ธรรมะจากเพจต่างๆ พระสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย ธรรมะสายหลวงปู่มั่น, 6 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  2. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  3. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ขอเชิญร่วมงานทำบุญอายุวัฒนมงคล ๗๘ ปี หลวงปู่คำ นิสโสโก ทายาทธรรมพระโพธิญาณเถร(หลวงปู่ชา สุภัทโท) เจ้าอาวาสวัดไทยพัฒนา อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี สาขาวัดหนองป่าพงที่ ๑๑ ในวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๒ (เช้า)

    *** กำหนดการ ***
    วันจันทร์ ที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๒
    เวลา ๐๗.๐๐ น. พระภิกษุสามเณรออกบิณฑบาตร
    เวลา ๐๗.๓๐ น. พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์
    เวลา ๐๘.๐๐ น. แสดงธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์
    เวลา ๐๙.๐๐ น. ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสามเณร
    เวลา ๑๐.๐๐ น. สรงน้ำมุฑิตาสักการะอายุวัฒนมงคล ๗๘ ปี. หลวงปู่คำ นิสโสโก รับของที่ระลึกและเสร็จพิธี

    หมายเหต
    กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม

    *****************************************
    ขอเชิญร่วมบริจาคถวายจตุปัจจัยไทยธรรมแด่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เมตตามาร่วมงานอายุวัฒนมงคล ๗๘ ปีหลวงปู่คำ นิสโสโกและค่าใช้จ่ายต่างๆภายในงาน

    ร่วมบริจาคได้ที่ : ธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี พระครูพัฒนกิจวิศาล เลขที่บัญชี 317-1-33831-9

    ติดต่อออกโรงทานได้

    ******************************************

    รายนามพระสงฆ์ที่นิมนต์มาฉันเช้างานอายุวัฒนะมงคล ๗๘ ปีหลวงปู่คำ นิสฺโสโก
    ๑.พระครูโพธิสารคุณวัฒน์(บุญชู ฐิตคุโณ) วัดป่าโพธิญาณ จ.อุบลฯ
    ๒.พระครูสุวรรณโพธิเขต(คูณ อัคคธัมโม) วัดป่าโพธิ์สุวรรณ จ.อุบลฯ
    ๓.หลวงพ่อไพฑูรย์ ขันติโก วัดป่าสุภัททมงคล จ.อุบลฯ
    ๔.พระครูอุดมวนานุรักษ์(สมหมาย ปิยธัมโม) วัดป่าอุดมวนาสันต์ จ.อุบลฯ
    ๕.พระครูนิมิตวิริยานุกูล(สุบิน อุตตโม) วัดป่าหนองแวง จ.ศรีสะเกษ
    ๖.หลวงพ่อคำพันธ์ ฐิตธัมโม วัดป่าดอนจิก จ.อุบลฯ
    ๗.หลวงพ่อสุภาพ สุภาจาโร วัดป่าภูคำ จ.ศรีสะเกษ
    ๘.หลวงพ่อสาลี ขันติพโล วัดป่าทุ่งศรีอุดม จ.อุบลฯ
    ๙.พระครูสังวรธรรมนิมิต(สุบิน จิตตสังวโร) วัดป่าเกษตร จ.อุบลฯ
    ๑๐.พระครูสุวรรณกิจสโมธาน(ประมวล สุวัณโณ) วัดจังกาจิตต์ จ.อุบลฯ
    ๑๑.พระครูสถิตอุดมคุณ(เสถียร กันตสีโล) วัดภุดินแดง จ.ศรีสะเกษ
    ๑๒.หลวงพ่อถวิล ถาวโร วัดป่าหนองกุง จ.อุบลฯ
    ๑๓.พระครูสุภัทรปุณณธาดา(บุญมา ปุญญสิริ) วัดป่าห่องเตย จ.อุบลฯ
    ๑๔.พระครูสังฆรักษ์แสวง วังสธัมโม วัดป่านาแก จ.อุบลฯ
    ๑๕.พระอาจารย์เกษม จันทวังโส วัดป่าซำตารมย์ จ.ศรีสะเกษ
    ๑๖.พระอาจารย์แสง โชติวโร วัดป่าโนนหนองไฮ จ.อุบลฯ
    ๑๗.พระครูมงคลสุธรรมากร(ปา สุธัมโม) วัดป่านาเกษม จ.อุบลฯ
    ๑๘.หลวงปู่เสงี่ยม สติสัมปันโน วัดป่าไทรทอง จ.อุบลฯ
    ๑๙.พระอาจารย์ไพทูรย์ อนุตโร วัดป่าโนนรัง จ.อุบลฯ
    ๒๐.พระอาจารย์กิติพงษ์ สุจิตโต วัดป่าดอนกลาง จ.อุบลฯ
    (รวมประมาณ ๗๐ รูป)

    .jpg

    ที่มา พระกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  4. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    เรื่อง “นิสัยของพระกรรมฐานไม่ติดถิ่น”

    (ปกิณกธรรม หลวงปู่บุดดา ถาวโร)

    หลวงปู่บุดดา ถาวโร กับสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์

    หลวงปู่บุดดาท่านเรียกสรรพนามสมเด็จพระสังฆราชเจ้าพระองค์นี้ว่า “สมเด็จไส้ออก”

    เวลาท่านผ่านมาทางวัดบวรนิเวศ ถ้าพระองค์เห็นเข้าก็จะจูงมือหลวงปู่ขึ้นบนกุฎิปิดประตูสนทนากัน และจัดให้หลวงปู่จำวัดในพระตำหนักด้วย ท่านบอกว่า

    “ท่านบุดดามีพร้อมแล้วไม่ติดที่อยู่ พอออกพรรษาก็ออกไปเหมือนนกกระจอก อ้ายเรามันติดที่อยู่ที่นี่จนออกพรรษาแล้วก็ยังอยู่กับที่”

    [​IMG]

    ที่มา ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น
     
  5. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    เรื่อง “หลวงปู่มั่นยกย่องคุณธรรมหลวงปู่เจี๊ยะว่า ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบาก แต่รู้ได้เร็ว”

    (โอวาทธรรมหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท)
    (วัดป่าภูริทัตตปฎิปทาราม จ.ปทุมธานี)

    ท่านพระอาจารย์มั่นได้กล่าวชมเชยในคุณธรรมและนิสัยวาสนาของ “หลวงปู่เจี๊ยะ” ท่ามกลางหมู่สงฆ์ว่า

    “ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา”

    ท่านผู้นี้ปฏิบัติลำบากแต่รู้เร็ว

    ปฏิบัติเพียง ๓ ปี เท่ากับเราปฏิบัติภาวนา มาเป็นเวลา ๒๒ ปีอันนี่อยู่ที่นิสัยวาสนาเพราะนิสัยวาสนาของคนมันต่างกัน”

    ต้นปีพุทธศักราช ๒๔๙๒ ขณะที่ท่านเข้าที่หลีกเร้นภาวนาในดงป่าลึก ณ เชิงเขาบายศรี อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี เกิดป่วยเป็นไข้มาลาเรียอย่างหนัก ในขณะที่ป่วยหนักนั้นท่านเล่าว่า

    “จิตเป็นธรรมชาติที่อัศจรรย์ตลอดเวลา พิจารณาจนกระทั่งจิตมันดับหมด หยุดความคิดค้น จิตปล่อย วางสิ่งทั้งปวง คว่ำวัฏฏจักร วัฏฏจิต แหวกอวิชชา และโมหะอันเป็นประดุจตาข่าย กิเลสขาดสะบั้นออกจากใจ จิตมีอิสระอย่างสูงสุดเกินที่จะประมาณได้”

    [​IMG]

    ที่มา เมตตาธรรม ศิษย์พระธุดงค์กรรมฐาน สายหลวงปู่เสาร์-หลวงปู่มั่น
     
  6. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    เรื่อง “หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท ตอบปัญหาธรรมแด่องค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้าชื่น ได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง”

    (วิสัชนาธรรมโดย หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท)

    ในคราวที่กลับจากท่านพระอาจารย์มั่นนั้น เข้ามากราบสมเด็จฯ ท่านที่วัดบวรฯ พระองค์ได้รับหนังสือธรรมะของหลวงพ่อสดวัดปากน้ำภาษีเจริญ พระองค์เมื่อนำมาอ่านแล้วถามเราขึ้นว่า

    “เจี๊ยะ! เราอ่านหนังสือของหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ เขาเขียนว่า การเพ่งพระพุทธรูปนั้นเป็นมรรค เธอคิดว่าอย่างไร”

    เรากราบทูลไปว่า “แล้วพระองค์พิจารณาว่าการเพ่งอย่างนั้นเป็นมรรคหรือไม่?” พระองค์ทรงนิ่ง แล้วหันมามองเรา แสดงอาการว่า พระองค์อยากทราบความคิดของเราในเรื่องนี้ จึงกราบทูลไปว่า “กระหม่อมคิดว่า ถ้าจะเป็นมรรคก็ต้องคิดพิจารณา อันนำไปสู่ “ภาวนามยปัญญา” การเพ่งพระพุทธรูป เช่นนั้น ก็ต้องหาเหตุผลว่าเพ่งเพื่ออะไร ได้อะไร แต่การนั่งเพ่งมองเฉยๆ หาเหตุผลไม่ได้ ไม่น่าจะมีประโยชน์อะไร” กราบทูลท่านเท่านี้เราก็หยุด เพราะกลัวจะไปเฟ้อไปแบบไร้เหตุผล เป็นคำพูดที่ไม่มีที่จบ อันแสดงถึงความไม่รู้จักประมาณของคนที่พูด เดี๋ยวจะเป็นกรรมฐานดงหลงป่า ภาษาธรรมเรี่ยราด ขาดเหตุผล

    พระองค์จึงตรัสขึ้นว่า “เออ…ว่าต่อไปซิ…กำลังฟังอยู่ หยุดทำไม?”

    เราจึงกราบทูลต่อไปอีกว่า

    “การพิจารณานั้นควรเพ่งเข้ามาภายใน ควรรู้ข้างในก่อน ไม่ควรปล่อยจิตออกจากวงกาย เวทนา จิต ธรรม สติปัฏฐานสี่ควรพิจารณาตั้งลง ณ ที่กายจิตนี้ ถ้าปล่อยให้จิตส่ายแส่ออกไปที่อื่น ในสภาวะที่ใจไม่สามารถคุ้มครองตนเองได้นั้น กระหม่อมคิดว่า ไม่ควรอย่างยิ่ง จะเป็นสมุทัยไปเสียอีก แต่ถ้าย้อนเข้ามาพิจารณาภายในกายตนเอง อันเป็นส่วนวิปัสสนา เพื่อละทิฏฐิมานะ เพื่อละอหังการ ความหลงตน อหังการ ความทะนงตนนั้น เป็นการสมควรอย่างยิ่ง เป็นมรรค กระหม่อมคิดว่า เป็นมรรคแท้”

    “การพิจารณากาย เป็นกายานุปัสสนานั้น เธอพิจารณาอย่างไร?”

    พระองค์ตรัสถามด้วยความสนพระทัย ไม่ทรงแสดงอาการว่าทดสอบ แต่เป็นพระกริยาที่อยากจะสนทนาธรรม ด้วยความที่พระองค์เป็นผู้ประพฤติธรรม

    “จะสมควรหรือ? กระหม่อม”

    เรากราบทูลเพราะเกรงจะไม่บังควร จะเป็นการเอามะพร้าวไปขายสวน

    “สนทนาธรรม ไม่สมควรตรงไหน นักบวชไม่สนทนาธรรม จะสนทนาอะไรล่ะ”

    พระองค์ตรัสย้ำ แบบไม่ทรงถือตัว

    กระหม่อมคิดว่า

    “การพิจารณากายนั้น ต้องมีสมาธิเป็นพื้นฐานก่อน การพิจารณานั้นจิตจึงจะมีกำลัง พิจารณาเพ่งตัดกายออกเป็นชิ้นๆ ซึ่งในขณะที่พิจารณาอย่างนั้น จิตดำเนินในทางสมาธิมรรค มรรคองค์อื่นๆ จะเป็นมรรคสมังคีโดยพร้อมพรั่ง เมื่อพิจารณาถึงเหตุถึงผล จิตจะเด่นดวงขึ้นมา จิตนั้นจะอยู่เหนืออริยสัจเหนือมรรค เป็นไปเพื่อความรู้แจ้ง ดับสนิทไม่มีเชื้อเหลือ”

    “เออ!…ดี พระป่านี่ดี… เรียนตำราเดิมของพระพุทธเจ้าได้ดี”

    พระองค์พูดสั้นๆ เท่านั้น เราก็กราบลาไปพักที่กุฏิ

    [​IMG]

    ที่มา ธรรมะพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  7. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    เรื่อง “เวลาวันคืนกลืนกินชีวาผู้มีปัญญาทราม”

    (คติธรรม หลวงปู่หล้า เขมปัตโต)

    การเตือนตนให้รีบ “สร้างความดี” ให้เร็วด่วนทวีขึ้นนี้ เป็นคำสอนคำสั่งของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

    “เวลาวันคืนกลืนกินชีวาของผู้มีปัญญาทรามไป เป็นวันเวลาไร้สาระของท่านผู้นั้นโดยแท้”

    วันคืนเวลาย่อมกลืนกินชีวาของสัตว์โลกทั่วไปโดยไม่ลำเอียง หมู่มนุษย์เทวามารพรหม ที่จมอยู่ในโลกียวิสัย ท่านผู้ที่มีกิเลสเบาบางไปบ้างก็ดี ย่อมดำรงข้อวัตร ประหยัดเวลาไม่ให้ผ่านเลยไปเปล่า

    -เวลาวันคืนกลืนก.jpg

    ที่มา เมตตาธรรม ศิษย์พระธุดงค์กรรมฐาน สายหลวงปู่เสาร์-หลวงปู่มั่น
     
  8. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ..คนใจบอน ปากจึงบอน….
    ใจมันเร่าร้อน การกระทำจึงร้อนด้วย
    มันดูแต่คนอื่น ไม่ดูตัวเอง
    คนเราถ้าไม่มีสติ อะไรก็ช่วยไม่ได้….

    -ปากจึงบอน.jpg

    ที่มา เมตตาธรรม ศิษย์พระธุดงค์กรรมฐาน สายหลวงปู่เสาร์-หลวงปู่มั่น
     
  9. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  10. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  11. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  12. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  13. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ธรรมะเนื่องในโอกาสวันแห่งความรัก

    เรื่อง “คู่บารมี ปุพเพนิวาสชาติปางก่อน”

    (คติธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

    ไม่มีอะไรจะเจ็บแสบยิ่งกว่าเรื่องของสามีภรรยา ที่มีความรักกันมากที่สุดในโลกนี้ก็คือสามีภรรยา รักสงวนกันมาก จดจ้องกันมาก ระเวียงระวังกันมาก ถ้าต่างคนต่างไม่มีธรรมด้วยแล้ว ก็เหมือนเอาไฟมาเผากันทั้งวันทั้งคืนอยู่ด้วยกันไม่เป็นสุข แม้จะเป็นเศรษฐีก็เป็นเศรษฐีไฟด้วย เผาหัวอกด้วยกันนั้นแหละ ถ้ามีธรรมในใจแล้วอยู่ไหนก็สบาย สามีก็ตายใจ เชื่อตัวเองได้ว่าเรามีภรรยาแล้ว ภรรยาของเราคนนี้เป็นเครื่องวัดชีวิตจิตใจของเราให้เป็นให้ตายไปด้วยกัน ไม่ยินดีกับหญิงอื่นหญิงใดทั้งนั้นแหละ(อัปปิจฉตา) นอกจากภรรยาของเราคนนี้เป็นผู้ฝากเป็นฝากตาย มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน พึ่งเป็นพึ่งตายกันได้ นี้แลเรียกว่าสร้างหอวิมานในครอบครัวของตน

    ระหว่างสามีภรรยามีความจงรักภักดีต่อกันอย่างนี้ เรียกว่าสร้างหอวิมานขึ้นมา ความสุขในมนุษย์ก็อยู่ในจุดนี้แล อะไรที่มีมาบ้างได้เสียไปบ้างนั้นเป็นธรรมดาของโลกทั่วๆ ไป แต่ความจงรักภักดี ความซื่อสัตย์สุจริตต่อกันระหว่างสามีภรรยานี้ ให้มีความแน่นแฟ้นแก่นแห่งความรักความตายใจซึ่งกันและกันแล้ว นี้คือ “บ่อแห่งความสุข” สมบัติใดๆ สู้ไม่ได้ นี้เป็นสมบัติทิพย์อยู่ภายในจิตใจ เมียก็ตายใจว่าผัวของเรานี้เป็นที่ตายใจได้แล้ว สามีก็ตายใจ ภรรยาก็ตายใจ ต่างคนต่างตายใจ วางใจกันได้ นี้ละบ่อแห่งความสุขอยู่จุดนี้

    เราอย่าไปหวังเอาเงินเอาทองมาเป็นเศรษฐี โดยไม่คำนึงถึงความสำคัญที่อยู่ในคู่ครองทั้งสองนี้ ให้ปฏิบัติต่อกันด้วยดี เราจะมีความสุขความสบาย ตายลงไปแล้วก็มีความปรารถนาอยากจะพบกันในภพชาติต่อไปก็สมหวัง ถ้าทำความชั่วช้าลามก มีขัดมีแย้งกันเรื่องกิเลสกาม ความได้ไม่พอๆ ความโลภไม่พอนี้แล้ว ปรารถนาจะเป็นผัวเป็นเมียกัน ก็เหมือนกับเอาฟืนเอาไฟมาเผากันนั่นแหละ ผู้ดีก็ไปทางดีเสีย เมียเป็นคนดีตายแล้วเมียก็ไปทางดีเสีย ผัวเป็นคนชั่วตายแล้วก็จมไปทางชั่วเสีย ถ้าเมียไม่ดีเมียก็ไปทางชั่ว ผัวไม่ดีผัวก็ไปทางชั่วได้ ใครดีใครก็ไปทางดีด้วยกัน

    เมื่อดีทั้งสองแล้ว มีความปรารถนาต่อกัน อยากเป็นสามีภรรยา คู่พึ่งเป็นพึ่งตาย “คู่บารมี” กันในวาระต่อไปก็เป็นได้อย่างสมหวัง เพราะอำนาจแห่งบุญแห่งกุศลกลมกลืนกัน ไม่ปีนเกลียวกัน เมียชั่วผัวดีอย่างนี้ไม่ถูก ผัวก็ดี เมียก็ดี อย่าขัดอย่าแย้ง เวลาจะทำบุญให้ทาน อย่าต่อล้อต่อเถียงกัน ขัดแย้งกัน ผัวอยากให้ เมียไม่อยากให้ ก็ทะเลาะกันเสีย บุญกุศลควรที่จะได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็ขาดบาทขาดตาเต็งลงไป ยิ่งไม่ให้เสียก็เลยไม่ได้ให้จริงๆ ขาดไปหมดด้วย นี่ขาดทุนสูญดอก อย่าขัดอย่าแย้งกัน การทำบุญให้ทานนี้เป็นสิ่งที่ชอบธรรมอย่างยิ่งแล้ว เรามีสมบัติมาพอได้ทำบุญให้ทาน ก็เป็นบุญของเรา อย่าขัดอย่าแย้งกัน ให้ได้บุญด้วยกัน ผัวทำก็ได้บุญทั้งผัวทั้งเมีย เมียทำก็ได้ถึงกัน เพราะใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีความยินดีด้วยกัน ปรารถนาจะเป็นคู่ครองกันในกาลต่อไปก็เป็นได้อย่างสมมักสมหมาย เพราะความดีเสมอกัน

    ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ ถ้าผัวเป็นยักษ์ เมียเป็นผี ก็ไปเป็นคู่บารมีกันในแดนนรกไม่เคยมี ธรรมพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนไว้ ต้องเป็นคนดี เห็นกันแล้วหากเป็นไปเอง ถ้าต่างคนต่างเป็นคนดี ท่านแสดงไว้ในธรรมว่า ปุพเพนิวาสชาติปางก่อนเคยได้สร้างสมอบรมอะไรต่อกันไว้ ในเวลาที่เป็นผัวเป็นเมียกัน ในภพชาติต่อไปบุญบารมีอันนี้ก็จะกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อพบกันเจอกันแล้วไม่ต้องบอก มันก็รู้กันเองภายในจิตใจที่เคยกันอยู่แล้ว มันหากเป็นผัวเป็นเมีย เป็นคู่บารมีและสร้างคุณงามความดีไปด้วยกัน เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ต่างคนก็ต่างถึงความหลุดพ้นจากทุกข์ไปได้นั่นแหละ

    .jpg

    ที่มา ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น
     
  14. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  15. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ธรรมะเนื่องในโอกาสวันแห่งความรัก

    เรื่อง “คู่บารมี ปุพเพนิวาสชาติปางก่อน”

    (คติธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

    ไม่มีอะไรจะเจ็บแสบยิ่งกว่าเรื่องของสามีภรรยา ที่มีความรักกันมากที่สุดในโลกนี้ก็คือสามีภรรยา รักสงวนกันมาก จดจ้องกันมาก ระเวียงระวังกันมาก ถ้าต่างคนต่างไม่มีธรรมด้วยแล้ว ก็เหมือนเอาไฟมาเผากันทั้งวันทั้งคืนอยู่ด้วยกันไม่เป็นสุข แม้จะเป็นเศรษฐีก็เป็นเศรษฐีไฟด้วย เผาหัวอกด้วยกันนั้นแหละ ถ้ามีธรรมในใจแล้วอยู่ไหนก็สบาย สามีก็ตายใจ เชื่อตัวเองได้ว่าเรามีภรรยาแล้ว ภรรยาของเราคนนี้เป็นเครื่องวัดชีวิตจิตใจของเราให้เป็นให้ตายไปด้วยกัน ไม่ยินดีกับหญิงอื่นหญิงใดทั้งนั้นแหละ(อัปปิจฉตา) นอกจากภรรยาของเราคนนี้เป็นผู้ฝากเป็นฝากตาย มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน พึ่งเป็นพึ่งตายกันได้ นี้แลเรียกว่าสร้างหอวิมานในครอบครัวของตน

    ระหว่างสามีภรรยามีความจงรักภักดีต่อกันอย่างนี้ เรียกว่าสร้างหอวิมานขึ้นมา ความสุขในมนุษย์ก็อยู่ในจุดนี้แล อะไรที่มีมาบ้างได้เสียไปบ้างนั้นเป็นธรรมดาของโลกทั่วๆ ไป แต่ความจงรักภักดี ความซื่อสัตย์สุจริตต่อกันระหว่างสามีภรรยานี้ ให้มีความแน่นแฟ้นแก่นแห่งความรักความตายใจซึ่งกันและกันแล้ว นี้คือ “บ่อแห่งความสุข” สมบัติใดๆ สู้ไม่ได้ นี้เป็นสมบัติทิพย์อยู่ภายในจิตใจ เมียก็ตายใจว่าผัวของเรานี้เป็นที่ตายใจได้แล้ว สามีก็ตายใจ ภรรยาก็ตายใจ ต่างคนต่างตายใจ วางใจกันได้ นี้ละบ่อแห่งความสุขอยู่จุดนี้

    เราอย่าไปหวังเอาเงินเอาทองมาเป็นเศรษฐี โดยไม่คำนึงถึงความสำคัญที่อยู่ในคู่ครองทั้งสองนี้ ให้ปฏิบัติต่อกันด้วยดี เราจะมีความสุขความสบาย ตายลงไปแล้วก็มีความปรารถนาอยากจะพบกันในภพชาติต่อไปก็สมหวัง ถ้าทำความชั่วช้าลามก มีขัดมีแย้งกันเรื่องกิเลสกาม ความได้ไม่พอๆ ความโลภไม่พอนี้แล้ว ปรารถนาจะเป็นผัวเป็นเมียกัน ก็เหมือนกับเอาฟืนเอาไฟมาเผากันนั่นแหละ ผู้ดีก็ไปทางดีเสีย เมียเป็นคนดีตายแล้วเมียก็ไปทางดีเสีย ผัวเป็นคนชั่วตายแล้วก็จมไปทางชั่วเสีย ถ้าเมียไม่ดีเมียก็ไปทางชั่ว ผัวไม่ดีผัวก็ไปทางชั่วได้ ใครดีใครก็ไปทางดีด้วยกัน

    เมื่อดีทั้งสองแล้ว มีความปรารถนาต่อกัน อยากเป็นสามีภรรยา คู่พึ่งเป็นพึ่งตาย “คู่บารมี” กันในวาระต่อไปก็เป็นได้อย่างสมหวัง เพราะอำนาจแห่งบุญแห่งกุศลกลมกลืนกัน ไม่ปีนเกลียวกัน เมียชั่วผัวดีอย่างนี้ไม่ถูก ผัวก็ดี เมียก็ดี อย่าขัดอย่าแย้ง เวลาจะทำบุญให้ทาน อย่าต่อล้อต่อเถียงกัน ขัดแย้งกัน ผัวอยากให้ เมียไม่อยากให้ ก็ทะเลาะกันเสีย บุญกุศลควรที่จะได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็ขาดบาทขาดตาเต็งลงไป ยิ่งไม่ให้เสียก็เลยไม่ได้ให้จริงๆ ขาดไปหมดด้วย นี่ขาดทุนสูญดอก อย่าขัดอย่าแย้งกัน การทำบุญให้ทานนี้เป็นสิ่งที่ชอบธรรมอย่างยิ่งแล้ว เรามีสมบัติมาพอได้ทำบุญให้ทาน ก็เป็นบุญของเรา อย่าขัดอย่าแย้งกัน ให้ได้บุญด้วยกัน ผัวทำก็ได้บุญทั้งผัวทั้งเมีย เมียทำก็ได้ถึงกัน เพราะใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีความยินดีด้วยกัน ปรารถนาจะเป็นคู่ครองกันในกาลต่อไปก็เป็นได้อย่างสมมักสมหมาย เพราะความดีเสมอกัน

    ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ ถ้าผัวเป็นยักษ์ เมียเป็นผี ก็ไปเป็นคู่บารมีกันในแดนนรกไม่เคยมี ธรรมพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนไว้ ต้องเป็นคนดี เห็นกันแล้วหากเป็นไปเอง ถ้าต่างคนต่างเป็นคนดี ท่านแสดงไว้ในธรรมว่า ปุพเพนิวาสชาติปางก่อนเคยได้สร้างสมอบรมอะไรต่อกันไว้ ในเวลาที่เป็นผัวเป็นเมียกัน ในภพชาติต่อไปบุญบารมีอันนี้ก็จะกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อพบกันเจอกันแล้วไม่ต้องบอก มันก็รู้กันเองภายในจิตใจที่เคยกันอยู่แล้ว มันหากเป็นผัวเป็นเมีย เป็นคู่บารมีและสร้างคุณงามความดีไปด้วยกัน เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ต่างคนก็ต่างถึงความหลุดพ้นจากทุกข์ไปได้นั่นแหละ

    .jpg

    ที่มา เมตตาธรรม ศิษย์พระธุดงค์กรรมฐาน สายหลวงปู่เสาร์-หลวงปู่มั่น
     
  16. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    เรื่อง “ความพลัดพรากจากกัน เป็นธรรมดาโลก”

    (โอวาทธรรม พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต)
    (ธรรมะบนเขา วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๘)

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนพุทธะศาสนิกชน ให้หมั่นพิจารณาอยู่เนืองๆ ว่าเราเกิดมาแล้ว ย่อมมีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา ล่วงพ้นการพลัดพรากจากกันไปไม่ได้ นี่คือความจริงของชีวิต ของทุกๆชีวิต ไม่ว่าจะสูงจะต่ำ จะรวยจะจน จะฉลาดหรือโง่ จะต้องมีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา ถ้าไม่พิจารณาอยู่เนืองๆ ใจจะหลงจะลืมจะคิดว่าจะอยู่ร่วมกันไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด พอถึงเวลาที่จะต้องพลัดพรากจากกันก็จะเกิดความทุกข์ใจเกิดความไม่สบายใจขึ้นมา แต่ถ้าหมั่นพิจารณาอยู่เรื่อยๆ จะไม่หลงจะไม่ลืมจะเตรียมตัวเตรียมใจจะไม่ยึดไม่ติดกับสิ่งต่างๆ กับบุคคลต่างๆ เพราะรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วจะต้องจากกันอย่างแน่นอน

    นี่คือธรรมที่สำคัญ เพราะจะปกป้องจิตใจไม่ให้ทุกข์กับการพลัดพรากจากกัน จากการสูญเสียสิ่งต่างๆไป การพิจารณาก็ควรพิจารณาสิ่งต่างๆหรือบุคคลต่างๆที่เรารักหรือเราชัง เพราะสิ่งที่เรารักบุคคลที่เรารักหรือสิ่งที่เราชังสิ่งที่เรารักนี้ มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเรานั่นเอง สำหรับสิ่งที่เราไม่รักไม่ชัง บุคคลที่เราไม่รักไม่ชังนี้ไม่ค่อยเป็นปัญหา เขาจะมาเขาจะไปไม่มีปัญหาอะไร แต่คนที่เรารักสิ่งที่เรารักถ้าเขาจากเราไปเราจะเดือดร้อนเราจะวุ่นวายใจ หรือสิ่งที่เราชังบุคคลที่เราชัง เวลาจะต้องอยู่กับเขาเราก็วุ่นวายใจไม่สบายใจ เราต้องพิจารณาว่าไม่ช้าก็เร็วเขาก็ต้องจากเราไปอยู่ดี ในขณะที่เขาอยู่เราไม่สามารถที่จะให้เขาไปได้ เราก็ต้องทำใจ สำหรับคนที่เรารักหรือสิ่งที่เรารัก ถ้าเขาอยู่กับเราเราก็จะดีใจและมีความสุข แต่เราก็จะไม่สามารถสั่งให้เขาอยู่กับเราไปได้ตลอด ไม่ช้าก็เร็วไม่เขาก็เราจะต้องไป ต้องจากกันไปอยู่ดี

    นี่คือสิ่งที่เราต้องหมั่นพิจารณาอยู่เรื่อยๆ ถามตัวเราเองว่าเรารักใครเราชอบใคร เราอยากให้เขาอยู่กับเราไปนานๆใช่ไหม แต่เขาจะอยู่กับเราไปนานๆได้หรือเปล่า หรือเราจะอยู่กับเขาไปนานๆได้หรือเปล่า เรากับเขาจะไม่มีวันจะต้องจากกันหรืออย่างไร ถ้ามันมาถึงวันนั้นวันที่จะต้องมีการจากกันเราจะทำใจอย่างไร ถ้าเราคอยหมั่นสอนใจเตือนใจถึงความเป็นจริงอันนี้ว่า จะต้องมีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นสามีเป็นภรรยา เป็นบุตรเป็นธิดา เป็นญาติสนิทมิตรสหาย หรือเป็นสิ่งของต่างๆ เช่นลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทางตา หู จมูก ลิ้นกาย เป็นสิ่งที่จะต้องมีการพลัดพรากจากกันอย่างแน่นอน ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง ถ้าเราหมั่นพิจารณาอยู่เรื่อยๆ เราจะเตรียมตัวเตรียมใจและตัดใจของเรา หัดอยู่แบบไม่ต้องมีเขาให้ได้ ไม่ต้องมีลาภ ยศสรรเสริญ สุข ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ต้องมีบิดามารดา ไม่ต้องมีสามีภรรยา ไม่ต้องมีบุตรธิดา ไม่ต้องมีญาติพี่น้อง อยู่ตัวคนเดียวนี่แหละดีที่สุด แม้แต่ร่างกายนี้ก็ต้องจากเราไป การอยู่คนเดียวนี้ก็หมายถึงว่า แม้แต่ไม่มีร่างกายก็ยังอยู่ได้ไม่เดือดร้อน แม้แต่ร่างกายนี้ก็ต้องจากเราไปเช่นเดียวกัน แล้วการที่เราจะอยู่คนเดียวได้โดยที่ไม่ต้องมีบุคคลต่างๆ ไม่ต้องมีสิ่งต่างๆ เราต้องมีธรรมเท่านั้นถึงจะทำให้เราอยู่คนเดียวได้ อยู่ตามลำพังได้

    ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ เราต้องมีธรรมเป็นที่พึ่ง ถ้าเรามีธรรมเป็นที่พึ่งแล้ว เราไม่ต้องพึ่งสิ่งต่างๆ ไม่ต้องพึ่งบุคคลต่างๆ ไม่ต้องพึ่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ต้องพึ่งความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ต้องพึ่งพ่อพึ่งแม่ พึ่งสามีพึ่งภรรยา พึ่งบุตรธิดา พึ่งญาติสนิทมิตรสหาย พึ่งร่างกายของเราเอง เพราะเขาเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนไม่ถาวร ไม่ช้าก็เร็วเขาก็จะต้องจากเราไป แล้วเวลาที่เขาจากเราไป เราไม่มีที่พึ่งเราจะทำอย่างไร เราก็ต้องเดือดร้อน จนกว่าเราจะหาที่พึ่งใหม่ได้ เช่น สามีจากไปถ้ายังต้องการมีสามีก็ต้องไปหาสามีใหม่ ลูกจากไปถ้ายังอยากจะมีลูก ก็ต้องหาลูกมาใหม่ ถ้าคลอดเองไม่ได้ก็ไปขอเด็กมาเลี้ยงเป็นลูก เพราะเรายังพึ่งสิ่งเหล่านี้เพื่อมาให้ความสุขกับเรานั่นเอง เพราะว่าเราไม่มีธรรมะเป็นที่พึ่ง ไม่มี ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ เป็นที่พึ่ง ถ้าเรามี ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ เป็นที่พึ่งแล้ว เราไม่ต้องพึ่งอะไรไม่ต้องพึ่งใคร ไม่ต้องพึ่งลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ต้องพึ่งความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ต้องพึ่งทรัพย์สมบัติ ไม่ต้องพึ่งตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ต้องพึ่งร่างกายคือชีวิตอันนี้ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้สละให้หมด สละทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง สละอวัยวะคือความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และให้สละชีวิต สละร่างกายอันนี้ ถ้ามันต้องไปให้มันไป ไม่ต้องไปพึ่งมัน มันไม่ใช่เป็นที่พึ่ง มันเป็น ภารา หะเว ปัญจักขันธา มันเป็นภาระที่ใจจะต้องแบกตั้งแต่วันเกิดไปจนถึงวันตาย ผู้ฉลาดนี้จึงไม่กลับมาเกิด ไม่กลับมาแบก ภารา หะเว ปัญจักขันธา อันนี้ ไม่มาแบกขันธ์ รูปขันธ์นี้ เพราะว่ามันเป็นทุกข์นั่นเอง

    [​IMG]

    ที่มา ธรรมะพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  17. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    “ทุกๆ ท่านที่มาศึกษาอบรม อย่าดูที่ไหนมากยิ่งกว่าดูใจคือความเคลื่อนไหวของตน แม้การศึกษาจากทางหูทางตาก็เพื่อเข้าไปสู่ใจ ให้ได้เป็นคติตัวอย่างอันดีและนำออกประพฤติปฏิบัติด้วยความราบรื่นดีงาม

    ใจเป็นสิ่งที่รักษายากมากยิ่งกว่าสิ่งใดในสามแดนโลกธาตุนี้
    ไม่มีสิ่งใดที่จะรักษาแก้ไขฝึกฝนทรมานยากยิ่งกว่าใจ
    เพราะใจเป็นโรคเรื้อรังมานานจนเจ้าของเองก็ไม่สามารถทราบได้ว่าเรื้อรังมาตั้งแต่เมื่อไร จนถึงชาติปัจจุบันนี้เรายังไม่ทราบว่ามาจากอะไร เป็นมานานเท่าไร เกิดตายมากี่ภพกี่ชาติ ความเป็นมามากต่อมาก จึงไม่อาจนับอ่านและแข่งขันซึ่งกันและกันได้ในเรื่องความเกิดแก่เจ็บตาย ความทุกข์ความลำบากของแต่ละรายๆ ทั้งนี้เพราะโรคเรื้อรังของจิตพาให้เป็นนั่นเอง”

    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    ๑๙ ธันวาคม ๒๕๒๔

    Cr:ปฏิปทาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

    -ท่านที่มาศึกษาอบรม.jpg

    ที่มา ธรรมะพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  18. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ธรรมะเนื่องในโอกาสวันแห่งความรัก

    เรื่อง “คู่บารมี ปุพเพนิวาสชาติปางก่อน”

    (คติธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

    ไม่มีอะไรจะเจ็บแสบยิ่งกว่าเรื่องของสามีภรรยา ที่มีความรักกันมากที่สุดในโลกนี้ก็คือสามีภรรยา รักสงวนกันมาก จดจ้องกันมาก ระเวียงระวังกันมาก ถ้าต่างคนต่างไม่มีธรรมด้วยแล้ว ก็เหมือนเอาไฟมาเผากันทั้งวันทั้งคืนอยู่ด้วยกันไม่เป็นสุข แม้จะเป็นเศรษฐีก็เป็นเศรษฐีไฟด้วย เผาหัวอกด้วยกันนั้นแหละ ถ้ามีธรรมในใจแล้วอยู่ไหนก็สบาย สามีก็ตายใจ เชื่อตัวเองได้ว่าเรามีภรรยาแล้ว ภรรยาของเราคนนี้เป็นเครื่องวัดชีวิตจิตใจของเราให้เป็นให้ตายไปด้วยกัน ไม่ยินดีกับหญิงอื่นหญิงใดทั้งนั้นแหละ(อัปปิจฉตา) นอกจากภรรยาของเราคนนี้เป็นผู้ฝากเป็นฝากตาย มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน พึ่งเป็นพึ่งตายกันได้ นี้แลเรียกว่าสร้างหอวิมานในครอบครัวของตน

    ระหว่างสามีภรรยามีความจงรักภักดีต่อกันอย่างนี้ เรียกว่าสร้างหอวิมานขึ้นมา ความสุขในมนุษย์ก็อยู่ในจุดนี้แล อะไรที่มีมาบ้างได้เสียไปบ้างนั้นเป็นธรรมดาของโลกทั่วๆ ไป แต่ความจงรักภักดี ความซื่อสัตย์สุจริตต่อกันระหว่างสามีภรรยานี้ ให้มีความแน่นแฟ้นแก่นแห่งความรักความตายใจซึ่งกันและกันแล้ว นี้คือ “บ่อแห่งความสุข” สมบัติใดๆ สู้ไม่ได้ นี้เป็นสมบัติทิพย์อยู่ภายในจิตใจ เมียก็ตายใจว่าผัวของเรานี้เป็นที่ตายใจได้แล้ว สามีก็ตายใจ ภรรยาก็ตายใจ ต่างคนต่างตายใจ วางใจกันได้ นี้ละบ่อแห่งความสุขอยู่จุดนี้

    เราอย่าไปหวังเอาเงินเอาทองมาเป็นเศรษฐี โดยไม่คำนึงถึงความสำคัญที่อยู่ในคู่ครองทั้งสองนี้ ให้ปฏิบัติต่อกันด้วยดี เราจะมีความสุขความสบาย ตายลงไปแล้วก็มีความปรารถนาอยากจะพบกันในภพชาติต่อไปก็สมหวัง ถ้าทำความชั่วช้าลามก มีขัดมีแย้งกันเรื่องกิเลสกาม ความได้ไม่พอๆ ความโลภไม่พอนี้แล้ว ปรารถนาจะเป็นผัวเป็นเมียกัน ก็เหมือนกับเอาฟืนเอาไฟมาเผากันนั่นแหละ ผู้ดีก็ไปทางดีเสีย เมียเป็นคนดีตายแล้วเมียก็ไปทางดีเสีย ผัวเป็นคนชั่วตายแล้วก็จมไปทางชั่วเสีย ถ้าเมียไม่ดีเมียก็ไปทางชั่ว ผัวไม่ดีผัวก็ไปทางชั่วได้ ใครดีใครก็ไปทางดีด้วยกัน

    เมื่อดีทั้งสองแล้ว มีความปรารถนาต่อกัน อยากเป็นสามีภรรยา คู่พึ่งเป็นพึ่งตาย “คู่บารมี” กันในวาระต่อไปก็เป็นได้อย่างสมหวัง เพราะอำนาจแห่งบุญแห่งกุศลกลมกลืนกัน ไม่ปีนเกลียวกัน เมียชั่วผัวดีอย่างนี้ไม่ถูก ผัวก็ดี เมียก็ดี อย่าขัดอย่าแย้ง เวลาจะทำบุญให้ทาน อย่าต่อล้อต่อเถียงกัน ขัดแย้งกัน ผัวอยากให้ เมียไม่อยากให้ ก็ทะเลาะกันเสีย บุญกุศลควรที่จะได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็ขาดบาทขาดตาเต็งลงไป ยิ่งไม่ให้เสียก็เลยไม่ได้ให้จริงๆ ขาดไปหมดด้วย นี่ขาดทุนสูญดอก อย่าขัดอย่าแย้งกัน การทำบุญให้ทานนี้เป็นสิ่งที่ชอบธรรมอย่างยิ่งแล้ว เรามีสมบัติมาพอได้ทำบุญให้ทาน ก็เป็นบุญของเรา อย่าขัดอย่าแย้งกัน ให้ได้บุญด้วยกัน ผัวทำก็ได้บุญทั้งผัวทั้งเมีย เมียทำก็ได้ถึงกัน เพราะใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีความยินดีด้วยกัน ปรารถนาจะเป็นคู่ครองกันในกาลต่อไปก็เป็นได้อย่างสมมักสมหมาย เพราะความดีเสมอกัน

    ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ ถ้าผัวเป็นยักษ์ เมียเป็นผี ก็ไปเป็นคู่บารมีกันในแดนนรกไม่เคยมี ธรรมพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนไว้ ต้องเป็นคนดี เห็นกันแล้วหากเป็นไปเอง ถ้าต่างคนต่างเป็นคนดี ท่านแสดงไว้ในธรรมว่า ปุพเพนิวาสชาติปางก่อนเคยได้สร้างสมอบรมอะไรต่อกันไว้ ในเวลาที่เป็นผัวเป็นเมียกัน ในภพชาติต่อไปบุญบารมีอันนี้ก็จะกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อพบกันเจอกันแล้วไม่ต้องบอก มันก็รู้กันเองภายในจิตใจที่เคยกันอยู่แล้ว มันหากเป็นผัวเป็นเมีย เป็นคู่บารมีและสร้างคุณงามความดีไปด้วยกัน เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ต่างคนก็ต่างถึงความหลุดพ้นจากทุกข์ไปได้นั่นแหละ

    .jpg

    ที่มา ธรรมะพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  19. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    1f538.png โอวาทธรรม:องค์พระบูรจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต 1f538.png

    การด่วนวินิจฉัยความสามารถ
    ของคน

    โดยมองดูแต่รูปร่างภายนอกเท่านั้นไม่ได้

    จะเป็นการตั้งสติอยู่ในความประมาท

    1f33b.png ที่มา:ตัดตอนโอวาทธรรมะบทจากตอนหลวงปู่พรหม จิรปุญโญกราบนมัสการหลวงปู่มั่น 1f33b.png

    1f539.png ธรรมะประจำวันที่ ๑๔-๒-๒๕๖๒ 1f539.png

    .jpg

    ที่มา เมตตาธรรม ศิษย์พระธุดงค์กรรมฐาน สายหลวงปู่เสาร์-หลวงปู่มั่น
     
  20. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    เรื่อง “จิตรวม เพราะอาจารย์เสือ”

    (ธรรมประวัติ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม)
    (เทศนาโดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

    พูดถึงเรื่องท่านอาจารย์ชอบก็เป็นคติได้เป็นอย่างดีใช่ไหม เวลาจนตรอก ก็อย่างที่เคยพูดพวกเดียวกันภาวนาด้วยกันอยู่ทางแถวสกลฯ แต่ก่อนท่านขี้ขลาดไม่มีใครเกินท่านว่าอย่างนั้นนะ กลัวมาก ครั้นเวลาถูกดัดแล้วนี้ จิตมันลงเต็มที่ได้ความอัศจรรย์กับเวลาจนตรอก

    เพราะฉะนั้นเวลาทำภาวนานี่ ท่านจะไม่ค่อยเดินจงกรมตามสถานที่ต่างๆ คือจิตมันดื้อ ท่านว่าอย่างนั้น ท่านจะไปหาที่ไหนที่มีเสือ ไปเจอเสือปั๊บจิตมันจะลงทันที ท่านว่าอย่างนั้น เรียกว่าท่านเรียนลัด กลางคืนท่านไปหาเรียนลัดข้างบนภูเขา

    ตรงไหนที่สำคัญว่าเสือจะมา ท่านจะไปนั่งที่นั่นแหละ คือจิตของท่านจะลง ถ้าลงแล้วนี้เรียกว่าทำอะไรไม่ได้อย่างที่ท่านอาจารย์ชอบว่า เสือทำอันตรายไม่ได้ไม่ต้องกลัว พอว่าอย่างนั้นพึบเป็นครั้งที่สอง หายเงียบ ลบหมดเลย อันนี้ของท่านก็ลงแบบนั้น ลงแบบลบหมดเลย จนโผล่ขึ้นมา

    อันนี้ที่ท่านเล่าให้ฟังชัดเจนก็คือว่า วันนั้นนั่งอยู่ประมาณสักตีสาม จิตมันก็ไม่ลง มันหากเป็นของมันมันไม่ลง เอ๊ มันเป็นยังไงนา เสือไม่เห็นมานา ท่านว่าอย่างนี้นะ ทางถ้ำเสืออยู่ข้างบน มันลงมานี้ไปทางโน้นบ้างลงมาทางนี้บ้าง แคร่ท่านอยู่ที่นี่ เสือไปได้สองทาง ทางนี้ก็ไปได้ลงไปทางโน้น ทางนี้ก็ไปได้ลงทางนี้ขึ้นทางนี้ได้

    ถ้ำของเขาอยู่ข้างบน เขาไปหากินมาตอนตีสามตีสี่เขากลับมานอน ทีนี้เวลาตีสี่ท่านนั่งภาวนาฟัดกันอยู่กับความวุ่นวายมันไม่ลง เอ๊ ทำไมเสือไม่เห็นมา มาช่วยสักหน่อย ทีนี้ไม่นานนะ สักเดี๋ยวได้ยินเสียงสวบ ๆ ออกมา เอ้า มาแล้วที่นี่คงเสือ

    พอเสือมาแล้วท่านกำหนดเอาเสือนั้นโดดมางับคอท่าน ท่านกำหนดเอานะ กำหนดเสือ พอเสืองับคอปั๊บ ที่นี่ก็ผึงลงเลย หายเงียบเลย จนกระทั่ง ๑๐ โมงเช้า
    ฟังซิ รวมตั้งแต่ตีสี่ถึง ๑๐ โมงเช้านานขนาดไหน นั่นละเวลาลงสนิทอย่างนั้น

    [​IMG]

    ที่มา ธรรมะพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...