เรื่องเด่น ท้าวสักกะ เทพราชาแห่งตาวติงสาภูมิ๒

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 30 มกราคม 2018.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,174
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,647
    ท้าวสักกะ เทพราชาแห่งตาวติงสาภูมิ๒ เขียนโดย สืบ ธรรมไทย

    3372.jpg

    กาลเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป จักหาสิ่งใดจีรังยั่งยืนไม่มี หลังจากมฆมานพแลสหายได้ตายจากมนุษย์ ตัวเขาได้ไปอุบัติเป็นเทพราชันย์ผู้มีชื่อเสียงเกริกไกลพระนามว่า ท้าวสักกเทวราช หรือ พระอินทร์ ปกครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ร่วมกับเทพพระสหายอีก ๓๒ พระองค์ ส่วนนางสุธรรมา นางสุนันทา และนางสุจิตราก็ตามมาเกิดเป็นเทพมเหสี

    ไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่ช้างพระราชทานก็ยังตามมาเกิดเป็นเทพบุตรอีก ชื่อว่า เอราวัณเทพบุตร คราใดที่องค์อมรินทร์จักเสด็จพระราชดำเนินไปงานพิธีสำคัญๆ เทพบุตรเอราวัณก็จักเนรมิตกายเป็นช้าง ๓๓ เศียรเตรียมรอให้องค์จอมเทพแลเทพพระสหายขึ้นประทับเสด็จยังงานพิธีนั้น เพื่อแสดงให้เห็นถึงพระบุญญานุภาพแลพระเดชานุภาพแห่งพระองค์ คงมีแต่นางสุชาดาคนเดียวที่ไม่ได้ตามมาเกิดด้วย เนื่องจากพอสิ้นอายุขัยนางก็ไปเกิดเป็นนกยาง อาศัยอยู่ข้างสระน้ำของซอกเขาแห่งหนึ่ง!

    มฆมานพพออุบัติเป็นท้าวสักกะด้วยเทพวิสัยจึงทรงกำหนดจิตดูว่าภรรยาทั้งสี่ หลังจากตายจากมนุษย์พวกนางไปเกิดยังภพภูมิใดบ้าง? ทันใดก็ทรงทราบนางสุธรรมา นางสุนันทา แลนางสุจิตราได้ตามพระองค์มาเกิดเป็นเทพนารีอยู่บนสวรรค์ชั้นนี้ด้วย มีแต่นางสุชาดาคนเดียวที่ไปเกิดเป็นนกยางอยู่ในภูมิเดรัจฉาน ด้วยความที่ทรงรักใคร่ภรรยาผู้นี้อย่างสุดซึ้ง พอทรงเห็นนางต้องไปตกระกำลำบาก เลี้ยงชีพด้วยปาณาติบาต จอมเทพผู้มากบารมีก็ทรงรู้สึกอดสงสารขึ้นมาไม่ได้ อยากจักให้นางพ้นไปจากสภาพของสัตว์เดรัจฉานเสียเหลือเกิน จึงทรงดำริ “ เราน่าจักให้นางได้มาเห็นความเป็นอยู่ของชาวฟ้าชาวสวรรค์กัน เผื่อนางจักเกิดมุมานะ ยกตนให้พ้นไปจากอัตภาพของเดรัจฉานได้! ” เมื่อทรงคิดดังนี้จึงไม่รอช้า รีบเสด็จลงจากดาวดึงส์เทวโลกมายังโลกมนุษย์ทันที!

    ฝ่ายนกยางสุชาดาขณะกำลังเที่ยวจิกกินปลาเล็กปลาน้อยอยู่อย่างเพลิดเพลิน จู่ๆเห็นใครไม่รู้มายืนข้างๆก็ให้ตกใจเป็นกำลัง จึงร้องถามไป

    “ ท่านผู้นี้เป็นใครหรือ ? ไฉนจึงต่างจากสัตว์ที่ข้าพเจ้าเคยเห็น ? ”

    “ ดูก่อนนางนกยาง! เรานี้มีนามว่าท้าวสักกเทวราช จอมเทพแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ชาติที่แล้วเรา

    เป็นสามีเจ้า ”

    “ ท่านน่ะหรือคือจอมเทพแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แลเป็นสามีของข้าพเจ้าเมื่อชาติที่แล้ว ? ”

    “ ถูกต้อง! เจ้าอยากรู้หรือไม่เพื่อนเจ้าอีกสามนางซึ่งก็เป็นภรรยาของเราเหมือนกัน ขณะนี้พวกนาง

    มีความเป็นอยู่เยี่ยงไร? ”

    “ อยากทราบเจ้าค่ะ ! ”

    “ ดีแล้ว อย่างนั้นข้าจักพาเจ้าไปเห็นด้วยตาตนเอง! ”

    ว่าแล้วท้าวโกสีย์ก็ทรงรวบเอานางนกยางเหาะขึ้นฟ้า มุ่งตรงสู่ยังเมืองแมนแดนสวรรค์ทันที พอถึงก็ทรงปล่อยนางไว้ที่นันทาโบกขรณี จากนั้นก็เสด็จกลับไพชยนต์ปราสาทเพื่อทรงแจ้งข่าวให้พระชายาทั้งสามได้ทราบ เทพนารีทั้งสามพอรู้พระสวามีทรงพานางสุชาดามายังดาวดึงส์เทวโลกด้วย ด้วยความที่สมัยเป็นมนุษย์พวกนางต่างก็ไม่ค่อยชอบนางสุชาดา พอฟังดังนั้นจึงอยากจักเห็นหน้าของนางสุชาดาขึ้นมาทันใด อยากรู้ว่านางยังจักมีหน้าตาสะสวยเหมือนสมัยเป็นมนุษย์หรือไม่? จึงรีบซักถามองค์เทพราชันย์ว่านางพักอยู่ที่ไหน? พอทราบก็พากันไปยังนันทาโบกขรณีทันที

    เมื่อไปถึงเห็นนางมิได้เป็นเทพเหมือนตน หากแต่เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งเท่านั้น! จึงอดหัวร่อขึ้นมาพร้อมกันไม่ได้ ไม่เพียงเท่านั้นยังพากันพูดจาเยาะเย้ยถากถางกันไปต่างๆนานาอีก “ โอ๊ะโอ๋! นี่หรือแม่หญิงสุชาดายอดกัลยาณี ผู้มีรูปกายโสภีกว่าหญิงใด ดูผิวแม่ซิ! ช่างขาวผุดผาดเสียยิ่งนัก ไม่ว่าจักเป็นลำคอแข้งขา ตลอดทั้งองคาพยพ ล้วนหมดจดงดงาม เกินจักหาเทพนารีไหนสะคราญเทียมได้ นับเป็นบุญของพวกเราเนอะที่ได้มาเห็นนางผู้เลอโฉมเช่นนี้! ” หลังจากสนุกกับการเสียดสีจนเป็นที่พอใจ สามเทพนารีก็ชวนกันกลับไพชยนต์ปราสาทโดยที่มิได้คำนึงถึงความรู้สึกผู้ฟังเลยว่าเขาจักคิดอย่างไร!

    ฝ่ายนกยางผู้อาภัพครั้นถูกเพื่อนที่มีอดีตชาติเป็นภรรยาร่วมกันเยาะเย้ยถากถางเอา ก็ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในชาติวาสนาตน พอท้าวสหัสนัยน์ทรงกลับมาเยี่ยมอีกครั้งนางจึงขอให้พระองค์ทรงพานางกลับยังที่อยู่เดิม เพื่อจักได้ไม่ต้องถูกใครมาดูถูกเหยียดหยามอีก องค์เทพราชาทรงทราบถึงความรู้สึกนางจึงมิได้ทรงทัดทานแต่อย่างใด ทรงนำนางกลับมายังสระน้ำดังเดิม แต่ก่อนจากไปพระองค์ได้ตรัสถึงวิธีที่จักทำให้นางพ้นจากอัตภาพของสัตว์เดรัจฉานว่า “ ดูก่อนนางนกยาง หากเจ้าปรารถนาจักพ้นไปจากสภาพของเดรัจฉานแล้ว ก็ขอให้จงรักษาศีลห้าเอาไว้ให้มั่น จงอย่าได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอีกเป็นอันขาด แม้จักแลกด้วยชีวิตเจ้าก็ต้องยอม! ”

    นกยางสุชาดาหลังจากได้ฟังพระดำรัสแห่งท้าวสักกะนางก็ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด อาหารจากเคยอุดมสมบูรณ์ด้วยสระนี้ล้วนมีปลาเล็กปลาน้อยอยู่อย่างชุกชุม บัดนี้ก็กลายเป็นอัตคัดขัดสน ด้วยตนไม่อาจจับปลาเป็นๆมากินได้อีก ร่างกายจากเคยอวบอิ่มมีน้ำมีนวล เรี่ยวแรงแข็งขัน ตอนนี้แม้จักให้นางเดินไปจิกปลาตายกินนางก็ยังไม่มีแรงพอเลย! ได้แต่ฟุบอยู่ข้างสระน้ำมาได้สองสามวันแล้ว

    ในที่สุดสังขารที่ไม่มีอาหารมาหล่อเลี้ยงก็มิอาจจักตั้งอยู่ได้ ดังนั้นนางจึงสิ้นใจลงในเย็นวันหนึ่ง แต่เนื่องจากก่อนตายนางได้รักษาศีลห้าไว้อย่างเหนียวแน่น ยอมสละได้แม้แต่ชีวิตตน พอตายจากสัตว์เดรัจฉานอานิสงส์ที่รักษาศีลจึงนำให้นางไปเกิดเป็นบุตรสาวของช่างปั้นหม้อ อาศัยอยู่ในกรุงพาราณสี

    บุตรสาวช่างปั้นหม้อตั้งแต่จำความได้นางก็เริ่มรักษาศีลห้ามาโดยตลอด ทั้งที่ไม่เคยมีใครบอกว่าการรักษาศีลนั้นต้องทำอย่างไร? มันเหมือนเป็นวาสนาผูกพันกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนยังงัยยังงั้น! นางรักษาศีลมาจนกระทั่งอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี วันหนึ่งท้าวสักกะได้ทรงคำนึงถึงนางสุชาดา จึงทรงกำหนดจิตดู ทันใดก็ทรงทราบว่านางได้ไปเกิดเป็นบุตรของช่างปั้นหม้อ อาศัยอยู่ในกรุงพาราณสี ดังนั้นจึงทรงดำริ “ ถึงเวลาที่เราจักต้องลงไปสงเคราะห์นางอีกครั้งแล้ว เพื่อนางจักได้รักษาศีลห้าอย่างราบรื่นโดยไม่มีอุปสรรค! ”

    เมื่อทรงดำริดังนี้จอมเทพแห่งตาวติงสาจึงเสด็จลงจากดาวดึงส์เทวโลกมายังโลกมนุษย์ทันที จากนั้นก็ทรงเนรมิตพระวรกายเป็นพ่อค้าชรา ขับเกวียนบรรทุกพืชผลอันได้แก่ฟักแฟงแตงน้ำเต้ามาจนเต็ม เพื่อนำไปขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับผู้คนในตลาด แต่วิธีขายพ่อค้ารายนี้หาได้เหมือนพ่อค้าแม่ค้าทั่วไปไม่ ตะแกเที่ยวตะโกนว่าผู้ใดรักษาศีลห้ามาดีให้มารับพืชผลเหล่านี้ไปได้เลย! ไม่ต้องควักเงินควักทองออกมาซื้อหาแต่อย่างใด บรรดาผู้คนพอฟังก็ให้สงสัยกันไปตามๆกัน ต่างซักถามกันให้วุ่นว่าศีลห้ามันคืออะไร? รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรรึ? แต่ก็ไม่มีใครเคยรู้เคยเห็นมาก่อนแม้แต่เพียงผู้เดียว!

    จอมเทพในร่างพ่อค้าเฒ่าเขาขับเกวียนผ่านไปตั้งแต่หัวตลาดจนเกือบจักถึงท้ายตลาด ก็ยังไม่มีผู้ใดมาขอเอาพืชผลเหล่านี้ไป จนถึงบ้านช่างปั้นหม้อเสียงที่ตะโกนได้ดังไปถึงหลังบ้าน บุตรสาวนายช่างซึ่งกำลังช่วยงานบิดาพอได้ยินว่าใครรักษาศีลห้ามาดีให้มารับเอาพืชผลเหล่านี้ไป ไม่ต้องนำสิ่งใดมาแลก นางจึงรีบวางมือเดินไปดูที่ยังหน้าบ้าน ขณะนั้นเกวียนสินค้าได้ผ่านบ้านนางไปนางจึงเรียกให้เขาหยุด จากนั้นก็เดินไปหาบอกว่านางนี่แหละที่เป็นผู้รักษาศีลห้ามาดี ขอเขาจงมอบฟักแฟงเหล่านี้แก่นางเถิด

    พ่อค้าชราพอฟังจึงถอยเกวียนกลับมาหยุดที่หน้าบ้านนาง จากนั้นก็ขนพืชผลทั้งหมดไปเก็บไว้ยังหลังบ้าน พอขนเสร็จก็คืนร่างเป็นจอมเทพให้นางได้เห็นพร้อมกับตรัสว่า “ ดูก่อนนางผู้เป็นบุตรแห่งคนปั้นหม้อ พืชผลที่เจ้าเห็นแท้จริงมันหาได้เป็นเหมือนดั่งฟักแฟงทั่วไปไม่! หากแต่เป็นทองคำที่เรานำมาให้กับเจ้าโดย เฉพาะ ด้วยเจ้านั้นเป็นผู้ที่รักษาศีลห้ามาดี แลศีลห้าที่เจ้ารักษานี้ เมื่อถึงกาลแตกดับมันจักนำเจ้าให้เข้าสู่ดินแดนแห่งเทวภูมิได้ เพียงแต่เจ้าต้องรักษามันเอาไว้ให้มั่น แล้วไม่ช้าเราคงพบกัน! ” ทันทีที่ตรัสจบจอมเทพผู้เกรียงไกรก็หายวับไปต่อหน้าต่อตานาง

    นับจากนั้นบุตรสาวช่างปั้นหม้อก็ใช้เวลาเกือบจักทั้งหมดให้กับการักษาศีลแต่เพียงอย่างเดียว จวบจนหมดสิ้นอายุขัย แลด้วยอานิสงส์ของการรักษาศีล พอนางตายไปจึงไปอุบัติเป็นเทพนารีพระธิดาของ ท้าวสัมพรอสูร (ท้าวเวปจิตติ) ผู้ครองอสูรพิภพ

    ธิดาอสูรนางนี้ถือเป็นเทพธิดาที่มีมีศิริโฉมงดงาม ผิวพรรณผุดผ่องโสภา เหนือนางอสูรใดๆ เนื่องจากนางรักษาศีลติดต่อกันมาถึงสองชาติสองภพ! ดังนั้นจึงเป็นที่หมายปองของเหล่าอสูรทั้งมวล พอถึงคราวที่นางจักต้องมีคู่ท้าวสัมพรอสูรได้มีบัญชาให้อสูรทุกตนมารวมกันที่ลานหน้าพระบรมมหาราชวัง เพื่อให้นางเลือกเฟ้นหาผู้ที่เหมาะสมมาเป็นคู่ครอง

    เพลานั้นท้าวสักกะด้วยเทพฤทธิ์ก็ทรงทราบว่า บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จักต้องไปรับเอาตัวนางสุชาดากลับมาเป็นพระชายา ดังนั้นจึงมีบัญชาให้เทพมาตลีนำม้าสินธพจำนวนหนึ่งพันตัว เทียมรถไปจอดรอไว้ ณ กึ่งกลางเส้นทางระหว่างอสูรพิภพกับเทพนครไตรตรึงษ์ ส่วนตัวพระองค์ได้ทรงเนรมิตพระวรกายเป็นอสูรแก่ตนหนึ่ง จากนั้นก็ทรงลอบเข้าไปในดินแดนอสูร เพื่อทรงเข้าร่วมพิธีเลือกคู่ครั้งนี้!

    ขณะที่นางอสุรกัญญากำลังเดินดูบรรดาอสูรที่พระบิดาเกณฑ์ให้มายืนอวดโฉมรอนางเลือก ปรากฏที่ผ่านมาหาได้มีอสูรตนใดถูกตาต้องใจนางเลยแม้แต่เพียงตนเดียว จนกระทั่งมาถึงอสูรตนสุดท้ายซึ่งแก่เสียจนผิวหนังเหี่ยวย่น ผมเผ้าขาวโพลนไปทั้งศรีษะ ไม่ว่าจักมองมุมไหนก็หาความหล่อไม่เจอ แต่พอนางได้สบตากับเขาเท่านั้นก็รู้ทันทีว่า อสูรตนนี้นี่แลที่นางเฝ้ารอมาเป็นเวลาช้านาน หากแม้นชาตินี้ไม่ได้อยู่กับเขา นางขอยอมตายเสียดีกว่าที่จักอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย เมื่อเกิดความรู้สึกดังนี้จึงไม่รอช้า รีบยกพวงมาลัยคล้องลงบนคออสูรเฒ่าเบื้องหน้าทันที!

    บรรดาอสูรเมื่อเห็นพระธิดาของตนเลือกเอาอสูรแก่ใกล้ตายมาเป็นคู่ครอง แทนที่จักเป็นพวกตนตนใดตนหนึ่งต่างก็รู้สึกผิดหวังกันไปตามๆกัน บ้างก็เสียดายรูปโฉมของนาง ซึ่งมิได้คู่ควรกับเจ้าอสูรเฒ่าเลย เหมือนเอาดอกไม้หอมไปปักอยู่บนมูลโคแท้ๆ บ้างก็โมโหโกรธา ด้วยการกระทำเยี่ยงนี้มันเหมือนเป็นการหยามเกียรติ์แลศักดิ์ศรีของตนที่เป็นอสูรหนุ่ม จนยากจักรับได้! ดังนั้นลานหน้าพระบรมมหาราชวังเวลานั้นจึงมีแต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าอสูรกันให้อื้ออึงไปหมด

    ท้าวสักกะเมื่อทรงเห็นความระส่ำระสายเกิดขึ้นในหมู่อสูรก็ทรงสบพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงเปล่งเสียงหัวร่อออกไปจนดังลั่น จากนั้นก็ทรงเนรมิตพระวรกายกลับคืนรูปร่างเดิม พร้อมกับทรงรวบเอานางอสูรเบื้องพระพักตร์เข้ามาไว้ในอ้อมพระอุระ แล้วก็ไม่ทรงพูดพล่ามทำเพลง ทรงทะยานขึ้นท้องฟ้า อุ้มเอานางอสุรกัญญาเหาะหนีไปต่อหน้าต่อตาท่านท้าวสัมพรอสูรผู้เป็นใหญ่

    ฝ่ายบรรดาอสูรที่ล้วนยืนงงเป็นไก่ตาแตกเพราะคาดไม่ถึงว่าจักเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ พอรู้ว่าอสูรเฒ่าแท้จริงแล้วก็คือจอมเทพแห่งตาวติงสาผู้เป็นศัตรูเก่าปลอมตัวมา ก็ให้โมโหโกรธาเป็นอย่างยิ่ง พากันตะโกนด่าทอเสียจนดังลั่น จากนั้นก็ไม่รอช้า รีบทะยานขึ้นฟ้าเหาะตามท้าวโกสีย์ไปทันใด!

    ย้อนมาทางด้านมาตลีเทพสารถีบ้าง หลังจากได้รับพระบัญชาจากองค์อมรินทร์เขาก็นำรถม้าไปจอดรอไว้ตามรับสั่ง พอได้ยินเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น สนั่นฟ้ามาแต่ไกล ก็ทราบผู้เป็นนายกำลังหนีศัตรูมาแล้ว ดังนั้นจึงมิรอช้า รีบไสรถม้าออกไปรับหน้าทันที จอมสวรรค์หลังจากทรงเหาะมาได้สักพักก็ทรงรู้สึกพละกำลังของตนนั้นเริ่มถดถอย เนื่องจากต้องทรงแบกเอาน้ำหนักของนางอสูรไว้ด้วย พอทรงเห็นเทพคู่พระทัยพุ่งรถมารับ ฉับพลันก็ทรงกลับมามีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่น่าจักเป็นไปได้ ทรงทะยานไปยังราชรถด้วยความรวดเร็ว พอถึงก็ทรงวางนางอสูรลงยังที่ประทับ จากนั้นก็ตรัสให้เทพมาตลีออกราชรถทันที

    ฝ่ายพลพรรคอสูรที่เหาะตามมาห่างๆ พอเห็นระยะห่างเริ่มหดสั้นเข้าก็ทราบว่าท้าวสักกะคงจักหมดแรงแล้ว ดังนั้นจึงนึกกระหยิ่มในใจ คิดว่าครานี้แหละเจ้าเทพหัวขโมย เห็นทีคงไม่รอดไปจากเงื้อมมือพวกตนแน่! แต่พอจู่ๆระยะที่สั้นกลับยืดออกไปอีกพวกเขาจึงให้รู้สึกประหลาดใจเป็นล้นพ้น พอเพ่งไปข้างหน้าเห็นมีรถม้าคันหนึ่งพุ่งมารับจึงรู้ที่แท้จอมเทพมากเล่ห์ได้นัดลูกสมุนเอาไว้นี่เอง อย่างนี้นี่เล่าถึงได้มีแรงเพิ่ม เมื่อเห็นดังนั้นแต่ละตนจึงไม่รอช้า พากันเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นไปอีก หวังจักกวดให้ทันจอมเทพเจ้ากลให้ได้ แต่มิว่าจักเร่งกันเพียงใดระยะห่างก็หาได้สั้นเข้าไปแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังยืดออกไปเรื่อยๆอีก

    ด้านท้าวสหัสนัยน์หลังจากได้ทรงนั่งพักเหนื่อยแล้วก็ทรงรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ดังนั้นจึงทรงกลับมามีพระอารมณ์เบิกบานแจ่มใสเหมือนเดิม เพลานั้นรถม้าได้แล่นเข้าสู่เขตป่า สัมพลิวัน (ป่าไม้งิ้ว) อันเป็นที่อยู่ของเหล่าพญาครุฑพอดี ขณะที่องค์อมรินทร์แลนางอสูรเทวีกำลังทรงเพลินอยู่กับทัศนียภาพข้างทาง จู่ๆก็ได้ยินเสียงร้องประหลาดดังขึ้น ทำให้พระธิดาอสูรที่กำลังดื่มด่ำกับธรรมชาติถึงกับทรงสะดุ้งตกพระทัย องค์เทพราชันย์เมื่อทรงเห็นโฉมงามอันเป็นสุดที่รักหวาดวิตก จึงตรัสถามเทพคู่พระกายว่า “ ท่านมาตาลี นั่นมันเสียงอะไรรึ? ไฉนจึงฟังประหลาดอย่างนั้น?”

    เทพสารถีพอฟังพระดำรัสจึงกราบทูลว่า “ ขอเดชะ เสียงของลูกพญาครุฑพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระบาทคิดว่ากระแสลมแห่งราชรถคงกระแทกต้นไม้ที่มันทำรังอยู่ ดังนั้นลูกน้อยของมันด้วยความตกใจจึงร้องขึ้นมา ขออย่าทรงอย่าได้ระแวงพระทัยไปเลยพระพุทธเจ้าข้า” จอมสวรรค์เมื่อทรงได้ฟังคำพูดของเทพมาตาลีจึงทรงคำนึงขึ้น “ เพียงกระแสลมรถม้าเรายังมีอานุภาพถึงปานฉะนี้ อย่ากระนั้นเลย เราจงอย่าให้เหล่าสัตว์ต้องมาพลอยฉิบหายเพราะความเห็นแก่ตัวของเราเลย ”

    เมื่อทรงดำริดังนี้จอมเทพแห่งตาวติงสาจึงตรัสกับเทพสารถี “ ท่านมาตาลี! พวกเราจงอย่าสร้างความเดือด ร้อนให้กับเหล่าสัตว์เลย ขอท่านจงหันหัวรถกลับเถิด เราจักขอสู้ตายกับอสูรร้ายพวกนี้เอง! ” เทพเลขาพอฟังดังนั้นจึงชะลอรถม้าลง จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้ม้าสินธพทั้งหนึ่งพันตัวดึงหัวรถกลับ บรรดาอสูรที่ตามอยู่ลิบๆเมื่อเห็นท้าวโกสีย์ซึ่งกำลังได้เปรียบจู่ๆก็หยุดรถหันมาเผชิญหน้า ต่างก็ประหลาดใจกันไปตามๆกัน ยิ่งอสูรผู้เป็นหัวหน้าเขารู้สึกเรื่องนี้มันมีเลศนัยชอบกล

    “ ชะรอยหรือเจ้าเทพมากเล่ห์แอบซ่องสุมกำลังเอาไว้แถวนี้ มิฉะนั้นไฉนจึงกล้าหยุดรถ? เห็นทีเราจักประมาทไม่ได้เสียแล้ว หึ..หึ..หึ..อสูรอย่างเขามีหรือจักตกหลุมพรางเจ้าเทพหัวอุบายได้ ไม่มีวันเสียหรอก! ” เมื่อคิดดังนั้นจึงตะโกนสั่งเหล่าพลพรรคอสูรให้หยุดติดตามก่อน ขืนตามต่อไปอาจเสียทีให้กับศัตรูก็เป็นได้ ฝ่ายบรรดาลูกสมุนพอฟังคำสั่งลูกพี่ก็เหมือนหนึ่งว่าได้ยกภูเขาออกจากอก เนื่องจากแต่ละตนต่างก็อ่อนล้าจนแทบไม่มีแรงหลงเหลือกันแล้ว ขืนให้ตามต่อ เห็นทีคงต้องขาดใจตายเสียก่อนเป็นแน่!

    ด้านท้าวสักกะเมื่อทรงตัดสินพระทัยจักขอสู้ตาย เพราะไม่ปรารถนาจักทรงสร้างกรรมกับเหล่าสัตว์ พอทรงเห็นอสูรที่ตามอย่างกระหายเลือดจู่ๆก็หยุดติดตามเสียอย่างนั้น ก็ทรงรู้สึกแปลกพระทัยไม่แพ้กัน ต่างฝ่ายต่างจดต่างจ้อง ไม่มีใครกล้าบุกเข้าไป จนผ่านไปพักใหญ่ทรงเห็นเหล่าอสูรพากันหันหลังกลับ เคลื่อนพลบ่ายหน้าสู่อสูรพิภพ พระองค์จึงทรงรู้ว่าศึกครั้งนี้เห็นทีจักคงยุติแต่เพียงเท่านี้ ดังนั้นจึงมีรับสั่งให้เทพมาตาลีหันหัวรถกลับเทพนครไตรตรึงษ์ แต่ครั้งนี้ทรงให้อ้อมป่าสัมพลิวันไป เพื่อป้องกันมิให้กระแสลมของราชรถไปรบกวนสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าอีก นับแต่นั้นจอมสวรรค์แลนางอสูรสุชาดาก็ทรงครองคู่กันอย่างมีความสุขเรื่อยมา ตราบจนกระทั่งทุกวันนี้ .

    หมายเหตุ : ข้อปฏิบัติที่ทำให้มฆมานพได้เป็นพระอินทร์ ( วัตตบท ๗ ประการ ) คือ :

    ๑.เลี้ยงดูบิดามารดาโดยชอบ
    ๒.ให้ความเคารพผู้ใหญ่ในตระกูล
    ๓.ไม่ปล่อยให้ความโกรธครอบงำ
    ๔.กล่าววาจาไพเราะอ่อนหวาน
    ๕.ไม่พูดส่อเสียด
    ๖.ไม่เป็นคนตระหนี่
    ๗.ตั้งอยู่ในความซื่อสัตย์

    สืบ ธรรมไทย

    ขอบคุณที่มา
    http://www.dhammathai.org/karma/dbview.php?No=337
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2018
  2. mrmos

    mrmos Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2016
    โพสต์:
    1,191
    ค่าพลัง:
    +1,095

แชร์หน้านี้

Loading...