ที่มาของมงคล

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย pong-sit, 13 สิงหาคม 2006.

  1. pong-sit

    pong-sit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,626
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,781
    ย้อนหลังไป ๒๖ ศตวรรษ ประชาชนชาวชมพูทวีป สมัยนั้นกำลังตื่นตัวในการค้นคว้าปัญหาชีวิตจิตใจ เช่น คนเรามาจากไหน ตายแล้วไปไหนฯลฯ จึงมีการชุมนุมกันสถานที่ต่างๆ เพื่ออภิปรายปัญหากันอย่างกว้างขวาง
    เมื่อมีผู้อภิปรายมาก หลายคนก็หลายความคิด ขณะที่การชุมนุมกำลังเฟื่องการอภิปรายเป็นไปอย่างครึกครื้น โดยไม่มีใครคาดฝัน ได้มีผู้เสนอญัตติสำคัญเข้าสู่ช่วงอภิปรายว่า
    "อะไรคือมงคล"
    ดูรูปปัญหาแล้วไม่น่าจะหนักหนาอะไร แต่เมื่อมีผู้เสนอตัวขึ้นกล่าวว่า
    "ท่านทั้งหลาย โปรดฟังทางนี้ ข้าพเจ้าทราบดีว่าอะไรเป็นมงคล"
    นักอภิปรายผู้หนึ่งนามว่า ทิฎฐมังคลิกะ เสนอตัวขึ้นในที่ชุมนุม
    "รูปที่ตาเห็นนี้เหละเป็นมงคล ลองสังเกตุดูสิ เมื่อเราตื่นแต่เช้าตรู่ ได้เห็นกบินเป็นฝูงๆ พระอาทิตย์ขึ้น ต้นไม้เขียวๆ เด็กเล็กๆน่ารัก สิ่งที่เราเห็นนั่นเหละเป็นมงคล"
    พอทิฎฐมังคลิกะกล่าวจบ นักอภิปรายอีกคนหนึ่งชื่อ สุตมังคลิกะก็กล่าวหักล้างทันทีว่า"ช้าก่อน ท่านทั้งหลายอย่าเพิ่งเชื่อ ถ้าเวลาเราเห็นอุจจาระ เห็นสิ่งสกปรก ก็ต้องเป็นมงคลด้วยสิ"
    ข้อวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องมงคล ได้แผ่ขยายไปอย่างกว้างขวาง ไม่เฉพาะในหมู่มนุษย์ แม้พวกเทวดาก็ถกเถียงกันถึงเรื่องมงคล ล่ำลือกันกระฉ่อนไปหมดไม่ว่าจะเป็น มนุษย์โลก สวรรค์ พรหมทุกชั้น แต่ก็ไม่มีใครทราบว่า อะไรคือมงคล
    แต่มีพรหมอยู่พวกหนึ่ง คือพรหมชั้นสุทธาวาส ทราบดีว่าอะไรคือมงคล แต่ไม่สามารถอธิบายได้ ได้แต่ป่าวประกาศว่า อีก๑๒ปีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบังเกิดขึ้นในโลก ให้คอยถามปัญหากับพระองค์
    เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณคืนหนึ่ง ขณะที่ประทับอยู่ที่เชตวันมหาวิหาร ใกล้เมืองสาวัตถี ท้าวสักกเทวราชได้นำหมู่เทวดาเข้าเฝ้า และถามพระองค์ว่า อะไรคือมงคลของชีวิต
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงแสดงหลักมงคล ซึ่งมีทั้งหมด ๓๘ ประการ มงคลของพระองค์ไม่ยึดถือวัตถุ แต่ยึดการปฎิบัติฝึกฝนตนเอง
    แม้หลักมงคลที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง จะประกอบด้วยเหตุผมอย่างสมบูรณ์ ไม่มีใครหักล้างได้ แต่ก็มีพวกเจ้าลัทธิ พวกนักคิด ไม่ยอมล้มเลิกความคิดเดิม
    แม้จะรู้ว่าตัวผิดแต่ก็ยืนยันของตนเอง จึงเกิดเป็นมงคล๒สาย คือ
    ๑.มงคลของนักคิด เรียกว่ามงคลมี ยึดถือเอาว่า การมีสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นมงคล ซึ่งแต่ละที่แต่ละยุคสมัยก็แตกต่างกันไป
    ๒.มงคลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกว่า มงคลทำ ยึดถือเอาการปฎิบัติตนเองเป็นเกณฑ์ เป็นสัจธรรมไม่เปลี่ยนแปลง ผู้ใดทำตามย่อมได้ผลแน่นอน
    มงคลของนักคิดนั้น หาข้อยุติไม่ได้ แต่มงคลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สามารถหาเหตุผลมาลบล้างได้ ดังในความบทสรรเสริญพระธรรมคุณที่ว่า
    "เอหิปัสสิโก เชิญมาพิสูจน์เถิด"

     

แชร์หน้านี้

Loading...