ธรรมะ จากเพจ พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย สายหลวงปู่มั่น, 4 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  2. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  3. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    1f341.png ” ถ้าคนไม่รู้จักสุขไม่รู้จักทุกข์นั้น
    ก็จะเห็นว่าสุขกับทุกข์นั้นมันคนละระดับ
    มันคนละราคากัน

    1f341.png ถ้าผู้รู้ทั้งหลายแล้ว ท่านจะเห็นว่า
    สุขเวทนากับทุกขเวทนา มันมีราคาเท่าๆ กัน

    1f341.png ถ้าไปยึดในสุขนั่นก็คือบ่เกิดของทุกข์
    ทุกข์มันก็จะเกิดขึ้นมา
    เพราะอะไร? นี้เพราะว่าสุขมันไม่เที่ยง มันแปรไปมา
    เมื่อสุขนี้มันหายไป ทุกข์มันก็เกิดขึ้นมา ดังนี้เป็นต้น

    1f341.png พระพุทธองค์ท่านทรงรู้ว่าสุขทุกข์นี้มันเป็นโทษ
    สุขทุกข์จึงมีราคาเท่ากัน

    1f341.png ดังนั้นเมื่อสุขทุกข์เกิดขึ้น ท่านจึงปล่อยวางไป
    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มันมีราคาเสมอเท่ากันทั้งนั้น
    เพราะฉะนั้นจิตใจของท่านจึงเป็นสัมมาปฏิปทา
    เห็นสิ่งทั้งสองนี้มีทุกข์โทษเสมอกัน
    มีคุณประโยชน์เสมอกันทั้งนั้น
    และสิ่งทั้งสองนี้ก็เป็นของที่ไม่แน่นอน
    ตกอยู่ในลักษณะของธรรมะว่า
    ไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ เกิดแล้วดับไป
    ทั้งหมดเป็นอย่างนี้.”

    หลวงปู่ชา สุภัทโท
    เทิดไว้เหนือเศียรเกล้า ด้วยเกล้า สาธุ.

    Credit:fb:boonchu boonchu

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  4. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  5. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  6. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  7. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  8. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  9. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  10. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  11. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    พ่อแม่ครูบาอาจารย์
    จะให้ประโยชน์อย่างใหญ่หลวง
    แก่…ผู้มีความศรัทธาเลื่อมใส
    ผู้มุ่งความบริสทุธิ์ของตน
    ผู้ปฎิบัติตามคำของท่านโดยชอบ

    พวกเราผู้เป็นศิษย์หา
    ต้องประกอบตนไว้ให้ครบ
    อย่าให้ขาดไปแม้อย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่างนี้
    หากขาดไป
    ก็จักพลาดจากคุณของครูบาอาจารย์

    แต่การอยู่อาศัยศึกษากับครูบาอาจารย์นั้น
    บางรูปอยู่ด้วยน้อยแต่เก็บได้มาก
    บางรูปอยู่ด้วยกันนาน ก็นานอย่างมดแดงเฝ้าผลมะม่วงนั้น
    บางรูปก็ได้มาก
    บางรูปก็ได้น้อย
    บางรูปก็ไม่ได้อะไรเลย
    บวชสามปี ขี้เต็มถาน เจ็ดตำนานยังไม่ได้

    หลวงปู่จาม มหาปุญโญ

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  12. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ผู้มีลักษณะพิเศษของ “..มหาบุรุษ..”
    เพราะหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิ
    (เรื่องเล่า หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต บันทึกโดย หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ หนังสือรำลึกวันวาน)

    “…ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตเป็นผู้มีปฏิปทามักน้อย สันโดษ ไม่ระคนด้วยหมู่ แสวงหาวิเวก ปรารภความเพียร
    ตั้งแต่วันบรรพชาอุปสมบท จนกระทั่งวาระสุดท้ายเรียกว่าครบบริบูรณ์ เหมือนกับว่า เมื่อมีเหตุก็ต้องมีผล ผล คือ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ อันนี้เป็นผลของความมักน้อย สันโดษ ไม่ระคนด้วยหมู่ แสวงหาวิเวก ปรารภความเพียร ท่านพระอาจารย์มั่น ทำได้สม่ำเสมอ ตั้งแต่เบื้องต้นแห่งชีวิต จนกระทั่งบั้นปลายชีวิต

    ธุดงควัตรของท่าน คือบิณฑบาตเป็นวัตร ฉันมื้อเดียวเป็นวัตร ฉันในบาตรเป็นวัตร ใช้ผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ผู้ที่จะไปถวาย ถ้าเป็นจีวรสักผืนหนึ่ง ผ้าสบง ผ้าเช็ดหน้า หรือผ้าเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม เรียกว่าผ้าก็แล้วกัน ถ้าจะถวายท่าน เขามักจะไปวางไว้ที่บันไดบ้าง วางใกล้ๆ กุฏิของท่านบ้าง วางตรงทางเดินไปห้องน้ำบ้าง ท่านเห็นก็บังสุกุลเอา บางผืนก็ใช้ บางผืนก็ไม่ได้ใช้ ผู้ไม่รู้อัธยาศัยไปถวายกับมือ ท่านจะไม่ใช้

    ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นพระนักปฏิบัติ เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าพระนามว่า โคดม ในยุค ๒,๐๐๐ ปี เป็นสาวกที่มีลักษณะสมบูรณ์แบบ ด้วยลักษณะภายนอกและภายใน เพราะเหตุนั้นชื่อเสียงและเกียรติศักดิ์เกียรติคุณของท่าน จึงขจรขจายถึงทุกวันนี้ แทนที่จะเป็น ๖๐ ปีแล้วก็เลือนหายไป กลับเพิ่มขึ้นๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เพราะบุคลิกของท่านนั้น เป็นบุคลิกที่สมบูรณ์แบบ ในความรู้สึกของผู้เล่า ท่านพระอาจารย์มั่น เป็นบุคคลน่าอัศจรรย์ในยุคนี้

    ขอให้ท่านสังเกตดูในรูปภาพ คิ้ว คาง หู ตา จมูก มือ และเท้า ตลอดชีวิตของท่านนั้น ท่านเดินทางข้ามเขาไปไม่รู้กี่ลูก จนเท้าพอง ไม่ใช่เท้าแดงหรือเท้าเหลือง

    คิ้ว ท่านมีไฝตรงระหว่างคิ้ว ลักษณะคล้ายกับพระอุณาโลมของพระพุทธเจ้า ไฝอันนี้เป็นจุดดำเล็กๆ ไม่ได้นูนขึ้นมา มีขนอ่อน ๓ เส้น ไม่ยาวมาก และโค้งหักเป็นตัวอักษร ก เป็นเส้นละเอียดอ่อนมากถ้าไม่สังเกตจะไม่เห็น ขณะท่านปลงผมจะปลงขนนี้ออกด้วย แต่จะขึ้นใหม่ในลักษณะเดิมอีก

    ใบหูของท่านมีลักษณะหูยาน จมูกโด่ง แววตาของท่านก็เหมือนแววตาไก่ป่า บางคนอาจไม่เคยเห็นไก่ป่า คือ เป็นวงแหวนในตาดำ มือของท่านนิ้วชี้จะยาวกว่า แล้วไล่ลงมาจนถึงนิ้วก้อย นิ้วเท้าก็เหมือนกัน

    หลวงปู่หล้าท่านก็เคยเล่าว่า เวลาล้างเท้าหลวงปู่มั่น เห็น ฝ่าเท้าของท่านเป็นลายก้นหอย ๒ อัน และมีรอยอยู่กลางฝ่าเท้า เหมือนกากบาทเวลาท่านเดินไปไหน ท่านเดินก่อน สานุศิษย์จะไม่เหยียบรอยท่าน พอท่านเดินผ่านไปแล้ว ชาวบ้านจะไปมองดู จะเห็นเป็นลายตารางปรากฏอยู่ทั้งสองฝ่าเท้า

    รอยนิ้วเท้าก็เป็นก้นหอยเหมือนกัน จะเรียกก้นหอยหรือวงจักรก็ได้ มีอันใหญ่กับอันเล็ก ๒ อัน เป็นลักษณะพิเศษของท่าน (หลวงปู่จันทร์โสม กิตติกาโร วัดป่านาสีดา อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ได้เล่าเสริมเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ขณะหลวงปู่จันทร์โสมพักอยู่วัดป่าบ้านหนองผือนั้น ได้ถวายการนวดหลวงปู่มั่น เมื่อท่านหลับแล้ว หลวงปู่ได้พลิกดูฝ่ามือของหลวงปู่มั่น พบว่า มีเส้นกากบาทเต็มฝ่ามือทั้งสองข้าง และมือท่านก็นิ่มมาก)
    บุคคลทุกระดับ เมื่อเข้าไปถึงท่านแล้ว ท่านจะเป็นกันเองมาก คุยสนุกสนานเหมือนคนรู้จักกันมานาน แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าบุคคลที่มักจะเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ ท่านจะไม่ค่อยเป็นกันเองเท่าไหร่ ถามคำไหนได้คำนั้น ถ้าไม่ถามท่านก็นั่งเฉย

    ท่านพระอาจารย์มั่นเคยพูดว่า
    “ผู้ที่จะมาศึกษาธรรมะกับเรา จะเป็นญาติโยมก็ดี หรือเป็นพระสงฆ์ก็ดี ขอให้เก็บหอกเก็บดาบไว้ที่บ้านเสียก่อน อย่านำมาที่นี่ อยากมาปฏิบัติ มาฟังเทศน์ฟังธรรม ถ้านำหอกนำดาบมา จะไม่ได้ฟังเทศน์ของพระแก่องค์นี้”

    แม้กระทั่งเด็กที่ไม่รู้เดียงสา ป.๒-๓-๔ ท่านก็ทำเป็นเพื่อนได้ ในความรู้สึกของผู้เล่าผู้อยู่ใกล้ชิด เวลาท่านอยู่กับเด็ก กิริยาของท่านก็เข้ากับเด็กได้ดี เพราะฉะนั้นความโดดเด่นของท่าน ใครเข้าไปแล้วกลับออกมาก็อยากเข้าไปอีก ใครได้ฟังเทศน์ฟังธรรมแล้ว กลับออกมาก็อยากฟังอีก

    อันนี้คืออานิสงส์ที่ท่านตั้งปณิธานว่า ข้าพระองค์ขอปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเหมือนอย่างพระองค์ หลังจากที่ได้ฟังพระพุทธเจ้าเทศนาจนจบ จึงได้ตั้งปณิธานเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า คือ องค์สมณโคดมนี้
    (ขณะนั้นท่านพระอาจารย์มั่นเป็นเสนาบดีแห่งแคว้นกุรุ – ภิเนษกรมณ์)

    หลังจากนั้นก็เวียนว่ายตายเกิดจนชาติปัจจุบันมาเป็นท่านพระอาจารย์มั่น
    ทีนี้ทำไมท่านจึงละความปรารถนาพุทธภูมิ ท่านพิจารณาแล้ว รู้สึกว่าตัวเรานี้ปรารถนาพุทธภูมิจึงมาสร้างบารมี ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ เขาคิดอยู่ในใจเหมือนกับเรานับไม่ถ้วน ผู้ที่ออกปากแล้วเหมือนกับเราก็นับไม่ถ้วน ผู้ที่ได้รับพระพุทธพยากรณ์แล้วก็นับไม่ถ้วน และผู้ที่จะมาตรัสรู้ข้างหน้ามีอีกหลายองค์ เช่น พระศรีอริยเมตไตรย พระเจ้าปเสนทิโกศล กว่าจะถึงวาระของเรา มันจะอีกนานเท่าไหร่ เราขอรวบรัดตัดตอนให้สิ้นกิเลสในภพนี้เสียเลย ท่านพิจารณาเช่นนี้ จึงได้ละความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า…”

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    -ภูริทัตโต-ผ.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  13. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    ” ประวัติปฏิปทาหลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ ผู้มากมีบุญ “

    พ.ศ.๒๔๘๖ อายุ ๓๔ ปี ธุดงค์กับ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ,หลวงปู่สิม พุทธาจาโร หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้พาอาจารย์สิม พุทธาจาโร และพระจาม มหาปุญโญ ออกธุดงค์ไปที่ อ.ฝาง อ.แม่อาย-บ้านม่วงสุม-บ้านมุ่งหวาย-บ่อน้ำร้อน อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ถึงประมาณเดือน ๖ ของปีนั้น

    ใกล้เข้าพรรษา พระจาม มหาปุญโญ จึงขอแยกทางมุ่งไปยังวัดโรงธรรมสามัคคี เพื่อจำพรรษา

    ส่วนหลวงปู่ชอบ ฐานสโม เดินทางต่อไปเพื่อจำพรรษาใน พม่าและจะถูกทหารจีนจับ ชาวบ้านต้องพาหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ไปซ่อนไว้ในยุ้งข้าว สาเหตุที่ หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ท่านไม่ชอบที่จะไปพม่า เพราะรู้สึกในส่วนลึกของจิตใจว่า เคยรบพุ่งกับพม่ามาแต่อดีตชาติ จึงไม่อยากไปเมืองพม่า ในปีนั้นจึงได้ จำพรรษา ที่วัดโรงธรรมสามัคคีอีก ๑ พรรษา (พรรษาที่ ๕) พร้อมกับหลวงปู่สิม พุทธาจาโร

    พ.ศ.๒๔๘๗ อายุ ๓๔ ปี ใช้ “ ธรรมโอสถ ” รักษาโรค ได้ออกธุดงค์ไปกับหลวงปู่สิม พุทธาจาโร ตามป่าเขา ตามดอยต่าง ๆ เขตจังหวัดเชียงใหม่ แล้วกลับมาจำพรรษาที่วัดอุโมงค์ (พรรษาที่ ๖) อยู่กับหลวงปู่สิม พุทธาจาโร

    วัดอุโมงค์เชิงดอยสุเทพ อ. เมือง จ.เชียงใหม่ ในสมัยนั้นเป็นป่าทึบมีเจดีย์ทรงลังกา ๑ องค์ และอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ปัจจุบันวัดอุโมงค์ อยู่ติดกับด้านหลังของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในปีนั้น (ปี พ.ศ.๒๔๘๗) หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ได้ป่วยเป็นโรคกระเพาะ มีอาการปวดท้อง ได้รักษาด้วยยาแผนปัจจุบันก็ไม่หาย เปลี่ยนมารักษาแผนโบราณก็ไม่หาย ในที่สุดท่านก็ได้ใช้วิธีภาวนาบำเพ็ญสมาธิและงดอาหารหยาบทั้งหมด ฉันเฉพาะนมถั่วเหลืองวันละ ๑ แก้วและน้ำเท่านั้น ใช้ “ธรรมโอสถ” รักษาโรคกระเพาะ อีกไม่นานนัก อาการป่วยก็ทุเลาเบาบางลง ในที่สุดก็หายจากโรคกระเพาะ มีอาการปกติ สามารถฉันอาหารได้เป็นปกติ

    พ.ศ.๒๔๘๘ อายุ ๓๕ ปี (พรรษาที่ ๗) หลวงปู่สิม พุทธาจาโร และหลวงปู่จาม มหาปุญโญ ได้เคยไปอยู่ที่บ้านพักบนดอยของแม่เลี้ยงดอกจันทร์ กิรติปาล ซึ่งเป็นภรรยาของนายคิวลิปเปอร์ซึ่งเป็นชาวอังกฤษ บ้านพักส่วนตัวนี้ตั้งอยู่บนดอย อยู่ทางทิศใต้ ของเมืองเชียงใหม่ และพักภาวนาอยู่ที่นั่นนานพอสมควร
    พ.ศ.๒๔๘๙ อายุ ๓๖ ปี (พรรษาที่ ๘) พบ หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ , พระอาจารย์น้อย สุภโร หลวงปู่จาม มหาปุญโญ กับหลวงปู่สิม พุทธาจาโร ไปจำพรรษาที่ป่าช้าซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองเชียงใหม่ ก่อนเข้าพรรษา ได้พบกับหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่บ้านแม่หนองหาน อ.สันทราย จ.เชียงใหม่

    หลวงปู่ขาว อนาลโย ได้เตือนหลวงปู่จามให้ระวังเรื่องผู้หญิงว่า “ ให้ระวังเรื่องผู้หญิงให้มาก ถ้ารอดได้ก็สามารถรักษาพรหมจรรย์ตลอดรอดฝั่ง ถ้าไม่ได้ก็ต้องแพ้มาตุคาม (หญิง) แน่นอน ”

    หลวงปู่จาม มหาปุญโญ สำนึกในคำสอนของหลวงปู่ขาว อนาลโย ไว้เสมอ ซึ่งแต่ละแห่งที่ไปจำพรรษาอยู่หรือไปพักอยู่นาน ๆ ก็จะพบผู้หญิงมาชอบเสมอมา เว้นแต่ที่ช่อแล แม่แตง เชียงใหม่ ไม่มีผู้หญิงมาชอบ จึงบำเพ็ญอยู่ที่นั้นนานมากกว่าที่อื่น นอกจากที่นี่แล้ว เกือบทุกแห่งที่ไปพักแม้ไปปักกลดภาวนาอยู่ระยะสั้นก็พบผู้หญิงมาชอบ จนกระทั้งอายุ ๖๐ ปี จึงไม่มีผู้หญิงมายุ่งเกี่ยวในเชิงชู้สาวอีกเลย

    หลวงปู่จาม มหาปุญโญ จึงมักเตือนพระหนุ่ม ๆ เสมอ ในเรื่องผู้หญิง (แม่หญิง) ให้ระวังเป็นอันดับแรก ต่อไปก็เรื่องเงิน และอวดอุตริ หลวงปู่จาม มหาปุญโญ กับ พระอาจารย์น้อย สุภโร ไปฟังธรรมจากหลวงปู่ขาว อนาลโย ซึ่งท่านแสดงสติปัฏฐานสี่ให้ฟังอย่างละเอียดลึกซึ้งกินใจมาก

    พระอาจารย์น้อย สุภโร องค์นี้รุ่นราวคราวเดียวกับ ท่านพ่อลี ธัมมธโร (วัดอโศการาม) ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นกลางของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และต่อมาท่านพระอาจารย์น้อย สุภโร ได้มรณะภาพ ที่ถ้ำพระสบาย เมืองลำปาง ในปี ๒๕๐๐ (พระอาจารย์น้อย สุภโร เป็นคนบ้านผักบุ้ง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี รูปถ่ายในหนังสือบูรพาจารย์ หน้า ๑๔๒ มี ๕ องค์ รูปแรกที่ระบุว่าไม่ทราบชื่อ นั้นคือ พระอาจารย์น้อย สุภโร )

    หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ได้ศึกษาธรรมะกับหลวงปู่ขาว อนาลโย อยู่เสนาสนะป่าบ้านป่าเต้ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ โดยอยู่กับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ และหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ด้วยที่นั่น

    ต่อมา หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ได้ทราบข่าวว่าหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อยู่อีสาน ที่บ้านหนองผือนาใน จึงได้กราบเรียน หลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้ทราบ หลังจากนั้นจึงเดินทางจากเชียงใหม่เพื่อมุ่งไปอีสาน บ้านหนองผือ ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

    โดยเดินทางเลาะมาทางหนองคายและเดินทางต่อไป บ้านหนองผือ นาใน กราบหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่บ้านหนองผือ ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

    ในปี ๒๔๘๙ หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ไปพักที่วัดบ้านนาใน กับหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร ต่อจากนั้นหลวงปู่หลุย จันทสาโร จึงพาหลวงปู่จาม มหาปุญโญ เข้ากราบหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ซึ่งพักอยู่บ้านหนองผือนาใน แล้วกราบเรียนหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ว่า “ สามเณรจาม ตอนนี้บวชเป็นพระแล้วครับกระผม ”

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต กล่าวว่า “ บวชแล้ว เพราะท่านมีนิสัยนักบวช ” หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จึงให้โอวาทแก่หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ว่า “เมื่อก้าวมาสู่หนทางแห่งความดี ต้องเดินหน้าสู้ทน ตายเป็นว่า (ตายเป็นตาย) อยู่เป็นว่า (อยู่เป็นอยู่) เหตุเพราะทางอื่นนั้นปราศจากความร่มเย็น ไม่เป็นความสุข อันนี้ความดีจะเป็นผลของตน ผู้เดินอยู่ในทางนี้ได้ตลอดไปนั้น จิตใจก็อยู่ใกล้ธรรมอยู่กับธรรมะไม่ละทิ้งความดี ตนก็จะเป็นผู้ราบรื่น ร่มเย็น ผาสุกอยู่ได้ในปฏิปทาแห่งตน ”
    เมื่อให้ธรรมะจบ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ถามว่า “เข้าใจไหม จำไว้ให้ดี ”

    เมื่อลากลับไปที่วัดบ้านนาใน หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ซาบซึ้งในคำสอนนี้ ด้วยความปีติสุขใจยิ่ง พยายามทบทวนเพื่อให้จำไว้ให้ขึ้นใจ จะได้ไม่ลืม เพราะถือว่าคำสอนนี้เป็นกุญแจสำคัญแห่งชีวิตนี้

    ต่อมาหลวงปู่จาม มหาปุญโญ ได้มีโอกาสฟังธรรมจากหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ในวาระสำคัญหลายครั้ง โดยที่หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ได้ อธิฐานจิตถามหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ล่วงหน้าไว้ทั้ง ๔ ครั้ง ปรากฏว่าหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ทราบ ได้ด้วยญาณทัศนะและเทศนาในเรื่องที่หลวงปู่จามต้องการทราบทุกครั้ง

    ครั้งที่ ๑ หลวงปู่จาม มหาปุญโญ มีความสงสัยว่า ” คนที่ได้ธรรมะเป็นอย่างไร ทำไมถึงได้ธรรมะปฏิบัติอย่างไร “ จึงอธิษฐานถามหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต คืนวันนั้น หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ยก หิริ โอตฺตปฺป” ขึ้นมาเป็นหัวข้อแสดงพระธรรมเทศนา พระสงฆ์ที่พักอย่าตามสถานที่ต่างๆ จะมารวมกันฟังธรรมเสมอ เมื่อหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เทศนาจบลงก็หันหน้ามามองไปที่หลวงปู่จาม มหาปุญโญ แล้วถามเป็นเชิงปรารภว่า “เป็นอย่างไรท่านจาม(มหาปุญโญ) ผู้ได้ธรรมเป็นอย่างนี้ เข้าใจไหม” หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ตอบว่า”เข้าใจครับกระผม” บรรดาพระสงฆ์ที่นั่งฟังก็หันมามองหลวงปู่จาม มหาปุญโญ ก้นทั้งหมด เมื่อหลวงปู่จามม มหาปุญโญ กลับไปที่พัก ก็รีบนั่งภาวนาเพื่อทบทวนคำสอนของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เพื่อให้จำได้อย่างขึ้นใจ

    ครั้งที่ ๒ หลวงปู่จาม มหาปุญโญ อยากรู้เรื่อง ”พระธรรมวินัยว่า ธรรมอย่างหยาบ ธรรมอย่างกลาง ธรรมอย่างละเอียด เป็นอย่างไร” จึงได้กำหนดจิต อธิษฐานถามหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และหลวงปู่จาม มหาปุญโญ ก็คิดนึกในใจต่อ ไปว่า “ อยากรู้ถึงปฏิปทาภพชาติของตนเองด้วย ” ในคืนนั้นหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้เทศนา โดยยกหัวข้อธรรมขึ้นว่า “ หีนา ธมฺมา มชฺฌิมา ธมฺมา ปณีตา ธมฺมา ” แล้วอธิบายธรรมและวินัยควบคู่กันไปให้รู้เข้าใจกระจ่าง และ ได้แจกแจงโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ ตั้งแต่หัวค่ำจนถึงเที่ยงคืนพอดี ต่อจากนั้นหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ก็เทศนาต่อไปว่า…

    “ ให้ตั้งใจเจริญพุทธคุณ ตามรอยบาทของพระพุทธเจ้า ถือด้วยใจ ปฏิบัติด้วยใจ เจริญพุทธเนตฺติ ด้วยการประพฤติเพื่อความหนักแน่นในธรรม ผู้ถึงพระพุทธเจ้าด้วยหัวใจ เท่านั้นที่เป็นผู้ทรงธรรม ทรงวินัยอยู่ได้…” เมื่อเทศน์จบหลวงปู่มั่น ก็หันมาถามอีกว่า “ ท่านจาม (มหาปุญโญ) เข้าใจไหม ที่ต้องการรู้นะ จำไว้ให้ดี ”
    ครั้งที่ ๓ หลวงปู่จาม มหาปุญโญ อยากรู้เรื่องพระอภิธรรม จึงอธิษฐานจิตถามไว้ พอตอนกลางคืน หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ก็เทศนาเริ่มต้นที่มูลกัจจายนะ ตรงตามที่หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ตั้งอธิฐานไว้

    ครั้งที่ ๔ หลวงปู่จาม มหาปุญโญ เกิดข้อสงสัยว่าเราเองก็ทำความเพียร อย่างจริงจังมาก แต่ไม่ค่อยได้ผลดีตามที่ปรารถนา พระองค์อื่นก็คงเป็นเช่นเดียวกันกับเราเองก็คงมีอีก ไม่น้อยจึงอธิษฐานจิตถามไว้ล่วงหน้า เมื่อหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้เทศนากัณฑ์แรกจบไป ก็เทศนาเตือนสติในตอนท้ายว่า “ เอาจริงเอาจังเกินไป หรือขวนขวาย

    พยายามพากเพียรมากไปแต่ขาดปัญญา ก็เป็นเหตุ ให้ใจดิ้นรนอยากได้ อยากเป็น อยากเห็น อยากสำเร็จ อยากบรรลุธรรม โลโภ ธมฺมานํ ปริปนฺโถ ความอยากของตนจึงเป็นอุปสรรคของตน จึงให้ดูใจดูตนของตนด้วยสติปัญญา “ เมื่อเทศน์จบหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ก็หันหน้ามาทางหลวงปู่จาม มหาปุญโญ แล้วถามว่า “ เป็นอย่างไรท่านจาม (มหาปุญโญ) ความโลภเป็นอย่างนี้ เข้าใจไหม ”

    หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ตอบอย่างเคารพและเกรงกลัวเป็นที่สุดว่า “ เข้าใจซาบซึ้งเป็นที่สุดครับกระผม ”……

    ธรรมะประวัติปฏิปทาหลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม (วัดหนองน่อง) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    .jpg
    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  14. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “….ดาบตำรวจจับพระทุศีล….”

    “…เรื่องการใส่บาตรนี้มีอยู่เรือนหนึ่งที่ใส่บาตรให้ทุกวันก็เรือนของดาบพั้ว เป็นตำรวจสันติบาล มีลูกสาวกำลังสอนสาวอายุ ๑๘ ปี
    ใส่บาตรให้ทุกวัน สลับกันใส่ พ่อแม่ลูก

    พ่อใส่วันนี้ วันต่อมาแม่ใส่ ต่อมาลูกใส่ หมุนเวียนกัน ขอนิมนต์ให้ไปรับบิณฑบาตทุกวัน ยิ่งมารู้จักว่าเราเป็นพระธุดงค์อีกยิ่งหาข้าวของเครื่องใช้ให้ลูกสาวของเขาเอามาถวายให้ที่วัด หาผ้าห่มมาให้ เอาเครื่องอาบน้ำมาให้ สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ขันตักน้ำ ของใช้ก็เป็นแต่ของดีๆ ราคาแพงๆ ทั้งนั้น เอานาฬิกาพกมาให้

    อีสาวน้อยนั้นก็ดูเต๊อะ การนุ่งการห่มพระเณรมาเห็นเข้าก็เป็นอันจังงังกับที่ให้ได้ ผู้ข้าฯ ไม่เป็นอะไร จิตใจอยู่ได้สบาย เวลาลูกสาวดาบพั้วมาวัดพระเณรหลบลอบมองตลอด

    รูปร่างงดงาม พอดี ไม่สูงไม่ต่ำ ไม่ดำไม่ขาว ไม่อ้วนไม่ผอม เขาเรียกดาบพั้ว เพราะเป็นนายดาบสันติบาลย้ายมาแต่เมืองเพชรบุรี แล้วมาได้เมียคนเชียงใหม่ จนได้ลูกสาวอายุลูก ๑๘ ปีแล้ว

    แต่ยศของดาบพั้วนั้นร้อยเอกเป็นหัวหน้าตำรวจ ส่วนเมียของดาบพั้วนั้นทำงานกับธนาคาร ลูกสาวยังเรียนหนังสืออยู่

    วันเสาร์วันอาทิตย์ก็พากันเอาปิ่นโต ข้าวน้ำคาวหวานมาส่งที่วัดให้เจ้าคุณฯ เถาหนึ่งเอามาให้ผู้ข้าฯอีกเถาหนึ่ง พวกแม่บู่ทอง (กิตติบุตร) ส่งมาให้ อีกเถาหนึ่ง ฉันอิ่มแล้วพวกโยมเขาก็กินกันต่อ

    ต่อมาอีกญาติโยมเขาไปแจ้งกับดาบพั้วว่า มีสมภารวัดอยู่วัดหนึ่งเป็นวัดของพวกพระนิกายใกล้ ๆ วัดเจดีย์หลวง เป็นคนขี้เหนียว เก็บสะสมเงินวัด เงินเขามาทาน บำรุงวัด เงินนั่นนี่ภายในวัด เก็บเอาคนเดียวหมด ได้เงินอยู่หลายหมื่น ในยุคนั้น

    พวกตำรวจก็เอาผิดไม่ได้ เขายังเล่าลือกันอีกว่ายังมีเมียลับๆ อยู่แต่ไม่มีใครกล้าเปิดโปง การงานวัดวาอารามก็ไม่ดูไม่แล คนศรัทธาเขาก็หมดหนทาง จึงมาขอร้องให้ดาบพั้วช่วยเหลือ

    ดาบพั้วก็มาถามผู้ข้าฯ ว่าจะเป็นบาปหรือไม่หากทำให้สิกขาลาเพศเสีย ผู้ข้าฯ ก็พิจารณาตามคำเขาเล่าลือแล้วก็ว่า….

    “ หากขาดแต่ภิกขุแล้วก็ไม่เป็นบาปแต่อย่างใด หากเขายังเป็นภิกษุอยู่ก็เป็นบาป ”

    ดาบพั้วก็ว่า “ ผมจะสืบดูให้แน่ชัด หากขาดเป็นพระแล้ว ผมมีวิธีที่จะจัดการของผม ”

    เมื่อดาบพั้วมั่นใจว่าตุ๊หลวงตนนั้นขาดเป็นพระแล้ว เพราะนอนกับแม่ออกค้ำอยู่ทุกวัน

    วิธีการของดาบพั้วก็เอาลูกสาวเป็นนกต่อนกล่อไอ้ตุ๊หลวงต๋นนั้น ควายเฒ่าเมาหญ้าอ่อน

    เอาอีสาวน้อยนั้นเองเป็นหนามยอก ให้เอาของไปให้ เอาอาหารไปส่ง นั่งคุยนั่นนี่อยู่นาน ๆ จนหลายวันหลายเดือนสองเดือนสามเดือนตุ๊หลวงก็เอาเงินอ้าง

    ตุ๊หลวงนั้นก็ว่าจะให้เงินทุกบาททุกบัญชีแต่ต้องมาหาตุ๊หลวงทุกคืน อีน้อยนั้นก็ว่า….

    “ มาวัดทุกวัน ข้าเจ้ากลัวว่าหลายคนจะเห็น แต่ขอเงินสดให้ข้าเจ้าก่อนเต๊อะ พ่อแม่ข้าเจ้าก็บ่ว่าอะหยัง แถมยังฝากนิมนต์ตุ๊หลวงไปบ้านได้ทุกวันทุกเวลา หากตุ๊หลวงให้เงินข้าเจ้าใช้ ”

    “ เออ บ่ยาก บ่ยาก วันนี้ตุ๊หลวงไปธนาคารมาแล้วเบิกมาแล้วแปดหมื่นบาท เงินที่ไม่ได้ฝากอีก สองหมื่นบาท ยังเหลือในบัญชีก็สี่หมื่นบาทตุ๊หลวงจะเซ็นมอบฉันทะให้ ว่าแต่จะให้ตุ๊หลวงไปบ้านวันไหน ”

    “ วันอาทิตย์นี้ก็ได้ แต่วันนี้ข้าเจ้าต้องเอาเงินไปแจ้งให้พ่อแม่ของข้าเจ้าเสียก่อน เป็นการยืนยันว่าตุ๊หลวงต้องการจะไปบ้านข้าเจ้าแต๊ๆ ”

    “ ได้ ได้ เอาไปก่อนเลย เงินสดทั้งหมดเอาไปเต๊อะ ”

    “ เจ้า ”

    อีสาวน้อยลูกสาวดาบพั้วก็หอบเอาเงินนั้นมาบ้าน ทำหลักฐานพยานไว้ให้หมู่พวกข้าราชการผู้ใหญ่ผู้หลายคนมาเป็นสักขีพยาน

    วันศุกร์ วันเสาร์ พอถึงวันอาทิตย์ ตุ๊หลวงบ้ากามราคะนั้นก็ไปบ้านดาบพั้วแต่เช้า ถามหาอีน้อยว่า “ ไปไหน ”

    ดาบพั้วกับเมียก็ว่า “ บ่ฮู้จักเน้อว่าจะไหนแท้ ไปกับหมู่เพื่อนพวกละอ่อนแม่หญิงผู้ชายวัยวุ่นรุ่นคนหนุ่มเห็นว่าจะไปทัศนาจรเมืองกรุงเทพ เป็นหลายวันกว่าจะกลับมา ตุ๊หลวงมีธุระปะปังอันหยังถึงได้มาแต่เช้าละครับ ”

    “ เงินของตุ๊หลวงล่ะ ”

    “ เงิน เงินอะหยังครับ บ่ฮู้เน้อครับ ” ดาบพั้วตอบ

    พอตุ๊หลวงสมภารวัดรู้จักว่าตนถูกต้มแล้ว หัวใจเต้นรัว เลือดขึ้นสมองมากเกินไปเป็นลมหัวใจวาย พวกดาบพั้วเอาไปส่งโรงหมอ ไปตายอยู่โรงหมอ

    พอแล้วจากศพจากคราบของตุ๊หลวงแล้วดาบพั้วจึงได้มาเล่าให้ผู้ข้าฯ ฟัง มาถามว่า

    “ ท่านอาจารย์ครอบครัวผมจะบาปไหมครับ ”

    “ ไม่บาปหรอก เอาเงินวัดไปคืนให้กรรมการวัดเขาเสีย หลอกเอาเงินจากผีเปรตไม่บาปหรอก มันไม่ได้เป็นตุ๊เป็นเจ้าเป็นสงฆ์อันได๋แล้ว ”

    “ จะให้คืนอย่างได๋ครับ ”

    “ ให้คืนโดยตรง เขาก็จะรู้จักได้ว่า เราเป็นตัวการผู้วางแผน เอาอย่างนี้เน้อ ให้ไปถามดูที่วัดว่า ทางวัดเขาต้องการจะก่อสร้างบูรณะบำรุงอันใดก็ให้ไปทำอันนั้นจนหมดทุกบาททุกสตางค์ที่อีน้อยเอาไปนั้น ”

    “ ตอนนี้ไม่มีใครฮู้จักได้หรอกว่า ลูกสาวผมเป็นคนหลอกเอาเงินของตุ๊หลวงจะมีก็แต่ศึกษาธิการอำเภอคนเดียวเท่านั้น ”

    “ ก็ดีแล้ว บูรณะก่อสร้างอันได๋ก็ยกให้เป็นหน้าเป็นตาของศึกษาธิการก็แล้วกัน ” ผู้ข้าฯ ให้อุบาย

    จนงานบูรณะซ่อมแซมต่างๆ ภายในวัดแล้วเสร็จ ครอบครัวของดาบพั้วก็มาทำบุญอุทิศขออโหสิกรรมไปให้แด่ตุ๊หลวงต๋นนั้น ผู้ข้าฯ ยังว่าเล่นอยู่…

    “ ทำบุญให้เปรตในนรก บ่ต้องกลัวนะอีน้อย มันไม่เป็นบาปเป็นกรรมอันใดหรอก เงินของวัดก็คืนให้วัดหมดแล้ว

    อีน้อยก็ไม่ได้บอกว่าหากตุ๊หลวงเอาเงินให้แล้วจะให้นอนด้วย แต่นี่ตุ๊หลวงด่วนจะเอาเงินให้เสียก่อน วัดวาของเขาก็จะได้เป็นวัดวาศาสนาต่อไป ”

    พอตุ๊หลวงคนนี้ตาย ญาติโยมศรัทธาวัดนั้นเขาก็ดีอกดีใจได้พากันบำรุงดูแลวัดวาอาราม สมบัติวัดของพวกเขาต่อไป อีตัวที่เป็นแม่ค้ำอยู่ค้ำกินกับตุ๊หลวงนั้นก็บาปกรรมถูกรถชนตายกลางถนน…”

    ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม (วัดหนองน่อง) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่าน

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  15. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  16. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  17. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  18. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  19. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  20. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    1f340.png ” คนไม่มีศาสนาคือคนไร้ค่าหมดความหมาย.
    เราอย่าพูดตั้งแต่คนไม่มีศาสนาทั่วๆ ไปเลย.
    เราเองขณะใดที่ไม่สนใจกับศาสนา
    ลืมเนื้อลืมตัวไปเสียขณะนั้น.
    เราก็ไม่มีความหมายเหมือนกัน.

    1f340.png ฉะนั้น จึงพยายามสร้างความหมาย
    ให้แก่ตนด้วยความมีศาสนา.
    ระลึกถึงบาปบุญคุณโทษ
    ระมัดระวังอยู่เสมอ
    นั่นชื่อว่าเรามีศาสนา.

    1f340.png ยิ่งไปที่ไหนไม่ลืมพุทโธ ธัมโม สังโฆ
    ระลึกอยู่ภายในจิต.
    ชื่อว่ามีศาสนาประจำทุกอริยาบถ.
    ผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้มีสาระอันสำคัญ.
    ไม่ปราศจากสารคุณที่เป็นเครื่องอิงแอบ
    ภายในจิตใจให้เกิดความสุขความเจริญ.”

    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    เทิดไว้เหนือเศียรเกล้า ด้วยเกล้า สาธุ.
    credit:boonchu boonchu

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...