ธรรมพระป่า

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย santosos, 12 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,166
    ค่าพลัง:
    +3,212
    ไปกราบ พระป่า มีอำนาจจิตสูง สอนมา
    เป็นใหญ่ พระพุทธเจ้าว่า ใจตัวนี้เป็นใหญ่ เมื่อใจไม่สั่ง กายก็ไม่กระทำ เมื่อใจไม่สั่ง วาจาไม่ออก ใจตัวนี้จึงเป็นใหญ่กว่าเขา แต่ยิ่งใหญ่เกินไป เปรียบเหมือนกับดาบ ๒ คม ถ้าคิดไปในทางที่เป็นกุศล ก็เป็นกุศลอย่างล้นเหลือ แต่ถ้าคิดไปในทางที่เป็นอกุศล ก็เป็นอกุศลอย่างล้นเหลือเช่นเดียวกัน มันมีอยู่ ๒ อย่าง แบ่งไว้เป็น มโนทุจริต กับ มโนสุจริต ใจที่เป็นทุจริตกับใจที่เป็นสุจริต ไม่เหมือนกัน ทำความเข้าใจให้ดีๆ นะ สัญญมะตัวนี้ ใจ ตัวนี้ เราเอาอุบายอะไรไปสงบไว้ ไปยับยั้งไว้ เพื่อให้บังเกิด บังเกิดอะไร บังเกิดผลแก่เรา ผลในทางที่ดีแก่เรา เราสู้อุตส่าห์รักษา บำเพ็ญเพียร อย่างทุกวันนี้ เราขอศีล ๘ ไปรักษา เราจะทำอย่างไร จิตของเราจะเข้าไปสงบไว้ จิตของเราจะเข้ายับยั้งไว้ เพื่อให้นึกถึง เพื่อให้คิดถึง คิดถึงว่าเรานี้มีภาระอยู่ จงถือว่านี้คือภาระอย่างหนึ่ง ความละเอียดอ่อนของศีลในบั้นปลาย มีผลต่เรา มีผลต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ธรรมดาสามัญในปัจจุบันอย่างมากมายมหาศาล
    คนเราเกิดมาล้วนแล้วแต่เป็นน้ำใสเหมือนกับน้ำในบ่อ บ่อนี้ขุดมา ๑ วันก็เป็นบ่อใหม่ ขุดมา ๒ วัน ๓ วัน ก็เป็นบ่อใหม่ ผ่านเวลามา ๑ ปีของบ่อ เปรียบเสมือนว่าคนเขาขุดบ่อมา ๑ ปี เราก็เกิดมาได้ ๑ ปี บ่อน้ำก็ยังใส เย็น ดื่มแล้วชุมชื่นจิตใจ นี่คือน้ำ ๑ ปี น้ำ ๒ ปี ๓ ปี ๔ ปี บ่อขุดมา ๑๐ ปี เอาอะไรไปใส่ในหัวสมองของมันไว้ มันก็คิดอย่างนั้น สกปรกเหมือนน้ำ เอาอวิชชาเข้าไป คือ ความโง่เขลา เอาไปครอบงำมันไว้ มันก็โง่ เอาความอยากไปครอบงำมันไว้ มันก็โง่อีก เอากิเลสไปครอบงำมันไว้ มันก็โง่ มันก็เป็นเหมือนกับน้ำขุ่น คือ ขุ่นเป็นตะกอน ขุ่นขึ้นมาทีละนิดๆๆๆ ผ่านระยะเวลามา ๑๕ ปี พอน้ำ ๒๐ ปี แตกต่างกันแล้ว น้ำนี้เริ่มขุ่นมากขึ้น มากขึ้น ไม่สามารถมองเห็นถึงพื้นได้ ถ้าว่าไม่สามารถมองเห็นถึงพื้นได้ ถือว่าขุ่นมากๆ รสชาติเปลี่ยนแปลงไปมาก เราก็เห็น วัยรุ่นทุกวันนี้ เปลี่ยนแปลงไปมากเมื่อเปรียบเทียบกับสมัยก่อน มันโตเร็วเกินไป เกินกว่าวัยวุฒิ คุณวุฒิที่มี อายุ ๒๐ ปี แต่ก่อนมันเป็นลูกเรา แต่ทุกวันนี้มันไปเป็นผัวของคนอื่น มันไปเป็นเมียของคนอื่น มันคือพ่อแม่ของลูกมัน มันกลายเป็นลูกของคนอื่นด้วย คือมันมีพ่อเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง มีแม่เพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง มีป้าเพิ่มขึ้น มีหน้าเพิ่มขึ้น เออ! พ่อก็พ่อตา แม่ก็แม่ยาย เราเห็นได้ชัด น้ำ ๒๐ ปียังขุ่นแค่นี้ ขุ่นอะไรล่ะ ขุ่นจากสภาวะที่มันเป็นอยู่
    น้ำคือจิตใจ บ่อคือตัวตนของเรา ทรุดโทรมมากแค่ไหน น้ำก็ยิ่งขุ่นมากขึ้นเท่านั้น ๓๐ ปี ๔๐ ปี ๕๐ ปี น้ำเริ่มขุ่นขึ้นเรื่อยๆ เราก็ต้องหาวิธีการเพื่อชำระสะสางบ่อนั้นใหม่เสีย คือการขุดลอกใหม่ เราจะเห็นว่ากว่าที่มนุษย์เราจะคิดถึงเวลาที่จะมารื้อ ก็จวบจนเราในข้มันมาเต็มที่ ขุ่นก็ขุ่นจนถึงที่สุด ไม่สามารถกินได้ ไม่สามารถดื่มได้ ไม่สามารถที่จะนำมาใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ น้ำมันเหม็น จึงต้องได้มีการนำมาปรับปรุงแก้ไขทำใหม่
    ถ้าชีวิตไม่โสโครก ไม่โสมม ก็ไม่นึกถึงกาลเวลาที่ผ่านมา นึกถึงอย่างไร นึกถึงเมื่อครั้งอดีตที่น้ำยังใส มันใสอย่างไร มันเคยกินอย่างไร รถชาติเป็นอย่างไร เกิดการเปรียบเทียบกับอดีตที่ผ่าน คนเรารู้ เราขุดลอกบ่อนั้นก็ต่อเมื่อคนเราเข้าใกล้วัด เริ่มที่จะหันหน้าเข้าหาพระ เริ่มที่จะประพฤติปฏบัติเพื่อที่จะชำระจิตใจบ่อนั้นขังมานานเท่าไหร่ ก็ชำระสะสางไปตามกาลเวลาของบ่อ นี้เห็นได้ชัดว่าเราใช้น้ำทุกวันๆๆ ทั้งกิน ทั้งดื่ม ทั้งใช้ สารพัดประโยชน์ อะไรต่างๆ นานาอยู่นั่นหมด ซักผ้าก็อยู่อยู่นั้น อาบน้ำก็อยู่นั้น หุงข้าวก็อยู่นั้น น้ำตัวนี้ ซักผ้าเหมือนกับน้ำใจให้ผัว หุงข้าวเหมือนกับน้ำใจให้ลูก ลูกไม่มีกิน ลูกอดตาย ไม่ไม่มีกินไม่เป็นไร แต่ต้องให้ลูกอิ่ม เห็นไหมมันเป็นอย่างนี้ เห็นไหมน้ำของเราเราอาบมากี่ปี มีความขุ่นมากเท่าไหร่ เมื่อเรารู้จักชำระสะสาง สายไปไหม ยังไม่สาย บ่อนั้นยังยังไม่ได้ถล่ม ต่อแต่เมื่อบ่อนั้นถล่มเมื่อไหร่ ก็หมายถึงสังขารเราแตกดับไปเมื่อนั้น น้ำหายไหม ไม่หาย! น้ำยังซึมอยู่ในดินเหมือนเดิม ไม่ได้ไปไหน คือจิตตัวนี้ยังไม่ได้ไปไหน จิตยังมีอยู่ สกปรกไหม จิตยังสกปรก จิตยังใสไหม จิตยังใสอยู่ แต่แยกกันไม่ออก แยกกันไม่ออกระหว่างขุ่นกับใส ใสกับขุ่นตัวนั้น เพราะอะไร สิ่งที่มันพรากไปจากสังขารของเราคือตัวจิต ตัวนี้เองที่พรากออกไป มันพาอะไรไปด้วย มันพาทั้งความดีและความชั่วของเราไป ที่มันฝังแน่นในตัวตนของจิตวิญญาณดวงนั้น ถ้าจิตใจชั่วมากเลวมาก ก็เหมือนกับตกนรก ถ้าจิตใจดี จิตวิญญาณดวงนี้ดีเลิศ ทำบุญสุนทรทาน มีใจที่เป็นปกติ อิ่มเอิบ ปีติในผลบุญผลกุศล ไม่ย่อท้อในการประพฤติปฏิบัติ มันก็ไปสวรรค์นั่นแหละ เพราะความดีตัวนั้นนะ สวรรค์คือความดี นรกคือความชั่ว มันก็คือน้ำใสกับน้ำขุ่นนั้นเอง แต่แยกกันไม่ออก เพราะมันอยู่ใต้พื้นผิว เราจะเห็นได้ชัดว่า อะไรที่สกปรก มักอยู่ใต้ดิน แต่อะไรที่สะอาดมักเกิดจากดิน
    อันนี้คิดให้ดี คนเราเหมือนกับบ่อ ถ้ารู้จักชำระสะสาง คือการขุดขุดขึ้นมาใหม่ ค้นขึ้นมาใหม่ ค้นดูในจิตใจ ในอดีตว่าเป็นอย่างไร เราเอาอะไรไปเสริมไว้ เราเอาอะไรไปแต่งไว้ ก็ค่อยๆ ถอดถอนตัวนั้นออกมา จิตของเรามีอาสวกิเลสมากมายแค่ไหน ก็ค่อยๆ ถอดถอนตัวนั้นออกมา มีโลภมก ถอนโลภออกมา มีโกรธมาก ถอนโกรธออกมา มีราคะมากเอาราคะออกมา มีโมหะมาก เอาโมหะออกมา คือค่อยๆ ระบาย ระบายออกทีละนิดๆ น้ำก็ใสขึ้น ใส่ขึ้นเรื่อยๆ บ่อถล่มช่างมัน บ่อไม่ถล่มช่างมัน ขอให้น้ำนั่นเป็นน้ำใส
     

แชร์หน้านี้

Loading...