ธรรมะจากหลวงพ่อชา

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย TupLuang, 12 มิถุนายน 2008.

  1. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 align=center bgColor=#eeeeee border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>สามในหนึ่ง</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ปัญญา กับ สมาธิ เมื่อเราพูดแยกกันออก ก็คล้ายๆ คนละตัว แต่ความเป็นจริง เป็นตัวเดียวกัน
    นั่นเองแหละ ปัญญาเป็นเครื่องเคลื่อนไหวของสมาธิเท่านั้น มันออกจากจิตอันนี้เอง แต่แยก
    กันออกไปเป็นคนละลักษณะเหมือนมะม่วงใบหนึ่ง เมื่อมันเล็กก็ใบนี้ เดี๋ยวมันก็โตขึ้น เดี๋ยวมัน
    ก็สุก คือมะม่วงใบเดียวกันไม่ใช่คนละใบ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็คือของอันเดียวกัน เหมือน
    มะม่วงนั่นแหละ เพียงแต่มันเป็นคนละอาการ


    http://www.dhammathai.org/store/talk/talk40.php
     
  2. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 align=center bgColor=#eeeeee border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>กล้วย - มะพร้าว</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี </TD></TR></TBODY></TABLE>


    เปรียบง่ายๆให้ฟัง เราไปซื้อกล้วยหรือซื้อมะพร้าวใบหนึ่งจากตลาด แล้วก็เดินหิ้วมา

    อีกคนหนึ่งก็ถาม "ท่านซื้อกล้วยมาทำไม ?"
    "ซื้อไปรับประทาน"
    "เปลือกมันต้องรับประทานด้วยหรือ ?"
    "เปล่า"
    "ไม่เชื่อหรอก ไม่รับประทานแล้วเอาไปทำไมเปลือกมัน ?"
    หรือเอามะพร้าวใบหนึ่งมาก็เหมือนกัน
    "เอามะพร้าวไปทำไม ?"
    "จะเอาไปแกง"
    "เปลือกมันแกงด้วยหรือ ?"
    "เปล่า"
    "จะเอาไปทำไมล่ะ ?"

    เอ้า จะว่าอย่างไรล่ะ จะตอบปัญหาเขาอย่างไรด้วยความอยาก ถ้าไม่อยาก เราก็ไม่ได้ทำให้มัน
    มีปัญญานะ การทำความเพียรก็เป็นเช่นนั้น คือทำด้วยการปล่อยวาง อย่างกล้วย อย่างมะพร้าว
    เอาไปทำไมเปลือกมัน ? ก็เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาเอามันทิ้ง มันก็ห่อเนื้อในมันไปอยู่นั้น ยังไม่ถึง
    เวลาจะทิ้ง ก็ถือมันไว้ก่อนการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน สมมติ วิมุตติ ก็ต้องปนกันอยู่อย่างนั้น
    เหมือนมะพร้าว มันจะปนอยู่ทั้งเปลือก ทั้งกะลา ทั้งเนื้อ เราก็เอามาทั้งหมดแหละ เขาจะหาว่า
    เรากินเปลือกมะพร้าวอย่างไรก็ช่างเขา เรารู้จักของเราอยู่



    http://www.dhammathai.org/store/talk/talk39.php
     
  3. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 align=center bgColor=#eeeeee border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>ไฟไหม้น้ำท่วม</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี </TD></TR></TBODY></TABLE>

    พระพุทธองค์ท่านก็ทรงสอนว่า ร่างกายจิตใจนี้ มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น มันจะเป็นของมันอยู่
    อย่างนั้น มันจะไม่เป็นไปอย่างอื่น คือเริ่มเกิดขึ้นมา แล้วก็แก่ แก่มา แล้วก็เจ็บ เจ็บมา แล้วก็ตาย
    อันนี้เป็นความจริงเหลือเกินเป็นสัจธรรมอยู่แล้ว ก็มองดูมันด้วยปัญญา ให้เห็นมันเสียเท่านั้น

    ถึงแม้ว่าไฟมันจะมาไหม้บ้านของเราก็ตาม ถึงแม้ว่าน้ำมันจะท่วมบ้านของเราก็ตามก็ให้มัน
    เป็นเฉพาะบ้านเฉพาะเรือน

    ถ้าไฟมันไหม้ ก็อย่าให้มันไหม้หัวใจเรา ถ้าน้ำมันท่วม ก็อย่าให้มันท่วมหัวใจเรา ให้มันท่วมแต่
    บ้าน ให้มันไหม้แต่บ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่นอกกายของเรา ส่วนจิตใจของเรานั้น ให้มันมีการปล่อย
    วาง เพราะในเวลานี้มันสมควรแล้ว มันสมควรที่จะปล่อยแล้ว


    http://www.dhammathai.org/store/talk/talk38.php
     
  4. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 align=center bgColor=#eeeeee border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>ตัวหนังสือกับของจริง</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี </TD></TR></TBODY></TABLE>

    หยุดเอาความรู้ปริยัติใส่หีบใส่ห่อไว้เสีย อย่าเอามาพูด ไม่ใช่ความรู้พวกนั้นจะเข้ามาอยู่นี่หรอก
    มันพวกใหม่ เวลาเป็นขึ้นมามันไม่เป็นอย่างนั้น

    เหมือนกับเราเขียนหนังสือว่า ความโลภ เวลามันเกิดขึ้นในใจ ไม่เหมือนตัวหนังสือเวลาโกรธก็
    เหมือนกัน เขียนใส่กระดานดำก็เป็นอย่างหนึ่ง มันเป็นตัวอักษร เวลามันเกิดในใจอ่านอะไรไม่ทัน
    หรอกมันเป็นขึ้นมาที่ใจเลย สำคัญนัก สำคัญมาก


    http://www.dhammathai.org/store/talk/talk37.php
     
  5. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 align=center bgColor=#eeeeee border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>ให้ถูกกับจริต</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อารมณ์ของสมถกรรมฐานนี้ ถ้าไม่ถูกจริตของเรา มันก็ไม่สลด ไม่สังเวช อันใดที่ถูกกับจริต
    อันนั้นก็จะประสบบ่อยๆ มีความรู้สึกนึกคิดในอาการนั้นบ่อยๆ แต่เราไม่ค่อยจะได้สังเกตจึงควร
    สังเกตเพื่อให้ได้ประโยชน์

    เปรียบเหมือนกับอาหาร ที่เขาจัดมาให้สำรับหนึ่ง มันก็มีหลายอย่าง เราก็ชิมไปทุกถ้วยทุกอย่าง
    นั่นแหละแล้วก็จะรู้เองว่า อาหารอย่างไหนที่เราชอบ อย่างไหนที่เราไม่ชอบอย่างไหนชอบ ก็ว่ามี
    รสชาติอร่อยกว่าอย่างอื่น นี่พูดถึงอาหาร นี่ก็เทียบให้เห็นกับจริตของคนเรา กรรมฐานที่ถูกกับ
    จริต มันก็สบาย


    http://www.dhammathai.org/store/talk/talk36.php
     
  6. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 align=center bgColor=#eeeeee border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>เปรียบไปก็คล้ายน้ำ</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ใจของเรามันเป็นปกติอยู่ เปรียบเหมือนน้ำฝน เป็นน้ำที่ใสสะอาด มีความใสสะอาดบริสุทธิ์
    เป็นปกติ ถ้าเราเอาสีเขียวใส่ลงไป เอาสีเหลืองใส่เข้าไป น้ำก็จะกลายเป็นสีเขียว สีเหลืองไปจิต
    ของเรานี้ก็เหมือนกัน เมื่อไปถูกอารมณ์ที่ชอบใจ ใจก็ดี ใจก็สบายเมื่อถูกอารมณ์ที่ไม่ชอบใจแล้ว
    ใจนั้นก็ขุ่นมัว ไม่สบาย เหมือนกันกับน้ำที่ถูกสีเขียว ก็เขียวไปถูกสีเหลืองก็เหลืองไป เปลี่ยนสีไป
    เรื่อย

    จิตนี้ก็เหมือนกัน ถ้าถูกอารมณ์มาถูก มันก็กวัดแกว่งไปตามอารมณ์ ยิ่งมันไม่รู้เรื่องธรรมะ
    แล้ว ก็ยิ่งปล่อยไปตามอารมณ์ของเจ้าของเรื่อยไป อารมณ์สุขก็ปล่อยไปตามไป วุ่นวายไปเรื่อยๆ
    จนมนุษย์ทั้งหลายเป็นโรคประสาท


    http://www.dhammathai.org/store/talk/talk35.php
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2008
  7. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 align=center bgColor=#eeeeee border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>อยู่กับงูเห่า</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอให้โยมจำไว้ในใจ อารมณ์ ทั้งหลายนั้น ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ที่พอใจก็ตาม หรือ อารมณ์ที่
    ไม่พอใจก็ตาม อารมณ์ทั้งสองอย่างนี้ มันเหมือน งูเห่า ซึ่งมีพิษมาก ถ้ามันฉกคนแล้ว ก็ทำให้ ถึง
    แก่ความตายได้ อารมณ์นี้ ก็เหมือนงูเห่า ที่มีพิษร้ายนั้น อารมณ์ที่พอใจก็มีพิษมาก อารมณ์ที่ไม่
    พอใจก็มีพิษมาก มันทำให้จิตใจของเรา ไม่เสรี ทำให้จิตใจ ไขว้เขว จาก หลักธรรม ของ
    พระพุทธเจ้า


    http://www.dhammathai.org/store/talk/talk34.php
     
  8. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 align=center bgColor=#eeeeee border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>ปล่อยงูพิษไป</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อารมณ์ทั้งหลาย เหมือนกับงูเห่าที่มีพิษร้าย ถ้าไม่มีอะไรขวาง มันก็เลื้อยไปตามธรรมชาติ
    ของมัน แม้พิษมันจะมีอยู่ มันก็ไม่แสดงออกมา ไม่ได้ทำอันตรายเรา เพราะ เราไม่ได้เข้าไปใกล้
    มัน งูเห่าก็เป็นไปตามเรื่องของงูเห่ามันก็อยู่อย่างนั้น ถ้าหากเป็นคน ที่ฉลาดแล้ว ก็จะปล่อยหมด
    สิ่งที่ดี ก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชั่ว ก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชอบใจก็ปล่อยมันไป เหมือนอย่างเรา
    ปล่อยงู
    เห่า
    ตัวที่มีพิษร้ายนั้น ปล่อยให้มันเลื้อยของมันไป มันก็เลื้อยไป ทั้งที่มี " พิษ " อยู่ในตัวมัน
    นั่นเอง


    http://www.dhammathai.org/store/talk/talk33.php
     
  9. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 align=center bgColor=#eeeeee border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>มีด</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี </TD></TR></TBODY></TABLE>

    การฝึกจิตให้มีกำลัง กับ การฝึกกายให้มีกำลัง มีลักษณะอันเดียวกัน แต่มี วิธีต่างกัน การฝึกกาย
    ให้มีกำลัง เราต้องเคลื่อนไหวอวัยวะ แต่ การฝึกจิตให้มีกำลัง คือ ทำจิตให้ " ห ยุ ด " ให้พัก
    ผ่อนเช่น ทำสมาธิ พยายามปล่อยวางสิ่งทั้งหลาย ไม่ปล่อยจิตให้คิดอย่างนั้นอย่างนี้สารพัด ให้
    มีอยู่อารมณ์เดียว จิตก็จะมีกำลัง ปัญญาก็จะเกิด เช่นเดียวกับ มี มีด เล่มหนึ่ง เราลับไว้ดีแล้วมัว
    แต่ฟันหิน ฟันอิฐ ฟันหญ้าทั่วไป ฟันไม่เลือก มีด ก็จะหมดความคม


    http://www.dhammathai.org/store/talk/talk32.php
     
  10. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 align=center bgColor=#eeeeee border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>ผู้มีสติ</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ผู้ใดมีสติอยู่ทุกเวลา ผู้นั้นก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าเมื่อตา
    มองเห็นรูปก็เป็นธรรมะ หูได้ยินเสียงก็เป็นธรรมะ จมูกได้กลิ่นก็เป็นธรรมะ ลิ้นได้รสก็เป็น
    ธรรมะ ธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ นึกขึ้นได้เมื่อใดเป็นธรรมะเมื่อนั้น

    ฉะนั้น ผู้มีสติจึงได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน มันมี
    อยู่ทุกเวลาเพราะอะไร ? เพราะเรามีความรู้อยู่

    ในเวลานี้ เราจึงเรียนอยู่กลางธรรมะ จะเดินไปข้างหน้าก็ถูกธรรมะ จะถอยไปข้างหลังก็ถูก
    ธรรมะ ท่านจึงให้มีสติถ้ามีสติแล้ว มันจะเห็นกำลังใจของตน เห็นจิตของตน ความรู้สึกนึกคิด
    ของตัวเองเป็นอย่างไรก็ต้องรู้ รู้ถึงที่แล้ว ก็รู้แจ้งแทงตลอดเมื่อมันรอบรู้อยู่เช่นนี้ การประพฤติ
    ปฏิบัติมันก็ถูกต้องดีงามเท่านั้นแหละ


    http://www.dhammathai.org/store/talk/talk29.php
     
  11. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 align=center bgColor=#eeeeee border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>วัด กับทางมาวัด</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี ทั้ง ๓ ประการนี้ ท่านเรียกว่า มรรค
    มรรค นี้ยังมิใช่ศาสนา อีกทั้งยังไม่ใช่สิ่งที่พระศาสดาทรงต้องการอย่างแท้จริงเลย แต่ก็เป็น
    หนทางที่จะดำเนินเข้าไปเหมือนกับท่านมาจากกรุงเทพ จะมาวัดหนองป่าพง ท่านคงไม่ต้อง
    การหนทาง ต้องการจะถึงวัดต่างหาก แต่หนทางก็จำเป็นสำหรับท่านที่จะต้องมา

    ฉะนั้น ถนนที่ท่านมาก็ไม่ใช่วัด มันเป็นเพียงถนนมาวัดเท่านั้น แต่จำเป็นต้องมาตามถนน จึง
    จะถึงวัดได้ ศีล สมาธิ ปัญญา คือถนนที่จะเข้าไปถึงความสงบ ซึ่งเป็นจุดที่ต้องการ



    http://www.dhammathai.org/store/talk/talk21.php
     
  12. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 align=center bgColor=#eeeeee border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>หยุดแล้ว</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี</TD></TR></TBODY></TABLE>

    เมื่อมันรู้เห็นหมดแล้ว ธรรมะก็ไม่ได้แบกเอาไปด้วย อย่างเลื่อยคันนี้ เขาจะเอาไปตัดไม้ เมื่อ
    เขาตัดไม้หมดแล้ว อะไรก็หมดแล้ว เลื่อยก็เอาวางไว้เลย ไม่ต้องไปใช้อีก เลื่อยคือธรรมะ
    ธรรมะต้องเอาไปปฏิบัติเพื่อให้บรรลุมรรคผล ถ้าหากว่ามันเสร็จแล้ว ธรรมะ ที่อยู่ก็วางไว้
    เหมือนเลื่อยที่เขาตัดไม้ ท่อนนี้ก็ตัด ท่อนนี้ก็ตัด ตัดเสร็จแล้ว ก็วางไว้ที่นี่ ย่างนั้นเลื่อยก็ต้อง
    เป็นเลื่อย ไม้ก็ต้องเป็นไม้

    นี่เรียกว่าถึงหยุดแล้ว ถึงจุดของมันที่สำคัญแล้วสิ้นการตัดไม้ ไม่ต้องตัดไม้ ตัดพอแล้ว เอา
    เลื่อยวางไว้


    http://www.dhammathai.org/store/talk/talk20.php
     
  13. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 align=center bgColor=#eeeeee border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>ต้องรู้อยู่ตลอด</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ถ้าหากว่า เราเผลอไปนาทีหนึ่ง ก็เป็นบ้านาทีหนึ่ง เราไม่มีสติสองนาที เราก็เป็นบ้าสองนาที
    ถ้าไม่มีสติครึ่งวัน เราก็เป็นบ้าอยู่ครึ่งว้น เป็นอย่างนี้

    สตินี้คือความระลึกได้ เมื่อเราจะพูดอะไร ทำอะไร ต้องรู้ตัวเราทำอยู่ เราก็รู้ตัวอยู่ ระลึกได้อยู่
    อย่างนี้คล้ายๆกับเราขายของอยู่ในบ้านเรา เราก็ดูของของเราอยู่คนจะเข้ามาซื้อของ หรือขโมย
    ของของเรา ถ้าเรา สะกดรอยมันอยู่เสมอเราก็รู้เรื่องว่าคนๆนี้ มันมาทำไม เราจับอาวุธ ของเราไว้
    อยู่อย่างนี้ คือเรามองเห็นพอขโมยมันเห็นเรา มันก็ไม่กล้าจะทำเรา อารมณ์ก็เหมือนกัน ถ้ามีสติรู้
    อยู่ มันจะทำอะไรเราไม่ได้อารมณ์มันจะทำให้เรา ดีใจอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่ได้ มันไม่แน่นอน
    หรอก เดี๋ยวมันก็หายไป จะไป ยึดมั่นถือมั่นทำไม อันนี้ฉันไม่ชอบ อันนี้ก็ไม่แน่นอนหรอก...

    ถ้าอย่างนี้ อารมณ์นั้นก็เป็นโมฆะเท่านั้น เราสอนตัวของเราอยู่ เรามีสติอย่างนี้เราก็รักษาอย่างนี้
    เรื่อยๆ ไป ตอนกลางวัน ตอนกลางคืน ตอนไหนๆ ก็ตาม


    http://www.dhammathai.org/store/talk/talk15.php
     
  14. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 align=center bgColor=#eeeeee border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>เหนื่อยก็ไม่พัก หนักก็ไม่วาง</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : ( หลวงพ่อชา สุภัทโท ) วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี </TD></TR></TBODY></TABLE>

    โลกนี้มันก็สม่ำเสมอดีอยู่หรอก ที่มันไม่สม่ำเสมอนั้น เพราะจิตของเราหลงไปอุปาทานมั่น
    หมายมัน เสียแล้วเช่นต้นไม้ในป่านี้แหละ ต้นนี้มันโตไป ต้นนี้มันเล็กไป ต้นนี้มันสูงไปต้นนี้มัน
    เตี้ยไป นี่เราก็พูดแต่เรื่องของเรา ต้นไม้มันก็ไม่ว่าของมันยาวหรือสั้น มันก็เป็นของมันอยู่อย่าง
    นั้นอารมณ์ เกิดมาจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็เป็นอยู่ของ มัน อยู่อย่างนั้น ถ้าจิตมันรู้เรื่อง
    แล้วก็ปล่อยๆมันไป ทางตาก็ดี ทางหูก็ดี ทางจมูกก็ดี ทางลิ้นก็ดี ทางกายก็ดี ทางใจก็ดี ถ้าเห็น
    สภาพมันเป็น อย่างนั้น มันก็ ปล่อย รับรู้แล้ว มันก็ปล่อย อารมณ์ทั้งหลายนั้น มันก็เสมอกัน ไม่มี
    อะไรดี ไม่มีอะไรชั่ว มันจะดี หรือมันจะชั่ว

    ก็เพราะเราไปมีอุปาทาน มั่นหมายมันเท่านั้นตัวอารมณ์มัน เป็นอยู่อย่าง นั้นของมันถูกสมมติ
    ขึ้นมาในจิตใจของเรา เราก็ไปสำคัญ มั่นหมายว่า มันเป็นที่จิตอย่างนั้น จากนั้นเราไปแบกมัน
    มันก็หนัก ความ หนักนั้นก็ทำ ให้เกิดทุกข์ขึ้นมา ทีนี้จะวางก็วางไม่ได้... ทำไมจึงวางไม่ได้? ก็
    เพราะนึกว่า ของหนักนั้นมันดี คิดว่าวางแล้ว มันจะไม่ได้ดี จึงไม่ยอมวาง มัน อย่าง บุรุษคน
    หนึ่งแบกต้นไม้มาถามว่าหนักไหม? หนักก็วางมันเสีย ที่นี่ เขาไม่ ยอมวาง เพราะกลัวจะไม่ได้
    สิ่งที่ได้จากการวางนั้นมีอยู่ แต่เขาไม่เห็น... มันก็แบกไป ดันไปจนกว่าจะตายนั่นเอง



    http://www.dhammathai.org/store/talk/talk8.php
     
  15. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 align=center bgColor=#eeeeee border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>เถาวัลย์</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เด็กๆก็เหมือนกับเถาวัลย์นั่นแหละ เมื่อเถาวัลย์เกิดขึ้น ณ ที่ใด มันจะต้องหาต้นไม้ ที่จะเลื้อย ขึ้นไปเสมอในเมื่อต้นไม้ ต้นหนึ่งอยู่ใกล้ ๑๕ เซ็นติเมตร ถ้าอีกต้นหนึ่งอยู่ห่าง ๑๐ เมตร คุณว่ามันจะเลื้อยขึ้นต้นไหน ?

    มันก็จะเลื้อยขึ้น ต้นที่อยู่ใกล้ที่สุดนั่นแหละ ต้นที่อยู่ห่าง ๑๐ เมตรโน่นมันคงไม่เลื้อยไปหรอก เพราะมันไกล เกินไป ฉะนั้น ครูเป็นผู้ที่ใกล้ชิดของเด็กๆ ทั้งหลายนั่นเองแหละ เป็นผู้ที่เด็กๆ ทั้งหลายจะถือเอาเป็นแบบอย่าง จำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องมีการประพฤติจรรยามารยาท เครื่องละเว้น เครื่องบำเพ็ญให้เด็กดู อย่าสอนเขาแต่ปากการยืน การเดิน การนั่ง การเคลื่อนไหว การพูดจา อะไรทุกอย่าง เราต้องทำให้เป็นการสอนเขาทั้งนั้น เด็กๆเขาจะทำตามเพราะเด็กนั้นไว เขาไวกว่าผู้ใหญ่


    http://www.dhammathai.org/store/talk/talk2.php
     
  16. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,012
    สาธุในธรรมทานในครั้งนี้ครับ
    ขอให้ท่านมีแต่ความสุขความเจริญนะครับ
     
  17. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    15,448
    ค่าพลัง:
    +39,087
    อนุโมทนาในธรรมครับ ธรรมมะของหลวงพ่อชาท่านลึกซึ้งมากครับ หลายๆประโยคจะโดนใจมากครับ แต่บางครั้งต้องอ่านซ้ำหลายๆเที่ยวถึงจะเข้าไปในใจครับ
     
  18. varakorn

    varakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2005
    โพสต์:
    157
    ค่าพลัง:
    +435
    ธรรมะนั้น ย่อมรักษาผูประพฤติธรรม

    คำสอนทั้งหลาย ชอบแล้ว ดีแล้ว ข้าพเจ้า ขออนุโมทนาในบุญกุศลทั้งหลายด้วยนะครับ
     
  19. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    ลูกถีบหลวงปู่ชา…

    เรื่องมีอยู่ว่ามีลูกศิษย์ที่เป็นพระฝรั่งองค์หนึ่ง...พระอาจารย์ญาณธัมโม ชาวออสเตรเลีย...เล่าให้ฟังว่า...

    "….วันหนึ่ง อาตมามีเรื่องขัดใจกับพระรูปหนึ่ง รู้สึกโกรธ หงุดหงิดอยู่ทั้งวัน รุ่งเช้าไปบิณฑบาตก็เดินคิดไปตลอดทางขากลับเข้าวัด พอดีเดินสวนทางกับหลวงพ่อ ท่านยิ้มและทักทายเป็นภาษาอังกฤษว่ากู๊ด มอร์นิ่ง!!! ซึ่งทำให้อารมณ์ของอาตมาเปลี่ยนทันที….ที่กำลังขุ่นมัวหงุดหงิด กลับเบิกบานปลื้มปิติที่หลวงพ่อทักเรา

    ถึงเวลาสวดมนตร์เย็นทำวัด หลวงพ่อให้อาตมาเข้าไปอุปัฏฐากถวายการนวดที่กุฏิของท่านเป็นการส่วนตัว อาตมารู้สึกตื่นเต้นดีใจมากกับโอกาสใกล้ชิดอยู่สองต่อสองที่หาได้ยากอย่างนั้น แต่ขณะที่กำลังถวายการนวดอย่างตั้งอกตั้งใจและปลื้มปิติ ทันใดนั้นเอง อย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว หลวงพ่อก็ถีบเปรี้ยงเข้าที่ยอดอกซึ่งกำลังพองโตด้วยความรู้สึกภาคภูมิของอาตมาจนล้มก้นกระแทก แล้วท่านก็ตำหนิว่า "…..จิตใจไม่มั่นคง พอไม่ได้ดังใจก็ขุ่นเคืองหงุดหงิด เมื่อได้ตามปรารถนาก็ฟูฟ่อง…." ผมฟังท่านดุไปหลายๆอย่างแล้วร้องให้เลย...ไม่ใช่เพราะโกรธหรือเสียใจ แต่เพราะซาบซึ้งในพระคุณของท่าน หลวงพ่อเมตตามากที่ช่วยชี้กิเลสของเรา ไม่เช่นนั้นเราก็คงมือบอดมองไม่เห็น คงเป็นคนหลงอารมณ์ไปอีกนาน….."

    (เรื่องนี้ หารายละเอียดอ่านได้ในหนังสืออุปลมณี น.363)
    http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=14646
     
  20. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    หลวงปู่ช่วยด้วย!!!…แต่กลับไปไหว้แอร์โฮสเตส!!!

    วันที่ 6 พค. 2520 (บันทึกการเดินทางจาริกไปต่างประเทศครั้งแรก) บินต่อถึงเมืองการาจีประเทศปากีสถาน บินผ่านอิตาลีถึงกรุงลอนดอน

    ในขณะที่บินอยู่ เครื่องบินได้เกิดอุบัติเหตุ ยางระเบิด1เส้นบนอากาศ เครื่องบินมีอาการเอียงวูบ ๆ พนักงานบินจึงได้ประกาศให้ผู้โดยสารเตรียมตัวรัดเข็มขัด มีฟันปลอมก็ต้องถอดออก แม้กระทั่งแว่นตาหรือรองเท้าหรือเครื่องบริขารทุกอย่าง ต้องเตรียมพร้อมหมด ผู้โดยสารทุกคนเมื่อเก็บบริขารทุกอย่างหมดแล้ว ต่างคนต่างก็เงียบ คงคิดว่าเป็นวาระสุดท้ายของพวกเราทุกคนเสียแล้ว ทางหอบังคับการบิน ได้เตรียมเฮลิคอปเตอร์ รถดับเพลิงพร้อมสรรพ

    หลวงปู่ชาท่านได้เล่าไว้ว่า "….เป็นครั้งแรกที่เราได้เดินทางมาเมืองนอกเพื่อสร้างประโยชน์แก่พระศาสนา จะเป็นผู้มีบุญอย่างนี้เทียวหรือ? เมื่อระลึกได้เช่นนี้แล้ว ตั้งสัตย์อธิฐาน มอบชีวิตให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็กำหนดจิตรวมลงในสถานที่ควรอันหนึ่ง แล้วก็ได้รับความสงบเยือกเย็น ดูคล้ายกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พักในที่ตรงนั้น จนกระทั่งเครื่องบินได้ลดระดับลงมาถึงแผ่นดินด้วยความปลอดภัย….." ฝ่ายผู้โดยสารก็ปรบมือกันด้วยความดีใจ คงคิดว่าเราปลอดภัยแล้ว

    สิ่งที่แปลกก็คือ ขณะเมื่อเครื่องบินเกิดอุบัติเหตุ ต่างคนก็ร้องเรียกว่า "หลวงพ่อช่วยปกป้องคุ้มครองพวกเราทุกคนด้วย" แต่เมื่อพ้นอันตรายแล้ว เดินลงจากเครื่องบินเห็นประนมมือไหว้พระเพียงคนเดียวเท่านั้น นอกนั้นไหว้แอร์โฮสเตสทั้งหมด!!!

    (เรื่องนี้ หารายละเอียดอ่านได้ในหนังสืออุปลมณี น.504 และหนังสือร่มเงาวัดหนองป่าพง น.24)
     

แชร์หน้านี้

Loading...