ธรรมะจากหลวงพ่อชา

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย TupLuang, 12 มิถุนายน 2008.

  1. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    คนตายแล้วไปไหน

    ครั้งหนึ่งมีแหม่มฝรั่งมาถามปัญหาโลกแตกกับหลวงปู่
    แหม่มฝรั่ง "…คนตายแล้วไปไหน…."
    หลวงปู่จึงเป่าเทียนเล่มที่อยู่ใกล้นั้นให้ดับและถามกลับไปว่า "….เทียนดับแล้วไปไหน….."
    แหม่มฝรั่งรู้สึกงุนงงในคำตอบของท่านมาก แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ท่านจึงถามอีกว่า "….พอใจหรือยังที่ตอบปัญหานี้…"
    แหม่มตอบว่า"….ไม่พอใจ…."
    ท่านจึงตอบว่า"….เราก็ไม่พอใจในคำถามของเธอเหมือนกัน…."

    (จากหนังสืออุปลมณี น.524)
     
  2. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    เพลงของพระพุทธเจ้า

    สมัยหนึ่งเพลงลูกทุ่ง "มัน บ่ แน่ดอกนาย"กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ไปถึงไหนๆก็ต้องได้ยิน วันหนึ่งหลวงพ่อบังเอิญมีธุระผ่านเข้าเมือง ก็พลอยได้ยินไปกับชาวบ้านเขาด้วย และเมื่อกลับถึงวัดท่านได้ปรารภเรื่องนี้ให้ลูกศิษย์ฟัง ในระหว่างการอบรมว่า "...เออ นั่นมันร้องเพลงของพระพุทธเจ้าเลยน่ะนั่น...."

    (จาก .อุปลมณี น.306)
     
  3. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    รูปแบบภายนอก VS จิตใจภายใน

    พระอาจารย์ทองรัตน์ กันตสีโลซึ่งเป็นลูกศิษย์รุ่นแรกๆของหลวงปู่มั่นเป็นผู้ที่หลวงปู่ชายกย่องเป็นอาจารย์และเคารพอย่างสูงสุด พระอาจารย์ทองรัตน์เป็นผู้มีปัญญาบารมีและอารมณ์ขัน แต่มักมีพฤติกรรมแปลกๆ แผลงๆ เป็นต้นว่ามารยาทในการฉันอาหารซึ่งดูไม่งดงามเลย ทั้งๆที่พระอาจารย์สอนลูกศิษย์ให้ฉันสำรวม

    และครั้งหนึ่งเมื่อไปบิณฑบาตในหมู้บ้าน ท่านก็ไปหยุดยืนที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง เมื่อเจ้าของบ้านเหลือบมาเห็นพระก็ร้องขึ้นว่า "ข้าวยังไม่สุก"
    แทนที่ท่านอาจารย์ทองรัตน์จะเดินผ่านไป ท่านกลับร้องบอกว่า "บ่เป็นหยังดอกลูก พ่อสิท่า ฝ่าว ๆ เร่งไฟเข้าเด้อ" (ไม่เป็นไรลูก พ่อจะคอย เร่งไฟเข้าเด้อ )

    มีอีกเรื่องหนึ่ง ระหว่างพำนักอยู่กับหลวงปู่มั่น และไม่ค่อยได้ฟังเทศน์ พระอาจารย์ทองรัตน์ก็มีอุบายหลายอย่างที่ทำให้หลวงปู่มั่นต้องแสดงธรรมให้ฟังจนได้!!! อย่างเช่นครั้งหนึ่งไปบิณฑบาต ท่านก็เดินแซงหน้าหลวงปู่มั่น แล้วก็ควักแตงกวาจากบาตรออกมากัดดังกร้วมๆ และอีกครั้งหนึ่งท่านไปส่งเสียงเหมือนกำลังชกมวย เตะถีบต้นเสาอย่างอุตลุตใต้ถุนกุฏิหลวงปู่มั่นนั่นเอง ในขณะที่เพื่อนสหธรรมมิกต่างก็กลัวกันหัวหด ผลก็คือ ตกกลางคืน ลูกศิษย์ลูกหาต่างได้ฟังเสียงหลวงปู่มั่นอบรมด้วยเทศน์กัณฑ์ใหญ่ทั้งสองครั้ง!!! หลวงปู่ชาเล่าว่า พระอาจารย์ทองรัตน์ เป็นผู้อยู่อย่างผ่องแผ้วจนวาระสุดท้าย

    (จาก อุปลมณี น.116)
     
  4. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    พระอรหันต์ไม่สมบูรณ์ 100% เพราะอธิวาสนา

    เรื่องนี้หลวงปู่ชาเล่าให้ฟังถึง พระอาจารย์ทองรัตน์

    หลวงปู่ชาตอนฝึกออกปฏิบัติเที่ยวธุดงค์อยู่นั้น มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านเดินทางไปกราบท่านอาจารย์ทองรัตน์ด้วยได้ยินชื่อเสียง (ไม่เคยพบกันมาก่อน) เมื่อไปกราบท่าน ท่านอาจารย์ทองรัตน์ทักทายว่า " ชา...มาแล้วหรือ" ซึ่งแปลกมากเพราะไม่เคยพบกันมาก่อนเลย!!!

    ท่านกล่าวไว้ว่า "...คนเรานั้นเป็นคนเหมือนกันจริง แต่ก็ไม่เหมือนกันทั้งหมด.....ในด้านของพฤติกรรม เพราะเหตุปัจจัยที่ผ่านเข้ามาสร้างเป็นจริตนิสัยนั้นต่างกัน เมื่อทำอะไรบ่อย ๆ เข้ารวมเป็นนิสัย ทำซ้ำบ่อย ๆ มากขึ้นกลายเป็นอุปนิสัย (นิสัยที่แน่นอนหรือสันดาน) อุปนิสัยก็ยิ่งพอกพูนเป็นเรื่องอธิวาสนา คือเป็นพฤติกรรมประจำตัวที่แก้ไม่ได้....***ผู้ที่จะแก้อธิวาสนาได้ มีเพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้น แม้นพระอรหันต์ก็ไม่สามารถแก้อธิวาสนาได้***...."

    (จากอุปลมณี น.๒๙๘)
     
  5. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    ธรรมแท้ต้องออกจากใจ สด ๆ

    ท่าน อ.โรเบิร์ต สุเมโธ ท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่า

    "....การจัดให้ลูกศิษย์ขึ้นเทศน์นี้ หลวงพ่อมีกติกาอยู่ข้อหนึ่งคือ ห้ามเตรียมตัวเตรียมเนื้อหาของเรื่องที่จะเทศน์ แต่ให้แสดงออกถึงสิ่งที่มีอยู่ในใจขณะนั้น ท่านสอนไม่ให้หวังอะไรจากการเทศน์ ไม่ใช่พูดเพื่อให้ใครนับถือ หรือเกิดความชอบใจซาบซึ้ง ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้มีอัตตาแอบเข้าไปในการแสดงธรรม...

    มีอยู่ครั้งหนึ่งผมดื้อมาก เตรียมคำเทศน์ไว้ก่อนอย่างละเอียด ล้วนแต่เรื่องดี ๆ ทั้งนั้น เมื่อเทศน์จบผมก็หลงภูมิใจตนเองว่าเทศน์ได้ดีมาก แต่พอลงจากธรรมาสน์เข้าไปกราบหลวงพ่อ ท่านทำหน้าขรึมแล้วก็ดุว่า "...ไม่เข้าท่า อย่าทำอย่างนี้อีกต่อไป...."

    (จาก อุปลมณี น.357)
     
  6. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    อายกันคนล่ะแบบ

    หลวงปู่ชามีความรักและเคารพต่อข้อวัตรปฏิบัติของท่านมาก จนกระทั่งเคยบอกศิษย์ว่า "...ถ้าจะให้ผมละเมิดพระวินัย ผมยอมตายก่อน ไม่เสียดายชีวิตเท่าเสียดายพระวินัย..."

    ครั้งหนึ่งหลวงปู่ชาได้รับนิมนต์ไปฉันจังหันในพระบรมมหาราชวัง ขณะลงจากรถ ได้พบกับเจ้าคุณรูปหนึ่งพอดี ท่านเจ้าคุณรูปนั้นมองเห็นว่าหลวงปู่สะพายบาตรอยู่ ก็ถามอย่างเยาะหยันว่า "คุณชา ไม่อายในหลวงหรือ สะพายบาตรเข้าวัง"
    หลวงปู่ตอบว่า"....ท่านเจ้าคุณไม่ละอายพระพุทธองค์หรือครับ ไม่สะพายบาตรเข้าวัง..."

    (จากอุปลมณี น.113)

    http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=14646
     
  7. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    จงใจใช้กรรมให้หมดสิ้น

    ปกติเรื่องที่พิสูจน์ยาก หลวงปู่ชามักจะเลี่ยงที่จะพูดถึง และบางครั้งก็จะไม่อธิบายไปเลย เรื่องนี้เกี่ยวกับตาเสยที่เป็นลูกศิษย์ คนหนึ่งได้เล่าไว้

    ครั้งหนึ่งหลวงพ่อตาเจ็บ ผมเห็นแล้วทนไม่ได้ พยายามหายามาถวาย แต่ท่านไม่ยอมใส่ยาแถมบอกว่า " เอาวางไว้นั่นแหละ ถ้ายาดีจริง ไม่ใส่มันก็หาย"

    ผม(ตาเสย)จนปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไรเลยร้องไห้ ก็โดนท่านดุไปด้วยสอนไปด้วยว่า
    " แก่จะตายแล้วยังร้องไห้อีก หัวเราะซี มันเจ็บก็ตาต่างหากที่เจ็บ เราต้องหัวเราะเหมือนไม่เจ็บ ต้องสู้ตาย เอาให้มันเลยตายไปโน่น"

    อีกสองวันต่อมา หลวงพ่อคงนึกได้ ให้ผม (ตาเสย) ไปหาใบกุยช่ายมาขยี้แล้วป้ายตาให้ท่าน จึงหาย "นี่แหละกรรม" ท่านเล่าให้ฟัง "รู้อยู่หรอกว่าเป็นผลกรรมที่สร้างไว้ สมัยเด็กๆเห็นตุ๊กแกเป็นไม่ได้ ต้องทิ่มตาโปนๆของมันทุกที แล้วก็จับเอาไปสับกับหัวหอม ปิ้งไฟ อร่อยดีแท้ๆ....ทีนี้มันตามมาทันซิ...."

    (จากอุปลมณี น.501)
     
  8. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    ปฏิจจสมุปบาทแบบคนตกต้นไม้

    หลวงปู่ชาจะเปรียบเทียบธรรมที่ลึกซึ้งด้วยการเปรียบเทียบอย่างง่ายๆ เช่นในเรื่องของปฏิจจสมุปบาท แต่ในขณะเดียวกันท่านก็ไม่เคยปฏิเสธเรื่องบาป-บุญ หรือเรื่องบางอย่างที่พิสูจน์ได้ยาก เพียงแต่ท่านบอกว่ามันไม่ใช่เรื่อง ลึกซึ้งอะไร ไม่ควรสนใจมากเพราะไม่ใช่แนวการดับทุกข์โดยตรง ผมคัดลอกการอธิบายเรื่องปฏิจจสมุปบาทมาให้อ่านเผื่อว่ามีคนจะอยากอ่าน

    (จากบทเทศนา กุญแจภาวนา)

    ....มันจะเกิดยินร้ายก็เป็นสังขาร มันอยากจะไปโน่นไปนี่ก็เป็นสังขาร ถ้าไม่รู้เท่าสังขารก็วิ่งตามมันไป เป็นไปตามมัน เมื่อจิตเคลื่อนเมื่อใดก็เป็นสมมติสังขารเมื่อนั้น ท่านจึงให้พิจารณาสังขารคือจิตมันเคลื่อนไหวนั่นเอง

    เมื่อมันเคลื่อนออกไปก็เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ท่านให้พิจารณาอันนี้ ท่านจึงให้รับทราบสิ่งเหล่านี้ไว้ ให้พิจารณาสังขารเหล่านี้ ปฏิจจสมุปบาทธรรมก็เหมือนกัน....

    อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร

    สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญ-ญาณ

    วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูปฯลฯ

    เราเคยเล่าเรียนมาศึกษามาก็เป็นจริงคือท่านแยกเป็นส่วนๆไปเพื่อให้นักศึกษารู้ แต่เมื่อมันเกิดมาจริง ๆ แล้วท่านมหานับไม่ทันหรอก

    อุปมาเหมือนเราตกจากยอดไม้ก็ตุ๊บถึงดินโน่น ไม่รู้ว่ามันผ่านกิ่งไหนบ้าง จิตเมื่อถูกอารมณ์ปุ๊บขึ้นมาถ้าชอบใจก็ถึงดีโน่น อันที่ติดต่อกันเราไม่รู้มันไปตามที่ปริยัติรู้นั่นเองแต่มันก็ไปนอกปริยัติ ด้วย มันไม่บอกว่าตรงนี้เป็นอวิชชาตรงนี้เป็นสังขารตรงนี้เป็นวิญญาณตรงนี้เป็นนามรูปมันไม่ได้ให้ท่านมหาอ่านอย่างนั้นหรอกเหมือนกับการตกจากต้นไม้ท่านพูดถึงขณะจิตอย่างเต็มที่ของมันจริงๆอาตมาจึงมีหลักเทียบว่าเหมือนกับการตกจากต้นไม้ท่านพูดถึงขณะจิตอย่างเต็มที่ของมันจริงๆอาตมาจึงมีหลักเทียบว่าเหมือนกับการตกจากต้นไม้เมื่อมันพลาดจากต้นไม้ไปปุ๊บมิได้คณนาว่ามันกี่นิ้วกี่ฟุตเห็นแต่มันตูมถึงดินเจ็บแล้ว

    ทางนี้ก็เหมือนกันเมื่อมันเป็นขึ้นมาเห็นแต่ทุกข์โสกะปริเทวะทุกข์โน่นเลยมันเกิดมาจากไหนมันไม่ได้อ่านหรอกมันไม่มีปริยัติที่ท่านเอาสิ่งละเอียดนี่ขึ้นมาพูดแต่ก็ผ่านไปทางเส้นเดียวกันแต่นักปริยัติเอาไม่ทัน
     
  9. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    เรื่องเกี่ยวกับน้ำมนต์

    วันหนึ่ง มีชายคนหนึ่งมากราบนมัสการหลวงพ่อ ตอนจะลากลับเขาคลานเขาคลานเข้าไปหมอบอยู่แทบเท้าท่าน และขอให้ท่านรดน้ำมนต์ให้ สักครู่หนึ่งหลวงพ่อจึงพูดออกมาว่า"….วันนี้ไม่ได้ต้มน้ำร้อน….."

    อีกเรื่องหนึ่ง…มีนายทหารท่านหนึ่งมาคุยสนทนาธรรมกับหลวงพ่ออยู่สองชั่วโมง ก่อนที่เขาและลูกน้องจะกลับเขาก็พูดว่า "...หลวงพ่อครับพวกผมจะลากลับแล้วน่ะครับ ขอรดน้ำมนต์หน่อย..."
    หลวงปู่ชา "….รดแล้ว…."
    นายทหารทักท้วง "….รดที่ไหนครับหลวงพ่อ ผมเป็นคนรับผมต้องรู้สิ…."
    หลวงปู่ชา"….รดมาตั้งสองชั่วโมงแล้วคุณยังไม่รู้สึกอีกหรือ…"

    (จากหนังสือ อุปลมณี น.434)
     
  10. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    พ่อพ่วงสิ้นใจ

    เรื่อง"พ่อพ่วงสิ้นใจ" นี้ผมอ่านพบในหนังสือบุญญฤทธิ์พระโพธิญาณเถระ พิมพ์โดย ชมรมกลุ่มหญ้าคา มีคุณ อำพล เจน เป็นบก. อ่านแล้วประทับใจมาก เลยเอามาเผยแผ่เป็นธรรมทาน (มีการตัดแต่งข้อความให้สั้นลงเล็กน้อยเพราะผมพิมพ์ช้ามาก แต่ประโยคที่เป็นคำพูดของหลวงปู่ชาจะไม่ตัดแต่งใด ๆ เพื่อความสมบูรณ์ของสาระสำคัญ)

    ก่อนอื่นควรทราบว่าพ่อพ่วง แม่แตง สมหมาย สองสามีภรรยาผู้ชรานี้เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการอุปถัมภ์บำรุงพระภิกษุสามเณรวัดหนองป่าพงมาตั้งแต่สมัยแรก พ่อพ่วงเคยปฏิบัติธรรมบวชกับหลวงปู่ชา1 พรรษา สึกออกมาแล้วก็ยังคงเป็นผู้รักษาศีล-ฟังธรรมอยู่ในวัดมาตลอด พ่อพ่วงศรัทธาหลวงปู่ชามากถึงกับได้ถวายร่างกายให้วัดโดยให้เอากระดูกของท่านมาให้คนอื่นพิจารณาธรรมซึ่งหลวงปู่ชาก็ได้รับคำ

    มกราคม 2508 พ่อพ่วงป่วยกระเสาะกระแสะ เข้า-ออกโรงบาลหลายครั้ง หลวงปู่ชาก็ได้หาโอกาสไป เยี่ยมอยู่หลายครั้ง

    12 มค.08 พ่อพ่วงอาการหนักมาก ขากรรไกรแข็ง พูดไม่ได้ ไม่ลืมตา มีเพียงเสียงครางฮือๆ อยู่ในลำคอ

    14 มค.08 หลวงปู่ชาและพระอาจารย์จันทร์ อินทวีโร พร้อมพระลูกศิษย์อีก 2 - 3 รูป รับนิมนต์ไปฉันภัตตาหารเช้าที่กรมทหาร หลังจากฉันเสร็จ หลวงปู่ได้บอกกับผู้กองบุญสมว่า อยากจะไปเยี่ยมพ่อพ่วง ให้ช่วยหารถคันใหญ่ ๆ สักคันไปได้ไหม
    ผู้กองบุญสม "…ไปเยี่ยมพ่อพ่วงไม่กี่คน เอาคันเล็กไปก็ได้นี่ครับ…"
    หลวงปู่ชายังคนยืนยัน "….เอาคันใหญ่ ๆ นั้นแหละ…"
    นายหนู (ลูกศิษย์ ที่อดีตเคยเป็นศัตรูของหลวงปู่ชา) "….จะไปเยี่ยมหรือไปรับพ่อพ่วงกันแน่…."
    หลวงปู่ชาตอบ "…ไปรับ."
    นายหนูแย้งขึ้นว่า "….ไปรับได้ยังไง ก็แกยังไม่ตาย ลูกหลานเขาจะให้มาหรือ…"
    หลวงปู่ชานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดเด็ดขาดว่า "….ตายไม่ตายก็ไปรับเอาวันนี้แหละ ไปกันเถอะพ่อพ่วงกำลังรอ…"

    คณะของหลวงปู่ชาเดินทางถึงบ้านพ่อพ่วงเวลา 12.15น. หลวงปู่ชาเข้าไปนั่งลงบนเตียงข้างตัวพ่อพ่วง มองดูพ่อพ่วงอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งจึงเอาฝ่ามือลูบใบหน้าพ่อพ่วงเบาๆ และเรียกชื่อพ่อพ่วง พ่อพ่วงลืมตาขึ้นทั้งที่ไม่ลืมตามาตลอดเวลามาหลายวันแล้ว
    หลวงปู่ชาถาม "…จำอาตมาได้ไหม…."
    พ่อพ่วงพยักหน้าน้อยๆ และน้ำตาก็ไหลคลอออกมาทันที เสียงครางในลำคอก็ดังขึ้นมาอีก หลวงพ่อวางฝ่ามือทาบลงที่หน้าผากพ่อพ่วงแล้ว ให้โอวาทว่า "….พ่อพ่วงเราเป็นนักปฏิบัติน่ะ เราเคยสู้มันมาตลอด สู้มานาน ถึงเวลาเขามาเอาก็ให้เขาเอาไป มันของเขา จะหวงเอาไว้ทำไม….เอาของเขามาแล้วก็ส่งเขาคืนไป เก็บเสียงไว้ข้างในสิ ปล่อยออกมาข้างนอกทำไม…" พ่อพ่วงเงียบกริบ หลวงปู่ชาให้โอวาทต่อ "…สังขารนี้มันไม่เที่ยงแท้แน่นอน รูปนี้มันไม่งาม มันเก่าแล้วเพราะว่ามันใช้มานาน ไปหาเอารูปใหม่กายใหม่ ไปยังสถานที่ที่เคยเห็นโน้นน่ะ...."

    ไม่มีใครเข้าใจแน่ชัดว่าหลวงปู่ชาหมายถึงสถานที่อะไร คงมีแต่หลวงปู่ชากับ พ่อพ่วงเท่านั้นที่รู้ความหมายที่แท้จริง.!!!

    หลวงปู่ชาหันมาถามผู้กองสมบุญ "….ตอนนี้เวลาเท่าไรแล้ว…."
    ผู้กองสมบุญถวายคำตอบ "….เที่ยงห้าสิบห้านาที…."
    หลวงปู่ชาพึมพำพอได้ยินทั่วกัน "….อีกห้านาทีพ่อพ่วงก็จะไปแล้ว…."
    หลวงปู่ชาใช้มือลูบใบหน้าพ่อพ่วงอย่างแผ่วเบาไปเรื่อยๆเปลือกตาของพ่อพ่วงก็ค่อย ๆ ปิดลงจนสนิทในเวลา13.00น!!!.
    พ่อพ่วงสิ้นใจด้วยอาการอันสงบต่อหน้าหลวงปู่ชา

    หลวงปู่ชารับเอาศพพ่อพ่วงกลับไปบำเพ็ญกุศลที่วัดหนองป่าพงทันที ส่วนกระดูกของพ่อพ่วง หลวงปู่ชาไม่ได้รับเอาไว้ เพราะเกรงจะกระเทือนจิตใจลูกหลานพ่อพ่วงจนเกินไป

    http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=14646
     
  11. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    ช่วยเด็กตกน้ำ

    คุณกมล สินธุเชาน์ เล่าว่า ครั้งหนึ่งหลวงพ่อสั่งให้เฮียเหมาออกไปที่นอกวัด ให้ไปบอกรถคันหนึ่งจอดอยู่หน้าวัดหนองป่าพงว่าอย่าไปไหนหลวงพ่อจะออกไปทำธุระ จะต้องใช้รถ คุณกมลนึกแย้งในใจว่าหน้าวัดจะมีรถที่ไหน วัดหนองป่าพงสมัยนั้นเรื่องจะมีรถผ่านไปมายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร แต่ขัดคำสั่งไม่ได้ต้องออกไปดู พบว่ามีรถยนต์จอกอยู่คันหนึ่งจริงๆ!!! จึงบอกกล่าวแก่เจ้าของรถตามบัญชาหลวงพ่อ

    เมื่อกลับมารายงานเรื่องรถถวายหลวงพ่อแล้ว ท่านลุกขึ้นครองจีวรและกล่าวว่า
    " ไปวัดเขื่อนจักคราว "(จักคราว หมายถึง สักนิดหน่อย, สักเดี๋ยว,สักครู่)
    วัดเขื่อนคือวัดวนโพธิญาณ สาขาวัดหนองป่าพง ตั้งอยู่ริมอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนสิรินธร อ.พิบูลมังสาหาร.
    "ไปทำไมหลวงพ่อ" เฮียเหมาสงสัย
    "ไปช่วยเด็กตกน้ำ" หลวงพ่อตอบ

    ระยะทางจากวัดหนองป่าพงไปถึงวัดเขื่อนราวๆ 80 กว่า กม. สมัยนั้นใช้เวลาวิ่งเกือบสองชั่วโมงจึงถึง เมื่อไปถึงก็เป็นเวลาพอดีกับครอบครัวของนายอำเภอ ปรีชา ณ ศีลวันต์ กำลังเล่นน้ำที่ริมฝั่งวัดเขื่อน ขณะนั้นเกิดอุบัติเหตุขึ้นทันที ลูกของท่านนายอำเภอจมหายลงไปในน้ำ ภรรยาของท่านนายอำเภอก็โผตามไปช่วย เลยมีอันจมหายไปด้วยกันทั้งคู่

    หลวงพ่อซึ่งไปถึงวัดพอดีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ท่านไม่ได้เดินไปที่ริมฝั่งเกิดเหตุแต่อย่างใด ท่านเพียงเดินขึ้นไปศาลาวัดเหมือนมีธุระกับทางวัดและนั่งลงพักที่นั่น ครู่เดียวก็ได้ทราบข่าวอุบัติเหตุ แม่ลูกจมน้ำจะตาย แต่กลับปลอดภัยดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ…..รายละเอียดการรอดตายไม่ทราบชัดว่ารอดขึ้นมาได้อย่างไร…..คงทราบแต่ว่าเมื่อแม่ลูกปลอดภัยแล้ว หลวงพ่อก็กลับวัดหนองป่าพงทันที….

    เป็นการเดินทางไปถึงแล้วนั่งพักแป๊บเดียวแล้วก็กลับดังคำที่ท่านบอกว่า "จะไปช่วยเด็กตกน้ำ"!!!

    (จากหนังสือ บุญญฤทธิ์ พระโพธิญาณเถระ ชมรมกลุ่มหญ้าคาพิมพ์ น.53)
     
  12. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    พระเครื่องเสด็จมาเอง

    พระอาจารย์มหาอมร เขมจิตโต เจ้าอาวาสวัดป่าวิเวกธรรมชาน์ ได้บันทึกจากปากคำของร้อยเอกสมบุญ บุญญรังสรรค์ (ยศขณะ พ.ศ.2510) เรื่องมีอยู่ว่าผู้กองเพิ่งย้ายมาอยู่อุบลใหม่ๆ ก็ถามไถ่ใครต่อใครว่ามีอาจารย์เก่งที่ไหนบ้าง เนื่องจากว่าเป็นผู้สนใจในเรื่องเครื่องรางของขลังอยู่เป็นนิสัย จึงมีผู้บอกให้ไปหาหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง

    วันแรกที่ได้พบหลวงพ่อ ก็เพียงสนทนาธรรมทั่วไป จนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา แต่ยังไม่กล้าขออะไรจากท่าน อีกสัปดาห์ก็กลับมาใหม่และกราบขอของดี แต่หลวงพ่อกลับบอกว่าอาตมาไม่มีของดีอะไร ของที่ดียิ่งกว่าของดีทั้งหลายคือธรรมะ ผู้ปฏิบัติตามธรรมะแล้วสามารถคุ้มครองตนเองได้
    ถึงยังงั้นแล้วผู้กองสมบุญยังคงรบเร้าจะเอาให้ได้ หลวงพ่อจึงบอกว่า อาตมาเคยมีพระเครื่องเหมือนกัน 12 องค์ เหตุที่มีนั้นเกิดจากโยมคนหนึ่งนำกระเป๋าที่ลูกสาวเคยใช้มาถวายเพราะลูกสาวตาย คิดถึงลูกสาวมากทุกครั้งที่เห็นกระเป๋าใบนี้ หลวงพ่อไม่รู้จะเอากระเป๋าไปทำอะไรเพราะเป็นของที่พระใช้ไม่ได้ แต่เพื่อรักษาน้ำใจจึงรับเอาไว้ ตั้งใจจะเอาไว้ใส่เข็มเย็บผ้ากับด้าย เปิดดูแล้วไม่มีอะไรในกระเป๋าจึงเอาไปแขวนไว้ข้างฝาด้านหัวนอน

    หลายวันต่อมาเห็นกระเป๋าแกว่งไปแกว่งมา เข้าใจว่าลูกหนูคงเข้าไปอยู่ในนั้นแล้วออกไม่ได้ จึงลุกไปเปิดกระเป๋าดูและเห็นพระเครื่องรูปใบโพธิ์อยู่ในกระเป๋า12 องค์ ไม่ทราบว่ามาอยู่ในกระเป๋าได้อย่างไร!!! ต่อมามีผู้ทราบเรื่องและมาทยอยขอไปจนหมดไม่เหลือ ผู้รับพระเครื่องไปบอกว่าเป็นพระเครื่องหลวงพ่อลี วัดอโศการาม ปากน้ำ!!!

    (จากหนังสือ บุญญฤิทธิ์ พระโพธิญาณเถระ ชมรมกลุ่มหญ้าคาพิมพ์ น.41)
     
  13. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    ซ่ามา เลยเจอสวนกลับ (นั่งอย่างเดียวก็ไม่ใช่)

    วันหนึ่งหลวงพ่อพาพระเณรขนดินขึ้นไปใส่ในสนามหญ้ารอบโบสถ์. พอดีขณะที่ท่านยืนสั่งงานอยู่นั้น มีหนุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งมาเที่ยวชมวัด เดินมาพบท่านเข้า พวกเขาเข้ามายืนใกล้ๆท่านทำท่าแบบฝรั่งวัยรุ่น กิริยาไม่สู้จะอ่อนน้อมเท่าใดนัก. หนึ่งในคณะของเขา ถามท่านหลายอย่าง และท้ายที่สุดเขาจึงถามทำนองรุกไล่ว่า "ทำไมท่านไม่พาพระเณรนั่งสมาธิ ชอบพาทำงานอยู่เรื่อย?"
    หลวงพ่อตอบออกไปทันควันว่า "นั่งมากมันถ่ายไม่ออกว่ะ"
    พวกนั้นรู้สึกงุนงงต่อคำตอบของท่าน ทันทีท่านยกไม้เท้าขึ้นชี้ไปยังคนถามปัญหา และสั่งสอนว่า
    "......ที่ถูกนั้นนั่งอย่างเดียวก็ไม่ใช่ เดินอย่างเดียวก็ไม่ใช่ ต้องนั่งบ้าง ทำประโยชน์บ้าง และทำความรู้ความเห็นให้ถูกต้องไปทุกเวลานาที อย่างนี้จึงจะถูก....กลับไปเรียนมาใหม่ นี้ยังอ่อนอยู่มาก เรื่องการปฏิบัตินี้ถ้าไม่รู้จริงอย่าพูด มันจะขายขี้หน้าตัวเอง"

    (จาก อุปลมณี น.317)
     
  14. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    พิสูจน์นักวิทยาศาสตร์

    พระอุปัฏฐากหลวงพ่อรูปหนึ่งเล่าให้ฟังว่า
    " มีอยู่ครั้งหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์เขามากราบหลวงพ่อ ตอนนั้นผมอยู่ที่กุฏิหลวงพ่อด้วย เขาบอกว่า พุทธศาสนาไม่มีอะไรที่พิสูจน์ได้ คงจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร วิทยาศาสตร์เขาดีกว่า ทำอะไรเขาก็พิสูจน์ได้เยอะ ทำอะไรออกมาก็ปรากฏให้เห็นได้ พุทธศาสนาพิสูจน์ไม่ได้ "
    หลวงพ่อตอบว่า "...เฮ้ย เรายังไม่ทันถึงพุทธศาสตร์ก็ได้เว้ย ก็เหมือนกับว่ามือเรามันสั้น แต่รูมันลึกลงไป เราล้วงมือลงไป มือมันสั้น มันสุดแค่นี้ แต่รูมันยังลึกเข้าไปอีก เราจะปฏิเสธว่า เอ๊ะ รูมันหมดแค่นี้เอง มันจะถูกต้องตามความเป็นจริงหรือเปล่า ความจริงมือเรามันสั้น เราไม่ได้คิดว่ารูมันลึกเข้าไปกว่านั้น หรือบางทีสายตาของเรามันสั้น เหมือนกับว่า เครื่องบินมันบินไป เครื่องบินนั้นมีอยู่ แต่สายตาของเรามันหมดเสียก่อน ก็เลยไม่เห็นเครื่องบิน แต่เครื่องบินมันยังมีและยังบินไปเรื่อยๆ อย่าเพิ่งปฏิเสธว่ามันไม่มี นี้เป็นกุศโลบาย"
    <!-- / message --><!-- sig -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...