ธรรมะจากเพจต่างๆ พระสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย ธรรมะสายหลวงปู่มั่น, 6 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    วัตถุมงคลก็เป็นเพียงวัตถุเท่านั้น ของจริงก็คือ
    พระสัจจธรรมทั้งปวง มีวัตถุมงคลแล้วไม่ทำตัวให้ดี
    ไม่ทำใจให้เป็นกุศล ก็หวังอะไรไม่ได้สักอย่าง มีวัตถุ
    มงคลแล้วต้องทำความดีด้วย จึงจะเกิดผลต่างๆ
    เป็นนานาประการ หากหวังพึ่งวัตถุมงคลอย่างเดียว
    โดยไม่สร้างบุญกุศลย่อมไม่ได้อะไรขึ้นมา
    โอวาทของ (หลวงปู่ฝั้น อาจาโร)

    .jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  2. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ” โลกแข่งขัน โลกแย่งชิงกัน
    ต่างคนต่างเห็น ต่างคนต่างรู้
    ต่างคนต่างใช้สิทธิ์
    ต่างคนต่างใช้อำนาจ
    ต่างคนต่างใช้ความคิด
    ต่างคนต่างใช้ความเห็น
    ของใครของมัน
    ใครก็ว่าความเห็นของตนดี
    ต่างคนต่างขัดแย้งซึ่งกันและกัน
    ไม่ลงรอยกัน
    ผลสุดท้ายก็เกิดกิเลสต่อสู้กัน
    จนเดินขบวนฆ่าฟันรันแทงกันตาย
    ระเนดระนองเลือดอาบแผ่นดิน
    ทับถมแผ่นดินเลย
    กลายเป็นภูติผีใหญ่
    กลืนกินมนุษย์หมดทั้งโลก
    อันนี้เป็นเพราะความเห็นผิด
    ของมนุษย์เรานั่นเอง
    จึงเป็นเหตุให้เดือดร้อนไปทุุกย่อมหญ้า
    ถ้าไม่กลับความคิดความเห็น
    ให้ถูกต้องตามศีลตามธรรม
    ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว
    ก็จะเดือดร้อนไปจนไม่มีวันจะจบจะสิ้นได้
    เพราะกิเลสกับกิเลสไม่ลงกัน
    ต่อเมื่อใด…มนุษย์เรา
    กลับมาทำความเห็นให้ถูกต้อง
    ตามธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว
    จึงจะมีความสุขความเจริญ
    ของมนุษย์โลกนี้
    คือให้อยู่ในกัลยาณศีลกัลยาณธรรมนั้น
    คือ ศีลสมาธิและปัญญา
    จึงจะพาให้พ้นทุกข์สุขนิรันดร์

    หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล
    เทิดไว้เหนือเศียรเกล้า ด้วยเกล้า สาธุ.

    -โลกแย่งชิงก.jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  3. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    เมตตาประกอบด้วยปัญญา เล่าโดย พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ

    พระธุดงค์รูปหนึ่งอยากจะเจริญเมตตาภาวนา ท่านได้ข่าวเรื่องหลวงปู่องค์หนึ่งอยู่ในวัดที่ห่างไกลจากความเจริญและอัตคัดกันดารมาก หลวงปู่มีชื่อเสียงมากในความมีเมตตาของท่าน พระธุดงค์องค์นี้จึงตั้งใจเดินทางไปหาหลวงปู่ เส้นทางยาวไกลและยากลำบากมาก แต่ท่านก็กัดฟันสู้ ท่านเดินธุดงค์หลายวันกว่าจะถึงวัดของหลวงปู่ เมื่อท่านเดินเข้าไปในเขตวัด ลูกวัดออกมาต้อนรับพาท่านไปพักผ่อนที่กุฏิ บอกให้ท่านเก็บริขารให้เรียบร้อยแล้วจะกลับมานิมนต์ไปกราบหลวงปู่

    พระธุดงค์ขึ้นไปบนกุฏิ เปิดหน้าต่างมองลงไปเบื้องล่าง เห็นหลวงปู่กำลังยืนอยู่ที่ชายป่า ท่านรำพึงขึ้นว่า “โอ้ ! นี่คือหลวงปู่ผู้มีเมตตาธรรม” ท่านรู้สึกปีติซาบซึ้งเลื่อมใส พอดีมีกวางตัวหนึ่งเดินออกมาจากชายป่า หน้าตาของหลวงปู่ผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรมเปลี่ยนไป ท่านยกไม้เท้าของท่านขึ้นตีกวางอย่างแรง ทำให้กวางตกใจวิ่งกลับเข้าป่าไปทันที พระธุดงค์เห็นแล้วรู้สึกหมดศรัทธาทันที…

    “โอ้ ! นี่เราโดนหลอกอย่างแรงเลย อุตส่าห์เดินทางมาหาด้วยความยากลำบากแทบตาย ใครๆ ก็ว่าหลวงปู่องค์นี้มีเมตตานัก เราก็อยากจะเจริญเมตตาภาวนา… โอ้ย ! ไม่เอาแล้ว รีบเก็บบริขารแล้วเผ่นเลยดีกว่า ไม่อยากจะต้องเผชิญหน้ากับท่าน ท่านทำให้เราผิดหวังสุดๆ เลย” …หลังจากนั้นไม่ว่าท่านจะไปที่ไหน ไปเจอใคร ท่านก็จะเที่ยวพูดถึงหลวงปู่ว่า “อย่าไปเชื่อเลยนะ หลวงปู่ที่เขาว่ามีเมตตาสุดๆ น่ะ ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย นี่ผมไม่ได้นินทาท่านนะ ผมไปเจอมาเอง ไม่ใช่ฟังจากคนอื่นนะ ผมเห็นกับตาตัวเอง เห็นชัดๆ เลยนะ ท่านทั้งทรมานสัตว์ ทั้งตีสัตว์ ผมเห็นหน้าท่านผมตกใจเลย” ไปไหนๆ ท่านก็พูดอย่างนี้

    ส่วนที่วัดของหลวงปู่ หลวงปู่ถามลูกวัดว่า “พระธุดงค์องค์นั้นอยู่ไหนล่ะ ไหนว่าท่านจะมากราบ” ลูกวัดกราบเรียนท่านว่า “หลวงปู่ครับ ท่านออกจากวัดไปแล้ว” หลวงปู่จึงพูดว่า “โอ… หลวงปู่รู้แล้ว เห็นพระองค์หนึ่งมองลงมาจากหน้าต่าง น่ากลัวท่านจะเข้าใจผิดเสียแล้วล่ะ” แล้วท่านก็ยิ้มก่อนที่จะพูดต่อว่า “วันนี้ตั้งใจจะตักเตือนพวกท่านอยู่แล้ว เรื่องนี้ว่า พระเรามักจะเทอาหารที่เหลือจากบาตรทิ้งไว้ที่ชายป่า กวางมันชอบมากิน กินบ่อยเข้าๆ จนมันคุ้นเคยกับคน มันก็เริ่มจะเข้าไปแถวๆ หมู่บ้าน ถูกชาวบ้านยิงตายลงหม้อไปหลายตัวแล้ว วิธีแก้มีอยู่เพียงวิธีเดียว เราต้องทำให้กวางมันกลัวคน หลวงปู่สงสารมัน หลวงปู่ก็เลยตีเพื่อให้มันกลัวคน มันจะได้ปลอดภัยจากความโหดร้ายของคน” นี่คือความเมตตาของหลวงปู่ ไม่ใช่เมตตาด้วยการเอาใจ แต่เป็นเมตตาที่ประกอบด้วยปัญญา มองภาพใหญ่หรือภาพรวมเป็นหลัก

    ท่านอาจารย์สอนว่า ข้อคิดข้อแรก คือ ในกระบวนการที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เพื่อจะช่วยคนอื่น ในบางช่วงอาจจะต้องทำสิ่งที่คนอื่นมองได้ว่าไม่น่าจะทำเลย แต่ก็เป็นการทำด้วยเมตตาเหมือนกัน ข้อคิดข้อที่สอง คือ พระธุดงค์ท่านเห็นกับตานะ ไม่ได้ฟังจากคนอื่น แต่ตาตัวเองนี่ก็เชื่อไม่ได้เสมอไป เพราะเราอาจจะเห็นแค่ช่วงสั้นๆ ของเรื่องราวทั้งหมดที่อาจจะสลับซับซ้อน ถ้าเราเห็นเพียงแค่นั้น เราอาจจะด่วนสรุปอย่างผิดๆ ก็ได้

    พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ (ฌอน ชิเวอร์ตัน Shaun Chiverton)
    วัดป่านานาชาติ ต.บุ่งหวาย อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

    ติดตามสาระดีๆที่ facebook.com/Luangpuwatpa

    -เล.png

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  4. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    กระแสเทศนาธรรมทำให้จิตสงบ

    นอกเหนือจากนั้น กระแสธรรมเทศนาก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้จิตสงบ
    ในสมัยที่อาตมายังเคยอยู่กับ หลวงปู่มั่น ในอดีตนั้น
    เคยมานั่งฟัง เวลาท่านอธิบายธรรมะ บางครั้งท่านจะอธิบายถึงชั่วโมง
    บางครั้งท่านอธิบายถึง ๓ ชั่วโมงก็มี ทำไมท่านจึงได้พูดนานนักหนา
    ทำไมท่านได้อธิบายมากนักหนา ทำไมถึงจะจดไหว ทำไมถึงจะจำไหวมากมายเหลือเกิน
    พูดไปอย่างไม่หยุดยั้ง เป็นเวลา ๑ ชั่วโมง เป็นเวลา ๓ ชั่วโมงนั้น
    เป็นคำพูดนับเป็นหมื่นเป็นนับเป็นหมื่นเป็นแสนคำ
    ซึ่งไม่สามารถจะจดจำได้หรอก แต่ว่าท่านได้เคยอธิบายว่า
    “กระแสธรรมเทศนานั้น เป็นกระแสที่มีทรงอานุภาพ
    ที่ว่าทรงอานุภาพนั้น เพราะสามารถสะกดจิตของบุคคลให้สงบได้”

    เป็นความจริง ในเมื่ออาตมาได้ฟัง
    แม้จะเป็นเวลาถึง ๓ ชั่วโมง ก็เหมือนกันกับเพียงนาทีเดียว
    เพราะเหตุใด เพราะเหตุว่าพลังจิตของท่าน และกระแสธรรมที่ออกจากจิตของท่าน
    ได้ไปบังคับจิตของเรานั้นให้ลงสู่ภวังค์ หรือบังคับจิตของเรานั้นให้ลงสู่จุดใดจุดหนึ่ง
    ที่เป็นจุดที่จะเกิดพลังงาน หรือเป็นจุดที่จะเกิดความเยือกเย็น
    หรือเป็นจุดที่จะเกิดความละเอียดอ่อน และธรรมะนี้สามารถที่จะเข้าไปสู่จุดนั้นได้จริง

    เพราะฉะนั้น อาตมาจึงใช้วิธีการที่ได้เคยได้ผลมาแล้ว
    นำมาใช้แก่ญาติโยมทั้งหลาย ในสถานที่แห่งนี้ หรือสถานที่อื่นๆ ก็ได้ผลตามลำดับมา
    เพราะเหตุใด เพราะเหตุว่า

    กระแสธรรมเทศนานั้น เป็นกระแสที่มีความคม
    เป็นกระแสที่มีความลึกซึ้ง ผู้ที่ฟังนั้น ไม่จำเป็นต้องจดจำ
    เพียงแต่กำหนดจิตให้เป็นภาชนะเท่านั้นเอง
    กระแสธรรมเทศนานี้ จะลงไปสู่จุดที่ตนต้องการ

    พระอาจารย์วิริยังค์ สิรินฺธโร
    วัดธรรมมงคล เถาบุญญนนท์วิหาร แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ

    .png

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  5. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ” หลวงปู่บวชเข้ามาถามตัวเอง
    อะไรเป็นของเรา ร่างกายใช่ของเราไหม
    ห้ามไม่ให้แก่ให้เจ็บให้ตายได้ไหม
    อาหารอะไรที่ดีที่อร่อยเราหามาบำรุง
    แล้วห้ามไม่ให้หิวไม่ให้อยาก
    ร่างกายเขาจะเชื่อฟังเราไหม
    เดินจงกรมนานๆ อะไรเหนื่อย
    จะห้ามไม่ให้เหนื่อยได้ไหม
    ร่างกายหรือจิตเหนื่อย
    ถ้าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา
    แล้วอะไรเป็นของเรา
    จิตใจเป็นของเรา
    เราต้องรบ สู้รบ เอาจิตใจของเราคืนมา
    เพราะจิตใจของเราเป็นบ้านของกิเลสตัณหา
    ถูกกิเลสตัณหาปกคลุมมาหลายภพหลายชาติแล้ว
    เราต้องต่อสู้เอาคืนมา
    ไม่ให้เป็นทาสใช้ของเขาอีกต่อไป
    แล้วเอาอะไรมาเป็นอาวุธต่อสู้
    เราต้องเอา ศีล สมาธิ สติ ปัญญา ศรัทธา
    ความพากความเพียร มาเป็นอาวุธหลุดพ้น
    มาต่อสู้ให้จิตใจของเราหลุดพ้นจากกิเลสตัณหา
    เมื่อได้คำตอบอย่างนี้แล้วหลวงปู่ก็ลุยเลย
    เดินจงกรมวันละ ๑๒ ชั่วโมง ไม่ให้ขาด
    เอาชีวิตเป็นเดิมพัน ตายเป็นตาย
    แต่ก็ไม่เห็นตาย
    ถ้าไม่กลัวตาย ตายครั้งเดียว
    ถ้ากลัวตายยิ่งต้องตายแล้วเกิดอีก
    หลายภพหลายชาติ ”

    หลวงปู่แฟ๊บ สุภัทโท
    เทิดไว้เหนือเศียรเกล้า ด้วยเกล้า สาธุ.

    1504449509_558_หลวงปู่บวชเข้ามาถามตัว.jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  6. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ” ถ้าไม่เห็นจิตหรือใจแล้ว ก็ไม่ทราบว่าจะไป
    ต่อสู้กับกิเลสตรงไหน เพราะกิเลสเกิดที่ใจ ”

    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย

    .jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  7. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    เมื่อหลวงปู่เจี๊ยะเจอ ตม.สนามบิน ค้นย่าม!!!

    ปี พ.ศ. ๒๕๓๘ หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท (ศิษย์ของหลวงปู่มั่น ผู้มีฉายาว่า “ผ้าขี้ริ้วห่อทอง”) ได้แสดงนิมิตให้พระลูกศิษย์ที่ขึ้นไปภาวนาบนดอยอ่างขางเห็นเกือบทุกคืนว่า
    “ลงมา… กูจะไปสิงคโปร์”
    เมื่อถึงออกพรรษา พระลูกศิษย์ก็รีบลงมาจากดอย โทรศัพท์หาโยมที่เป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่เจี๊ยะที่กรุงเทพฯ โยมคนนั้นบอกว่า
    “ครูบา… รีบลงมา… หลวงปู่จะไปสิงคโปร์!”
    เมื่อพระลูกศิษย์มาถึงแล้วก็เข้าไปกราบเรียนถามหลวงปู่เจี๊ยะว่า
    “หลวงปู่จะไปสิงคโปร์หรือ?”
    “ก็ไปซี… ไอ้ห่า! กูตะโกนเรียกมึงให้ลงมาตั้งกี่คืนแล้ว…ไม่เห็นมา ไอ้ห่า! แม่…!”
    หลวงปู่เจี๊ยะตบท้ายด้วยสำนวนประจำตัว (ฮา)

    หลวงปู่เจี๊ยะเดินทางไปสิงคโปร์ด้วยสายการบินไทย วันที่ท่านเดินทางไปที่สนามบินนั้น ก่อนขึ้นเครื่อง เจ้าหน้าที่ ตม. (ตรวจคนเข้าเมือง) จะต้องตรวจสิ่งของก่อน แต่ท่านซึ่งสะพายย่ามอยู่ก็ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ ตม. ตรวจ (เพราะท่านไม่เข้าใจกฎระเบียบของโลกสมัยใหม่)
    “เฮ้ย! กูไม่ให้ตรวจ”
    พระลูกศิษย์ที่ติดตามไปด้วยก็บอกว่า
    “หลวงปู่… ไม่ตรวจไม่ได้ มันผิดกฎหมาย”
    “เหรอ… กูไม่รู้” (ฮา)
    เมื่อเจ้าหน้าที่ ตม. ตรวจข้าวของในย่ามของหลวงปู่เจี๊ยะ เทออกมาก็พบมีด หัวขวานที่ยังไม่ได้ใส่ด้ามหลายอัน ไขควง ๗-๘ เล่ม และเครื่องใช้ต่างๆ เกี่ยวกับเหล็กที่ท่านตีเอง!!
    หลวงปู่เจี๊ยะเห็นดังนั้นก็บอกกับพระลูกศิษย์ว่า
    “มึงดูดีๆ หน่อย! เดี๋ยวมันจะขโมยของกู มึงต้องคอยป้องกันกู กูไปดี… จะเอาไปฝากคนที่โน่น (สิงคโปร์)” (ฮา)

    เหตุการณ์ในขณะนั้นตลกขบขันมากก็ตอนที่เจ้าหน้าที่ ตม. จะตรวจย่ามของหลวงปู่เจี๊ยะ ท่านไม่อยากให้เขาตรวจย่าม แต่มันจำเป็น ย่ามใบนั้นก็เลยถูกดึงยึกยักยื้อยุดกันไปมาระหว่างท่านกับเจ้าหน้าที่ ตม.
    ดูแล้วก็ตลกและน่ารักดีเหมือนกัน …

    ที่มา : หนังสือ “หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง” (ฉบับสมบูรณ์)

    -ต.png

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  8. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ย้อนรอยปาฏิหาริย์ : สื่อนอกตีข่าว…หลวงปู่แหวนเหินฟ้า!!
    รื้อสกู๊ปข่าวเอเชียแมกกาซีน กรณีหลวงปู่แหวนเหาะได้ … และวาทะ “เธอคิดว่าฉันเป็นนกหรือ?”
    ในสกู๊ปข่าว “ย้อนรอยปาฏิหาริย์” ตอนที่แล้วได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่นายทหารคนหนึ่งพบเห็นพระภิกษุชรารูปหนึ่งลอยอยู่บนก้อนเมฆขณะกำลังขับเครื่องบินเหนือน่านฟ้า และได้ตามหาตัวจนกระทั่งพบว่าเป็นหลวงปู่แหวนในเวลาต่อมา
    เหตุการณ์อัศจรรย์นี้มิได้เป็นที่โจษจันกล่าวขานกันเฉพาะในหมู่ชาวพุทธไทยเท่านั้น เพราะเมื่อเรื่องนี้รู้ถึงฝรั่งต่างชาติเข้าก็ถึงขนาดต้องส่งนักข่าวมาทำสกู๊ปข่าวเลยทีเดียว สื่อที่ว่านี้ก็คือ “เอเชีย แมกกาซีน” ซึ่งได้ส่งนายชาร์ลส์ บราวส์ มาทำข่าวและเขียนเป็นบทความขึ้นมา ดังนี้”ความเชื่อในสิ่งที่นอกเหนือธรรมชาติหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องธรรมดาในเมืองไทย เพราะมีผีและวิญญาณทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะปลูกบ้าน เดินทางไปเมืองนอก หรือเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี ก็จะต้องมีผู้ชำนาญการคอยช่วยชี้แนะเขาเหล่านั้น คือ โหร (นักพยากรณ์) คนเข้าทรง ฯลฯ แม้แต่พระสงฆ์ในพุทธศาสนาก็มีหลายองค์ที่มีเรื่องศักดิ์สิทธิ์เล่ากัน ในบรรดาพระสงฆ์นั้น องค์หนึ่งคือหลวงปู่แหวน ซึ่งผู้สื่อข่าวได้บรรยายให้เห็นภาพพจน์ที่คละเคล้าด้วยเรื่องราวที่แสดงถึงอารมณ์ขัน ความน่าเชื่อถือ ความเคารพศรัทธา และความรู้สึกเชื่อครึ่ง-ไม่เชื่อครึ่ง ตลอดจนปรัชญาของท่าน
    คณะของเรามี ๗ คน คือ แพทย์ ๔ พยาบาล ๑ ช่างภาพ ๒ เพราะท่านนายกรัฐมนตรีมีบัญชาให้ถ่ายภาพของหลวงปู่แหวนเพื่อนำไปติดไว้ที่อาคารหลังใหม่ของโรงพยาบาลนครเชียงใหม่ ปีนี้หลวงปู่แหวนอายุ ๙๒ ปี ท่านยังสุขภาพดี แต่ตาเจ็บ คณะแพทย์จึงต้องเดินทางไปตรวจรักษา วัดอยู่ในหมู่บ้านดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว เหนือเชียงใหม่ไป ๑๐๐ กิโลเมตร ประชาชนเพิ่งจะได้ยินชื่อเสียงของหลวงปู่แหวนเมื่อ ๕ ปี มานี้เอง ผู้เขียนเอง (ชาร์ลส์ บราวส์) ก็ไม่เคยได้ยินชื่อท่านมาก่อน ชาวบ้านในแถบนั้นเชื่อว่าท่านเป็นอรหันต์ เพราะว่าท่านมีเมตตาธรรมต่อพวกเขามาก แต่ความจริงแล้ว หากไม่มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นเมื่อ ๕ ปีที่แล้ว คนที่อยู่อำเภอพร้าวก็ไม่เคยมีใครได้ยินชื่อหรือรู้จักหลวงปู่แหวนมาก่อนเลย
    เรื่องมีอยู่ว่า นักบินแห่งกองทัพอากาศไทยคนหนึ่ง ขณะบิน (ซึ่งผู้เขียนไม่ทราบว่าบินสูงแค่ไหน เอาเป็นว่าบินอยู่บนท้องฟ้า ปะปนอยู่กับหมู่เมฆ) ทันใดนั้น นักบินก็สังเกตเห็นพระองค์หนึ่งนั่งสมาธิอยู่นอกเครื่องบินของเขา แน่ละ… เขาก็คิดว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด จึงเล่าให้เพื่อนฟัง แต่ไม่มีใครรู้จัก นักบินคนนั้นกางแผนที่สำรวจว่าบริเวณนั้นอยู่ที่ไหน พบว่าอยู่เหนือดอยแม่ปั๋ง เขาเดินทางไปและสอบถามชาวบ้านผู้บอกกับเขาว่า หลวงปู่แหวนเป็นพระที่พวกเขาเคารพนับถือมากที่สุด เขาจึงปลงใจเชื่อว่าน่าจะเป็นองค์นี้ที่เขาเห็น””ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลวงปู่แหวนก็เป็นพระที่มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ ผู้คนต่างพากันเดินทางไปเพื่อนมัสการและอยากพบตัวท่าน รูปภาพและเหรียญรูปเหมือนท่านก็มีขายทุกแห่ง ในวันที่ผู้เขียนไปถึง มีรถโดยสารใหญ่สองคัน แต่เจ้าอาวาสไม่ให้ใครเข้าพบหลวงปู่ ซึ่งเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้ด้วยเหตุผลที่ว่า หลวงปู่แก่ชรามาก ต้องการพักผ่อน หากใครอยากพบเห็นก็ให้แต่เช้าๆ ฯลฯ ผู้เขียนจะไม่เล่าในรายละเอียด แต่เป็นเรื่องตลกที่ได้ยินผู้ที่มาวัดแล้วไม่ได้พบหลวงปู่แหวนพูดกันว่า เจ้าอาวาสลั่นกุญแจขังหลวงปู่ไว้ในห้องอย่างไรก็ดี คณะของผู้เขียนได้เข้าพบหลวงปู่แหวนในห้อง แล้วช่วยกันประคองท่านออกมาที่นอกชานเพื่อถ่ายรูป นับเป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนเห็นหลวงปู่แหวนและได้เห็นอย่างใกล้ชิด แต่ขอบอกถึงความรู้สึกจริงๆ ว่า ไม่ได้เห็นว่าท่านมีอะไรพิเศษ ระหว่างที่ช่างถ่ายรูปนานถึงครึ่งชั่วโมง ท่านก็นั่งเฉย ไม่เคลื่อนไหวอะไรทั้งสิ้น แม้แต่ตาก็ไม่กะพริบ ทุกอย่างนิ่ง จนผู้เขียนนึกประหลาดใจว่าท่านยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า … รอสักพัก ผู้เขียนและเพื่อนรู้สึกเบื่อจึงออกไปดูสถานที่ซึ่งสร้างใหม่เพื่อตั้งหุ่นขี้ผึ้งของหลวงปู่แหวน เรื่องหุ่นขี้ผึ้งนี้ หวังว่าผู้อ่านจะอ่านพบจากหน้าหนังสือพิมพ์กันบ้างแล้ว
    เรื่องหุ่น…เล่ากันว่า นายแพทย์คนหนึ่งป่วย เขาได้กราบขอให้หลวงปู่แหวนช่วย ผลก็คือเขาหาย เพื่อแสดงความกตัญญูและทำบุญด้วย เขาจึงจ้างช่างปั้นแห่งพิพิธภัณฑ์มาดามทุสโซแห่งกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ปั้นรูปเหมือนหลวงปู่แหวน ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเขาคงปั้นจากรูปถ่าย นายแพทย์คนนี้รวย เขาจ้างปั้นในราคา ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่ทางพิพิธภัณฑ์ฯ ตกลงปั้นให้ในราคาครึ่งหนึ่ง โดยขอปั้นหุ่นหลวงปู่อีกองค์หนึ่งเพื่อตั้งไว้ที่กรุงลอนดอน แม้แต่วันที่หุ่นนี้เดินทางมาถึงเชียงใหม่ก็มีเรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้น คือ ทันทีที่เครื่องบินจอด ฝนซึ่งกำลังตกก็หยุด มีแดดจ้าและอากาศสดใส
    บัดนี้ หุ่นขนาดเท่าตัวจริงของหลวงปู่ตั้งอยู่ในห้องพิเศษ และท่านผู้อ่านรู้ไหม… เมื่อผู้เขียนเห็นรูปปั้นนั้นก็รู้สึกว่า นั่นคือตัวหลวงปู่แหวนจริงๆ คือมีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แม้แต่เล็บก็ขาวสะอาด สัดส่วนทุกอย่างเหมือนจริงมากที่สุด เพื่อนร่วมเดินทางก็รู้สึกอย่างนั้น จนเราสงสัยว่าองค์ไหนเป็นคนที่มีชีวิตกันแน่!
    เมื่อช่างภาพถ่ายรูปหลวงปู่แหวนเสร็จ คณะเราก็เดินทางกลับเชียงใหม่ ผู้เขียนรู้สึกผิดหวังนิดหน่อยจึงอดเย้าแหย่นายแพทย์คนที่ตรวจหลวงปู่แหวนไม่ได้ว่า เขาคิดว่าหลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่หรือ?
    นายแพทย์คนนั้นตอบว่า เขาเองก็นึกสงสัยเช่นนั้น แต่เมื่ออยู่ตามลำพังกับท่าน เขาจึงอยากจะทดสอบว่าหลวงปู่ยังปกติดีหรือไม่ เขาก็พูดขึ้นลอยๆ ว่า สมัยหลวงปู่ยังหนุ่ม ออกธุดงค์บำเพ็ญสมาธิในป่า เมื่อพระจะบำเพ็ญเพียร ศึกษาสมาธิ ปฏิบัติธรรม ต้องธุดงค์เข้าป่าในหน้าแล้งเพื่อแสวงหาวิเวกสถาน … นายแพทย์คนนี้หลวงปู่แหวนรู้จักมาก่อน ท่านจึงตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ชัดถ้อยชัดคำว่า เจ้าก็เคยบวชเป็นพระ แล้วยังมาถามอีก! คำตอบเช่นนี้ทำให้คณะของเรายอมรับว่า จิตของหลวงปู่แหวนยังตื่นอยู่
    แต่ที่ดียิ่งกว่านั้น นายแพทย์อีกคนหนึ่งเล่าว่า เขาเองเคยอยากรู้เป็นที่สุดว่า เรื่องนักบินเห็นหลวงปู่แหวนนั่งสมาธิอยู่ในอากาศนั้นเป็นเรื่องจริงหรือ จึงกราบเรียนถามท่านว่า เป็นความจริงหรือว่าหลวงปู่แหวนเหาะได้ (ลอยอยู่ในอากาศ)
    หลวงปู่แหวนไม่เคลื่อนไหวอะไร ไม่แสดงความรู้สึก ตาก็ยังหลับ แต่ริมฝีปากขยับนิดหนึ่ง พอมองเห็น และน้ำเสียงแผ่วเบา หากชัดถ้อยชัดคำ ตอบว่า… เธอคิดว่าฉันเป็นนกหรือ?!!”

    -สื่อ.png

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  9. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ว่าด้วยบุคลิกชวนฮากิริยาชวนขำ

    ด้วยนิสัยวาสนา บุคลิกภาพที่ตรงไปตรงมา คำพูดโผงผางของ
    หลวงปู่เจี๊ยะ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของท่าน คนที่ไม่เข้าใจหรือรู้จักท่าน
    แต่เพียงผิวเผิน ย่อมมองว่าหลวงปู่เจี๊ยะเป็นพระที่ไม่น่าเคารพศรัทธา แต่
    ในแวดวงหมู่คณะพระป่ากรรมฐาน ต่างคุ้นเคยรู้จักนิสัยของหลวงปู่ท่านเป็น
    อย่างดี แม้กิริยาภายนอกที่ไม่น่าดู คำพูดตรงกับใจจนกลายเป็นหยาบคาย
    ไม่น่าฟัง แต่จิตใจของท่านนั้นบริสุทธิ์มีแต่เมตตาเป็นอย่างยิ่ง แม้คำพูดที่ดู
    เหมือนหยาบคาย แต่น่าสังเกตว่าคำพูดของท่าน ไม่เคยเบียดเบียนให้ทุกข์ให้
    โทษแก่ผู้ใดเลย
    ถ้าหากเราพิจารณาด้วยปัญญาแล้ว นอกจากจะไม่โกรธหรือรู้สึกขัดเคือง
    ไปกับคำพูดของท่านแล้ว ยังจะรู้สึกด้วยว่า หลวงปู่เจี๊ยะท่านมี “อารมณ์ขัน
    เหลือเฟือ” (แม้ไม่ใช่อารมณ์ขันแบบที่โลกเขายึดถือกัน) ลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้ๆ
    หลายๆครั้งก็ขำตลกไปกับคำพูดของท่านเสมอๆ กิริยาภายนอกที่ดูรุงรัง แต่
    เมื่อได้รู้จักกับพระสัทธรรมที่อยู่ในจิตใจของหลวงปู่ท่านแล้ว กิริยาที่ดูรุงรัง
    นั้น กลับกลายเป็นกิริยาที่ดูน่ารักไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ
    เดิมทีนั้น หลวงปู่เจี๊ยะมีปัญหาสุขภาพที่หัวเข่า ท่านจึงเดินขากะเผลก
    ไปข้างหนึ่ง เมื่อท่านอายุมากขึ้น ท่านจึงจะไม่เดินบิณฑบาต แต่จะนั่งรถไป
    บิณฑบาตรับภัตตาหารจากลูกศิษย์คนสนิทของท่าน ถ้าหากว่าเป็นพระสงฆ์
    ทั่วๆไป ก็เป็นเรื่องธรรมดามากที่ท่านมารับภัตตาหารที่บ้านของลูกศิษย์
    คนสนิท

    แต่นี่คือ “หลวงปู่เจี๊ยะ” พระแท้ที่มีแต่วิสุทธิธรรมและเมตตาธรรมใน
    จิตใจ แต่มีบุคลิกนิสัยที่ไม่เหมือนใคร ชาวบ้านที่ไม่รู้จักท่านอาจจะนึกตำหนิ
    ในใจ แต่ชาวบ้านที่รู้จักท่านเป็นอย่างดี รับรองว่าไม่เพียงแต่จะไม่ตำหนิ ซ้ำ
    ยังขบขันในกิริยาอันน่ารักของท่านด้วยซ้ำไป
    ในสมัยที่ท่านอยู่ที่วัดเขาแก้ว จังหวัดจันทบุรี ท่านก็นั่งรถมา
    บิณฑบาตตามปกติ พอลงจากรถท่านก็ตะโกนสั่งผู้ใหญ่พา ลูกศิษย์คนสนิท
    ของท่าน
    “เฮ้ย! เอาข้าวมาให้กูกิน!”
    ผู้ใหญ่พาพอเห็นท่านมาก็รู้ว่างานเข้าแล้ว รีบหาภัตตาหารมาถวาย
    ท่าน พร้อมด้วย กาแฟแก้วหนึ่ง หนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับ บุหรี่หนึ่งมวน ซึ่งเป็น
    รายการสูตรสำเร็จประจำวันของหลวงปู่
    พอหลวงปู่เจี๊ยะนงั่ ลงกับเก้าอี้ ก็จะวางตัวตามสบายแบบกันเองๆ
    สักพักหนึ่ง ท่านก็จะยกขาข้างหนึ่งขึ้นมากระดิกเท้าสั่นไปสั่นมา ผู้ใหญ่พา
    จึงมองเท้าท่านที่กระดิกไปกระดิกมาอย่างน่าเวียนหัว หลวงปู่เจี๊ยะพูดขึ้น
    ราวกับรู้ว่าลูกศิษย์ของตนคิดอะไร
    “ก็กูขาเจ็บนี่หว่า”
    หลังจากพูดเสร็จ ท่านก็ให้พร
    “ขาก…ก….ถุย !”
    (การให้พรนี้เป็นความสามารถเฉพาะตัวห้ามลอกเลียนแบบ)

    ผู้ใหญ่พารู้สึกทั้งอยากจะขำทั้งอยากจะอายชาวบ้าน กับกิริยาของ
    หลวงปู่เจี๊ยะเป็นอย่างมาก จึงกระซิบกระซาบเบาๆ กับหลวงปู่
    “อาจารย์ !จะมาให้ลำบากทำไม้! ไม่ต้องมาบิณฑบาตเองก็ได้ เดี๋ยว
    ผมเอาอาหารไปส่งให้ที่วัดเอง”
    “เฮ้ย ! ไม่ได้ ! เดี๋ยวเขาจะด่าเอา หาว่ากูขี้เกียจบิณฑบาต” หลวงปู่
    เจี๊ยะตอบอย่างจริงจัง
    พอผู้ใหญ่พาได้ฟังหลวงปู่พูดเสร็จ ก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะบ่นพึมพำว่า
    “โอ๊ย! ผมว่า…ยิ่งมาบิณฑบาตเขายิ่งด่าหนักเข้าไปอีกมากกว่า!!!”
    ต่อมาอีกครั้งหนึ่ง ในเทศกาลงานบุญที่มีชาวบ้านญาติโยม นั่งกัน
    สลอนเต็มศาลา หลวงปู่เจี๊ยะ ก็พูดจาเอะอะโวยวายเสียงดัง ตามสไตล์ของ
    ท่าน เมื่อผู้ใหญ่พามีโอกาสจึงกระซิบกระซาบหลวงปู่อีกครั้งหนึ่ง
    “อาจารย์ ! เบาๆ ก็ได้ เอะอะโวยวายอย่างนี้ ญาติโยมเขานั่งอยู่เต็ม
    ศาลา เขาก็ตกใจกันหมดพอดี”
    “เฮ้ย ! ไม่ได้! ไม่ได้! เคยพูดเสียงดังๆ มานั่งเงียบ มันโหวงเหวงพิลึก
    ชอบกลโว้ย !!!”

    อรรถาธิบาย

    ในคัมภีร์อรรถกถาพระไตรปิฎก(คัมภีร์ที่แต่งขึ้นเพื่ออธิบายขยาย
    ความพระไตรปิฎก) พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายว่า พระพุทธเจ้านั้น ทรงมี
    วิสุทธิธรรมบริบูรณ์เป็นอย่างยิ่งมิมีเทียบเทียม ความบริบูรณ์แห่งวิสุทธิธรรมที่
    พระพุทธเจ้ามีเหนือกว่าพระสาวก นอกจากทศพลญาณ (ญาณ ๑๐ อย่างที่
    พระพุทธเจ้ามีอย่างบริบูรณ์) แล้ว ยังมีความบริบูรณ์แห่งวิสุทธิธรรม อันเนื่อง
    มาจากความสามารถในการละทิ้ง “วาสนานิสัย” ทั้งปวง อันเป็นผลให้วิสุทธิ
    ธรรมของพระพุทธเจ้าบริสุทธิ์อย่างยิ่ง น่าเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง
    คำว่า “วาสนา” นี้ไม่ได้มีความหมายเหมือนกับคำว่า “วาสนา” ใน
    ภาษาไทย คำว่า “วาสนา” ในภาษาบาลีนั้นแปลว่า “พื้นเพนิสัย อาการกาย
    วาจา ที่ฝังรากลึก อยู่ในกมลสันดานของบุคคลนั้นๆ จนกลายเป็นบุคลิกลักษณะ
    จำเพาะของบุคคล เช่น ท่าทางการเดิน อาการกริยาที่ว่องไว หรือเชื่องช้า
    การพูดจาไพเราะหรือพูดจาเอะอะโวยวายโผงผาง”
    ในอรรถกถาคัมภีร์พระอรรถถาจารย์ท่านอธิบายในมุมกว้างว่า
    วาสนานิสัยนี้ บางทีตามติดมาจากนิสัยที่สะสมมาในอดีตชาติ อดีตภพต่างๆ
    เช่น บุคคลบางคนเมื่อเกิดมาก็มีวาสนานิสัยตามติดมาตั้งแต่เกิด เช่น คนที่
    พูดจาไพเราะแม้ไม่มีใครสอนให้พูดเช่นนี้ เขาก็พูดจาไพเราะเป็นของเขาเอง
    โดยไม่มีใครสอน
    “วาสนานิสัย” ยังสามารถแบ่งตามมูลเหตุแห่งอาการกริยาได้อีก ๒
    แบบ คือ
    หนึ่ง วาสนานิสัยอากัปกิริยา ที่มีมูลเหตุมาจาก “อกุศลมูล” หรือ
    “มูลแห่งกิเลส” ซึ่งได้แก่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง วาสนานิสัยที่เกิด
    จาก กิเลสทั้ง ๓ ตัวนี้ เป็นไปเพื่อสร้างกิเลส สร้างบาปสร้างกรรมไปเรื่อยๆ
    ตัวอย่างของวาสนานิสัยแบบนี้ เช่น ความเป็นคนพูดจาส่อเสียด พูดจาหยาบคาย
    ซึ่งคำพูดเหล่านั้นล้วนแต่เกิดมาจาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง เต็มไป
    ด้วยความมุ่งหมายที่จะเบียดเบียนผู้อื่น
    วาสนานิสัย แบบที่สอง คือ นิสัยอากัปกิริยาที่ยังดำรงอยู่เช่นเดิม แต่
    ว่าสิ้นไปจากมูลแห่งกิเลสแล้ว เช่น อากัปกิริยาพูดจาโวยวายเสียงดัง มีคำ
    หยาบ คำพูดไม่ไพเราะอยู่บ้าง หรือ ท่าทางกิริยาที่ไม่สำรวม ลุกลี้ลุกลน หยิบ
    โหย่ง อากัปกริยาแปลกๆ เหล่านี้ ทำให้ดูขัดหูขัดตาไม่น่าศรัทธา
    แต่น่าสังเกตว่า อากัปกิริยาเหล่านี้ไม่ได้มีมูลเกิดมาจาก ความโลภ
    ความโกรธ ความหลง เช่น แม้ว่าจะพูดจาไม่เพราะ พูดเสียงดัง มีคำหยาบ
    ปะปนบ้าง แต่อากัปกิริยาเหล่านี้แสดงออกมาโดยบริสุทธิ์ใจ ไม่มีเจตนาที่จะ
    เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ได้เกิดจากความโลภอยากได้ของผู้อื่น ความโกรธไม่พอใจ
    ผู้อื่นจึงด่าว่ากล่าวร้ายผู้อื่นด้วยความไม่พอใจ หรือแม้แต่เกิดจากความหลง
    ผิดใดๆ เลย

    จากตัวอย่าง หนังสือรอยยิ้มพระอรหันต์ อารมณ์ขันพระอริยะ
    ู้เขียน วีระวัฒน์ ชลสวัสดิ์

    .png

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  10. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    สมัยเป็นพระหนุ่มเที่ยววิเวกกับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
    เรื่อง…อาจารย์ชอบ อาจารย์ช้าง

    เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นในปีพุทธศักราช ๒๕๑๐
    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่บ้านกลาง ตำบลปลาบ่า อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย
    สถานที่แห่งนี้ต่อมาองค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
    ได้สร้างเป็นสำนักสงฆ์ขึ้นมา แต่ปัจจุบันสำนักสงฆ์แห่งนี้ไม่มีแล้ว
    เนื่องจากไม่มีพระเณรอาศัยอยู่จึงกลายเป็นสำนักสงฆ์ร้างไปในที่สุด
    ผู้เขียน (อดีตครูบากล้วย – พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท)
    ก็ไม่เคยเรียนถามองค์ท่านหลวงปู่ชอบถึงเรื่องการร้างของสำนักสงฆ์บ้านกลาง
    และก็ไม่เคยเรียนถามท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร ถึงเรื่องนี้ด้วย

    เคยเรียนถามเรื่องสำนักสงฆ์บ้านกลางกับท่านพระอาจารย์สมศรี อัตตสิริ
    เพราะท่านพระอาจารย์สมศรีเคยมาพักภาวนาที่วัดแห่งนี้กับองค์ท่านหลวงปู่ชอบมาก่อน
    พระอาจารย์สมศรีท่านพูดถึงสถานที่แห่งนี้ว่า ภูมิเจ้าที่ที่นี่ดุ
    พระเณรองค์ไหนที่ศีลมัวหมองมักจะได้เจอดีกับเจ้าของสถานที่แห่งนี้เป็นประจำ
    สมัยก่อนองค์ท่านหลวงปู่ชอบมักจะพาลูกศิษย์ไปฝึกฝนให้หายจากโรคกลัวผีอยู่ที่นี่

    องค์ท่านหลวงปู่ชอบพาท่านอาจารย์จันทร์เรียนและสามเณรอีกรูปหนึ่ง
    ไปเที่ยววิเวกที่เขตภูเรือ จึงได้มาพักภาวนาอยู่ที่สำนักสงฆ์บ้านกลาง
    หลวงปู่ชอบท่านพาพระอาจารย์จันทร์เรียนพักอยู่ที่นี่หลายวัน
    จนอาจารย์จันทร์เรียนท่านคุ้นชินกับสถานที่
    อาจารย์จันทร์เรียนท่านจึงเล่นๆ หัวๆ ตามประสาพระหนุ่ม

    แต่เหตุการณ์ที่ท่านอาจารย์จันทร์เรียนเจอเข้ากับตัวท่านเองนี้
    ไม่เกี่ยวกับเรื่องผีเจ้าที่เจ้าทาง เป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับช้างป่าภูหลวง

    ท่านอาจารย์จันทร์เรียนเล่าให้ฟังว่า
    มีวันหนึ่งท่านทำข้อวัตรสรงน้ำให้กับองค์ท่านหลวงปู่ชอบ
    หลังจากทำอาจาริยาวัตรกิจสรงน้ำให้กับองค์ท่านหลวงปู่ชอบแล้ว
    หลวงปู่ชอบบอกท่านว่าอย่าพากันมัวเล่นมัวหัวมากนัก
    ให้พากันรีบสรงน้ำแล้วไปเดินจงกรมภาวนาเสีย
    ค่ำมืดมาหูตาจะพร่ามัวมองไม่เห็นทาง พวกสัตว์ป่ามันจะออกมาหากินในเวลาค่ำคืน
    เมื่อเห็นกันแล้วสัตว์จะกลัวคน คนจะกลัวสัตว์
    พอหลวงปู่ชอบท่านบอกแล้วองค์ท่านก็เดินกลับที่พัก

    วันนั้นท่านอาจารย์จันทร์เรียนบอกเรานึกยังไงก็ไม่รู้
    เราอยากจะคุยมากเป็นพิเศษ เราจึงชวนเณรมานั่งคุยกัน
    ท่านคุยกันกับเณรอย่างสนุกสนานจนลืมเวลานาที ท่านนั่งคุยกันกับเณรจนค่ำโพล้เพล้เย้ตา
    มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อตนเองได้ยินเสียงไม้ไผ่หักดังโพล๊ะเพละๆ
    เสียงไม้ไผ่หักเพราะช้างป่าจากภูหลวงมันพากันลงมาหากินใบไผ่ในสำนักสงฆ์บ้านกลาง

    อาจารย์จันทร์เรียนท่านได้ยินเสียงดังแบบนี้
    ท่านจึงบอกเณรให้รีบกลับที่พักของใครของมัน
    ท่านกลับไปยังนั่งร้านที่พักของตนเองเอามุ้งกลดลงเ
    พื่อจะนั่งซุ่มดูช้างอยู่ภายในมุ้งกลดของท่าน
    ท่านเห็นช้างป่าโขลงหนึ่งประมาณหกเจ็ดตัวพากันหักกินใบไผ่
    และบังเอิญซ่ะเหลือเกินที่ช้างโขลงนี้มันดันพากันเดินผ่านมาทางนั่งร้านที่ท่านพักอยู่
    อาจารย์จันทร์เรียนท่านเล่าไปหัวเราะไป ท่านบอกเรากลัวช้างเป็นทุนอยู่แล้ว
    นึกในใจของตัวเองว่า ช้างเอ้ย…มึงอย่าผ่านมาทางนี้เด้อ
    มึงจะพากันไปทางไหนก็ไปซ่ะ อย่าผ่านมาทางนี้เด้อกูย้าน

    ช้างป่ามันไม่รู้ว่าท่านคิดอย่างนี้ มีช้างป่าใหญ่เชือกหนึ่ง
    ท่านเข้าใจว่าน่าจะเป็นช้างป่าจ่าโขลง
    ช้างป่าจ่าโขลงเชือกนี้มันคงสงสัยมุ้งกลดของท่านว่าคืออะไรกันแน่
    ช้างป่าจ่าโขลงเชือกนี้เดินตรงที่ลี่เข้ามายังที่พักของท่านอาจารย์จันทร์เรียน
    นั่งร้านไม้ไผ่ที่พักของท่านมันก็เป็นนั่งร้านแบบโล่งโจงโปงไม่มีหลังคาบังฟ้าบังฝน
    ที่พักของท่านไม่ต่างอะไรกับแคร่ไม้ธรรมดานี่เอง

    อาจารย์จันทร์เรียนท่านเห็นช้างเดินเข้ามาใกล้ที่พักของท่าน
    ท่านบอกว่าตอนนั้นหัวใจของท่านเต้นรัวตุ่มๆ ต่อมๆ
    ท่านบอกเรากลัวช้างมากแต่เราก็ไม่ยอมวิ่งหนีมัน
    ท่านนั่งดูช้างอยู่ภายในกลด เห็นช้างยื่นงวงเข้ามาดมมุ้งกลดของท่าน
    ถึงตอนนี้อาจารย์จันทร์เรียนท่านบอก
    ท่านกลัวช้างจนหัวใจแทบจะหยุดเต้นลงไปในขณะนั้น
    หลังจากช้างมันดมมุ้งกลดแล้วมันคงจะได้กลิ่นของคน
    ช้างตัวนี้จึงยื่นงวงเข้ามาดมสิ่งที่อยู่ภายในกลดเพื่อให้หายสงสัย
    ตอนช้างยื่นงวงเข้ามาดมกลดแบบแนบชิดติดเนื้อนี้
    งวงของช้างเชือกนี้มาแตะถูกหน้าของท่านอาจารย์จันทร์เรียนพอดี

    อาจารย์จันทร์เรียนท่านบอกเท่านั้นแหละกล้วยเอ้ย…
    เราร้องพุทโธดังๆ เพียงครั้งเดียวในใจ จิตเราก็รวมพรึ่บเข้าสู่อัปปนาสมาธิทันที
    จิตสว่างจ้าขึ้นมาในเสี้ยวเวลานาทีนั้น ช้างก็ไม่รู้ว่ามันหายไปไหน
    กลัวก็ไม่รู้ว่ามันหายไปไหน ภูเขาเลากาทิวาราตรีก็ไม่รู้ว่ามันหายไปไหนหมด
    มีแต่ความสว่างไสวภายในจิตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จนถึงรุ่งสางของวันใหม่

    รุ่งเช้าวันใหม่จิตท่านก็ถอนออกมาจากสมาธิ
    ท่านลืมตาขึ้นมามองดูว่าช้างมันยังอยู่หรือไม่ ก็ไม่เห็นมีช้างเหลืออยู่ซักตัว
    ท่านก็ไม่รู้ว่าช้างโขลงนี้มันหายไปตั้งแต่เมื่อไร ท่านนั่งทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
    ขณะที่อาจารย์จันทร์เรียนท่านนั่งทบทวนขบวนความอยู่นั้น
    องค์ท่านหลวงปู่ชอบเดินมายังที่พักของท่าน
    องค์ท่านหลวงปู่ชอบพูดกับท่านอาจารย์จันทร์เรียนว่าท่านเรียนนั่งทำอะไรอยู่
    รีบล้างหน้าล้างตาเอาบาตรเราลงมาศาลาได้แล้ว
    นี่ใกล้จะได้เวลาออกไปบิณฑบาตแล้วรู้ตัวไหม…

    อาจารย์จันทร์เรียนท่านรีบลุกขึ้นเก็บมุ้งกลด
    ขณะที่ท่านกำลังเก็บมุ้งกลดอยู่นั้นองค์ท่านหลวงปู่ชอบพูดให้ท่านว่า

    “มันเป็นอย่างนี้แหละคนเรา เวลาครูบาอาจารย์บอกสอนให้เดินจงกรมภาวนา
    มันกลับไม่ทำ เอาแต่พูดคุยสนุกสนานตามประสาลมๆ แล้งๆ กันไปทั่ว
    พออาจารย์ช้างมาบอกมาสอนเท่านั้นแหละ ภาวนาจิตรวมดีจังเน๊าะ
    ต่อไปก็ให้ท่านเอาช้างเป็นอาจารย์เด้อ
    อาจารย์ชอบนี่สอนลูกศิษย์ให้ภาวนาบ่เก่งเท่ากับอาจารย์ช้าง
    เรานี่อยากให้อาจารย์ช้างอาจารย์เสือมาหาพวกท่านทุกวัน
    มันถึงจะได้ตั้งใจภาวนากัน อาจารย์ชอบนี่จะไม่ได้เมื่อยในการอบรมสั่งสอนลูกศิษย์”

    หลวงปู่ชอบท่านพูดจบแล้วก็ยิ้มเดินไปรอท่านอาจารย์จันทร์เรียนที่ศาลาหอฉัน
    ระหว่างบิณฑบาตหลวงปู่ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรให้ท่านอีก
    หลวงปู่ชอบท่านเฉยไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลย ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
    อาจารย์จันทร์เรียนท่านบอกเราเข็ดเขี้ยวไม่อยากเจอกับอาจารย์ช้างอีก
    พอสรงน้ำหลวงปู่ชอบเสร็จเมื่อไร ท่านก็จะรีบสรงน้ำตนเองทันที
    และรีบเข้าที่เข้าทางเดินจงกรมภาวนาของท่าน
    โดยที่หลวงปู่ชอบท่านไม่ต้องมาบอกซ้ำย้ำเตือน…

    ผู้เขียนเรียนถามท่านพระอาจารย์จันทร์เรียนว่า
    ท่านอาจารย์ดูออกจะอาจหาญชาญชัยกว่าพระเณรทุกองค์
    ในบรรดาลูกศิษย์ขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ ท่านอาจารย์ยังกลัวช้างอยู่หรือ

    พระอาจารย์จันทร์เรียนท่านตอบว่า อ้าว…สิบ่ให้เฮาย่านมันจั่งใด๋
    (อ้าว…จะไม่ให้เรากลัวมันได้ยังไง) ก็ช้างมันตัวใหญ่กว่าเรานี่
    ลองไปหือกับมันเบิ่งตี้ มันสิได้เหยียบเอาขี้แตกตาย
    ว่าจบอาจารย์จันทร์เรียนท่านก็หัวเราะห้าๆ ออกมา

    เราเองก็อดที่จะขำไปกับท่านไม่ได้
    ฟังครูบาอาจารย์รุ่นพี่ท่านเล่าประสบการณ์สมัยที่ท่านยังปฏิบัติอยู่กับ
    องค์ท่านหลวงปู่ชอบแล้วเพลินดี ได้ทั้งความสนุกสนาน
    ได้ทั้งข้อคิดหลายๆ อย่างที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ไหนมาก่อน

    .png

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  11. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ” จิต คือ ผู้คิดผู้นึกในอารมณ์ต่างๆ
    ที่รวมเรียกว่ากิเลส
    อันเป็นเหตุทำให้จิตเศร้าหมองนั่นเอง
    จึงต้องฝึกหัดให้มีสติระวังควบคุมจิต
    ให้รู้เท่าทันจิต
    ซึ่งคำนี้เป็นโวหารของพระกรรมฐานโดยเฉพาะ
    คำว่า “รู้เท่า” คือ…
    สติรู้จิตอยู่ไม่ขาดไม่เกินยิ่งหย่อนกว่ากัน
    สติกับจิตเท่าๆ นั่นเอง
    ตำนาน “รู้ทัน” คือสติทันจิตว่าคิดนึกอะไร
    พอจิตคิดนึก สติก็รู้สึกทันที เรียกว่า “รู้ทัน”
    แต่ถ้าจิตคิดแล้วจึงรู้นี้เรียกว่า “รู้ความ”
    อย่างนี้เรียกว่าไม่ทันจิต
    ถ้าทันจิตแล้ว พอจิตคิดนึก สติจะรู้ทันที
    ไม่ก่อนไม่หลัง
    ความคิดของจิตก็จะสงบทันที นิ่งเฉย
    สติควบคุมจิตนิ่งอยู่แต่ผู้เดียว ไม่คิดไม่นึกอะไร
    อันนี้เป็นยอดแห่งความสุขที่วิเวก
    การที่จะทำสติให้ได้อย่างนี้
    จะต้องพร้อมด้วยกายวิเวก
    และจิตวิเวกอย่างเดียวเท่านั้น
    เมื่อสติเห็นจิต คุมจิตอยู่แล้ว
    ความปลอดโปร่งแห่งจิตจะหาที่สุดไม่ได้
    ความรู้ต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน
    ย่อมเกิดจากสติควบคุมจิตนี้ทั้งนั้น
    ฉะนั้นสติควบคุมจิต
    จึงเป็นยอดแห่งความปรารถนา
    ของผู้ปฏิบัติกรรมฐานโดยแท้ ”

    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    เทิดไว้เหนือเศียรเกล้า ด้วยเกล้า สาธุ.

    -คือ-ผู้คิดผู้นึกในอ.jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  12. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    “คนเราติดอยู่กับก้อนทุกข์ ก้อนขี้ เลิกยึดติด หันมารักษาใจ อยู่กับพุทโธ หยุดคิด
    คนเราอาศัยร่างกายอยู่ เขาจะไปเมื่อไหร่ก็ได้น่ะ ฉะนั้นจงหัดรักษาใจให้เป็นบุญ แค่ง่ายๆ ระลึกถึง พุทโธ พุทโธ”

    หลวงปู่แปลง สุนทโร
    วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

    .jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  13. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    “ทีแรกเราก็ไปซื้อขวานมา จะเอามาใช้งาน แล้วมันฟันไม่ได้น่ะซิ ซื้อมาทีไร เอามาฟัน มันก็ไม่ค่อยคม เจ็บใจ! เลยเอาแหนบรถสิบล้อมาตีเองซะเลย ทำไปทำมา มันคมกว่าที่เขาทำขายซะอีก”
    “แล้วอย่างนี้ มันจะผิดข้อวัตรปฏิบัติไหมครับท่านอาจารย์” ลูกศิษย์ถามด้วยความสงสัย
    “ไม่ผิดหรอก ตีขวานมันไม่ผิดหรอก ไม่เห็นมีวินัยข้อไหนห้ามพระตีขวาน จะไปผิดอะไร ไม่ได้ไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำบาปทำกรรมอะไรนี่หน่า”
    “แต่… บางคนเขาบอกว่า ท่านอาจารย์ทำในเรื่องที่ไม่ใช่กิจของสงฆ์” ลูกศิษย์ยังคงไม่หายสงสัย
    หลวงปู่เจื๊ยะมองหน้าลูกศิษย์งงๆ ก่อนจะพูดว่า “ฮื้อ!!!… ทำไมจะไม่ใช่กิจของสงฆ์ ก็กูนี่แหละ!… สงฆ์! …แล้วสงฆ์ตีเองกับมือแท้ๆ! มันจะไม่ใช่กิจของสงฆ์ยังไงว่ะ ?!?!”

    จากเรื่อง : กิจของสงฆ์/หลวงปู่เจี๊ยะ ตัวอย่างหนังสือ รอยยิ้มพระอรหันต์ อารมณ์ขันพระอริยะ วีระวัฒน์ ชลสวัสดิ์

    .jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  14. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ปัดกวาดทำความสะอาด..หลวงปู่หล้าน่ะละเอียดนะ
    ถ้าใครปัดกวาดกะรูดกะราดน่ะไม่ได้..หลวงปู่ปัดซ้ำอีก
    การปัดกวาดมันมองดูถึงด้านจิตใจด้วย
    ถ้าปัดกวาดกะรูดกะราดแสดงว่า จิตใจมันไม่ละเอียด
    กะรูดกะราด..ปัดกวาดมันต้องดู
    ผู้ที่ละเอียดถี่ถ้วนน่ะ..ดูปัดกวาดก็รู้
    ..หลวงปู่ท่านสอนถึงขนาดนั้น..

    ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาช่วงเช้า
    วันที่ ๑๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘

    พระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก
    วัดป่านาคำน้อย
    บ้านนาคำน้อย ต.บ้านก้อง
    อ.นายูง จ.อุดรธานี

    -หลวง.png

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  15. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  16. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ” เป็นที่น่าเสียดายที่คนเราในสมัยนี้
    มีการศึกษาดีและสูงๆ
    โดยมากเข้าใจว่าการศึกษาตำรา
    ได้สำเร็จปริญญาแล้วก็เป็นพอ
    บางคนอาจไม่คิดเลยก็ได้ว่า
    ตำราที่จะเขียนออกมาเป็นหลักสูตรนั้น
    เบื้องต้นออกมาจากมันสมอง
    ซึ่งนอกเหนือจากตำรา
    ความรู้ที่ได้มาจากตำรา
    มิใช่ความรู้ที่เกิดขึ้นจากสมองของตนเอง
    ประสบการณ์ที่กระตุ้น
    ให้เกิดความรู้จากสมองนั้นแล
    จึงจะเป็นความรู้ของเราเองโดยแท้
    ในทางพระพุทธศาสนาท่านเรียกว่า”ปัจจัตตัง”
    เห็นหรือรู้ชัดด้วยตนเอง
    อันเนื่องมาจากพลังของใจ
    ที่ได้อบรมให้เข้าถึงความสงบดีแล้ว
    เกิดความรู้ชนิดนี้
    และจะปฏิบัติตนเอง
    ให้เปลี่ยนจากสภาพเดิมได้โดยแท้จริง
    แล้วเข้าถึงสภาพของจริง
    ตามหลักสัจธรรมในพระพุทธศาสนา
    ฉะนั้น ผู้จะรู้แจ้งเห็นจริง
    ในสัจธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา
    จะต้องมีทั้งการศึกษา
    และการปฏิบัติควบคู่กันไป
    จะมีแต่อย่างเดียวอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
    ผู้จะเป็นนักเผยแผ่พระพุทธศาสนา
    ในสมัยคนมีการศึกษาดีความรู้สูง
    จึงจำเป็นจะต้องฝึกฝนตน
    ให้พร้อมทั้งสองอย่างดังกล่าวแล้ว
    ถ้าหาไม่แล้ว
    ก็จะไม่เป็นผลดีแก่การเผยแผ่เท่าที่ควร ”

    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    เทิดไว้เหนือเศียรเกล้า ด้วยเกล้า สาธุ.

    .jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  17. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ทำอย่างไรเราจึงจะพัฒนาความรักให้สว่างขึ้น
    เป็นเหตุให้ต้องทุกข์ต้องทรมานใจน้อยลง
    อารมณ์ของคนเราส่วนมากมันอยู่ได้หรือเข้มข้นได้
    เพราะเราหลับหูหลับตากับความจริงบางประการ
    อารมณ์นั้นไม่ใช่ทางไปสู่ความพ้นทุกข์แน่นอน
    คนเราจะอยู่ในโลกนี้อย่างผู้มีปัญญา
    เราต้องเรียนรู้ธรรมชาติของความรัก
    และพยายามลดสัดส่วนที่เกิดจากตัณหาเท่าที่จะลดได้
    ควรจะพัฒนาความรู้สึกของเราให้เป็นไปในทาง
    เมตตา เท่าที่เราจะทำได้ ถ้าเทียบเป็นระดับ
    (Spectrum )ก็มีตั้งแต่ความรักตาบอด
    หรือความรักที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว
    เรียกว่าความรักที่มืด ที่นำไปสู่ความทุกข์
    ความเดือดร้อนมากที่สุด จนถึงความรักระดับสูงสุด
    สว่างที่สุด ก็คือ เมตตาธรรมที่ไม่มีที่สิ้นสุด
    ไม่มีประมาณ ไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชัง .

    ○● พระอาจารย์ชยสาโร ●○
    ( บ้านบุญวันอาทิตย์ )

    .jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  18. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    เนื้อนาบุญอันประเสริฐ

    หลวงปู่พวง สุวีโร ลูกศิษย์ของหลวงปู่ขาว
    ท่านหนึ่ง ท่านเล่าว่า

    “ ท่านเองได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงปู่ขาว อนาลโย วันหนึ่งนั่งสมาธิเห็นโยมแม่ที่ตายแล้ว ได้เป็นอยู่อย่างอัตคัด ไม่มีผ้านุ่งผ้าห่ม ไม่มีที่อยู่ที่อาศัย จึงอธิษฐานกับพระประธานว่า

    “ช่วงเช้าไปบิณฑบาต ขอให้มีคนมาถวายผ้า”

    ครั้นไปบิณฑบาตก็มีคนมาถวายผ้าขาวจริงๆ ท่านจึงนำผ้าขาวไปย้อมด้วยหินสีแดง แล้วนำไปซักตาก พอแห้งก็นำมาย้อมแล้วซักตากอีกรอบ จากนั้นก็นำไปพับถวายหลวงปู่ขาว กราบเรียนท่านว่า

    “ขอโอกาสพ่อแม่ครูจารย์ บังสุกุล อุทิศให้แม่”

    หลวงปู่ขาว จึงชักผ้าบังสุกุลให้ คืนนั้นหลวงปู่พวง นั่งภาวนาเห็นโยมแม่ มีผ้านุ่งผ้าห่มผืนใหม่ แล้วยังมีผ้าอีกหลายผืนห้อยเต็มไปหมด

    จากนั้นหลวงปู่พวงจึงคิดว่าทำอย่างไร โยมแม่จึงมีที่อยู่ที่อาศัย หลายวันต่อมา มีโยมนิมนต์หลวงปู่ขาว กับพระที่วัดไปสวดมนต์ที่บ้าน หลวงปู่พวง จึงได้มีโอกาสตามไปด้วย ญาติโยมได้ถวายปัจจัย หลวงปู่ขาว จึงบอกกับพระสงฆ์ว่า

    ” อัฐบริขารเราก็มีอยู่พร้อมแล้ว ให้นำปัจจัยนี้ไปสร้างกุฏิ และถาน(ส้วม) ตามที่ท่านพวงอธิษฐานไว้ ”

    ครั้นเมื่อสร้างเสร็จ หลวงปู่พวง จึงได้น้อมถวายกุฏิ และถาน(ส้วม) แก่หลวงปู่ขาว อนาลโย จากนั้นตกกลางคืน หลวงปู่พวงได้นั่งสมาธิ มองหาแม่ ออกตามหาทั้งคืนก็ไม่เห็น ผ่านไป ๔ วัน จึงไปกราบเรียนหลวงปู่ขาว

    “ขอโอกาสพ่อแม่ครูจารย์ หาแม่บ่เห็น”

    หลวงปู่ขาว บอกให้ ”ขึ้นสูงๆ”

    หลวงปู่พวง จึงนั่งสมาธิหาตามยอดไม้ก็ไม่เห็น หรือจะเป็นที่สวรรค์กันแน่ ท่านจึงรวบรวมพลังจิตทั้งหมดขึ้นไปดู จึงเห็นวิมานของโยมแม่บนสวรรค์ เห็นร่างกายที่เป็นทิพย์ของโยมแม่ จึงสบายใจขึ้นว่า โยมแม่พ้นทุกข์แล้ว ก็เพราะด้วยบารมีธรรมของของพระผู้มีศีลอันบริสุทธิ์ หากเราได้ถวายทานแก่พระภิกษุ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว อานิสงส์ย่อมส่งผลไปถึงญาติของเราแม้นอยู่ปรโลก ก็สามารถให้พ้นทุกข์ พ้นโทษภัยได้ อย่างองค์หลวงปู่ขาว อนาลโย ท่านจึงถือว่าเป็นเนื้อนาบุญเอกของโลก..”

    หลวงปู่ขาว อนาลาโย

    .jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  19. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ” สมัยอยู่กับหลวงปู่มั่น ถ้ามาขอศีลท่านก็ว่า
    โอ้ย! ศีลมันก็ไม่อดแล้วหลวงปู่มั่นท่านว่า
    ศีลมันก็อยู่ในตัว ศีล ๕ มันก็อยู่ในตัวแล้ว
    รักษากายวาจาเรียบร้อยก็ถือว่าศีลท่านว่า
    รักษาศีลให้มันมั่น ไม่มีอารมณ์แล้วเรียกว่าสมาธิ
    ความรอบรู้ในกองสังขารทั้งปวงเรียกว่าปัญญา
    ทั่งกายมันมีใจครอง สังขารมันมีใจครอง
    การปรุงแต่งขึ้นก็เป็นสังขาร
    สิ่งของเหล่านั้นก็เป็นสิ่งสดสวยงดงาม
    นานไปก็เสื่อมเหมือนกัน เรียกว่าเป็นสังขาร
    รู้ในสังขาร มรรคโค มรรคา เรียกว่า
    หนทางพระพุทธเจ้านี้
    จะพ้นทุกข์ก็ในอริยสัจ ๔ นี้
    ก็คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
    แล้วก็เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    ท่านว่ามันห้ามไม่ได้ ห้ามอาพาธไม่ได้
    มันไม่ใช่ของเรา เจ็บโน่นเจ็บนี่นั่นเป็นอย่างนั้น
    เกิดนิพพิทาเกิดความเบื่อหน่าย
    ในรูปร่างกายของเจ้าของรูป
    ยังมีอยู่แต่นิพพิทาคือความเบื่อหน่าย
    ถ้าเบื่อหน่ายมันก็หลุดพ้นจากความผูกพัน
    ใครจะเกิดใครจะตาย ก็ไม่ได้เกี่ยวกับความทุกข์ยาก
    ใครห้ามไม่ได้มันเป็นไปตามเวลาของเขา
    เมื่อมันได้มาก็เสื่อมไป ”

    หลวงตาแตงอ่อน กัลยาณธัมโม
    เทิดไว้เหนือเศียรเกล้า ด้วยเกล้า สาธุ.

    .jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  20. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ” สมาธิเป็นกำลังสำคัญมาก ถ้าไม่มีสมาธิแล้ววิปัสสนาจะเอากำลังมาจากไหน ปัญญาวิปัสสนามิใช่เป็นของจะพึงแต่งเอาได้เมื่อไร แต่เกิดจากสมาธิที่หัดได้ชำนิชำนาญมั่นคงดีแล้วต่างหาก

    ถึงผู้ได้สุกขวิปัสสโกก็เถิด ถ้าไม่สมถะแล้วจะเอาวิปัสสนามาจากไหน เป็นแต่สมถะของท่านไม่คล่องเท่านั้น อย่างนี้พอฟังได้ ”

    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย

    .jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...