เรื่องเด่น ทำไม่ดีกับพ่อแม่ และการสงเคราะห์ท่าน

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย NAMOBUDDHAYA, 15 สิงหาคม 2018.

  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,969
    39074860_2432849866755361_4318330724089331712_n.jpg

    ทำไม่ดีกับพ่อแม่ และการสงเคราะห์ท่าน

    ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นพ่อแม่ ก็หาโอกาสวันที่เหมาะสมอย่างวันพ่อ วันแม่ หรือวันปีใหม่ วันสงกรานต์ เอาดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมาท่าน หากเป็นวันธรรมดา ๆ โผล่ไปพรวดพราดไป ท่านอาจจะยันออกมา เพราะว่าท่านก็ไม่เคยชินกับพฤติกรรมของเรา เคยชินกับที่เป็นตรงกันข้าม เราก็หาวันที่เหมาะ แล้วก็เข้าไปเอ่ยปากขออโหสิกรรม ที่เคยล่วงเกินมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ รับรองได้..ไม่มีพ่อแม่คนไหนใจร้ายใจดำตัดลูกขาด ตัดแต่ปากทั้งนั้น

    ถึงเวลาพอท่านเอ่ยอโหสิกรรมให้ก็จบเลย เรื่องอโหสิกรรมถ้าไม่ใช่แบบพระอรหันต์คือ ทำดีจนพ้นไปเลย เป็นอโหสิกรรมโดยอัตโนมัติ ก็ต้องให้โจทก์จำเลยอยู่ต่อหน้า แล้วก็เอ่ยปากซึ่งกันและกัน กระแสกรรมจะขาดลง ไม่อย่างนั้นชาตินี้อย่าเผลอมีครอบครัว มีเมื่อไรเจอแน่

    หนังสือกระโถนข้างธรรมมาสน์ ฉบับที่ ๔๒ เดือน สิงหาคม ๒๕๕๐


    พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาเองเป็นทหาร อายุ ๒๔-๒๕ ปีแล้วยังนอนกลิ้งอยู่บนตักแม่อยู่เลย เพราะว่าคนแก่ไม่เคยเห็นลูกโต นอนไปแม่ก็บอกว่ายังเห็นตัวแดง ๆ ดิ้นกระแด่ว ๆ อยู่ ใครจะไปนึกว่าโตเร็วขนาดนี้

    สงเคราะห์ท่านตอนเป็นถือว่าเป็นบุญเป็นกุศลอย่างยิ่ง สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เราทำเพื่อพ่อเพื่อแม่ จะเป็นบุญทันตาในชาตินี้ อาตมาเห็นมาเยอะแล้ว ถ้าทำไม่ดีกับพ่อกับแม่ไว้ ตัวเองมีลูกเมื่อไรโดนคืนหลายเท่า เป็นเรื่องอัศจรรย์ ดังนั้น..อนันตริยกรรมคือกรรมอันหนักนั้น พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสว่ามี ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต และทำสังฆเภท

    เก็บตกงานทำบุญวันแม่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘

    หลวงพ่อบอกว่า "พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า อนุญาตให้พระภิกษุสามเณรเลี้ยงดูบิดามารดาได้ แต่การเลี้ยงดูบิดามารดานั้น มีคำอธิบายว่า ให้สงเคราะห์ด้วยปัจจัย ๔ ตามสมควร คำว่าตามสมควรก็คือ พอที่จะอยู่ได้โดยไม่ลำบากมากนัก แต่ว่าเท่าที่พบในปัจจุบันนั้น มีหลายท่านด้วยกันที่สงเคราะห์บิดามารดามากจนเกินเหตุ อย่างเช่นว่าสร้างบ้านให้ราคา ๒๐ ล้าน มอบรถเบนซ์ให้คนละคัน อันนั้นขอบอกไว้ว่าตีความที่พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ผิด

    อาตมาเองเวลาสงเคราะห์โยมแม่ก็มอบปัจจัยส่วนตัว (เงินที่โยมถวายมา แล้วระบุว่าเป็นส่วนตัว) ให้โยมแม่เดือนละสามพันบาท คาดว่าสามารถประทังชีวิตตัวเองได้ เป็นต้น แม้แต่การทำบุญให้แก่โยมพ่อโยมแม่ในวันนี้ ก็ตั้งใจใช้ปัจจัยส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับเงินสงฆ์ทำให้"

    เก็บตกงานวันแม่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๒
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. mrmos

    mrmos Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2016
    โพสต์:
    1,190
    ค่าพลัง:
    +1,095
    sa202.jpg
     
  3. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,969
    มงคลที่ ๑๑ "การบำรุงบิดามารดาให้เป็นสุข"
    มงคล ๓๘

    ต่อไปก็เป็นมงคลที่ ๑๑ พระบาลีว่า มาตาปิตุ อุปฏฺฐานํ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ พระพุทธเจ้าตรัสว่า การบำรุงบิดามารดาให้เป็นสุข ชื่อว่าเป็นอุดมมงคล นี่บาลีท่านกล่าวว่าบำรุงบิดามารดา แต่หากว่าเราบำรุงให้มีความทุกข์ละมันจะมีประโยชน์อะไร ก็เลยต่อท้ายอีกนิดว่าบำรุงบิดามารดาให้มีความสุข ถ้าทำให้ท่านมีความทุกข์เขาไม่เรียกบำรุง เขาเรียกทำลาย ตอนนี้ซิคนที่เป็นบิดามารดาคือเป็นพ่อเป็นแม่ นี่เคยฟังเขามา เข้าไปในกรุงเทพฯเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗ เขาว่ามีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งพูดว่าพ่อแม่ไม่สำคัญ ครูบาอาจารย์ไม่สำคัญ พระมหากษัตริย์ไม่สำคัญ เอ๊ะ แล้วเขาว่าใครสำคัญล่ะ นี่เขายังไม่เป็นพ่อคนแม่คนนะเขาพูด พอเขาเป็นพ่อคนแม่คนเข้าเถอะ พอเขารู้ว่าลูกของเขาพูดแบบนั้นเขาจะสลดใจเต็มที่ จะคิดว่าไอ้ลูกระยำคนนี้ เราเลี้ยงมันมาด้วยความรัก เราทะนุบำรุงมันมาด้วยความลำบาก เรามีความทุกข์อย่างหนักทุกอย่างเพื่อลูก เราจะไม่มีกินก็ไม่เป็นไร ขอให้ลูกมีกินก็แล้วกัน เราจะทุกข์สักเท่าใดก็ตามขอให้ลูกมีความสุข เราจะตายก็ช่างขอให้ลูกมีชีวิตอยู่ นี่ความรู้สึกของพ่อแม่ทุกคนเป็นอย่างนี้ เป็นอันว่าพ่อแม่นี่สละชีวิต สละความสุขเพื่อลูกได้ แต่หากถ้ารู้ว่าลูกมีอารมณ์จัญไร ถือว่าพ่อแม่ไม่มีความสำคัญ ท่านจะมีความรู้สึกยังไง เป็นอันว่าชีวิตและเลือดเนื้อของท่านนี่น่ะ ท่านได้มาจากไหนมานั่งคิดดูซิ ถ้าเราไม่มีพ่อไม่มีแม่เราเกิดมาได้ไหม หรือจะไปพูดแบบคนจัญไรทั้งหลายเคยได้ฟังมาหลายคน ว่าความจริงที่เขาเกิดมานี้น่ะ พ่อแม่ไม่ได้ตั้งใจให้เขาเกิดหรอกเขาย่องเกิดขึ้นมาเวลาที่พ่อแม่กำลังสนุก กัน เอ้า ถ้าบังเอิญมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็ช่างเถอะ ตานี้ไอ้แดนที่เราเกิดน่ะ เกิดมาจากแดนไหน ไม่ใช่เกิดมาจากแดนของพ่อของแม่หรอกรึ? ที่บางทีท่านบังเอิญจะคิดว่า ช่างมัน เราไม่ได้ตั้งใจให้ลูกเกิด นี่เรามาร่วมรักเพื่อปรารถนาความสุข ตามความปรารถนาทางใจ แต่ว่าไอ้ลูกจัญไรเสือกมาเกิดทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้อนุญาต

    ตานี้ พอท่านที่เป็นพ่อเป็นแม่รู้แล้วว่ามีลูกทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจ ถ้าหากว่าท่านขาดความดี คือพรหมวิหาร ๔ ท่านก็คิดว่าไอ้ลูกจัญไรคนนั้นฉันไม่ได้ตั้งใจให้มาเกิด เสือกมาเกิดทำไมไม่เอา ฆ่ามันเสียให้ตาย อยู่ในครรภ์ไม่มีโทษอะไร ทำง่าย ๆ นิดเดียวมันก็ตายหรือไม่ยังงั้นทนเอาหน่อย พอออกมาจากท้องแล้วปล่อยมันเสีย ไม่ให้นมมันกิน ไม่เหลียวไม่แลไม่ดู มันจะเป็นยังไงช่างหัวมัน มันอยากจะตายก็เชิญตายไปตามอัชฌาสัย ไม่ได้ให้มันมาเกิดนี่ เท่านี้ไอ้เจ้าลูกอัปรีย์คนนั้นที่พูดแบบนั้น มันก็จะไม่มีโอกาสมาเห็นโลก ไม่มีโอกาสมาพูดข่มขู่ทำลายความดีของพ่อแม่ พ่อแม่ประกอบไปด้วยความดี พยายามระงับความสุขของตนเพื่อบำรุงความสุขของลูก ยอมทุก ๆ อย่างเพื่อลูกในท้อง ยอมมีความทุกข์ทุกอย่างเพื่อการศึกษาดีของลูก ยอมมีความทุกข์ทุกอย่างเพื่อลูกจะได้มีฐานะมั่นคง เป็นอันว่าความดีของพ่อของแม่ไม่ต้องพรรณนากันก็ได้ เพราะคนทุกคนเป็นพ่อเป็นแม่คนอยู่แล้ว ตานี้ลูกคนนั้นก็ยังไม่เคยเป็นพ่อเป็นแม่คน แต่พอเป็นพ่อเป็นแม่คนเขาจะรู้สึกตัวเองว่าการบำรุงรักษาลูกมันหนักแค่ไหน หนักกายหนักใจเพียงไร รู้สึกเสียใจเพียงใด ถ้าลูกของเขาพูดอย่างนั้นได้

    นี่ องค์สมเด็จพระพิชิตมารไม่ได้มีความเห็นเสมอกับคนประเภทนั้น ท่านบอกว่าพ่อแม่นี่ เป็นคนที่มีความสำคัญมาก เราจะมีชีวิตขึ้นมาได้ก็อาศัยพ่ออาศัยแม่ แล้วพ่อแม่ท่านเป็นคนดี ดีตรงไหน ดีที่มีพรหมวิหาร ๔ กับลูกทุกอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ท่านมีความรักจริง ถ้าท่านไม่รักเราท่านก็ปล่อยให้เราตายไม่เลี้ยง ท่านสงสาร สงเคราะห์ทุกอย่าง นับตั้งแต่อยู่ในท้องจนออกมาใหม่ ไม่รังเกียจ ขี้เยี่ยวอะไรก็ตาม ถ่ายออกมาเมื่อไหร่แม้แต่มือของท่านก็กอบอุจจาระของลูกไปทิ้งได้ ไม่มีความรังเกียจ ลูกมีความป่วยไข้ไม่สบายก็ยอมทน ไม่หลับไม่นอน ยอมเสียเงินเสียทองเพื่อลูกทุกอย่าง ลูกโตขึ้นมาแล้วให้การศึกษาทุกอย่าง มันจะเป็นหนี้เป็นข้าเพียงใดก็ตามที ขอให้ลูกของเรานี้มีความรู้ก็แล้วกัน ต่อมาในขั้นปลาย ท่านก็ตั้งใจจะทะนุบำรุงให้ลูกตั้งหลักตั้งฐานไปด้วยดี เมื่อลูกนี้แยกออกไปแล้วก็ยังไม่หมดความห่วงใย แม้แต่ลูกตายก็ยังมีจิตคิดสงเคราะห์ นี่ ว่ากันย่อ ๆ เพียงเท่านี้ เป็นความดีของพ่อแม่

    ตานี้ ถ้าเราเป็นคนดี ต้องการที่จะเป็นคนมีมงคล องค์สมเด็จพระทศพลบอกว่าต้องบำรุงพ่อบำรุงแม่นะ ถ้าเราไม่บำรุงพ่อบำรุงแม่ละก็แย่เลยพวกเรา ทำไมถึงจะเป็นยังงั้นก็เพราะว่าถ้าเราขาดการบำรุงพ่อบำรุงแม่ ใครเล่าเขาจะเห็นว่าเราดี ก็ชีวิตร่างกายของเรานี้เป็นของพ่อของแม่นี่ เพราะพ่อแม่ท่านให้ชีวิตเรา คือชีวิตเลือดเนื้อทั้งหมดที่มีในร่างกายของเราเป็นของท่าน อย่าลืม ถ้าไม่มีท่านเสียแล้วมันจะเกิดขึ้นมาได้ยังไง ตานี้ พอตั้งปฏิสนธิแล้ว พ่อแม่มีความรัก ปรารถนาดี สงเคราะห์ทุกอย่าง อดออมทุกอย่าง ถ้าสิ่งใดจะเป็นภัยแก่ลูกในครรภ์ ท่านพ่อแม่ยับยั้งทุกอย่าง ไม่ทำอย่างนั้น ไม่บริโภคอาหารอย่างนั้น เห็นใจหรือยังว่าท่านมารดามีความหนักใจเพียงใด อันตรายในการคลอดบุตรนะท่านเอ๋ย คนออกลูกตายเสียเยอะแยะแล้ว ตายเพราะอะไร ตายเพราะรักลูก ถ้าไม่อยากตายก็มีอย่างเดียว ลูกมันเกิดมาก็ทำให้มันแท้งไปเสียก็หมดเรื่อง นี่เพราะรักลูกตายเพราะคลอดลูกเสียนับไม่ถ้วน ท่านพ่อก็หนักมากขึ้นเมื่อท่านแม่มีลูก ภาระต่าง ๆ ที่พ่อแม่เคยช่วยกันก็ต้องถูกยับยั้งไป บางอย่างทำไม่ได้ เพื่อหวังดีแก่ลูก พ่อก็แบกซี แบกอื้อแทนท่านแม่ขึ้นมา นี่เป็นอันว่าท่านพ่อช่วยหามาเพื่อให้ท่านแม่บำรุง

    ตานี้ เมื่อถึงเวลาของเราบ้าง เราก็ต้องบำรุงท่าน การสนองคุณพ่อคุณแม่นี้บรรดาท่านทั้งหลาย พระพุทธเจ้าบอกว่าโอ้โฮ คุณของพ่อของแม่นี่มหาศาลจริง ๆ บรรดาท่านชายหญิงทั้งหลายจะทำยังไงก็ตาม จะคิดว่าการสนองคุณพ่อคุณแม่ให้เสมอกับความดีของท่านน่ะ อย่าไปคิดยังงั้น มันเสมอไม่ได้แน่ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะพ่อแม่ให้ชีวิตและเลือดเนื้อเรานะ ทีนี้เราจะเอาชีวิตของเราไปให้พ่อให้แม่เวลาท่านแก่แล้ว บอกนี่อย่าแก่เลยพ่อและแม่เอ๋ย เชือดคอเราเอาเนื้อเข้าไปยัดในกายของท่านให้เป็นหนุ่มขึ้นมาทำได้ไหม ทำไม่ได้ซี กลัวเจ็บกลัวตาย ตานี้ท่านจะตาย บอกว่าอย่าตายเลย เอาชีวิตของเราไปใส่แทนท่าน มันไม่มีโอกาสจะทำได้ นี่เป็นอันว่าเราให้อะไรท่านก็ให้ได้ แต่ให้ชีวิตร่างกายแก่ท่านจริง ๆ น่ะ ให้ไม่ได้

    ทีนี้ การสนองความดีของพ่อแม่นี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์กล่าวว่าทำยังงี้ก็แล้วกัน ถ้าหากว่าท่านต้องการอะไร เป็นสิ่งที่ไม่เกินวิสัยจัดหาให้ท่านตามสมควรแก่ฐานะและความสามารถของเรา แล้วก็จงอย่าสร้างความสะเทือนใจให้เกิดแก่ท่าน เห็นท่านมีความเห็นผิดคิดมิชอบอย่าค้านตรง ๆ ค่อย ๆ หาทางเลี่ยง เป็นการหารือ สมมติพ่อและแม่บอกว่าไอ้หนูนี่ไปขโมยสตางค์คนนั้นมาทีเถอะ สตางค์ของเรามันไม่มี ถ้าเราไปค้านว่าไม่ดีอาจจะไม่ถูกใจท่าน ทำให้ท่านเดือดร้อน เราก็เอายังงี้ซี ทำทีเหมือนว่าไปขโมย ไปนอนแอบอยู่ที่ไหนก็ตาม แล้วก็กลับมาบอกว่าพ่อไม่ได้หรอกบ้านนั้น ตาคนนั้นแกระวังนั่งจ้องปืนอยู่ตลอดเวลา ถ้าเข้าไปเมื่อไรแกฆ่าทันที แต่พอถึงเวลาอารมณ์ดีเรามีสตางค์ เราก็เอาสตางค์ไปให้ท่าน แล้วคุยไปคุยมาก็ลองถามท่านว่า พ่อ ไอ้สตางค์ของเรานี่น่ะถ้าบังเอิญใครเขามายื้อแย่งลักขโมยนี่เราพอใจไหม แกก็จะต้องตอบว่าไม่ได้ซิ ของเราใครจะขโมยไปไม่ได้ ดีไม่ดีต้องฆ่ากันตายเลยถ้าขืนขโมยกัน ตานี้เราก็ได้ท่าแล้วนี่ เราก็บอกนั่นน่ะซีพ่ออีวันนั้น ที่พ่อให้ไปขโมยสตางค์เขาน่ะ ผมก็คิดยังงั้นเหมือนกันครับ คิดว่านี่ทรัพย์สินของเขา เขาคงรักเหมือนเรารักของเรา แต่ความจริงผมไปผมไม่ได้ขโมยเขาหรอก ผมไปนั่งคิดนอนคิดว่าเขาคงคิดแบบนี้ ผมก็เลยไม่ได้ลักขโมยของเขา เพราะเห็นว่าเขาคงจะรักของ ๆ เขาเหมือนเรารักของ ๆ เรา นี่ ค่อย ๆ โอ้โลมปฏิโลม เป็นอันว่า จงพยายามทำจิตใจของพ่อแม่ที่มีความเห็นผิดให้กลับมีความเห็นถูก อย่างนี้พระพุทธเจ้าจึงจะกล่าวว่าเราจึงจะเป็นลูกที่ดี จัดว่าเป็นการบำรุงพ่อแม่ทั้งวัตถุและจิตใจ ถ้าทำได้อย่างนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรท่านบอกว่าทำความดีคล้าย ๆ กับความดีของท่านที่มีกับเรา นี่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่าคล้าย ๆ กันนะ ไม่ใช่ว่าความดีที่เราทำนี่เสมอเหมือนกับความดีท่านให้เราจะชื่อว่าเป็นการ ตอบสนองความดีของท่านให้มีความสุขเสมอกับความดีของท่านที่ให้เรายังใช้ไม่ ได้ เพราะอะไร เพราะว่าท่านให้ชีวิตจิตใจเรา เป็นแต่เพียงพระพุทธเจ้าท่านบอกว่าคล้ายกันเท่านั้น การสนองความดีของพ่อแม่ให้หมด เช่นว่าให้เท่านี้พอแล้ว ความดีที่ให้กับพ่อแม่ ความดียิ่งกว่านี้ไม่มีอีก หมดกันทีบุญคุณของพ่อแม่ไม่มีสำหรับเรา ถ้าคิดอย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณคน นี่เรียกว่าเราไม่รู้คุณบิดามารดามากล่าวถึงโดยโทษถ้าเราเป็นคนมีความกตัญญู รู้คุณท่าน อุปการะท่าน เอาใจท่านทุกอย่างพยายามหลีกเลี่ยงความชั่วที่ท่านมี หาความดีมาใส่ให้ท่าน ไม่สามารถจะสอนเองได้ก็เอาคนอื่นที่ท่านเคารพนับถือมาค่อย ๆ ช่วยแนะนำ แล้วปฏิบัติทุกอย่าง เช็ดผ้าขี้สีผ้าเยี่ยวบำรุงรักษา พยาบาลเมื่อท่านป่วยไข้ไม่สบาย แม้แต่ท่านจะตายก็ไม่รังเกียจในศพ หากว่าท่านเป็นคนประเภทนี้นะ ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์กล่าวว่าเป็นอุดมมงคล เป็นคนดีมีความสุขเพราะอะไร เพราะว่าคนทั้งหลายที่เขาเห็นว่าท่านนี่น่ะเป็นคนมีความกตัญญูรู้คุณพ่อรู้ คุณแม่จริง ๆ สนองความดีของพ่อของแม่ด้วยหาความรังเกียจไม่ได้ ถึงแม้ว่าพ่อแม่ตายไปแล้ว ก็นอนใกล้ ๆ ศพได้โดยไม่มีความรังเกียจ พ่อแม่ตายไปแล้วยังคิดถึงพ่อคิดถึงแม่ทำบุญให้พ่อให้แม่อยู่ตลอดเวลา ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ชาวบ้านทุกคนโดยถ้วนหน้าเขาก็จะบอกว่าแหม เจ้านี่เป็นคนดีจริง ๆ คบได้ ถ้าพวกเราจะคบคนประเภทนี้ละก็ไม่เสียทีแน่ ในเมื่อพ่อแม่ของเขา ๆ ก็มีความกตัญญูรู้คุณ ถ้าเราจะสงเคราะห์เขาบ้าง เราจะช่วยเหลือเขาบ้าง คนประเภทนี้ไม่เป็นคนอกตัญญูทำลายความดีของเราแน่ เราให้เท่าไรไม่มีเสียเรียกว่าตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ สงเคราะห์เท่าไรก็ชื่อว่าบุคคล ๆ นี้ไม่อกตัญญู ไม่ทำลายความดีที่มี นี่แหละบรรดาท่านทั้งหลาย ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรกล่าวว่าการบำรุงบิดามารดาชื่อว่าเป็นอุดมมงคล

    เมื่อ เราเองก็กลายเป็นบุคคลที่ชาวบ้านชาวเมืองเขารัก เขาเห็นว่าเราเป็นคนดี ไปบ้านใคร ใครเขาก็ไม่รังเกียจให้พัก ไม่รังเกียจในการสงเคราะห์ แล้วไปที่ไหนก็หาศัตรูได้ยาก เพราะว่าเราเป็นคนดีเป็นคนที่ชาวบ้านรักมาก ในเมื่อเราเป็นคนที่ชาวบ้านเขารักไปบ้านใครก็ได้กินข้าว หนาวก็มีผ้าห่ม ป่วยไข้ไม่สบายก็มีคนสงเคราะห์ จะมีอันตรายทั้งหลายเกิดขึ้นก็มีคนคอยช่วยเหลือ อย่างนี้ ท่านชื่อว่าเป็นความดี เป็นความสุข หรือเป็นความทุกข์ หรือว่าเป็นความชั่ว เอ้า ท่านวัดเอาเองก็แล้วกัน เพราะองค์สมเด็จพระทรงธรรม ทรงสอนใครแล้วไม่เคยบอกใครว่า นี่ฉันสอนแกทำอย่างนี้แกต้องเชื่อฉันนะ นี่พระที่ดีท่านไม่พูดแบบนี้ ท่านบอกว่าฟังแล้ว ๆ ก็นำไปคิดก่อน นำไปปฏิบัติดูก่อน ถ้ามันดีจริง ๆ ละก็ค่อย ๆ นำไปประพฤติปฏิบัติ ถ้าหากว่ายังดีไม่ได้ หาความดีไม่ได้ จะไปประพฤติปฏิบัติทำไมเสียเวลาเปล่า ๆ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสของท่านอย่างนี้นา เพราะว่าท่านแน่ใจว่า คำตรัสสิ่งที่เป็นมงคลนี้เป็นของดีจริง ๆ เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับมงคลข้อที่เท่าไหร่ ข้อที่ ๑๑ เห็นไหมล่ะ ก็บอกแล้วนี่ว่าเจอะเอาคนไม่ดี ปากก็ไม่ดี แล้วแถมตาก็ไม่ดีเสียอีกด้วย เขียนไว้แล้วเชียวนาว่ามงคลข้อ ๑๑ แว่นก็ใส่ มองมามองไปก็ไม่รู้ว่าเลขอะไร นี่เป็นอันว่าคนพูดไม่มีอะไรดี แต่ความดีซึ่งจะพึงมีจากหนังสือเล่มนี้ก็เป็นความดีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ สำหรับคำอธิบายก็ว่ากันแบบนี้ ผิดบ้างถูกบ้างก็ขออภัยด้วย เป็นอันว่ามงคลที่ ๑๑ ก็ขอยุติไว้เพียงเท่านี้ ๚ะ

    por1.jpg

    เว็บไซด์นี้ไม่สงวนสิทธิ์หากทำไปเพื่อเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพ
    จัดทำโดย www.hpgtech.com และ www.bizwork.net
     

แชร์หน้านี้

Loading...