน

    การทำกรรมฐานจะเข้าสู่กระบวนการอริยสัจจ์ ซึ่งจิตเยี่ยงเทวดาจะทุรนทุรายครับ

    ทางที่ดีได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ ควรหมั่นเจริญพระกรรมฐานให้มากที่สุด

    เหมือนกับการสร้างเหตุให้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา และได้พบพระกรรมฐานอีก

    หากเกิดเป็นเทวดาก็สามารถทำกรรมฐานได้ครับ ด้วยเหตุที่สร้า้งไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2012
  13. SPIRIT-MY-HEART[^_^]

    SPIRIT-MY-HEART[^_^] สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +7
    คนในอยากเข้า คนนอกอยากออก:boo:
     
  14. ศิษย์ธรรมเทพ

    ศิษย์ธรรมเทพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +786
    เทวดานั้นเป็นภพภูมิที่ยังมีกิเลส มีตัณหา ราคะ อุปาทานอยู่ ท่านจึงยังต้องมาเกิด ทั้งที่หมดอายุขัยในภพภูมิหรือมาด้วยกิเลสก็มี ถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆ คุณเคยอยากทานอาหารอะไรที่ต้องไปไกลๆ ลำบาก แล้วต้องไปกินให้ได้ นั่นแหละกิเลสมันพาไป เทวดาที่พิสมัยโลกก็เลยต้องมาเกิดนั่นแหละ
     

แชร์หน้านี้

Loading...