ธรรมะจากเพจต่างๆ พระสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย ธรรมะสายหลวงปู่มั่น, 6 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ีแต่รู้ล้วนๆ

    ” ชีวิตแท้ ๆ นั้น ต้องมีการสลัดออกตลอด
    เวลา ยิ่งสลัดออก ยิ่งไม่มีอะไร ยิ่งเบา
    เท่านั้น มีแต่รู้ล้วน ๆ มีการให้ เปี่ยมด้วย
    ปัญญาอันบริสุทธิ์ ”

    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ

    .jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  2. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    จิตเกิดอัศจรรย์ในธรรม แรงบันดาลใจให้อยากบวช

    หลวงพ่อประสิทธ์ ปุญญมากโร ในวัยเด็กของท่าน
    ท่านใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว และท้องไร่ท้องนาเป็นหลัก
    ท่านบอก แต่ก่อนเราก็เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย
    เล่นหัวไปตามประสาเด็กบ้านนอกชนบททั่วไป
    แต่พอนานวันเข้าท่านกลับมีความคิดเปลี่ยนไป
    มีความคิดหนึ่งเกิดขึ้นในใจของท่าน

    ท่านมีความคิดขึ้นมาว่า ชีวิตเราเกิดมาเพื่ออะไร
    เราเกิดมาเพื่อใคร เรามาอยู่ในที่ตรงนี้เพื่ออะไร
    คำถามต่างๆ เหล่านี้จะวนเวียนเกิดขึ้นมาในใจของท่านประจำ
    ท่านเองในตอนนั้นก็หาคำตอบให้กับใจของตนเองไม่ได้
    คำถามต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นมาในใจขององค์ท่านเมื่ออายุ ๑๔ ปี

    วันหนึ่งในฤดูตกกล้าทำนา พ่อสนธิ์ (หลวงปู่สนธิ์ พ่อขององค์ท่านหลวงพ่อประสิทธิ์)
    ใช้ให้ท่านไปเฝ้าควาย เพราะกลัวว่าควายจะแอบเข้าไปลักกินต้นกล้า
    หลังจากหลวงพ่อประสิทธิ์ท่านเฝ้าเลี้ยงควายอยู่นาน
    ท่านรู้สึกเหนื่อยร้อนแดด ท่านจึงหลบเข้ามานั่งพักอยู่ในเถียงนา (ห้างนา-ขนำนา)

    ท่านนั่งมองดูพ่อกับแม่ช่วยกันดายหญ้า ถอนหญ้าในที่นา
    ขณะท่านมองดูพ่อแม่ถอนหญ้าดายหญ้าอยู่ในนานั้น
    ท่านเกิดมีคำถามขึ้นมาในใจของตนเอง
    “ชีวิตแต่ละเดือน แต่ละปี มันหมุนเวียนอยู่แต่เพียงแค่นี้หรือ
    เสร็จจากหน้านาก็ไปทำไร่ เสร็จจากทำไร่ก็ไปทำนา
    หมุนเวียนเปลี่ยนวนอยู่อย่างนี้ไม่รู้จักจบสิ้นเป็น
    จะมีหนทางอื่นไหมที่เราจะหลุดพ้นจากวิถีชีวิตแบบนี้”
    องค์ท่านนั่งคิดนั่งตรึกอยู่คนเดียวบนห้างเถียงนา
    เมื่อหาคำตอบให้ใจของตนเองไม่ได้
    องค์ท่านจึงนั่งหลับตาพิจารณาหาเหตุหาผลให้ใจของตนเองในเรื่องนี้

    เริ่มแรกท่านบอก เราก็ปล่อยจิตปล่อยใจของตนเอง
    ให้มันไหลล่องลอยไปตามอารมณ์ความคิดที่ใจสร้างขึ้นมา
    ขณะที่เรากำลังปล่อยจิตปล่อยใจของตนเอง
    ให้ไหลล่องลอยไปตามอารมณ์ความคิดอยู่นั้น
    จู่ๆ มีคำพูดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจของเรา…

    “จะปล่อยใจให้ไหลไปตามความคิดของอารมณ์ทำไม
    ให้เอาสติของตนเองมาจับจ่ออยู่ที่ลมหายใจเข้าออกจะดีกว่า
    ชีวิตคนเราอยู่หรือตายก็อยู่ที่ลมหายใจของตนเองนี่แหละ”

    ทีแรกท่านเองก็นึกแปลกใจว่าทำไมเราถึงมีความคิดแบบนี้ผุดขึ้นมา
    แต่อีกใจหนึ่งท่านก็อยากจะทำตามความคิดแบบนี้ดู
    หลวงพ่อประสิทธิ์ท่านจึงเอาสติของตนเอง
    มาจับจ่อที่ปลายจมูกตรงทางเข้าออกของลมหายใจ

    ชั่วเวลาไม่นานประมาณสิบนาที
    จิตของท่านเกิดอาการวูบวาบวับแวมแสงระยับขึ้นมาในตาให้เห็น
    จากนั้นจิตของท่านก็ดำดิ่งลงสู่ความสงบทันที

    ท่านบอก จิตเป็นเอกัคคตาหนึ่งเดียวในความสงบ จิตเกิดโอภาสสว่างจ้าขึ้นมา
    ณ ขณะนั้นไม่ปรากฏมีกายให้เห็น ไม่ปรากฏความคิดให้เห็น
    จิตสว่างจ้าสดใสหาที่สิ้นสุดของขอบเขตแสงสว่างไม่ได้
    จิตเราพักค้างอยู่ในความสงบสว่างสดใสแบบนี้อยู่นานร่วมสองชั่วโมง
    ถึงถอนออกมาอยู่กับภาวะจิตครองขันธ์ห้าในปัจจุบัน

    พอจิตถอนออกจากความสว่างสดใส ท่านลืมตาขึ้นมาอีกทีก็เป็นเวลาย่ำค่ำแล้ว
    องค์ท่านมองเห็นพ่อสนธิ์ (พ่อขององค์ท่านหลวงพ่อประสิทธิ์) ยืนอยู่ข้างเถียงนา
    พ่อสนธิ์พูดกับท่านว่า ใช้ให้มาเฝ้าควายกับมานั่งหลับอยู่ที่นี่หรือ
    พอว่าจบพ่อสนธิ์ก็ยิ้มให้กับท่าน หลวงพ่อประสิทธิ์ท่านบอก
    ในใจของเราตอนนั้นอยากจะบอกพ่อว่า เราไม่ได้นั่งหลับเหมือนกับคนทั่วไป
    แต่ตอนนั้นท่านก็ไม่รู้ว่าจะบอกเล่าอธิบายให้ผู้เป็นพ่อฟังอย่างไร
    กับเรื่องเกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา
    พ่อสนธิ์บอกให้ท่านต้อนควายกลับบ้านได้แล้ว
    เดี๋ยวค่ำมืดตืดตากว่านี้หูตาจะฟ่าฟางมองทางไม่เห็น…

    หลวงพ่อประสิทธิ์ท่านไล่ควายรวมฝูงเพื่อต้อนกลับคอก
    ตอนกำลังไล่ต้อนควายอยู่นั้นองค์ท่านเกิดฉุกคิดขึ้นมาในใจ
    เอ..ปรกติถ้าเราไม่ได้มัดควายพวกนี้เอาไว้
    ควายพวกนี้มันจะแอบเข้าไปลักกินต้นกล้าในนาอยู่เสมอ
    ครั้งนี้เราก็เผลอเรอลืมผูกควายเอาไว้กับหลักแหล่ง
    แต่ครั้งนี้ทำไมควายพวกนี้มันถึงไม่เข้าไปกินต้นกล้าในนา

    องค์ท่านฉุกคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ จู่ๆ ความคิดหนึ่งเกิดผุดขึ้นมาในใจขององค์ท่าน
    “ที่ควายไม่กินต้นกล้าก็เพราะพระธรรมที่เราปฏิบัติอยู่นั้นช่วยปกปักรักษาเอาไว้ให้”

    เมื่อคำตอบนี้ปรากฏขึ้นมาในใจ
    ท่านถึงกับอัศจรรย์ใจในธรรมที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติของตนเอง
    ตอนขี่ควายกลับเข้าบ้าน ท่านบอก
    เราเกิดปีติในใจที่จิตเราสงบรวมเป็นสมาธิครั้งแรก
    นั่งบนหลังควายไปใจของตนเองก็ชุ่มเย็น…

    เมื่อกลับมาถึงบ้านหลังจากท่านกินข้าวปลาอาหารกับคนในครอบครัวเสร็จแล้ว
    องค์ท่านหลบมานั่งพิจารณาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองเมื่อตอนกลางวัน
    ท่านบอก เรามองดูเรือนชานบ้านช่อง มองดูวัวควายใต้ถุนบ้าน
    เราคิดพิจารณาถึงไร่นาสาโทอันเป็นสถานที่
    ประกอบสัมมาหาเลี้ยงชีพของตนเองและคนในครอบครัว

    เราถามตนเองว่าอยากจะได้สิ่งเหล่านี้ไหม คำตอบในใจของเราคือ
    ไม่อยากได้สิ่งเหล่านี้ เพราะมันเป็นทุกข์เวียนวนที่ไม่มีวันจบสิ้น

    ท่านถามใจของตนเองว่า เราจะอยู่ในที่ตรงนี้อีกต่อไปได้ไหม

    คำตอบในใจของท่านคือ “เราจะใช้ชีวิตอยู่แบบนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้ว”

    เมื่อมีคำตอบในใจของตนเองออกมาแบบนี้
    ท่านจึงตั้งคำถามให้กับตนเองว่า
    “ถ้าเราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว แล้วที่ไหนคือที่อยู่ของเราล่ะ”

    คำตอบนั้นผุดขึ้นมาในใจของท่านทันที
    “ที่อยู่ของเราคือวัด ที่อยู่ของเราคือพระศาสนา
    นั่นคือสถานที่ที่เราจะอยู่ได้ตลอดชีวิต”

    เมื่อคำตอบนี้ปรากฏ ท่านเกิดโล่งขึ้นมาในใจของตนเองทันที
    ใจของท่านคิดถึงวัดป่านิโครธาราม
    ใจของท่านคิดถึงองค์ท่านหลวงปู่อ่อน (ญาณสิริ)
    ในคืนวันนั้นหลวงพ่อประสิทธิ์ท่านจึงตัดสินใจว่า
    “ชีวิตนี้เราจะต้องบวชให้ได้ ถ้าเมื่อใดที่เราได้บวช
    เราจะบวชตลอดชีวิตโดยไม่สึกออกมาเป็นฆราวาสครองเรือนกับใคร”

    เมื่อหลวงพ่อประสิทธิ์ท่านได้ข้อสรุป
    รู้ว่าชีวิตขององค์ท่านจะดำเนินไปในทิศทางใดแล้ว
    ท่านบอก คืนวันนั้นเรานอนอย่างมีความสุข
    ในชีวิตฆราวาสของเราไม่มีคืนไหนที่เราจะได้นอนสบายเท่ากับคืนวันนั้น
    คืนวันที่เราตัดสินใจออกบวช คือคืนที่จิตเราสว่างจ้าทั้งราตรี
    คืนนั้นเรานอนอยู่ในอิริยาบทสีหไสยาสน์จนตลอดรุ่ง
    ตื่นมาร่างกายก็ไม่เหนื่อย จิตใจเกิดปีติสุขในความสงบ
    จิตเป็นลหุตา กายเป็นลหุตา (กายเบา จิตเบา) ไปพร้อมกัน

    พระอาจารย์ประสิทธิ์ ปุญญมากโร
    วัดป่าหมู่ใหม่
    ต.แม่แตง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

    -แ.png

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  3. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    เมื่อ หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ต.โขงเจียม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี พระอริยสงฆ์ท่องนรกหลายขุม
    “พญายมกล่าวว่า “มนุษย์พูดอะไรกันอยู่ในโลกมนุษย์ คำพูดทุกคำของมนุษย์แต่ละคนจะมาปรากฏขึ้นในสมุดบัญชีของยมโลกโดยอัตโนมัติ ถ้าใครพูดจากันเรื่องธรรมะ การทำบุญสุนทรทาน การรักษาศีล การเจริญภาวนา ตัวหนังสือจะมาปรากฏเด่นชัดเป็นพิเศษ”

    -หลวงปู่คำคะนิง-จุล.png

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  4. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ” ชีวิตในภพชาติข้างหน้า อันยาวนานนักหนา จะเป็นชีวิตดี มีสุขเพียงไร ขึ้นอยู่กับกรรมที่ทำไว้แล้ว ทั้งในอดีตชาติและในชาตินี้เป็นสำคัญ จะฉลาดนัก ถ้าจะไม่ลืมความจริงนี้ ”

    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ

    1504449220_302_ชีวิตในภพชาติข้างหน้า.jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  5. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    เมื่อเอ่ยถึงท่านพุทธทาส แห่งสวนโมกขพลาราม จ.สุราษฎร์ธานี
    หลายๆ คนต้องรู้จัก เพราะท่านเป็นพระที่สอนการปฏิบัติธรรมแบบทางตรงไม่อ้อมค้อม จนบางครั้งมีผู้สงสัยว่า

    ไม่เห็นท่านเอ่ยถึงนรก สวรรค์ ชาตินี้ ชาติหน้า

    ซึ่งบรรดาลูกศิษย์ของท่านหลายๆ คน เลยตัดสินว่าที่ท่านไม่พูดนั้นแสดงว่า ไม่มีจริง
    เพราะท่านสอนแบบประโยชน์ในปัจจุบันจริงๆโดยเขาอ้างว่าตามพระไตรปิฎก ที่พระพุทธเจ้าสอนพุทธธรรมกำมือเดียว
    แต่ใบไม้ที่นอกกำมือมีอีกมาก จะปฏิเสธไปเลยทีเดียวไม่ได้
    ตามการวิเคราะห์ของผู้เขียน
    ผู้ที่เข้ามาสนใจในการปฏิบัติธรรม มีหลายจำพวก แยกได้คือ

    ๑.มาด้วยศรัทธา
    ๒.มาด้วยความทุกข์
    ๓.มาเพื่อสร้างปัญญา

    พวกที่ศรัทธานั้นมีหลายประเภท
    บางคนมาด้วยสนใจในอิทธิฤทธิ์ พวกพระเครื่อง ฯลฯ
    โดยเริ่มจากวัตถุมงคลเป็นตัวชักนำ
    พวกที่มาด้วยความทุกข์ ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร
    เลยเข้ามาหาศาสนา
    พวกที่ศรัทธาแท้ๆ นั้น เสมือนพวกเรียนอุดมศึกษา ระดับมหาวิทยาลัย
    ท่านพุทธทาส ท่านจะสอนเน้นนักศึกษาระดับนี้ เป็นการสอนแบบเซน (สูญญตวาทะ)

    บางครั้งการสอนเรื่องจิตว่างของท่านซึ่งใช้คำว่า “จงทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง”เป็นการทำงานเพื่องานทำบุญโดยไม่หวังอะไรซึ่งระดับจิตต้องพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง
    เคยมีวิวาทะระหว่างท่านคึกฤทธิ์กับท่านพุทธทาสในเรื่องนี้มีหนังสือตีพิมพ์ออกมาเป็นการพูดกันคนละมุม

    เมื่อมีเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ จึงเกิดข้อสงสัยในพวกปฏิบัติธรรมว่าท่านพุทธทาส อาจเป็นพระประเภทสุขวิปัสสโกทำให้ไม่รู้เรื่องสวรรค์ นรก
    แต่ในความเป็นจริงแล้วถึงแม้ว่าได้แบบปัญญาล้วนๆ ก็ย่อมไม่ปฏิเสธในเรื่องเหล่านี้

    ผู้ที่ปฏิบัติสายอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระและสายมโนมยิทธิของหลวงพ่อฤาษีลิงดำและสายวัดปากน้ำ เกิดความคลางแคลงใจอย่างมาก
    แต่ก็มีพระในสายนี้ออกมารับรองท่านพุทธทาสเช่น พระอาจารย์ชา สุภัทโท จ.อุบลราชธานีท่านจะรับรองการเทศน์ของท่านพุทธทาสเป็นอย่างมาก
    หลวงพ่อเกษม เขมโก ซึ่งอยู่จังหวัดลำปางพูดถึงท่านพุทธทาสให้ลูกศิษย์ฟังว่าท่านเป็นพระอนาคามี เป็นต้น

    เมื่อมีคณะศิษย์ของหลวงปู่ดู่ได้เดินทางไปนมัสการท่านพุทธทาสโดยนำสังฆทานพร้อมพระพุทธรูปที่อธิษฐานจิตโดยหลวงปู่
    เพื่อนำไปถวาย พร้อมคำถามที่จะกราบเรียนถึงเรื่องลึกลับต่างๆ ว่าจะมีจริงหรือเป็นตามคำเล่าลือหรือไม่ว่าท่านไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้
    ผู้คนไปนมัสการท่านมาก เป็นปกติของพระผู้ใหญ่ คณะที่ไปจัดแจงนำสังฆทานเข้าไปถวาย เมื่อเห็นว่าปลอดคน ท่านพุทธทาสรับสังฆทานเสร็จเรียบร้อย ท่านถามว่า “พระนำมาจากไหน”
    เมื่อได้รับคำตอบจากคณะศิษย์ ท่านพูดขึ้นมาว่า
    “เรื่องนี้ต้องคุยกันนาน ไว้ตอนกลางคืนมาคุยกันใหม่”
    สรุปว่ายังไม่รู้คำตอบที่แท้จริง เพราะภายในวัดสวนโมกข์ไม่ค่อยมีการสร้างพระพุทธรูปและวัตถุมงคลต่างๆ
    ตกกลางคืนตามที่ท่านนัดหมายเมื่อคณะศิษย์ของหลวงปู่เข้าไปกราบท่าน
    ท่านจึงพูดขึ้นว่า
    “เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า
    จะปฏิเสธเรื่องของพระพุทธเจ้าไม่ได้
    นรก สวรรค์นั้น ก็เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเป็นจริง
    ชาตินี้ ชาติหน้า แม้แต่ยุคพระศรีอาริย์ก็มีจริง
    แต่เราเล็งเห็นความหยาบของจิตในมนุษย์เหล่านี้
    เราเลยไม่สอน สอนแต่บรมธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น”

    คณะที่ไปกราบรับฟังและพร้อมกับขอขมาโทษในองค์ท่านเพราะทุกคนไม่คิดจะได้ฟังประโยคเหล่านี้ ทำให้หมดสงสัย

    ซึ่งตรงกับที่หลวงปู่ดู่เคยพูดไว้เมื่อมีลูกศิษย์ของท่านกล่าวเชิงวิจารณ์ท่านพุทธทาสโดยท่านเตือนว่า
    “อย่าไปประมาทท่าน ท่านก็มีดีของท่าน เราไม่รู้จริง เดี๋ยวเป็นบาปนะแก”

    ที่มา : ร่มเงาพุทธฉัตร โดยอาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์

    .jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  6. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    โปรดโยมพ่อในนรก

    เมื่อภาวนาไปได้ ๓ วัน ในคืนนั้น ได้เกิดนิมิตเห็นเส้นทางอันราบรื่นขึ้นต่อหน้า ข้าพเจ้าได้ออกเดินทางตามทางนั้นไป อีกพักหนึ่ง ได้เห็นประตูเหล็กขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า มีชายฉกรรจ์รักษาประตูอยู่ ๔ คน แต่ละคนถือหอกดาบครบมือ มีหน้าตาเคร่งขรึม ยืนนิ่งอยู่ ข้าพเจ้าก็เดินเข้าไปหาเพื่อจะถามว่านี้เป็นสถานที่อะไร ทางนี้จะไปที่ไหน ทั้ง ๔ คนนั้นได้ไหว้แสดงความเคารพนอบน้อมเป็นอย่างดี แล้วได้พูดขึ้นว่า ที่นี่เป็นประตูเข้าไปสู่ “ยมโลก” ทุกคนที่ตายจากเมืองมนุษย์แล้วต้องเข้ามาให้สืบสวนสอบสวนในที่แห่งนี้ทุกคน
    เขาถามข้าพเจ้าว่า พระคุณเจ้ามีความประสงค์สิ่งใดจึงได้มาในที่แห่งนี้ จึงตอบเขาไปว่า อาตมามีความประสงค์อยากทราบว่า โยมพ่อของอาตมาที่ตายไปแล้วได้เข้ามาในที่แห่งนี้หรือไม่ เขาถาม ขณะนี้พระคุณเจ้ากำลังติดตามหาโยมพ่อใช่ไหม ตอบเขาไปว่า ใช่แล้ว อาตมากำลังติดตามหาโยมพ่อ เขาพูดว่า ถ้าเช่นนั้น ขอนิมนต์พระคุณเจ้าเข้าไปสอบถามหัวหน้าที่อยู่ภายในเถิด
    จากนั้น ประตูเหล็กขนาดใหญ่ก็ได้เปิดออก ข้าพเจ้าก็เดินเข้าไป พอดีไปพบกับหัวหน้าใหญ่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เป็นผู้ตรวจบัญชีของคนตายทั้งหมด ว่าคนที่ตายนั้นมีอายุเท่าไร อยู่ที่ไหน บ้านเลขที่เท่าไร ตำบล อำเภอ จังหวัดอะไร ชื่ออะไร นามสกุลอย่างไร เหมือนกันกับจดลงในใบสำมะโนครัวทั้งหมด
    เมื่อเข้าไปถึง ดูเขาทำท่าตกตะลึงไปบ้าง แต่ก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตัวดี เมื่อเขายกมือไหว้แล้ว ก็พูดว่า พระคุณเจ้ามีความประสงค์อะไรหรือครับ ก็ได้เล่าให้เขาฟังว่า อาตมากำลังติดตามหาโยมพ่อ เพราะโยมพ่อได้ตายมาแล้วหลายเดือน ไม่ทราบว่า โยมพ่ออาตมาได้เข้ามาอยู่ที่นี่หรือเปล่า เขาถามว่าพ่อของพระคุณเจ้าชื่ออะไร นามสกุลอะไร ก็บอกเขาไปว่า ชื่อนายอุทธา นนฤาชา จากนั้น เขาก็ลุกขึ้นไปหยิบเอาหนังสือมาเปิดดู หนังสือนั้นมีความหนาประมาณ ๑ ศอก เขาใช้นิ้วมือกรีดเปิดพรืดเดียวแล้วอ่านดู และพูดขึ้นมาว่า นายอุทธา นนฤาชา อยู่บ้านหนองแวง (แก้มหอม) ตำบลไชยวาน อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี ใช่ไหมครับ บอกเขาไปว่าใช่แล้ว เขาพูดว่า ยังอยู่ที่นี่ครับ
    บอกเขาไปว่า อาตมาอยากขอพบโยมพ่อหน่อย เขาก็บอกคนใช้อีกคนหนึ่งว่า รีบไปตามนายอุทธา นนฤาชา ออกมาพบกับพระลูกชายด้วย เขาก็รีบวิ่งไป อีกสักพักหนึ่ง เขาก็ตามโยมพ่อเข้ามาหา เมื่อโยมพ่อเดินมา ลักษณะคล้ายจะมีความละอาย และอีกอย่างหนึ่ง คือ ที่แก้มด้านขวาคล้ำไปนิดหนึ่ง ส่วนแก้มด้านซ้ายเป็นปกติ เวลาเดินเข้ามาจะเอียงหน้าหันด้านซ้ายเข้ามา กางเกง เสื้อผ้าที่นุ่งขณะตายนั้น ใส่อย่างไร ตายไปก็จะนุ่งห่มอย่างนั้นไปก่อน เมื่อได้รับส่วนบุญจากลูกหลานและญาติๆ แล้ว ผ้านุ่งห่มจึงจะเปลี่ยนไป เมื่อโยมพ่อเข้ามาแล้วก็กราบตามปกติ

    จึงถามโยมพ่อว่า จำอาตมาได้ไหม
    โยมพ่อตอบ จำได้
    ถาม โยมพ่ออยู่ที่นี่ถูกเขาตีไหม
    ตอบ แต่ก่อนถูกตีอยู่บ้าง แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ตีเลย
    ถาม มาอยู่ที่นี่มีการไหว้พระภาวนาไหม
    ตอบ ไหว้พระทุกคืนภาวนาทุกคืน
    ถาม ลูกหลานทำบุญอุทิศมาให้ได้รับไหม
    ตอบ ได้รับ ๓ ส่วน อีกส่วนหนึ่งไม่ได้รับ
    ถาม ทำไมจึงไม่ได้รับ
    ตอบ เพราะพระสงฆ์ที่รับเครื่องไทยทานศีลไม่บริสุทธิ์
    ถาม กรรมที่จะต้องใช้อยู่ในขณะนี้มีมากไหม
    ตอบ มีไม่มาก เพราะกรรมเล็กๆ น้อยๆ หมดไปแล้วเหลือแต่กรรมจากวัวตัวเดียว
    จากนั้น ก็ได้มาปรึกษากับหัวหน้ายมบาลว่า กรรมของโยมพ่ออาตมา ส่วนใหญ่หมดไปแล้ว เหลือกรรมเนื่องจากวัวตัวเดียวเท่านั้น เมื่อกรรมเหลือน้อยนิดเดียวนี้ อาตมาอยากขอบิณฑบาตโยมพ่อพ้นจากกรรมนี้ได้ไหม
    จากนั้น หัวหน้ายมบาลก็ไปหยิบเอาหนังสือเล่มหนึ่ง มาอ่านเพื่อดูกรรมของโยมพ่อที่ทำมา แล้วก็พูดว่า กรรมของโยมพ่อพระคุณเจ้าจะหมดในวันนี้ ผมขอแสดงความเคารพนับถือ ต่อพระคุณเจ้าเป็นอย่างมาก ที่ได้ติดตามมาโปรดโยมพ่อถึงที่ จึงได้ถามโยมพ่อว่า อยากบวชไหม โยมพ่อตอบว่า อยากบวช จากนั้น ข้าพเจ้าก็เอาผ้าขาวออกมาจากย่ามยื่นให้ โยมพ่อก็ได้นุ่งห่มผ้าอย่างเรียบร้อย พอนุ่งห่มผ้าขาวเสร็จเท่านั้น ผิวพรรณของโยมพ่อ ก็เปลี่ยนไปทั้งหมด หน้าตามีความอิ่มเอิบ ผิวพรรณผ่องใสเป็นอย่างมาก แล้วกราบอาตมา ๓ ครั้ง แล้วพูดขึ้นว่า กรรมที่โยมพ่อได้ทำ หมดไปแล้วในวันนี้ ขอให้ลูกได้ไปประกาศ ให้ผู้ยังมีชีวิตอยู่ พากันสร้างความดีไว้ให้มาก เมื่อตายไปจะได้ไม่เป็นทุกข์
    โยมพ่อพูดว่า
    จากนี้ไป โยมพ่อจะได้ขึ้นไปอยู่ที่สูงแล้วนะ ว่าแล้วก็กราบ ๓ ครั้ง เสร็จแล้วก็ลอยขึ้นไปสู่อากาศ มองดูโยมพ่อลอยขึ้นไปจนสุดสายตา

    ขอกลับมาเล่าเรื่องคนตายต่อไป คิดว่าท่านผู้อ่านจะได้นำไปเป็นข้อคิดได้บ้างไม่มากก็น้อย
    ในช่วงขณะที่ข้าพเจ้าได้พูดคุย กันกับยมบาล และโยมพ่ออยู่นั้น มียมทูตได้นำผู้ที่ทำกรรมชั่ว ผ่านมาเป็นจำนวนมาก มีทั้งเชือกผูกคอลากเข้ามา มีทั้งโซ่ผูกแขนขา ดึงกันเข้ามา มีทั้งเอาไม้เรียวเฆี่ยนตีเลือดอาบตัว พากันร้องโหยหวนระงมไปทั้งหมด บางคนมีผ้านุ่งที่ฉีกขาด บางคนไม่มีผ้าติดตัวมาเลย ยมทูตได้บังคับขู่เข็ญด้วยวิธีต่างๆ พวกที่ทำกรรมชั่วมาแล้วได้รับความทุกข์ทรมานมากทีเดียว ผู้ที่ยมทูตนำไปนั้น มีจำนวนมากมาย ไม่อาจจะนับได้
    เมื่อมองไปอีกด้านหนึ่ง จะมองเห็นศาลาว่าการ ซึ่งใช้เป็นที่ตัดสินของผู้ทำกรรมชั่วทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้ถามยมบาลว่า ศาลานั้นมีเพื่อทำอะไร ยมบาลพูดว่า ศาลานั้นใช้เพื่อเป็นศาลตัดสินโทษที่มนุษย์ได้ทำเอาไว้ ใครทุกคนที่ตายแล้ว เมื่อมีบาปติดตัวมา ต้องได้ขึ้นศาลตัดสินในที่นี้ทั้งหมด ใครทำกรรมชั่วน้อย ก็มีที่คุมขังไว้อีกส่วนหนึ่งต่างหาก ถ้าผู้ที่ได้ทำกรรมชั่วมากก็จะมีที่คุมขังอย่างทรมานแยกไว้อีกต่างหาก
    เมื่อถึงวันกำหนด ก็จะได้นำผู้ทำกรรมเหล่านี้มาให้การตามหลักฐานที่มีอยู่แล้ว ขณะนี้ผู้ที่ทำกรรมชั่วทั้งหมดจะตกเป็นจำเลย ส่วนกรรมชั่วที่เขาทำมาแล้วนั้นจะเป็นโจทก์ฟ้องตามคดี ขณะนั้น หมู่โจทก์ทั้งหลายมีทั้งวัว ควาย หมู หมา เป็ด ไก่ ตลอดสัตว์อื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก พากันเข้าเรียงแถว เป็นโจทก์ฟ้องผู้ที่ทำกรรมชั่วอยู่อย่างเนืองแน่น
    การตัดสินในศาลของยมบาลนี้มีความเที่ยงธรรมมาก เรียกว่า ใช้กรรมชั่วดีเป็นที่ตัดสินอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการคอรัปชั่น ไม่มีการเอนเอียงเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเลย ไม่มีคำว่าผู้มีเงินมากจะชนะผู้มีเงินน้อยเหมือนโลกมนุษย์เรา แล้วก็เกิดมีความสลดสังเวชใจอีกอย่างหนึ่ง คือ ผู้อ้างตัวว่าเป็นสมณะหัวโล้นห่มผ้าเหลือง ก็ยังเป็นจำเลยถูกฟ้องในศาลนี้ก็มีมากทีเดียว
    ถ้าหากผู้ที่ทำความดีไว้มาก ทำความชั่วน้อย ตายไปก็ต้องมาตัดสินในศาลนี้ก่อน เมื่อกรรมชั่วที่มีจำนวนน้อยหมดไป จึงจะได้ไปสู่สุคติตามกรรมที่ตัวเองได้สร้างไว้แล้ว แต่ถ้ากรรมดีมีน้อย กรรมชั่วมีกำลังมาก ก็จะแจกแจงออกไปตามกรรมต่างๆ
    บางกรรมก็ส่งลงไปอเวจีมหานรก
    บางกรรมก็ตกไปอยู่ในนรกขุมเล็กๆ ตามกรรมจำแนกไว้แล้ว
    บางกรรมก็จะส่งไปเป็นเปรต บางกรรมก็ส่งไปเป็นสัตว์ดิรัจฉาน
    บางกรรมก็จะส่งไปในหมู่อสุรกาย
    ถ้าผู้ทำในกรรมดีล้วนๆ จะไม่ได้เข้ามาในเขตของยมบาลนี้เลย เมื่อเขาหมดชีวิตไปก็จะไปสู่สุคติทันที ฉะนั้น จึงขอเตือนแก่พวกเราทั้งหลายเอาไว้ โดยมิได้บังคับ ถ้าท่านไม่เชื่อ จะทำกรรมชั่วอย่างไรก็ตามใจ แต่ท่านก็จะได้เป็นผู้รับผลในการกระทำของท่านเอง

    …หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ…
    วัดป่าบ้านค้อ ต.เขือน้ำ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี

    .jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  7. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  8. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    อารมณ์ที่เกิดกับใจก็ปล่อยให้มันไปซะ

    “ เสียงมากระทบหูก็ปล่อยให้มันคืนบ้าน
    ไปซะ, จมูกกลิ่นมันมากระทบจมูกก็ปล่อย
    มันไปตามเรื่องมันซะ, รสที่มากระทบลิ้นก็
    ปล่อยให้มันไปซะ, อะไรที่มากระทบ
    โผฏฐัพพะก็ปล่อยให้มันไปซะ, อารมณ์ที่
    เกิดกับใจก็ปล่อยให้มันไปซะ, ……
    มันก็หมดเท่านั้นแหละ เราก็เป็นอิสระ
    เท่านั้นแหละ ”

    หลวงพ่อชา สุภัทโท

    .jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  9. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ” เสียงมันไม่ได้มารบกวนเรา
    เสียงมันก็อยู่ส่วนเสียง
    แต่เราไม่ระวังจิต
    เราเลยไปยึดเอาเสียง
    ได้ยินอะไรก็เป็นทุกข์
    เพราะเราไม่ได้พิจารณา ”

    หลวงปู่สรวง สิริปุญโญ
    เทิดไว้เหนือเศียรเกล้า ด้วยเกล้า สาธุ.

    .jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  10. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ถาม: ที่ว่าอะไรที่ทำให้มนุษย์หญิงชายและสัตว์ชนิดเดียวกันเกิดความรักชอบกัน โดยไม่มีโรงร่ำโรงเรียนสอนให้รักชอบกัน?

    ตอบ: เพราะราคะตัณหาความรักชอบไม่ได้อยู่ในหนังสือ ไม่ได้อยู่ในโรงร่ำโรงเรียนและครูที่ควรจะไปเรียนกับสิ่งดังกล่าวนั้น แต่ราคะตัณหาความหน้าด้านไม่มียางอาย มันเกิดและอยู่กับใจของมนุษย์หญิงชายและสัตว์ต่างหาก จึงทำให้ผู้มีสิ่งลามกนี้กลายเป็นหญิงชายและสัตว์ผู้ลามกไปตามอำนาจของมันโดยไม่รู้สึกตัว และไม่เลือกชาติชั้นวรรณะและวัยอะไรทั้งสิ้น ถ้ามีมากก็ยิ่งทำให้โลกกลายเป็นโลกวินาศไปได้อย่างไม่มีปัญหา หากไม่มีสติปัญญาสกัดกั้นมันไว้บ้างพอให้น่าดู ก็จะกลายเป็นน้ำล้นฝั่งท่วมทับหัวใจและท่วมบ้านเมืองให้ฉิบหายป่นปี้ไปได้ โดยไม่มีอะไรยังเหลือพอให้เป็นที่น่าดูบ้างเลย สิ่งที่เกิดอยู่ที่จิตใจของสัตว์โลกและเจริญอยู่ที่จิตใจของสัตว์โลกตลอดมา ก็เพราะมันได้รับการบำรุงส่งเสริมอย่างเหลือเฟือเสมอมา จึงมีกำลังเขย่าก่อกวนและทำลายสัตว์โลกให้ได้รับ ความทุกข์เดือดร้อนเสมอมา ไม่มีวันเวลาผ่อนตัวพอให้หายใจบ้างเลย

    โดยมากเคยได้ยินแต่น้ำท่วมบ้านท่วมเมืองผู้คนและสัตว์ ตลอดทรัพย์สินสมบัติต่างๆ ให้พินาศฉิบหาย แต่ไม่เคยสนใจสังเกตดูน้ำราคะตัณหาไม่มีเมืองพอดีท่วมหัวใจสัตว์โลกตลอดสมบัติที่พึงพอใจให้ฉิบหายวายป่วงไปทุกระยะเวลา โดยไม่นิยมว่าหน้าแล้งหน้าฝนเลย จึงไม่เห็นความเสื่อมโทรมของโลกที่กำลังเป็นอยู่ และจะเป็นไปว่ามีสาเหตุเป็นมาอย่างไร เพราะต่างคนต่างผลิต ต่างคนต่างส่งเสริม โดยไม่สนใจดูความเสื่อมโทรมเพราะน้ำนี้เป็นต้นเหตุ การมองหาความสงบสุขของโลก จึงเป็นสิ่งที่ออกจะสุดวิสัยไปได้ ถ้าไม่มองดูตัวที่กำลังก่อเหตุ

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    -ที่ว่าอะไรที่ทำให้ม.jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  11. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ” หลวงปู่มั่นท่านเล่าว่า ท่านแผ่เมตตาใหญ่ในรอบ ๒๔ ชั่วโมงต่อ ๓ ครั้ง คือ เวลากลางวันตอนบ่ายขณะนั่งภาวนาหนึ่งครั้ง ตอนก่อนนอนหนึ่งครั้ง ตอนตื่นนอนหนึ่งครั้ง ส่วนการแผ่เมตตาปลีกย่อยประจำนิสัยนั้น มิได้นับอ่านว่าวันหนึ่งกี่สิบครั้ง ท่านแผ่เมตตาใหญ่ ท่านว่ากำหนดจิตให้ดำรงตัวอยู่เฉพาะ แล้วกำหนดกระแสใจให้แผ่นซ่านออกไปทั่วโลกธาตุเบื้องบนเบื้องล่าง ทั่วทุกทิศทุกทางไม่มีว่างเว้น ปรากฏว่าจิตในขณะนั้น มีอำนาจแผ่่รัศมีและแสงสว่างออกไปทั่วพิภพไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีอะไรมาปิดบังได้เลย ยิ่งกว่าแสงพระอาทิตย์กี่ร้อยกี่พันดวงเป็นไหนๆ และไม่มีอะไรจะทรงแสงสว่างเสมอด้วยใจที่ได้ชำระอย่างเต็มภูมิแล้ว

    คุณสมบัติซึ่งแสดงออกจากจิตที่บริสุทธิ์สิ้นเชิงแล้ว ย่อมทำให้โลกสว่างและมีความร่มเย็นอย่างอัศจรรย์ที่บอกไม่ถูก เพราะไม่มีพิษสงแม้น้อยเจือปนอยู่ มีแต่คุณธรรมคือความเย็นล้วนๆ ดำรงอยู่ในดวงใจ ท่านผู้มีเมตตาจิตและมีใจบริสุทธิ์สะอาดไปอยู่ ณ ที่ใด มนุษย์เทวดาอารักษ์ย่อมเคารพเลื่อมใส ตลอดสัตว์เดียรัจฉานก็ไม่ระเวียงระวังว่าจะเป็นภัยต่อเขา เพราะจิตท่านอ่อนน้อมไปทั้งดวงด้วยเมตตาที่มีอยู่ประจำตลอดเวลา ไม่นิยมกาลสถานที่ บุคคล และกำเนิดสูงต่ำ เหมือนฝนตกลงสู่พื้นพิภพ ไม่นิยมว่าสถานที่สูงต่ำประการใดฉะนั้น ”

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    .jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  12. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ” สังวร คือ ความสำรวมระวังเหมือนถ้วยแก้วอยู่ในมือ ก็ต้องระวังมือไว้ให้ดี ถ้าปล่อยมือ ถ้วยก็ตกแตก

    จิตที่เข้าไปสงบอยู่ในอารมณ์ ต้องระวังไม่ให้เกิดโทษ ตาก็เห็นรูปแต่อย่าไปสำคัญว่าดีชั่ว หูก็ได้ยินเสียงแต่อย่าไปสำคัญว่าดีหรือชั่ว ”

    ท่านพ่อลี ธัมธโร

    -คือ-ความสำรวมระวั.jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  13. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ” ของชั่วผู้ใดก็ไม่อยากได้ ใครจะอยากได้ของชั่วของเสีย แม้แต่ของเน่าของเหม็น เราก็ยังไม่อยากได้
    แล้วเราจะไปทำตัวของเราให้ชั่วให้เสีย ให้เน่าให้เหม็นมันสมควรแล้วหรือ เราก็ต้องสอนตัวของเรา

    หากทุกคนพากันพินิจพิจารณา สอนกายวาจาใจของตัวให้ละชั่วบำเพ็ญดี ตั้งหน้าตั้งตาอุตส่าห์พยายามทำความดีอยู่เรื่อยๆ ความดีที่เราทำอยู่ไม่หยุดไม่ถอย
    ทีละเล็กละน้อยเหมือนกันกับเราเกี่ยวข้าว วันนี้เกี่ยวต้นนี้แล้วก็เกี่ยวต้นนั้น หลายครั้งเข้าก็ได้มากพอกำพอฟอนพอมัด จนเต็มทุ่งนา เพราะเกี่ยวไม่หยุดไม่ถอย

    ทำความดีก็เช่นกัน ทีละเล็กทีละน้อย วันนั้นนิดวันนี้หน่อย หลายครั้งหลายทีเข้า ความดีก็ทวีคูณขึ้น ใหญ่โตขึ้น ได้พึ่งได้อาศัย ฉะนั้น เราต้องสอนกายสอนใจของเรา ให้ขยันหมั่นเพียรทำความดีเอาไว้ อย่าไปคิดว่าทำความดีไม่มีผลอันใดดอก ทำแล้วก็ไม่มีคุณค่าตอบแทน

    อย่างภาษิตผีบ้าสมัยปัจจุบัน ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป นั่นภาษิตผีบ้า
    มันไม่ใช่อย่างนั้น ทำชั่วจะไปได้ดี ทำดีจะไม่เกิดผลอันใด มันไม่ถูก ทำดีก็ยังเป็นดีอยู่
    ถ้าไม่เชื่อก็ไปด่าเขาตีเขา แล้วคอยดูว่าเขาจะยกมือไหว้ เขาจะให้ค่าจ้างรางวัลว่าเจ้าตีเรา เราจะให้รางวัลเจ้า เจ้าด่าเราเราจะให้รางวัลเจ้า เขาจะให้อย่างนั้นไหม ถ้าไปทำชั่วทำเสียกับเขา เขาไม่ให้ มีแต่เขาจะตีตอบด่าตอบเท่านั้น ”

    หลวงปู่สิงห์ทอง ธัมมวโร
    เทิดไว้เหนือเศียรเกล้า ด้วยเกล้า สาธุ.

    .jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  14. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    “บาปบุญ นรกสวรรค์ มีจริงนะ คนที่ไม่เคยปฎิบัติก็จะไม่รู้ คนที่เขาปฎิบัติผ่านแล้วเขาสามารถที่จะมองย้อนอดีตไปได้หลายภพหลายชาติเขาจะเห็นอดีตที่ผ่านมา มันก็เหมือนเรามองย้อนหลังไปดูอดีตตั้งแต่เราเป็นเด็กนักเรียน จนเติบใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆจนมาถึงปัจจุบัน แต่สำหรับคนที่เขาปฎิบัติผ่านแล้ว เขาจะมองทะลุข้ามไปดูได้หลายภพหลายชาติ เห็นอดีตของเจ้าของว่าเคยเป็นคน เป็นสัตว์ต่างๆ เห็นความลำบากของการเวียนว่ายตายเกิด ชาติที่แล้วเกิดเป็นพ่อแม่เขาถ้าห่วงลูกห่วงหลานหลายชาตินี้เกิดมาเป็นลูกเขาแต่ก็จะบอกยากสอนยากนิดหน่อยเพราะจิตมันยึดติดว่าเคยเป็นพ่อเป็นแม่เขา นี้ละให้พากันปฎิบัติเอา ปีหนึ่งก็พากันมานอนวัดอย่างน้อยก็ให้ได้สัก 3 วัน เอาเท่ากับพุทโธ ธัมโม สังโฆ ก็ยังดี …”

    ธรรมคำสอน:องค์หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร

    1504449071_640_บาปบุญ-นรกสวรรค์-มีจริง.jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  15. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    “ศรัทธา” มีมากเกินไป ขาด “ปัญญา” กลายเป็น”งมงาย”
    “ปัญญา” มีมากเกินไป ขาด “ศรัทธา” กลายเป็น “ทิฎฐิมานะ”
    “สมาธิ” มีมากเกินไป ขาด “ปัญญา” กลายเป็น “โมหะ”
    “ปัญญา” มีมากเกินไป ขาด “สมาธิ” กลายเป็น “ฟุ้งซ่าน”
    “วิริยะ” มีมากเกินไป ขาด “สมาธิ” กลายเป็น “เหน็ดเหนื่อย”
    “สมาธิ” มีมากเกินไป ขาด “วิริยะ” กลายเป็น “เกียจคร้าน”
    “สติ” มีมากเท่าไหร่ยิ่งดี มีแต่คุณ ไม่มีโทษ

    โอวาทธรรม:พระคุณเจ้าองค์หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

    -มีมากเกินไป-ขาด-ป.jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  16. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    เหลือไว้แต่ความทรงจำ น้อมส่งเจ้าพระคุณหลวงปู่ใหญ่ หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป เข้าสู่แดนนิพพาน พระอริยเจ้าผู้มาล้นด้วยเมตตาธรรม อายุ ๑๐๕ ปี ๘๕ พรรษา วัดโพธิสมภรณ์ (เส้นเกศา)และเลือดองค์หลวงปู่ที่แปรสภาพเป็นพระธาตุ

    -น้.jpg
    1504248605_589_เหลือไว้แต่ความทรงจำ-น้.jpg
    1504248605_723_เหลือไว้แต่ความทรงจำ-น้.jpg
    1504248605_169_เหลือไว้แต่ความทรงจำ-น้.jpg
    1504248606_712_เหลือไว้แต่ความทรงจำ-น้.jpg
    1504248606_963_เหลือไว้แต่ความทรงจำ-น้.jpg
    1504248606_904_เหลือไว้แต่ความทรงจำ-น้.jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  17. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ไม่มีมานะเข้ามาแอบแฝงทำลาย

    ” พระเราต้องทำตัวเหมือนผ้าขี้ริ้วที่ปราศจากราคาค่างวดใด ๆ แล้วจึงเป็นความสบาย การกินอยู่หลับนอนและใช้สอยอะไรก็สบาย การเกี่ยวข้องกับผู้คนก็สบาย ไม่มีทิฐิมานะความถือตัวว่าเราเป็นพระเป็นเณรผู้สูงศักดิ์ด้วยศีลธรรม

    เพราะศีลธรรมอันแท้จริงมิได้อยู่กับความสำคัญเช่นนั้น แต่อยู่กับความไม่ถือตัวยั่วกิเลส อยู่กับความตรงไปตรงมาตามผู้มีสัตย์มีศีลมีธรรมความสม่ำเสมอเป็นเครื่องครองใจ นี้แลคือศีลธรรมอันแท้จริง ไม่มีมานะเข้ามาแอบแฝงทำลายได้ อยู่ที่ใดก็เย็นกายเย็นใจ ไม่มีภัยทั้งแก่ตัวและผู้อื่น ”

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    .jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  18. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  19. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ” . . . คนเราทุกวันนี้ ถ้าเป็นคนที่มีธรรม จะคิด จะพูด จะทำอะไรก็เป็นธรรม แต่ถ้าเป็นคนไม่มีธรรม เอาเรื่องโลกมาคิด มาพูด มาทำ ก็มีแต่โลกทั้งนั้น ให้เราทั้งหลายช่วยกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เห็นการกระทำอะไรที่ไม่ดีให้ช่วยกันบอกสอนแก้ไขให้ถูกให้ควร อย่าปล่อยให้คนทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    อย่าพึ่งเชื่อในสิ่งที่อาตมาพูดว่าดี ว่าถูก ว่าควรแล้ว ให้นำไปไตร่ตรองดูเสียก่อน หากพิจารณาว่าดี ว่าถูก ว่าควร แล้วจึงค่อยเชื่อ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ พ่อแม่ครูจารย์ก็เคยเตือนให้พึง ระวังเรื่องอายตนะ 6 กาย ใจ ตา หู จมูก และลิ้น ไม่ให้นำสิ่งไม่ดีเข้ามา ให้คะลำ ภาษาอีสาน คะลำ หมายถึง หลีกเลี่ยง อย่าเอาสิ่งไม่ดีเข้ามาในตัว หากรู้ว่าไม่ดีให้หลีกหนีให้ไกล . . . ”

    คติธรรมใน…พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่บุญมี ปริปุณฺโณ

    1504248124_599_คนเราทุกวันนี้-ถ้าเป็น.jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  20. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    1f338.png เผชิญกับพญามัจจุราช 1f338.png
    หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร

    ท่านทั้งหลาย เมื่อค่ำคืนของวันที่ 9 ธันวาคม 2559 ขณะที่หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร และชาวคณะวัดโคกปราสาท พักภาวนาอยู่ที่อุทยานแห่งชาติออบหลวง อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ หลวงพ่อมีอาการอาพาธด้วยโรคลมในท้อง และหมดเรี่ยวแรงเอาดื้อๆ ลูกศิษย์ได้ช่วยกันบีบนวดจนอาการดีขึ้น แม้จะยังอ่อนล้าเหนื่อยหอบอยู่ แต่หลวงพ่อก็อดทนพาคณะศิษย์สวดมนต์และนั่งภาวนาตามภารกิจ เมื่อท่านเข้าเต็นท์แล้ว อาการโรคลมในท้องยิ่งกำเริบหนัก เรี่ยวแรงหมดไป แต่ท่านก็ไม่เรียกหาใคร ธาตุขันธ์ก็แปรปรวน จนถึงขั้นพญามัจจุราชมาคอยเอาธาตุขันธ์คืน พญามัจจุราชบอกหลวงพ่อว่า “ถึงเวลาละสังขารแล้ว”

    แต่หลวงพ่อพิจารณาแล้ว จึงบอกกับพญามัจุราชว่า “ท่านพญามัจุราช เราไม่กลัวหรอกความตาย แต่เราขอถามท่านหน่อยว่า ระหว่าง “กิเลส” กับ “ธรรม” อันไหนมีประโยชน์มากกว่ากัน?”

    พญามัจุราชตอบว่า “ธรรมมีประโยชน์มากกว่า”

    หลวงพ่อจึงบอกพญามัจจุราชว่า “งั้นเราจะยังไม่ละธาตุขันธ์ตอนนี้ เพราะเราได้พิจารณาแล้วว่า เราจะยังประโยชน์แก่ชาวโลก ที่ยังรอความช่วยเหลือจากเราอยู่อีกมาก เมื่อถึงเวลาสมควรแล้ว เราจะละสังขารเอง ดังนั้น ท่านจงถอยออกไป”

    หลังจากนั้น หลวงพ่อได้ใช้อิทธิบาทสี่ และพิจารณาธรรมต่อสู้กับพยาธิร้าย จนพญามัจจุราชยอมถอยออกไป พอพญามัจจุราชถอยออกไปแล้ว เวทนาก็เข้ามาแทนที่ ทั้งความหนาวเหน็บอันมีผลมาจากอุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว กอปรกับอาการปวดเมื่อยร่างกาย จากการนั่งรถขึ้นลงเขาตลอดเส้นทางหลายวัน จึงทำให้เกิดเวทนาสุดๆ จึงต้องต่อสู้กับเวทนาด้วยการพิจารณาธรรมต่อจนถึงรุ่งเช้า เป็นอันว่า ค่ำคืนนี้ หลวงพ่อจึงไม่มีเวลาที่จะสนทนาธรรมกับชาวโลกทิพย์ และโลกวิญญาณแต่อย่างใด

    หลวงพ่อเล่าไป ดูกายก็เหนื่อย ลมหายใจก็หอบ แต่ใจของท่านไม่สะทกสะท้านในความทุกข์ที่พึ่งผ่านมา ในตอนท้าย หลวงพ่อพูดกับบุรุษผู้เป็นศิษย์ว่า… “การเป็นผู้นำคน ต้องฝึกตนให้ได้ทุกอย่าง ทนและรับได้ต่อทุกสิ่ง สติปัญญาต้องรอบด้าน มีความเมตตา และเห็นประโยชน์แก่ส่วนรวม แม้จะทรมานกายเพียงใด ก็ไม่แสดงอาการให้ใครเห็น เพื่อไม่ให้หมู่คณะระส่ำระสาย จึงจะเป็นผู้นำคนได้”

    ท้ายสุด ท่านเมตตาจ้องหน้าลูกศิษย์ พร้อมเอ่ยขึ้นว่า …*ฝึกเอาให้ได้เด้อ…* จะได้เป็นผู้นำคนต่อไป”…. จึงนับเป็นความเมตตาอันสูงสุด ที่ท่านได้สั่งสอนลูกศิษย์ ด้วยการปฏิบัติให้ดูเป็นแบบอย่าง

    ขอเจริญในธรรม
    ดร.นนต์
    16 ธันวาคม 2559

    .jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...